PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2561

สมศักดิ์ ถาม สนช-กรธ.เล่นอะไรกันอยู่? ชี้ หากศาลชี้กม.ลูกขัดรธน.ต้องมีคนรับผิดชอบ!

สมศักดิ์ ถาม สนช-กรธ.เล่นอะไรกันอยู่? ชี้ หากศาลชี้กม.ลูกขัดรธน.ต้องมีคนรับผิดชอบ!


“สมศักดิ์” สงสัย “สนช-กรธ.” เล่นอะไรกันอยู่ หากศาล รธน. ชี้กม.ลูกส.ส.-ส.ว.ขัดรธน.ต้องมีคนรับผิดชอบทำโรดแมปเลือกตั้งขยับ
เมื่อวันที่ 15 มีนาคม นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เห็นด้วยให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว.ว่า ขึ้นอยู่กับศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาช้าหรือเร็ว หากผลออกมาขัดรัฐธรรมนูญโรดแมปเลือกตั้งต้องว่ากันอีกยาว เพราะ ต้องเอากลับไปทำใหม่หมด ก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะเป็นไปตามโรดแมป อย่างไรก็ตาม ตนแปลกใจว่า ทำไมตอนที่ตั้งกมธ.ร่วม 3 ฝ่าย เมื่อนายมีชัยร่างขึ้น เจตนารมณ์เป็นอย่างไรก็ต้องพูดที่มาที่ไป เมื่อสนช.เข้าประชุมต้องรู้แล้วว่าขัดหรือไม่ขัดรัฐธรรมนูญ และต้องยืนตามร่างของนายมีชัย แต่ยังดันทุรังจะเอาร่างที่สนช.แก้ไขมาเป็นหลัก เลยอดมองไม่ได้เล่นอะไรกันอยู่ และไม่กล้าเอาเรื่องประชุมทั้ง 3 นัดมาพูดแน่ จึงต้องเฉไฉดึงเรื่องไปทางโน้นทีทางนี้ที และถ้าหากขัดรัฐธรรมนูญต้องหาคนรับผิดชอบที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะทำให้เวลาเลือกตั้งไม่เป็นไปตามโรดแมป

“เมื่อนายกฯเจตนาต้องการเร่งให้เป็นไปตามโรดแมป ดังนั้น การที่จะให้เป็นไปตามโรดแมปได้ต้องมีกฎหมายรองรับ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกติการัฐธรรมนูญ เมื่อเกิดเหตุอย่างนี้ทำให้สะดุดไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญได้ ย่ิงยื้อนานสถานการณ์ในความรู้สึกประชาชนมองว่าเลวร้ายลง แต่ความรู้สึกคนที่ใกล้ชิดรัฐบาล และคสช. ตอนนี้แพ้ดึงเวลาไปก่อน แล้วค่อยๆให้อีกฝ่ายหนึ่งเฉา มองยุทธศาสตร์ไปในอีกรูปแบบหนึ่ง อยู่ที่ว่าใครจะยืนอยู่บนความเป็นจริงได้ดีกว่ากัน ถ้านายกฯยอมรับความเป็นจริงก็จะรู้ยิ่งอยู่นานยิ่งแย่ เห็นๆกันอยู่ 4 ปีนี้ ขณะที่ปีแรกเรทติ้งกระฉูดเลย แล้วค่อยๆหายไปเขาก็ต้องรู้แล้ว ขยายโรดแมปไปเรื่อยๆคนอดมองไม่ได้เล่นเกมยื้ออำนาจอยู่” นายสมศักดิ์ กล่าว

"ออตู่" ยัน เปล่า"โหนกระแส" ละคร"บุพเพสันนิวาส"

"ออตู่" ยัน เปล่า"โหนกระแส" ละคร"บุพเพสันนิวาส"
ชื่นชม ละครดี แม้ไม่เคยดู ถ่อมตน ชี้ ถ้าเป็นสมัยก่อน ผม คงไม่ใช่"หมื่นเดช" เพราะเกินวัย คงเป็นแค่คนรับใช้ ยัน ไม่เกี่ยว รายการคืนวันศุกร์ เพราะ "ออเจ้า" มี พุธ-พฤหัสฯ แฉ มีคนปล่อยข่าว ผมไม่ได้ให้เวลาเขา
(13มี.ค.)พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. กล่าวถึงการต่อยอดจาก งาน"อุ่นไอรัก คลายความหนาว" และละครบุพเพสันนิวาส เพื่อให้คนไทยหันมาสนใจประวัติศาสตร์ว่า หมื่นกับออเจ้าใช่ไหม ผทยังไม่ได้ดูเรื่องนี้ แต่เห็นจากโฆษณา กระแสข่าวต่างๆ
ส่วนที่มีคนไปบอกว่ารัฐบาลโหนกระแส คงไม่ใช่ สิ่งที่เราทำคือ แนวทางของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงรับสั่งไว้ว่า รักษา สืบสาน และต่อยอด ทั้งการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีไทย วัฒนธรรมไทย และการสืบสานนำมาทำละคร ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระราชทานงานอุ่นไอรักฯ ก็เป็นกระแสที่ประชาชนจะร่วมกันทำความดี คือระลึกถึงสิ่งที่มีคุณค่าของประเทศไทย
"ผมได้ให้แนวทางไปว่า ควรจะส่งเสริมและต่อยอดต่อไป ทั้งเรื่องการท่องเที่ยวชุมชน การท่องเที่ยวตามโบราณสถานต่างๆ ให้คนที่ไปท่องเที่ยวแต่งชุดไทยไปถ่ายภาพ ซึ่งจะทำให้เกิดกิจกรรมในพื้นที่ เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในชุมชน
และการค้าขายทั้งร้านอาหารและร้านกาแฟอีกด้วย เราต้องนำเอาประวัติศาสตร์มานำประเทศไทย เพื่อไม่ให้ลืมประวัติศาสตร์ของตัวเอง
ผมขอขอบคุณผู้จัดละครเรื่องบุพเพสันนิวาส ที่ทำละครอิงประวัติศาสตร์ออกมา ก็ขอให้ทำกันต่อไป"
แต่ขออย่าทำให้อะไรเสียหาย เพราะมีกรอบอยู่ วันนี้ออเจ้า ฉายทุกวันพุธ -วันพฤหัสบดี หลายคนบอกว่า ผมไม่ได้ให้เวลาเขา ผมพูดในรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน"ทุกวันศุกร์ แล้วไปเกี่ยวอะไรกับวันพุธ-วันพฤหัสบดี ก็หาเรื่องกันไป
รายการออกคืนวันศุกร์ ไม่ได้รบกวนออเจ้าเลย พระเอกชื่ออะไรนะ หมื่นเดช ใช่ไหม นายกฯ คงเกินที่จะเป็นหมื่นเดชแล้ว เพราะนั้นเขายังหนุ่ม เรามันโบราณ คงเป็นคนรับใช้แถวๆ นั้น

กองทัพ จะวางตัวเป็นกลาง ?

กองทัพ จะวางตัวเป็นกลาง ?
ผบ.ทอ.ยัน คสช.ไม่ใช่"อุปสรรค"ของการเลือกตั้ง ยุบไม่ได้ ยันคสช.จะทำให้ดีที่สุดในเรื่องการดูแลความสงบเรียบร้อย สร้างบรรยากาศดี สำหรับการเลือกตั้ง ยัน กองทัพ จะทำดีที่สุด วางตัวเป็นกลาง ไม่แทรกแซง กลไกการเมือง ไม่ยุ่งการเลือกตั้ง
พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง ผบ.ทอ.และสมาชิก คสช. กล่าวถึง เสียงเรียกร้องของ "กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง" ให้ยุบคสช.ว่า เป็นความเข้าใจผิด เพราะ คสช.ยุบไม่ได้ คสช.เป็นกลไกหนึ่งในการดูแลความสงบเรียบร้อย
"คสช.ไม่มีบทบาทอะไรในการเลือกตั้ง เลย แต่มีหน้าที่ในการดูแลความสงบเรียบร้อย เข้ามาเพื่อสร้างบรรยากาศดีสำหรับการเลือกตั้ง ไม่ใช่อุปสรรคของการเลือกตั้ง"
ส่วนที่มองกันว่าผบ.เหล่าทัพ เป็นคสช. อาจมีปัญหาเรื่องการวางตัวเป็นกลางของกองทัพนั้น. พลอากาศเอกจอม กล่าวว่า. เราจะทำให้ดีที่สุดในเรื่องการดูแลความสงบเรียบร้อย
ส่วนความเป็นกลางทางการเมืองนั้น ผบ.ทอ. กล่าวว่า เต็มที่ ยืนยันว่าไม่ยุ่งพยายามจะไม่ยุ่ง และจะไม่เข้าไปแทรกแซงกลไกต่างๆทางการเมือง เรามุ่งมั่นแบบนั้น แต่มีคนเข้าใจผิด. หรือพูดไป ซึ่งข้อเท็จจริงแล้วเราไม่ได้จะคิดไปทำอะไร แต่ เรามุ่งหวังที่จะให้ทุกอย่างเดินไปด้วยดี

"วงศ์เทวัญ" คัมแบ็ค

"วงศ์เทวัญ" คัมแบ็ค
"บิ๊กบี้-เสธ.อ๊อบ" เข้าไลน์
"บิ๊กบี้" พลตรี ณรงค์พันธ์ุ จิตต์แก้วแท้ ผบ.พล.1รอ. ขึ้น รองแม่ทัพภาค1 จ่อ ชิงแม่ทัพภาค1 จากสายวงศ์เทวัญ หลังจาก โผที่แล้ว ไม่ได้ขยับ...."เสธ.อ๊อบ" พลตรีทรงวิทย์ หนุนภักดี ขยับจาก ผบ.พล.ร.11 มาเป็น ผบ.พล.1รอ. คุมกำลังสำคัญ และ คุมทหารรักษาพระองค์
โปรดเกล้าฯแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารจำนวน 260 นาย แล้ว
เป็นที่ ฮือฮา เมื่อ บิ๊กบี้ พลตรีณรงค์พันธุ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.พล.1รอ. ได้ไฟเขียว ขึ้นเป็น รองแม่ทัพภาคที่1
ซึ่งจับตามองกันว่า เป็นตัวแทนสายวงศ์เทวัญ ที่มาแรง เตรียมจ่อชิง เป็นแม่ทัพภาคที่1 ในโยกย้ายปลายปีตุลาคมนี้ เพื่อขุมกำลังสำคัญของกองทัพบก กับ สายบูรพาพยัคฆ์ ทั้งบิ๊กหนุ่ย พลโทธรรมนูญ วิถีแม่ทัพน้อยที่1 และ บิ๊กติ่ง พลตรีสันติพงศ์ ธรรมปิยะทรองแม่ทัพภาค1 เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 22 ด้วยกัน
ที่น่าจับตา คือ เสธ.อ๊อบ พลตรีทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 11 เตรียมทหาร24 เป็น ผู้บัญชาการกองพลที่1 รักษาพระองค์(ผบ.พล.1รอ.) แทน ซึ่งถือเป็นตำแหน่งสำคัญทั้งขุมกำลัง และคุมหน่วยทหารรักษาพระองค์ ที่ถิอว่า เป็น สายวงศ์เทวัญ และถือว่า เข้าไลน์

"บิ๊กตู่" สั่ง กอ.รมน.ลงพื้นที่ รวบรวม ความเห็นปชช.ที่หลากหลายแตกต่างกัน

"บิ๊กตู่" สั่ง กอ.รมน.ลงพื้นที่ รวบรวม ความเห็นปชช.ที่หลากหลายแตกต่างกัน หากพบการบิดเบือน สร้างความแตกแยก ให้ชี้แจงทันที ชี้ "ต้องเป็นที่พึ่งของประชาชนในทุกโอกาส" ขอยึดหลักการทรงงาน เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา "/บิ๊กเล็ก" สั่ง กวดขัน เป็นข้าราชการที่ดี ประพฤติปฏิบัติตนด้วยความสุภาพอ่อนน้อม เปิดเผย โปร่งใส

พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เสนาธิการทหารบก ในฐานะ เลขาธิการ กอ.รมน. เป็นประธาน หน่วยขึ้นตรง กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.)
พล.ต.พีรวัชฌ์ แสงทอง โฆษก กอ.รมน. กล่าวว่า ในการปฏิบัติงานสนับสนุนการขับเคลื่อนโครงการไทยนิยม ยั่งยืนนั้น
พล.อ.ณัฐพล ได้เน้นย้ำการทำงานของเจ้าหน้าที่ให้นำหลักการทรงงาน เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา มาเป็นแนวทางปฏิบัติและให้เก็บข้อมูลที่ได้รับเพื่อใช้ในโอกาสต่อไป
เนื่องจากในปัจจุบันมีบุคคลและกลุ่มบุคคลได้แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของ กอ.รมน. เพื่อแสวงหาประโยชน์จากประชาชน ด้วยการหลอกลวง ข่มขู่ หรือกระทำการใดๆที่ไม่ถูกกฎหมาย พล.อ.ณัฐพล จึงให้ทุกหน่วยได้เข้มงวดกวดขันการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ จะต้องดำรงตนอยู่ในระเบียบวินัยของข้าราชการที่ดี ประพฤติปฏิบัติตนด้วยความสุภาพอ่อนน้อม เปิดเผย โปร่งใส
และชี้แจงให้ประชาชนได้ทราบถึงการปฏิบัติงานของหน่วย รวมถึงการตรวจสอบบุคคลที่มีการแอบอ้าง หากพบเห็นให้ดำเนินการตามกฎหมายโดยทันที
นอกจากนี้ พล.อ.ณัฐพล ได้แจ้งให้ที่ประชุมได้รับทราบถึงคำสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ที่เน้นย้ำให้ การปฏิบัติของ กอ.รมน. ทุกหน่วยงาน จะต้องเป็นที่พึ่งของประชาชนในทุกโอกาส
และการลงพื้นที่พบปะประชาชนนั้น จะมีความเห็นที่มีความหลากหลายแตกต่างกัน ขอให้เจ้าหน้าที่ กอ.รมน. รับฟังและเก็บข้อมูลไว้ แต่หากพบความเห็นที่มีการบิดเบือนหรือสร้างความแตกแยก จะต้องชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนทันที
ส่วนสถานการณ์ยาเสพติดภายในประเทศได้ตรวจพบว่ามีการแพร่ระบาดของยาเสพติดในสังคมเป็นจำนวนมาก ได้แก่ ยาบ้า ไอซ์ กัญชา และใบกระท่อม ซึ่ง พล.อ. ณัฐพล มีความห่วงใยต่อ จึงเน้นย้ำให้ กอ.รมน.ภาค และ กอ.รมน.จังหวัด ได้บูรณาการกับทุกหน่วยงาน เพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนได้ตระหนักถึงภัยจากยาเสพติด และร่วมกันสร้างครอบครัวสีขาว ชุมชนสีขาว ตลอดจนการให้เครือข่ายข่าวประชาชนมีส่วนร่วมในการติดตามเฝ้าระวังไม่ให้มีการค้ายาเสพติดในพื้นที่ รวมถึงให้มีการติดตามประเมินผลสถานการณ์ยาเสพติดอย่างใกล้ชิด

บิ๊กอาร์ท พลโทปิยวัฒน์ นาควานิช ได้นั่งแม่ทัพภาค4 ต่อ ยันเกษียณ ตค. นี้

ได้ตามขอ !!
บิ๊กอาร์ท พลโทปิยวัฒน์ นาควานิช ได้นั่งแม่ทัพภาค4 ต่อ ยันเกษียณ ตค. นี้ ตามที่ร้องขอ แม้จะต้องเกษียณราชการด้วยยศ "พลโท" ก็ตาม
แต่ก็มีการจัดทัพชายแดนใต้ไว้รองรับโยกย้ายใหญ่ตุลาฯ
ด้วยการขยับ พลโทเกื้อกูล อินนาจักร์ แม่ทัพน้อย4 ไปเป็นพลเอก ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก. เปิดทางให้ "บิ๊กเดฟ" พลตรีพงษ์ศักดิ์ พูนสวัสดิ์ รองแม่ทัพภาค4 ขึ้นเป็นพลโท ในตำแหน่ง แม่ทัพน้อยที่4 แทน
เพื่อจ่อ ชิงเก้าอี้ แม่ทัพภาค4คนต่อไปในโยกย้ายหน้า. ที่อาจจะมีนายทหาร "คนนอก" จากสายบูรพาพยัคฆ์ หรือ. วงศ์เทวัญ ลงไปเบียดแข่งด้วย
ส่วนบิ๊กป๊อด พลตรีสิทธิพร มุสิกะสิน ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่5 ก็ได้ขยับขึ้นเป็น รองแม่ทัพภาค4

‘คสช.’เตือน’ธนาธร’ตั้งวงถกการเมือง เสี่ยงขัดคำสั่ง คสช. เผยบิ๊กตู่ให้แค่หอมปากหอมคอ อย่าเกินเลย

‘คสช.’เตือน’ธนาธร’ตั้งวงถกการเมือง เสี่ยงขัดคำสั่ง คสช. เผยบิ๊กตู่ให้แค่หอมปากหอมคอ อย่าเกินเลย


เมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทไทยซัมมิท นัดสื่อมวลชน ในวันพรุ่งนี้ (15 มีนาคม) เพื่อชี้แจงแนวทางการเมือง ร่วมพูดคุยเปิดใจกับ “กลุ่มเพื่อนธนาธร” ว่าการดำเนินการดังกล่าวสุ่มเสี่ยงขัดคำสั่ง คสช. เรื่องการชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน ทั้งนี้ ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่จะใช้การพูดคุย ทำความเข้าใจ และในวันพรุ่งนี้เจ้าหน้าที่คงใช้ดุลพินิจดำเนินการ หากเป็นเพียงการรวมตัวกันเพื่อนัดกันไปจดแจ้งพรรคการเมืองกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เจ้าหน้าที่ต้องดูองค์ประกอบนี้ด้วย แต่ถ้าก่อนจะไปจดแจ้งตั้งพรรค หากมีการพูดคุยเรื่องการเมือง เจ้าหน้าที่ที่ลงไปดูแลต้องพิจารณา และถ้าเข้าข่ายต้องดำเนินการ แต่หากเป็นไปตามที่นายธนาธรระบุในเฟซบุ๊กถือว่าสุ่มเสี่ยงจะทำผิด ซึ่งจะต้องให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบประเมิน

แหล่งข่าวจาก คสช.กล่าวต่อกรณีดังกล่าวว่า หากเป็นการมั่วสุ่มหรือร่วมชุมนุมทางการเมือง ถือว่าผิด ซึ่งตามที่เขาโพสต์ในเฟซบุ๊ก เขาระบุอยู่แล้ว เป็นเรื่องการเมือง ถือเป็นการปรึกษาหารือ มั่วสุม ทำเป็นกิจกรรมทางการเมือง และยังไม่ขออนุญาต คสช. ซึ่งทุกคนรู้ข้อกฎหมายดีอยู่แล้ว หากดำเนินการเข้าเงื่อนไขผิดคำสั่ง คสช. ชุมนุมเกิน 5 คนโดยไม่รับอนุญาต ต้องไปแจ้งความดำเนินคดีต่อไป


“ต้องดูว่าพรุ่งนี้นายธนาธรจะทำอะไร ดูขนาดการร่วมกลุ่ม ต้องประเมินสถานการณ์ แต่มองดูว่านายธนาธรเพียงแต่อยากเรียกเรตติ้ง แต่พาสื่อไปเสี่ยงด้วย ซึ่งพรุ่งนี้หากเขาพูดเรื่องการเมือง ก็เข้าเงื่อนไข อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้า คสช. ไม่ได้เน้นย้ำอะไร เหมือนท่านจะปล่อยๆ มากกว่า บอกให้เอาแค่หอมปากหอมคอ แต่อย่าเกินเลย” แหล่งข่าว คสช.กล่าว

หนทาง ขวากหนาม จาก “รัฐธรรมนูญ 2560” ก่อน หลัง เลือกตั้ง

หนทาง ขวากหนาม จาก “รัฐธรรมนูญ 2560” ก่อน หลัง เลือกตั้ง


หากเริ่มต้นจากแต่ละบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ไม่ว่าจะหน้าใหม่อย่าง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไม่ว่าจะหน้าเก่าอย่าง นายชวน หลีกภัย ล้วนรู้
รู้ว่ามี “ปัญหา”
ไม่เพียงปัญหาในระหว่างทาง นั่นก็คือ การเลือกตั้ง หากแต่ยังมีปัญหาต่อเนื่องไปอีกกลางทาง คือการจัดตั้งรัฐบาล
รวมถึงปัญหาปลายทาง คือ การบริหารของรัฐบาล
ในเบื้องต้นคิดกันว่า หากนายกรัฐมนตรีเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้นทาง กลางทางปลายทางน่าจะราบรื่น
ราบรื่นอย่างชนิด “ฉลุย”
กระนั้น เมื่อปี่กลองเริ่มขึ้น สภาวะแห่งความไม่แน่นอนก็ค่อยๆ สำแดงตัวออกมาเรื่องแล้วเรื่องเล่าบ่งชี้ที่คิดว่าราบรื่น อาจไม่ราบรื่น
คำถามก็คือ แล้วทำไมจึงยังเดินหน้าไปยัง “เลือกตั้ง”
ต้องยอมรับว่าภาพสะท้อนอย่างนี้คือ จิตใจอันวีระอาจหาญของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายหนุน คสช. ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายต้าน คสช.
แน่นอน เป้าหมายอาจไม่เหมือนกัน
เพราะว่าฝ่ายหนุนก็คงคิดว่า ทุกอย่างจะราบรื่นเหมือนกับยืนอยู่บนเนินเขา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถหยิบชิ้นปลามันได้แน่นอน
เนื่องจาก “ประชารัฐ” เนื่องจาก “ไทยนิยม”
ยิ่งกว่านั้น ยังมีฐานจากโครงสร้างระบบราชการอย่างที่เรียกว่า 1 พลเรือน 1 ตำรวจ 1 ทหาร อันมีชื่อย่อ “พตท.” รองรับอย่างเข้มแข็งเกรียงไกร
ทั้งยังมีบรรดา “นายทุนประชารัฐ” ห้อมล้อมอย่างอบอุ่น

การเลือกตั้งจึงเท่ากับเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับ คสช. ให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ครองอำนาจอย่างชนิดน้องๆ “สีจิ้นผิง”
คำถามก็คือ แล้ว “นักการเมือง” มีเป้าหมายอย่างไร
นักการเมืองอยู่ในจุดอันเรียกได้ตามบทเพลงที่ว่า “กูจะสู้แม้จะรู้ว่ากูแพ้” มิใช่เพราะไม่สามารถถอยไปได้อีกแล้วเพราะถอยก็ตกเหว หรือตกทะเล
หากแต่เชื่อมั่นใน “รัฐธรรมนูญ”
เชื่อมั่นว่าบรรดา “กับดัก” ที่เนติบริกรระดับ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ หรือแม้กระทั่ง นายวิษณุ เครืองาม วางเอาไว้นั่นแหละจะก่อปรากฏการณ์ใหม่ในทางการเมือง
นั่นก็คือ คสช.เองก็จะต้อง “ติดกับ”
สถานการณ์ในห้วงแห่งการเลือกตั้ง คือ การหว่าน “เมล็ดพันธุ์” สำแดงปัญหาออกมา สถานการณ์ในห้วงหลังเลือกตั้ง คือ การปรากฏขึ้นของพืชพันธุ์
เพราะแม้จะมี “พรรค 250 ส.ว.” แต่ก็ต้องหาอีก “250 ส.ส.”
เพราะหากไม่มีอีก 250 ส.ส.ผนวกรวมเข้ากับ 250 ส.ว.ก็ยากเป็นอย่างยิ่งที่ “คนนอก” จะสามารถยื่นมือเข้าไปหยิบชิ้นปลามัน
จำนวน 250 ส.ส.นั่นแหละคือ “เดิมพัน”
การเลือกตั้งที่จะปรากฏขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 จึงถือได้ว่าเป็นการเลือกตั้งที่แปลกประหลาดอย่างที่สุดในทางการเมือง
เพราะมีการจัดวาง “นายกรัฐมนตรี” เอาไว้แล้ว
ขณะเดียวกัน แนวโน้มที่จะเริ่มเด่นชัดมากยิ่งขึ้นก็คือ พรรคการเมืองกระแสหลักมีโอกาสน้อยมากที่จะได้จัดตั้งรัฐบาล และเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นฝ่ายค้าน
กระนั้น ก็ใช่ว่าอีกฝ่ายจะได้เป็น “นายกรัฐมนตรี” สบายๆ

ทั้งใหญ่ทั้งยาว

ทั้งใหญ่ทั้งยาว



สภาประชาชนจีนได้ลงมติเห็นชอบแก้ไขรัฐธรรมนูญ “ยกเลิกกฎเหล็ก” ที่กำหนดให้ประธานาธิบดีจีนอยู่ในตำแหน่งได้ไม่เกิน 2 สมัย หรือไม่เกิน 10 ปี
เพื่อปูพรมแดงให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง สืบทอดอำนาจต่อไปโดยไม่จำกัดเวลา
“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่าเหตุผลที่ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อมอบภารกิจสำคัญให้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เป็นผู้นำขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศจีนให้ผงาดเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลก
และปฏิรูปแสนยานุภาพกองทัพจีนให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรที่สุดในปฐพี
ยกระดับ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ให้มีสถานะเทียบเท่า “ประธานเหมาเจ๋อตุง” และ “มังกรใหญ่เติ้งเสี่ยวผิง” 2 อดีตผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล
ในการประชุมสภาประชาชนจีน เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งแรกในรอบ 14 ปี มีมวลมหาสมาชิกสภาเข้าประชุมกันอย่างพร้อมเพรียง
โดยมีผู้ลงมติเห็นชอบให้แก้ไขรัฐธรรมนูญมากถึง 2,958 เสียง
แต่มีผู้กล้าหาญชาญชัยลงมติคัดค้าน 2 เสียง
ทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญยกอำนาจเบ็ดเสร็จให้ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ไม่ได้รับมติเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ 100 เปอร์เซ็นต์
“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าเหตุผลที่ได้กำหนดกฎเหล็กดังกล่าวไว้ในรัฐธรรมนูญจีน เนื่องจาก “อดีตผู้นำเติ้งเสี่ยวผิง” ท่านไม่อยากให้ผู้หนึ่งผู้ใดผูกขาดอำนาจยาวนานเกินไป
จึงตั้งเงื่อนไขให้มีการถ่ายเลือดผู้นำใหม่จากรุ่นสู่รุ่นทุกๆ 10 ปี
หลังจากแก้ไขรัฐธรรมนูญยกเลิกกติกานี้ จะทำให้ “ท่านสี จิ้นผิง” ผูกขาดอำนาจ “ทรีอินวัน” คือ ผูกขาดตำแหน่งประธานาธิบดี ผูกขาดตำแหน่งเลขาธิการพรรค และผูกขาดตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการทหารครบวงจร
และจะไม่มีการเลือกตั้ง หรือลากตั้งผู้นำสาธารณรัฐประชาชนจีนคนใหม่ต่อไปอีกหลายสิบปี
เพราะขณะนี้ “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” มีอายุเพียง 65 ปี
ยังสามารถครองตำแหน่งผู้นำสูงสุดตลอดกาลไปอีก 25 ปี จนอายุครบ 90 ปีได้อย่างสบายๆ
กรณีนี้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่าใครที่กุมอำนาจกองทัพได้ ใครที่กุมเสียงในสภาฯ แต่งตั้งได้ ย่อมผูกขาดอำนาจได้อย่างสะดวกโยธิน
ดังเช่นท่านประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานฉะนั้นแล
“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าถึงแม้ “ท่านประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” ซึ่งครองอำนาจปกครองแผ่นดินจีนมาแล้ว 5 ปี จะสืบทอดอำนาจต่อไปอีก 25 ปี รวมเป็นเวลายาวนานถึง 30 ปี
แต่ยังไม่ทำลายสถิติสืบทอดอำนาจยาวที่สุด นานที่สุดของ “สมเด็จฮุนเซน” ผู้นำกัมพูชาอย่างแน่นอน
เพราะนายกฯฮุนเซน ผูกขาดอำนาจมาแล้ว 33 ปี และยังมุ่งมั่นจะสืบทอดอำนาจตัวเองออกไปอีก 10 ปี
ถ้าเป็นไปตามโรดแม็ปนี้ “สมเด็จฮุนเซน” จะเป็นผู้นำที่ครองอำนาจยาวนานถึง 43 ปี
ยากนักที่จะมีใครทำลายสถิติโอลิมปิกของ “สมเด็จฮุนเซน”!!
ถ้าจะมีคนทำลายสถิตินี้ได้...ก็คงเป็น “ประธานาธิบดีคิม จองอึน” แห่งเกาหลี เหนือคนเดียว
ทีนี้ เหลียวกลับมามอง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้นำไทยขวัญใจ “แม่ลูกจันทร์” ท่านครองอำนาจเบ็ดเสร็จมาเกือบ 4 ปี
ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ จะสืบทอดอำนาจต่อไปอย่างเก่งก็ไม่เกิน 8 ปี
เพราะรัฐธรรมนูญไทย มาตรา 148 กำหนดกฎเหล็กไว้ว่า นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันได้ไม่เกิน 8 ปี
ถ้าจะอยู่ยาวกว่านั้น...ก็ต้องแก้รัฐธรรมนูญ??
หนทางยังอีกยาวไกล...เอาแค่ใกล้ๆก่อนดีกว่านะโยม.
“แม่ลูกจันทร์”

ยุคที่ไม่ยึดติดแบบแผน

ยุคที่ไม่ยึดติดแบบแผน



ส่องปรากฏการณ์ทางการเมืองล่าสุดของ 2 ยักษ์มหาอำนาจโลก
ด้านหนึ่งสมาชิกสภาแห่งชาติสาธารณรัฐประชาชนจีนลงมติท่วมท้น แก้ไขรัฐธรรมนูญยกเลิกข้อจำกัดการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีได้แค่ 2 สมัย เพื่อเปิดทางให้ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง นำทีมบริหารปกครองประเทศได้ยาวแบบไม่มีกำหนดวาระ
ภายใต้ความเชื่อมั่น “สี จิ้นผิง” ในการพัฒนาประเทศไปสู่ความยิ่งใหญ่แถวหน้าของโลก
ด้วยศาสตร์การเมืองการปกครองเฉพาะตัวที่ไม่อิงกับประชาธิปไตย
ขณะที่ประเทศรัสเซีย ผลสำรวจคะแนนนิยมครั้งสุดท้ายของสำนักโพลแห่งรัฐ ระบุประธานาธิบดี “วลาดิเมียร์ ปูติน” จะหวนคืนเก้าอี้ผู้นำหมีขาวอีกรอบ ด้วยเปอร์เซ็นต์คะแนนโหวตสูงถึงร้อยละ 69
ไม่มีอะไรพลิกล็อก “ปูติน” ลากยาวมาหลายสมัย ถึงขั้นสลับฉากประธานาธิบดีกับนายกรัฐมนตรี
โดยที่ชาวรัสเซียไม่มีการต่อต้าน เพราะเชื่อมั่นในตัวผู้นำที่มีความเด็ดขาด สามารถคุมเกมอำนาจวัดใจกับพี่เบิ้มสหรัฐอเมริกา ถ่วงดุลการเมืองโลกได้แบบสบายๆ
รัสเซีย และจีนแผ่นดินใหญ่ กลายเป็นความท้าทายโลกเสรีประชาธิปไตย สร้างเครื่องหมายคำถามถึงระบบการเลือกตั้งสร้างความผาสุกให้ประเทศชาติและประชาชนได้จริงๆหรือ
ที่แน่ๆคือ ถ้าการเมืองนิ่ง ไร้แรงป่วน สถานะผู้นำรัฐบาลมั่นคง
มันย่อมจะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศด้านต่างๆ โดยเฉพาะเศรษฐกิจ การวางระบบโครงสร้างพื้นฐาน รุดหน้าอย่างรวดเร็วและยั่งยืนในระยะยาว
โดยไม่เกี่ยวว่าต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขเสรีประชาธิปไตย หรือเลือกตั้งแต่อย่างใด
หรือแม้แต่ปรากฏการณ์เซอร์ไพรส์โลก ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ตอบตกลงที่จะพบกับนายคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ โจทก์คู่สำคัญ
ทำให้ภาวะตึงเครียด สงครามนิวเคลียร์คาบสมุทรเกาหลีผ่อนคลายลงทันทีทันใด
สะท้อนบริบทของโลกยุคปัจจุบัน ผู้นำชาติมหาอำนาจไม่ยึดติดกับแบบแผน แต่มีการยืดหยุ่นตามสถานการณ์ที่อิงกับผลประโยชน์ของชาติและประชาชนมาก่อน
ถ้าประเทศขับเคลื่อนไปได้ ถึงตอนนั้นผู้คนก็สนับสนุนเอง
ตัดฉากกลับมาที่เมืองไทย สถานการณ์กำลังล้อกับบริบทชาติมหาอำนาจ ผู้นำไม่ยึดติดกับแบบแผน
ภายใต้บรรยากาศที่กำลังอบอวลกับความภาคภูมิใจ “ความเป็นไทย”
ตามจังหวะแบบที่ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.
มีบัญชาทาง “แอพพลิเคชั่นไลน์” ให้กระทรวงวัฒนธรรมเดินหน้ารณรงค์ตามกระแสละคร“บุพเพสันนิวาส” และสืบเนื่องจากงาน “อุ่นไอรัก คลายความหนาว” ที่ทำให้ประชาชนหันมาสนใจสวมใส่ผ้าไทย
สานต่อเนื่องในกิจกรรมวันสงกรานต์ และการจัดงานเฉลิมฉลองครบรอบกรุงรัตนโกสินทร์ 236 ปี
เชิญชวนประชาชนให้ใส่ผ้าไทยกันทั่วบ้านทั่วเมือง
ต่อเนื่องกับยุทธศาสตร์กระตุ้นเศรษฐกิจ ตามนโยบายที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เร่งรัดพัฒนาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก
หลังกระแสละคร “บุพเพสันนิวาส” ช่วยกระตุ้นให้คนไทยหันมาสนใจเรื่องประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถิ่นของไทย มั่นใจเป็นอีกแนวทางหนึ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนกลับมาคึกคักอีกครั้ง
หากได้รับการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรมเหมือนเกาหลีที่ขายวัฒนธรรม “แด จัง กึม” รู้จักไปทั่วโลก
เอามันทุกช็อต ไม่เกี่ยงแม้แต่เกาะกระแสละครทีวี “ลุงตู่–สมคิด” วิ่งสู้ฟัดปั่นเนื้องาน
เน้นสถานการณ์ให้ประเทศขับเคลื่อนไปได้ อาศัยอำนาจพิเศษที่ทำให้การเมืองนิ่งมา 3 ปีกว่า ภายใต้เศรษฐกิจที่ติดลมบน มีการประคองปัญหาปากท้องด้วยมาตรการช่วยเหลือคนจน สวัสดิการประชารัฐ
เลี่ยงปมขัดแย้ง ข้ามช็อตการวางยุทธศาสตร์ชาติในทางยาวๆ
ตามท้องเรื่องทางการเมืองที่ส่อเค้าล่อกันนัว ตั้งแต่สัญญาณเคาะกะลาเลือกตั้งเริ่มดัง
อย่างที่เห็นอาการฟัดกันเองในหมู่พรรคเพื่อไทย กับปรากฏการณ์ที่ “เสี่ยปาล์ม” พชร นริพทะพันธุ์ ลูกชายของ “เสี่ยแดง” นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีคนดัง ฟาดหางใส่ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เจ้าแม่เมืองหลวง ว่าด้วยปมที่ระบุพรรคเพื่อไทยเป็นต้นตอทำให้ประเทศติดหล่ม และเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาวิกฤติปัจจุบัน
เพื่อไทยตีกันเละ แย่งสถานะ “นอมินี” ของนายใหญ่
ตามตัวเลขล่าสุดที่ฝ่ายความมั่นคง คสช. ทำโพลลับประเมินฐานกำลังของ “ทักษิณ” ถ้าเลือกตั้ง ณ วันนี้ ตัวเลข ส.ส.อยู่ที่ 200 ที่นั่ง บวกลบไม่เกิน 10
นั่นหมายถึงช่องว่างห่าง ไม่บีบใกล้เกินไป จาก 750 เสียงของ ส.ส.กับ ส.ว.โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี
โอกาส “ลุงตู่” ตีตั๋วต่อ ไปเกินค่อนตัวแล้ว.
ทีมข่าวการเมือง