PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ขี่หลังเสือ-ควบ ผบ.ทบ.-ต่ออายุ ไฟต์บังคับ ของ "นายกฯ ประยุทธ์"

ขี่หลังเสือ-ควบ ผบ.ทบ.-ต่ออายุ ไฟต์บังคับ ของ "นายกฯ ประยุทธ์"
รายงานพิเศษ มติชนสุดสัปดาห์ 26 มิถุนายน - 3 กรกฎาคม 2557
ขี่หลังเสือ-ควบ ผบ.ทบ.-ต่ออายุ ไฟต์ บังคับ ของ "นายกฯ ประยุทธ์" เมื่อดวงไฟฉายส่อง "บิ๊กตู่" กับ "ลุงกำนัน" กับปฏิบัติการ "ไลน์ ล้มรัฐบาล"
หากดูจากผลโพล สำรวจความคิดเห็นประชาชน ของหลายสำนัก ที่ออกมาในช่วงครบ 1 ขวบเดือน คสช. ที่ต่างพอใจผลงาน ในการแก้ปัญหาต่างๆ แบบให้คะแนน 8 เต็ม 10 นั้น ดูจะยิ่งเป็นการ ปูทาง ให้ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. และหัวหน้า คสช. ขึ้นขี่หลังเสือ นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ได้แบบสบายๆ
เพราะบางโพลก็มีชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ มาเป็นเต็งหนึ่ง ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เลยทีเดียว
แต่เจ้าตัว ก็ดูจะยังไม่อาจยิ้มได้เต็มที่ เพราะในใจของเขายัง สะกิดตัวเองอยู่เสมอว่า อาจเพราะเป็นช่วงฮันนีมูน หรือไม่ ทางเดินสาย คสช. นี้จึงโรยไปด้วยกลีบกุหลาบ
อีกทั้งสื่อมวลชนที่ชื่นชมชงเชียร์เขาอยู่ในเวลานี้ ก็เพราะเขามีกฎอัยการศึก และมีการใช้อำนาจเข้มข้นจึงไม่มีใครกล้าเขียนติติง หรือตำหนิ อีกทั้งเป็นความพึงพอใจของ พล.อ.ประยุทธ์ เองด้วยที่ควบคุมและจัดระเบียบสื่อได้ถึงขั้นนี้
แต่ทว่า พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่อาจยั้งใจตัวเองให้แอบยินดีไม่ได้ ที่ประชาชนขานรับแนวทางของ คสช. และชื่นชมในตัวเขา
จึงไม่แปลกที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่เพียงพอกับคะแนนนิยมแค่นี้ เขาจึงสั่งการให้ทุกคนใน คสช. และทหารในกองทัพ เดินหน้าในการแก้ปัญหาต่างๆ ให้ประชาชน แบบรวดเร็วมากขึ้น แต่ก็ไม่วาย ที่จะออกตัวว่า สิ่งที่เขากระทำไปนั้น ไม่ใช่ "ประชานิยม"
เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ มีเวลาอีกราว 2 เดือน ในการตัดสินใจเลือกทางเดินในบั้นปลายแห่งชีวิต อีกครั้ง หลังจากที่ตัดสินใจ ก่อการรัฐประหาร ก่อนที่จะเกษียณราชการ แค่ 4 เดือนเท่านั้น มาแล้วว่าเขาจะเป็นนายกรัฐมนตรีตามเสียงเรียกร้องหรือไม่
หากแต่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องมองให้ทะลุปรุโปร่งด้วยว่า เสียงเชียร์นั้นมีวาระซ่อนเร้นหรือไม่ เป็นเสียงเชียร์ในช่วง ฮันนีมูน พีเรียด หรือความกลัวเกรงต่ออำนาจของเขา และ คสช. หรือไม่ เป็นเสียงชมเชียร์ด้วยความจริงใจหรือไม่
เพราะในเวลานี้ ในกองทัพเองก็เกิดความหวาดหวั่นกันไปทั่วว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะต่ออายุราชการ เพื่อที่จะเป็น หัวหน้า คสช. และเป็น ผบ.ทบ. ต่อด้วย เพื่อที่จะมีอำนาจในการคุมการแก้ปัญหาประเทศต่อไป และยังกลัวด้วยว่า จะมีการต่ออายุให้ ทั้ง ผบ.สส. ผบ.ทร. และ ผบ.ทอ. ที่เป็นรองหัวหน้า คสช. ด้วย
หากเป็นเช่นนั้น น้องๆ ในกองทัพก็คงจะเซ็ง เพราะไม่ได้ขยับขึ้น เพราะอย่าลืมว่า พล.อ.ประยุทธ์ นั้นเป็น ผบ.ทบ. มา จะ 4 ปีแล้ว จนนายทหารรุ่นติดๆ กันรอไม่ไหว เกษียณกันไปก่อนแล้วก็เยอะ
กระแสความเชื่อที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะต่ออายุราชการยิ่งโหมแรงขึ้น เมื่อ บิ๊กต๊อก พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผช.ผบ.ทบ. และหัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่ยอมเกษียณราชการ หากบ้านเมืองยังไม่สงบ
อันตรงกับที่ พล.อ.ประยุทธ์ เคยพูดกับกลุ่มนักธุรกิจ หัวหน้าส่วนราชการต่างๆ ในวันแรกที่เขาประกาศใช้กฎอัยการศึก ด้วยนั่นเอง
อย่าลืมว่า พล.อ.ไพบูลย์ นั้นได้ชื่อว่าเป็นนายทหาร "น้องรัก" ของ พล.อ.ประยุทธ์ อีกคนหนึ่ง ที่มีบทบาทสำคัญเบื้องหลังการรัฐประหารครั้งนี้
โดยเฉพาะเมื่อเขาออกมาเปิดเผยว่า "คสช. ไม่ใช่มนุษย์วิเศษที่จะสามารถบันดาลสิ่งใดก็ได้ แต่ คสช. มีพลังที่จะทำให้ปัญหาหมดไปได้ เราอาจจำเป็นต้องทิ้งมิติประชาธิปไตยไปสักระยะ เพื่อแก้ปัญหาประเทศ เพราะหากทำไม่สำเร็จจะเกิดผลกระทบมหาศาล คสช. ถือเป็นองค์กรเดียวที่จะแก้ไขได้ งานนี้ไม่ใช่เรื่องของคนเก่ง แต่เป็นเรื่องของคนกล้า ผมบอก ผบ.ทบ. ว่าเราต้องกล้า ทำให้สำเร็จ ถ้าทำไม่สำเร็จแล้วเกษียณไปอาจจะมีความสุขกับลูกกับเมีย แต่ปัญหาจะคงอยู่กับประเทศนี้"
โทนเสียงของ พล.อ.ไพบูลย์ จึงเสมือนการสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต่ออายุราชการ แม้ว่าเขาจะเป็นแคนดิเดตในตำแหน่ง ผบ.ทบ. ด้วยก็ตาม
แต่นั่นถูกมองว่า อาจเป็นสัญญาณหนึ่งที่บ่งชี้ว่า พล.อ.ไพบูลย์ อาจรู้ตัวว่า เขาอาจจะไม่ได้เป็น ผบ.ทบ. เพราะเต็งหนึ่งของ บิ๊กโด่ง พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รอง ผบ.ทบ. และเลขาธิการ คสช. นั่นเอง แม้ว่ากระแสความแรงของเขาพุ่งสูง หลังการรัฐประหารก็ตาม
ด้วยเพราะในระยะหลังๆ นี้ พล.อ.ประยุทธ์ มักมอบหมายให้ พล.อ.อุดมเดช รับงานสำคัญๆ เพราะนอกจากจะเป็น เลขาฯ คสช. ที่เป็นแม่บ้าน ที่ดูทุกเรื่อง และเป็นหัวหน้าส่วนงานหน่วยขึ้นตรง หัวหน้า คสช. คุม กอ.รมน. สภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักข่าวกรองแห่งชาติแล้ว ยังมาคุมการแก้ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้อีกด้วย รวมทั้งการมอบหมายให้ประชุมต่างๆ แทน
แต่จะเห็นได้ว่า ยิ่งกระแสความแรงของ พล.อ.ไพบูลย์ ที่จะมาแรงแซงโค้งยึดเก้าอี้ ผบ.ทบ. ไปเชี่ยวกรากเท่าใด ก็จะได้เห็นความสงบ นิ่ง สุขุม ของ พล.อ.อุดมเดช มากขึ้นเท่านั้น
เพราะอย่างน้อย พล.อ.อุดมเดช ก็คือ สายเลือดแห่งทหารเสือราชินี ที่เติบโตด้วยกันมา ใน ร.21 รอ. กับทั้ง บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และ พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยนั่นเอง
ขณะที่ พล.อ.ไพบูลย์ ที่แม้จะสนิทสนมกับ พล.อ.อนุพงษ์ มาในยุครัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ในฐานะที่เป็น น้องรักของ บิ๊กบัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีต ผบ.ทบ. และหัวหน้า คมช. ในยุคนั้น จนกลายเป็นน้องรักในสายวงศ์เทวัญของ พล.อ.อนุพงษ์ มาก่อนก็ตาม
แต่แน่นอนว่า มีความพยายามในการสะกิดใจ พล.อ.ประยุทธ์ ถึงสายสัมพันธ์เพื่อน ตท.14 ของ พล.อ.อุดมเดช กับนายทหารที่ถูกจัดให้เป็นนายทหารในสายชินวัตร ทั้ง บิ๊กแป๊ะ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก อดีตปลัดกลาโหม และ บิ๊กแมว พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาฯ สมช.
อย่างไรก็ตาม หากในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการล้างทุกอาถรรพ์แห่งการรัฐประหาร ด้วยการเลือกที่จะนั่งเป็นนายกรัฐมนตรีเอง คนในกองทัพก็เชื่อกันว่า พล.อ.อุดมเดช จะเป็น ผบ.ทบ. คนต่อไป เพราะความชอบธรรมทั้งอาวุโสและรุ่น รวมทั้งเส้นทางที่เดินมาก็สง่างาม
แต่ที่สำคัญ แรงยุในกองทัพ และมวลชนบางกลุ่ม มีถึงขั้นหนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นทั้งนายกรัฐมนตรี ควบ รมว.กลาโหม และต่ออายุราชการ ควบเก้าอี้ ผบ.ทบ. ต่อ เพื่อให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพื่อมีอำนาจคนเดียวในการเดินหน้าแก้ปัญหาชาติ
แต่ก็มองได้ว่า คนที่เชียร์แบบนี้ น่าจะเป็นการเชียร์ให้พังมากกว่า เพราะการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ พล.อ.ประยุทธ์ คนเดียว แม้จะเป็นผลดีในการแง่การสั่งการ แต่ทว่าก็ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ กลายเป็นเป้าของทุกฝ่าย
แน่นอนว่าบรรดาน้องในกองทัพคงแค่อยากเชียร์ให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็น นายกรัฐมนตรี เท่านั้น ไม่ต้องควบ ผบ.ทบ. ด้วย แล้วปล่อยให้น้องๆ ในกองทัพได้เติบโต โดยไม่ต้องกลัวว่าน้องๆ จะหักหลัง หรือก่อการปฏิวัติซ้อนขึ้น
เพราะนาทีนี้ นายทหารในกองทัพ ต่างเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีทางเลือก นอกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่มีโอกาสที่จะยอมเกษียณราชการ จาก ผบ.ทบ. แล้ว นั่งเป็น หัวหน้า คสช. เท้าลอยพ้นจากอำนาจ แล้วตั้งคนอื่นเป็นนายกรัฐมนตรีแน่
แต่ที่สำคัญคือ ในเวลานี้มีนายทหารหลายคนอดอิจฉา พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้ เพราะจากที่เชื่อกันว่า เขาไม่กล้า ก่อการรัฐประหาร ด้วยหลากหลายสาเหตุ แล้วถ้ารัฐประหารแล้วต้องย่ำแย่อยู่ไม่ได้แน่นั้น ก็กลับกลายเป็นที่ชื่นชอบของประชาชน ถึงขั้นมีเสียงเรียกร้องให้เป็นนายกรัฐมนตรี แบบที่เรียกว่า หักล้าง สูตรอำนาจต้องห้ามของการรัฐประหาร ทุกครั้งที่ผ่านมาเลยทีเดียว
ก็ต้องรอดูกันแบบยาวๆ ว่าในปลายทาง จะเป็นเช่นไร โดยเฉพาะช่วงฮันนีมูนนี้จะยาวนานแค่ไหน
เพราะในขณะที่ทุกอย่างกำลังเป็นไปอย่างสวยงาม จู่ๆ ลุงกำนัน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ออกมาเปิดเผยเบื้องหลังการรัฐประหาร
ในการพูดในงานการกุศล "ทานข้าวกับ ลุงกำนัน" เปิดเผยว่า เขาและ พล.อ.ประยุทธ์ ได้มีการพูดคุยหารือกันมาตลอด ในการที่จะแก้ปัญหาชาติในการกำจัดคอร์รัปชั่น และระบอบทักษิณ ตั้งแต่หลังปี 2553 เรื่อยมาเลยทีเดียว
ประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า 3 ป. แห่งบูรพาพยัคฆ์ คือทั้ง พล.อ.ประวิตร พล.อ.อนุพงษ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ นั้นสนิทสนมใกล้ชิดกับนายสุเทพมาตั้งแต่เป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และร่วมกันปราบปรามคนเสื้อแดง ในปี 2553 มาด้วยกัน
จนทำให้การเคลื่อนไหวของนายสุเทพในการล้มรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" ครั้งนี้ ถูกมองว่า มี 3 ป. นี้หนุนหลังอยู่ มาตลอด
แต่เมื่อนายสุเทพระบุว่า ก่อนที่จะมีการประกาศกฎอัยการศึกนั้น เขาได้มีการพูดคุยผ่านข้อความกับ พล.อ.ประยุทธ์ เสมอๆ จนที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ ส่งข้อความมาถึงเขาว่า "คุณสุเทพ คุณและมวลชน กปปส. เหนื่อยกันมามากแล้ว ต่อไปนี้กองทัพ จะรับไม้ต่อเอง"
จึงไม่แปลกที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องปฏิเสธคำกล่าวอ้างนี้ของนายสุเทพทันใด โดยยืนยันว่า เขาไม่เคยพูดคุยหรือสื่อสารเป็นการส่วนตัวกับนายสุเทพในลักษณะนั้นเลย เพราะการพูดคุยก็จะมีแค่เมื่อครั้งที่ได้รับมอบหมายจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในเวลานั้น ให้ประสานกับนายสุเทพเพื่อพูดคุยเจรจา รวมถึงการขอให้ควบคุมดูแลมวลชน ไม่ให้ทำผิดกฎหมาย หรือใช้ความรุนแรง
เป็นการติดต่อในเรื่องงาน ในฐานะที่ ผบ.ทบ. ดูแลงานความมั่นคง เท่านั้น
พล.อ.ประยุทธ์ ให้ พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษ กทบ. ออกมาชี้แจงยืนยัน อีกครั้ง ว่าเป็นความเข้าใจ และเป็นข่าวที่คลาดเคลื่อน แต่ก็ทำให้ภาพของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เคยถูกสงสัยว่า มีความเกี่ยวโยงกับนายสุเทพนั้นถูกมองอย่างมีน้ำหนัก โดยเฉพาะเมื่อ แนวทางของ คสช. หลายอย่างก็คือ แนวคิดของนายสุเทพที่เคยประกาศมาก่อนหน้านี้
ส่งผลให้ภาพพจน์ของ คสช. และการรัฐประหารครั้งนี้กลายเป็นปฏิบัติการภาคต่อของนายสุเทพ และ กปปส. ไปในทันใด ทั้งๆ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็พยายามที่จะระวังอย่างยิ่ง
ท่ามกลางความสงสัยว่า ระหว่าง นายสุเทพ และ พล.อ.ประยุทธ์ นั้นควรจะเชื่อใคร แล้วทำไมนายสุเทพจึงออกมาพูดเช่นนี้ หรือเพราะต้องการต่อรองโควต้า ในเรื่องการตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาปฏิรูป และคณะรัฐมนตรี หรือไม่ แม้ว่าตัวเขาจะประกาศไม่เล่นการเมืองอีกแล้วก็ตาม
แต่ทว่า ก็ไม่มีเหตุผลใดที่นายสุเทพจะพูดเรื่องไม่จริง จึงไม่แปลกที่บรรดาคนเสื้อแดงและกลุ่มต่อต้าน คสช. จะขานรับข่าวนี้ และพากันเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ และนายสุเทพ คือทีมเดียวกัน
แม้ว่าการส่งข้อความระหว่าง นายสุเทพ กับ พล.อ.ประยุทธ์ นั้นอาจจะเป็นแค่แมสเสจทางโทรศัพท์ แต่มันก็ถูกเข้าใจว่า เป็น การผ่านไลน์ จนเป็นที่มาของคำว่า "ไลน์ล้มรัฐบาล"
แน่นอนว่า ย่อมทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่แฮปปี้นัก...
เพราะในห้วงไล่เลี่ยกัน 24 มิถุนายน นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีต รมว.มหาดไทย ก็เปิดตัวองค์กร "เสรีไทย" องค์กรต่อต้านรัฐประหาร ด้วยการออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 1 ประกาศต่อต้านระบบเผด็จการทหาร และ คสช. ด้วยถ้อยคำที่รุนแรง ที่ส่งผลให้ พล.อ.ประยุทธ์ อารมณ์เสีย
ท่ามกลางการจับตามองว่า ความเคลื่อนไหวของนายจารุพงศ์ที่ถูกเชื่อว่า คงมีแกนนำพรรคเพื่อไทยหรือแม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อยู่เบื้องหลังหรือไม่นั้น แม้จะไม่ได้ถึงขั้น เป็น "รัฐบาลพลัดถิ่น" ก็ตาม แต่ก็อาจจะกลายเป็นข้ออ้างให้ คสช. ต้องคงอยู่ในอำนาจต่อไปยาวนานกว่าเดิมก็ได้ เพราะมองว่าสถานการณ์ยังไม่สงบ มีการต่อต้านอย่างชัดเจน อาจทำให้การปฏิรูปต่างๆ ไม่อาจสำเร็จได้ ก็จะยิ่งทำให้การเลือกตั้งเกิดขึ้นช้าลง
นี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องตัดสินใจในการรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ ด้วยก็เป็นได้...
แต่ก็มีคำถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะยอมเกษียณราชการไปตามปกติไม่ได้หรือ แล้วตั้งนายทหารที่ตนเองไว้วางใจที่สุด มาเป็น ผบ.ทบ. เพื่อที่จะเป็นฐานอำนาจให้ตนเอง ในการเป็นหัวหน้า คสช. ต่อไป
แต่หากไม่คุมอำนาจเอง ก็มีคนสะกิดว่า ต้องระวังการ "ปฏิวัติซ้อน" ล้มล้างอำนาจของ หาก ผบ.ทบ.คนใหม่ และ ผบ.เหล่าทัพชุดใหม่ ต้องการนำพาประเทศไปในอีกแนวทางหนึ่ง แต่โอกาสก็เกิดขึ้นได้น้อยมาก เพราะ พล.อ.อุดมเดช หรือ พล.อ.ไพบูลย์ นั้นถือเป็นนายทหารที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไว้วางใจทั้งคู่
เพราะหากกระแสประชาชนที่พึงพอใจ

2. World War IIIต้องเกิดเพื่อปกป้องมาตรฐานดอลล่าร์

2. World War IIIต้องเกิดเพื่อปกป้องมาตรฐานดอลล่าร์
ทั้งจีนและรัสเซียเดินเกมคู่รุกฆาตเพื่อทำลายมาตรฐานดอลล่าร์ โดยที่สหรัฐฯกำลังตั้งตัวไม่ติด
นายกรัฐมนตรีหลี เค่อเฉียงของจีนได้นำคณะไปเยือนลอนดอนของอังกฤษในวันพุธที่ผ่านมาเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างทั้งสองประเทศให้ได้$30,000ล้าน แต่หัวใจของการเดินทางครั้งนี้คือการเพิ่มบทบาทของเงินหยวนในศูนย์กลางการเงินของโลก โดยที่การค้าระหว่างจีนและอังกฤษจะทำสว๊อปกันเป็นเงินหยวนและเงินปอนด์ และจะไม่มีเงินดอลล่าร์เข้ามาเกี่ยวข้อง เรียกกันว่าเป็นการเลิกระบบดอลล่าร์ (de-dollarization)
ทางForeign Exchange Trade System (CFETS) ของจีนประกาศว่า จีนจะเริ่มทำการค้ากับอังกฤษเริ่มต้นวันที่19มิถุนายน 2014 จะมีการใช้เงินหยวนและเงินปอนด์สว๊อปกัน โดยที่ไม่มีเงินดอลล่าร์เข้ามาเกี่ยวข้องในธุรกรรมระหว่างทั้ง2ประเทศเลย แถลงการณ์ของCFETSกล่าวเพิ่มว่า มาตรการครั้งนี้มุ่งที่จะส่งเสิ่มการค้าและกาารลงทุนระหว่างจีนและอังกฤษ และจะเป็นการอำนวยความสะดวกให้เงินหยวนและเงินปอนด์ในการค้าระหว่างประเทศ
จีนมีการทำเงินสว๊อปกับหลายๆประเทศแล้วเช่นญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนนาดา รัสเซียและมาเลย์เซีย แต่ข้อตกลงทางการเงินกับอังกฤษถือได้ว่าเป็นฆ้อนยักษ์ที่ทุบบนหลังของเงินดอลล่าร์ เพราะถ้าการค้าขายหรือธุรกรรมการเงินของโลกใช้เงินดอลล่าร์น้อยลง ค่าเงินดอลล่าร์จะเสื่อม ความสำคัญจะลดลง และท้ายที่สุดการยอมรับจะหมดไปทำให้ดอลล่าร์สหรัฐฯกลายเป็นกระดาษ
ที่สำคัญอังกฤษเป็นพันธมิตรที่สร้างสหรัฐฯให้เป็นมหาอำนาจโลกหลังสงครามโลกครั้งที่2 การที่อังกฤษยอมทำข้อตกลงเพื่อเพิ่มบทบาทของหยวนในเวทีการเงินโลก และในการค้ากับอังกฤษ เท่ากับว่าอังกฤษกำลังลอยแพสหรัฐฯ
หรือว่าอังกฤษกำลังถือมีดเสียบแทงสหรัฐฯข้างหลัง?

World War IIIต้องเกิดเพื่อปกป้องมาตรฐานดอลล่าร์?

1. World War IIIต้องเกิดเพื่อปกป้องมาตรฐานดอลล่าร์
สงครามโลกครั้งที่3ดูท่าว่าจะเลี่ยงไม่ได้แล้ว เพราะว่าเกมถูกกำหนดให้เดินไปถึงจุดนั้น สหรัฐฯจำต้องก่อสงครามเพื่อที่จะรักษาสถานภาพความเป็นเงินสกุลหลักของโลกของเงินดอลล่าร์ ดอลล่าร์สหรัฐฯอาจจะพิมพ์ออกมาเปล่าๆโดยไม่มีหลักทรัพย์อะไรหนุน แต่ที่จริงแล้วสหรัฐฯมีแสนยานุภาพทางทหารหนุนเงินดอลล่าร์อยู่ โดยแสนยานุภาพทางทหารที่ครอบคลุมทั่วโลกนี้มีไว้เพื่อบังคับให้ระเบียบโลกปัจจุบันหมุนรอบมาตรฐานดอลล่าร์ (dollar standard)
ภายใต้มาตรฐานดอลล่าร์ ทุกประเทศต้องใช้ดอลล่าร์ในการค้าขายหรือทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศเป็นหลัก ทำให้สหรัฐฯพิมพ์ดอลล่าร์ออกมาใช้จ่ายฟรีๆ ถ้าหากเงินดอลล่าร์สูญเสียสิทธิพิเศษของความเป็นเงินสกุลหลักของโลก แสนยานุภาพของสหรัฐฯจะถูกสั่นคลอน เพราะว่าสหรัฐฯจะออกพันธบัตรก่อหนี้เพื่อการใช้จ่ายในการรักษาแสนยานุภาพทางทหารไม่ได้
เงินดอลล่าร์และแสนยานุภาพทางทหารของสหรัฐฯจึงเป็นสองหน้าในเหรียญเดียวกัน ถ้าเงินดอลล่าร์พัง แสนยานุภาพทางทหารของสหรัฐฯจะถึงจุดจบตามไปด้วย และถ้าแสนยานุภาพทางทหารของสหรัฐฯพัง ดอลล่าร์จะไม่สามารถรักษาความเป็นเงินสกุลหลักของโลกได้อีก
ตามกฎเกณฑ์ของโลก มีขึ้นก็ต้องมีลง สหรัฐฯดูแลระเบียบโลกปัจจุบันมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่2 ในฐานะมหาอำนาจโลก แต่ขณะนี้ความเป็นมหาอำนาจโลกของสหรัฐฯกำลังโดนท้าทายโดยทั้งรัสเซียและจีน คู่ปรับที่แท้จริงของสหรัฐฯคือรัสเซีย ไม่ใช่จีน แต่เมื่อทั้ง2ประเทศจับมือกันเพื่อรุมกระทืบมาตรฐานดอลล่าร์เพื่อขอเป็นมหาอำนาจโลกแทนสหรัฐฯบ้าง สหรัฐฯจำต้องปกป้องความเป็นมหาอำนาจของตัวเองด้วยการก่อนสงคราม
สหรัฐฯพ่ายแพ้เกมทางการเงินแล้วหลังจากวิกฤติการเงิน2008 เฟดเดอรัล รีเชิร์ฟ หรือธนาคารกลางของสหรัฐฯทำได้เพียงพิมพ์เงินเพื่อประวิงเวลาพยุงระบบมาตรฐานดอลล่าร์ ถ้าวิกฤติมาอีกรอบ เฟดจะไม่มีกำลังเหลือพอในงบดุลบัญชีที่จะอุ้มมาตรฐานดอลล่าร์ได้อีกต่อไป
เหลืออยู่วิธีเดียวที่สหรัฐฯจะเอาตัวรอดได้ คือต้องก่อสงครามโลก เพื่อที่จะล้างไพ่ และหวังว่าจะชนะเพื่อที่จะกลับมาเขียนระเบียบการเงินโลกใหม่ หรือNew World Order นั่นเอง

ที่มา : 

ไทม์ไลน์ ธรรมนูญปกครองชั่วคราวในมุมของโหราศาสตร์


วันนี้มีข่าวว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจวนเสร็จเต็มทีแล้ว ผมลองตรวจการโคจรของดวงดาวแล้ว ลองช่วยกันดูนะครับ
๑ วันพฤหัสที่ ๑๗ กค ทูลเกล้ารัฐธรรมนูญ พระเอาทิตย์โคจรมาอยู่ราศีกรกฎ ๑ องศา(ก่อนนี้พระอาทิตย์ยังอยู่เมถุนเป็นธาตุลมปลายราศีอ่อนไป) อยู่ในราศีทวารแต่ไม่ถือเป็นพระอาทิตย์ตกน้ำเพราะยัง
ไม่ถึง๖ องศา โลด
๒วันจันทร์ที่ ๒๑-พุธที่ ๒๓ กรกฎา ทูลเกล้าสมาชิกสภานิติบัญญัติ
๓ วันพฤหัสที่ ๓๑ กรกฎา(ประมาณ) -พฤหัสที่๖ สิงหา รัฐพิธีเปิดสภานิติบัญญัติและประชุมสภานิติบัญัติ เลือกประธานสภา แล้วทลเกล้าตั้งประธาน จากนั้นประชุมสภานิติบัญญัติเลือกนายกแล้วประธานฯทูลเกล้าตั้งนายก ไม่ต้องดูฤกษ์ตั้งนายกเพราะจะเป็นฤกษ์จากฟ้าเอง
๔ นายกทูลเกล้าตั้ง ครม ถ้าทัน ก่อน ๑๒ สิงหา ก็ได้จัดงานเฉลิมฯสมเด็จพระนางเจ้าให้เป็นศิริมงคลแก่รัฐบาลใหม่ แต่อย่างช้าไม่ควรเกินเลยไปถึง ๑๕ สิงหาคม
๔ ปลายสิงหาก็แถลงนโยบายแล้วรัฐบาลใหม่ก็บริหารเต็มที่ต้่นกันยาตามกำหนดที่แถลงไว้
ก็คำนวณดูเพลินๆก่อนนอนละครับ เชิญท่านโหรานุโหรช่วยกันตรองดู

หน.การ์ดกปปส.แจ้งวัฒนะ เผยหนีกบดานที่วัดอ้อน้อย ของพุทธอิสระและพื้นที่จังหวัดภาคใต้?

หน.การ์ดกปปส.แจ้งวัฒนะ เผยหนีกบดานที่วัดอ้อน้อย ของพุทธอิสระและพื้นที่จังหวัดภาคใต้?

"นายอานนท์ หรือดำ กลิ่นแก้ว อายุ 42 ปี ชาว จ.สมุทรสาคร หัวหน้ากลุ่มสิงห์ดำ ที่เป็นกลุ่มย่อยของการ์ด กปปส.แจ้งวัฒนะ แยกตัวออกมาจากกลุ่มองค์ดำ หลังเกิดเหตุผู้ต้องหารายนี้หลบหนีไปพักอยู่ที่วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ของหลวงปู่พุทธอิสระ ก่อนหนีลงใต้ไปกบดานในพื้นที่ จ.พัทลุง และ จ.นครศรีธรรมราช จนถูกจับกุมดังกล่าว ตรวจ สอบประวัติผู้ต้องหารายนี้มีหมายจับข้อหาปล้นทรัพย์ ในพื้นที่ สน.ทุ่งสองห้อง รวมทั้งเคยก่อเหตุแย่งปืนจากตำรวจชุดเจรจาต่อรอง บก.น.2 เหตุเกิดริมถนนแจ้งวัฒนะ เมื่อวันที่ 22 เม.ย.57 นอกจากนี้พบว่านายอานนท์ยังฝ่าฝืนคำสั่งไม่ไปรายงานตัวตามที่ คสช. ออกคำสั่งที่ 68/2557 ให้บุคคลใน 33 รายชื่อมารายงานตัวเพิ่มเติม ณ ห้องจามจุรี สโมสรทหารบก (ส่วนกลาง) เทเวศร์"

อานนท์การ์ดกปปส.กล่าวขอโทษและขอขมานางบังอรรัตน์ มารดาพ.อ.วิทวัส ที่ถูกรุมทำร้ายบาดเจ็บสาหัส ด้านมารดากล่าวอโหสิกรรม แต่ตั้งคำถาม "ทำไมต้องทำร้ายลูกชายของตน"

พิพากษาต้าน รปห.คดีแรก ศาลสั่งจำ 2 ด.-ปรับ 6 พัน ลดโทษรอลงอาญา-ปรับ 3 พัน

พิพากษาต้าน รปห.คดีแรก ศาลสั่งจำ 2 ด.-ปรับ 6 พัน ลดโทษรอลงอาญา-ปรับ 3 พัน

คดีชุมนุมต้านรัฐประหารคดีแรก ศาลสั่งจำคุก 2 เดือน-ปรับ 6,000 บาท จำเลยรับสารภาพ-คดีไม่ร้ายแรง ลดเหลือโทษปรับ 3,000 บาท ส่วนจำคุกรอลงอาญา

3 ก.ค.2557 เวลา 10.35 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 4 ศาลแขวงปทุมวัน สหรัฐ สิริวัฒน์ ผู้พิพากษารองหัวหน้าศาลแขวงปทุมวัน ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีอาญา หมายเลขดำที่ 333/2557 ที่พนักงานอัยการ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง วีระยุทธ คงคณาธาร อายุ 49 ปี อาชีพรับจ้าง ในข้อหาฝ่าฝืนมาตรา 8 และ 11 พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 และประกาศ คสช. ที่ 7/2557 เรื่องห้ามการชุมนุมทางการเมือง
ศาลอ่านคำพิพากษาระบุว่า เมื่อวันที่ 23 พ.ค.เวลากลางคืน จำเลยและพวก 500 คน ซึ่งยังไม่สามารถติดตามตัวได้ มั่วสุมชุมนุมต้านรัฐประหาร ซึ่งถือเป็นการชุมนุมทางการเมือง เป็นการฝ่าฝืนประกาศ คสช. เหตุเกิดที่แขวงปทุมวัน จำเลยรับสารภาพ ศาลได้สั่งให้มีการสืบเสาะแล้ว

ศาลตัดสินว่ามีความผิดฐานฝ่าฝืนมาตรา 8 และ 11 พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 และประกาศ คสช. ที่ 7/2557 เรื่องห้ามการชุมนุมทางการเมืองฯ ให้ลงโทษจำคุก 2 เดือน ปรับ 6,000 บาท แต่เนื่องจากจำเลยรับสารภาพ จึงลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 1 เดือน ปรับ 3,000 บาท ทั้งนี้จากการสืบเสาะ ศาลเห็นว่าพฤติการณ์คดีไม่ร้ายแรง จำเลยมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่มีพฤติกรรมหลบหนี มีภาระต้องเลี้ยงดูครอบครัว จึงให้รอลงอาญาโทษจำคุกไว้ 1 ปี และจ่ายค่าปรับ 3,000 บาท

สำหรับ วีระยุทธ คงคณาธาร ถูกควบคุมตัว พร้อมธนาพล อิ๋วสกุล, อภิชาติ (ภายหลังถูกตั้งข้อหาฝ่าฝืนประกาศ คสช.และมาตรา 112) และนักศึกษาแพทย์อีกหนึ่งคน บริเวณหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 23 พ.ค. โดยวีระยุทธถูกควบคุมตัวที่กองปราบฯ 7วันก่อนจะตั้งข้อหาฝ่าฝืนประกาศ คสช. ฉ.7 ห้ามชุมนุม เมื่อวันที่ 29 และได้ประกันตัวเมื่อวันที่ 30 พ.ค.

วีระยุทธ กล่าวว่า วันนั้นไปเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย เพราะไม่ชอบการปฏิวัติรัฐประหาร โดยปกติไม่เคยออกไปชุมนุม ครั้งนั้นเป็นครั้งแรก ถ้ารู้ว่าต่อต้านรัฐประหารแล้วจะติดคุกคงไม่ไป เขากล่าวว่า วันที่โดนควบคุมตัว น่าจะเป็นเพราะไปยืนต่อว่าทหารด้วยความโกรธก่อน และเมื่อโดนควบคุมตัว ก็โดนกระชากลากไป ค่อนข้างแรง โดยทหารเข้าใจว่าจะหนี แต่อันที่จริงคือเขาต้องการไปหยิบแว่นตาที่ตก
ภาวิณี ชุมศรี ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า เท่าที่ทราบคดีนี้เป็นคดีต้านรัฐประหารคดีแรกที่มีการตัดสิน เนื่องจากจำเลยรับสารภาพตั้งแต่ชั้นสอบสวน โดยคดีที่ขึ้นศาลยุติธรรมหลังรัฐประหารเป็นต้นมา มี 4 คดี คือ กรณีวีระยุทธ อภิชาติ ผู้ต้องหาคดีฝ่าฝืนประกาศ คสช.และมาตรา 112 ณัฐ อดีตผู้ต้องขังคดี 112 ซึ่งถูกเรียกรายงานตัวเมื่อวันที่ 24 พ.ค. และผู้ชุมนุมถือป้ายประท้วงที่เชียงใหม่ 3 คน เนื่องจากเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนประกาศ คสช.ที่ให้ความผิดตามประกาศ คสช. ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค. ต้องขึ้นศาลทหาร

สำหรับประกาศ คสช. ฉบับที่ 7/2557 เรื่องการห้ามชุมนุมทางการเมือง หรือมั่วสุมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ระบุว่า ผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ที่มา ประชาไท

ไพศาล พืชมงคล:dารปรับดุลยภาพความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับต่างประเทศหลังคสช.ยึดอำนาจ


หลังยึดอำนาจเดือนเศษ ได้ก่อรูปการปรับดุลยภาพความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับต่างประเทศชัดเจนขึ้น
๑ สภาพใหม่คือ ไทย-อาเชี่ยน เป็นวงรอบที่ ๑
๒ ไทย-อาเชี่ยน-จีน-ญี่ปุ่น-เกาหลี(อาเชียนบวก ๓ )เป็นวงรอบที่ ๒
๓ ไทย-อาเชียน-องค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้(จีน-รัสเซีย -อินเดีย-อิหร่่าน-เกาหลีเหนือฯลฯ) เป็นวงรอบที่ ๓(อาจรวมประเทศในอาฟริกาและลาตินอเมริกาด้วย)
๔ ไทย-สหรัฐ-อียู-ออสเตรีเลีย เป็นวงรอบที่ ๔
ความสัมพันธ์ใหม่ในลักษณะั ๔ วงรอบเช่นนี้จะสอดคล้องกับสภาพการณ์ของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงพอดีคือองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้รุ่งเรือง อำนาจโลกเก่ากำลังร่วงโรย
ในท่ามกลางการปรับตัวนี้ ไทยจะต้องเผชิญกับแรงกดดันของประเทศในวงรอบที่ ๔ สักระยะหนึ่งแต่จะไม่หนักหนาอะไรมากนักเพราะพลังกำลังถอย สู้พลังอำนาจโลกใหม่ไม่ได้
จุดสำคัญคือการสร้างสถานการณ์ซีเรียโมเดลซึ่งยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แต่เชื่อว่าการสร้างสถานการณ์จะไม่สำเร็จเพราะคนไทยคือคนที่ตะวันตกไม่เข้าใจ ที่ไปอบรมกันมา ๓ ปีนั้นไม่มีพันธะว่าจะต้องทำตามที่ตกลงกัน เงินไม่ไปคนไม่มา ถึงไปก็ไม่มาเอาเงินไปกินเหล้าดีกว่า

สมบัติ บุญงามอนงค์ ทวีตซีรีย์ "นักโทษการเมือง"

สมบัติ บุญงามอนงค์ ทวีตซีรีย์ "นักโทษการเมือง"
บ่ายแก่ๆ ของวันที่ 12 มิ.ย. ผมเดินทางเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพ และเป็นธรรมเนียม ผู้มาใหม่ต้องเข้ามาอยู่แดนแรกรับ คือ แดน1 ที่นี่มี 8 แดน
นักโทษทุกคนต้องตัดขากางเกงหรือใส่ขาสั้น ค้นตัว ทำประวัติ ตัดผมสั้นภายใน 1 วัน เข้าห้องขังตอนบ่ายสาม และออกมาตอน 6 โมงเช้า
เสียงตะโกน "ยินดีต้อนรับ บก.ลายจุด" คือ เจ๋ง ดอกจิก และจ่าประสิทธิ์ ทั้งคู่สีหน้าแสดงความยินดีอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเจอหน้าผมในคุก
เป็น การใช้ชีวิตในคุกครั้งที่สองในชีวิต ครั้งแรกตอนโดนพลเอกสพรั่งและพลเอกสนธิฟ้องหมิ่นประมาท การเข้ามาครั้งล่าสุดจึงปรับตัวรับมือได้ดี
อาหารมื้อแรกในคุกคือขนมปังถุงเล็กๆ ที่พี่เจ๋ง ดอกจิก หยิบใส่มือไว้ เพราะเข้ามาสาย ครัวกลางปิดแล้ว พร้อมน้ำดื่มขวดหนึ่ง
ก่อน เข้าห้องพัก ผมเดินไปทักทายพี่สมยศ พฤกษาเกษมสุขที่อยู่อีกห้องหนึ่ง ในบรรดาคนที่รู้จักในนั้น พี่สมยศ คือคนที่ผมคุ้นเคยมากที่สุด
พี่สมยศ เป็นนักโทษการเมืองที่ติดคุกมา 3 ปีกว่าแล้ว คดียังอยู่ในชั้นอุทธรณ์ ในบรรดานักโทษการเมืองทั้งหมด เขาคือคนที่นิ่งที่สุด สงบ เยือกเย็น
เป็นธรรมดาที่ผู้คนในคุกจะมีความหลากหลาย โดยเฉพาะความเห็นทางการเมือง ในแดน 1 ผมได้พบกับผู้ต้องหาที่ถูกเรียกว่า มือปืนป๊อบคอร์น
ความ รู้สึกแรกที่ได้เจอป๊อบคอร์น ผมรู้สึกถึงความเป็นคนธรรมดาผู้หนึ่ง ภาพที่สังคมมองเขาว่าเป็นมือปืนมืออาชีพอะไรเทือกนั้น ไม่ปรากฏเลย
ผมเดินไปแนะนำตัวเอง พร้อมยืนมือออกมาสัมผัสแบบทักทาย "สวัสดีป๊อบคอร์น ผม บก.ลายจุด"
แม้ ในช่วงแรกของการสนทนากับเพื่อนใหม่ต่างสีระหว่างป๊อบคอร์นกับ บก.ลายจุด จะหนืดสักหน่อย แต่เมื่อการเริ่มต้นสักพัก กำแพงของสีก็ลดลง
ผมจะไม่ลงราย ละเอียดเรื่องบทสนทนาระหว่างผมกับป๊อบคอร์นเพราะจะไม่เป็นความยุติธรรมและ อาจมีผลต่อคดี เอาเป็นว่า เขาไม่ได้มีลักษณะเป็นคนใจร้ายอะไร
ป๊อบคอร์ นถูกมอบหมายงานให้ดูแลหน้าแดน เพราะผู้คุมกังวลว่าหากให้ทำงานในแดนจะไปปะปนกับเสื้อแดงและอาจเป็นปัญหา นี่เป็นเรื่องที่ผู้คุมระวังมาก
ใครจะเชื่อว่า วันท้ายๆ ที่ผมอยู่ในคุก ป๊อบคอร์นแอบมานอนกลางวันในมุมเสื้อแดงอยู่กันเป็นกลุ่ม พวกเขานั่งสนทนากันสนุกสนานออกรส หัวเราะกันร่า
กฏในคุกข้อแรกคือ ห้ามป่วย เพราะยาที่นี่หายาก มีแต่พารา นักโทษที่ค่อนข้าง VIP หน่อยจะมียาแก้อักเสบ ยาแก้ไอ ทิฟฟี่นี่จัดเป็นของระดับไฮคลาส
เช้าวัน หนึ่งผมเจอป๊อบคอร์นสีหน้าไม่ค่อยดี เขาป่วย ไอ มีน้ำมูก เขาไม่มียาทานผมเลยหายาลดน้ำมูก 2 เม็ดมาให้ นี่ไม่ใช่เรื่องสีแต่คือมนุษยธรรม
นอกจากป๊อบคอร์นแล้ว ยังมีการ์ด คปท. คนหนึ่ง แต่โดนจับในคดีปืน ไม่ได้เกียวกับคดีการเมือง ที่แขนเขาสักคำว่า "พุทธอิสระ"ผม
อยากสรุปสั้นๆ ว่า ทั้งเสื้อเหลืองและแดงที่มาติดคุกร่วมกัน พวกเขาไม่ใช่อาชญากร เขาเพียงมีชุดความคิดของตนเองซึ่งเชื่่อว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

อบูบักร อัลบักดาดี เป็นผู้นำของกลุ่ม ISISเตรียมตั้งตนเป็นกษัตริย์!และยึดครองโลก

คนในรูปนี้ชื่อ อบูบักร อัลบักดาดี เป็นผู้นำของกลุ่ม ISIS (Islamic State of Iraq and Syria) ซึ่งมีชื่อเสียงว่าเป็นกลุ่มอิสลามหัวรุนแรงที่แข็งแกร่งและบ้าเลือดที่สุดในปัจจุบัน
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (29 มิ.ย.) อบูบักร ได้ทำเรื่องสะเทือนเลื่อนลั่นอย่างหนึ่ง นั่นคือ "ตั้งตัวเป็นกษัตริย์!"
...ไม่สิ อันที่จริงมันยิ่งกว่านั้นอีก พูดให้ชัดคืออบูบักร "ตั้งตัวเป็นกาหลิบ!"
ปกติรัฐอิสลามจะมีตำแหน่งเจ้าครองนครที่เทียบเคียงกษัตริย์อยู่หลายตำแหน่ง หลักๆได้แก่ สุลต่าน เอมีร์ และกาหลิบ
สุลต่านกับเอมีร์นั้นคือผู้นำทางการเมือง แต่จะนำทางศาสนาหรือไม่ก็ได้ ส่วน "กาหลิบ" นั้นต้องเป็นผู้นำทางการเมืองและศาสนา เป็นตำแหน่งผู้ปกครองชาวมุสลิมทั้งหมดที่สืบทอดมาแต่พระศาสดามะหะมัด
อธิบายว่าตอนแรกอาณาจักรอิสลามเป็นประเทศเดียวกัน มีกาหลิบปกครอง ต่อมาเกิดสงครามกลางเมืองทำให้แตกออกเป็นหลายประเทศ กาหลิบที่ได้รับการยอมรับกันทั่วไปจึงมีแค่สี่คนแรก (จริงๆแล้วในสี่คนนี้นิกายชีอะห์ยอมรับแค่ท่านอาลีซึ่งเป็นคนสุดท้าย และการเลือกยอมรับกาหลิบนั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดสงครามกลางเมือง และการแตกนิกายของอิสลาม)
หลังยุคสี่กาหลิบ ผู้ที่กล้าพอจะเรียกตัวเองเป็นกาหลิบอีก มักต้องเป็นผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกมุสลิม เพราะตำแหน่งดังกล่าวหมายถึงตัวแทนของอิสลามทั้งหมด
กาหลิบคนสุดท้ายก่อนหน้านี้คือกษัตริย์ของพวกเติร์ก ซึ่งเคยเป็นรัฐอิสลามที่แข็งแกร่งกว่ารัฐอื่นๆก่อนจะเสื่อมอำนาจไปเมื่อราวหนึ่งร้อยปีก่อน หลังจากนั้นไม่มีใครกล้าเรียกตัวเองเป็นกาหลิบอีกเลย
...จนกระทั่ง อบูบักรเอาตำแหน่งนี้กลับมาอีกครั้ง...
ตอนนี้กลุ่ม ISIS เปลี่ยนชื่อแล้ว เหลือแค่ IS (Islamic State) อย่างเดียว
อบูบักรเรียกร้องให้ชาวมุสลิมทั้งหมดมายอมสวามิภักดิ์ต่อเขา ซึ่งเป็นตัวแทนสูงสุดแต่เพียงผู้เดียวของโลกอิสลาม
นอกจากนั้นเขายังประกาศชัดว่าจะไม่หยุดแค่อิรักกับซีเรีย แต่จะขยายอำนาจไปรวบรวมรัฐอิสลามอื่นๆให้เป็นปึกแผ่น หลังจากนั้นจะบุกตีกรุงโรม และยึดครองโลก!
ท่านไม่ได้อ่านผิดนะครับ "...ยึด ...ครอง ...โลก..."
(แต่ทำไมต้องเจาะจงว่าไปตีโรมด้วย? ...สงสัยจะชอบกินพิซซ่า)
ใครอ่านประวัติศาสตร์จีน เหล่าที่ปรึกษามักแนะนำหัวหน้าว่า "ให้ซื้อใจประชาชน อย่ารีบตั้งตัวเป็นอ๋อง" นั่นเพราะการเป็นอ๋องไม่ได้มาจากการเรียกตัวเอง แต่มาจากการที่ผู้คนทั้งปวงยอมรับในคุณธรรมความสามารถ
หากรีบตั้งตัวเป็นอ๋องโดยคนไม่ยอมรับ มีความเสี่ยงที่จะโดนคนหมั่นไส้
...เราก็มาดูกันว่าอบูบักรจะยึดครองโลกได้อย่างที่เขาบอกไหมนะครับ...

รธน.ชั่วคราววางกรอบ "ร่างรธน.ฉบับใหม่" 10 เรื่องเน้นปราบทุจริต-ป้องกันประชานิยม

รธน.ชั่วคราววางกรอบ "ร่างรธน.ฉบับใหม่" 10 เรื่องเน้นปราบทุจริต-ป้องกันประชานิยม

เขียนวันที่
วันพฤหัสบดี ที่ 03 กรกฎาคม 2557 เวลา 18:18 น.
เขียนโดย
isranews
"ล่าสุดมีการเพิ่มเติมเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว กำหนดกรอบเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยให้ “คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ” จำนวน 35 คนพิจารณาศึกษาเพื่อบรรจุในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ 10 ประเด็น"
rattatamnon
ขั้นตอนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) ใกล้เสร็จสิ้นเต็มทีแล้ว โดยคณะกรรมการยกร่างได้ส่งร่างให้ “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ” (คสช.) ได้พิจารณาแล้วหลายรอบแล้ว
ล่าสุด “พ.อ.วินธัย สุวารี” คณะโฆษกคสช. ออกมาระบุว่า “คสช.” ได้ประชุมร่วมกับคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราว เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2557 โดย “คสช.” สั่งให้นำร่างกลับไปแก้ไขอีกเพียงเล็กน้อย
กระบวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราว โดนเร่งจากไทม์มิ่งของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผบ.ทบ. หัวหน้าคสช. ที่ต้องการให้มีผลบังคับใช้ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org จึงประมวลภาพรวมและสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญชั่วคราว เพื่อฉายให้เห็นภาพว่า “ประเทศไทย” จะเดินไปในทิศทางใด
มีการคาดการณ์ว่ารัฐธรรมนูญชั่วคราวจะมีประมาณ 45 มาตรา กำหนดให้ “คสช.” ตั้ง “สภานิติบัญญัติแห่งชาติ” (สนช.) จำนวน 200 คน เพื่อทำหน้าที่เกี่ยวกับการออกกฎหมาย และกำหนดสนช. โหวตเลือก “นายกรัฐมนตรี” โดย “ประธานสนช.” จะเป็นผู้นำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ
นอกจากนี้ยังกำหนดคุณสมบัติคนที่จะมาเป็น “นายกรัฐมนตรี-รัฐมนตรี” สามารถเป็นข้าราชการประจำและมาจากระบบราชการได้ด้วย และ “นายกรัฐมนตรี” ต้องแถลงนโยบายก่อนเข้าบริหารประเทศแต่ไม่มีการลงมติ
ส่วน “สภาปฏิรูป” กำหนดให้มี 250 คน ทำหน้าที่จัดทำร่างรัฐธรรมนูญและดูแลเรื่องกรอบการปฏิรูปประเทศ โดยแต่ละจังหวัดจะมีคณะกรรมการสรรหาจังหวัดละ 5 เพื่อไปคัดเลือกตัวแทนมา 5 คน โดยจะต้องไม่มีคุณสมบัติต้องห้าม แล้วให้ “คสช.” เลือกเหลือจังหวัดละ 1 คน รวม 77 คน
สำหรับที่เหลืออีก 173 คน จะมีการตั้งคณะกรรมการสรรหาขึ้นมา 11 ชุด ชุด 5-7 คน เพื่อเลือกตัวตัวแทนจาก 11 กลุ่ม ประกอบด้วย การเข้าสู้อำนาจ (นิติบัญญัติ) การใช้อำนาจบริหาร (รวมอำนาจ กระจายอำนาจ) การควบคุมอำนาจรัฐ(องค์กรตุลาการ,กระบวนการยุติธรรม องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ) กลุ่มพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
กลุ่งพลังงาน กลุ่มการศึกศึกษา กลุ่มการเรียนรู้ กลุ่มสื่อมวลชน กลุ่มความเหลื่อมล้ำด้านเศรฐกิจและสังคม กลุ่มด้านจัดสรรทรัพยากรที่ดินน้ำและป่าไม้ ด้านการทุจริตคอรัปชั่นและด้านคุณธรรมและจริยธรรม
ทั้งหมดจะไปคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมชุดละ 50 คนจากบุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติต้องห้าม รวมเป็น 550 คน เพื่อให้ “คสช.” เลือกให้เหลือเป็นสมาชิกสภาปฏิรูป 173 คน
ขณะที่ขั้นตอนการจัดทำ “รัฐธรรมนูญฉบับใหม่” จะมีการแต่งตั้งกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา 35 คน โดยมาจากสภาปฏิรูป 20 คน คณะรัฐมนตรี (ครม.) 5 คน สนช. 5 คน คสช.5 คน
หลังร่างรัฐธรรมนูญเสร็จก็เสนอ “สภาปฏิรูป” ให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ แต่จะไม่สามารถแก้ไขเพิ่มเติมได้ และไม่มีการนำไปทำประชามติเหมือนรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550
สำหรับระยะเวลาในการจัดทำ “ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” หลังจากมี “สภาปฏิรูป” แล้วกำหนดให้ “สภาปฏิรูป” หาแนวทางปฏิรูป 45-60 วัน จากนั้นส่งให้ “กมธ.ยกร่างรธน.” มีเวลา 120 วันในการยกร่างเมื่อยกร่างเสร็จแล้วส่งให้ “สภาปฏิรูป” โหวตให้ความเห็นชอบ 15- 30 วัน ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 9 เดือน
นอกจากนี้คณะทำงานยกร่างรัฐธรรมนูญได้เห็นควรให้มีการใส่เรื่องอำนาจของ “คสช.” ไว้ด้วย โดยอาจจะระบุไว้ในมาตรา 17 กำหนดให้ “คสช.” มีอำนาจเทียบเท่าหรือเหนือรัฐบาล เพื่อให้สามารถคุมรัฐบาลได้
ที่สำคัญรัฐธรรมนูญชั่วคราวจะมีบทบัญญัติที่กำหนดจะไม่ให้มีการเอาผิดกับ “คสช.” รวมอยู่ด้วย ตลอดจนการกระทำของบุคคลที่เกี่ยวข้องหรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจาก “คสช.” หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมาย ให้ผู้กระทำความผิดนั้นพ้นจากการรับผิดโดยสิ้นเชิง
นอกจากนี้ ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ยังมีการกำหนดกรอบเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยให้ “คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ” จำนวน 35 คนพิจารณาศึกษาเพื่อบรรจุในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ 10 ประเด็น อาทิ
1.ทบทวนความจำเป็นและการมีอยู้ขององค์กรอิสระ และองค์กรตามรัฐธรรมนูญว่า มีจำนวนมากเกินไปหรือไม่ และให้คงอยู่เท่าที่จำเป็น
2.การสร้างกลไกการป้องกันการและปราบปรามการทุจริตอย่างมีประสิทธิภาพ
3.การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมให้มีประสิทธิภาพ
4.การสร้างระบบคุณธรรมและจริยธรรมในการบริหารราชการแผ่นดิน
5.การกำกหนดความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น
6.การใช้จ่ายงบประมานแผ่นดินและการป้องกันนำงบประมาณไปใช้ในนโยบายหรือโครงการประชานิยมจนส่งผลกระทบต่อระบบการเงินการคลัง
ทั้งหมดคือทิศทางของ “รัฐธรรมนูญชั่วคราว” ที่จะกำหนดความเป็นไปของ “ประเทศไทย” ก่อนจะเข้าสู่การปฏิรูปในด้านต่างๆ ต่อด้วยการมี “รัฐธรรมนูญฉบับใหม่” ไว้ใช้ปกครองประเทศต่อไป