PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2558

สถานการณ์ข่าว20/1/58

Jab20Jan15

//////////////
ถอดถอนยิ่งลักษณ์

"นิคม" ยันไปแถลงปิดคดีด้วยตนเอง เพื่อแจงเพิ่ม มองการซักถามถูกเบี่ยงประเด็นไปจากเดิม หวัง สนช. ลงมติเป็นธรรม

นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา เปิดเผยกับ สำนักข่าว INN ว่า ในวันแถลงปิดคดีต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในวันพรุ่งนี้ (21 ม.ค.) จะเดินทางไปด้วยตนเองอย่างแน่นอน เพื่อชี้
แจงและอธิบายถึงข้อเท็จจริง พร้อมหลักฐานประกอบ เพราะมองว่า ในขั้นตอนการซักถาม 5 ใน 7 คำถาม ได้มีการเบี่ยงประเด็นว่ามีความผิดในมาตราอื่นอีกหรือไม่ ไปในเรื่องประโยชน์ทับซ้อน
ซึ่งมั่นใจว่าหลังจากอธิบายแล้ว สนช. จะได้ข้อมูล รับรู้ข้อเท็จจริง เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม นายนิคม ยังยืนยันว่า พร้อมที่จะน้อบรับผลของการตัดสินใจของ สนช. แต่ก็หวังว่าจะเป็นผลการตัดสินที่เป็นธรรมเพราะจะถือเป็นบรรทัดฐานของกฎหมายต่อไป  
-------------------------
"วิษณุ" เผย ประชุมร่วม คสช. ยังไม่ถกถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง-ถอดถอนได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับรูปคดี กำหนดเป็นบรรทัดฐานไม่ได้

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ร่วมกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในวันนี้ มีการพูดคุยใน 2 เรื่องหลักๆ คือ การรายงานสถานการณ์ด้านความมั่นคงทั่วไป และการรายงานการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งไม่มีการพูดคุยเรื่องการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่อย่างใด

ทั้งนี้ นายวิษณุ ยังกล่าวว่า การถอดถอนจะเป็นบรรทัดฐานในครั้งต่อไปหรือไม่นั้น เชื่อว่าถ้ามีความจำเป็นต้องทำ ก็สามารถทำได้แต่สุดท้ายจะถอดถอนได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับรูปคดีในแต่ละเรื่อง ซึ่งคงกำหนดเป็นบรรทัดฐานไม่ได้ ส่วนการทำงานล่าช้าของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เป็นเพียงการตั้งคำถามของสื่อมวลชนเท่านั้น และไม่มีการรายงานในเรื่องนี้
---------------
มติ วิป สนช. โหวตถอดถอน นิคม, สมศักดิ์, ยิ่งลักษณ์ คาดเสร็จใน 3 ชั่วโมง ขณะพรุ่งนี้ถกปม 38 อดีต ส.ว.

น.พ.เจตน์ ศิรธรานนท์ เลขานุการคณะกรรมาธิการกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ วิป สนช. กล่าวว่า มติ วิป สนช. ที่จะมีการลงมติถอดถอนวันที่ 23 มกราคม นี้ จะลงมติที่เป็นไปตามข้อบังคับการประชุม โดยใช้วิธีการลงคะแนนลับ เข้าคูหากาบัตร และต้องมีคณะกรรมการนับคะแนน จำนวน 10 คน แต่เพื่อให้เกิดความรวดเร็วในกระบวนการ ไม่ซ้ำซ้อน จึงให้ลงมติถอดถอน อดีตประธานวุฒิสภา อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ไปในคราวเดียวกัน จากนั้น ลงมติถอดถอนอดีตนายกรัฐมนตรี คาดว่า จะใช้เวลาทั้งหมดไม่เกิน 3 ชั่วโมง

ทั้งนี้ ยืนยันว่า สมาชิก สนช. ปฏิบัติตามหน้าที่และไม่รู้สึกกังวลใดๆ ส่วนในวันพรุ่งนี้ ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ จะพิจารณาวาระถอดถอน 38 อดีตสมาชิกวุฒิสภา เพื่อกำหนดวันแถลงเปิด
สำนวนคดี
----------------
น.พ.เจตน์ ยัน วิป สนช. ยังไม่กำหนดกรอบเวลาปิดสำนวนถอดถอน - ยืดหยุ่นได้

น.พ.เจตน์ ศิรธรานนท์ โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ วิป สนช. เปิดเผยว่า ที่ประชุมวิป สนช. ยังไม่กำหนดกรอบเวลาในการแถลงปิดสำนวนคดีถอดถอน นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา และ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 21-22 มกราคม นี้ ซึ่งเบื้องต้นอาจอนุโลมและยืดหยุ่นในกรอบเวลา ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ผู้กล่าวหาจะเป็นผู้แถลงปิดคดีก่อน ก่อนที่จะเป็นการแถลงผู้ถูกกล่าวหา โดยทราบว่า นายนิคม จะเดินทางเข้าร่วมการแถลงด้วยตัวเอง แต่นายสมศักดิ์ จะไม่เดินทางมาแถลงปิดสำนวนคดี

นอกจากนี้ น.พ.เจตน์ ระบุว่า ยังไม่ได้ประสานกับฝ่ายความมั่นคง เรื่องการดูแลความเรียบร้อย บริเวณโดยรอบรัฐสภา ในวันลงมติสำนวนถอดถอนบุคคลทั้ง 3 วันที่ 23 มกราคม นี้

//////////
ปปช.

ป.ป.ช.นัดพิจารณาชี้มูลความผิด "บุญทรง" กับพวก กรณีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวจีทูจี 

บรรยากาศที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ล่าสุด ยังคงเป็นไปด้วยความเรียบร้อย การรักษาความปลอดภัยเป็นไปอย่างเข้มงวดเช่นทุกวัน ขณะที่ในวันนี้เวลาประมาณ 10.00 น. จะมีการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ โดยมีวาระเพื่อพิจารณารายงานการไต่สวนคณะอนุกรรมการไต่สวนคดี นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กับพวก ในกรณีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) เพื่อดูว่ามีแนวทางการไต่สวนในประเด็นใดต่อไป หรือหากมีข้อมูลส่วนใดที่สามารถสรุปและพิจารณาชี้มูลความผิดได้ก็อาจจะพิจารณาชี้มูลทันที

ทั้งนี้ สำหรับในคดีดังกล่าวมีผู้ถูกกล่าวหาในส่วนของนักการเมือง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ จำนวน 11 ราย เป็นระดับรัฐมนตรี 2 ราย คือ นายบุญทรง และ นายภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีสื่อมวลชนมาปักหลักรอติดตามผลการประชุมอย่างใกล้ชิด
------------------------
วิชา แถลง ป.ป.ช. มีมติ บุญทรง ผิดจริง เตรียมส่งความคิดเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญา

นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้แถลงผลการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการพิจารณาสำนวนไต่สวนคดี นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมพวก กรณีทุจริตการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี ในโครงการรับจำข้าว ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นว่า นายบุญทรง พร้อมพวกรวม 21 ราย ร่วมกันกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น ๆ รวมถึงมีความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ พ.ศ. 2542 และกฎหมายอื่น ๆ โดยจากการตรวจสอบสัญญาซื้อขายข้าวระหว่างไทยกับบริษัทของจีน จำนวน  4 ฉบับ โดยในสัญญา 3 ฉบับแรก มีบริษัท กวางตุ้ง และบริษัท ไห่หนาน ของจีนซึ่งมิได้รับมอบหมายจากรัฐบาลจีนเป็นผู้รับซื้อ และมี นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ นายภูมิ สาระผล และ พ.ต.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ เป็นผู้เห็นชอบ ส่วนฉบับสุดท้ายเป็นการทำสัญญากับผู้ประกอบการในประเทศจำนวน 3 กลุ่ม เพื่อให้รับซื้อข้าวในราคาต่ำโดยไม่ต้องการประมูลราคา นอกจากนี้ ยังเป็นซื้อขายภายในประเทศผ่านทางบริษัทสยามอินดีก้า โดยไม่ได้ส่งออกนอกประเทศแต่อย่างใด ซึ่ง ป.ป.ช. เตรียมส่งความคิดเห็นไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินคดีอาญา
-----------------
ยันทำตามขั้นตอน ป.ป.ช.ส่งหนังสือไป พณ. และคลัง ฟ้องค่าเสียกวางตุ้ง เเละไห่หนาน 6 แสนบ้าน 

นายวิชา มหาคุณ กรรมการก้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) กล่าวถึงที่ประชุมคณะกรรมการป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดนายบุญทรง เตริยาภิรมณ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพานิชย์ พร้อมพวกรวม 21 ราย กระทำการทุจริตต่อหน้าที่จากกรณีทุจริตการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี ในโครงการรับจำข้าว ว่า ป.ป.ช.จะส่งหนังสือไปยังกระทรวงพานิชย์ และกระทรวงการคลัง ให้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียที่เกิดขึ้นในการระบายข้าวจากบริษัทกวางตุ้ง และบริษัท ไห่หนาน ของประเทศจีน ตามพรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 โดยคาดว่าตัวเลขความเสียหายล่าสุดมากกว่า 6 แสนบ้านบาท นอกจากนี้ป.ป.ช.จะส่งข้อคิดเห็นในส่วนดังกล่าวไปให้คณะทำงานร่วมระหว่างอัยการสูงสุดและป.ป.ช. เพื่อประกอบการพิจารณาคดีอาญาของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตามที่คณะทำงานร่วมฯเคยร้องขอ

อย่างไรก็ตาม นายวิชา ยืนยันว่า ป.ป.ช. ทำตามกระบวนการทุกขั้นตอน และการสรุปสำนวนคดีได้มีการกำหนดวันไว้ล่วงหน้า จึงเป็นเรื่องบังเอิญที่ช่วงเวลาตรงกับการพิจารณาถอดถอนน.ส.ยิ่งลักษณ์ ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
-----------------
"บุญทรง" เชื่อ ป.ป.ช. ชี้มูลมีวาระแอบแฝง หวังโยงคดีถอดถอน ยิ่งลักษณ์ ชี้คดีเป็นคนละเรื่องกัน

นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังรับทราบการชี้มูลของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่า แม้คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะชี้มูลในวันนี้ แต่กระบวนการทางกฎหมาย ก็ยังไม่ถึงที่สุด ยังมีขั้นตอนที่ต้องส่งสำนวนคดีไปให้อัยการสูงสุดพิจารณาอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งอัยการสูงสุดจะฟ้องหรือไม่นั้น ยังมีต้องขั้นตอน และท้ายที่สุด แม้ว่าอัยการจะมีความเห็นสั่งฟ้องในคดีต่อศาลแล้ว ก็เชื่อว่าจะได้รับความเป็นธรรมจากศาล เพราะตนมั่นใจว่า ไม่ได้กระทำผิดตามที่กล่าวหา แต่เห็นว่า การชี้มูลคดีของ ป.ป.ช. ในวันนี้ น่าจะมีวาระซ่อนเร้น เพราะเป็นการชี้มูลคดีจีทูจี ก่อนที่จะมีการแถลงการณ์ปิดสำนวนคดี ในคดีถอดถอนอดีตนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพียง 2 วัน ซึ่งตนคิดว่ากำลังเป็นเหยื่อทางการเมือง ที่หวังจะเอาผลคดีวันนี้ ไปโยงกับคดีถอดถอนของ อดีตนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ซึ่งความจริงแล้ว คดีเป็นคนละเรื่องกัน


//////////////
ยกร่างรธน.

สภาปฏิรูปแห่งชาติ งดประชุม ขณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เตรียมพิจารณารายมาตราต่อเนื่อง

บรรยากาศที่รัฐสภา เช้านี้ การรักษาความปลอดภัยยังเป็นไปอย่างเข้มงวด ถึงแม้ไม่มีการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) แต่ตำรวจรัฐสภายืนประจำตามจุดประตูเข้าออกเพื่อตรวจตรารถต่าง ๆ ที่เข้ามา สำหรับบุคคลที่มาติดต่อราชการต้องติดบัตรแสดงตัวทุกครั้ง

ขณะเดียวกัน ในเวลา 09.00 น. นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ นัดกรรมาธิการประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาร่างเป็นรายมาตราต่อเนื่อง ในภาค 3 ว่าด้วยนิติธรรม ศาล และองค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ โดยวานนี้ พิจารณาบททั่วไปของศาลและกระบวนการยุติธรรม มีการบัญญัติหลักการพื้นฐานสำคัญของหลักนิติธรรม 5 ข้อ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญที่ได้มีการบัญญัติไว้
----------
สปช.ประชุมเชิงปฏิบัติการวิสัยทัศน์ประเทศไทย วันที่ 2 เตรียมนำเสนอผลงานตามโจทย์

สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ร่วมโครงการสัมมนา "ประชุมเชิงปฏิบัติการวิสัยทัศน์ประเทศไทย" (Vision Workshop) ที่ โรงแรมเอเชีย ซึ่งในช่วงเช้าจะเป็นการสรุปสาระ กำหนดยุทธศาสตร์และเป้าหมายการปฏิรูป พร้อมชี้แจงกระบวนการ โดย นางลีลาภรณ์ บัวสาย โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญจัดทำวิสัยทัศน์และออกแบบประเทศไทย

ทั้งนี้ ในการประชุมเชิงปฏิบัติการ "ยุทธศาสตร์การปฏิรูปที่นำไปสู่เป้าหมายในแต่ละด้าน" ได้แยกออกเป็นกลุ่มตามโจทย์ 8 กลุ่ม

อย่างไรก็ตาม ในช่วงบ่าย ทั้ง 8 กลุ่ม นำเสนอผลงานตามโจทย์ที่ตั้งไว้ โดยมี นายพลเดช ปิ่นประทีบ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ เป็นผู้ดำเนินรายการ
---------------
"ไพบูลย์" เผย กมธ.วางกรอบทั่วไป ศาล กระบวนการยุติธรรมเสร็จแล้ว วันนี้ พิจารณาขั้นตอน กรรมการสรรหา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

นายไพบูลย์ นิติตะวัน สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในฐานะ กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เปิดเผยกับ สำนักข่าว INN  ว่า การพิจารณายกร่างรัฐธรรมนูญรายมาตรา ในภาค 3 นิติธรรม ศาล และการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ล่าสุด ได้มีการพิจารณาในหลักการทั่วไปของศาล และอัยการแล้ว โดยหลักที่สำคัญคือ การห้ามเอาผิดทางอาญาย้อนหลัง รวมถึงการกำหนดให้การกระทำที่ขัดกันแห่งผลประโยชน์ ถือว่าขัดหลักนิติธรรมด้วย ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้การบริหารราชการแผ่นดินมีความโปร่งใสมากขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีการพิจารณาไปถึงเรื่องโครงสร้าง และที่มาของ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วย คือ จะให้คงจำนวน 9 คน เหมือนเดิม แต่สัดส่วนนั้นจะเปลี่ยนไปต่างจาก รธน. ปี 2550 เล็กน้อย คือ จากศาลฎีกา 2 คน ศาลปกครอง 2 คน ส่วนที่เหลือจะมาจากผู้ทรงคุณวุฒิอื่น ๆ  ส่วนเรื่องขั้นตอนการสรรหาและกรรมการสรรหา จะมีการพิจารณาในวันนี้
-------------------
การประชุมวิสัยทัศน์ฯ สปช. เริ่มแล้ว "เขมทัต-มนูญ" สรุปสาระ "กำหนดยุทธศาสตร์และเป้าหมายการปฏิรูป"

บรรยากาศความเคลื่อนไหวการสัมมนา "ประชุมเชิงปฏิบัติการวิสัยทัศน์ประเทศไทย" (Vision Workshop) ที่ โรงแรมเอเชีย ล่าสุด สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ส่วนใหญ่เดินทางมาถึงห้องประชุมเพื่อเตรียมประชุมแล้ว รวมถึง นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช. โดยได้เริ่มกิจกรรมด้วยการแสดงบรรเลงดนตรีจาก นายประสาร มฤคพิทักษ์ สมาชิก สปช. เพื่อสร้างบรรยากาศความเป็นกันเอง

ทั้งนี้ นายเขมทัต สุคนธสิงห์ และ นายมนูญ ศิริวรรณ สมาชิก สปช. สรุปสาระ "กำหนดยุทธศาสตร์และเป้าหมายการปฏิรูป " พร้อมชี้แจงกระบวนการจัดทำวิสัยทัศน์และอออกแบบประเทศไทย จากนั้นจะเป็นการประชุมเชิงปฏิบัติการยุทธศาตร์การปฏิรูปที่จะนำไปสู่เป้าหมายในแต่ละด้าน โดยแต่ละกลุ่มจะแบ่งสมาชิกออกเป็นกลุ่มละ 28-30 คน
---------------------
สปช.สรุปยุทธศาสตร์ยุคใหม่ต้องสร้างคนไทยให้กล้าคิด มีจิตสาธารณะ การเมืองต้องโปร่งใส มีกลไกตรวจสอบ ประชาชนต้องมีส่วนร่วม

บรรยากาศการประชุมเชิงปฏิบัติการวิสัยทัศน์ประเทศไทย สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในวันที่ 2 ล่าสุด นายเขมทัต สุคนธสิงห์ และ นายมนูญ ศิริวรรณ สมาชิก สปช. กล่าวสรุปผลประชุมแบ่งกลุ่มย่อยของสมาชิก สปช. เมื่อวานที่ผ่านมาว่า ยุทธศาสตร์ยุคใหม่ต้องสร้างคนไทยให้กล้าคิด มีจิตสาธารณะ ส่วนยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจต้องมีความเป็นธรรม เน้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมเพื่อสร้างมูลค่า ยุทธศาสตร์การเมืองต้องโปร่งใส มีกลไกตรวจสอบที่เข้มแข็ง การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นประชาชนต้องมีส่วนร่วม

หลังจากนี้ได้มีการแบ่งสมาชิกเป็น 8 กลุ่ม กลุ่มละ 28 - 30 คน เพื่อประชุมหารือกำหนดวาระในการปฏิรูปต่อไป
---------------------
กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พิจารณารายมาตราต่อเนื่อง ว่าด้วยเรื่องกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

การประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่มี นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ทำหน้าที่ประธานการประชุม ล่าสุด พิจารณาร่างเป็นรายมาตราอย่างต่อเนื่องในภาค 3 นิติธรรม ศาล และองค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ โดยเริ่มพิจารณาว่าด้วยเรื่องกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งในหลักการได้บัญญัติใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้ศาลเข้ามามีบทบาทในกรรมการสรรหา และต้องการให้กรรมการสรรหามีความหลากหลายมากขึ้น

ทั้งนี้ กำหนดให้มีกรรมการสรรหา จำนวน 9 คน มาจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ผู้ทรงคุณวุฒิ จากกลุ่มการเมือง หรือฝ่ายเดียวกับรัฐบาล ผู้ทรงคุณวุฒิจากฝ่ายค้าน ผู้ทรงคุณวุฒิจากมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชน ที่เป็นอธิการบดีจากคณะนิติศาสตร์ และผู้ทรงคุณวุฒิจากสมัชชาคุณธรรม ที่สภาปฏิรูปแห่งชาติ กำลังจะจัดตั้งขึ้นมา
------------------------
ความเคลื่อนไหวที่รัฐสภาวันนี้ มีการประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พิจารณาเป็นรายมาตราต่อเนื่อง โดยล่าสุด พิจารณาเรื่อง กก.สรรหาตุลาการศาล รธน.ซึ่งอยู่ในภาค 3 นิติธรรม ศาล และองค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ

 การประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ทำหน้าที่ประธานการประชุม ล่าสุด พิจารณาร่างเป็นรายมาตราอย่างต่อเนื่องในภาค 3 นิติธรรม ศาล และองค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ โดยเริ่มพิจารณาว่าด้วยเรื่องการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งในหลักการได้บัญญัติใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้ศาลเข้ามามีบทบาทในกรรมการสรรหาและต้องการให้กรรมการสรรหามีความหลากหลายมากขึ้น และได้กำหนดให้มีกรรมการสรรหาจำนวน 9 คน มาจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ผู้ทรงคุณวุฒิจากกลุ่มการเมืองหรือฝ่ายเดียวกับรัฐบาล ผู้ทรงคุณวุฒิจากฝ่ายค้าน ผู้ทรงคุณวุฒิจากมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชนที่เป็นอธิการบดีจากคณะนิติศาสตร์ และผู้ทรงคุณวุฒิจากสมัชชาคุณธรรม ที่สภาปฏิรูปแห่งชาติกำลังจะจัดตั้งขึ้นมา

ทั้งนี้ กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญส่วนหนึ่งไม่เห็นด้วยกับการตั้งสมัชชาคุณธรรม เพราะไม่มั่นใจว่าจะจัดตั้งได้สำเร็จหรือไม่ และจะทำงานซ้ำซ้อนกับองค์กรที่มีอยู่หรือไม่ ดังนั้นจึงเสนอให้พัฒนาองค์กรที่มีอยู่ให้เข้มแข็งกว่าเดิมมากกว่า ขณะที่บางส่วนเห็นว่า คณะกรรมการสรรหาที่มาจากมหาวิทยาลัยนั้นมีสัดส่วนจำนวนมาก จึงต้องการปรับสัดส่วนให้วิชาชีพอื่นด้วย ขณะเดียวกัน ยังต้องการให้เพิ่มจำนวนคณะกรรมการสรรหาให้มากกว่า 9 คนเพราะที่กำหนดไว้ยังน้อยเกินไป

นอกจากนี้ กรรมาธิการบางส่วน มองว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเลือกขึ้นมาเพื่อเข้ามาตัดสิน วินิจฉัย ชี้ขาด คุ้มครองสิทธิของประชาชน ซึ่งบุคคบที่จะเข้ามานั้น กรรมการสรรหาย่อมเป็นผู้ชี้วัดในการเลือกเข้ามา จึงไม่เห็นด้วยกับการมห้มีฝ่ายการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง
----------------------
สปช. แบ่ง 8 กลุ่มหารือวิสัยทัศน์ กำหนดวาระปฏิรูป งดสื่อร่วมฟังการแสดงความเห็น

บรรยากาศการประชุมเชิงปฏิบัติการวิสัยทัศน์ประเทศไทย สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ล่าสุด สมาชิกอยู่ในระหว่างการร่วมประชุมหารือกำหนดวาระในการปฏิรูป ที่ได้มีการแบ่งกลุ่มหารือ ออกเป็น 8 กลุ่ม กลุ่มละ 28-30 คน โดยแบ่งประเด็นการหารือดังนี้ระบบการเมือง การป้องกันการทุจริต ระบบธรรมาภิบาล การปกครองท้องถิ่นและการบริหารราชการแผ่นดิน ระบบกฎหมายระบบเศรษฐกิจ การศึกษา การพัฒนาคุณภาพคน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ปัญหาของประเทศ ระบบสาธารณสุข ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โครงสร้างสังคม ชุมชน การดูแลสวัสดิการของกลุ่มเป้าหมายต่างๆ การคุ้มครองผู้บริโภคและโครงสร้างการสื่อสารและศิลปวัฒนธรรม

อย่างไรก็ตาม การแบ่งกลุ่มย่อยเพื่อหารือในแต่ละประเด็นนั้น ไม่เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้เข้าร่วมรับฟังแต่อย่างใด
-----------------------
กมธ.ยกร่างฯ พิจารณารายมาตรากำหนดสัดส่วน คกก.สรรหา ตุลาการศาล รธน. เรียบร้อยแล้ว

พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษกกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ แถลงข่าวภายหลังการประชุมถึงผลการพิจารณาภาค 3 หลักนิติธรรม ศาล และองค์กรตรวจสอบการใข้อำนาจรัฐ ส่วนที่ 2 ศาลรัฐธรรมนูญ สรุปว่า ได้กำหนดให้มีคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญขึ้นมาคณะหนึ่ง ประกอบด้วยสัดส่วนต่าง ๆ ดังนี้ ผู้ทรงคุณวุฒิ 4 คน ซึ่งเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา 2 คนและเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ตุลาการศาลปกครองสูงสุด 2 คน ผู้ทรงคุณวุฒิเลือกโดยพรรคการเมือง ฝ่ายรัฐบาล 1 คนและฝ่ายค้าน 1 คน ผู้ทรงคุณวุฒิที่เลือกจากคณะรัฐมนตรี 2 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ 2 คน เลือกโดยคณบดีคณะนิติศาสตร์ในสถาบันอุดมศึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คน เลือกโดยวุฒิสภา สมัชชาพลเมือง

ทั้งนี้ หลักเกณฑ์การพิจารณาและวิธีการเลือกเป็นไปตาม พ.ร.บ.ประกอบว่าด้วยศาลรัฐธรรมนูญและวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ผู้ทรงคุณวุฒิต้องไม่เป็นหรือเคยเป็นผู้พิพากษาหรือตุลาการ
หรือคณบดี
-------------------
"บวรศักดิ์" ปัด รธน.ใหม่ เอาผิดย้อนหลัง นักการเมืองบ้านเลขที่ 111, 109 ยันไม่ยกร่าง ทำลายใคร

นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ชี้แจงถึงกรณีที่เกิดความเข้าใจผิดว่า การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญรายมาตราของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ มีมติให้ตัดสิทธินักการเมืองย้อนหลังของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยเฉพาะนักการเมืองบ้านเลขที่ 111 และ 109 ไม่ให้กลับเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีกนั้น ยืนยันว่า คณะกรรมาธิการยกร่างไม่ได้มีมติเช่นนั้น ซึ่งกรรมาธิการมีเพียงมติในเรื่องหลักนิติธรรมที่บัญญัติหลักการสาระสำคัญเท่านั้น สำหรับเรื่องคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้ง จะนำไปพิจารณาในภาค 2 ผู้นำการเมืองที่ดีและสถาบันการเมือง ว่าด้วยหมวด 3 รัฐสภา ทั้งนี้ ยืนยันว่า ไม่ได้เขียนรัฐธรรมนูญเพื่อมาทำลายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ยึดหลักความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

ขณะที่เรื่องการใช้คำพูดยั่วยุให้เกิดความเกลียดชังและแตกแยกของสื่อมวลชน จะกำหนดเข้าไว้ในหมวดที่มีความเกี่ยวข้องกับสื่อมวลชนด้วย
---------------
กมธ.ยกร่าง รธน. กำหนด ปธ.ศาลฎีกา, ศาลปกครองสูงสุด, ศาลอื่นๆ มีวาระ 4 ปี วาระเดียว พ้นจากราชการเมื่ออายุครบ 65 ปี

พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ที่ปรึกษาและโฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ แถลงความคืบหน้าการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญรายมาตราในภาค 3 หลักนิติธรรม ศาล และองค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ได้ผลสรุป หมวด 1 ศาลและกระบวนการยุติธรรม ส่วนที่ 1 บททั่วไป 12 มาตรา ได้บัญญัติเพิ่มในมาตรา 10 ระบุให้ "ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด และประธานศาลอื่นนอกจากศาลรัฐธรรมนูญและศาลทหาร มีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี และให้ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว พร้อมกำหนดอายุพ้นจากราชการจากเดิม 70 ปี เป็น 65 ปี ส่วนผู้พิพากษา หรือ ตุลาการอาวุโส ยังคงดำรงตำแหน่งได้จนครบอายุ 70 ปี

ทั้งนี้ ในส่วนขององค์กรบริหารงานบุคคล ได้ตัดคำว่า พนักงาน ออก ใช้คำว่า ข้าราชการอัยการ โดยข้าราชการอัยการ ต้องไม่ดำรงตำแหน่งในรัฐวิสาหกิจ หรือห้างหุ้นส่วนบริษัท อีกทั้ง ไม่เป็นที่ปรึกษาของผู้ตำรงตำแหน่งทางการเมือง และไม่ประกอบอาชีพที่กระทบกระเทือนถึงการปฏิบัติหน้าที่ หรือเสื่อมเสียเกียรติของพนักงานอัยการ
-----------------
"เทียนฉาย" ยัน ปฏิรูปตำรวจ งานสำคัญ มีคณะทำงานอยู่แล้ว ย้ำ สปช. ไม่ได้มีหน้าที่ทำเอง ต้องรวบรวมความเห็นแนวทางให้รัฐบาล

นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ระบุว่า ประเด็นเรื่องการปฏิรูปตำรวจเป็นเรื่องสำคัญ และ สปช. ได้มีคณะกรรมาธิการทำหน้าที่พิจารณาเรื่องการปฏิรูปตำรวจอยู่แล้ว และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาในหลายภาคส่วน แต่เรื่องการปฏิรูปตำรวจ ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องใช้เวลาในการดำเนินการ

นอกจากนี้ นายเทียนฉาย ยังระบุถึงการจัดโครงการสัมมนาประชุมเชิงปฏิบัติการวิสัยทัศน์ประเทศไทย ว่า มีความพอใจในการจัดสัมมนาทั้ง 2 วัน เชื่อว่า ตั้งแต่ช่วงบ่ายวันนี้จะมีความชัดเจนในเรื่องการปฏิรูป และการจัดทำวิสัยทัศน์มากขึ้นเช่นเดียวกันกับการปรับการทำงานที่จะมีการหารือกัน ในการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วิป สปช.) เพื่อให้เกิดความเหมาะสม ทั้งนี้ นายเทียนฉาย ยังระบุด้วยว่า สปช. ไม่มีหน้าที่ในการปฏิรูป แต่มีหน้าที่ในการรวบรวมความคิดเห็นของแนวทางการปฏิรูปเพื่อส่งต่อไปยังรัฐบาล และหลังจากส่งความคิดเห็นแล้ว สปช. จะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลเพื่อดำเนินการปฏิรูปต่อไป
--------------
เครือข่าย ปชช.เพื่อการปฏิรูปตำรวจยื่นหนังสือ "เทียนฉาย" ขอให้ สปช. ปฏิรูปตำรวจ เพื่อประโยชน์ใน 3 ด้าน

น.พ.ประทีป ตลับทอง รักษาการประธานเครือข่ายประชาชนเพื่อการปฏิรูปตำรวจ ยื่นหนังสือต่อ นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ขอให้ สปช. ปฏิรูปตำรวจเพื่อประโยชน์ใน 3 หัวข้อหลัก คือ เพื่ออำนาจยุติธรรมให้กับประชาชน ให้ความเป็นธรรมกับตำรวจที่ถูกแทรกแซงโดยนักการเมือง และเพื่อจัดองค์กรตำรวจใหม่ เนื่องจากที่ผ่านมา ตำรวจมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ทำให้เกิดความเสียหายกับวงการตำรวจ และกระทบมาถึงประชาชน ซึ่งการยื่นหนังสือครั้งนี้ เป็นการรวบรวมรายชื่อจากประชาชนทุกภาคส่วน รวมถึง ตำรวจ ทหาร ทั้งในและนอกราชการ
---------------------
สปช. เสนอออก พ.ร.บ. ครอบคลุมป้องกันการทุจริต เพิ่มสภาพลเมือง คัดกรองนักการเมือง สร้างความเข้มเเข็งภาคประชาชน 

บรรยากาศการประชุมเชิงปฏิบัติการวิสัยทัศน์ประเทศไทย สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในวันที่ 2 สมาชิก สปช. ได้เสนอความคิดเห็นต่อที่ประชุมภายหลังจากได้แบ่งกลุ่มระดมความคิดกำหนดวาระเดินหน้าปฏิรูปประเทศ โดยในส่วนการปฏิรูประบบการเมือง การป้องกันการทุจริต การพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม ต้องบูรณาการกระบวนการยุติธรรม มีลงโทษบุคคลที่ทุจริตอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ โดยให้ออกเป็นพระราชบัญญัติเพื่อให้ครอบคลุมถึงผู้ประกอบการและผู้มอบหมายให้ใช้อำนาจ

นอกจากนี้ ต้องมีสภาพลเมืองเพิ่มเติมจากระบบสองสภาที่มีอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน ต้องคัดกรองนักการเมืองรุ่นใหม่ ให้ได้คนดีเข้าสู่สภา สร้างความเข้มแข็งให้กับภาคประชาชน อีกทั้ง ต้องคัดกรองพรรคที่ไม่ได้ทำเพื่อประชาชน ไม่ให้มีโอกาสเข้ารับการเลือกตั้ง พร้อมลดความเหลื่อมล้ำในสังคม

ขณะที่ ในด้านการปฏิรูปสื่อมวลชน ต้องผลักดันให้องค์กรที่กำกับดูแลสื่อเป็นองค์กรอิสระ ไม่สังกัดภายใต้กระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง เนื่องจากจะมีผลต่อเสรีภาพกับความโปร่งใสของสื่อมวลชน นอกจากนี้ ประชาชนยังต้องมีส่วนในการกำกับดูแลการทำงานของสื่อมวลชนด้วยเช่นกัน
------------------------
ภายหลังจากการประชุม กมธ.ยกร่าง พลเอกเลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษก กมธ.ยกร่างแถลงผลการพิจารณาภาค 3 หลักนิติธรรม ศาลและองค์กรตรวจสอบการใข้อำนาจรัฐ ส่วนที่ 2 ศาลรัฐธรรมนูญ 

สรุปว่า ได้กำหนดให้มีคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญขึ้นมาคณะหนึ่ง ประกอบด้วยสัดส่วนต่างๆ ดังนี้ ผู้ทรงคุณวุฒิ 4 คน ซึ่งเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา 2คนและเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ตุลาการศาลปกครองสูงสุด2คน ผู้ทรงคุณวุฒิเลือกโดยพรรคการเมือง ฝ่ายรัฐบาล 1คนและฝ่ายค้าน1คน ผู้ทรงคุณวุฒิที่เลือกจากคณะรัฐมนตรี 2 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ 2 คน เลือกโดยคณบดีคณะนิติศาสตร์ในสถาบันอุดมศึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิ 2 คน เลือกโดยคณบดีคณะรัฐศาสตร์ในสถาบันอุดมศึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิ 3คน เลือกโดยวุฒิสภา สมัชชาพลเมือง

 ด้านนายบวรศักดิ์ อวรรณโนชี้แจงกรณีที่เกิดความเข้าใจผิดว่า มีมติให้ตัดสิทธินักการเมืองย้อนหลังของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยเฉพาะนักการเมืองบ้านเลขที่ 111และ 109 ไม่ให้กลับเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น ยืนยันว่า ไม่ได้มีมติเช่นนั้น มีเพียงมติในเรื่องหลักนิติธรรมที่บัญญัติหลักการสาระสำคัญ สำหรับเรื่องคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้ง จะนำไปพิจารณาในภาค2 ผู้นำการเมืองที่ดีและสถาบันการเมือง ว่าด้วยหมวด3 รัฐสภา

เลขานุการวิป สนช. กล่าวว่า การลงมติถอดถอนวันที่ 23 นี้ จะใช้วิธีการลงคะแนนลับ เข้าคูหากาบัตร มีคณะกรรมการนับคะแนนจำนวน 10 คน แต่เพื่อให้เกิดความรวดเร็วในกระบวนการ ไม่ซ้ำซ้อน จึงให้ลงมติถอดถอน อดีตประธานวุฒิสภา อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ไปในคราวเดียวกัน จากนั้น ลงมติถอดถอนอดีตนายกรัฐมนตรี ใช้เวลาทั้งหมดไม่เกิน 3 ชั่วโมง ส่วนในวันพรุ่งนี้ ที่ประชุมสนช. จะพิจารณาวาระถอดถอน 38 อดีตสมาชิกวุฒิสภา เพื่อกำหนดวันแถลงเปิดสำนวนคดี

-----------------------
บวรศักดิ์เผยไม่สามารถบัญญัติทุกอย่างในรัฐธรรมนูญได้ รอหมวดการปฎิรูป ย้ำ สปช.ทำตารางงานที่ชัดเจนเพราะมีเวลาเพียง 6 เดือน

นายบวรศักดิ์ อุวรรณโน ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวในงานประชุมเชิงปฏิบัติการวิสัยทัศน์ประเทศไทย ว่า การยกร่างรัฐธรรมนูญในทุกหมวดมีเนื้อหาที่แตกต่างกันที่และไม่สามารถบัญญัติทุกอย่างลงไปรัฐธรรมนูญได้  ส่วนหมวดที่ตนเองกำลังรออยู่นั้นคือหมวดเรื่องการปฎิรูปจึงขอให้ สปช.จัดทำตารางเวลางานที่ชัดเจนเพื่อความรวดเร็วเพราะ สปช.มีเวลาในการเดินหน้าปฏิรูปเพียง 6 เดือนเท่านั้น เพราะคาดว่าเมื่อมีการเห็นชอบในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และหากมีการทำประชามติ สปช.จะต้องลงพื้นที่ทุกจังหวัดเพื่อรับฟังความเห็นประชาชน นอกจากนี้สปช.ยังมีในส่วนของการเดินหน้าทำกฎหมายลูกเพื่อใช้ประกอบรัฐธรรมนูญ รวมถึงการเดินหน้าปฎิรูปประเทศก็ยังจะต้องดำเนินการควบคู่กันไปอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการกำหนดกรอบระยะเวลาในการทำวานที่ชัดเจนจึงมีส่วนสำคัญเป็นอย่างมาก
-------------

//////////////
นายกฯเคลื่อนไหว

พล.อ.ประยุทธ์ มีกำหนดนั่งหัวโต๊ะประชุมร่วม ครม.-คสช. เป็นครั้งแรก ประจำปี 2558 

ความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. วันนี้ ในเวลาประมาณ 09.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นประธานการประชุมร่วมระหว่างคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งถือเป็นการประชุมร่วมกันครั้งแรกในปี 2558

ขณะที่ในช่วงเย็น เวลาประมาณ 18.30 น. นายกรัฐมนตรี จะร่วมงานเลี้ยงรับรองเนื่องในวันกองทัพบกปี 2558 ที่ ห้องมัฆวานรังสรรค์ สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดี-รังสิต
---------------------
"พ.อ.วินธัย" เผย คสช. รายงานสถานการณ์ความมั่นคง รายงานที่ประชุมร่วม ไม่พบกลุ่มเคลื่อนไหวหนุน "ยิ่งลักษณ์" วันลงมติถอดถอน

พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวภายหลังการประชุมร่วมระหว่าง คสช. และคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. เป็นประธานการประชุมว่า การประชุมวันนี้ ถือเป็นการประชุมครั้งแรกในปี 2558 โดยมีวาระที่ คสช. จะต้องรายงานสถานการณ์ความมั่นคงในภาพรวม รวมถึงความคืบหน้า การดำเนินการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และแผนการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ 9 ข้อ ของ คสช. ทั้งในรอบ 3 เดือน และ 6 เดือน เพื่อรายงานต่อ ครม. ให้ได้รับทราบ ทั้งเรื่องการสร้างความเป็นธรรมในสังคมและการพัฒนาเศรษฐกิจให้ยั่งยืน ในการนี้ คสช. รายงานสถานการณ์ความมั่นคงในภาพรวมในการรักษาความสงบเรียบร้อยให้กับ ครม. ได้รับทราบ โดยขณะนี้ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ เพราะยังไม่มีสิ่งบอกเหตุและยังไม่มีความเคลื่อนไหวที่ทำให้เกิดความวุ่นวาย ส่วนใหญ่กลุ่มที่เคลื่อนไหวจะเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับความเดือดร้อนของประชาชน ส่วนกรณีที่มีกลุ่มที่มาสนับสนุน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะรวมตัวมาให้กำลังใจในวันที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาสำนวนคดีถอดถอน ในวันที่ 23 ม.ค. 2558 นั้น ยังไม่มีการรายงาน แต่จะต้องติดตามดูสถานการณ์ต่อไป
-----------------
เกษตรสวนปาล์ม ยื่น หนังสือถึงนายกฯ ระงับการนำเข้าปาล์มน้ำมันเป็นการชั่วคราว หวั่นทำให้ราคาปาล์มในประเทศตกต่ำ

สมาพันธ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย นำโดย นายมนัส พุทธรัตน์ ประธานสมาพันธ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย เข้ายื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้รัฐบาลระงับการนำเข้าปาล์มน้ำมันเป็นการชั่วคราว จำนวน 5 หมื่นตัน เพราะจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกร โดยขอให้รัฐบาลทำการศึกษาข้อมูลว่า น้ำมันปาล์มขาดแคลนหรือไม่ และให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบสต๊อกน้ำมันปาล์ม และพบว่า ปาล์มน้ำมันขาดแคลนจริงนั้น ทางสมาพันธ์ฯ ก็พร้อมสนับสนุน

ขณะเดียวกัน เห็นว่า หากรัฐบาลนำเข้าปาล์มน้ำมันจะสวนทางกับนโยบายที่สนับสนุนให้กลุ่มเกษตรกรชาวสวนยาง หันมาปลูกปาล์มน้ำมัน แต่รัฐบาลกลับทุบราคาปาล์มน้ำมันให้ต่ำลง เพราะขณะนี้ ราคาปาล์มน้ำมัน อยู่ที่กิโลกรัมละ 5-6 บาท แต่ภายหลังการประกาศนำเข้าปาล์มน้ำมันจากต่างประเทศ ทำให้ราคาลดลง 40 สตางค์ต่อกิโลกรัม และหากรัฐบาลอนุมัติการนำเข้าปาล์มน้ำมัน คาดว่า ราคาปาล์มน้ำมันจะเหลือ 3 บาท ต่อกิโลกรัม

อย่างไรก็ตาม มองว่า ปาล์มน้ำมันที่รัฐจะนำเข้าจากประเทศมาเลเซีย เป็นปาล์มเกรดบี ซึ่งมีคุณภาพต่ำกว่าปาล์มน้ำมันของไทย ซึ่งหากรัฐบาลระงับการนำเข้า เพื่อรอผลผลิตจากเกษตรกรในปลายกุมภาพันธ์ นี้ จะช่วยลดปัญหาปาล์มน้ำมันล้นตลาดได้
--------------------
รมช.เกษตรและสหกรณ์ เผย นำเข้าปาล์มน้ำมัน 5 หมื่นตัน ประกันราคาไม่ต่ำกว่า 5 บาท/กก. เริ่ม ก.พ.นี้

นายอำนวย ปะติเส รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า ที่ประชุม มีมติอนุมัติให้มีการนำเข้าปาล์มน้ำมัน จำนวน 5 หมื่นตัน ซึ่งจะมีการดำเนินการโดยองค์การคลังสินค้าตามที่เคยดำเนินการอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม ทุกฝ่ายได้คำนึงถึงผลกระทบต่อเกษตรกร จึงมีความเห็นร่วมกันว่าจะประกันไม่ให้ราคาปาล์มน้ำมัน ต่ำกว่า 5 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งทุกฝ่ายได้ให้ความเห็นชอบและจะเริ่มดำเนินการในเดือนกุมภาพันธ์ นี้ ทั้งนี้การนำเข้าครั้งนี้จะทำให้สต๊อกปาล์มน้ำมันอยู่ประมาณ 2 แสนตัน ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสม
-------------------
นายกฯ หารือ สปช. สัมปทานรอบ 21 หาทางออกให้ที่ดีสุดว่าจะใช้เปิดสัมปทานหรือแบบแบ่งปันผลประโยชน์

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวถึงกรณีสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ว่า พร้อมรับฟังความคิดเห็นของสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. และทุกภาคส่วน ซึ่งในเรื่องนี้ต้องหาทางออกให้ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม จะมีการเสนอบริษัทที่จะเข้าร่วมว่าต้องการแบบเปิดสัมปทาน หรือแบบแบ่งปันผลประโยชน์ ซึ่งจะทำให้เกิดความชัดเจนและยังพอมีเวลาทำความเข้าใจ ทั้งนี้ ความมั่นคงทางพลังงานเป็นเรื่องสำคัญ และขออย่าทะเลาะกันในเรื่องนี้

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยว่า ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ ได้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจวงเล็ก เพื่อหาทางสร้างรายได้ ดูแลเกษตรกรในฤดูแล้ง การบริหารจัดการข้าวในสต๊อกของรัฐบาล ไม่ให้ส่งผลเสียต่อราคาตลาด ขณะเดียวกัน ได้สั่งการให้นำยางพาราในสต๊อกไปทำถนนจำนวนหนึ่ง อีกทั้งยังนำไปทำยางรถยนต์ สนามกีฬา ประมาณ 5,000 ตัน ส่วนเรื่องรถไฟทางคู่จะมีการหารือตั้งคณะกรรมการร่วมกับจีนภายในเดือนนี้ ซึ่งหากเห็นพ้องร่วมกันในเรื่องต่าง ๆ ก็คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ภายในเดือนกันยายนนี้ ทั้งนี้ ได้เตรียมการพูดคุยเรื่องดังกล่าวกับทางญี่ปุ่นด้วย
---------------------
นายกฯ กำชับทุกฝ่ายทำงาน เน้นหลักยุติธรรมจริยธรรมในการแก้ไข้ปัญหาประเทศ พร้อมจัดประชุมแม่น้ำ 5 สายครั้งแรกกุมภาพันธ์นี้

พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีการเข้าร่วมการประชุมในส่วนของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. และคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. ที่มีการประชุมร่วมกันในวันนี้ โดย คสช. ได้มีการรายงานภาพรวมความสงบยังคงเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ขณะที่เรื่องปัญหาการถอดถอนนักการเมืองนั้น ขอให้มีการชี้แจงให้ทุกฝ่ายเข้าใจว่าเป็นการแก้ไขปัญหาเพื่อยุติความขัดแย้งที่เกิดขึ้น โดยยึดหลักของกฎหมาย และหลักคุณธรรมจริยธรรม ซึ่งเป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่ได้มีการดำเนินการ และขอให้ทุกฝ่ายรับฟังเหตุผลที่เกิดขึ้น และให้ยึดหลักตามกฎหมายที่ชัดเจนเพื่อความยุติธรรม นอกจากนี้ ยังได้มีการกำชับในการทำงานของทาง 5 คณะทำงาน ไม่ว่าจะเป็นคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาปฏิรูปแห่งชาติ รวมไปถึงคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ โดยจะมีการเชิญทั้ง 5 หน่วยงาน ประชุมร่วมกันนัดแรกในเดือนกุมภาพันธ์นี้ เพื่อให้เกิดการบูรณาการในการทำงานร่วมกัน

/////////////
เศรษฐกิจ

"ปานเทพ-บุญยืน" นำเครือข่าย ปชช. ยื่นหนังสือถึงนายกฯ ขอให้ชะลอการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ตามมติ สปช.

นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยนโยบายพลังงานและทรัพยากรมหาวิทยาลัยรังสิต นางสาวบุญยืน ศิริธรรม ประธานสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค พร้อมเครือข่ายประชาชน เข้ายื่นหนังสือและรายชื่อประชาชน ถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ผ่านศูนย์บริการประชาชน เพื่อขอให้ชะลอการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 และพิจารณาเปลี่ยนระบบสัมปทานเป็นระบบแบ่งปันผลผลิต ภายหลังที่ประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา มีมติไม่เห็นด้วย ให้รัฐบาลดำเนินการเปิดสัมปทานปิโตรเลียม โดยขอเรียกร้องให้รัฐบาลมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการสำรวจปริมาณปิโตรเลียมเบื้องต้น ก่อนให้สิทธิกับบริษัทเอกชน พร้อมขอให้ปฏิรูปสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมอย่างเป็นอิสระ ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนเพื่อออกกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมฉบับใหม่ ที่กำหนดการให้สิทธิและสำรวจปิโตรเลียมที่ไม่ใช่ระบบสัมปทาน

โดย ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลไม่มีการสำรวจทรัพยากรก่อนให้สัมปทาน รวมถึงเนื้อหาบางส่วนในข้อสรุปการศึกษาของกรรมาธิการปฏิรูปพลังงาน สปช. ที่ส่งให้นายกรัฐมนตรี ไม่ปรากฏข้อเสียในเนื้อหาของสัมปทานเรื่องพลังงาน จึงอาจทำให้ นายกรัฐมนตรีได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วน จึงอยากนำเสนอข้อดี-ข้อเสีย เพื่อประกอบการตัดสินใจบนข้อมูลที่ถูกต้อง
-------------
ครม. มีมติเห็นชอบการปรับปรุงรายการสินค้าควบคุมเหลือ 41 รายการ จาก 43 รายการ ล่าสุดมีหลักเกณฑ์ควบคุมราคาสินค้าในปีนี้จะยังคงเดิมที่ 40 รายการ

ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงผลประชุมร่วมของคณะรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่ง

ชาตินัดแรกของปี 58 ว่า วันนี้ทาง ครม. มีมติเห็นชอบการปรับปรุงราคาสินค้ารอบใหม่ หลังจากที่จะหมดอายุลงในวันที่ 26 ม.ค. 58 จากเดิมกำหนดรายการสินค้าควบคุม 43 รายการ แบ่งเป็น 40

สินค้า และ 3 บริการ โดยล่าสุดมีหลักเกณฑ์ควบคุมราคาสินค้าในปีนี้จะยังคงเดิมที่ 40 รายการ ยกเลิก 3 รายการและเพิ่มเติม 1 รายการ เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและค่าครองชีพ
------------------
กระทรวงพาณิชย์ เตรียมเรียกห้างประชุมลดราคาอาหารฟู้ดคอร์ท หลังต้นทุนทรงตัว พร้อมดูสินค้ากลุ่มอื่นปรับลดราคาอีก

นายสันติชัย สารถวัลย์แพศย์ รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวภายหลังนำคณะตรวจสอบสถานการณ์ราคาสินค้า ที่ตลาดสดยิ่งเจริญ พบว่า ในการสำรวจราคาอาหารสด เช่น เนื้อหมู ไก่สด ราคายัง

ทรงตัว ไม่ได้ปรับสูงขึ้น โดยหมูเนื้อแดง กิโลกรัมละ 125-130 บาท ส่วนไก่สดทั้งตัว ราคาอยู่ที่ 60-65 บาท ราคา ขณะที่ราคาไข่ไก่เบอร์ 3 ราคาเฉลี่ย ฟองละ 3 - 3.20 บาท แต่ที่ตลาดสดยิ่งเจริญ

ราคาจำหน่ายสูง ถึง 3.50 บาท จึงได้สั่งให้ปรับลดราคาลดลงให้เท่ากับราคาเฉลี่ยเพราะเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค และในเร็วๆ นี้จะเรียกห้างสรรพสินค้า มาร่วมหารือถึงข้อเรียกร้องของประชาชน

ที่ต้องการให้ราคาอาหารในฟู้ดคอร์ท ปรับลดราคาลงตามต้นทุน

ส่วนราคาสินค้าที่ปรับลดลงแล้ว เช่น เม็ดพลาสติก ที่ราคาลดลงมาร้อยละ 3.85-7.7 นั้น กรมฯ จะติดตามราคาสินค้าที่ใช้เม็ดพลาสติกเป็นวัตถุดิบเพื่อให้มีการปรับราคาให้สอดคล้องกับต้นทุนด้วย
-----------------
หอการค้าไทย แนะผู้ประกอบการปรับปรุงพัฒนาคุณภาพสินค้า ยกระดับคุณภาพ รับปัจจัยเสี่ยง

นายวิชัย อัศรัสกร รองประธานกรรมการและโฆษกหอการค้าไทย กล่าวว่า ผู้ประกอบการและภาคเอกชน ควรเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับปัจจัยเสี่ยงด้านการส่งออก โดยเฉพาะการพัฒนา

มาตรฐานการผลิตสินค้า และกระบวนการผลิตให้เป็นที่ยอมรับระดับสากล เพื่อป้องกันการกีดกันการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers : NTB) พร้อมให้ความสำคัญมาตรฐานสิ่งแวดล้อม แรงงาน

และสิทธิมนุษยชน พร้อมพัฒนาผลิตภาพการผลิต โดยเฉพาะภาคการเกษตร พัฒนาประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทาน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยง
สร้างความยั่งยืนในระยะยาว รวมทั้งพัฒนาสร้างตราสินค้าของไทย เพิ่มคุณค่าให้กับธุรกิจ โดยผู้ประกอบการจะต้องให้ความสำคัญปรับปรุงพัฒนาธุรกิจให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด

ร่วมกับสถานบันการศึกษาทำกหารวิจัยพัฒนา สร้างนวัตกรรมให้เกิดการพัฒนาธุรกิจเพื่อรองรับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ
----------------------
กระทรวงพาณิชย์ วอนประชาชนอย่าตระหนกน้ำมันปาล์มขาดตลาด ระบุ แม้ตึงตัวแต่เพียงพอต่อการบริโภค

นายสันติชัย สารถวัลย์แพศย์ รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ขอความร่วมมือผู้บริโภคอย่ากังวล หรือ ตื่นตระหนก กักตุนน้ำมันพืชเพื่อการบริโภค เพราะแม้ปริมาณสำรองน้ำมันปาล์มลดลง

แต่คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ได้อนุมัติให้มีการนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบ เพื่อการบริโภคในปริมาณ 50,000 ตันแล้ว และจะเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ ซึ่งจะทำให้

สถานการณ์น้ำมันปาล์มคลายความตึงตัวลงและเพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศอย่างแน่นอน

รวมทั้งผลผลิตจากเกษตรกรกำลังจะออกมาสู่ตลาดในปลายเดือนหน้าด้วย จึงยืนยันว่ามีจำหน่ายอย่างเพียงพอ และผู้บริโภคสามารถหาซื้อได้ในราคาไม่แพงเกินไป เนื่องจากน้ำมันปาล์มเป็นสินค้า

ควบคุมที่กำหนดราคาเพดานในการจำหน่ายไว้ ขวดละไม่เกิน 42 บาท และเชื่อว่าจากการนำเข้าน้ำมันปาล์มจะทำให้ราคาปรับลดลงได้ แต่หากมีการจำหน่ายเกินเพดานราคา หรือกักตุนสินค้า จะมี

โทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
-----------------------
ประชาชน กังวล ผู้ค้ากักตุนน้ำมันปาล์มรอขึ้นราคา ขณะตลาดย่านบางเขน ขายชนเพดาน ควบคุมขวดละ 42 บาท

จากการสำรวจการจำหน่ายน้ำมันปาล์มบรรจุขวด ภายในตลาดสดย่านบางเขน พบว่า สต๊อกน้ำมันปาล์ม เพื่อจำหน่ายปลีกลดลง โดยแม่ค้าบอกว่า ร้านค้าส่งจัดส่งให้ในปริมานน้อยลง และราคา

แพงขึ้น ทำให้ต้องจำหน่ายในราคา ชนเพดานควบคุม ที่ขวดละ 42 บาท โดยมีบางส่วนหันไปซื้อน้ำมันปาล์มบรรจุถุงแทน เพราะจะมีราคาถูกกว่า อยู่ที่ถุงละ 40 บาท

ในขณะที่ประชาชนทั่วไปตั้งข้อสังเกตถึงการขาดแคลนน้ำมันปาล์ม ในระยะนี้ว่า เป็นไปตามฤดูกาล หรือเป็นไปตามกลไกตลาดที่ผู้ค้าต้องการปรับขึ้นราคาน้ำมันปาล์ม จึงทำให้ปริมานลดลง

---------------------------
ประธานกรรมการหอการค้าไทย คาด เศรษฐกิจ และส่งออกไทยปี 58 โตได้ 3-4% จับตาค่าเงินบาท น้ำมัน การถูกตัดสิทธิ์ GSP

นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจและทิศทางการส่งออกในปี 2558 จะขยายตัวได้ประมาณร้อยละ 3-4 เป็นผลจากมาตรการและการลงทุนของภาครัฐ ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นและการลงทุนของภาคเอกชนที่จะขยายตัวจากปีก่อน รวมถึงการท่องเที่ยวที่จะช่วยให้เม็ดเงินหมุนเวียนเข้าระบบเศรษฐกิจ ขณะที่เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณฟื้นตัวส่งผลดีต่อการส่งออกของไทยที่จะปรับตัวดีขึ้น แต่ทั้งนี้ ยังต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจกระทบต่อการส่งออกอย่างใกล้ชิด ใน 3 ปัจจัย ได้แก่ อัตราแลกเปลี่ยน, การถูกตัดสิทธิพิเศษ
ทางภาษีศุลกากร GSP ในตลาดยุโรป แคนาดา และ ตุรกี ที่อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อด้านภาษีสำหรับการส่งออกประมาณ 86 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเฉพาะสินค้ากุ้งปรุงแต่ง ยานยนต์ขนส่ง และปัจจัยจากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ลดลงต่อเนื่อง แม้ส่งผลดีต่อต้นทุนการขนส่ง ลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มการจับจ่ายใช้สอยในประเทศ แต่ในส่วนของประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน จะมีกำลังซื้อที่ลดต่ำลง จากรายได้ขายน้ำมันลดลง ดังนั้น ผู้ประกอบการควรมองหาตลาดใหม่ ทดแทนตลาดปัจจุบัน โดยเน้นไปที่กลุ่มประเทศที่นำเข้าน้ำมันแทน
///////////

ภาพประวัติศาสตร์"ป่าเปรม"รดน้ำ"พล.อ.อาทิตย์"

ภาพประวัติศาสตร์
ไม่ว่าในอดีตจะอย่างไร แต่วันนี้ คือ ความจริง และปัจจุบัน
ป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ รรดน้ำศพ พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก เป็นการส่วนตัว ศาลา100ปีวัดเบญจมบพิตร บรรยาสุดเศร้า นายกฯ พล.อ.ประวิตร พล.อนุพงษ์ พล.อ,อุดมเดช ผบทบ.ร่วม ก่อน พล.อ.เปรม เป็นผู้แทนพระองค์ ทำพิธีอาบน้ำหลวง และ วางมาลาหลวง


เครือเจริญโภคภัณฑ์จับมืออิโตชู บริษัทการค้าชั้นนำจากญี่ปุ่น ร่วมทุนฝ่ายละ 50:50 ใน “ซิติก ลิมิเต็ด” กลุ่มธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในจีน ด้วยเงินลงทุนเกือบ 350,000 ล้านบาท

เครือเจริญโภคภัณฑ์จับมืออิโตชู บริษัทการค้าชั้นนำจากญี่ปุ่น
ร่วมทุนฝ่ายละ 50:50 ใน “ซิ
ติก ลิมิเต็ด” กลุ่มธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในจีน
ด้วยเงินลงทุนเกือบ 350,000 ล้านบาทเสริมศักยภาพของภาคธุรกิจในเอเชีย
ตั้งเป้าหมายผนึกกำลังขยายธุรกิจ ให้กว้างไกลไปทั่วโลก

นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์ และอิโตชู คอร์ปอเรชั่น บริษัทการค้าชั้นนำของประเทศญี่ปุ่นได้เข้าไปลงทุนในบริษัท ซิติก ลิมิเต็ด จำกัด (CITIC Limited) ซึ่งเป็นบริษัทที่ใหญ่และทำธุรกิจหลากหลายที่สุดแห่งหนึ่งของจีนและถือเป็นหนึ่งในบริษัทจดทะเบียนที่ใหญ่ที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (ดัชนีฮั่งเส็ง) จึงนับเป็นการสร้างความร่วมมือที่ยิ่งใหญ่ระหว่างบริษัทชั้นนำ ของเอเชียได้แก่ ไทย ญี่ปุ่น และจีน โดยมีเป้าหมายที่จะผนึกกำลังเพื่อแสวงหาโอกาสทางการค้าการลงทุน ทั้งในเอเชียและทั่วโลก ซึ่งจะเสริมศักยภาพของภาคธุรกิจในเอเชียให้โดดเด่นบนเวทีโลก โดยในส่วนของเครือเจริญโภคภัณฑ์นั้นการร่วมทุนนี้จะช่วยขยายโอกาสธุรกิจด้านเกษตรอุตสาหกรรม และอาหาร การค้าปลีกและการค้าระหว่างประเทศ และอื่น ๆ โดยอาศัยความเชี่ยวชาญของทุกฝ่าย ซึ่งมั่นใจว่าความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยกระตุ้นการค้า และส่งเสริมการลงทุนในไทยและทั่วภูมิภาค
“เครือเจริญโภคภัณฑ์เป็นบริษัทต่างชาติแห่งแรกที่เข้าไปลงทุนในจีนตั้งแต่ปี 2522 หลังจากที่จีนได้เริ่มเปิดประเทศ วันนี้ผมรู้สึกยินดีที่ได้มีโอกาสลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่มีขนาดใหญ่และหลากหลายที่สุดแห่งของจีน” นายธนินท์ กล่าว
การร่วมลงทุนระหว่าง เครือเจริญโภคภัณฑ์ และอิโตชู ในครั้งนี้ได้ตกลงให้บริษัทเจียไต๋ ไบรท์ อินเวสต์เม้นท์ จำกัด หรือ ซีที ไบรท์ (CT Bright) ซึ่งเป็นบริษัทที่เครือเจริญโภคภัณฑ์และอิโตชูเป็นเจ้าของร่วมกันในสัดส่วน 50:50 เข้าไปลงทุนในซิติก ลิมิเต็ด รวมทั้งสิ้น 80,000 ล้านเหรียญฮ่องกงหรือประมาณ 343,000 ล้านบาทโดยร่วมกันลงทุนฝ่ายละประมาณ 171,500 ล้านบาท
ทั้งนี้ การลงทุนประกอบด้วย 2 ธุรกรรม ได้แก่ ธุรกรรมแรก ซีที ไบรท์จะซื้อหุ้นซิติก ลิมิเต็ด จำนวน 2,490,332,363 หุ้น คิดเป็น 10%ของหุ้นซิติก ลิมิเต็ด มีมูลค่าประมาณ 150,000 ล้านบาท และหุ้นดังกล่าวถือครองโดย ซิติก กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทของรัฐบาลจีน ปัจจุบันถือครองหุ้นจำนวน 78%ในซิติก ลิมิเต็ด
ส่วนธุรกรรมที่ 2 เป็นการลงทุนโดยการซื้อหุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพ ซึ่งซิติก ลิมิเต็ด จะออกหุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพจำนวน 3,327,721,000 หุ้นแก่ซีที ไบรท์ คิดเป็นมูลค่า ประมาณ 194,000 ล้านบาท
ทั้งสองธุรกรรมนี้มีราคาซื้อขายตกลงกันอยู่ที่ 13.80 เหรียญฮ่องกงต่อหุ้น หรือ ประมาณ 58 บาทต่อหุ้น การซื้อขายหุ้นครั้งนี้จะต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง และการออกหุ้นบุริมสิทธิจะต้องได้รับอนุมัติจากการประชุมผู้ถือหุ้นอิสระรายย่อยของซิติก ลิมิเต็ด ในการประชุมผู้ถือหุ้นซึ่งคาดว่าจะจัดขึ้นภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ เมื่อการดำเนินการทั้งสองธุรกรรมเสร็จสิ้น จะส่งผลให้ซีที ไบรท์ เป็นผู้ถือหุ้นในซิติก ลิมิเต็ดคิดเป็นสัดส่วน 20% ของหุ้นซิติก ลิมิเต็ดทั้งหมด
นายฉาง เจิ้นหมิง (Chang Zhenming) ประธานกรรมการ บริษัท ซิติก ลิมิเต็ด เปิดเผยว่า ซิติก ลิมิเต็ด รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เครือเจริญโภคภัณฑ์และอิโตชูเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นครั้งนี้ เพราะนอกจากจะทำให้ ซิติก ลิมิเต็ด มีผู้ถือหุ้นที่หลากหลาย และสามารถระดมเงินจากการเพิ่มทุนได้อีกประมาณ 46,000 ล้านเหรียญฮ่องกง หรือประมาณ 194,000 ล้านบาท ซึ่งจะนำไปพัฒนาธุรกิจต่าง ๆ ของซิติก ลิมิเต็ด รวมทั้งลงทุนในโอกาสใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับการพัฒนาของจีน
“ทั้งเครือเจริญโภคภัณฑ์ และอิโตชูเป็นกลุ่มธุรกิจระดับโลกที่จะช่วยเสริมศักยภาพและต่อยอดทางธุรกิจให้ซิติก ลิมิเต็ด การลงทุนในครั้งนี้เป็นความต่อเนื่องที่เกิดขึ้นจากการปฏิรูปบริษัทซึ่งได้เริ่มต้น เมื่อปีที่ผ่านมา โดยได้เปลี่ยนจาก “ซิติก แปซิฟิก” มาเป็น “ซิติก ลิมิเต็ด” ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงและถือเป็นกลุ่มธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในจีน” นายฉาง เจิ้นหมิง กล่าว
นายมาซาฮีโร่ โอกาฟูจิ(Masahiro Okafuji) ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร บริษัท อิโตชู คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้กล่าวว่า อิโตชูพยายามมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจในจีนและเอเชีย ด้วยเหตุนี้จึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสร่วมเป็นพันธมิตรกับเครือเจริญโภคภัณฑ์ และซิติก ซึ่งต่างเป็นบริษัทชั้นนำของภูมิภาคนี้ ทั้งนี้เชื่อมั่นว่าการร่วมทุนนี้จะเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ตลอดจนเสริมความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่น จีน ไทยและประเทศในเอเชีย
“อิโตชูเติบโตก้าวหน้ามาจนถึงปัจจุบันนี้เป็นเพราะความทุ่มเทและอุทิศตนของผู้บริหารในรุ่นก่อน ๆ การลงทุนครั้งนี้ถือเป็นผลของความพยายามในการสร้างธุรกิจของเราในจีนมาตั้งแต่ได้รับ การยกย่องจากรัฐบาลจีนให้เป็น “บริษัทการค้าที่เป็นมิตร” (Friendly trading house) เมื่อปี 2515”นายมาซาฮีโร่ กล่าว
ทั้งเครือเจริญโภคภัณฑ์และอิโตชูนั้นถือได้ว่าเป็นผู้บุกเบิกการลงทุนในจีนนับตั้งแต่จีนเปิดประเทศ และมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยเมื่อปี 2554 อิโตชู ได้ลงทุนมูลค่า 3,300 ล้านบาทในธุรกิจการจัดการทรัพย์สินในฮ่องกงของ ซิติก กรุ๊ป และยังได้ลงนามในข้อตกลงร่วมมือเชิงธุรกิจกันอีกด้วย และเมื่อปี 2557 ที่ผ่านมาเครือเจริญโภคภัณฑ์และอิโตชูได้ลงนาม ความร่วมมือกันเชิงกลยุทธ์ เพื่อสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจการค้าและการลงทุนไปทั่วโลก
นายธนินท์ กล่าวสรุปว่า “ความร่วมมือกันระหว่างเครือเจริญโภคภัณฑ์ อิโตชูและซิติก ถือเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญของภาคธุรกิจในเอเชีย เป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียเติบโตสู่การเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้เพราะการผนึกกำลังโดยอาศัยจุดแข็ง เครือข่าย และทรัพยากรร่วมกันของทั้งสามกลุ่มธุรกิจซึ่งต่างเป็นผู้นำในตลาดโลก จะก่อให้เกิดการลงทุนในภาคธุรกิจที่หลากหลายประเภท และขยายธุรกิจไปในนานาประเทศมากขึ้นทั้งในเอเชียและทั่วโลก”
* * * * *
เกี่ยวกับซิติก ลิมิเต็ด (CITIC Limited)
ซิติก ลิมิเต็ด เป็นกลุ่มธุรกิจใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของจีน ที่กล่าวได้ว่าเป็นผู้นำตลาด ที่เติบโตไปพร้อมกับการพัฒนาของจีน โดยประกอบธุรกิจหลากหลายประเภท อาทิ การให้บริการทางการเงิน ทรัพยากร และพลังงาน การผลิต อสังหาริมทรัพย์ และการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐาน การก่อสร้าง และอื่น ๆ ทั้งในประเทศจีน และต่างประเทศ มีพนักงานกว่า 120,000 คนในจีน ฮ่องกง และประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ซิติก ลิมิเต็ดมีความรู้ ความเข้าใจและความเชี่ยวชาญ ในทุกธุรกิจ ที่ดำเนินการ จึงมีความพร้อมที่จะคว้าโอกาส ที่เกิดจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของจีน ปัจจุบัน ซิติก ลิมิเต็ด จดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์ ฮ่องกงถือเป็นหนึ่งในบริษัทที่ใหญ่ที่สุด ในดัชนีฮั่งเส็ง ทั้งนี้โดยมี ซิติก กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น ถือหุ้นอยู่ในซิติก ลิมิเต็ด จำนวน 78% สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ซิติก ลิมิเต็ด กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ บริษัท ที่ www.citic.com
เกี่ยวกับเครือเจริญโภคภัณฑ์
เครือเจริญโภคภัณฑ์เป็นกลุ่มธุรกิจไทยที่ดำเนินธุรกิจหลากหลายและปัจจุบันเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจชั้นนำของเอเชีย โดยเริ่มต้นธุรกิจ เมื่อปี 2464 และจนถึงปัจจุบัน มีการดำเนินธุรกิจใน 17 ประเทศทั่วโลก ซึ่งรวมถึงจีน อินเดีย รัสเซีย ตุรกีและประเทศในอาเซียน และมีสาขาธุรกิจในอีกกว่า 14 ประเทศ อาทิ สหรัฐฯ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี มีพนักงานกว่า 300,000 คน โดยประกอบธุรกิจหลัก 3 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร ธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจ โทรคมนาคม
เครือเจริญโภคภัณฑ์เป็นบริษัทข้ามชาติแห่งแรกที่เข้าไปลงทุนในจีนเมื่อปี 2522 นับตั้งแต่จีนเริ่มเปิดประเทศ จนประสบความสำเร็จมีธุรกิจหลากหลายประเภทมากกว่า 300 บริษัท และปัจจุบันเป็นผู้ส่งออกไก่รายใหญ่ที่สุดในจีน ธุรกิจในจีนของเครือเจริญโภคภัณฑ์ประกอบด้วย ธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร ไปจนถึงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยมีกิจการครอบคลุมไปถึง 29 มณฑลจากจำนวนทั้งหมด 31 มณฑล และมีพนักงาน มากกว่า 80,000 คน สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครือเจริญโภคภัณฑ์ กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของบริษัทที่ www.cpgroupglobal.com
เกี่ยวกับ บริษัท อิโตชู คอร์ปอเรชั่น จำกัด
อิโตชูเป็นหนึ่งในบริษัทการค้าชั้นนำระดับโลก จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (http://www.itochu.co.jp/) ดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2401 โดยนาย Chubei Itoh ซึ่งเริ่มต้นจากการค้าขายผ้าลินิน จนถึงปัจจุบันอิโตชูได้พัฒนาและเติบโตขึ้นมา เป็นเวลากว่า 150 ปี มีบริษัทกว่า 130 แห่งใน 65 ประเทศทั่วโลก อิโตชู เป็นหนึ่งในบริษัทใหญ่ ระดับโลกและทำธุรกิจแบบครบวงจร ซึ่งในญี่ปุ่น เรียกขานกันในชื่อว่า “Sogo Shosha” โดยดำเนินธุรกิจในประเทศและการค้าระหว่างประเทศในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้แก่ สิ่งทอ เครื่องจักร โลหะเกลือแร่ พลังงาน เคมีภัณฑ์ อาหาร เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร อสังหาริมทรัพย์ ประกันภัย บริการโลจิสติกส์ การก่อสร้างและการเงิน ตลอดจนการลงทุน ในธุรกิจต่าง ๆ ทั่วโลก
* * * * *
ด้วยความขอบพระคุณ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : สำนักกิจกรรมสื่อสารองค์กร เครือเจริญโภคภัณฑ์ โทรศัพท์ 02 625 8127-30
ดร. เนติธร ประดิษฐ์สาร โทรศัพท์ 090 409 5996 คุณสุธนา หงษ์ทอง โทรศัพท์ 089 115 1889
คุณวีระนนท์ ฟูตระกูล โทรศัพท์ 084 080 8585 คุณศศิเพ็ญ ไตรโสภณ โทรศัพท์ 091 790 3555


รัสเซียกับมนุษย์ต่างดาว

Ampaipan Wachaporn ได้เพิ่มรูปภาพใหม่ 3 รูป
7 ชม. · 
Cr:ทหารปฏิรูปประเทศไทย
วันที่ 20 ม.ค.58 จะเป็นลม..นายกฯ รัสเซีย ยอมรับแล้ว ว่ามีการติดต่อและควบคุมตัวสิ่งมีชีวิตต่างดาว
ในวันที่ 23 มกราคม นี้โลกที่เราอยู่ใบนี้อาจไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เพราะสิ่งที่จะบอกต่อไปนี้ อาจทำให้หลายคนช็อค หลังจากที่ลับๆล่อๆ กันมานาน ก็ได้เวลาเปิดโปงกันแล้ว เพราะจะมีการประชุม World Economic Forum (WEF) ที่เป็นมูลนิธิที่ไม่แสวงหาผลกำไร WEF เป็นองค์กรมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงสถานะของโลก
สถานที่จัดประชุมคือ เมืองดาวอส สวิสเซอร์แลนด์ โดยผู้เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ คือ ผู้นำประเทศ นักการเมือง นักธุรกิจ นักวิชาการ นักอุตสาหกรรม นักข่าว และคนดังๆ ของโลก มากถึง 2,500 คน งานนี้มีผู้นำราว 50 ประเทศ ดังๆ เช่น รัสเซีย อเมริกา อังกฤษ เยอรมัน ฯลฯ เข้าร่วมประชุม
หัวข้อประชุมที่สำคัญคือ "การค้นพบของชีวิตคนต่างด้าว" และ "หลักฐานของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในจักรวาล.... " เมื่อ 2 ปีที่แล้ว นายกรัฐมนตรี เมดเวเดฟ ของรัสเซีย เคยให้สัมภาษณ์นักข่าวในมอสโค โดยไม่รู้ตัวว่ามีไมด์โครโฟนทำงานอยู่ เขาระบุว่า "ประธานาธิบดีปูติน มอบแฟ้มลับเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวให้เขา พร้อมกระเป๋าที่มีเอกสารที่จำเป็น ในการเปิดใช้งานคลังแสงนิวเคลียร์ของรัสเซีย"
กระเป๋าเอกสารนี้ มีรหัสยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์ของประธานาธิบดี ที่เป็นความลับสุดยอด นอกจากนั้นยังมีเอกสารสำคัญที่ชวนช็อค ประกอบด้วย ข้อมูลเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวที่เคยมาเยือนโลกของเรา , รายงานลับการทดลอง การควบคุมมนุษย์ต่างดาวบนดินแดนของประเทศรัสเซีย เขาบอกว่า ถ้าเขาบอกหลายคนในคนหมู่มาก อาจก่อให้เกิดความตื่นตระหนก
------------------------------------->
เมื่อเร็วๆ นี้ ที่เมือง Vladivostok ของรัสเซีย ได้ค้นพบส่วนของล้อยานลึกลับ เมื่อตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์แล้ว มันมีอายุถึง 300 ล้านปี , ยานสำรวจดาวอังคารพบร่องรอยแม่น้ำถึง 1,000 สายบนดาวอังคาร , นักวิทยาศาสตร์อังกฤษ และศรีลังกา มีหินหลักฐานของสิ่งมีชีวิตคนต่างดาว และพบสาหร่ายฟอสซิลภายในอุกกาบาต
ถ้านายกฯ เมดเวเดฟ สามารถที่จะโน้มน้าวให้โอบามา บอกความจริงเกี่ยวกับยานและมนุษย์ต่างดาว ที่การประชุมในสัปดาห์นี้ได้ รัสเซียเองก็จะเริ่มต้นกระบวนการ บอกความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เขารู้เช่นกัน ขนาดนายกฯ รัสเซีย แฉซะขนาดนี้..เราอาจไม่ได้อยู่คนเดียวในจักรวาลที่กว้างใหญ่นี้เสียแล้ว
คนระดับนายกฯ รัสเซีย ไม่ใช่พูดอะไรเล่นๆ ได้ เขาได้บอกสิ่งที่เขารู้อะไรมาแล้วบ้าง มิน่า อเมริกา กับอังกฤษ อินเดีย ถึงป้วนเปี้ยนที่ดาวอังคารตลอดมา มันมีธาตุอะไรบางอย่างที่อเมริกาอยากได้หรือ ??
@ เสธ น้ำเงิน4 
http://www.facebook.com/thailandcoup
รูปภาพของ Ampaipan Wachaporn
รูปภาพของ Ampaipan Wachaporn
รูปภาพของ Ampaipan Wachaporn

สหรัฐผวาเรือดำน้ำรัสเซีย

Ampaipan Wachaporn ได้เพิ่มรูปภาพใหม่ 4 รูป

Cr:ทหารปฏิรูปประเทศไทย
วันที่ 20 ม.ค.58 หมีขาวจัดเต็ม สั่งเคลื่อนพลกองเรือดำน้ำไปข่มขวัญ NATO
ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นติดลบเย็นยะเยือก พี่หมีขาวรัสเซีย จัดหนักด้วยการสั่งกองเรือดำน้ำติดตั้งขีปวุธพิสัยไกลข้ามทวีปติดหัวรบนิวเคลียร์ พร้อมทหาร หุ่นยนต์คุ้มครองติดอาวุธ ควบคุมด้วยรีโมตระยะไกล หน่วยกู้ภัย เคลื่อนทัพของตนที่ซุ่มอยู่แถวแหลมไครเมีย ติดยูเครน เคลื่อนพลกรีฑาทัพ มุดลงใต้น้ำ
เรือดำน้ำรัสเซีย รุ่นล่าสุด สร้างความปวดหัวให้กับอเมริกา อังกฤษ และประเทศ NATO ในยุโรปมาแล้ว เพราะตรวจหามันให้ควั่กเท่าไรก็ไม่เจอ บางครั้งมันเคยถึงขนาดบุกเข้าถึงน่านน้ำของประเทศเป้าหมาย แกล้งโผล่ขึ้นมาเล็กน้อย ชนิดมองเห็นด้วยกล้องส่องทางไกลได้จากฝั่ง แต่พอเอาเรือตรวจการณ์พร้อมเครื่องโซนาร์ วิ่งวนหาอยู่หลายวันก็หาไม่เจอ
อังกฤษถึงขนาดอับจนปัญญาบากหน้าไปขอให้ลูกพี่มะกัน ช่วยส่งอุปกรณ์ไฮเทคมาหามันหน่อย เพราะอังกฤษ หามันในจุดพิกัดที่พบวับๆ แวมๆ จนจะดูดน้ำในทะเลมาเข้าเครื่องกรองทุกหยดแล้ว แต่ก็หาไม่เจอ ไม่รู้ว่ารัสเซียใช้เทคโนโลยีอะไรที่สามารถล่องหนเรือดำน้ำที่ใหญ่กว่าเครื่องบินโดยสาร ให้หายวับไปได้
แต่มะกันที่พี้กัญชาอยู่จนตาปรือก็อ้ำๆ อึ้งๆ เป็นตะงึกตะงัก พร้อมทุบโต๊ะจนเส้นกัญชากระจายฟุ้ง แล้ว คำรามในลำคออย่างโกรธแค้นเป็นหนักว่า "พี่ก็หามันไม่เจอเหมือนกันน้องเอ้ย" แต่ถึงพี่หามันไม่เจอ พี่ก็มีอาวุธอานุภาพร้ายแรง ที่สยบผู้หญิงราบคาบมาแล้วทั่วโลก คือ ตอร์ปิโดดำ ของพี่เองนี่แหละ
โถ ขนาดเกิดควันไฟปริศนาควันโขมง ในสถานีรถไฟฟ้าได้ดิน ของเมืองหลวงมะกันเอง มีคนตาย และเจ็บอื้อ โด่งดังปานเปิดตัวหนังใหม่ของฮอลีวู๊ด ไปทั่วโลก ป่านนี้ยังหาต้นตอควันปริศนานั้นไม่เจอเลย นับประสาอะไรจะหาเรือดำน้ำไฮเทคเจอ
เรือดำน้ำจึงเป็นที่หวั่นกลัว ของกองเรือรบเป็นยิ่งนัก สู้กัน 1 ต่อ 20 เรือรบก็ไม่กล้าเสี่ยง จึงทำให้เรือดำน้ำ สามารถกันกองเรือรบไม่ให้เข้ามายุ่มย่ามในรัศมีน่านน้ำเป้าหมายได้ หากต้องเปิดฉากสู้รบกัน ตอนนี้รัสเซียมีเรือแบบนี้ไปสแตนด์บายล็อคพิกัดราว 28 จุดยุทธศาสตร์ โอบล้อมอเมริกา และ ยุโรปไว้หมดแล้ว
เมื่อไรพี่หมีขาวปูติน จามฮัดเช้ย เมื่อนั้นขีปนาวุธพิสัยไกลติดหัวรบนิวเคลียร์ ก็พร้อมจะกดปุ่มปล่อยออกไปจากเรือดำน้ำได้ทันที แม้มะกันและ NATO จะยิงสกัดกลางอากาศ แต่คำถามคือ ถ้าระดมยิงพร้อมกับขีปนาวุธจากบนภาคพื้นดินพร้อมๆ กันหลายพันลูก "จะสกัดได้มันได้หมด 100% หรือไม่ ?"
เพราะแค่มันหลุดไปตกสักลูก แค่นั้นก็ตายหลายล้านคนแล้ว อย่าลืมว่าระบบตรวจจับขีปนาวุธพิสัยไกลแบบนี้ จุดบอดของมันคือต้องอาศัย "ดาวเทียมทางทหาร" ส่งสัญาณแจ้งเตือนภาคพื้นดินเท่านั้น หากดาวเทียมทหาร"เป็นอะไรไป" เท่ากับกลายเป็นคนตาบอดทันที
รัสเซียมีเทคโนโลยี ที่ทำให้ดาวเทียมทหาร เป็นอัมพาต ตาบอด ชั่วขณะขณะยิงขีปนาวุธข้ามทวีปได้ซะด้วย..โอบามาจะว่าไง !! แต่ถ้าทหาร 2 ฝ่ายประเทศไหน บลาฟกันจนเหนื่อย ก็ลาพักร้อน มากินข้าวราดแกง ส้มตำ ไก่ย่าง เมืองไทย นะ..ขากลับจะซื้อปลาร้าอีสาน ไปเวฟตั้งวงจิ้มข้าวเหนียวกินในเรือดำน้ำ ก็จะมีพลังอืดรบขึ้นอีกเพียบ !!
มะกัน ยุโรป สู้ๆ , รัสเซีย จีน สู้ๆ ออกไปรบกันให้รู้ดำรูแดง..เดี๋ยวน้องไทยเป็นแม่บ้านเข้าครัว ผลิตอาหารไว้รอท่า พี่ทั้ง 2 ฝ่ายที่จะกลับมาเหนื่อยๆ นะ..อ้อ ลืมไป ดอกกล้วยไม้น้องไทยก็สวยติดอันดับโลกนะ แวะไปชมก่อนได้ แล้วสั่งไปแขวนในเรือดำน้ำ , บิ๊กตู่ สั่งให้จัดสวนโชว์อลังการ ที่ข้างทำเนียบแน่ะ ไปถ่ายรูปเซลฟีกัน แต่ห้ามก่อม็อบนะ ไม่งั้น 2 ฝ่ายอริ เจอกฎอัยการศึกไทย คุมตัวไปปรับทัศนะคติแน่ๆ (^_^)
@ เสธ น้ำเงิน1 
http://www.facebook.com/thailandcoup

รูปภาพของ Ampaipan Wachaporn

สหรัฐฯเปิดแนวรบประชิดรัสเซีย

Cr:ทหารปฏิรูปประเทศไทย
วันที่ 20 ม.ค.58 อเมริกาเปิดแนวรบประชิดรัสเซีย ส่งรถถังและทหารเข้าลัตเวียแล้ว
ตอนนี้สมรภูมิรบในเมืองโดเน็ทซ์ค ยูเครน ระหว่างกองทัพยูเครน กับกลุ่มนักรบนิยมรัสเซีย มีความตึงเครียดขึ้น ทางยูเครนระดมพลรถถัง และทหารจำนวนมาก กองทัพยูเครน ตั้งเป้าจะใช้ขบวนรถถังเหล่านี้ ผลักดันกองกำลังนักรบนิยมรัสเซียออกไปจากพื้นที่สนามบิน
พร้อมทั้งเปิดเส้นทางลำเลียงทหาร ที่ได้รับบาดเจ็บออกมา หลังจากที่ถูกอีกฝ่ายใช้ปืนใหญ่ยิงถล่มบริเวณสนามบินอย่างหนัก อัตราการตายของทหาร 2 ฝ่ายตอนนี้ ทหารยูเครนตาย 3 ส่วน กลุ่มติดอาวุธฯ ตาย 1 ส่วน ตอนนี้การปะทะอย่างรุนแรง หนักหน่วง เกิดขึ้นตลอดคืนวันหยุด ชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียง ต่างก็โดนกระสุนปืนใหญ่กันถ้วนหน้า
ระบบขนส่งสาธารณะต้องหยุดให้บริการ ร้านค้าพากันปิด ด้านรัสเซียเองก็ใช้ "หุ่นยนต์" คุ้มกันเรือดำน้ำ ที่ติดปืนกลยิงเร็ว ควบคุมจากระยะไกล พร้อมเคลื่อนพลเรือดำน้ำ รุ่นใหม่ออกจากตรงแหลมไครเมียแล้ว
อเมริกา ก็เคลื่อนกำลังทหาร พร้อมรถถัง เข้าไปในประเทศลัตเวีย ทางยุโรปเหนือ จำนวนมาก เพื่อโอบล้อมรัสเซีย ซึ่งลัตเวียเป็น 1 ใน 28 สมาชิกกลุ่ม EU ด้วย การเจรจาหยุดยิงตอนนี้ชะงักงันไปแล้ว เพราะทางอเมริกา สั่งให้ยูเครนถอนตัวจากการไปร่วมเจรจา
แต่ให้เดินหน้ารบเท่านั้น สถานการณ์การเปิดฉากรบตรงยุโรปตะวันออกที่ยูเครน และลัตเวียที่ยุโรปเหนือ น่าจับตามาก ตรงจุดนี้อากาศหนาวเย็นมาก พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบ ถ้าเริ่มการรบกันตรงนี้อีกจุด รถถังอเมริกา และ รถถังรัสเซีย คงจะได้ทดลองประสิทธิภาพ กันอย่างเต็มที่
@ เสธ น้ำเงิน2
รูปภาพของ Ampaipan Wachaporn