PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เสรีภาพสื่อ ว่าด้วยกรณี ตปท.ถล่มไทย

เสรีภาพสื่อฯ แบบเสื่อมๆ
เรื่องนี้.. สมาคมสื่อฯ มีคำตอบไหมครับ?
... ถ้ามาตรฐานการรายงานข่าวทำได้แค่นี้ โดยเฉพาะเป็นข่าวที่สร้างความเสื่อมเสียต่อประเทศ เป็นข่าวที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับคู่ขัดแย้ง พวกท่านไม่ต้องตรวจสอบข่าวกันแล้วใช่ไหม?
... จากเวปไซด์ของกระทรวงต่างประเทศ ได้ชี้แจงข่าวที่มีการนำเสนอกันว่า กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ประณามไทย กรณีจับผู้ต้องหาคดี ความผิดมาตรา 112.... ไม่เป็นความจริง.!!!
ข่าวสารนิเทศ : กรณีการรายงานข่าวที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับท่าทีของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ต่อสถานการณ์ในประเทศไทย
ตามที่สื่อต่างประเทศบางสำนักได้รายงานว่า กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประณามประเทศไทย กรณีการจับกุมผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ นั้น
กระทรวงการต่างประเทศได้ตรวจสอบกับฝ่ายสหรัฐฯ แล้ว ขอชี้แจง ดังนี้
1. กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ มิได้ออกแถลงการณ์ใด ๆ ในประเด็นดังกล่าว
2. ข้อความที่สื่อบางสำนักรายงานเป็นเพียงการตอบคำถามโดยเจ้าหน้าที่เวรข่าวของกรมเอเชียตะวันออกของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ มิใช่การตอบคำถามโดยโฆษกระดับกรมอย่างที่มีการรายงาน อีกทั้ง มิได้ใช้ถ้อยคำว่า “ประณาม” (condemn) ตามที่สื่อบางสำนักรายงานแต่อย่างใด
3. รัฐบาลขอยืนยันว่า ประเทศไทยเคารพหลักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและให้ความสำคัญกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น อย่างไรก็ดี ต้องคำนึงถึงการรักษาความสงบเรียบร้อย การป้องกันความแตกแยกในสังคม เนื่องจากขณะนี้อยู่ในช่วงของการปฏิรูปประเทศเพื่อนำสู่ประชาธิปไตยที่มั่นคงและความสามัคคีภายในชาติ
11 พ.ค. 2559 16:41:44 / เรียกดู 68 ครั้ง
http://www.mfa.go.th/…/66745-%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0…
.

เลขาสมช. รับ ไทยถูกถามละเมิดสิทธิกลางเวทียูเอ็น กระทบภาพลักษณ์ การค้า-การเมือง



“เลขาสมช.” รับ ไทยแจงเวทียูพีอาร์ ส่งผลกระทบภาพลักษณ์ เชื่อทำความเข้าใจไม่มีปัญหา จับตาท่าทีนานาชาติเคลื่อนไหวต่อไป
เมื่อเวลา 15.15 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ทวีป เนตรนิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวถึงกรณีที่ปลัดกระทรวงยุติธรรมนำคณะเข้าชี้แจงต่อคณะทำงานสิทธิมนุษยชนของไทย(ยูพีอาร์) ในที่ประชุมสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ว่า กรณีที่นานาประเทศมีคำถามพุ่งตรงมาที่ประเทศไทยนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายรัฐมนตรี ได้กล่าวในที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ด้วยว่าเรื่องนี้ถือเป็นรอยต่อที่สำคัญ เพราะถือว่าเป็นเส้นที่บางมากในแง่ของสิทธิมนุษยชนกับการปฏิบัติตามกฎหมาย คือ เมื่อทำผิดกฎหมายแล้วเจ้าหน้าที่ก็ต้องปฏิบัติตามและจากนั้นก็ต้องดำเนินการนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

พล.อ.ทวีป กล่าวว่า การชี้แจงของคณะไทยที่ยูเอ็น สำหรับท่าทีของต่างประเทศไม่มีสิ่งใดผิดปกติ แต่ยอมรับว่าส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศแน่ และย่อมมีผลต่อทุกเรื่องทั้งการค้า การลงโทษ การเมือง ความมั่นคงและการทหาร ซึ่งจากนี้ก็จะต้องติดตามท่าทีของต่างประเทศที่ได้ตั้งคำถามว่าจะมีความเคลื่อนไหวต่อไปหรือไม่ หรือจะขยายผลอย่างไรหรือไม่ เพราะองค์กรระหว่างประเทศอาจไม่เข้าใจต่อสถานการณ์ปัจจุบันของไทยหรือกฎหมายของไทย ซึ่งถ้าเราทำความเข้าใจก็ไม่มีปัญหา เพราะเราล้วนปฏิบัติตามกฎหมายทั้งสิ้น

รมว.ยุติธรรมยัน ม.112 จำเป็น ชี้ประเทศอื่นไม่มีอารยะไม่มีความนุ่มนวลอย่างที่เราได้รับ

รมว.ยุติธรรมยัน ม.112 จำเป็น ชี้ประเทศอื่นไม่มีอารยะไม่มีความนุ่มนวลอย่างที่เราได้รับ
พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา มั่นใจชี้แจงทบทวนสิทธิมนุษยชน กลางวงยูเอ็น ไม่มีอะไร ยันไทยพยายามแก้ไขปัญหาบ้านเมืองของเราบนพื้นฐานของบริบทในกรอบปัญหาของเรา ระบุจำเป็นต้องมี ม.112
ต่อกรณีคำถามว่า คสช.ใช้กฎหมายมาตรา 112 ในการจัดการประชาชนที่เห็นต่างในการหมิ่นสถาบัน พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า กฎหมายก็จบในตัวอยู่แล้ว ยอมไม่ได้กับพวกหมิ่นสถาบัน รัฐบาลนี้ไม่ยอม สื่อประเทศไทยต้องไปบอกกับเขาบ้างว่าประเทศไทยมีความสำคัญอย่างไร จึงต้องมีกฎหมายมาตรา 112 เพราะนี่คือประเทศไทย
"ผมถามท่านว่า ท่านเป็นพวกนิยมหมิ่นสถาบันเหรอ เพราะฉะนั้นกฎหมายก็จบในตัวของมันอยู่แล้ว ไม่ต้องมาพูดอะไรกับผมมาก แล้วผมก็ยอมไม่ได้ พวกหมิ่นสถาบัน นายกฯ ก็บอกแล้วรัฐบาลนี้ไม่ยอม แล้วผมก็ไม่ยอมตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว ตั้งแต่เป็นทหารแล้ว"
"เขาเข้าใจหรือเปล่า สื่ออย่างพวกคุณก็ต้องไปบอกเขาบ้างสิ เขียนบ้างสิว่าประเทศไทย มีอะไร มีความสำคัญอย่างไรถึงต้องมีกฎหมายฉบับนี้ เขามีเหมือนเรามีไหม เขามีเหมือนเรามีหรือเปล่าเล่า หะ เขามี 70 ปีเหมือนเราไหม เขามี 7 รอบเหมือนเราไหม ไม่มีหรอกครับ เขาไม่มีอารยะ เขาไม่มีความละเอียดอ่อน เขาไม่มีความนุ่มนวลอย่างที่เราได้รับหรอกครับ ไปบอกเขาด้วย" พล.อ.ไพบูลย์ กล่าว
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวกับสื่อมวลชนด้วยว่า ต้องบอกแบบนี้ไป ต้องมีกฎหมายปกป้องผู้นำของเขาเหมือนกัน
"ผมก็ต้องมีกฎหมายปกป้องพรเจ้าอยู่หัวผม จะมีอะไร มีอะไร ไม่กล้าพูดหรอ อายเขาเหรอ ไม่อายหรอก ผมไม่ได้อายเรื่องนี้ ทำความดีต้องไปอายอะไร สถาบันเรา ประเทศเรา นี่คือประเทศไทย ก็ต้องมีกฎหมายฉบับนี้อยู่ ทำไม ไม่ต้องการ แล้วคุณจะถามผมทำไม ถามผมก็ตอบแบบนี้ชั่วกัปชั่วกัลป์ผมก็ตอบแบบนี้ ผมจะตอบแบบนี้ทุกครั้งที่คุณถามแบบนี้ จำไว้ อัดเทปแล้วไปเขียนแบบเดิม" พล.อ.ไพบูลย์ กล่าว

วัณโรคคร่าชีวิต “มะแซ อุเซ็ง” ปิดตำนานเจ้าของทฤษฎีบันได 7 ขั้นของกลุ่ม “บีอาร์เอ็น”

11 พฤษภาคม 2559 15:56 น. (แก้ไขล่าสุด 11 พฤษภาคม 2559 16:05 น.)Manager
วัณโรคคร่าชีวิต “มะแซ อุเซ็ง” ปิดตำนานเจ้าของทฤษฎีบันได 7 ขั้นของกลุ่ม “บีอาร์เอ็น”
         
       ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - วัณโรคคร่าชีวิต “มะแซ อุเซ็ง” ปิดตำนานเจ้าของทฤษฎีบันได 7 ขั้น แผนการเพื่อใช้ในการแบ่งแยกดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ของกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน “บีอาร์เอ็น”
       
       วันนี้ (11 พ.ค.) มีรายงานข่าวจากตัวแทนของขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น ในประเทศมาเลเซีย เปิดเผยให้ทราบว่า นายมะแซ อุเซ็ง เจ้าของทฤษฎีบันได 7 ขั้น ซึ่งเป็นแผนการเพื่อใช้ในการแบ่งแยกดินแดนของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้เสียชีวิตในโรงพยาลบาลแห่งหนึ่ง ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ด้วยอาการของวัณโรค ซึ่งเป็นอาการป่วยเรื้อรัง เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2559 ที่ผ่านมา และญาติๆ ได้ทำการฝังศพในประเทศมาเลเซีย โดยไม่มีการนำกลับมายัง อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นบ้านเกิดแต่อย่างใด
       
       สำหรับ นายมะแซ อุเซ็ง ได้หนีหมายจับของศาลจังหวัดนราธิวาส ในข้อหาแบ่งแยกดินแดน เป็นขบถ และอั้งยี่ เมื่อปี 2547 หลังเหตุการณ์ปล้นปืนที่กองพลพัฒนาที่ 4 ค่ายปิเหล็ง อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส หลังจากที่เจ้าหน้าที่ได้ตรวจค้นบ้านพัก และโรงเรียนสอนศาสนาสัมพันธ์วิทยา และพบเอกสารเป็นแผนผัง และรายละเอียดของทฤษฎีบันได 7 ขั้น ซึ่งเป็นแผนในการก่อการร้ายเพื่อแบ่งแยกดินแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งเป็นรัฐปัตตานีดารุสลาม
       
       โดยก่อนที่จะเสียชีวิต นายมะแซ อุเซ็ง ดำรงตำแหน่งในสภาองค์การนำ โดยเป็น 1 ใน 6 ฝ่าย ของขบวนการบีอาร์เอ็น ทำหน้าที่เป็นผู้นำฝ่ายเยาวชน และเป็นผู้หนึ่งที่ไม่เห็นด้วยต่อการเปิดเวทีพูดคุยสันติสุขกับรัฐบาลไทย ที่มีกลุ่มมาราปาตานี เป็นตัวแทนของขบวนการแบ่งแยกดินแดน เพื่อพูดคุยกับตัวแทนของรัฐบาลไทย
         
วัณโรคคร่าชีวิต “มะแซ อุเซ็ง” ปิดตำนานเจ้าของทฤษฎีบันได 7 ขั้นของกลุ่ม “บีอาร์เอ็น”
         
       ข่าวแจ้งว่า หลังการเสียชีวิตของ นายมะแซ อุเซ็ง ทางองค์กรนำได้มีการแต่งตั้งให้ นายอับดุลอาซิส สาและ เป็นผู้นำฝ่ายเยาวชนแทนอย่างรวดเร็ว และก่อนหน้านี้ ที่ไม่มีการแจ้งข่าวการเสียชีวิตของ นายมะแซ ให้สมาชิกของขบวนการบีอาร์เอ็นได้รับรู้ เพราะเกรงว่าจะสร้างความตระหนกให้เกิดขึ้น เนื่องจาก นายมะแซ เป็นแกนนำที่มีความสำคัญ และเป็นที่เชื่อถือของเยาวชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
       
       สำหรับ นายอับดุลอาซิส สาและ ผู้ที่ขึ้นมาทำหน้าที่ฝ่ายเยาวชนของขบวนการบีอาร์เอ็น เป็นอดีตครู และผู้บริหารโรงเรียนธรรมวิทยา เป็นลูกศิษย์ของ นายสะแปอิง บาซอ อดีตครูใหญ่โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ ซึ่งปัจจุบัน เป็นเลขาธิการขบวนการบีอาร์เอ็น นอกจากนี้ นายอับดุลอาซิส ยังเป็นผู้ต้องหา 1 ใน 9 คน ที่ถูกจับกุมในข้อหาเป็นขบถ อั้งยี่ ซ่องโจร ร่วมกับอดีตครูสอนศาสนา 9 คน ที่หลบหนีหลังจากได้ประกันตัวไป อาศัยก่อการร้ายอยู่ในประเทศมาเลเซีย โดยเพื่อนผู้ต้องหาที่หลบหนีไปพร้อมกัน คือ นายมะซุกรี ฮารี หัวหน้ากลุ่มมาราปาตานี ที่เป็นหัวหน้าในการเจรจาสันติสุขกับ พล.อ.อักษรา เกิดผล ตัวแทนของรัฐบาลไทย ที่การเจรจาเพิ่งจะล้มเหลวไป เมื่อวันที่ 27 เม.ย.ที่ผ่านมา
       
       จากการตรวจสอบกับหน่วยข่าวความมั่นคงของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ทราบว่า ฝ่ายข่าวของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้รับรายงานในเรื่องการเสียชีวิตของ นายมะแซ อุเซ็ง แกนนำขบวนการบีอาร์เอ็นในครั้งนี้แล้ว และมีรายละเอียดยืนยันจากฝ่ายมาเลเซียว่าเป็นเรื่องจริง
         

ด้วยด้วยการคัดค้านเหมืองทอง

วานนี้ขณะที่จะต้องไปรอมติ ครม.จึงถือโอกาสทำหนังสือแจ้งให้นายกรัฐมนตรีตรวจสอบว่ามีอ่างเก็บน้ำใต้ดินทิศเหนือพื้นที่เหมืองทองคำขนาด 1-6 ล้านลูกบาศก์เมตร ตามรายงาน EIA ของบริษัท อัคราจริงไหม
วันที่ 10 พฤษภาคม 2559
เรื่อง เสนอให้แก้ปัญหาภัยแล้งของประชาชนด้วยทรัพยากรน้ำจากอ่างเก็บน้ำใต้ดิน (Underground Reservoir) ในบริเวณพื้นที่ด้านเหนือของพื้นที่โครงการเหมืองทองคำบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) จังหวัดพิจิตร และหยุดเหมืองทองคำในประเทศไทย
เรียน ท่านนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
สิ่งที่ส่งมาด้วย รายงานด้านอุทกวิทยาน้ำใต้ดินและคุณภาพน้ำ ในรายงาน EIA พ.ศ.2550 ของบริษัท อัคราไมนิ่ง ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) และบางส่วนของรายงานประจำปี 2558 และรายงาน เดือนเมษายน-พฤษภาคม 2559 บริษัท Kingsgate Consolidated Limited และ รายงานบริษัท MATSA ประเทศออสเตรเลีย
เนื่องจากปัจจุบันประเทศกำลังประสบภาวะภัยแล้งอย่างรุนแรง ประชาชนได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสรัฐบาลต้องทุ่มงบประมาณเป็นจำนวนมากเพื่อจัดหาแหล่งน้ำสะอาดจากทุกวิถีทางเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง 




ด้วยพบว่าในรายงาน EIA ฉบับที่ 2 ของบริษัทอัคราฯ ที่ผ่านการเห็นชอบของคณะกรรมการผู้ชำนาญการ สำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เมื่อ พ.ศ. 2550 ซึ่งจัดทำโดย บริษัท เอส.พี.เอส.คอนซัลติ้ง จำกัด บทที่ 3 สภาพแวดล้อมปัจจุบัน ข้อ 3.1.5.2 อุทกวิทยาน้ำใต้ดินและคุณภาพน้ำ หน้า 3-55 ย่อหน้าที่ 3 ระบุว่า ชั้นหินอุ้มน้ำตะกอนลักพา (Alluvial Aquifer) พื้นที่บริเวณเหมืองแร่ทองคำชาตรีนี้มีหินอุ้มน้ำอยู่ 2 แบบ ได้แก่ ชั้นหินอุ้มน้ำระดับตื้น คือ ชั้นตะกอนน้ำพา และชั้นหินอุ้มน้ำระดับลึกคือชั้นหินฐาน (bedrock) เป็นชั้นหนาวางตัวอยู่ด้านล่าง (ซึ่งชั้นนี้เป็นชั้นต้านน้ำ (aquitard) ชั้นหินอุ้มน้ำนี้เป็นชั้นหินอุ้มน้ำแบบไร้แรงดัน....
ย่อหน้าที่ 4 ระบุว่า พื้นที่ด้านเหนือพื้นที่โครงการที่มีการใช้น้ำจากแหล่งน้ำใต้ดินระดับตื้นมีเนื้อที่ประมาณ 1-2 ตารางกิโลเมตร (625-1250 ไร่-ผู้จัดทำ) จากการศึกษาพบว่ามีลักษณะเป็นอ่างเก็บน้ำใต้ดิน (Underground Reservoir) ที่มีความจุของน้ำแทรกอยู่ตามชั้นกรวด-ทรายที่ได้จากการคำนวณโดยโปรแกรม Surfer Golden Software Version 7 ประมาณ 1.8-6.3 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยน้ำที่กักอยู่บริเวณนี้ได้มาจากการถ่ายเทน้ำจากพื้นที่โดยรอบ ซึ่งมีศักยภาพการให้น้ำสูงเช่นเดียวกันประมาณ 41.5-145.3 ล้านลูกบาศก์เมตร รายละเอียดการศึกษาเรื่องน้ำใต้ดินระดับตื้นอยู่ในภาคผนวก ซ ของรายงาน EIA ฉบับดังกล่าว

แม้ว่ารายงาน EIA ฉบับดังกล่าวจะจัดทำเมื่อราว 10 ปีมาแล้ว แต่เนื่องจากตามรายงานผลการติดตามตรวจสอบสิ่งแวดล้อมครั้งที่ 49 ประจำเดือนกันยายน 2558 พื้นที่เหมืองทองคำชาตรีของบริษัทอัคราฯ มีพื้นที่ถึง 7,282-0-66 ไร่ ดังนั้น จึงขอให้ท่านนายกรัฐมนตรีสั่งการให้ตรวจสอบความจริง หากอ่างเก็บน้ำใต้ดินตามที่ระบุในรายงาน EIA ดังกล่าวนี้ยังคงให้น้ำอยู่แล้วไซร้ย่อมควรที่จะนำน้ำเหล่านี้ไปตรวจคุณภาพจากห้องปฏิบัติการที่มีมาตรฐาน เมื่อพบว่าน้ำมีความสะอาดปลอดภัยก็สมควรนำออกแจกจ่ายแก่ประชาชนก็จะเป็นการบรรเทาทุกข์ในสถานการณ์ภัยแล้งที่รุนแรงอยู่นี้ให้คลี่คลายลงได้ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่หากรายงาน EIA นี้ไม่เป็นความจริงก็เท่ากับรายงานเป็นเท็จ หรือหากรายงานเป็นความจริงแต่อ่างเก็บน้ำใต้ดินปราศนาการไปเพราะการทำเหมืองทองคำ ก็สมควรที่ท่านนายกฯจะทบทวนการพิจารณาเรื่องการต่ออายุใบประกอบโลหกรรมและนโยบายเหมืองแร่ทองคำทั่วประเทศอย่างรอบคอบที่สุด ทั้งนี้เพื่อปกป้องทรัพยากรอันมีค่าที่เสียหายไปอย่างไม่สามารถฟื้นคืนได้ และปกป้องคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นสำคัญ
เชื่อว่าปัญหาความเสียหายจากการทำเหมืองแร่ทองคำ ท่านคงทราบจากรายงานและหนังสือร้องเรียนต่างๆ ด้วยดีแล้ว และโปรดใช้อำนาจโดยธรรมหยุดเหมืองทองคำทั้งหมดในประเทศไทย
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาให้เกิดประโยชน์สูงสุดของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไทย โปรดอย่าปล่อยให้คนเพียงส่วนน้อยมาฉกฉวยประโยชน์จากทรัพยากรที่มีค่าของคนไทย โดยเฉพาะบริษัทต่างชาติที่อยู่เบื้องหลังอย่างเปิดเผยในการผลิตทองคำจากแผ่นดินของเราที่บังอาจเขียนในรายงานประจำปีทุกปีว่าเป็นผู้ถือหุ้นสามัญ100% ในบริษัท 7 แห่งที่เกี่ยวกับกิจการเหมืองทองคำในประเทศไทย
ด้วยความนับถือ
สมลักษณ์ หุตานุวัตร
อดีตพยานผู้เชี่ยวชาญกรณีเหมืองทองคำพิจิตร
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
และคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหา
ข้อขัดแย้ง ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ จากการ ทำเหมืองแร่ทองคำของ บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน)










ณรงค์ โชควัฒนา :ว่าด้วย"เติ้งเสี่ยวผิง"

ปุจฉา
หลัง เติ้ง เสี่ยวผิง กลับมามีอำนาจอีกครั้งหนึ่ง ได้ทำการปฏิรูปประเทศจีน โดยนำเอาระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม บางส่วนกลับมาใช้นั้น ประสบความสำเร็จหรือมีความยากลำบากอย่างไรบ้าง?
วิสัชนา
หลังจาก ท่านประธาน เหมา เจ๋อตุง ถึงแก่อสัญกรรม ใน ปี ค.ศ.1976 ได้ตั้ง นาย หัว กั๊วเฟิง ขึ้นมาสืบทอดอำนาจ หัว กั๊วเฟิง ได้จับกุม แก็งค์ 4 คน อันประกอบด้วย เจียงชิง (ภรรยา ของประธานเหมา เจ๋อตุง) เหยาเหวินหยวน จางชุนเฉียว และหวังหงเหวิน ที่เป็นตัวการในการปฏิวัติวัฒนธรรม หลังจากนั้น หัว กั๊วเฟิง ก็ค่อยๆ หมดอำนาจในพรรคลง
ใน ค.ศ.1978 เติ้ง เสี่ยวผิง ได้เข้ามามีอำนาจในพรรคอีกครั้งหนึ่ง และได้ทำการปฏิรูปประเทศจีนให้กลับมาสู่ระบบเสรีนิยมทางเศรษฐกิจ (ทุนนิยม) โดยไม่ได้มีการปฏิรูปที่ดิน ที่ดินยังคงเป็นของรัฐ 100 % แต่ทรัพย์สินอื่นๆ เช่น บ้าน โรงงาน ค่อยๆ ทยอยขายและให้ประชาชนเช่า มีการยกเลิกระบบนารัฐ นารวม ด้วยการแบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบให้แก่ประชาชนแต่ละครอบครัวดูแลและผลิตอาหารในที่ดินของรัฐ ผลผลิตจำนวนหนึ่งส่งให้รัฐ ผลผลิตส่วนเกินจากจำนวนนั้นตกเป็นของประชาชน เพียงเท่านี้ ปริมาณผลผลิตภาคการเกษตรไม่ว่าจะเป็นอาหารทุกชนิด เพิ่มขึ้นทันที 3 เท่าจากที่เคยผลิตได้ ความขาดแคลนเรื่องอาหารหมดสิ้นไปโดยทันที ประชาชนในชนบทมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
เติ้ง เสี่ยวผิง ได้ทำสนธิสัญญาความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาที่เป็นศัตรูเก่าได้สำเร็จเป็นครั้งแรก โดย ในปี ค.ศ.1979แลกเปลี่ยนกับการปิดสถานทูตสหรัฐอเมริกาในไต้หวัน หลังจากนั้นสหรัฐอเมริกาได้เลิกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจกับประเทศจีน และมีสัมพันธ์ทางการทูตเป็นปกติ ประเทศที่เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก 2 ประเทศ มีความสัมพันธ์ทางการค้า การลงทุนอีกครั้งหนึ่ง เติ้ง เสี่ยวผิง ได้เปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษรอบๆ ชายฝั่งเพื่อสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรม เริ่มจาก 14 เมือง ใน 3 มณฑลชายฝั่งทะเล แต่การลงทุนก็ยังมีอุปสรรคมาก อันเนื่องมาจากกฎหมายและระเบียบวิธีการที่ล่าช้า ล้าหลัง ทำให้การทำธุรกิจในประเทศจีนเป็นไปด้วยความยากลำบาก และผู้ลงทุนไม่สามารถที่จะไล่คนงานที่ขี้เกียจออก หรือให้รางวัลกับคนงานที่ขยันได้ การทำอุตสาหกรรมของชาวต่างชาติ จึงไม่ค่อยประสบความสำเร็จในตอนเริ่มต้น มีอุปสรรคจากความไม่เข้าใจ และความเคยชินในระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมมาช้านาน
การเปิดประเทศและเปิดเสรีทางเศรษฐกิจทำให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ประพฤติตนทุจริตคอร์รัปชั่น สร้างความร่ำรวยให้กับตนเองและพรรคพวก โรงงานของรัฐที่มีอยู่แต่ดั้งเดิมก็ไม่มีประสิทธิภาพภายใต้ระบบสวัสดิการ พนักงานส่วนใหญ่ก็ขี้เกียจ ไม่มีความรับผิดชอบ ดังนั้นเมื่อ เติ้ง เสี่ยวผิง ตัดสินใจอนุญาตให้โรงงานของรัฐที่ขาดทุนสามารถปิดกิจการได้ ก็ส่งผลให้คนงานในภาคอุตสาหกรรมตกงานจำนวนถึง 100 ล้านคน แม้คนตกงานจะยังได้รับการเลี้ยงดูจากรัฐ แต่ก็สร้างปัญหามากมายในระบบเศรษฐกิจและสังคม
ต่อมา เติ้ง เสี่ยวผิง ตัดสินใจไม่ควบคุมราคาสินค้า ปล่อยให้ขึ้น-ลง ตามกลไกตลาด ปัญหาการกักตุนสินค้าเพื่อเก็งกำไรก็เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง ทำให้สินค้าหลายอย่างหายไปจากท้องตลาดและมีราคาสูงขึ้น จนสร้างความเดือดร้อนไปทั่วกับประชาชนส่วนใหญ่ บนความร่ำรวยของคนไม่กี่คนที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐและคนส่วนน้อยที่กักตุนสินค้าไว้ ประกอบกับอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินหยวนของจีนในตอนนั้น ยังใช้อัตราแลกเปลี่ยนหลายอัตรา (อัตราที่เป็นทางการกับอัตราในตลาดมืด) อัตราที่เป็นทางการในปี ค.ศ.1980 อยู่ที่ประมาณ 2 หยวน ต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐ แต่ราคาในตลาดมืดอาจจะอ่อนอยู่ที่ 8-10 หยวน ต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐ การที่มีอัตราแลกเปลี่ยนที่แตกต่างกันมากมายหลายอัตรา ทำให้การลงทุนและการค้าขายที่ต้องทำให้ถูกต้องตามกฎหมายเป็นไปด้วยความยากลำบาก เกิดการทุจริตและคอร์รัปชั่นของเจ้าหน้าที่รัฐอย่างกว้างขวาง
เพราะฉะนั้นในปี ค.ศ.1989 จึงเกิดการชุมนุมของประชาชนที่ จัตุรัสเทียนอันเหมิน จากความไม่พอใจที่มีต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐและเจ้าหน้าที่ของพรรคที่ทุจริตคอร์รัปชั่นมากมาย ปัญหาการทุจริตที่ไม่เคยเกิดขึ้นในยุคของเศรษฐกิจสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ได้เกิดขึ้นมากมายในยุคปฏิรูปทุนนิยม โดยยังไม่เข้าใจและขาดประสบการณ์ในการแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นของเจ้าหน้าที่รัฐ การกักตุนเก็งกำไรและผูกขาดของพ่อค้าในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมอย่างดีพอ เหตุการณ์ เทียนอันเหมิน จึงเกิดขึ้น และนำไปสู่การปราบปรามอย่างรุนแรง มีนักศึกษาและประชาชนล้มตายเป็นจำนวนหลายพันคน เป็นข่าวดังไปทั่วโลก และทำให้สหรัฐอเมริกาและประเทศตะวันตกอื่นๆ ถอนการลงทุน และคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจกับรัฐบาลจีนอีกครั้งหนึ่ง

ปล่อยตัวแล้ว!! "พร้อมพงศ์ - เกียรติอุดม" เพื่อไทย-ปชช.ต้อนรับอบอุ่น

ปล่อยตัวแล้ว!! "พร้อมพงศ์ - เกียรติอุดม" เพื่อไทย-ปชช.ต้อนรับอบอุ่น
****************************************************************
‪#‎NEWSROOM‬ ‪#‎TV24‬ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย และ นายเกียรติอุดม เมนะสวัสดิ์ สส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย มีสีหน้ายิ้มแย้ม หลังได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำพิเศษ กรุงเทพ โดยบุคคลทั้งสอง ได้กล่าวขอบคุณ ผู้ใหญ่ของพรรคเพื่อไทย พี่น้องสื่อมวลชน และประชาชน ที่เดินทางมาให้กำลังใจและเยี่ยมเสมอ นายพร้อมพงศ์ เปิดเผยด้วยว่า ระหว่างที่รับโทษ น้ำหนักลดลงถึง 12 กิโลกรัม เช่นเดียวกับ นายเกียรติอุดม ที่น้ำหนักตัวลดลงถึง 22 กิโลกรัม
.


พร้อมกันนี้ นายพร้อมพงศ์ เปิดเผยว่า ชีวิตในเรือนจำต้องพบกับความยากลำบากบ้างตามข้อจำกัดและสภาพภายใน ส่วนแนวทางการเมืองจากนี้คงต้องยุติไว้ก่อนเพราะอยู่ระหว่างการพักโทษ ประมาณ สองเดือน โดยหลังเดินทางกลับจะไปตรวจสุขภาพ และใช้เวลา ในช่วงต่อจากนี้กับครอบครัว
.
ขณะที่บรรยากาศการรอต้อนรับ การปล่อยตัวนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย และนายเกียรติอุดม เมนะสวัสดิ์ อดีต ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย หลังได้รับการพักโทษ ตามหลักเกณฑ์พักการลงโทษ ของนักโทษชั้นดี คือได้รับการพักโทษ 1 ใน 5 ของโทษที่เหลือ มีบรรดาแกนนำพรรคเพื่อไทย อดีต ส.ส.และสมาชิก เช่น พลตำรวจโทวิโรจน์ เปาอินทร์ นายภูมิธรรมเวชยชัย นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา นายชูศักดิ์ ซิรินิล นายไพจิตร ศรีวรขาน นายประยุทธ ศิริพานิช นายแพทย์เชิดชัย ตันติศิริน นายวัน มูฮัมหมัด นอร์ มะทา นายเรืองไกร ลีกิจวัฒน ครอบครัวของนายพร้อมพงศ์ และนายเกียรติอุดม มารอรับ ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างอบอุ่น
.
สำหรับนายพร้อมพงศ์และนายเกียรติอุดม ถูกศาลฎีกาจำคุก 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา ในความผิดฐานหมิ่นประมาทนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ หลังร่วมกันให้ข่าวในทำนองว่า นายวสันต์ให้ตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์เข้าพบเป็นการส่วนตัว ระหว่างที่มีการพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ และกล่าวหาว่าประพฤติตัวไม่เหมาะสม ไม่น่าเชื่อถือ ขัดต่อจริยธรรมของตุลาการ ขาดความยุติธรรม ขาดความเป็นการและอื่นๆ ซึ่งทำให้เสียชื่อเสียงและถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม ปี 2558 โดยปัจจุบันทั้ง 2 คน จำคุกมาแล้ว 9 เดือน 10 วัน ซึ่งโทษจริงจะต้องพ้นโทษเดือนกรกฎาคมนี้ ดังนั้นจึงได้ออกจากเรือนจำเร็วกว่ากำหนด 2 เดือน โดยเป็นการพักโทษธรรมดาไม่ใช่กรณีพิเศษ

บึ้มหัวลำโพงเจ็บ2ตร.ยันไม่โยงการเมือง



(11 พ.ค.2559) เมื่อเวลา 11.56 น. รับแจ้งมีเหตุระเบิดบริเวณด้านหน้าสถานีรถไฟกรุงเทพ ตรงข้ามร้านอาหาร KFC จนท.ตร.เดินทางไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ และรายงานให้ผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น พร้อมกับประสานรถพยาบาลและหน่วย EOD ร่วมตรวจที่เกิดเหตุ
พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก ผบก.รฟ., นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร ผวก.รฟ. พร้อม จนท.ตำรวจและ จนท.การรถไฟ ร่วมตรวจที่เกิดเหตุ จากการตรวจที่เกิดเหตุ พบมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 นาย คือ
1.) นายทนง ไม่เศร้า อายุ 25 ปี ที่อยู่ 22 ม.6 ต.สุ่มเส้า อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี
2.) นายลมัย อ่วมงามทรัพย์ อายุ 30 ปี ที่อยู่ 187 ม.6 ต.สุ่มเส้า อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี
จนท.นำผู้บาดเจ็บส่ง รพ.กลาง เบื่องต้นพบเป็นระเบิดปิงปอง ส่วนสาเหตุอยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะรายงานให้ทราบต่อไป
Cr.แอดมินตร.ฯ
///
13:01 ระทึก! บึ้มหัวลำโพงเจ็บ 2 EOD รุดกู้อีกลูกแล้ว พบเป็นระเบิดปิงปอง ตร.ยันไม่โยงป่วนการเมือง #INN

13:50 ตร.ยันระเบิดที่หัวลำโพงเป็นเพียงแค่ขวดแก้วของเก่า ผดส.หย่อนบุหรี่แล้วระเบิดเจ็บเล็กน้อย 2 ส่ง รพ.กลาง

11 พฤษภาคม พ.ศ.2443: วันเกิด “ปรีดี พนมยงค์”


ศิลปวัฒนธรรม
1 ชม.
11 พฤษภาคม พ.ศ.2443: วันเกิด “ปรีดี พนมยงค์”
ปรีดี พนมยงค์ เป็นบุตรของนายเสียง กับนางลูกจันทร์ เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ.2443 ณ บ้านวัดพนมยงค์ ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เริ่มศึกษาหนังสือไทยที่บ้านครูแสง ตำบลท่าวาสุกรี ก่อนสอบไล่ได้ชั้นมัธยม 6 จากโรงเรียนตัวอย่างมณฑลกรุงเก่า แล้วไปศึกษาต่อโรงเรียนสวนกุหลาบอีก 6 เดือน แล้วกลับไปช่วยพ่อทำนาที่อยุธยา
ปี 2460 ปรีดีเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนกฎหมายกระทรวงยุติธรรม และศึกษาภาษาฝรั่งเศสที่เนติบัณฑิตยสภา จนสอบไล่ได้วิชากฎหมายชั้นเนติบัณฑิตในปี 2462 แต่ต้องรอถึงปี 2463 ให้อายุครบ 20 ปี ตามเกณฑ์กำหนดจึงได้เป็นสมาชิกสามัญแห่งเนติบัณฑิตยสภา และปีเดียวกันนี้ ปรีดี ได้รับทุนจากกระทรวงยุติธรรมให้ไปศึกษาวิชากฎหมายที่ฝรั่งเศส
ระหว่างที่ทำการศึกษาต่อที่ฝรั่งเศสนี้เอง ปรีดี ได้ร่วมกับเพื่อนๆ ประชุมก่อตั้ง “คณะราษฎร” เป็นครั้งแรกในกรุงปารีส เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2469 (นับปีตามแบบปฏิทินไทยเดิม) ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นคณะผู้ผลักดันการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้สำเร็จในปี 2475
ข้อมูลจาก รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ บุคคลสำคัญของไทยและของโลก โดย อรุณ เวชสุวรรณ
ภาพประกอบ: ภาพถ่ายของ ปรีดี พนมยงค์ ร่วมกับ ควง อภัยวงศ์ และ ชุม จารุรัตน์ ขณะศึกษาที่ประเทศฝรั่งเศส จากหนังสือ ชีวประวัติย่อ นายปรีดี พนมยงค์ (จัดพิมพ์โดยคณะอนุกรรมการฝ่ายศึกษาวิจัยและประมวลผลงานของศาสตราจารย์ ดร. ปรีดี พนมยงค์)