PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2562

บางชื่ออาจหลุดโผ

บางชื่อ อาจหลุดโผ  ครม.
หลุดจาก รมว. เป็น รมช.
ถ้าไม่ได้เป็นรมต. ก็เป็น ส.ส.ทำงานในสภา

“บิ๊กตู่” ยัน ได้รัฐบาลใหม่กลางเดือนกค. ยัน อย่าทำทุกอย่างให้เป็นพระราชภาระของพระองค์/เตรียมให้  รมต.มากรอกประวัติ รับรองตัวเอง.... คาด16-17กค.ครม.ถวายสัตย์ฯ

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงความคืบหน้าการนำรายชื่อคณะรัฐมนตรี(ครม.) ขึ้นทูลเกล้าฯว่า เรื่องโผ ครม.ถามแล้วถามอีก เช้า กลางวัน เย็น 

เดี๋ยวจะเรียกบุคคลที่มีรายชื่อเข้ามา กรอกประวัติอย่างเป็นทางการ เพราะที่ผ่านมาก็มีการตรวจสอบ โดยเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูล โดยหน่วยงานเหล่านั้น ก็ตอบได้เพียงกว้างๆ หากไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง หน่วยงานก็จะบอกว่า ไม่มีความขัดข้อง ไม่มีปัญหา 

แต่หากคนใดมีคดีความด้วย หน่วยงานก็ชี้แจงว่า อยู่ในขั้นตอนใด กฎหมายว่าอย่างไร โดยต้องมีข้อชี้แจงทั้งหมด 

ท้ายที่สุด ก็จะต้องเชิญบุคคลเหล่านั้น มาเซ็นต์รับรองตัวเอง หากในวันข้างหน้าไม่เป็นไปตามที่ได้รับรองไว้ ก็จะต้องโดนคดี ดังนั้น ขอให้ใจเย็นๆ เพราะยังอยู่ในกระบวนการตรวจสอบ เดี๋ยวก็รู้

ถามว่ารายชื่อที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ นั้นเป็นไปตามที่พรรคการเมืองได้เสนอมาหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่รู้ ยังไม่บอก บอกไม่ได้ ถ้าผมบอกว่าใครได้หรือไม่ได้ ก็จะเอากันอีก ไม่จบสักที 

เมื่อถามว่าไม่มีใครหลุดโผที่แต่ละพรรคเสนอมาใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ย้อนถามว่า “โผอะไร มันก็คงมีบ้างมั้ง ซึ่ง ครม.มีทั้งหมด 36 ตำแหน่ง ไม่ว่าจะได้เพิ่มหรือไม่ ต้องอยู่ใน 36 ตำแหน่งนี้

หากรัฐมนตรีหลักควบตำแหน่ง ก็ต้องมาเป็นรัฐมนตรีช่วย แต่ยอดมีทั้งหมด 36 ตำแหน่ง”

อย่างไรก็ตาม อาจจะมีคนมากหรือน้อย แต่ทั้งหมดต้องไม่เกิน 36 คน และอาจจะมีคนที่ซ้ำ 3 คน หรือเปล่า 
ก็ต้องดูตรงนั้น 

อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่ได้เป็นรัฐมนตรีก็ยังเป็น ส.ส.ที่ทำงานในสภา วันนี้หวังอย่างเดียวว่าทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล จะสามารถทำงานด้วยกัน ตามยุทธศาสตร์ชาติ ให้ประเทศเดินต่อไปได้  ไม่ใช่จ้องล้มกันอยู่ตลอดเวลา  เพราะไม่ใช่ตอนนี้ แต่ตนก็ห้ามไม่ได้ ซึ่งประชาชนต้องตัดสินเอง ว่าพฤติกรรมของแต่ละคนเหมาะสมอย่างไร

เมื่อถามว่าจะให้ว่าที่ ครม.ใหม่มาเซ็นต์รับรองตัวเองที่ทำเนียบรัฐบาลหรือที่ทำการพรรค พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของเลขาฯ ครม.ซึ่งบางเรื่องไม่ต้องมาถามผมก็ได้ เพราะเป็นเรื่องของระเบียบ วันนี้ตอบได้อย่างเดียวว่า ทำทันเวลาแน่นอน กลางเดือนหน้าจะได้รัฐบาลอย่างแน่นอน 

ถามย้ำว่าสามารถนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ได้ก่อนหรือหลังกลับจากประเทศญี่ปุ่น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ประมาณนี้แหละ อย่าทำทุกอย่างให้เป็นพระราชภาระของพระองค์ เพราะเป็นหน้าที่ของตน ที่ต้องรับผิดชอบ จึงต้องทำให้ทันตามเวลา 

จากนั้น ก็รอถวายสัตย์ปฏิญาณตน ยืนยันว่ากลางเดือนหน้าทุกอย่างจะเรียบร้อย

 วันนี้ยังไม่ตั้งรัฐบาล ก็มีคนจ้องล้มรัฐบาลแล้ว ตนคิดว่าคงไม่ค่อยดี ทั้งนี้ อยากให้ทุกคนช่วยกันบอกต่างประเทศว่า อย่าได้กังวลเพราะเดี๋ยวเราก็ไปกันได้ และนี่คือไทยทอล์ค ซึ่งปกติจะเป็นอาเซียนทอล์ค ตรงนี้ถือเป็นอัตลักษณ์ของพวกเรา คือการมีความคิดเห็นที่แตกต่าง 

“วันนี้เราต้องยืนหยัด ด้วยความอดทนอดกลั้น มีสมาธิ สติ สัมปชัญญะ แก้ไขปัญหาด้วยอริยสัจ4  ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ขันติโสรัจจะ รู้แล้วก็ต้องปฏิบัติ เข้าวัดไหว้พระ สวดมนต์ อ่านธรรมจักรกัปปวัฒนสูตรบ้างหรือเปล่า พุทธเป็นศาสนาแห่งความปรองดองสมานฉันท์ พระพุทธเจ้าสอนให้เดินสายกลาง ไม่ซ้าย ไม่ขวา และไม่หนักจนเกินไป ถือเป็นหลักและแก่นแท้ของศาสนา แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมจึงตีกันนักหนา พุทธเป็นศาสนาแห่งความสงบสุขร่มเย็น อยู่มากับทุกคน 2500 กว่าปี แต่ไม่รู้วันนี้เป็นอะไรบางเรื่องไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แต่เข้าร่วมกับเขาไปด้วย ใช้ความเห็นส่วนตัวเติมลงไป ทั้งที่ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น อะไรเข้ามาก็เห็นด้วย สนุกดี และด่ากับเขาไปด้วย โดยคิดว่าเผื่อจะถึงนายกฯ นายกฯจะได้อ่านบ้าง ซึ่งผมก็อ่าน แต่ไม่ได้ติดโซเชียลอย่างที่คนวิจารณ์” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

เมื่อถามว่าหลังจัดตั้งรัฐบาลแล้วคิดว่าพรรคร่วมจะเข้าใจการตัดสินใจของนายกฯ หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อยู่มา 5 ปีแล้ว ถ้าไม่เข้าใจก็แย่แล้ว ซึ่งต้องเข้าใจว่าตนทำงานด้วยหลักการ กฎหมาย จึงต้องระวังตัวด้วยเหมือนกัน มีแรงกดดันต่างๆที่ถาโถมเข้ามา จึงต้องมีคณะทำงานกันกรองแผนงานและนโยบาย รวมถึงการใช้จ่ายงบประมาณ การทำงานนั้นยอมรับว่าไม่ง่าย ถ้าจะกดดันตน ขอให้กดดัน ว่าจะทำอย่างไรให้ประเทศเดินหน้าถึงจะดีกว่า สื่อไม่ต้องมาวิจารณ์ ว่าจะมีพรรคใดมางอแง เพราะเชื่อว่าเขาคุยกันได้อยู่แล้ว ถ้าทุกคนมองประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก ทุกอย่างก็จะไปได้ โดยใช้หลักพระพุทธศาสนานำทาง เดินตามพระ

ทั้งนี้ มีรายงานว่า ช่วงที่จะมีการเข้าฯถวายสัตย์ 16-17 กค.นี้

ลำดับปัญหาแห่งรัฐธรรมนูญ

ลำดับปัญหาแห่งรัฐธรรมนูญ
โดย สิริอัญญา 
วันพุธที่ 26 มิถุนายน 2562

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานพระบรมราโชวาทเกี่ยวกับหลักการสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญไว้ และมีการเผยแพร่พระราชดำรัสนั้นให้เป็นที่ทราบกันโดยทั่วกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่คนทั้งปวงโดยเฉพาะผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องจะเทิดไว้เหนือเกล้า แล้วน้อมนำมาประพฤติปฏิบัติ ซึ่งมีแต่จะเป็นประโยชน์สุขแก่ประเทศชาติและประชาชน 

พระบรมราโชวาทดังกล่าวนั้นสรุปก็คือ การร่างรัฐธรรมนูญจะต้องสั้น ต้องไม่ยาว ต้องชัดแจ้ง ทั้งนี้เพื่อให้เป็นที่เข้าใจได้โดยง่ายแก่ประชาชนโดยทั่วไป 

ซึ่งถ้าหากได้ร่างรัฐธรรมนูญตามพระบรมราโชวาทดังกล่าวแล้ว รัฐธรรมนูญก็จะต้องสั้น ชัดเจน ไม่เป็นที่เคลือบแคลงสงสัย ซึ่งจะเป็นทางที่ประชาชนทั้งหลายจะเข้าใจและปฏิบัติได้โดยไม่เป็นปัญหา แต่ทว่าน่าเสียดายนักที่ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องมิได้น้อมนำพระบรมราโชวาทดังกล่าวมาปฏิบัติ

มิหนำซ้ำ บางคนยังบังอาจกล่าวว่าการร่างรัฐธรรมนูญจะพยายามยึดหลักรัฐธรรมนูญของเยอรมันและฝรั่งเศส จนเกิดการท้วงติงว่าหลักการของรัฐธรรมนูญประเทศฝรั่งเศสและเยอรมันนั้นเป็นรัฐธรรมนูญที่มีหลักการการปกครองในระบอบสาธารณรัฐ คำพูดเหล่านั้นจึงค่อย ๆ เงียบหายไป แต่การร่างรัฐธรรมนูญก็มิได้เปลี่ยนแปลงไปจากแนวความคิดที่ว่านั้น 

นอกจากนั้น การร่างรัฐธรรมนูญต้องยึดหลักที่สำคัญคือต้องถือเอาประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนเป็นที่ตั้ง หากการร่างรัฐธรรมนูญใดถือเอาบุคคลเป็นที่ตั้ง ไม่ว่าเพื่อกีดกันคนบางพวกไม่ให้เข้ามามีอำนาจ หรือเพื่อเกื้อกูลคนบางคนบางพวกให้มีอำนาจ การร่างรัฐธรรมนูญนั้นก็ผิดหลักผิดเกณฑ์ และย่อมเกิดปัญหานานาประการ 

โดยเฉพาะการเขียนบทเฉพาะกาลแห่งรัฐธรรมนูญนั้น จะต้องเป็นกรณีเฉพาะและจำเป็นเพื่อให้ระยะผ่านการบังคับใช้รัฐธรรมนูญสองฉบับให้เป็นไปโดยราบรื่นในเวลาอันรวดเร็ว เพื่อให้รัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นใหม่สามารถบังคับใช้ได้เต็มรูปแบบ 

นับแต่ร่างรัฐธรรมนูญที่พยายามร่างกันขึ้นใหม่นี้ใช้บังคับปรากฏว่าได้เกิดปัญหานานัปการขึ้น ตั้งแต่กระบวนการในการสมัครรับเลือกตั้ง ในการประกาศผลการเลือกตั้ง ในการตรวจสอบไต่สวนเกี่ยวกับการกระทำที่ไม่ชอบหรือไม่สุจริตและเที่ยงธรรมในการเลือกตั้ง ทั้งในส่วนองค์กรที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องและผู้ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญนั้น 

ขณะนี้มาถึงชั้นการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีก็ส่อว่ากำลังจะเกิดปัญหาตามมาอีก ดังนั้นจึงสมควรจะได้ลำดับปัญหาที่เกิดขึ้นอันเป็นผลพวงมาจากการร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าว ที่สำคัญมีดังต่อไปนี้ 

ประการแรก เกี่ยวกับการสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งเป็นหน้าที่ของ กกต. จะต้องตรวจสอบการสมัครรับเลือกตั้งว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใดมีคุณสมบัติที่ครบถ้วนที่จะรับสมัครหรือไม่ เพราะว่าถ้าหากมีความผิดพลาดในเรื่องนี้ก็มีเวลาจำกัดที่จะเพิกถอนการสมัครรับเลือกตั้งนั้น โดยรวมก็คือจะต้องขอเพิกถอนเสียก่อนการเลือกตั้ง 

แต่ปรากฏว่าด้วยระยะเวลาอันจำกัดและด้วยกระบวนการในการตรวจสอบคุณสมบัตินั้นยังมีช่องโหว่ช่องว่างอยู่เป็นอันมาก ดังนั้นจึงทำให้ผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติได้ลงสมัครรับเลือกตั้งแล้วก่อเกิดปัญหาในภายหลังขึ้น 

ประการที่สอง เกี่ยวกับการประกาศผลการนับคะแนนแต่ละหน่วยเลือกตั้งและผลรวมของแต่ละเขตเลือกตั้ง รวมทั้งผลรวมของคะแนนรวมของแต่ละพรรคการเมืองสำหรับใช้ในการคำนวณ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งจนถึงวันนี้การเลือกตั้งผ่านมาช้านานแล้ว แต่พรรคการเมืองและผู้เกี่ยวข้องก็ยังไม่ทราบว่าผลการเลือกตั้งแต่ละหน่วย แต่ละเขต เป็นอย่างไร ทำให้เกิดปัญหาข้อสงสัยเกี่ยวกับคะแนนการเลือกตั้งรวมที่ใช้ในการคำนวณ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ และยังมีการร้องขอเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่หลายประการ ซึ่งไม่รู้ว่าจะเกิดปัญหาร้ายแรงขึ้นมาในวันใด 

ประการที่สาม การกำหนดหลักการนำผลคะแนนรวมเพื่อใช้ในการคำนวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อนั้นเป็นเรื่องใหม่ที่อาจถือได้ว่าเป็นรุ่งอรุณของการนำหลักการตามรัฐธรรมนูญของฝรั่งเศสและเยอรมันมาใช้ เพราะใครจะรู้ว่าสักวันหนึ่งก็จะพัฒนาไปจนถึงขั้นการเลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรง และอาจพัฒนาไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง จึงต้องนับว่าตรงนี้เป็นย่างก้าวสำคัญที่อาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นอย่างอื่นไปได้ในอนาคต 

ประการที่สี่ เกี่ยวกับการคำนวณ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งมีช่องโหว่ช่องว่างทั้ง ๆ ที่รัฐธรรมนูญกำหนดมีความชัดเจนอยู่พอสมควรแล้วว่า การจัดสรร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อนั้นจะต้องจัดสรรให้แก่พรรคการเมืองที่มี ส.ส. แบบเขตเลือกตั้ง ตามสัดส่วนของคะแนนรวมที่ได้รับ แต่ต้องไม่เกิน ส.ส.พึงมี ซึ่งช่องโหว่ช่องว่างเหล่านั้นก่อให้เกิดการตีความที่เป็นปัญหาว่าสามารถจัดสรร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อให้แก่พรรคการเมืองที่ไม่มี ส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้งได้ด้วย จึงเป็นที่ครหานินทาและเป็นปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นอันอาจจะส่งผลต่อการเลือกตั้งโดยรวมก็ได้ 

ประการที่ห้า การกำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งที่วกวนมากมายยิ่งกว่าการเดินทางรอบเขาวงกต โดยเฉพาะการขาดการคำนึงถึงสถานการณ์และความเป็นจริงของบ้านเมือง ดังเช่น การห้ามมิให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งและ ส.ส. เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ โดยขาดความเข้าใจว่าสิ่งที่เรียกว่าสื่อมวลชนนั้นในปัจจุบันนี้มิได้มีแค่หนังสือพิมพ์อย่างเดียว แต่มีสื่อมวลชนจำพวกโซเชียลมีเดียมากมายหลายชนิดที่เป็นสื่อมวลชนที่ทรงอานุภาพในปัจจุบัน และมีผลต่อการเลือกตั้งมากกว่าหนังสือพิมพ์จนสุดประมาณนัก 

ผลจากเรื่องนี้จึงทำให้เกิดเรื่องร้องเรียนเพื่อเพิกถอน ส.ส. และ ส.ว. นับถึงขณะนี้เกือบจะมีจำนวนรวมกันถึง 200 คนแล้ว ซึ่งย่อมก่อให้เกิดวิกฤตทางการเมืองขึ้นอย่างร้ายแรงต่อไปได้ 

ประการที่หก ผลจากความสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนวกไปวนมาจนแทบหาเค้าเงื่อนไม่เจอ ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้จึงเกิดผลดังที่เห็นอยู่ ซึ่งแต่เดิมมานั้นก็จะทราบผลการเลือกตั้งที่ค่อนข้างแน่นอนตั้งแต่คืนวันเลือกตั้งแล้ว และในระยะเวลาวันหรือสองวันหลังจากนั้นก็จะมีแถลงการณ์ร่วมจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างชัดเจน และจากนั้นไม่นานรัฐบาลใหม่ก็สามารถเข้าบริหารราชการแผ่นดินได้ ไม่ก่อให้เกิดความชะงักงัน หรือความไม่เชื่อมั่นในการบริหารราชการแผ่นดินทั้งในและต่างประเทศ 

ประการที่เจ็ด คือการกำหนดบทเฉพาะกาลให้ ส.ว. ซึ่งโดยหลักการนั้น ส.ว. มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับ ตรวจสอบ และควบคุม รวมทั้งการกลั่นกรองการทำงานของรัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรด้วย แต่เมื่อกำหนดให้ ส.ว. แต่งตั้งโดย คสช. และมีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรี กระทั่งเข้าร่วมลงมติในการพิจารณาเรื่องสำคัญ ๆ ร่วมกับสภาผู้แทนราษฎร จึงกระทบต่อหลักการการมี ส.ว. จนแทบจะสิ้นเชิง และถึงวันนี้ก็มีเสียงกล่าวหากึกก้องว่า ส.ว. คือองค์กรค้ำจุนทางการเมืองของพรรคการเมืองเท่านั้น ตรงจุดนี้จะเป็นตราบาปแห่งหลักการการมี ส.ว. ที่จะเป็นเรื่องเล่าขานต่อไปในประวัติศาสตร์การเมืองไทย 

ประการที่แปด ซึ่งเป็นเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น นั่นคือการตั้งคณะรัฐมนตรี ซึ่งอาจจะเกิดปัญหาที่หนักหนาไม่ต่างกัน เพราะนอกจากคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นรัฐมนตรีที่ไม่ค่อยจะแตกต่างจากคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งและ ส.ส. ส.ว. แต่ที่เพิ่มเติมขึ้นจากนั้นก็คือการกำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีจะต้องมีคุณสมบัติพิเศษ 

คือต้องเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ 

นั่นคือต้องมีทั้งความซื่อสัตย์ ไม่ทรยศหักหลังใคร มีความซื่อตรงต่อประเทศชาติและประชาชน ไม่คดในข้องอในกระดูก หรือแม้กระทั่งทรยศต่อพรรคการเมืองที่ตนสังกัดหรือทรยศต่อคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนในการเลือกตั้ง 

นั่นคือต้องมีความสุจริต ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย ไม่ว่าจะมีคำพิพากษาของศาลตัดสินแล้วหรือไม่ ต้องเป็นผู้ที่ไม่มีพฤติกรรมหรือพฤติการณ์ในการทุจริต ฉ้อฉล ฉ้อราษฎร์บังหลวง คือทั้งฉ้อราษฎร์ก็ดี บังหลวงก็ดี หรือเป็นที่ประจักษ์รู้กันโดยทั่วไปว่ามีพฤติการณ์เช่นนั้นก็ดี 

ที่สำคัญคือทั้งความซื่อสัตย์และความสุจริตนั้นจะต้องเป็นที่ประจักษ์ เป็นที่รู้กันทั่วไปในสังคมและประชาชน 

ตรงนี้แหละจะเป็นปัญหา และเป็นความรับผิดชอบในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ 

เหล่านี้คือปัญหาเล็กน้อยตั้งแต่รับสมัครเลือกตั้ง มาจนถึงขั้นตั้งคณะรัฐมนตรี ก็ได้รู้เห็นกันแล้วว่าเป็นอย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในอนาคต ปัญหาความขัดแย้งและวิกฤตต่าง ๆ อาจจะเกิดขึ้นจนสุดหยั่งคาดก็ได้.

ยันกลาง ก.ค. ได้รัฐบาลใหม่ "ตู่" การันตี ปัดช่วย "แรมโบ้"!

บิ๊กป้อม" คุยลั่น-ใจยังสู้! จับตาศาลรธน.ดคี 41 ส.ส. พท.จองกฐิินถล่มรัฐบาล "คณะราษฎร" โร่ร้องยูเอ็น

“ประยุทธ์” สแกนรายชื่อ ครม.จ่อเรียกกรอกประวัติรับรองตัวเอง วันข้างหน้าไม่เป็นตามนั้นต้องโดนคดี การันตีกลางเดือน ก.ค. ได้รัฐบาลใหม่ ย้อนสื่อถ้าเป็นหัวหน้าพรรค พลังประชารัฐกระทบใคร “บิ๊กป้อม” ออกตัวร่างกายไม่ไหวแต่ใจยังสู้รับไม่ได้เช็ก ส.ว.ถือหุ้นต้องห้ามตั้งแต่แรก จับตาศาลรัฐธรรมนูญรับ-ไม่รับคำร้อง 41 ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลถือหุ้นสื่อ “ปิยบุตร” หวังสั่งพักงานเหมือน “ธนาธร” ด้าน “ทศพล” รอดูลู่ทาง ชงสอย 55 ส.ส.ฝ่ายค้านผ่านประธานสภาฯหรือร้องตรงศาล รธน. ฝ่ายค้านจัดหนักถล่มแผนปฏิรูปประเทศ พท.จ้องขยี้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีสมคบคิดสืบทอดอำนาจ คสช. อนค.เล็งขย่มข้ามวันข้ามคืน วิปรัฐบาลตีกันให้แค่ 3 ทุ่ม เหน็บไม่ใช่เวทีซ้อมซักฟอก “ประวิตร” แจกต่อโฉนดแก้หนี้โหด ใครพูดจัดฉากต้องรับผิดชอบ “นิพิฏฐ์” ท้าฟ้องบี้เปิดข้อมูลลูกหนี้-เจ้าหนี้

จากกรณีที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าผ่านการเลือกตั้งมากว่า 3 เดือนแล้ว แต่ยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลและ ครม.ชุดใหม่มาบริหารประเทศได้ ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกมาระบุว่ากลางเดือน ก.ค.จะมีรัฐบาลใหม่แน่นอน


“นายกฯ” สอนเด็กๆชีวิตต้องลิขิตเอง

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 25 มิ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อนการประชุม นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รมว.วัฒนธรรม นำดารานักแสดง อาทิ สมบัติ เมทะนี อนุชิต สพันธุ์พงษ์ คณะผู้จัดงานเทศกาลภาพยนตร์อาเซียนแห่งกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 5 ในวันที่ 3-8 ก.ค.ที่โรงภาพยนตร์ เอส เอฟ เวิล์ด ซีนีม่า ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์และโรงภาพยนตร์ พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน กทม.เข้าพบพร้อมร้องเพลง “คิดมาก” ของปาล์มมี่ เวอร์ชันประกอบภาพยนตร์ “FRIEND ZONE ระวัง...สิ้นสุดทางเพื่อน” ขับร้องเป็น 10 ภาษา ประเทศสมาชิกอาเซียน โดย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า คนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ต้องเดินไปด้วยกัน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ต่อมานายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกรรมการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) นำนักเรียนที่ได้รับเงินกองทุนเสมอภาคและนักศึกษาทุนนวัตกรรมสายอาชีพเข้าขอบคุณนายกฯ มอบภาพวาดรูปเหมือนนายกฯ เป็นที่ระลึก พร้อมร่วมร้องเพลง “ชีวิตลิขิตเอง” ของ เบิร์ด ธงไชย โดยนายกฯให้โอวาทว่า อยากให้ส่งต่อถึงน้องๆด้วย เป็นนโยบายที่รัฐบาลทำต่อ เมื่อฟ้าลิขิตมาฟ้าท่านดูแลเราทุกคนอยู่แล้ว แต่เราต้องลิขิตตัวเองด้วย กำหนดอนาคตตัวเอง พยายามและตั้งใจ คนเรามีเงินมีทุกอย่างถ้าไม่ตั้งใจก็ไปไม่ได้ นี่คือคนไทยยังไงก็คือ ประเทศไทย รัฐบาลจะดูแลให้ ตอนนี้อาจไม่มากมายกำลังพัฒนาวันหน้ารายได้ประเทศสูงขึ้น อดทนกับเราอีกนิดนึง

ย้อนเป็น หน.พปชร.กระทบใคร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์มีอารมณ์ดีสีหน้ายิ้มแย้ม โดยตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงความคืบหน้า การนำรายชื่อ ครม.ชุดใหม่ขึ้นทูลเกล้าฯว่า “โอ้ย... เธอจ๋า วันนี้เพิ่งเริ่มขั้นตอนตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง” ขณะที่นายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส เลขาธิการคณะรัฐมนตรีกล่าวว่า ครม.ชุดใหม่ยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการตรวจสอบ รายละเอียดต้องถามนายกฯ จากนั้นเวลา 13.00 น. พล.อ.ประยุทธ์กล่าวภายหลังการประชุม ครม.ถึงกระแสข่าวที่จะรับเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ว่า ทำไม มีผลกระทบอะไรกับใครหรือ จะเป็นหรือไม่เป็น มีใครได้รับผลกระทบอะไรหรือเปล่า


ทำงานได้เหมือนกัน เรื่องการเมืองก็ว่ากันไป แต่ต้องมีคนทำงาน

ให้ รมต.กรอกประวัติรับรองตัวเอง

เมื่อถามถึงความคืบหน้าการนำรายชื่อ ครม.ใหม่ ขึ้นทูลเกล้าฯ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เรื่องโผ ครม.ถามแล้วถามอีก เดี๋ยวจะเรียกบุคคลที่มีรายชื่อเข้ามากรอกประวัติอย่างเป็นทางการ ที่ผ่านมามีการตรวจสอบ โดยเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลเพียงกว้างๆ หากคนใดมีคดีความด้วย หน่วยงานชี้แจงว่าอยู่ในขั้นตอนใด กฎหมายว่าอย่างไร ท้ายที่สุดจะต้องเชิญบุคคลเหล่านั้นมาเซ็นรับรองตัวเอง หากวันข้างหน้าไม่เป็นไปตามที่ได้รับรองไว้จะต้องโดนคดี ขอให้ใจเย็นๆ เพราะยังอยู่ในกระบวนการตรวจสอบ เดี๋ยวก็รู้ เมื่อถามว่าหลังการประชุม G20 ที่ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 27-29 มิ.ย. จะนำรายชื่อ ครม. ขึ้นทูลเกล้าฯทันหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ตอบทันทีว่า “ทันสิ จะไม่ทันได้อย่างไร”

กลาง ก.ค.ได้รัฐบาลใหม่แน่นอน

เมื่อถามว่าไม่มีใครหลุดโผที่แต่ละพรรคเสนอมาใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ย้อนถามว่า “โผอะไรคงมีบ้าง ครม.มีทั้งหมด 36 ตำแหน่งไม่ว่าจะอย่างไรต้องอยู่ใน 36 ตำแหน่งนี้ อาจจะมีคนมากหรือน้อย แต่ทั้งหมดต้องไม่เกิน 36 คน และอาจจะมีคนที่ซ้ำ 3 คนหรือเปล่า ต้องดูตรงนั้น ถ้าไม่ได้เป็นรัฐมนตรีก็ยังเป็น ส.ส.ที่ทำงานในสภาฯ วันนี้หวังอย่างเดียวว่าทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลจะทำงานด้วยกันตามยุทธศาสตร์ชาติ ให้ประเทศเดินต่อไปได้ ไม่ใช่จ้องล้มกันอยู่ตลอดเวลา แต่ตนห้ามไม่ได้ ประชาชนต้องตัดสินเองว่าพฤติกรรมของแต่ละคนเหมาะสมอย่างไร วันนี้ตอบได้อย่างเดียวว่า ทำทันเวลาแน่นอน กลางเดือนหน้าจะได้รัฐบาลอย่างแน่นอน อย่าทำทุกอย่างให้เป็นราชภาระของพระองค์ เพราะเป็นหน้าที่ของตนที่รับผิดชอบ จึงต้องทำให้ทันตามเวลา จากนั้นรอถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่ ยืนยันว่า กลางเดือนหน้าทุกอย่างจะเรียบร้อย วันนี้ยังไม่ตั้งรัฐบาลมีคนจ้องล้มรัฐบาลแล้ว คิดว่าคงไม่ค่อยดีอยากให้ทุกคนช่วยกันบอกต่างประเทศว่าอย่าได้กังวลเพราะเดี๋ยวเราก็ไปกันได้


เชื่อคุยรู้เรื่องพรรคร่วมไม่งอแง

เมื่อถามว่าหลังจัดตั้งรัฐบาลแล้วคิดว่าพรรคร่วมจะเข้าใจการตัดสินใจของนายกฯ หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า อยู่มา 5 ปีแล้วถ้าไม่เข้าใจก็แย่แล้ว ต้องเข้าใจว่าตนทำงานด้วยหลักการ กฎหมาย จึงต้องระวังตัวด้วยเหมือนกัน มีแรงกดดันต่างๆที่ถาโถมเข้ามา จึงต้องมีคณะทำงานกลั่นกรองแผนงานและนโยบาย รวมถึงการใช้จ่ายงบประมาณ การทำงานยอมรับว่าไม่ง่าย ถ้าจะกดดันตนขอให้กดดันว่าจะทำอย่างไรให้ประเทศเดินหน้า สื่อไม่ต้องมาวิจารณ์ว่าจะมีพรรคใดมางอแง เพราะเชื่อว่าเขาคุยกันได้อยู่แล้ว ถ้าทุกคนมองประเทศชาติและประชาชนเป็นหลักทุกอย่างจะไปได้ โดยใช้หลักพระพุทธศาสนานำทาง เดินตามพระ

ไม่กังวลร้อง ส.ส.-ส.ว.ถือหุ้นสื่อ

เมื่อถามถึงกรณีการยื่นตรวจสอบ ส.ส.ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านถือครองหุ้นสื่อ จนลามไปถึง ส.ว. พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เห็นว่าโดนกันทั้งสองฝ่ายและสองสภา จึงเป็นหน้าที่ของประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่จะนำไปพิจารณา หากจำเป็นจะต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญตัดสินออกมาอย่างไรให้เป็นไปตามนั้น ไม่กังวลอะไรทั้งสิ้น เพราะทุกอย่างมีพัฒนาการมาเรื่อยๆ ต้องแก้ไปตามกฎหมาย ขั้นตอนและกระบวนการ ขอให้เชื่อมั่นในคำวินิจฉัย เพราะเป็นการวินิจฉัยเฉพาะตัวเฉพาะเรื่อง ไม่ได้มีบรรทัดฐานมากมาย เพราะเป็นกฎหมายคนละฉบับจากในอดีต ส่วนผลจะออกมาอย่างไรคงตอบไม่ได้ แต่ ส.ส.ทั้งหมดต้องร่วมมือกันทำงาน อย่าเพิ่งไปกังวล ปล่อยเป็นหน้าที่ของศาล ผิดว่าไปตามผิด ถูกว่าไปตามถูก

“บิ๊กป้อม” ชี้ร่างกายไม่ไหวแต่ใจยังสู้

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงการตัดสินใจทางการเมืองขณะนี้ว่า ยังไม่รู้เลยและนายกฯยังไม่ได้ทาบทาม ส่วนจะรับตำแหน่งแค่รองนายกฯเพียงตำแหน่งเดียวหรือไม่นั้นยังไม่รู้ เมื่อถามว่าถ้าให้มาทำงานใน ครม.ชุดใหม่ ยังทำงานไหวอยู่ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวเพียงสั้นๆว่า “ร่างกายไม่ไหว” เมื่อถาม ย้ำว่า หากรับตำแหน่งแค่รองนายกฯเพียงตำแหน่งเดียว ร่างกายก็ไม่ไหวใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่รู้ แต่ใจสู้อยู่แล้ว เพราะทำงานให้ประเทศชาติ ส่วนที่ตนอารมณ์ดีก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ยกเว้นเจอคำถามสื่อที่อาจจะทำให้อารมณ์ไม่ดีบ้าง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สุขภาพก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร

รับไม่ได้เช็ก ส.ว.ถือหุ้นสื่อแต่แรก

พล.อ.ประวิตรยังกล่าวถึงกรณีมีการตั้งข้อสังเกตว่าคณะกรรมการสรรหาไปเลือกบุคคลที่ถือหุ้นสื่อมาเป็น ส.ว.จนเกิดการร้องเรียนภายหลังว่า เบื้องต้นที่คัดมา 400 คน คณะกรรมการไม่ได้ตรวจสอบ เพิ่งมาทราบตอนที่เหลือ 194 คนที่ไปให้ คสช.พิจารณา ตอนนั้นยังมั่วกันอยู่เพราะมีการรวมกันและการตั้งบริษัทก็พ่วงกันไปหมด บางคนไม่ได้ทำสื่อจริงๆ สำหรับคนที่ถูกร้องขาดคุณสมบัติ ต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้พิจารณา ถ้าพบว่าขาดคุณสมบัติจริงก็ขยับรายชื่อสำรองมาทดแทน เมื่อถามว่าสังคมถามหาความรับผิดชอบจากคณะกรรมการสรรหา พล.อ.ประวิตรตอบว่า มีการเตรียมรายชื่อสำรองไว้แล้ว ไม่ถือเป็นความผิดพลาด เพราะคณะกรรมการไม่รู้เรื่อง

“เสี่ยหนู”การันตี รมต.ภท.เหมาะสม

นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ปฏิเสธถึงกระแสข่าวเปลี่ยน 2 รายชื่อรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง ก่อนหน้านี้รายชื่อรัฐมนตรีในสัดส่วนของพรรค ได้ส่งไปที่นายกฯเรียบร้อยและยังไม่มีการตีกลับมา และขอยืนยันว่ารายชื่อที่พรรคส่งไปถือว่ามีความเหมาะสมสามารถทำงานและพร้อมขับเคลื่อนนโยบายต่างๆของพรรคที่มุ่งแก้ปัญหาปากท้องให้แก่ประชาชนได้

“หนูนา” ยัน ส.ส.เป็น รมต.ทำงานสภาฯได้

ที่พรรคชาติไทยพัฒนา น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า รัฐมนตรีของพรรคยังไม่ได้ยื่นเอกสารกรอกรายละเอียด แต่เชื่อว่าไม่มีปัญหาทั้ง 2 คน ไม่มีปัญหาการถือหุ้นหรือทรัพย์สมบัติที่เป็นปัญหา การตั้งรัฐบาลที่ล่าช้าครั้งนี้มีเสียง ส.ส.ก้ำกึ่งกันอาจต้องใช้เวลาหน่อย แต่ในครั้งต่อไปอาจง่ายขึ้น ส่วนที่มีบางฝ่ายเสนอให้ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีลาออกแก้ปัญหาเสียงปริ่มน้ำ พรรคแกนนำยังไม่ได้ยื่นเงื่อนไขมา แต่ถ้ามีต้องหารือกันภายในอีกครั้ง แต่เชื่อว่า ส.ส.ที่ไปเป็นรัฐมนตรีเมื่อถึงเวลาต้องทำหน้าที่ในสภาฯจะสามารถจัดการทำงานให้ดีได้ เพื่อไม่ให้ซ้ำซ้อนกัน หากมองในแง่ดีก็เชื่อว่า จะทำให้ ส.ส.ตื่นตัวในการทำหน้าที่ในสภา

“จุรินทร์” ย้ำชื่อ รมต.ปชป.ยังคงเดิม

ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯระบุว่าเพิ่งเริ่มแจกแบบฟอร์มให้ว่าที่รัฐมนตรีกรอกประวัติว่าพรรคยังไม่ได้รับ แต่หากส่งมาเมื่อไหร่ ว่าที่รัฐมนตรีของพรรคพร้อมดำเนินการเป็นไปตามขั้นตอน ทุกคนยืนยันว่าตัวเองมีคุณสมบัติถูกต้องครบถ้วน เจ้าตัวจะทราบดีที่สุดว่าเป็นอย่างไร และทุกครั้งที่มีการจัดตั้งรัฐบาลจะมีขั้นตอนกระบวนการอย่างนี้ ขณะเดียวกันยังไม่มีสัญญาณใดๆว่าจะมีการส่งรายชื่อให้กลับมาแก้ไข หรือมีอะไรเปลี่ยนแปลง

แยกคดีสองกลุ่มสู้ในศาล รธน.

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า การต่อสู้คดีแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือกลุ่ม ส.ส.ที่โอนหุ้นตั้งแต่ก่อนลงสมัคร ส.ส.แต่รายละเอียดยังไม่อัปเดตในกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กับกลุ่มที่ไม่ได้ถือหุ้นในกิจการสื่อมวลชนจริงๆ กำลังรวบรวมข้อมูลรายละเอียดกิจการแต่ละบริษัท ได้แจ้งต่อ ส.ส.11 คนที่ถูกร้องเตรียมข้อมูลและรับทราบขั้นตอนการต่อสู้ในศาลรัฐธรรมนูญ ยืนยันว่า ส.ส.พรรคเราไม่ได้หวั่นไหว ทุกคนยืนยันว่าไม่ได้ถือหุ้นสื่อมวลชน ต้องรอให้ศาลแจ้งมาก่อนว่าต้องแก้ข้อกล่าวหาอย่างไร พรรคไม่ได้นิ่งนอนใจ ตั้งทีมทนายแยกออกมาพิจารณาคดีต่างหาก

ประกวดโลโก้ยุว ปชป.ชิงเงินแสน

ช่วงเช้า ที่ลานแม่พระธรณีบีบมวยผม พรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็นประธานเปิดตัวกิจกรรมประกวดโลโก้ Young Democrat หรือยุวประชาธิปัตย์ โดยเชิญชวนให้เด็กเยาวชนคนรุ่นใหม่ส่งผลงานเข้าประกวดสัญลักษณ์หรือโลโก้ของยุวประชาธิปัตย์ ชิงเงินรางวัล 1 แสนบาท ผู้ชนะเลิศจะได้รับรางวัล 5 หมื่นบาท รางวัลรองชนะเลิศ 2 รางวัล รางวัลละ 2.5 หมื่นบาท พร้อมประกาศนียบัตรของหัวหน้าพรรค นายสรรเสริญ สมลาภา รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และประธานคณะกรรมการกิจการเยาวชนพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กิจกรรมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ เพื่อดึงศักยภาพคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์ ผลงานออกแบบโลโก้ ที่สื่อถึงอุดมการณ์ ความทันสมัย เป็นจุดรวมจิตใจและสร้างพลังพร้อมจะขับเคลื่อนไปด้วยกัน ผู้สนใจต้องเป็นนักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป อายุ
ไม่เกิน 35 ปี ส่งผลงานพร้อมสำเนาบัตรประชาชน ภายในวันที่ 31 ก.ค.หรือติดต่อข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Logo4Democrat@gmail.com หรือ www.democrat.or.th 

พท.เปิดฉากจัดเต็มถล่มรัฐบาล

ที่พรรคเพื่อไทย นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า พรรคเพื่อไทยได้ประชุมวางตัวบุคคลอภิปรายในการประชุมสภาฯวันที่ 26 มิ.ย. เรื่องสำคัญคือแผนการปฏิรูปประเทศ เราไม่เห็นความคืบหน้าการปฏิรูปเลย ขณะที่นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า พรรคเพื่อไทยจะมีกระทู้สดและกระทู้ถามทั่วไป

การแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรและการขุดลอกคูคลองและอื่นๆ เรื่องสำคัญการรับทราบแผนการปฏิรูปประเทศที่ต้องรับทราบกันทุก 3 เดือนจะใช้เวลาอภิปรายประมาณ 5-6 ชั่วโมง พรรคเพื่อไทยจะใช้เวลา 150 นาที พรรคอนาคตใหม่ 100 นาที นอกจากนั้นเป็นเวลาของพรรคร่วมฝ่ายค้าน จะชี้ให้เห็นว่าการร่างแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีเป็นเรื่องโกหกถ่วงเวลา เป็นทฤษฎีสมคบคิดทำลายโอกาสประเทศหรือเป็นเรื่องการสืบทอดอำนาจ คสช. หรือไม่ จะชี้ให้เห็นว่าสมควรจะให้มียุทธศาสตร์ 20 ปีต่อไปหรือไม่ หากอภิปรายไม่แล้วเสร็จวันที่ 26 มิ.ย. อาจขอใช้เวลาอภิปรายวันถัดไปต่อ

“ชูศักดิ์” ไม่กังวล ส.ส.สะดุดปมหุ้น

นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพรรค พลังประชารัฐเตรียมยื่นร้อง ส.ส.พรรคเพื่อไทยถือหุ้นสื่อว่า ต้องตีความให้ชัดเจนก่อน กฎหมายเขียนว่าเป็นเจ้าของหรือถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชน ตรวจสอบดูแล้วหลายคนที่ถูกร้องวัตถุประสงค์ของบริษัทเขียนว่าประกอบกิจการโฆษณา วิทยุ โทรทัศน์ ถ้าเขียนอย่างนี้ถือว่าเป็นการประกอบกิจการสื่อมวลชนหรือไม่ ส่วนตัวคิดว่าไม่ใช่ บางคนค้าขายสิ่งพิมพ์ ไม่ใช่คนทำสื่อ จำเป็นต้องตีความคำเหล่านี้ให้ชัดเจนก่อน หากตีความว่าใช่ ศาลรัฐธรรมนูญจะยึดบรรทัดฐานแบบศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งหรือไม่ เป็นดุลพินิจของศาลจะเอาอย่างไร หากศาลเห็นว่าเข้าข่ายต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ดูจากรัฐธรรมนูญและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนตีความได้ว่าถ้ารับมาพิจารณาแล้วต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ พรรคเพื่อไทยตรวจดูแล้วหลายบริษัทเป็นบริษัทร้างไม่ได้ประกอบกิจการ หรือเลิกกิจการแล้ว หรือเขียนวัตถุประสงค์ไว้กว้างๆ ไม่อาจตีความได้ว่าเป็นเจ้าของหรือถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชน การเขียนวัตถุประสงค์ไม่ได้หมายความว่าจะประกอบกิจการสื่อได้เลย ไม่ได้วิตกกังวลอะไร

แจง “สมพงษ์” ถือหุ้นบริษัทร้าง

นายชูศักดิ์กล่าวอีกว่า กรณีนายสมพงษ์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย เคยถือหุ้นอยู่ในบริษัทหนึ่ง ได้ตรวจสอบแล้วว่าเป็นบริษัทร้างเลิกกิจการแล้วดูจากคำร้องคล้ายว่ามีบริษัทอื่นๆอีก จะถือว่าเข้าข่ายประเด็นดังกล่าวหรือไม่ แต่ดูแล้วว่าไม่ได้ประกอบกิจการแน่ ผ่านมา 40-50 ปีแล้ว ที่ระบุว่าคำตัดสินของศาลฎีกาฯไม่ผูกพันกับศาลรัฐธรรมนูญ ต้องอยู่ที่ดุลพินิจของศาล สำหรับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านยังมีเวลา คาดว่าจะชัดเจนเดือน ก.ค.

“ปิยบุตร” หวังแขวน 41 ส.ส.แบบ “ธนาธร”

ที่พรรคอนาคตใหม่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงกรณีที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายกฎหมายระบุถึงการตีความ 41 ส.ส.รัฐบาลถือหุ้นสื่อของศาลรัฐธรรมนูญควรต้องดูจากความเสียหายที่ตามมาเป็นหลักว่า นายวิษณุพูดถูกการประเมินต้องดูผลกระทบความเสียหายในการทำหน้าที่ในสภาฯ กรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคพรรคอนาคตใหม่ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 8 ต่อ 1 ให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. ระบุว่าหากให้เข้าประชุม ส.ส.จะมีข้อโต้แย้งคัดค้านทางกฎหมายตามมาจำนวนมาก เมื่อศาลมองว่ากรณีนายธนาธรเป็น ส.ส.คนเดียวทำให้เสียหาย แล้วถามว่ากรณี 41 ส.ส.เสียหายหรือไม่ จะบอกว่าไม่เสียหายเพราะจะโหวตร่าง พ.ร.บ.งบประมาณประจำปีไม่ผ่านคงไม่ได้ ต้องรอดูว่าศาลจะมีดุลพินิจเป็นอย่างไร

ขอมาตรฐานเดียวอย่าเลือกปฏิบัติ

นายปิยบุตรกล่าวอีกว่า ขอให้ดูคำร้องของ ส.ส.อนาคตใหม่ที่เข้าชื่อร้อง 41 ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล กับที่ กกต.ทำคำร้องของนายธนาธรส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญ จะเห็นได้ว่าแตกต่างกันมาก คำร้องของ กกต.มีรายละเอียดตามเนื้อหาของสำนักข่าวแห่งหนึ่ง แต่คำร้องของ ส.ส.อนาคตใหม่มีรายละเอียดมาก ตรวจสอบว่าใครยังถือหุ้นในบริษัทใดบ้าง บริษัทใดปิดกิจการไปแล้วไม่ได้ยื่นร้อง ตามกระบวนการของ 41 ส.ส.การรับคำร้องหรือไม่ เป็นคนละขั้นตอนกับการตัดสิน การพิจารณารับหรือไม่คำร้องไม่จำเป็นต้องไต่สวน เมื่อรับคำร้องไปแล้วจึงเข้าสู่ขั้นตอนไต่สวนชี้แจงกันภายหลัง เหมือนกรณีนายธนาธร ส่วนที่มีการยื่นร้อง 55 ส.ส.ฝ่ายค้านจาก ส.ส.รัฐบาลไม่เป็นไร เป็นสิทธิแต่ละท่าน แต่ขอให้มีมาตรฐานเดียวกัน ไม่เลือกปฏิบัติโดยดูจากหน้าผู้ถูกร้อง

จ้องขย่มแผนปฏิรูปยาวข้ามคืน

นายปิยบุตรกล่าวต่อว่า เลือกตั้งผ่านไปแล้ว 3 เดือน พล.อ.ประยุทธ์ได้รับการโปรดเกล้าฯเป็นนายกฯตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย.แต่ยังตั้งรัฐบาลไม่เสร็จ ขอเรียกร้องให้ตั้ง ครม.ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว อย่าให้ปัญหาการจัดสรรปันส่วนรัฐมนตรีของพรรคร่วมรัฐบาลมากระทบบ้านเมือง ฝ่ายค้านที่ต่อต้าน คสช.ยังยอมรับกติกาเมื่อ ส.ว.โหวต พล.อ.ประยุทธ์ชนะแล้วพร้อมทำหน้าที่ บ้านเมืองจะได้มีฝ่ายบริหารให้ฝ่ายค้านตรวจสอบ ตอนนี้มีการตั้งกระทู้ถามแล้ว แต่ยังไม่รู้ใครจะเป็นผู้มาตอบ และการประชุมสภาฯวันที่ 26 มิ.ย. ส.ส.อนาคตใหม่จะใช้เวทีสภาตรวจสอบตามวาระการประชุม โดยเฉพาะรายงานแผนการปฏิรูปประเทศ เราตั้งใจจะอภิปรายอย่างเต็มที่ อาจกินเวลาข้ามไปถึงวันที่ 27 มิ.ย. แม้เป็นวาระแจ้งให้ทราบไม่ต้องลงมติ แต่สภาผู้แทนฯไม่ใช่สภาฯตรายางต้องอภิปรายเต็มที่

อัด คสช.ยัดไส้เกสตาโปใส่ กอ.รมน.

ด้าน พล.ท.พงศกร รอดชมภู รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงกรณี พ.ร.บ.รักษาความ–มั่นคง 2551 กรณีที่ กอ.รมน.รับโอนหน้าที่จาก คสช.หลังหมดอำนาจว่า การยกเลิกคำสั่ง คสช.ได้ต้องมี พ.ร.บ.มารองรับ สิ่งนี้จะยังคงอยู่จนกว่าจะมีพรรค การเมืองและภาคประชาชนร่วมกันปลดอาวุธ คสช. แม้เราจะเชื่อกันว่าเมื่อมีรัฐบาลใหม่แล้วมาตรา 44 และ คสช.จะหายไป แต่ความจริงยังมีกฎหมายต่างๆ ที่ไปอยู่ใน พ.ร.บ.หรือระเบียบต่างๆของทางราชการ โดยเฉพาะการเพิ่มอำนาจ กอ.รมน.มีการพูดกันว่าจะรับไม้ต่อจาก คสช. ก่อนมาแก้ต่างว่าไม่มีแสดงให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวของทหารและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงยังมีต่อไป ฝ่ายราชการควรทำหน้าที่ผู้สนับสนุนประชาชน ไม่ใช่ควบคุมประชาชน ถ้าจะให้นิยามมันคือเกสตาโปในสมัยนาซีเจ้าหน้าที่จะเข้าถึงทุกบ้าน

วิป รบ.ค้านตั้ง กมธ.ตรวจสอบ ส.ว.

เมื่อเวลา 09.30 น. ที่อาคารรัฐสภาใหม่ เกียกกาย มีการประชุมสมาชิกพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาลชั่วคราว) มีนายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานการประชุมเพื่อพิจารณาเตรียมพร้อมเพื่ออภิปรายและการประชุมสภาฯ วันที่ 26 มิ.ย. ภายหลังการประชุมนายวิรัชเปิดเผยว่า ได้พูดคุยกันหลายประเด็น ทั้งกรณีตัวแทน 7 พรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นญัตติขอตั้งคณะ กมธ.วิสามัญเพื่อตรวจสอบ สอบสวน การได้มาซึ่ง ส.ว.ว่าขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ รวมถึงญัตติให้ตรวจสอบการขาดสมาชิกภาพของ ส.ว.ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 113 และ 114 ว่าด้วย ส.ว.ที่ไม่ฝักใฝ่การเมืองฯ ผ่านขั้นตอนรัฐสภา เพื่อเสนอต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ พร้อมขอให้บรรจุเป็นญัตติเร่งด่วนและบรรจุไว้ในระเบียบวาระการประชุมสัปดาห์หน้า แต่วิปรัฐบาลเห็นว่า ส.ส.ไม่ควรไปสอบสวนที่มา ส.ว.และถ้า ส.ว.มาสอบสวน ส.ส.คงอยู่นอกเหนืออำนาจ ถ้าบรรจุระเบียบวาระไปจะอยู่นอกเหนืออำนาจด้วย วิปรัฐบาลจึงไม่เห็นด้วย ส่วนประธานสภาฯจะดำเนินการอย่างไรเป็นการตัดสินใจของประธาน เราไม่ไปก้าวก่าย

ให้จ้อ 3 ทุ่มเหน็บไม่ใช่เวทีซ้อมซักฟอก

นายวิรัชกล่าวอีกว่า ส่วนการประชุมสภาฯเพื่อรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนการปฏิรูประเทศ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 270 รัฐบาลต้องส่งให้รัฐสภารับทราบทุก 3 เดือน ส.ส.พรรคฝ่ายค้านขอเวลาอภิปรายจนเสร็จสิ้นเวลา 21.00 น. มีตัวแทนสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ รายงานความคืบหน้า

ด้าน น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ และวิปรัฐบาล กล่าวว่า เชื่อว่ากรณีพรรคฝ่ายค้านขอเวลาเพื่ออภิปรายรับทราบรายงานความคืบหน้างานด้านปฏิรูปจะไม่ทำให้เกิดปัญหา หรือสร้างความวุ่นวาย หรือใช้เป็นเวทีเพื่อซักซ้อมการอภิปรายรัฐบาล ตามขั้นตอน ส.ส.มีเพียงหน้าที่รับทราบรายงานเท่านั้น ขณะที่การติดตามและตรวจสอบความคืบหน้างานปฏิรูปนั้น รัฐธรรมนูญกำหนดให้เป็นบทบาทของ ส.ว. แต่พรรคร่วมรัฐบาลจะศึกษาข้อมูลการปฏิรูปที่ผ่านมาว่าอยู่ในกรอบหรือหลักการหรือไม่

“ศรีสุวรรณ” จี้ สตง.ทวง 22 ล้าน “นิพนธ์”

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า วันที่ 26 มิ.ย. เวลา 10.00 น. จะไปยื่นหนังสือต่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เพื่อทวงถามความคืบหน้าการทวงเงินคืนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ที่มีนายนิพนธ์ บุญญามณี เป็นนายก อบจ.สงขลา ที่เบิกจ่ายเงินอุดหนุนของ อบจ.สงขลา ประจำปี 2558-2559 ให้สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดสงขลา 22 ล้านบาท เกินอำนาจหน้าที่และไม่ถูกต้องตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงิน การจ่ายเงินอุดหนุนปี 2543 สตง.มีมติให้ อบจ.สงขลานำเงินที่เบิกจ่ายไม่เป็นไปตามระเบียบ 22 ล้านบาทส่งคืนคลัง แต่จนบัดนี้ยังไม่คืบหน้า กระทั่งนายนิพนธ์ได้รับการเสนอชื่อจากพรรคประชาธิปัตย์ให้เป็น รมช.มหาดไทยยังไม่ปรากฏว่ามีการเรียกเงินคืนคลังครบแล้วหรือไม่ และดำเนินคดีกับผู้อนุมัติการใช้เงินโดยมิชอบหรือไม่ เพื่อให้สังคมไทยมีบรรทัดฐานที่ถูกต้อง ตำแหน่งเสนาบดีไม่ใช่ตำแหน่งที่ใช้ชุบตัวของนักการเมืองคนใด จึงต้องมาทวงถาม

“ทศพล” รอเลือกช่องทางสอย 55 ส.ส.

ที่พรรคพลังประชารัฐ นายทศพล เพ็งส้ม อดีตผู้สมัคร ส.ส.นนทบุรี และหัวหน้าทีมต่อสู้กรณี 27 ส.ส.พลังประชารัฐถูกร้องเข้าข่ายถือครองหุ้น และเป็นเจ้าของกิจการสื่อ เปิดเผยว่า พรรคจะรอดูศาลรัฐธรรมนูญว่าจะรับพิจารณาคำร้องที่ 41 ส.ส.ฝั่งรัฐบาลถูกร้องเข้าข่ายถือหุ้นสื่อหรือไม่ในวันที่ 26 มิ.ย.ก่อน เพื่อมาดูว่าจะใช้แนวทางใดยื่นฟ้อง 55 ส.ส.ฝั่ง 7 พรรคฝ่ายค้านถือหุ้นสื่อได้ถูกต้อง เบื้องต้นมี 2 แนวทางคือ ร้องผ่านประธานสภาฯ หรือให้ ส.ส.ไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเอง มั่นใจว่าข้อมูลที่ได้รวบรวมมาสามารถเอาผิด ส.ส.ฝ่ายค้านได้แน่ และไม่มั่วเหมือนพรรคอนาคตใหม่ที่ยื่นฟ้องไม่เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย

จับตาศาล รธน.ถก 41 ส.ส.ถือหุ้นสื่อ

ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญว่า การประชุมของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวันที่ 26 มิ.ย. เวลา 13.30 น. จะมีการพิจารณารับหรือไม่รับ คำร้องที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า 41 ส.ส.ที่ถือครองหุ้นสื่อเข้าข่ายทำให้ขาดคุณสมบัติดำรงตำแหน่ง ส.ส.หรือไม่ พร้อมประเด็นที่นายทศพล เพ็งส้ม หัวหน้าทีมต่อสู้คดีหุ้นสื่อของ 27 ส.ส.พรรคพลังประชารัฐยื่นขอให้ศาลจำหน่ายคดี เนื่องจากพรรคอนาคตใหม่ ผู้ยื่นเรื่องต่อประธานรัฐสภาเสนอเรื่องเป็นหนังสือ ไม่ได้ทำเป็นคำร้อง ถือว่าไม่ถูกต้องตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561

คาดพิจารณา 4 รมต.คู่สัมปทานรัฐ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้อาจมีการประชุมอภิปรายเพื่อนำไปสู่การพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดกรณี กกต.ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสามว่าความเป็นรัฐมนตรีของ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล อดีต รมช.ศึกษาธิการ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีต รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ อดีต รมว.ศึกษาธิการ และนายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รมช.คมนาคม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) หรือไม่ กรณีที่ถือครองหุ้นบริษัทที่เป็นคู่สัญญาสัมปทานกับรัฐ


ศาล ปค.ตีตกคำร้อง กก.สรรหา ส.ว.

วันเดียวกัน ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามศาลปกครองกลาง สั่งไม่รับคำฟ้องของคณะราษฎรไทยแห่งชาติกับพวกรวม 34 คน ที่ยื่นฟ้อง คสช.และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ กรณีตั้งคณะกรรมการสรรหา ส.ว.โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากแต่งตั้งบุคคลที่ไม่มีความเป็นกลางทางการเมือง โดยศาลปกครองสูงสุดเห็นว่าการปฏิบัติหน้าที่ของ คสช.และนายกฯ เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ. 2557 มีบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญปี 2560 รองรับ ผู้ถูกร้องทั้งสองถือเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และการตั้งกรรมการสรรหา ส.ว.เป็นการใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญโดยตรง เพื่อสรรหาบุคคลไปทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติ จึงไม่ใช่ข้อพิพาทจากการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลปกครอง

คณะราษฎรไทยโร่ฟ้องยูเอ็น–อียู

ด้านนายพลภาขุน เศรษฐญาบดี แกนนำคณะราษฎรไทยแห่งชาติ น้อมรับคำพิพากษา จะนำเรื่องไปร้องต่อที่สหประชาชาติและสหภาพยุโรปหรืออียู เพื่อให้รู้ว่าตัวแทนปวงชนชาวไทยที่ทำหน้าที่ในสภาไม่ได้เป็นไปตามหลักการที่ถูกต้อง ฝากถึงผู้ทำงานด้านกฎหมายว่า เราต่างเห็นอยู่แล้วว่ารัฐธรรมนูญเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจนว่ากรรมการสรรหาต้องเป็นกลางทางการเมือง ทุกคนรู้ภาษาไทยหมดและเห็นการกระทำของผู้ใช้อำนาจรัฐด้วยกันทั้งสิ้นว่าไม่เป็นไปตามนั้น อยากถามว่ารัฐธรรมนูญไทยนี้มีไว้เพื่อใคร เพื่อปวงชนชาวไทยจริงหรือไม่ จึงเชิญชวนคนดีทั้งหลายโปรดช่วยปวงชนชาวไทยในภาวะเช่นนี้ด้วย

“บิ๊กตู่” ปัดย้าย “บิ๊กโจ๊ก” กลับ สตช.

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวเตรียมใช้คำสั่งมาตรา 44 ย้าย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกฯ กลับรับราชการตำรวจในตำแหน่งผู้ช่วย ผบ.ตร.ว่าไม่เคยมีย้ายใคร เอามาจากไหนยังไม่รู้เลย ใครปล่อยข่าวไม่รู้ ไม่มี ยืนยันกรณี พล.ต.ท.สุรเชษฐ์เป็นการดำเนินการตามความเหมาะสมต่อการปฏิบัติหน้าที่ถือว่าจบแล้ว ไม่ต้องไปหาว่าเป็นเพราะเหตุโน้นเหตุนี้มากันอีก

ติงคนวิจารณ์อาเซียนระวังปาก

พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวถึงการประชุมสุดยอดอาเซียนที่เสร็จสิ้นไปว่า สำเร็จลุล่วงด้วยดี ขอบคุณที่ร่วมเป็นเจ้าภาพที่ดี แต่ไม่ใช่เรื่องที่ใครนึกอยากจะพูดอะไรก็ได้ ใครพูดอะไรออกมากรุณาเข้าใจด้วย อย่าลืมว่าเรามีกฎบัตรอาเซียน มีมติอาเซียน สิ่งที่พูดกันระดับผู้นำคือเจตนารมณ์ทางการเมืองของแต่ละประเทศ ที่จะรับเรื่องที่เป็นสารัตถะการประชุมไปขับเคลื่อน ต้องสอดคล้องกับนโยบายทุกรัฐบาล เรื่อง ภายในเป็นการบริหารราชการแผ่นดินของประเทศเขา ไปก้าวล่วงไม่ได้ รักษาแนวปฏิบัติและกติกาให้ดี

ปัดช่วย “แรมโบ้” หลุดคดีแลกย้ายขั้ว

เมื่อถามถึงกรณีนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ หลุดจากการดำเนินคดีล้มการประชุมอาเซียน เมื่อปี 2552 ที่พัทยาเนื่องจากคดีหมดอายุความว่า มีการบอกแล้วว่าอัยการส่งฟ้องไม่ทัน ต้องดูว่าส่งฟ้องกันเมื่อไหร่ แล้วทำให้คดีขาดอายุความ เรื่องนี้เกิดมาตั้งนานแล้ว สื่อมวลชนเพิ่งพาดหัวข่าวว่ามีการตอบแทนกัน ความจริงตอบแทนกันไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าตอบแทนคนบางคน แล้วตนจะอยู่ได้อย่างไร “ผมตอบแทนให้ใครไม่ได้ ไม่ว่าจะพรรคใดก็ตาม หากบอกว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์แล้วลดคดีให้ จะเป็นไปได้อย่างไร เพราะผมไม่ใช่ศาล และคดีเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับมาตรา 44 ยืนยันว่าไม่ได้ใช้อำนาจเหล่านี้เลย อัยการชี้แจงได้อยู่แล้ว”

เหตุปี 52 ตร. ส่งสำนวนปี 60 สั่งฟ้องปี 62

นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงกรณีที่พนักงานอัยการสำนักงานจังหวัดพัทยาไม่สามารถนำตัวนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน มาฟ้องต่อศาลจังหวัดพัทยาในคดีเกิดเหตุชุมนุมระหว่างประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่เมืองพัทยาเมื่อปี 2552 จนคดีขาดอายุความว่า คดีเกิดขึ้นวันที่ 11 เม.ย.52 หมดอายุความไปเมื่อวันที่ 11 เม.ย.62 โดยพนักงานสอบสวนเห็นสมควรสั่งฟ้องนายสุภรณ์พร้อมพวกรวม 7 คน และส่งสำนวนให้อัยการวันที่ 1 ส.ค.60 ต่อมาวันที่ 8 ก.พ.62 พนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้อง

ใกล้สิ้นอายุความ ตร.นำตัวมาไม่ได้

“จากนั้นมีหนังสือด่วนที่สุดถึง ผกก.สภ.เมืองพัทยาและ ผบช.ภ.2 ให้จับกุมตัวส่งอัยการฟ้องต่อศาลให้ได้ภายในวันที่ 5 เม.ย.62 ตำรวจแจ้งว่ายังไม่สามารถนำตัวมาได้ ศาลจังหวัดพัทยาจึงออกหมายจับวันที่ 4 เม.ย.62 อัยการมีหนังสือด่วนที่สุดถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งจับกุมตัวเนื่องจากคดีจะหมดอายุความ เรื่องนี้ทางอัยการไม่ได้ ปล่อยปละ ละเลย เร่งรัดที่จะฟ้องคดีมาตลอด การไปตามจับไม่ใช่หน้าที่อัยการ ส่วนจะมีการตั้งสอบอัยการเจ้าของสำนวนหรือไม่ขณะนี้ยังไม่มีรายงานมา”

“สุภรณ์” อ้างไม่มีใครเคลียร์คดีให้

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา พรรคพลังประชารัฐ กล่าวกรณีที่มีเสียงวิจารณ์สาเหตุที่หลุดคดีล้มการประชุมอาเซียนเมื่อปี 2552 ที่พัทยา เนื่องจากคดีหมดอายุความเพราะย้ายมาอยู่กับพรรคพลังประชารัฐว่า พูดไปจะไปกระทบระบบราชการถือว่าไม่ดี พูดไปจะเสีย อัยการออกมาแถลงอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. วิพากษ์วิจารณ์ก็เต้นไปทุกเรื่องเต้นมานานแล้ว เรื่องคดีไม่เกี่ยวกับนายณัฐวุฒิวิจารณ์ คดีหมดอายุความคือหมดอายุ ที่ผ่านมาบ้านเมืองไม่สงบสุขเพราะคนแบบนี้เต้นไปเต้นมาไม่หยุด ไม่อยากรื้อฟื้นเป็นกระบวนการของกฎหมาย ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมาย ไม่มีอภิสิทธิ์ชน แต่กลับมาเอาเรื่องกฎหมายมาเชื่อมโยงเกี่ยวกับการเมือง จนทำให้เกิดความวุ่นวายยืนยันว่าไม่มีใครช่วยใครได้ในเรื่องคดี


“ยิ่งลักษณ์” ปลื้มกำลังใจล้นยิ้มสู้

วันเดียวกัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ โพสต์ข้อความระหว่างพักอยู่ในยุโรปว่า “วันนี้มีโอกาส ออกมาดื่มกาแฟในสวน เพราะเห็นว่าอากาศช่วงนี้ดีเป็นพิเศษ อากาศที่นี่ไม่ได้ดีทุกวันค่ะ บางวันฝนตก บางวันก็หนาว เปลี่ยนไปตามสภาพของแต่ละวัน ก็คงเหมือนกับสถานการณ์ในแต่ละช่วงของชีวิตคนเรา ที่บางครั้ง บางช่วงเวลาก็ไม่เป็นดั่งใจเรานึก ดิฉันขอให้กำลังใจทุกท่านที่กำลังท้อ หรือผิดหวังกับสถานการณ์ต่างๆที่กำลังเกิดขึ้น ขอให้ทุกคนยิ้มสู้ และอย่าหมดหวัง วันที่สดใสรอเราอยู่เสมอนะคะ”


“บิ๊กป้อม” ขู่ใครพูดจัดฉากต้องรับผิดชอบ

อีกเรื่อง เมื่อเวลา 08.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กตั้งข้อสงสัยการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบและปัญหาโฉนดที่ดินรอบ 2 หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจว่ายืนยันว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนตั้งใจทำงานอย่างมีระบบ หลายหน่วยงานมาประชุมบูรณาการเลือกโฉนดที่ดินแต่ละใบ ทุกอย่างตรวจสอบได้ ยืนยันว่าส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไปพูดคุยกับนายนิพิฏฐ์ ไม่ใช่ไปทำความเข้าใจ แต่ไปอธิบายเพราะเป็นนโยบายรัฐบาล ทุกหน่วยงานประชุมกันเพื่อจะทำให้ถูกต้องและดีที่สุด พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.บอกแล้วว่าหากตำรวจคนไหนทำไม่ดีเราตรวจสอบได้ เมื่อถามว่าจะฟ้องร้องนายนิพิฏฐ์ หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ใครพูดอะไรเอาไว้ต้องรับผิดชอบ ส่วนที่ ผบ.ตร.ขู่จะฟ้องร้องว่ากันไป เมื่อถามว่า นายนิพิฏฐ์ตั้งข้อสังเกตว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่มีหน้าที่ไปไกล่เกลี่ย แต่ต้องดำเนินคดีกับเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบเท่านั้น พล.อ.ประวิตรตอบว่า การดำเนินการต่างๆ ทั้งเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบและลูกหนี้รวมตัวกัน ต้องตกลงไกล่เกลี่ยกัน มีเจ้าหน้าที่เป็นตัวกลาง ว่ากันไปตามกฎหมาย ยืนยันว่าการทำหน้าที่ของตำรวจ ไม่เข้าข่ายการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157

แจกต่อโฉนดแก้หนี้เงินกู้นอกระบบ

พล.อ.ประวิตรกล่าวอีกครั้งหลังการประชุม ครม. ว่า วันที่ 27 มิ.ย. จะเดินทางไปมอบโฉนดที่ดินให้กับประชาชนแก้ปัญหาหนี้นอกระบบครั้งที่ 12 ที่ จ.ลพบุรี ยืนยันว่าครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายจะดำเนินการต่อไปเรื่อยๆ และส่งมอบไปยังรัฐบาลต่อไป เนื่องจากมีประชาชนเป็นหนี้นอกระบบอยู่อีกจำนวนมากโดยเฉพาะภาคอีสาน


“นิพิฏฐ์” เหน็บใช้อภินิหาร ก.ม. ก็ว่าไป

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี พล.อ.ประวิตรระบุให้รับผิดชอบสิ่งที่พูดเอาไว้ว่า ไม่มีปัญหาที่พูดไม่ได้คาดคั้นว่าใครทำอะไรผิดหรือถูกอย่างไร มีข้อเท็จจริงทั้งจากลูกความและเพื่อนนักกฎหมาย รวมถึงตำรวจที่ไม่เปิดเผยตัวที่หนักใจว่าต้องไปหาโฉนดที่ดินเพิ่มโดยบีบนายทุนเงินกู้ที่จับมาให้ไปหาโฉนดที่ดินเพิ่มเพื่อเอามาแจกชาวบ้าน แต่ตามกฎหมายอาญาการปล่อยเงินกู้เก็บดอกเบี้ยเกินกฎหมายกำหนด ถือเป็นคดีอาญาแผ่นดินยอมความไม่ได้ แต่ถ้าตำรวจจะใช้อภินิหารทางกฎหมายให้ยอมความได้ก็ว่ากันไป ถ้าเขาทำได้ด้วยวิธีการใดๆ

ท้าฟ้องเลยบี้เปิดข้อมูลลูกหนี้-เจ้าหนี้

นายนิพิฏฐ์กล่าวอีกว่า ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า ผบ.ตร.อาจฟ้องร้องตนนั้น ยังไม่ได้ยินว่าใครจะฟ้องร้อง เพียงแต่ได้ยินว่าใครพูดอะไรไว้ขอให้รับผิดชอบคำพูด ตนพร้อมรับผิดชอบคำพูดตัวเอง เพราะเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว แต่จะให้ซัดทอดลูกความหรือตำรวจที่มาหาไม่ทำแน่ หนักใจคือไกล่เกลี่ย 2 หมื่นกว่าราย ถือว่ามาก จึงขอดูตัวเลขว่าดำเนินคดีฟ้องร้องไปแล้วกี่ราย เพราะไม่เปิดเผยข้อมูลใดๆให้ตรวจสอบได้ แต่กลับแถลงข่าวผลงานตีปี๊บไปแล้วจะเอาหน้าหรือไม่ตนไม่ทราบ ขอให้เปิดเผยข้อมูลตรงนี้ทั้งฝ่ายลูกหนี้และเจ้าหนี้ มีใครบ้างถูกดำเนินคดีไปแล้วกี่คนโทษอย่างไร สิ่งที่พูดไปถ้าเป็นประโยชน์เอาไปปรับปรุงวิธีการทำงานใหม่ให้ตรงไปตรงมา ถ้าคิดว่าไม่มีประโยชน์ไม่น่าเชื่อถือ ทำให้เสียหายขอให้ฟ้องได้เลย เพราะ พล.ต.ท.ที่มาขอข้อมูลได้ขอบคุณที่ให้ข้อเท็จจริงและข้อมูล ไม่มีการบอกว่าจะฟ้องร้องอะไร และยังรับปากว่าการทำงานของศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการฉ้อโกงทรัพย์สินของประชาชน สตช. (ศปฉช.ตร.) ต่อไป จะไม่เน้นจำนวนคดีหรือต้องหาโฉนดที่ดินมาแจก จะคำนึงถึงข้อเท็จจริงทำตรงไปตรงมา

กัดกันเละถือหุ้นสื่อแช่แข็งประเทศไทย1ปี

เลือกตั้งผ่านไป 94 วันแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังไม่สามารถจัดตั้ง “รัฐบาลผสม” ได้สำเร็จ ท่ามกลางการทะเลาะของนักการเมืองสองขั้ว แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ยังทำตัวชิวๆ เพราะไม่ว่าตั้งรัฐบาลช้าหรือเร็ว พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่เดือดร้อน ยังเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ดี นี่คือ ผลเสียของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศและประชาชนอย่างรุนแรง มีข่าววงในว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะลากยาว ไปตั้งรัฐบาลใหม่กลางเดือนกรกฎาคมโน่น ผลเสียตามมาก็คือ งบประมาณปี 2563 ที่จะต้องจ่ายตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมปีนี้ ต้องเลื่อนออกไปจนถึงสิ้นปี เท่ากับว่า “เศรษฐกิจประเทศไทยถูกแช่แข็งไป 1 ปี” ตลอดปีนี้ทั้งปีเลยทีเดียว เศร้าใจไหม

สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็คือ เศรษฐกิจชะงักงัน จีดีพีหด การส่งออกติดลบ ก็ไม่รู้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี 2 รัฐบาล จะรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจบ้างไหม

เมื่อการจัดตั้ง “รัฐบาลผสม 18 พรรค” เป็นไปอย่างล่าช้า ก็ยิ่งทำให้นักการเมืองทะเลาะกันมากขึ้น ฟัดกันมากขึ้น กัดกันมากขึ้น อย่างที่เป็นข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ เว็บไซต์ ทุกวันจนเบื่อหน่ายสุดๆ เรื่องล่าสุดที่ ฟัดกันแบบตะลุมบอน หรือ แบบหมาหมู่ ก็คือ เรื่องการถือหุ้นสื่อ ที่มีข้อห้ามใน รัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) ห้าม ส.ส. ส.ว. เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ ไม่รู้คนร่างรัฐธรรมนูญรังเกียจอะไรสื่อนักหนา ประเทศที่เจริญแล้ว ไม่มีใครเขาห้าม

แต่เรื่อง ประวัตินักการเมืองฉาว เคยต้องคดีทุจริตคอร์รัปชัน มีพฤติกรรมผิดศีลธรรม ผิดกฎหมาย กลับไม่มี ส.ส. ส.ว. คนไหนออกมา คัดค้าน เพื่อรักษาผลประโยชน์ของบ้านเมืองและประชาชน คนเช่นนี้จะเป็นตัวแทนที่ดีของประชาชนได้อย่างไร

คดีถือหุ้นสื่อเริ่มมาจาก คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ถูกยื่นฟ้องศาลรัฐธรรมนูญว่า ถือหุ้นสื่อ ผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) และ ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้พักการทำหน้าที่ ส.ส.ชั่วคราว ทำให้ พรรคอนาคตใหม่ แก้เผ็ดฝ่ายรัฐบาลด้วยการยื่นคำร้องต่อ ประธานสภาผู้แทนฯ ให้ส่งเรื่องไปยัง ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัย คุณสมบัติของ ส.ส. 41 คนใน 5 พรรคร่วมรัฐบาล อาจมีคุณสมบัติขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) ถือหุ้นสื่อ เพื่อหวังให้ ศาลรัฐธรรมนูญสั่งพักการทำหน้าที่ ส.ส.ชั่วคราว แบบเดียวกับ คุณธนาธร

พรรคพลังประชารัฐ แกนนำจัดตั้งรัฐบาล ก็โต้กลับด้วยการเตรียมยื่นให้สภาส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ส.ส. 55 คนของ 7 พรรคฝ่ายค้าน โดยมี ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ 33 คน เข้าข่ายถือหุ้นสื่อ หวังให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งพักการทำหน้าที่ ส.ส. เช่นเดียวกับ คุณธนาธร และล่าสุดก็ลามไปถึง ส.ว.อีก 21 คน

ก็เล่นการเมืองน้ำเน่ากันอยู่อย่างนี้ทุกวัน ไม่มี ส.ส. ส.ว. คนไหนสนใจปัญหาของประเทศที่มีอยู่มากมาย และความทุกข์ของประชาชน ที่กำลังเผชิญกับสภาวะ เศรษฐกิจตกต่ำ ข้าวยากหมากแพง ชีวิตความเป็นอยู่ก็ลำเค็ญ การค้าติดลบ กำลังซื้อติดลบ การส่งออกติดลบ เงินบาทแข็งโป๊กจนหัวร้างข้างแตกไปตามกัน ไม่มีใครพูดถึงสักแอะ แม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งมีฐานะเป็น นายกรัฐมนตรี ของรัฐบาล คสช.ในปัจจุบัน ก็ไม่ได้คิดแก้ไขอะไร ทั้งที่ยังมีอำนาจเต็มๆ

เรื่อง “ห้ามถือหุ้นสื่อ” ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ถือเป็นความคิดที่ล้าหลังของคนแก่ที่ไม่ทันโลก วันนี้ สื่อหนังสือพิมพ์ สื่อโทรทัศน์ กำลังจะตายกันหมดแล้ว และ สื่อในนิยามใหม่ ที่เข้ามาแทนที่สื่อดั้งเดิมก็คือ สื่อออนไลน์ และ โซเชียลมีเดีย ถ้าเอา ข้อห้ามถือหุ้นสื่อ มาใช้ ผมว่า ส.ส. ส.ว.ผิดทั้งรัฐสภา เพราะทุกคนเป็นเจ้าของสื่อโซเชียลมีเดียทั้งนั้น รวมทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ด้วย เห็นโพสต์ลง เฟซบุ๊ก กันทุกวัน

หากไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ หรือร่างรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้นมาแทน ในอนาคตประเทศไทยจะติดกับดักความล้าหลังนี้ รวมทั้ง อีกหลายกับดักในรัฐธรรมนูญ จะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่ล้าหลังในอาเซียน ไปในที่สุด.

“ลม เปลี่ยนทิศ”

เสียววาบทั้งกระบิ

กติการัฐธรรมนูญ 2560 ว่าด้วยคุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส. และ ส.ว. ถือเป็นมาตรการเบื้องต้นในการสแกนบุคคลก่อนเข้าสู่วงจรอำนาจ

มีเจตนารมณ์มุ่งหมายเพื่อให้ได้คนดี มีความรู้ ความสามารถ เข้ามาทำงานรับใช้ประเทศชาติและประชาชน ป้องกันคนไม่ดีไม่ให้เข้ามามีอำนาจ

อีกทั้งยังเพิ่มกฎเกณฑ์ห้ามผู้สมัคร ส.ส. ส.ว. และบรรดารัฐมนตรี เป็นเจ้าของกิจการ หรือถือครองหุ้นในบริษัทที่ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชนใดๆ

เพื่อไม่ให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบคู่แข่ง หรือผู้สมัครรายอื่นๆในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง

และการเลือกตั้ง ส.ส.ที่ผ่านมาหมาดๆ กฎเหล็กห้ามผู้สมัคร ส.ส.ถือหุ้นสื่อ ก็เริ่มออกฤทธิ์ออกเดชให้เห็น ในกรณีของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่

โดนร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบปมถือหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ที่ดำเนินธุรกิจสื่อ เข้าข่ายขาดคุณสมบัติลงสมัคร ส.ส.

และ กกต. ตรวจสอบแล้วมีมติชงเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสมาชิกภาพ ส.ส.ของ ธนาธร เมื่อศาลฯมีมติรับเรื่องไว้พิจารณา ได้มีคำสั่งให้ ธนาธรยุติการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ไว้ชั่วคราว จนกว่าศาลฯจะมีคำวินิจฉัยชี้ขาด

ต้องรอลุ้นเสียวว่าจะตกเก้าอี้ ส.ส. สังเวยกฎเหล็กห้ามถือหุ้นสื่อเป็นรายแรกของสภาฯชุดนี้หรือไม่???

แต่เมื่อการเมืองเป็นเรื่องของการชิงไหวชิงพริบ ชิงความได้เปรียบ พรรคอนาคตใหม่ก็เลยเปิดเกมย้อนศร ยื่นคำร้องต่อประธานสภาฯ ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยสมาชิกภาพ ส.ส.ซีกรัฐบาล 41 คน จาก 5 พรรคการเมือง เข้าข่ายขาดคุณสมบัติกรณีถือหุ้นสื่อเช่นเดียวกัน

โดยศาลรัฐธรรมนูญนัดประชุมวันที่ 26 มิ.ย.นี้ เพื่อพิจารณาว่าจะรับเรื่องไว้พิจารณาวินิจฉัยหรือไม่

กลายเป็นเหตุให้ 41 ส.ส.ฟากฝั่งรัฐบาล ต้องมานั่งลุ้นเสียว จะโดนศาลฯสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ชั่วคราว เหมือนอย่าง ธนาธร ด้วยรึเปล่า

ขณะที่พรรคพลังประชารัฐในฐานะแกนนำรัฐบาล พยายามหาช่องสกัด ด้วยการยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้มีการไต่สวนก่อนรับคำร้องและก่อนออกคำสั่งใดๆ

เพราะถ้าปล่อยให้ไหลไปตามเกมพรรคอนาคตใหม่ หากศาลฯสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ โดนดองเค็มยกโขยง ย่อมส่งผลต่อเสียงหนุนรัฐบาลในสภาฯ กลายเป็นเสียงข้างน้อย มีสภาพไม่ต่างจากเป็ดง่อย เชียวแหละทั่นพระครู!!!

แต่ที่เด็ดดวงกว่านั้น พรรคพลังประชารัฐ งัดเกมสวนกลับ ยื่นเรื่องให้ประธานสภาฯ ส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสมาชิกภาพ ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน 55 คน เป็นการแก้เผ็ด

หวังลดเสียง ส.ส.ของฝ่ายตรงข้าม แบบที่ว่า ถ้าข้าโดนหั่นแต้ม เอ็งก็ต้องเดี้ยงเหมือนกันนะเฟ้ย!!!

กลายเป็นว่ากฎเหล็กห้ามถือหุ้นสื่อที่มีไว้กลั่นกรองคุณสมบัติ กลับถูกนำมาใช้เป็นอาวุธฟาดฟันกันเละเทะ

แถมล่าสุด มีนักร้องเรียนลุยเปิดเกมเขย่าขวัญ ยื่นร้อง กกต.ให้ตรวจสอบคุณสมบัติ ส.ว. 21 คน ปมถือครองหุ้นสื่อซ้ำเข้าไปอีกดอก สถานการณ์ทำท่าจะบานปลายฟ้องร้องกันไม่จบ

งานนี้ คงต้องพึ่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ชัดเพื่อให้เป็นบรรทัดฐาน โดยเฉพาะการถือครองหุ้นในบริษัทที่จดแจ้งวัตถุประสงค์ทำกิจการสื่อ แต่ไม่ได้ประกอบกิจการจริง จะเข้าข่ายความผิดหรือไม่ ประการใด???

อย่าปล่อยให้เป็นของสนุก เล่นเกมร้องเรียนกันมั่วๆ อีกเลยนะคุณโยม!!!

“พ่อลูกอิน”