PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ไม่ก้าวล่วงพระราชอำนาจ

“บิ๊กตู่" ยัน ไม่ก้าวล่วง พระราชอำนาจเผย ยังไม่ได้รับ"ร่าง พรป. ส.ส. เมื่อส่งมา ก็นำขึ้นทูลเกล้าฯได้เลย เตือนสื่ออย่าปลุกปั่น ให้สร้างความเข้าใจ ถ้าเป็น เทวดามันไม่รู้หรอก...พอแล้ว เบื่อ

 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนต" บอกยังไม่ได้รับ"ร่างกฏหมาย.เลือกตั้งส.ส."ระบุไม่ยากถ้าถึงมื เซ็นต์นำขึ้นทูลเกล้า ได้เลย เตือนสื่ออย่าปลุกปั่น ให้สร้างความเข้าใจ 
           
พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการนำร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ขึ้นทูลเกล้าฯ ว่า จะทูลเกล้าฯเมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้น อยู่ในระยะเวลาที่กำหนด หน้าที่นี้ มีคนทำอยู่แล้ว สื่อมีหน้าที่สร้างการรับรู้เข้าใจ อย่าไปปลุกปั่นกันขึ้นมาอีกแค่นั้น มันมีเวลากำหนดว่ากี่วัน 

“ทรงมี องคมนตรี ทรงมีทีมงานของพระองค์ ใครจะไปก้าวล่วงพระราชอำนาจได้”

“ถ้าทูลเกล้าฯขึ้นไปแล้ว สมมุติมีการโปรดเกล้าฯ ลงมา แล้วอย่างไร จะมาบีบเร่งกันว่าลงมาแล้วต้องรีบทำ ซึ่งกฎหมายเขียนไว้ว่า ก.พ.62”

ผู้สื่อข่าวถามว่า นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่าถ้าสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ส่งร่างกฎหมายดังกล่าวให้รัฐบาล 2 วันก็สามารถนำขึ้นทูลเกล้าฯ ได้ นายกฯ กล่าวว่า "ยังไม่ถึง ผมจะส่งได้อย่างไร ส่งมามันจะยากอะไร ผมก็เซ็นต์แล้วก็นำขึ้นทูลเกล้าฯ"
           
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯไปอารมณ์เสียคอลัมน์ไหนมา นายกฯ กล่าวว่า ไม่ได้อารมณ์เสียอะไร ก็อารมณ์แบบนี้

“ ความเป็นมนุษย์ไง  ผมก็ต้องให้รู้ว่านี่คือความเป็นมนุษย์ของผม นายกฯ ไม่ใช่เทพ เทวดา  เป็นมนุษย์ จะเข้าใจความรู้สึกของมนุษย์  ถ้าเป็น เทวดามันไม่รู้หรอก...พอแล้ว เบื่อ”

ปลดล็อคเป็นครั้งคราว

หาเสียงเลือกตั้ง ต้องขออนุญาต ก่อน ปลดล็อคเป็นครั้งคราว

“บิ๊กตู่” กำหนดกติกาใหม่  ชี้ จะปลดล็อค เป็นกรณีไป   ไม่ให้หาเสียง แบบเดิมอีก ต้องขออนุญาต ก่อนหาเสียง การหาเสียงต้องขออนุญาตเป็นครั้งคราว อ้างไม่มีใครรับประกันความรุนแรง ชี้ยังด่ากันกลางถนน ป้องกันการปลุกระดม เผย พบพรรคการเมือง ขอดูความจริงใจก่อนไฟเขียว Live สด

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 53/2560ไม่ขัดรัฐธรรมนูญจะส่งผลต่อการปลดล็อกทางการเมืองหรือไม่ ว่า ในเมื่อผลวินิจฉัยออกมาแล้วไม่ผิดแล้วมันเป็นยังไง

ส่วนเรื่องการปลดล็อกเป็นเรื่องของผมที่จะพิจารณาหากจะปลดก็ต้องปลดเป็นกิจกรรมไปถ้าปลดล็อกทั้งหมดท่านรับรองได้หรือไม่ว่าจะไม่มีปัญหา ตอบมาสิแต่เดี๋ยวก็จะปลดล็อกซึ่งต้องมีการพิจารณาหารือกันว่าจะปลดล็อกอย่างไรบ้างไม่ใช่ให้อิสระเสรีแล้วใครจะรับรองกับผมได้ว่า มันจะไม่เกิดเหตุเดิมขึ้นอีก

“มันด่ากันตามถนนหนทางเดินกันทั่วไปหมด รับได้หรือไม่ ถ้าสื่อรับไม่ได้ก็ต้องช่วยผมให้ทุกคนออกมารับประกันว่าการหาเสียงจะต้องประกาศนโยบายที่ตรงตามกฎหมายกำหนดไม่ใช่มองว่ากฎหมายที่ออกมาเป็นการบังคับมาตัดสิทธิมาเพิ่มภาระ แล้วที่ผ่านมาไม่มีเรื่องพวกนี้แล้วเป็นอย่างไรก็ลองมีเสียบ้างไม่ได้หรือ ประเทศนี้มันต้องมีกฎเกณฑ์ มีกฎหมาย กติกา

ผมถึงบอกว่าผมมีความเป็นมนุษย์ และความเป็นมนุษย์ของผมคือ ผมคิดและทำและขับเคลื่อน โดยเอาทุกปัญหามาคลี่ มันถึงหนัก แต่ผมไม่บ่นหรอเพราะผมเข้ามาแล้ว แต่การจะอยู่ต่อหรือไม่อยู่ต่อไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาพิจารณาอยากอยู่ต่อเพื่อมีอำนาจผมไม่เคยคิดว่าผมมีอำนาจถ้าคุณพูดแต่เรื่องอำนาจและผลประโยชน์กลายเป็นทุกคนเหลวแหลกไปหมด 

ไม่เช่นนั้น ทุกคนที่อยู่ในการเมืองก็ต้องมีอำนาจและผลประโยชน์แล้ววันหน้าจะเป็นอย่างนั้นอีกหรือ ฉะนั้นกฎกติกาทั้งหมดไม่ต้องการให้เกิดขึ้นอีกถ้าท่านต้องการรัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลก็ต้องเตรียมความพร้อมเรื่องการเตรียมการเลือกตั้ง ต้องระมัดระวังความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่จะทำให้เกิดปัญหาทั้งการจราจร ความขัดแย้ง การปลุกระดมประชาชนสิ่งเหล่านี้ต้องไม่เกิดขึ้นนั่นคือหน้าที่ของสื่อมวลชนและประชาชนทุกคน” นายกฯ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่าขั้นตอนแรกคือการเตรียมความพร้อมเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง
จากนั้นเป็นเรื่องการปลดล็อกที่จะหาเสียงอะไรต่างๆขอถามว่าที่ผ่านมาเป็นอย่างไรในการหาเสียง มีหาเสียงในสิ่งที่ดีๆหรือไม่ ด่ากันโจมตีกันไปมา แทนที่จะพูดในสิ่งที่พรรคจะทำอะไรตัวเองจะทำอะไรถ้าเป็นแบบนี้มันไปไม่ได้จะกลายเป็นว่าเริ่มบรรทัดฐานตั้งแต่การเลือกตั้แบ่งฝักแบ่งฝ่ายเข้าไปเป็นรัฐบาลเป็นฝ่ายค้านขอถามว่าพื้นที่ฝ่ายค้านจะได้อะไร ฉะนั้นบางอย่างมันต้องมีการร่วมมือกันทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาค กลุ่มจังหวัด และจังหวัด

ซึ่งวันนี้รัฐบาลคิดงบประมาณ และจัดทำงบประมาณเฉลี่ยไปถึงภาคกลุ่มจังหวัด และจังหวัด รวมถึงชุมชนท้องถิ่นเพื่อให้สอดประสานการทำงานแบบประชารัฐ ซึ่งเป็นคำที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญไม่ใช่คำของตน เป็นความร่วมมือของทุกภาคส่วนนั่นคือประชารัฐส่วนเรื่องไทยนิยม คือการทำความดีของคนไทยในทุกโอกาส มันผิดตรงไหน

เมื่อถามว่า การนัดพูดคุยกับพรรคการเมืองจะต้องมีเงื่อนไขอะไรหรือไม่นายกฯ กล่าวว่า ไม่มีเงื่อนไข อยากคุยก็มาคุย การคุยทำไมต้องมีเงื่อนไขถ้าไม่มาก็อย่ามา ตนไม่ได้ง้อให้ใครมา

ถ้าไม่มาประชาชนและสื่อก็ตัดสินว่าทำไมไม่มา

เมื่อถามว่า พรรคอนาคตใหม่มีเงื่อนไขว่าจะมาร่วมถ้าได้รับอนุญาตให้ถ่ายทอดสดผ่านโซเชี่ยลมีเดียนายกฯ กล่าวว่า ขอดูก่อน ขอดูความจริงใจก่อน เมื่อถามย้ำว่าในเดือนมิ.ย.นี้จะได้คุยหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ก็ประมาณนั้น

“การหาเสียงจะต้องอยู่ในกรอบที่กำหนด โดยต้องขออนุญาตเป็นครั้งๆ ไปแต่บางอย่างอาจไม่ต้องขอ การปลดล็อกมันต้องเป็นแบบนั้น บางอย่างต้องขอบางอย่างไม่ต้องขอ ซึ่งต้องหาวิธีในการกำหนดให้บ้านเมืองมันสงบเรียบร้อยไม่ใช่ก่อนจะไปถึงประชาธิปไตยตีกันเละ ตรงนี้จะมีใครรับรองกับตนได้บ้างสื่อถ้ารับรองไม่ได้ก็ต้องพูดออกไป ไม่ใช่มากดดันรัฐบาลอยู่แบบนี้” นายกฯ กล่าว

ทำไม ต้องทำลายเกียรติของนายกรัฐมนตรี ของประเทศ‬??!!

ทำไม ต้องทำลายเกียรติของนายกรัฐมนตรี ของประเทศ‬??!!
‪”นายกฯบิ๊กตู่” ขอเปิดใจ 4ปี ที่ผ่านมา ผมทำหน้าที่ นายกรัฐมนตรี อย่างดีที่สุด เพราะเป็นตำแหน่งสำคัญ ที่มีเกียรติ ทรงคุณค่า แต่มีคนพยายามทำลายเกีบรติของนายกรัฐมนตรีของประเทศ นี่ผู้นำของประเทศไทย. ไม่ใช่ผมนะ แต่เขียนกันไปมา จนตำแหน่งนี้ มันFail ไปทั้งหมด ทำไปเพื่ออะไร นายกฯจะต้องถูกด่า ถูกว่า ถูกให้ร้าย แบบนี้หรือ ยอมรับความผิดของผม อย่างเดียว คือ ผมมีความเป็นมนุษย์ มีผิดพลาด มีโมโห มีโกรธ‬

หาเสียงเลือกตั้ง ต้องขออนุญาต ก่อน ปลดล็อคเป็นครั้งคราว

หาเสียงเลือกตั้ง ต้องขออนุญาต ก่อน ปลดล็อคเป็นครั้งคราว

“บิ๊กตู่” กำหนดกติกาใหม่ ชี้ จะปลดล็อค เป็นกรณีไป ไม่ให้หาเสียง แบบเดิมอีก ต้องขออนุญาต ก่อนหาเสียง การหาเสียงต้องขออนุญาตเป็นครั้งคราว อ้างไม่มีใครรับประกันความรุนแรง ชี้ยังด่ากันกลางถนน ป้องกันการปลุกระดม เผย พบพรรคการเมือง ขอดูความจริงใจก่อนไฟเขียว Live สด

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 53/2560ไม่ขัดรัฐธรรมนูญจะส่งผลต่อการปลดล็อกทางการเมืองหรือไม่ ว่า ในเมื่อผลวินิจฉัยออกมาแล้วไม่ผิดแล้วมันเป็นยังไง

ส่วนเรื่องการปลดล็อกเป็นเรื่องของผมที่จะพิจารณาหากจะปลดก็ต้องปลดเป็นกิจกรรมไปถ้าปลดล็อกทั้งหมดท่านรับรองได้หรือไม่ว่าจะไม่มีปัญหา ตอบมาสิแต่เดี๋ยวก็จะปลดล็อกซึ่งต้องมีการพิจารณาหารือกันว่าจะปลดล็อกอย่างไรบ้างไม่ใช่ให้อิสระเสรีแล้วใครจะรับรองกับผมได้ว่า มันจะไม่เกิดเหตุเดิมขึ้นอีก
“มันด่ากันตามถนนหนทางเดินกันทั่วไปหมด รับได้หรือไม่ ถ้าสื่อรับไม่ได้ก็ต้องช่วยผมให้ทุกคนออกมารับประกันว่าการหาเสียงจะต้องประกาศนโยบายที่ตรงตามกฎหมายกำหนดไม่ใช่มองว่ากฎหมายที่ออกมาเป็นการบังคับมาตัดสิทธิมาเพิ่มภาระ แล้วที่ผ่านมาไม่มีเรื่องพวกนี้แล้วเป็นอย่างไรก็ลองมีเสียบ้างไม่ได้หรือ ประเทศนี้มันต้องมีกฎเกณฑ์ มีกฎหมาย กติกา

ผมถึงบอกว่าผมมีความเป็นมนุษย์ และความเป็นมนุษย์ของผมคือ ผมคิดและทำและขับเคลื่อน โดยเอาทุกปัญหามาคลี่ มันถึงหนัก แต่ผมไม่บ่นหรอเพราะผมเข้ามาแล้ว แต่การจะอยู่ต่อหรือไม่อยู่ต่อไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาพิจารณาอยากอยู่ต่อเพื่อมีอำนาจผมไม่เคยคิดว่าผมมีอำนาจถ้าคุณพูดแต่เรื่องอำนาจและผลประโยชน์กลายเป็นทุกคนเหลวแหลกไปหมด

ไม่เช่นนั้น ทุกคนที่อยู่ในการเมืองก็ต้องมีอำนาจและผลประโยชน์แล้ววันหน้าจะเป็นอย่างนั้นอีกหรือ ฉะนั้นกฎกติกาทั้งหมดไม่ต้องการให้เกิดขึ้นอีกถ้าท่านต้องการรัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลก็ต้องเตรียมความพร้อมเรื่องการเตรียมการเลือกตั้ง ต้องระมัดระวังความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่จะทำให้เกิดปัญหาทั้งการจราจร ความขัดแย้ง การปลุกระดมประชาชนสิ่งเหล่านี้ต้องไม่เกิดขึ้นนั่นคือหน้าที่ของสื่อมวลชนและประชาชนทุกคน” นายกฯ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่าขั้นตอนแรกคือการเตรียมความพร้อมเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง
จากนั้นเป็นเรื่องการปลดล็อกที่จะหาเสียงอะไรต่างๆขอถามว่าที่ผ่านมาเป็นอย่างไรในการหาเสียง มีหาเสียงในสิ่งที่ดีๆหรือไม่ ด่ากันโจมตีกันไปมา แทนที่จะพูดในสิ่งที่พรรคจะทำอะไรตัวเองจะทำอะไรถ้าเป็นแบบนี้มันไปไม่ได้จะกลายเป็นว่าเริ่มบรรทัดฐานตั้งแต่การเลือกตั้แบ่งฝักแบ่งฝ่ายเข้าไปเป็นรัฐบาลเป็นฝ่ายค้านขอถามว่าพื้นที่ฝ่ายค้านจะได้อะไร ฉะนั้นบางอย่างมันต้องมีการร่วมมือกันทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาค กลุ่มจังหวัด และจังหวัด

ซึ่งวันนี้รัฐบาลคิดงบประมาณ และจัดทำงบประมาณเฉลี่ยไปถึงภาคกลุ่มจังหวัด และจังหวัด รวมถึงชุมชนท้องถิ่นเพื่อให้สอดประสานการทำงานแบบประชารัฐ ซึ่งเป็นคำที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญไม่ใช่คำของตน เป็นความร่วมมือของทุกภาคส่วนนั่นคือประชารัฐส่วนเรื่องไทยนิยม คือการทำความดีของคนไทยในทุกโอกาส มันผิดตรงไหน

เมื่อถามว่า การนัดพูดคุยกับพรรคการเมืองจะต้องมีเงื่อนไขอะไรหรือไม่นายกฯ กล่าวว่า ไม่มีเงื่อนไข อยากคุยก็มาคุย การคุยทำไมต้องมีเงื่อนไขถ้าไม่มาก็อย่ามา ตนไม่ได้ง้อให้ใครมา

ถ้าไม่มาประชาชนและสื่อก็ตัดสินว่าทำไมไม่มา

เมื่อถามว่า พรรคอนาคตใหม่มีเงื่อนไขว่าจะมาร่วมถ้าได้รับอนุญาตให้ถ่ายทอดสดผ่านโซเชี่ยลมีเดียนายกฯ กล่าวว่า ขอดูก่อน ขอดูความจริงใจก่อน เมื่อถามย้ำว่าในเดือนมิ.ย.นี้จะได้คุยหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ก็ประมาณนั้น

“การหาเสียงจะต้องอยู่ในกรอบที่กำหนด โดยต้องขออนุญาตเป็นครั้งๆ ไปแต่บางอย่างอาจไม่ต้องขอ การปลดล็อกมันต้องเป็นแบบนั้น บางอย่างต้องขอบางอย่างไม่ต้องขอ ซึ่งต้องหาวิธีในการกำหนดให้บ้านเมืองมันสงบเรียบร้อยไม่ใช่ก่อนจะไปถึงประชาธิปไตยตีกันเละ ตรงนี้จะมีใครรับรองกับตนได้บ้างสื่อถ้ารับรองไม่ได้ก็ต้องพูดออกไป ไม่ใช่มากดดันรัฐบาลอยู่แบบนี้” นายกฯ กล่าว

ถอดรหัสแผนไล่ล่าอดีตพระเถระ โจทย์หลักคือ ‘รัฐปลอดภัย’

ถอดรหัสแผนไล่ล่าอดีตพระเถระ โจทย์หลักคือ ‘รัฐปลอดภัย’


คงต้องให้กำลังใจ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา หรือบิ๊กแป๊ะ ผบ.ตร. และทีมงาน มากกว่าจะมาซ้ำเติมหาว่าทะเล่อทะล่า กรณีนำคณะติดตามล่าตัวอดีตพระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ บินไปถึงประเทศเยอรมนี แต่มีโอกาสสูงว่าจะกลับมามือเปล่า ไม่สามารถนำตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดีได้
อย่าลืมว่าคดีนี้บิ๊กแป๊ะลงมือเกาะติดมาด้วยตัวเองตลอด แม้กระทั่งบินไปติดตามคดีถึงจังหวัดนครพนม ช่วงที่มีข่าวว่าอดีตพระเถระรูปนี้แอบหนีข้ามแม่น้ำโขงไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ผบ.ตร.ก็พยายามเต็มที่ แต่มันไม่ทันแล้ว เพราะมีผู้ช่วยเหลือให้หนี และเป็นบุคคลกว้างขวาง สามารถจัดการให้หนีไปจนถึงประเทศเยอรมนีได้อย่างสะดวกโยธิน
เมื่อไปถึงเยอรมนีแล้ว อดีตพระพรหมเมธียื่นขอเป็นผู้ลี้ภัยทันที และมีโอกาสสูงว่าจะได้รับการอนุมัติ หากดูจากเงื่อนไขของเยอรมนี กำหนดว่าจะใช้เวลา 3 วันในการพิจารณาตามคำขอ จึงเป็นที่มาที่ทำให้พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ไว้ว่าอีก 3 วันรู้
หากทางการเยอรมนีอนุมัติ ก็คือจบ อดีตพระเถระรูปนี้จะอยู่ได้หลายปีกว่าจะมีการพิจารณาทบทวนสถานะต่างๆ โอกาสนำตัวมาดำเนินคดีคงเกิดยาก
หากไม่อนุมัติ ผู้ร้องขอก็มีสิทธิยื่นอุทธรณ์ได้อีกประมาณ 2 เดือน หมายความว่าเวลาในการนำตัวมาดำเนินคดีก็ต้องทอดยาวออกไปอีก
แต่ประเด็นหลักของการจะอนุมัติหรือไม่ จะให้เป็นผู้ลี้ภัยหรือไม่ จะส่งตัวกลับประเทศต้นทางหรือไม่
ทางการเยอรมนีจะพิจารณาว่า ประเทศต้นทางเป็น”รัฐปลอดภัย” หรือไม่ เพราะผู้ยื่นร้องขอ อ้างเงื่อนไขว่าเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับทางการเมืองและศาสนา มีอดีตพระเถระชั้นผู้ใหญ่ถูกจับกุมและไม่ได้รับการประกันตัวออกมาให้สู้คดี

ส่วนประเด็นการเมืองประเทศไทยยังคงปกครองด้วยรัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติ ยังมีการจับกุมผู้ออกมาเรียกร้องให้จัดการเลือกตั้ง ทางรัฐบาลเองก็ไม่ยอมปลดล็อกทางการเมือง ประกาศวันเลือกตั้ง
และที่สำคัญก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. เพิ่่งเลื่อนกำหนดการเดินทางไปเยือนยุโรปหรืออียู แหมบๆ โดยให้เหตุผลว่าเหตุการณ์ในประเทศยังไม่เรียบร้อยดี
จึงเหมือนเป็นการตอกย้ำความหมายของคำว่า”รัฐปลอดภัย” ในความหมายของทางการเยอรมนี
ดังนั้นรัฐบาลควรจะรีบเดินหน้าประกาศเลือกตั้งโดยเร็ว เพราะจะเป็นการปลดล็อกในทุกๆด้าน
หรืออาจจะเปฺ็นเพราะว่าทีมงานยังไม่พร้อม เคลียร์ลานบินให้”บิ๊กตู่”ได้กลับมานั่งตำแหน่งนายกฯยังไม่ชัวร์ ก็เลยยังไม่มีอะไรชัดเจน จนส่งผลกระทบเหมือนตอนนี้
อย่างไรก็แล้วแต่ รัฐบาลจะทำอะไรก็ต้องเร่งสปีดมากกว่าเดิม เพราะนับจากนี้จะเข้าสู่โหมด”บอลโลก” ชาวบ้านร้านรวงจะลดความสนใจด้านการเมืองลง นั่นหมายความว่าอารมณ์เบื่อการเมืองจะตามมา ราคาของรัฐบาลนี้อาจจะลดฮวบทันตาเห็นก็ได้ใครจะไปรู้

ผลพวง การเมือง จาก สุเทพ เทือกสุบรรณ ต่อ ‘หนุ่มซินตึ๊ง’

ผลพวง การเมือง
จาก สุเทพ เทือกสุบรรณ
ต่อ ‘หนุ่มซินตึ๊ง’
////
ถามว่า สภาพที่การหลั่งน้ำตาของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แย่ง “ซีน” การประชุมพรรครวมพลังประชาชาติไทยไปโดยสิ้นเชิง เป็นผลดี หรือว่าเป็นผลเสีย

หากมองในแง่ “ข่าว” อาจเป็น “ผลดี”

เพราะจากสถานภาพในทางการเมืองของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ทำให้ชื่อพรรครวมพลังประชาชาติไทยติดตลาด

ไม่ว่า “หนังสือพิมพ์” ไม่ว่า “โทรทัศน์” ล้วนกล่าวขวัญ

ยิ่งหากลงไปภายในรายละเอียดของ “สื่อใหม่” ในทางโซเชียลมีเดีย ยิ่งกระหึ่มทั้งภาพและเสียงของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ

ถามต่อไปว่า นี่คือ “ผลดี” ที่พรรคต้องการหรือไม่

ยังไม่มีคำตอบจาก นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ยังไม่มีคำตอบจาก นายประสาร มฤคพิทักษ์ ยังไม่มีคำตอบจาก นายสุริยะใส กตะศิลา

เพราะ “ผลดี” นี้อาจเป็น “ดาบสองคม”


มองในแง่ชื่อของพรรครวมพลังประชาชาติไทยได้อย่างแน่นอน แต่ความเป็นจริงที่ไม่ควรมองข้ามก็คือการได้ของพรรครวมพลังประชาชาติไทยอยู่ในร่มเงาของใคร

แน่นอน เป็นของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ

นโยบายดีๆ มากมายอันออกมาจาก นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ จาก นายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง หรือแม้กระทั่งการจัดวางบทบาทของ นายเขตรัฐ เหล่าธรรมทัศน์ ก็ถูกมองข้ามไป

น่าเสียดายอย่างยิ่ง น่าเสียดายอย่างมาก

กระแสการกล่าวถึงพรรครวมพลังประชาชาติไทยจึงแวดล้อมอยู่โดยรอบกับสถานะและความเป็น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นด้านหลัก

เป็นด้านอันผูกกับ “ประชาธิปัตย์” เป็นด้านอันผูกกับ “กปปส.”

ประหนึ่งว่าที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ตัดสินใจออกมาพูดพร้อมกับหลั่งน้ำตาเป็นเหมือนกับคำประกาศใหม่ในทางการเมือง

เหมือนกับจะยืนอยู่ “เบื้องหลัง”

แต่เอาเข้าจริงๆ เมื่อมองไปยังการได้รับมอบหมายให้เป็นประธานคณะทำงานเพื่อรณรงค์ให้ประชาชนมาเข้าร่วมกับพรรค

นั่นจะถือว่าเป็น “เบื้องหลัง” หรือว่าเป็น “เบื้องหน้า”

เท่ากับว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นประตูแรกของคนที่จะมาเป็นกำลังให้กับพรรค และจากนั้นจึงตกไปอยู่ในมือของ นายเอนก และ นายเขตรัฐ เหล่าธรรมทัศน์ 2 พ่อลูก

อบรมทางการเมือง อบรมฝังเลือดให้กับคนรุ่นใหม่

บทบาทอย่างนี้ของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ คือ บทบาททางด้าน “การจัดตั้ง” คือ บทบาททางด้านการสะสมกำลัง

เปรียบไปก็เหมือนกับ “แม่ทัพ”

คำถามก็คือ พรรครวมพลังประชาชาติไทยต้องการพรรคในแบบที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กำหนดทิศทาง หรือว่าจะเป็นไปตามแนวที่ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ต้องการ

ตรงนี้แหละจึงขึ้นอยู่กับว่า ใครนำ ใครตาม

หากพรรครวมพลังประชาชาติไทยไม่สามารถ “สลัด” ภาพและบทบาทของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ลงไปได้โอกาสที่ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยย่อมตามมา

นั่นก็คือ เส้นทางของ “พรรคมหาชน”

นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ จึงต้องนำ “บทเรียน” มาประสานอย่างจริงจังว่าจะให้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นในแบบ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ หรือไม่

เวลาในการลงมือจึงเหลือไม่มากนัก

ทำไมโดนคนเดียว

ทำไมโดนคนเดียว



พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตอบคำถามนักข่าว กรณี กกต.มีมติว่า นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ขาดคุณสมบัติรัฐมนตรี
(เนื่องจากคู่สมรสรัฐมนตรีดอน ถือหุ้นบริษัทเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่แจ้ง ป.ป.ช. และไม่โอนหุ้นให้ผู้อื่นดูแลแทน)
ปัญหาคุณสมบัตินายดอน จะส่งผลให้ต้องปรับ ครม.หรือไม่??
นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบคำถามด้วยนํ้าเสียงฉุนๆว่า “ไม่มี”!!
นักข่าวถามยํ้าว่าจะไม่มีการปรับ ครม.ใช่หรือไม่??
พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า “ปรับทำไม ผมไม่ปรับ ถ้าอยู่ได้ก็อยู่ ถ้าอยู่ไม่ได้ท่านก็ต้องออก” พร้อมเดินกลับไปด้วยสีหน้าบึ้งตึง!!
“แม่ลูกจันทร์” เชื่อว่ากรณี กกต.ฟันธงว่า นายดอน ขาดคุณสมบัติรัฐมนตรี ย่อมทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ เกิดอาการหงุดหงิดเป็นธรรมดา
แต่การที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไประบายความหงุดหงิดใส่นักข่าว...ก็ไม่แฟร์
เพราะปัญหารัฐมนตรีขาดคุณสมบัติ เป็น “ไฟต์บังคับ” ที่นักข่าว “ต้อง” สอบถามประเด็นนี้จากหัวหน้ารัฐบาล
เรื่องมันก็มีแค่นี้เอง
อย่างไรก็ตาม “แม่ลูกจันทร์” ไม่แปลกใจที่ “พล.อ.ประยุทธ์” ตอบว่า...จะไม่ปรับ ครม.
เพราะวันนี้ กกต.ยังไม่ได้ยื่นคำร้อง “คุณสมบัตินายดอน” ให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา
ศาลรัฐธรรมนูญจะมีมติรับคำร้องหรือไม่ ก็ยังไม่แน่นอน
ล่าสุด นายบุญส่ง น้อยโสภณ หนึ่งใน กกต.ที่โดนเซ็ตซีโร่ยกเข่ง เปิดเผยว่า กกต.กำลังเร่งยกร่างคำวินิจฉัยคุณสมบัติรัฐมนตรีของ นายดอน ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยภายใน 7 วัน
ส่วน “นายดอน” จะต้องหยุดปฏิบัติ หน้าที่ รมว.ต่างประเทศหรือไม่ ขึ้นอยู่ที่ดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ
หากศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่ามีเหตุควรสงสัยว่าเข้าข่ายขาดคุณสมบัติรัฐมนตรี
ศาลรัฐธรรมนูญสามารถสั่งให้ นายดอนยุติปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว
หากศาลรัฐธรรมนูญลงมติว่าขาดคุณสมบัติจริง “นายดอน” จะต้องพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีทันที
และจะไม่สามารถกลับไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีได้อีก เว้นแต่ได้พ้นตำแหน่งไปแล้วเกิน 2 ปี ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในมาตรา 160 ของรัฐธรรมนูญ
“แม่ลูกจันทร์” ขอชื่นชม กกต.ที่ชี้แจงประเด็นนี้ได้กระจ่างแจ้งชัดเจน
แต่ที่ยังไม่แจ่มแจ้งชัดเจน คือนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ได้ยื่นคำร้อง กกต.ให้ตรวจสอบคุณสมบัติรัฐมนตรี 9 คน
เหตุไฉน นายดอนจึงถูกหวยล็อก กกต.คนเดียว??
ส่วนรัฐมนตรีอีก 8 คน เข้าข่ายขาดคุณสมบัติหรือไม่??
ทำไม กกต.ไม่เปิดเผยผลการตรวจสอบให้หมดปัญหาคาใจ??
ข้อสำคัญ ยังมีรัฐมนตรีน้องใหม่อีก 3 คน ถูกร้องว่าถือครองหุ้นบริษัทที่รับสัมปทานจากรัฐ เข้าข่ายลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 264 ของรัฐธรรมนูญ
นอกจากนั้น ยังมี สนช.ลากตั้งอีก 90 คน ที่ถูกยื่นคำร้องว่าขาดคุณสมบัติกรณีเดียวกัน
บัดนี้ผ่านไปแล้วกว่า 1 ปี ยังไม่มีข่าวคืบหน้าว่า กกต.ตรวจสอบคุณสมบัติเสร็จหรือยัง??
ปล่อยให้คุณลุงดอนเดือดร้อนอยู่คนเดียว...
ก็เหงาแย่น่ะซีโยม.
“แม่ลูกจันทร์”

มุกเก่าจะเอาอยู่หรือ

มุกเก่าจะเอาอยู่หรือ



มุกเก่า แต่ก็เข้าเป้า ยังใช้ได้ผลตลอด
กับภาพ 2 พี่น้อง อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร กับ “น้องปู” อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เฉิดฉายสบายอกสบายใจอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ปรากฏหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ 3-4 ฉบับ
ตามเหลี่ยมที่จับทางได้ ตั้งใจโชว์ “ชีวิตดี๊ดี” เบิ้ลบลัฟฝ่ายคุมเกมอำนาจประเทศไทย
เย้ยกันเป็นนัย ภายหลัง “น้องปู” เพิ่งได้วีซ่าจากประเทศอังกฤษยาว 10 ปี สามารถบินโฉบฉายไปได้ทุกประเทศในโลกเสรีประชาธิปไตย ยกเว้นประเทศไทย
แถมในจังหวะสถานการณ์ที่นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ที่เป็นคนยกเลิกหนังสือเดินทางอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ กำลังตกที่นั่งลำบาก
สถานภาพคลอนแคลนจากวิบากกรรมเมียถือหุ้นบริษัทเอกชน เจอกดดันให้ปรับพ้นคณะรัฐมนตรี
ก็ยิ่งเป็นอะไรที่ “หักมุม” เข้าเหลี่ยมเบิ้ลตีกินของทีม “นายใหญ่”
ตามสภาพการณ์เหมือนเงื่อนไขสถานการณ์เป็นใจ ทุกอย่างกำลังไหลเข้าทางดูไบ
แต่อีกนัยหนึ่ง ถ้าอ่านสถานการณ์ให้ลึกๆกับจังหวะเลี้ยงเรตติ้ง กระตุ้นกองเชียร์
นั่นก็สะท้อนเกมบีบ “นายใหญ่” ต้องเคลื่อนไหว แสดงตัวตนตลอดเวลา
เพื่อกระตุกลูกพรรคเพื่อไทยที่กำลัง “ชั่งใจ”
จะเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายลุยเผชิญวิบากกรรมกับ “ทักษิณ” ที่ยังไม่รู้ทิศรู้ทางจะสู้เต็มตัวหรือไม่
หรือย้ายพรรคเปลี่ยนสังกัดใหม่ไปอยู่ในที่ปลอดภัย
ตามสถานการณ์ของพรรคเพื่อไทยที่เข้าสู่ความเงียบงัน ภายหลังมีความชัดเจนว่า
“เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เจ้าแม่เมืองกรุง คือผู้ถูกเลือกให้ถือธง “นอมินี” นำทัพสู้ศึกเลือกตั้ง
โดยยังไม่ได้ยินเสียงจากฝั่งของ “เจ๊แดง” นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เจ้าแม่วังบัวบาน หรือ “เฮียเพ้ง” นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล แกนนำขาใหญ่ระดับ “หัวจ่าย” ท่อน้ำเลี้ยง
เห็นพ้องต้องกันเป็นเอกฉันท์หรือไม่
ที่สำคัญพร้อมจะลงทุนลงแรงสู้แบบเต็มกำลังแค่ไหน
และอีกทางหนึ่งก็สังเกตได้ถึงการแปรรูปขบวนยุทธการ “แยกกันเดินรวมกันตี”
มอบธงนอมินีให้ “เจ๊หน่อย” แล้ว “นายใหญ่” ยังมุ่งไปที่การเปิดดีล แตะมือกับ “ไพร่หมื่นล้าน” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่เรตติ้งวูบวาบกว่า แถมยังพ่วงด้วย “บิ๊กตู่ตำรวจ” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีต ผบ.ตร. ที่แสดงตัวแสดงตนเป็น “ตัวชน” กับทีมทหาร คสช.อย่างถึงแก่น
แผนหนึ่ง แผนสอง แผนสาม “เจ๊หน่อย-ธนาธร-เสรีพิศุทธ์”
ไม่รู้ใครจะเป็น “ตัวจริง” ของ “ทักษิณ” ในศึกทวงคืนอำนาจ
ตามสถานการณ์ที่ยังสับสนในทิศทางการต่อสู้ ประกอบกับเงื่อนไขการเลือกตั้งตามกติการัฐธรรมนูญใหม่ที่สลับซับซ้อน ไม่นับด่านองค์กรอิสระที่ดักอยู่รายทาง
ถึงยี่ห้อ “ทักษิณ” จะกระแสดียังไง
เกมการตลาดเหนือกว่าทหาร เป็นต่อในแนวรบสงครามโซเชียลมีเดีย
แต่โอกาสจะได้ครองเสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาลเป็นเรื่องที่แสนลำบาก
ยากจะฝ่าเกมล็อก 3-4 ชั้น
นี่คือสถานการณ์ “ย้อนแย้ง” ที่ทำให้ลูกข่ายพรรคเพื่อไทยต้องคิดหนัก
ที่แน่ๆพวกรุ่นใหญ่ มวยเก๋าเกมอ่านขาด กระโดดสละเรือกันก่อนแล้ว
ตามแนวโน้มแบบที่บ้านใหญ่นครปฐม ตระกูลสะสมทรัพย์
ไม่ยืนยันการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยค่ายพลังชลของบ้านใหญ่ชลบุรี ทีมงานตระกูล “คุณปลื้ม” ถูกดึงเข้าเสริมงานการเมืองรัฐบาล
ยี่ห้อ “สมศักดิ์ เทพสุทิน-สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ-สุชาติ ตันเจริญ” อาสาเป็นทีมระดมพล
เป็นฐานต้นทุนให้ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ตีตั๋วต่อ
โชว์ตัวแสดงความชัดเจนกันตั้งแต่หัววัน
ท่ามกลางเสียงด่ารัฐบาล การโหมเกมของฝ่ายต่อต้าน “นายกฯลุงตู่” ช่วยกันปลุกอุปาทานหมู่ ชาวบ้านเดือดร้อนปากท้อง ตัดแต้มดิสเครดิตทีมเศรษฐกิจของกัปตันทีมอย่าง “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์”
เตะสกัดเส้นทางไปต่อของ พล.อ.ประยุทธ์
แต่นั่นก็สวนทางกับข่าววงใน ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นของอดีต ส.ส.ที่จ่อเข้าร่วมค่าย “พลังประชารัฐ”
ว่ากันว่าหลายทีม หลายจังหวัด เปิดมาเซอร์ไพรส์
แบบที่ปากยังด่า แต่ตัวมาแล้ว.
ทีมข่าวการเมือง