PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2562

'คุณหญิงหน่อย' ตั้งข้อสังเกต บัตรเกิดใหม่ในหีบ "แบบนี้ก็ได้เหรอคะ"

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ โพสต์ตั้งข้อสังเกตหลัง กกต. เปิดเผยตัวเลขดิบ 100 เปอร์เซ็นต์ พบผู้มาลงคะแนนเพิ่มอีกเกือบห้าล้าน
"หลังปิดหีบลงคะแนน 24 มี.ค. 21.30น. กกต.แถลงผลการลงคะแนนว่ามีผู้มาใช้สิทธิ์ 65.96% รวมจำนวน 33,775,230 คน
"28 มี.ค. 14.50น. กกต.แถลงอีกครั้ง ผู้มาใช้สิทธิ์เพิ่มขึ้นเป็น 74.69% จำนวนเพิ่มเป็น 38,268,375 คน
คุณหญิงสุดารัตน์ ประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งพรรคเพื่อไทยโพสต์เป็นคำถาม
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวที่ติดตามการประกาศคะแนนดิบของ กกต. วันนี้ หลายรายได้ตั้งข้อสังเกตหลายประการ คิือ
1. กกต.แถลงวันนี้ เร็วกว่ากำหนดเดิมคือพรุ่งนี้
2. ตัวเลข ที่ตัวแทนกกต.มาแถลงไม่ตรงตัวเลขเอกสาร กกต.ขอให้ใช้ตามที่แถลง และได้แจกเอกสารที่อัพเดทถูกต้องใหม่ ขณะที่เอกสาร ไม่ปรากฏชื่อพรรคการเมืองในลำดับที่ 47 ประชาสัมพันธ์แจ้งว่า นั่นคือพรรคประชาไทย
3.ตัวเลขคะแนนรวมทุกพรรค ไม่ตรงตัวเลขบัตรดี
4.ตัวเลขผู้มาใช้สิทธิ ไม่ตรงตัวเลขบัตรที่ใช้
5. ที่สำคัญคือ ตัวเลขผู้มีสิทธิเลือกตั้งวันนี้ ไม่ตรงกับตัวเลขที่แถลงเมื่อ 24 มีนาคม 
ทั้งนี้ มีตัวเลขในวันที่ 24 มี.ค. กับวันที่ 28 มี.ค. ที่ไม่ตรงกันอย่างสำคัญ 3 จุดคือ
จำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง วันที่ 24 มี.ค. 51,205,624 วันที่ 28 มี.ค. 51,239,638 เพิ่มจากเดิม 34,014
ผู้มาใช้สิทธิ วันที่ 24 มี.ค.33,775,230 วันที่ 28 มี.ค. 38,268,375 เพิ่มจากเดิม 4,493,145
ร้อยละของผู้มาใช้สิทธิ วันที่ 24 มีนาคม 65.96% วันที่ 28 มีนาคม 74.69% เพิ่มจากเดิม 8.73% 

55503484_2199861606931169_5479388941159235584_n.jpg
เลขาธิการพรรคเพื่อไทยเรียกร้อง กกต.เปิดเผยผลคะแนนทุกหน่วยเลือกตั้ง
ขณะที่นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ระบุว่า ภาพรวมตัวเลขทั้งของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งและผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง คลาดเคลื่อนและต่างกันมาก จากที่ กกต. เคยแถลงเมื่อวันที่ 24 มีนาคม ซึ่งถือเป็นความผิดปกติ ทั้งที่ควรจะมีความชัดเจนตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งแล้ว และยังยืนยันข้อเรียกร้องเดิมคือ ขอให้ กกต. เปิดเผยผลคะแนนทุกหน่วยเลือกตั้งประกาศทางออนไลน์ให้ประชาชน ซึ่งเป็นการพิสูจน์การทำหน้าที่ด้วยความ บริสุทธิ์ ยุติธรรมของ กกต.และจะเรียกความเชื่อมั่นให้ กกต.และประเทศชาติ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคล้ายกับการเลือกตั้งสกปรกเมื่อปี 2500 ซึ่งจะทำลายความเชื่อมั่นและเกียรติภูมิของประเทศด้วย 
"ไม่ต้องไปพูดถึงการจัดตั้งรัฐบาล เพราะวาระนี้ กกต. ต้องให้ความชัดเจนก่อน หากการเลือกตั้งไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม รัฐบาลใหม่ล้มเหลวหรือล้มละลายไปแล้ว จากกระบวนการเลือกตั้งครั้งนี้ อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน" เลขาธิการพรรคเพื่อไทยยัง กล่าว

จิตวิญาณประชาธิปัตย์

· 
ความอยาก ความกระสัน ไม่เคยปรานีใคร..!
เพราะทำให้คนทำได้ทุกอย่าง
ทำให้เห็นธาตุแท้ของคนๆนั้น
ซึ่งทำได้แม้กระทั่งทำลายจิตวิญญาณของตนเอง
เจตนารมณ์และจิตวิญญาณประชาธิปไตยที่อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ท่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ปักลงไปในอุดมการณ์ประชาธิปไตยของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นเรื่องที่ทรงคุณค่ายิ่ง เป็นความภาคภูมิใจของสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เพราะทำให้พรรคประชาธิปัตย์แตกต่างจากพรรคการเมืองอื่นๆ นั้นคือ กระบวนการหยั่งเสียงหัวหน้าพรรค โดยให้สมาชิกพรรคทั่วประเทศลงคะแนนเลือกหัวหน้าพรรคได้โดยตรง
ซึ่งผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุดจากสมาชิกพรรคทั่วประเทศก็จะได้รับการเลือกเป็นหัวหน้าพรรคโดยมีคณะผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเลือกกรรมการบริหารพรรคตามข้อบังคับพรรคที่กำหนดไว้ ลงคะแนนเลือกหัวหน้าพรรคตามผลการหยั่งเสียง
ดังการหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรคที่ผ่านมาในช่วงปลายปี 2561
นี้คือจิตวิณญาณความเป็นประชาธิปไตยที่อดีตหัวหน้าพรรคได้สร้างไว้ให้กับพรรคประชาธิปัตย์
แต่เมื่อมีสมาชิกบางท่านซึ่งกำลังรวบรวมผู้คนเพื่อเข้าร่วมรัฐบาลได้เสนอขอให้แก้ข้อบังคับพรรคข้อนี้ เพื่อให้การเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นการเลือกกันเองเฉพาะ ส.ส. กรรมการบริหารพรรค ประธานสาขาพรรค ฯลฯ ตัดการมีส่วนร่วมของสมาชิกพรรคออกไป ไม่ให้สมาชิกพรรคมีส่วนในการลงคะแนนเลือกหัวหน้าพรรค มองไม่เห็นคุณค่าของสมาชิกพรรคแสนกว่าคนในปัจจุบัน เหมือนที่พรรคการเมืองอื่นๆเขาทำกัน
ทำไมถึงต้องทำขนาดนั้น ?
ทำไมต้องการทำลายเจตนารมณ์อันดีงามของอดีตหัวหน้าพรรค ? ซึ่งมุ่งมั่นทำให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองของสมาชิกที่แท้จริง สมาชิกพรรคเป็นเจ้าของพรรคจริงๆ
ท่านอยากมีอำนาจ
ท่านอยากเป็นรัฐบาล นั้นพอเข้าใจได้
แต่ไม่ควรอยากมากจนถึงขนาดต้องทำลายจิตวิญญาณประชาธิปไตยของตนเอง
อย่าให้ถึงขนาดต้องทำลายจิตวิญญาณประชาธิปไตยของพรรคประชาธิปัตย์เลย
ไทกร พลสุวรรณ
28 มีนาคม 2562

“สมชัย” โพสต์ 5 ข้อ ซัดระบบเลือกตั้งใหม่สร้างปัญหาเพียบ

“สมชัย” โพสต์ 5 ข้อ ซัดระบบเลือกตั้งใหม่สร้างปัญหาเพียบ ชี้ ก่อนเลือกตั้งคนสนใจแต่เรื่อง “ลุง” มากกว่านโยบาย
เมื่อวันที่ 27 มีนาคม นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตผู้สมัครส.ส.สมุทรสาคร พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ในฐานะอดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “ผลพวงจากการออกแบบกติกาที่พิกลพิการ” โดยระบุตอนหนึ่งว่า เฒ่าผู้เชี่ยวชาญกฎหมาย หวังผลเลิศจากการเขียนกติกา ยก กกต.ชุดเก่าออก สร้าง กกต.ชุดมหาเทพ เปลี่ยนระบบเลือกตั้งเป็นบัตรใบเดียว ให้เบอร์ผู้สมัครของพรรคแตกต่างกันไปในแต่ละเขต ให้พรรคเสนอชื่อคนมาเป็นนายกฯจากคนไม่เป็น ส.ส.ได้ หวังจะปฏิรูปการเมืองไทย แต่กลับกลายเป็นปัญหาสารพัดที่สร้างไว้กับบ้านเมือง
นายสมชัย กล่าวต่อว่า อาจจะเป็นเพราะ 1. กกต.อ่อนหัด จัดการเลือกตั้งวุ่นวายเป็นปัญหา นับแต่การเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร การเลือกตั้งล่วงหน้า จนถึงวันเลือกตั้งจริง กลายเป็นที่วิพากย์วิจารณ์ในด้านประสิทธิภาพและความรับผิดชอบในการทำงาน จนถึงขึ้นเข้าชื่อกันไล่ถอดถอนจำนวนใกล้ล้านคนแล้ว 2. บัตรเลือกตั้งใบเดียว ทำให้คนต้องตัดสินใจเด็ดขาดบนพื้นฐานของสถานการณ์การเมืองและการตัดสินใจเลือกข้างมากกว่าสนใจนโยบายที่พรรคนำเสนอ ยิ่งพรรคหนึ่งบอก “ต้องการสงบ จบที่ลุง” อีกพรรคหนึ่งบอก “เอาลุงคืนไป” นั่นหมายถึง “เอาลุง หรือ ไม่เอาลุง” คือหัวใจของการรณรงค์ในสามวันสุดท้าย นโยบายไร้ค่า คุณสมบัติผู้สมัครไม่เกี่ยว แต่ “ลุง”คือศูนย์กลางของการตัดสินใจในการใช้สิทธิ์
นายสมชัย กล่าวอีกว่า 3. เบอร์พรรคแตกต่างกันทั้งประเทศ สร้างความวุ่นวายสับสน ทั้งผู้สมัคร ผู้เลือกตั้งและคนจัดการเลือกตั้ง ส่งบัตรผิด กาผิดเบอร์ ติดป้ายผิดที่ เจตนาของการให้คนจำผู้สมัครแทนการจำพรรคการเมือง แล้วเป็นอย่างไรท้ายสุดคนไม่จำผู้สมัคร แต่ไปกาชื่อพรรคโดยไม่สนใจผู้สมัคร 4. ให้พรรคเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี พอมีพรรคหนึ่งเสนอคนที่เป็นนายกฯปัจจุบันโดยไม่มีข้อห้าม แถมกติกายังให้มีอำนาจเต็มในการบริหารประเทศและยังมี มาตรา44อยู่ในมือ ความได้เปรียบเสียเปรียบไม่เป็นธรรมในการเลือกตั้งก็เกิดขึ้น เป็นที่วิพากย์วิจารณ์ว่าเป็นการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรม เพราะ ครม.มีอำนาจในการอนุมัติงบประมาณโครงการต่างๆเพื่อหาเสียงในโค้งสุดท้ายเอาใจประชาชนได้มากมาย แบบนี้ไม่เคยมีในการเลือกตั้งครั้งใดในประวัติศาสตร์
นายสมชัย กล่าวด้วยว่า และ 5.ผลพวงของการออกแบบนำไปสู่รัฐบาลผสมที่ไม่มีเอกภาพในการทำงานปรากฏให้เห็นนับแต่วันยังไม่จัดตั้งรัฐบาล ไม่ว่าฝ่ายใดจะได้จัดตั้งรัฐบาล คะแนนล้วนปริ่มน้ำ พปชร.อาจตั้งนายกได้เพราะมี 250ส.ว.หนุน แต่ประชุมสภา ส.ส.ห้ามป่วย ห้ามตาย เพื่อไทยอาจรวมเสียงเกินครึ่งสภาฯได้ แต่ โหวตนายกฯไม่ได้เพราะไม่ได้เสียง ส.ว.สนับสนุน เมื่อเลือกจะออกแบบกติกาแบบนี้ ประเทศไทยก็ต้องรับกรรมของความไม่แน่นอนทางการเมืองต่อไป ถามว่า คนที่ร่างกติกา รู้ตัวบ้างหรือยัง
มติชนออนไลน์

E-DUANG : ปรากฏการณ์ อนาคตใหม่ ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา


ผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคมได้ก่อให้เกิดสภาวะแปลกแยกในทางการเมืองขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะมองผ่านปรากฏ การณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะมองผ่านพรรคอนาคตใหม่
มองเห็นความร่วงโรย มองเห็นความรุ่งโรจน์
ขณะเดียวกัน เมื่อมองผ่านการปะทะอย่างต่อเนื่องระหว่าง พรรคพลังประชารัฐกับพรรคเพื่อไทย ก็สัมผัสได้ในการดำรงคงอยู่ ของพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา
นี่คือภาพเงาที่เป็นจริงซึ่งเหมือนกับผลสะเทือนของการเมือง ในยุคแห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2521 และ พ.ศ.2534
ทั้งๆที่นี่คือการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคม 2562
เป็นการเลือกตั้งบนพื้นฐานการปฏิรูปตามบทบัญญัติของรัฐ ธรรมนูญ พ.ศ.2560 อันเป็นผลพวงของ”รัฐประหาร”

ลีลาอย่างที่เห็นในการก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐโดยมี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นตัวขับเคลื่อนอย่างสำคัญผ่านบทบาทของ
“กลุ่มสามมิตร”
ไม่เพียงแต่ทำให้นึกถึง นายมนตรี พงษ์พานิช หากแต่ยังทำให้นึกถึง พรรคสามัคคีธรรม
เมื่อมี น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา แสดงบทบาทผ่านพรรคชาติไทยพัฒนา เมื่อมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล แสดงบทบาทผ่านพรรคภูมิใจไทย
ภาพของ นายบรรหาร ศิลปอาชา ภาพของ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ก็โดดเด่นขึ้นมา
แม้จะผ่านการเลือกตั้งเมื่อเดือนมกราคม 2544 ภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 แม้จะมีพรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้นพร้อมกับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล
นี่คือปรากฏการณ์อันเป็นภาพสะท้อนทั้งการเมือง”เก่า” และการเมือง “ใหม่”

ในเมื่อรัฐประหารเมือ่เดือนพฤษภาคม 2557 ยังดำรงคงอยู่ ในเมื่อเครื่องมือของคสช.คือรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ก็อย่าได้แปลกใจที่จะเกิด 2 ปรากฏการณ์นี้ให้เห็น
1 ย่อมเป็นปรากฏการณ์อนาคตใหม่ สามัญชน
ขณะเดียวกัน 1 ย่อมเป็นปรากฏการณ์ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา และพลังประชารัฐ
2 ปรากฏการณ์นี้ย่อมต่อสู้ หักหาญกันและกัน

ผบ.เหล่าทัพน้อมนำพระบรมราโชวาทร.9 สนับสนุนคนดีขึ้นมาเป็นผู้ปกครอง


28 มี.ค.62 -  ที่กรมทหารราบที่ 11 ทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ร.11 รอ.)ภายหลังการประชุมผู้บัญชาการทางทหาร ซึ่งมี ผบ. เหล่าทัพ และ ผบ. ตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วมประชุมพล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผบ.ทหารสูงสุด ในฐานะประธานมูลนิธิศิษย์เก่า โรงเรียนเตรียมทหาร (รร.ตท.) กล่าวถึงจุดยืนของกองทัพต่อบทบาทและหน้าที่ในการปกป้องสถาบันหลักของชาติว่า จุดยืนของทหารตำรวจไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมคือชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และความอยู่ดีมีสุขของประชาชน ส่วนบทบาทความเป็นคสช.และความเป็นแม่น้ำ 5 สายจะมีโรดแมปตามระยะเวลา ก็ไม่มีเรื่องใดที่ต้องกังวลการบริหารงานของรัฐบาลในเวลาต่อไปเป็นไปตามตัวบทกฎหมายและรัฐธรรมนูญที่กำหนด
เมื่อถามว่า สถานการณ์การเมืองในขณะนี้ ผบ. เหล่าทัพวิเคราะห์อย่างไรบ้างหลังเลือกตั้งเสร็จสิ้นแล้ว พล.อ.พรพิพัฒน์ กล่าวว่า  ช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมาต้องขอขอบคุณทุกพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องที่ได้ทำให้เกิดความเรียบร้อย ทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะเลขาคสช.ได้คลายความกังวลเพราะทุกอย่างเป็นไปตาม Road Map ผลของการเลือกตั้งเท่าที่ได้ติดตามในฐานะประชาชนทุกอย่างก็เป็นไปด้วยปกติ 
ส่วนการพยายามที่จะรวมเป็นรัฐบาลโดยคะแนนข้างไหนนั้นขอให้เป็นเรื่องของฝ่ายการเมือง ส่วนทหารตำรวจจะปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาความสงบและป้องกันเอกราชอธิปไตยของประเทศชาติต่อไปปกติ ทั้งนี้ทหารตำรวจเป็นส่วนราชการเป็นกลไกทางราชการที่ต้องปฏิบัติงานตามคำสั่งของรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใดก็ตามเพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองใดที่จะมาทำหน้าที่ในการเป็นรัฐบาล ทหารและตำรวจต้องปฏิบัติตามนโยบายและแนวทางที่รัฐบาลดำเนินการไว้
ถามว่า ในฐานะที่กองทัพเป็นส่วนหนึ่งของคสช.แค่ 7 พรรคการเมือง ลงสัตยาบันหยุดสืบทอดอำนาจ คสช.และปฏิรูปกองทัพ พล.อ.พรพิพัฒน์ กล่าวว่า คสช.ต้องยุติไปตาม โรดแมปอยู่แล้ว เมื่อเลือกตั้งและตั้งรัฐบาลความเป็นคสช.ก็พ้นไปโดยธรรมชาติ ตนไม่เห็นว่าจะมีโอกาสที่จะเป็นการสืบทอดอำนาจตามวาทะที่ได้พูดในระยะนี้ ไม่มีอะไรที่จะเป็นเรื่องน่ากังวล ในส่วนที่ถามเกี่ยวกับปรับปรุงพัฒนากองทัพ ถ้าคำสั่งแนวทาง นโยบายแห่งรัฐเป็นเรื่องที่คิดใคร่ครวญอย่างเหมาะสมแล้วที่ทำให้ประเทศชาติ มีความมั่นคง เสถียรภาพ ไม่ถูกรุกรานจากประเทศภายนอก ทุกอย่างจะปรับได้ตามที่รัฐบาลกำหนดนโยบายให้กับกองทัพและตำรวจปฏิบัติ
เมื่อถามว่า เราจะสามารถทำตามพระบรมราโชวาท คือให้คนดีมาปกครองบ้านเมืองได้หรือไม่ พล.อ.พรพิพัฒน์ กล่าวว่า นี่คือสิ่งที่เป็นความเร่งด่วนที่สุด ที่กองทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พยายามจะพูดในทุกครั้งและทุกโอกาส การดำเนินการทุกประการตามแนวพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ถือว่ามีความลึกซึ้งและเป็น ปรัชญา สูงสุด เราไม่สามารถทําให้ทุกคนเป็นคนดี แต่เราเลือกคนดีเข้ามาบริหารมีอำนาจได้ แล้วเราทุกคนในสังคมต่างๆทหารตำรวจพยายามยึดมั่นในแนวปฏิบัติอันนี้คือพยายามให้ทุกคนก็ตามที่เป็นคนดีขึ้นมาเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชา
ถามว่า เป็นห่วงหลังเลือกตั้งเรื่องการทุจริตผลเลือกตั้งหรือไม่ พล.อ.พรพิพัฒน์ กล่าวว่า ต้องให้เวลากับ กดต. เราต้องเชื่อมั่นกลไกของรัฐ แม้ว่าเราอาจมีความเห็นว่าการทำงานของ กกต.ไม่เรียบร้อยในกระบวนการจัดการเลือกตั้ง อย่างไรต้องเชื่อใจว่า กกต. เขามีหลักในการปฏิบัติและพยายามที่จะทำออกมาให้ดีที่สุด เมื่อพบข้อบกพร่องก็ต้องแก้ไขและในข้อแก้ไขจะต้องใช้เวลาพอสมควร ถ้าเราให้โอกาส กกต.มากกว่าจู่โจมด้วยคำพูดจนเขาไม่สามารถตั้งตัวได้และทำลายความน่าเชื่อถือ ในบางเรื่องเป็นเรื่องจริงหสกเราก็เลือกไม่เชื่อไปแล้ว ก็ต้องให้ความเป็นธรรม กกต.ไปด้วย
เมื่อถามว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีไม่ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกกองทัพมีจุดยืนอย่างไร พล.อ.พรพิพัฒน์กล่าวว่า กองทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่ภายใต้รัฐบาลมาเป็น 100 ปี อยู่ภายใต้การนำของรัฐบาลทุกยุคทุกสมัยมาทุกแบบเพราะฉะนั้นไม่มีปัญหา ว่ากองทัพจะปฏิบัติงานภายใต้รัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีท่านใด
ถามว่า หากการเลือกตั้ง ไม่ได้ข้อสรุปที่ดีจะเกิดการรัฐประหารหรือไม่ พล.อ.พรพิพัฒน์ กล่าวว่า   เราอย่าไปตั้งเป้าว่าจบไม่ดี คนไทยต้องคิดบวกเราอุตส่าห์เดินทางตามโรดแมปมาถึงขั้นนี้แล้ว จนมีการเลือกตั้งคะแนนก็ได้ผลการเลือกตั้ง ขอให้ กกต. ประกาศยืนยันผลเป็นทางการทุกอย่างก็จะมีการฟอร์มรัฐบาลอย่างเป็นทางการ ซึ่งในที่สุดก็จะสามารถมีรัฐบาล ที่ได้เสียงข้างมากจนได้.

28ปชป.ขยับแล้ว! 'ถาวร'หนุนจับมือ'พปชร.' ดันแก้ข้อบังคับโหวตกก.บห.ชุดใหม่




วันนี้(12.00 น.) วันที่ 28 มี.ค.62 ที่โรงแรมรอยัลปริ๊นเซส มีรายงานว่า นายถาวร เสนเนียม ว่าที่ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) นัดหารือกับบรรดาว่าที่ ส.ส. และกลุ่มส.ส.ที่สอบตก ราว 28 คน อาทิ นายวิทยา แก้วภราดัย  นายเจือ ราชสีห์ นายชุมพล จุลใส นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ  นางรังสิมา รอดรัศมี นางสาวจิตภัสร์ กฤดากร และ นายเอกณัฏ พร้อมพันธุ์ เป็นต้น    เพื่อถอดบทเรียนการพ่ายแพ้เลือกตั้งอย่างหมดรูปในครั้งนี้
นายถาวร  กล่าวว่า เป็นการนัดทานข้าว เพื่อให้กำลังใจเพื่อนและพี่น้อง ทั้งที่ชนะการเลือกตั้งและแพ้การเลือกตั้ง ด้วยความเห็นอกเห็นใจ และถอดบทเรียนการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ทุกคนมีความเห็นตรงกันว่า ควรให้กรรมการบริหารพรรค(กก.บห.)ชุดใหม่ และส.ส.ที่ชนะเลือกตั้ง ตัดสินใจอนาคตทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์
อย่างไรก็ตามยังมีข้อกังวลว่า ควรให้ส.ส.ที่แพ้การเลือกตั้งร่วมกำหนดทิศทางพรรคด้วยหรือไม่ เพราะคนกลุ่มนี้เป็นคนทำให้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ได้คะแนนเสียงจนเป็น ส.ส. ซึ่งในการประชุมกก.บห.ในวันพรุ่งนี้(29 มี.ค.) จะเสนอให้พิจารณาแก้ข้อบังคับพรรค  ให้อดีต ส.ส.โหวตเลือกกก.บห.คชุดใหม่ รวมถึงแก้ระเบียบเลือกหัวหน้าพรรค โดยไม่ต้องทำไพรมารีโหวต เพราะไม่อยากเห็นความขัดแย้งภายในหัวหน้าพรรคอีก แต่ควรใช้วิธีปรึกษาหารือ
“สถานการณ์ในตอนนี้ไม่เอื้อให้ทำไพรมารีโหวตเลือกหัวหน้าพรรค เพราะแม้แต่รัฐธรรมนูญยังฉีกได้  มองว่าคนที่จะขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคควรสร้างความเป็นเอกภาพและปฏิรูปพรรค แต่ไม่ขอบอกว่า ใครเหมาะสมที่จะมานั่งหัวหน้าพรรค และเลขาธิการพรรคคนใหม่”นายถาวร กล่าว
พร้อมระบุว่า ส่วนตัวยืนยันว่า พรรคประชาธิปัตย์ ควรไปร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ เพราะเป็นพรรคที่ได้คะแนนเสียงจากประชาชนมากที่สุดกว่า 8.4 ล้านเสียง แต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับมติพรรค ซึ่งตนยืนยันมีวินัยพรรคและเชื่อว่ากก.บห.มีมารยาท ในการตัดสินใจเรื่องสำคัญของพรรค และขณะนี้ยังไม่มีใครทาบทามหรือพูดคุยให้ร่วมรัฐบาล รวมถึงยังไม่มีการเสนอตำแหน่งรัฐมนตรี
ด้านนายชุมพล จุลใส ว่าที่ ส.ส.ชุมพร ที่สนิทสนมใกล้ชิดกับแกนนำพรรคพลังประชารัฐ ก็ยืนยันเรื่องที่ถูกทาบทามหรือต่อสายพูดคุยให้ร่วมรัฐบาล แต่ยอมรับมีการพูดคุยแสดงความยินดีในฐานะที่เป็นเพื่อนกัน (#แฟ้มภาพ)

หลังเลือกตั้ง 24 มี.ค.



หลังเลือกตั้ง 24 มี.ค.มีน้องๆสื่อมวลชน4-5 คน โทรศัพท์มาขอความเห็นเรื่องผลเลือกตั้งโดยเฉพาะกรณีพรรครวมพลังประชาชาติไทยว่าจำนวนที่นั่งได้น้อยกว่าที่คาดหมายใช่หรือไม่ เพราะอะไร รวมทั้งประเด็นสูตรการจัดตั้งรัฐบาล...ซึ่งในนาทีนั้นผมได้แต่ขอโทษน้องๆไปว่า ขอยกยอดไปวันหน้าค่อยว่ากัน..

ถึงวันนี้ก็ขออนุญาตแสดงความเห็นส่วนตัวเล็กๆน้อยๆ

กรณีเรื่องพรรครวมพลังประชาชาติไทย ซึ่งตอนนี้ตัวเลขอยู่ที่ 5 ที่นั่ง ก็ต้องยอมรับว่าเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าความคาดหมายมาก ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ด้วยหลายเหตุปัจจัย ทั้งปัจจัยภายในปัจจัยภายนอก ทราบว่าทางพรรคกำลังจะล้อมวงถอดบทเรียนกันในอีกไม่กี่เพลานี้...ผมในฐานะหนึ่งในสมาชิกพรรคก็รอเสนอความเห็น รอฟังข่าวอยู่...

0 กรณีการจัดตั้งรัฐบาล ก็ต้องบอกว่าเส้นทางอีกยาวไกล หลังการประกาศผลเลือกตั้งอย่างเป็นทางการภายในวันที่9 พ.ค.โน่นแหละ ทุกอย่างจึงจะเดินหน้าอย่างเป็นรูปธรรม
-หลังประกาศผลเลือกตั้งแล้วภายใน 15 วันให้เรียกประชุมรัฐสภานัดแรก หลังจากนั้นก็จะเป็นการชิงเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งใช้เสียงข้างมากของจำนวนส.ส.500 คน จากนั้นตามด้วยการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีซึ่งต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา (อย่างน้อย 376 เสียง) และสุดท้ายก็จะเป็นการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งประมาณกันว่าถ้าไม่มีอะไรเป็นอุปสรรคหรือเกิดภาวะ”เดดล็อก”เราจะได้รัฐบาลชุดใหม่ในเดือนมิ.ย.
- การแถลงข่าวลงสัตยาบันของ 6 พรรคการเมืองโดยอ้างว่ามีพรรคที่ 7คือพรรคเศรษฐกิจใหม่ด้วย รวม 255 เสียงเมื่อวันที่ 27 มี.ค.ที่ผ่านมาเป็นแค่เกมการเมืองธรรมดาๆ ที่ไม่มีอะไรในกอไผ่มากไปกว่าการประกาศรวมกลุ่มโดยอวดอ้างว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ที่สำคัญคือพยายามตอกย้ำตัวเลขจำนวนส.ส.ว่าแต่ละพรรคมีกี่ที่นั่ง ทั้งๆที่ตัวเลขยังไม่นิ่ง และบางพรรคของฝ่ายนี้มีโอกาสที่ตัวเลขจะลดลง การที่นำตัวเลขที่ยังไม่นิ่งมาแถลงข่าวก่อน ใช่หรือไม่ว่าเป็นการตีกินทางการเมือง จะได้โวยวายในภายหลังหากตัวเลขลดลง ทั้งๆที่ระดับกุนซือในพรรคเพื่อไทยก็รู้ดีว่าตัวเลข 137 ที่นั่งของพรรคเพื่อไทยกับคะแนน 7.4ล้านเสียง(โดยประมาณ)นั้นเป็นตัวเลขส.ส.ที่เกินจำนวน”จะพึงมี”ไปเกือบ 20 ที่นั่ง ทำให้เกิดภาวะ”over hang” ซึ่งกกต.จะต้องงัดมาตรา 128 ของพรป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.2561 มาคิดคำนวณจำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคต่างๆใหม่ ด้วยสูตรใหม่ ค่าเฉลี่ยใหม่...

0 พูดถึงการประกาศผลเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญใหม่กำหนดให้ประกาศผลอย่างเป็นทางการอย่างน้อย 95 เปอร์เซ็นต์ภายในเงื่อนเวลาที่กำหนด การประกาศคะแนนยังไม่ใช่การประกาศผลรับรองอย่างเป็นทางการ ดังนั้นวันนี้กกต.ต้องออกมาแถลงให้ชัดเจนถึงสิ่งนี้ รวมทั้งหลักการใหญ่ในการคิดคำนวณจำนวนส.ส.โดยเฉพาะส.ส.ระบบบัญชี รายชื่อ และบอกกล่าวเสียให้ชัดว่าคะแนนยังไม่นิ่ง ห้ามพรรคการเมืองที่เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้เอาไปตีกินหรือเอาไปโมเม

กกต.มีสิทธิ์ที่จะบอกด้วยว่า การประกาศผลเลือกตั้งภายในวันที่ 9 พ.ค.นั้นจะต้องคำนึงถึงกิจกรรมทางการเมืองที่จะเกิดตามมา จะต้องไม่ทับซ้อนกับงานสำคัญของบ้านเมืองช่วงวันที่ 4-6 พ.ค.ซึ่งจะมีทั้งพระราชพิธีและพิธีที่เกี่ยวเนื่องก่อนและหลังด้วย ดังนั้นการประกาศคงจะเกิดขึ้นหลังวันที่ 6 พ.ค.

0 ที่สุดของที่สุด..ก็พอจะกล่าวได้ว่าเมื่อมานับคะแนนกันใหม่ตามมาตรา 128 คะแนนพรรคที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตยจะลดลง โดยเฉพาะพรรคอนาคตใหม่จะหดลง...และหากจะให้คาดหมายการจัดตั้งรัฐบาล ผมยังเชื่อว่าพล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งและจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่จะมีเสถียรภาพแค่ไหนอย่างไรนั้น..ขอดูกันฉากต่อฉากดีกว่า..น่าเสียวไส้อยู่ไม่น้อย

อนึ่ง กราฟฟิกที่นำมาเสนอเป็นของนสพ.กรุงเทพธุรกิจ ก็ไม่ได้เป็นตัวเลขที่นิ่งแต่อย่างใด แต่ถือว่าอัพเดทที่สุด ณ วันนี้ ขอขอบพระคุณมาณ ที่นี้ด้วยครับ
28 มี.ค.62

ลุงมิ่งชิ่งเพื่อไทย


    พรรคฝ่ายเพื่อแม้วนำหัวหน้า 6 พรรคชิงลงสัตยาบันจัดตั้งรัฐบาล อ้างมีเสียงข้างมากถึง 255 เสียง ร่วมหยุดสืบทอดอำนาจ "หน่อย" หวั่นมีขบวนการทอนคะแนนทั้งใบเหลือง-ใบแดง "ธนาธร" พลิ้วพร้อมหนุนนายกฯ หน่อยทั้งที่ไม่ได้มาจาก ส.ส. "เจ๊มิ่ง" กั๊ก! อ้างติดภารกิจ ย้อนถาม "เซ็นสัตยาบันแล้วไม่รักษาคำพูดจะมีประโยชน์อะไร พูดแฟร์ๆ ไม่เคยคิดว่าเขาจะประกาศชื่อพรรคผม" นช.ทักษิณประกาศเป็นกองเชียร์ ดีใจฝ่าย ปชต.รวมเสียงได้เกินครึ่ง อึ้ง!พท.บังคับว่าที่ ส.ส.เขียนใบลาออกป้องกัน ส.ส.งูเห่า "สนธิรัตน์” เย้ยแค่ฉกฉวยหาความชอบธรรม จี้ให้หยุดอ้างวาทกรรมฝ่าย ปชต. หึ่ง! พปชร.เดินสายเก็บแต้มพรรคเล็ก "บิ๊กป้อม" เผยให้จัดตั้งรัฐบาลหลังพระราชพิธีฯ  
    ที่โรงแรมแลงคาสเตอร์ เวลา 09.30 น. วันที่ 27 มีนาคม แกนนำพรรคการเมืองที่อ้างว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย นำโดย พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ หัวหน้าพรรค, คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย (พท.), นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรค พท., พรรคอนาคตใหม่ (อนค.) นำโดยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค, พรรคเสรีรวมไทย (สร.) นำโดย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส  หัวหน้าพรรค, พรรคประชาชาติ (ปชช.) นำโดยนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรค, พรรคเพื่อชาติ (พ.ช.) นำโดยนายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรค และพรรคพลังปวงชนชาวไทย (พลท.) นำโดยนายนิคม บุญวิเศษ หัวหน้าพรรค เดินทางมารวมตัวกันเพื่อลงสัตยาบัน ประกาศเจตนารมณ์ประกาศจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน 
    โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีสื่อมวลชนร่วมติดตามความเคลื่อนไหวจำนวนมาก ขณะที่พรรคเศรษฐกิจใหม่ (ศม.) ที่มีนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ หัวหน้าพรรค ซึ่งเคยประกาศเจตนาจะเข้าร่วมงานกับพรรคฝั่งประชาธิปไตย ไม่ได้เดินทางหรือส่งตัวแทนมาร่วมงานด้วย 
    ภายหลังการหารือ คุณหญิงสุดารัตน์แถลงว่า พรรคฝั่งประชาธิปไตย 6 พรรคการเมือง หารือถึงแนวทางการทำงาน ที่ประกาศเป็นสัญญาประชาคมรณรงค์เลือกตั้งของฝ่ายประชาธิปไตย หยุดการสืบทอดอำนาจของ คสช. แม้ตัวเลขจะไม่นิ่ง ที่มีในขณะนี้ไม่น้อยกว่า 255 เสียง เมื่อได้เสียงสนับสนุนมากกว่ากึ่งหนึ่ง ก็ถือเป็นฉันทานุมัติจากประชาชน ความคาดหวังของประชาชนต้องการให้เราทำตามสัญญาประชาคม หยุดการสืบทอดอำนาจ คสช. เราจะพยายามทำความคาดหวังและมุ่งหวังประชาชนได้ตามกติกาอย่างมีมารยาท พร้อมกับส่งเสริมวัฒนธรรมการเมืองสร้างสรรค์ 
    "เชื่อว่าหลังจากนี้จะมีกระบวนการทอนคะแนนเสียงของพรรคการเมืองที่ประกาศตัว อาทิ แจกใบเหลืองหรือใบแดง เพราะ กกต.ยังมีเวลาตรวจสอบก่อนประกาศผลเลือกตั้งอีก 2 เดือน รวมถึงเชื่อว่าจะมีปฏิบัติการดึงตัวหรือปรากฏการณ์งูเห่า หรือ ปรากฏการณ์ย้ายค่ายเบอร์เดิม ผ่านการใช้ผลประโยชน์เงินและตำแหน่งจูงใจ แต่มั่นใจว่าผู้ที่มีอุดมการณ์แล้วจะไม่เปลี่ยน" คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว 
    ด้านนายธนาธรกล่าวว่า พรรคอนาคตใหม่พร้อมทำงานร่วมกับพรรคการเมืองที่ร่วมแถลงข่าววันนี้ เพื่อยุติการสืบทอดอำนาจของ คสช. พร้อมกับแสดงจุดยืนร่วมทำงานเพื่อประชาชน ขณะที่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต้องมาจากพรรคการเมืองที่ได้ ส.ส.มากที่สุดสนับสนุนคุณหญิงสุดารัตน์เป็นนายกฯ แต่หากพรรคเพื่อไทยจะเสนอชื่อแคนดิเดตคนอื่นเป็นนายกฯ ค่อยมาหารือกันอีกครั้ง ส่วนกรณีความพยายามตั้งรัฐบาลด้วยเสียงข้างน้อย ทำให้สังคมเดินไปสู่ทางตันและพัฒนาการเมืองไทยเป็นไปไม่ได้ 
      ส่วนนายวันมูหะมัดนอร์กล่าวว่า ประชาชนอยากเห็นรัฐบาลหน้าเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากมี 251 เสียงขึ้นไป เพื่อให้การบริหารประเทศ เพราะการบริหารต้องอาศัยสภาผู้แทนราษฎรเป็นหลักในการพิจารณากฎหมาย งบประมาณ ส.ว.เป็นเพียงแค่พี่เลี้ยงเท่านั้น หากเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยแล้วให้ ส.ว.มาค้ำยัน จะเป็นรัฐบาลที่ไม่มีเสถียรภาพ ไม่มีนักลงทุนกล้าเข้ามาเพราะเสี่ยงกับสถานภาพรัฐบาลที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย รวมทั้งขอให้ กกต.เร่งประกาศรับรองผล ส.ส.ภายในเดือน มี.ค.นี้ ไม่ควรรอไปถึงวันที่ 9 พ.ค.
ลงสัตยาบัน 6 พรรค
    ขณะที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออก และยุติการสืบทอดอำนาจ เพื่อเป็นต้นแบบที่ดี ให้การเลือกตั้งได้คนดีเป็นผู้แทนฯ และเป็นนายกฯ เพื่อให้ประเทศสงบเรียบร้อย
    นายสงครามกล่าวเรียกร้องให้ยุติการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย เพราะเป็นเรื่องไม่ถูกต้องตามหลักสากล และขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ไตร่ตรองการทำหน้าที่ว่าช่วยยุติความขัดแย้งได้จริงหรือไม่ สำหรับการทำหน้าที่ของ กกต. ขอให้คำนึงถึงศักดิ์ศรีของตนเองและประเทศไทย โดยเร่งประกาศและรับรองผลการเลือกตั้งโดยเร็ว
    จากนั้นนายภูมิธรรมอ่านแถลงการณ์ซึ่งเป็นสัตยาบันที่ตัวแทนทั้ง 6 พรรคให้สัญญาร่วมกัน พร้อมให้ตัวแทนทุกพรรคร่วมลงนามรับรอง โดยแถลงการณ์ระบุว่า “ตามที่ได้มีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 24 มี.ค. และได้รับทราบผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการไปแล้วนั้น บัดนี้พรรคการเมืองตามรายชื่อท้ายแถลงการณ์นี้ ยืนยันว่าได้รวบรวมเสียงในสภาเกินกว่า 255 เสียง ได้ลงสัตยาบันร่วมกันในการหยุดยั้งสืบทอดอำนาจของ คสช.”
    หลังจากนั้นหัวหน้าทั้ง 6 พรรคการเมืองได้ร่วมลงชื่อในสัตยาบัน
    นายภูมิธรรมกล่าวว่า วันนี้ฝ่ายประชาธิปไตย 255 คน ยืนยันจะให้ประเทศเดินหน้าต่อไปทั้ง 6 พรรคได้พูดคุยกันแล้วรวมถึงพรรคเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งตนได้โทรศัพท์พูดคุยกับนายมิ่งขวัญ ยืนยันและรับปากมาว่าจะไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจ ส่วนที่มาแถลงข่าวด้วยไม่ได้เพราะติดภารกิจ
    คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า หลังจากนี้ตัวแทนพรรคที่ประกาศเจตนารมณ์ร่วมจะเดินทางไปยัง กกต. เพื่อร้องขอให้เปิดเผยตัวเลขที่เกี่ยวกับคะแนนเลือกตั้ง บัตรเลือกตั้งและรายละเอียดอื่นๆ และขอเรียกร้องพรรคการเมืองอื่นที่แสดงเจตนารมณ์ปกป้องประชาธิปไตย เสียงที่รวมกัน 255 เสียง คือเสียงที่มาจากเจตจำนงของประชาชนทั้งประเทศ ขณะที่เสียงส.ว. 250 เป็นเสียงที่มาจากการแต่งตั้งของ คสช. ไม่ทราบถึงหลักเกณฑ์ที่มา 
      นายภูมิธรรมกล่าวเสริมว่า จำนวน 255 เสียงที่รวบรวมมาได้ มาจากพรรคเพื่อไทย 137 เสียงขึ้นไป, พรรคอนาคตใหม่ 88 เสียง, พรรคเสรีรวมไทย ได้ 12 เสียง, พรรคเศรษฐกิจใหม่ 6 เสียง, พรรคประชาชาติ ได้ 7 เสียง, พรรคเพื่อชาติ ได้ 5 เสียง และพรรคพลังปวงชนชาวไทย คาดว่าจะได้ 1 เสียง แต่อาจได้เพิ่มอีก 1 เสียง
     เมื่อถามถึงการชักชวนให้พรรคการเมืองอื่นๆ มาร่วมรัฐบาล ซึ่งมีกระแสข่าวจะให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เป็นนายกฯ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ทางพรรคไม่เคยเสนอตำแหน่งนายกฯ ให้กับนายอนุทิน เชื่อมั่นว่า 255 เสียงที่ลงสัตยาบันร่วมกันจะมั่นคงจับมือกันไปถึงวันที่ 9 พ.ค. 
     เมื่อถามกรณีมีกระแสข่าวว่า ว่าที่ ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่จะถูกดึงและชักชวนให้ย้ายข้าง นายธนาธรกล่าวว่า วันที่ 30 มี.ค. พรรคจะจัดประชุมว่าที่ ส.ส.ของพรรค เพื่อทำความเข้าใจร่วมกัน และทำสัตยาบันร่วมกัน เชื่อว่าว่าที่ ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ที่มีจุดร่วมและอุดมการณ์เดียวกันจะไม่ยอมให้พลังดูดเหนือกว่าอุดมการณ์
     นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการ อนค. กล่าวว่า กระแสข่าวการชักจูงใจว่าที่ ส.ส.ของพรรคการเมืองอื่นเพื่อลงคะแนนหรือสนับสนุนบางพรรคหรือปรากฏการณ์งูเห่านั้น ขอให้หลายฝ่ายทบทวนให้ดีเนื่องจากตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 46 กำหนดเป็นบทบัญญัติต้องห้ามกระทำ รับ เรียกรับ หรือขอทรัพย์สิน เงินแลกกับประโยชน์ให้กับบุคคลต่อการแต่งตั้งหรือดำรงตำแหน่งทางการเมือง ฝ่ายบริหารและเจ้าหน้าที่รัฐ หากผู้ใดฝ่าฝืนต้องรับโทษจำคุก 10-20 ปี และถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง
"มิ่งขวัญ"กั๊กรวม 6 พรรค
    เมื่อเวลา 20.00 น. นายมิ่งขวัญให้สัมภาษณ์ THE STANDARD Daily ถึงการเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคฝ่ายประชาธิปไตยว่า เมื่อวานตอนเย็นมีการนัดปุ๊บปั๊บว่าจะมีการแถลงข่าว ตนจึงบอกว่าตนไม่ไปแถลงด้วย เพราะมีธุระสำคัญที่ กกต. และเมื่อเช้ามีการแถลงข่าว ก็มีประเด็นว่าพรรคเศรษฐกิจใหม่หายไปไหน ตนชัดเจนไม่มีความจำเป็นต้องขลาดกลัวอะไร  ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจุดยืน  
    เมื่อถามว่า 6 เสียงของเศรษฐกิจใหม่มีค่า พรรคไหนพยายามติดต่อมาหาก่อน นายมิ่งขวัญกล่าวว่า ตนจะอยู่ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็คือจบแล้ว เมื่อถามย้ำว่ายืนยันที่จะเข้าร่วมกับ 7 พรรคการเมืองที่ร่วมเพื่อไทยใช่หรือไม่ นายมิ่งขวัญกล่าวว่า "ครับ ผมตอบให้แล้ว ทั้งนี้ยังไม่ได้ตกลง เขาเพิ่งติดต่อมาเมื่อวานนี้ ผมเป็นคนรักษาคำพูด" 
    ถามว่า นายอุตตมมีติดต่อมาบ้างหรือไม่ นายมิ่งขวัญตอบว่า บางคำตอบตนไม่ต้องตอบใช่ไหม ไม่รู้ คุณไปคิดเอาเอง ตนขอคิดส่วนที่เกี่ยวกับตนดีกว่า การจัดตั้งรัฐบาลยังไงก็ตั้งได้ 
    เมื่อถามอีกว่าฝ่ายไหนจะตั้งได้ นายมิ่งขวัญตอบว่า ถ้าตอบแบบนักการเมืองเขาตอบกัน ผลประกาศการเลือกตั้งยังออกมาไม่ครบ รอให้ประกาศให้ครบก่อน วันนี้เราก็ไปดูคะแนนกันมาเท่าไหร่อย่างไร 
    "เซ็นหรือไม่เซ็น ถ้าคุณเซ็นแล้วไม่รักษาคำพูดจะมีประโยชน์อะไร ซึ่งผมก็บอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าเป็นคนรักษาคำพูด จุดยืนทางการเมืองสำคัญ ไม่อย่างนั้นวันหลังยี่ห้อนี้คุณจะเชื่ออะไร วันนึงบอกอย่างนึงได้ วันนึงบอกอีกอย่างนึงได้ ผมไม่เป็นคนอย่างนั้น" นายมิ่งขวัญกล่าวเมื่อถามว่าจะมีไปเซ็นสัตยาบันร่วมเหมือนพรรคอื่นๆ ด้วยหรือไม่  
    ถามอีกว่า เมื่อจับมือเพื่อไทยแล้วจะสนับสนุนแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทยหรือไม่ นายมิ่งขวัญตอบว่า "อย่าเพิ่งถาม เขาเองยังไม่รู้เลยว่าคิดอะไรอย่างไร ผมยังไม่ได้คุยรายละเอียดกับเขา เขาคิดอะไรอยู่ผมยังไม่รู้ แต่ที่เขาโทร.มาก็ตรงกับที่แถลงข่าว ผมพูดแฟร์ๆตอนเขาแถลงยังไม่รู้ว่ามีชื่อพรรคผม" 
     มีรายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทยเปิดเผยว่า ในการประชุมผู้สมัคร ส.ส. และว่าที่ ส.ส.ได้มีการให้ว่าที่ส.ส.ลงนามในสัตยาบันเป็นแนวร่วมต่อสู้กับพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยไม่เอาเผด็จการ พร้อมทั้งให้ลงนามในหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคไว้ล่วงหน้า ซึ่งจะทำให้ความเป็นสมาชิกภาพ ส.ส.สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (8) ป้องกันการเป็นงูเห่าหันไปสนับสนุนนายกฯ จากพรรคการเมืองอื่น เนื่องจากตอนนี้มีการพูดคุยกันในวง ส.ส.ว่า มีข้อเสนอจากบางพรรคประสานมายังว่าที่ ส.ส.เพื่อไทย รวมถึงพรรคอนาคตใหม่ ให้ยกมือสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ 
    ขณะเดียวกัน นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯหนีคุก ทวีตข้อความว่า “วันนี้รู้สึกดีใจกับประเทศไทย ที่ฝ่ายประชาธิปไตยรวบรวมเสียงได้เกินครึ่งหนึ่งของที่นั่งในสภา ผมออกมาอยู่นอกประเทศกว่า 10 ปีแล้ว ขอทุกฝ่ายอย่าได้ใช้ชื่อผมเป็นเงื่อนไขทางการเมืองใดๆ อีกเลย ผมขอเป็นเพียงกองเชียร์ ให้ประเทศกลับสู่ระบอบประชาธิปไตย เพื่อความผาสุกของคนไทยเท่านั้น"
    ส่วนที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค แถลงถึงความคืบหน้าในการรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลว่า พรรค พปชร.อยู่ในช่วงดำเนินการหารือกับพรรคการเมืองอื่นๆ ที่จะนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาล มีการดำเนินการของเราต้องมีความชัดเจนเรื่องของคะแนนก่อน แต่วันนี้คะแนนเสียงจาก กกต.ยังไม่ได้ออกมาอย่างเป็นทางการ ดังนั้นจะดำเนินการหารือกับพรรคอื่นต่อไป เชื่อว่ายังมีเวลาที่จะหารือดำเนินการให้เกิดความรัดกุม ทั้งนี้ เราได้พูดคุยกับพรรคจำนวนหนึ่ง มีทั้งพรรคขนาดใหญ่และพรรคขนาดเล็ก
    ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้รวมเสียงได้เท่าไรแล้ว นายอุตตมกล่าวว่า ยังอยู่ในกระบวนการ วันนี้ยังไม่มีกลุ่มไหนที่พูดได้จริงว่าได้คะแนนเสียงเท่าไร เพราะ กกต.ยังไม่ได้เปิดเผยออกมาอย่างเป็นทางการ ตอนนี้ใครมาบอกว่าได้คะแนนเสียงเท่าไร จะพูดก็พูดได้ แต่เป็นการเข้าใจของตัวเอง ไม่ใช่ทางการ วันนี้ตัวเลข ส.ส.ยังไม่นิ่งเลย ที่มีการประกาศตั้งขั้ว ตั้งซีก แล้วถ้าได้ใบแดงขึ้นมา มันเปลี่ยนได้เลยเหมือนกัน เรามาทำงานของเราโดยการเตรียมให้พร้อม จนเมื่อตัวเลขนิ่งก็จะสามารถเดินหน้าได้เลย ไม่จำเป็นต้องไปแถลงนู่นนี่นั่น
หยุดวาทกรรมฝ่าย ปชต.
    เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้นายมิ่งขวัญเคยวิพากษ์วิจารณ์นโยบายค่าแรงขั้นต่ำของพรรค พปชร. แล้วจะร่วมรัฐบาลกันได้หรือไม่ นายอุตตมกล่าวว่า การแสดงความเห็นของตัวแทนพรรคการเมืองต่างๆ พูดได้ แต่ถึงเวลาเจรจาพูดคุยกันมันมีเวลาที่จะลงรายละเอียดกว่านั้น เช่นเดียวกับหลายนโยบายของพรรคการเมืองหากต้องร่วมรัฐบาลก็ต้องคุยกันให้เข้าใจกันเสียก่อน
    ด้านนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการ พปชร. กล่าวว่า วันนี้ที่พูดกันบอกรวมเสียงได้ก็ยังไม่รู้ว่าเสียงที่ชัดเจนจริงเท่าไร เพราะ กกต.ยังไม่ได้แถลงชัดเจน พรรคที่บอกได้เท่านั้นเท่านี้ จริงๆ ก็ยังไม่รู้เท่าไร เพราะตัวเลขเปลี่ยนทุกวัน ดังนั้นที่เกิดการรวมตัวกัน เป็นกลไกทางการเมืองเพื่อจะแสดงความชอบธรรม แต่ข้อเท็จจริงความชอบธรรมที่แสดงนั้นยังไม่มีที่มาของข้อมูลที่ถูกยืนยัน เป็นการพยายามช่วงชิง สร้างตัวเองเป็นกลุ่มที่รวบรวมเสียงข้างมากได้ ถ้าดูการแถลงแล้วยังไม่แน่นอนเลยว่าจะมีกี่พรรคเข้าร่วม เป็นเพียงการฉกฉวยบนสถานการณ์ฉุกเฉินที่จะทำให้รู้สึกว่ามีความชอบธรรม ซึ่งกระบวนการยังไม่เสร็จสิ้น ยังไม่มีอะไรเป็นที่ยุติ
     "หยุดได้แล้วกับการอ้างว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้ทุกคนเข้าสู่การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ถ้าไม่ใช่ประชาธิปไตยก็ต้องไม่ลงแข่งขันตั้งแต่วันแรก หากคิดว่านี่คือเผด็จการและการสืบทอดอำนาจ พรรคเหล่านั้นก็ไม่ต้องลงเลือกตั้งครั้งนี้ แต่พรรคเหล่านั้นกลับกระเหี้ยนกระหือรือที่จะเอาชนะการเลือกตั้ง เมื่อผลการเลือกตั้งออกมากลับใช้วาทกรรมประชาธิปไตยเข้าข้างตัวเอง ถามว่าคนเหล่านี้จะไม่เคารพเสียงประชาชนที่เลือก พปชร. 7.9 ล้านเสียงเลยหรือ 7.9 ล้านคนที่ไม่ได้ไปแถลงข่าววันนี้ไม่ใช่ฝั่งประชาธิปไตยหรือ เป็นการดูถูกพี่น้องประชาชน อ้างประชาธิปไตยเพื่อสร้างความแตกแยกในบ้านเมือง ไม่ใช่ประชาธิปไตยเพื่อประโยชน์สุขของบ้านเมือง แต่เพื่อพวกพ้อง อยากวิงวอนขอให้หยุด พปชร. เดินตามครรลองประชาธิปไตย เพียงแต่เห็นว่าบุคคลที่เหมาะสมในสถานการณ์นี้คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายสนธิรัตน์กล่าว
    มีรายงานข่าวแจ้งว่า การจัดตั้งรัฐบาลฝั่ง พปชร.ขณะนี้มี 116 เสียง ยังเดินสายนัดเจรจาพูดคุยเป็นการภายในของแกนนำพรรค โดยยังไม่มีการแถลงข่าวใดๆ เนื่องจากเข้าสู่ช่วงงานพระราชพิธีฯ แล้ว ยังมีเวลา แต่ที่น่าลงตัวไม่มีปัญหาแล้วคือในส่วนของพรรคภูมิใจไทย 51 เสียง, ชาติพัฒนา 3 เสียง, ชาติไทยพัฒนา 10 เสียง, รวมพลังประชาชาติไทย 5 เสียง,  พลังท้องถิ่นไท 3 เสียง ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ขณะนี้รอเพียงการตัดสินใจของนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคเท่านั้น ส่วนพรรคเล็ก นายอุตตม นายสนธิรัตน์ และแกนนำพรรค นัดพูดคุยเพื่อเก็บจำนวนให้มากที่สุด อย่างรักษ์ผืนป่าประเทศไทย 2 เสียง, พลังธรรมใหม่ 1 เสียง, ไทยศรีวิไลย์ ประชาภิวัฒน์ รวมทั้งรอลุ้นใบเหลือง ใบแดง 
    ส่วนท่าทีพรรคภูมิใจไทย นายศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนสมาชิกพรรค เดินทางมาที่พรรค และให้สัมภาษณ์กรณีมีกระแสข่าวว่า พท.อาจเสนอชื่อนายอนุทินเป็นนายกฯ ว่า เป็นการกระทำของฝั่งเขา แต่ยืนยันพรรคยังมีจุดยืนเดิมคือจะรอการประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการจาก กกต. และเรื่องการตัดสินใจทางการเมืองของพรรคนั้น เป็นเรื่องของหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค ส่วนกรณี 6 ผู้นำพรรคการเมืองประกาศจัดตั้งรัฐบาล ไม่ขอแสดงความเห็น ขณะนี้การเมืองยังไม่เริ่มนับหนึ่ง เพราะยังนับคะแนนไม่เสร็จ จึงขอให้ใจเย็นๆ ตามกฎหมายการรับรองผลการเลือกตั้งวันสุดท้ายคือวันที่ 9 พ.ค. ดังนั้น ภท.จะรอจนถึงวันสุดท้าย
ปชป.เสียงแตกแบ่งสองฝ่าย
    "โหมดของประเทศหลังจากนี้ ควรโฟกัสไปที่พระราชพิธีสำคัญของประเทศ การเลือกตั้งเสร็จสิ้นแล้ว ถ้าพบว่าที่ไหนต้องจัดเลือกตั้งใหม่ กกต.ก็ต้องจัดการ  พรรคภูมิใจไทยไม่มีความเห็นเรื่องนี้จนกว่าจะมีการประกาศผลอย่างเป็นทางการ" นายศุภชัยกล่าว
    มีรายงานว่า นายอนุทินยังไม่แสดงท่าทีใดๆ ส่วนกระแสข่าวว่า ภท.จะไปสนับสนุนขั้วไหนนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะทั้งหมดต้องรอให้ กกต.ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการก่อน 
    ในส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีความเห็นแบ่งเป็นสองฝ่ายคือ ฝ่ายไม่เข้าร่วมรัฐบาลตามจุดยืนของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค ที่ไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจ ไม่ร่วมกับพรรค พปชร. ซึ่งเป็นแนวคิดเดียวกับนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค ตลอดจนแกนนำอาวุโสของพรรค อาทิ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช, นายบัญญัติ บรรทัดฐาน,  นายเทอดพงษ์ ไชยนันทน์ และสมาชิกพรรคส่วนใหญ่ ขณะที่อีกฝ่ายคือฝ่ายที่พร้อมจะเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรค พปชร.
    ทั้งนี้ มีการเช็กยอดว่าที่ ส.ส.ที่สอบผ่านและรอการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งจาก กกต. โดยฝ่ายที่จะร่วมรัฐบาลส่วนใหญ่อยู่ในปีกอดีต กปปส.เดิมที่กลับมาทำงานในนามพรรค ขณะนี้รวมได้ 18-20 คน อาทิ นายถาวร เสนเนียม ว่าที่ ส.ส.สงขลา, นายชุมพล จุลใส ว่าที่ ส.ส.ชุมพร โดยว่าที่ ส.ส.กลุ่มนี้นัดหมายรวมตัวเพื่อหารือที่โรงแรมแห่งหนึ่งในช่วงเที่ยงของวันที่ 28 มี.ค.นี้ เพื่อยื่นข้อเสนอให้ที่ประชุม กก.บห.พรรคในวันที่ 29 มี.ค. ชะลอการตัดสินใจทางการเมืองโดยให้มี กก.บห.ชุดใหม่และหัวหน้าพรรคคนใหม่มานำพาพรรค โดยมีการล็อบบี้หาสมาชิกที่สอบได้มาสมทบเพื่อร่วมเป็น กก.บห.พรรคชุดใหม่ และร่วมโหวตเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ 
    ทางด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ให้สัมภาษณ์กรณีนักวิชาการระบุว่าหาก พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นนายกฯ ต่อ จะอยู่ไม่ครบวาระตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้อยู่ในตำแหน่งได้ 2 วาระ เพราะนับรวมกับการที่เป็นนายกฯ มาแล้ว 5 ปีว่า ตามที่รัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย.2561 ก็ถือว่าข้อถกเถียงนี้เป็นข้อยุติ เพราะไม่ใช่การนับถอยหลังไป 5 ปี และสามารถเป็นได้ 8 ปีถ้าเริ่มใหม่
     เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยแถลงข่าวรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาล 251เสียง นายวิษณุกล่าวว่า ก็เป็นเรื่องของเขา ใครที่คิดว่าตัวเองมีความพร้อมที่จะทำและช่วงชิงอะไรก็ทำไป แต่ไม่ได้มีผลจริงจังอะไร มีผลด้านจิตวิทยาและการรับรู้ของสังคมในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่จะสิ้นสุดและยุติไม่ได้ เพราะผลอย่างไม่เป็นทางการเพียง 95 เปอร์เซ็นต์เพิ่งจะประกาศไป ยังมีที่เหลืออีกหลายคะแนนอยู่ และจากนี้จะต้องมีการดำเนินคดีและดำเนินการอีกหลายเรื่อง เพราะมีผู้มาร้องเรียนเรื่องการเลือกตั้งหลายรายที่จะต้องมีการตรวจสอบก่อน ฉะนั้นทั้งหมดจึงยังไม่มีความแน่นอนอะไร ขนาดจับมือรับปาก ลงชื่อตามสัตยาบัน ก็อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ 
     นายวิษณุกล่าวว่า การโหวตเลือกนายกฯ จะทำได้ช่วงปลายเดือน พ.ค. จนถึงต้นเดือน มิ.ย. และหากเลือกรอบแรกได้ ก็จะจบเร็ว แต่หากต้องเลือกรอบสองรอบสามจะเกิดขึ้นในวันนั้นหรือวันถัดไปก็ได้ 
    พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กล่าวกรณีพรรคเพื่อไทยจะรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลว่า ยังไม่สามารถตั้งได้ เพราะ กกต.ยังไม่รับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ส่วนจะเกิดขึ้นได้เมื่อไหร่ ยังไม่รู้ แต่ต้องหลังวันที่ 9 พ.ค.ไปแล้ว ส่วน พปชร.มีการมาหารือ ตนไม่ได้เกี่ยวข้องการเมือง ไม่ได้เกี่ยวอะไร มีหลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองมีตั้งเยอะแยะ ทำไมต้องมาหาตน ตนไม่ยุ่ง 
    เมื่อถามว่า ควรจัดตั้งรัฐบาลก่อนหรือหลังงานพระราพิธีบรมราชาภิเษก พล.อ.ประวิตรบอกว่า ต้องจัดตั้งหลังงานพระราชพิธีฯ เสร็จแล้ว เมื่อถามต่อว่าพรรคที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ก็ควรต้องรอหลังงานพระราชพิธีฯ ด้วยใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “ไม่รู้ แต่ที่เราวางแผนไว้ก็อย่างนั้น แต่ยังไง ผมไม่รู้เรื่องหรอก”. 

ชัดเจนจากมิ้งขวัญไม่ไปกับเพื่อไทย



27 มี.ค.62- นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ แถลงข่าวเปิดใจที่  THE STANDARD Daily ว่า สาเหตุที่ไม่ไปร่วมแถลงข่าวกับ 6 พรรคว่า ยืนยันสถานภาพทางการเมืองมีเงื่อนไขนิดเดียว ใครก็ตามที่บอกว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย  ถ้าคุณไม่ซื่อสัตย์สุจริต ผมจัดการเอง

ผมจะอยู่ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข  นี่ก็คือจบแล้วไง จะให้ผมพูดอะไรมากกว่านี้อีก"

ถามว่า ยืนยันว่าจะเข้าร่วมกับ 7 พรรคใช่หรือไม่ นายมิ่งขวัญ ตอบว่า “ครับ อยากได้แค่นี้ใช่ไหม ก็ตอบแล้วไง”

นายมิ่งขวัญกล่าวว่า จัดตั้งรัฐบาลได้แน่นอน จะเงื่อนไขอะไรเดี๋ยวค่อยว่ากัน  นับคะแนนไม่เสร็จให้ประกาศคะแนนก่อนซิ 

หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ยังพูดถึงการลงสัตยาบันว่า  เซ็นหรือไม่เซ็นหรือไม่ถ้าคุณเซ็นและคุณไม่รักษาคำพูดจะมีประโยชน์อะไร  จุดยืนทางการเมืองก็สำคัญ ไม่งั้นวันหลังยี่ห้อนี้จะเชื่อถือได้อย่างไร วันหนึ่งบอกได้วันหนึ่งบอกไม่ได้ผมไม่เป็นคนอย่างนั้นนะครับ

เขายังพูดถึงการแถลงข่าวของ  6 พรรคว่า  คุณอ้วนภูมิธรรม จู่ๆก็มีคนมา ต่อโทรศัพท์ให้พูด คุณอ้วนบอกว่าพรุ่งนี้แถลงข่าว ผมบอกไปไม่ได้ นัดผู้ใหญ่ไว้  บอกตรงๆนะผมไม่คิดว่าเขาแถลงข่าวแล้วจะประกาศชื่อพรรคผมไป

นอกจากนี้ประเด็นการชูใครเป็นนายกฯนั้น นายมิ่งขวัญตอบว่า ไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย และยังไม่ได้ตกลงอะไรกับใคร. 

ไม่ขาดทุน

ครั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์ประสบความพ่ายแพ้อย่างยับเยิน

แพ้ทั้งจำนวน ส.ส. แพ้ทั้งฐานคะแนน แพ้แบบเสียรูปมวย

เก้าอี้ ส.ส.ภาคใต้ 50 เขต ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์เคยผูกขาดตลอดกาล

โดนพรรคอื่นรุมเจาะไข่แดงไปถึง 28 เขต

สนามปักษ์ใต้ไม่ใช่ “ของตาย” ของพรรคประชาธิปัตย์อีกต่อไป

ที่ปวดตับหนักมากคือ สนามกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นฐานกำลังหลักของพรรคประชาธิปัตย์มาช้านาน

พรรคประชาธิปัตย์ สอบตกหมดเกลี้ยง ไม่เหลือทำยาแม้แต่คนเดียว

เก้าอี้ ส.ส. กทม. 30 เขต โดนพรรคพลังประชารัฐสะง่อมไป 12 เขต โดนพรรคเพื่อไทยซิวไปอีก 9 เขต และโดนพรรคอนาคตใหม่สอยไปอีก 9 เขต

แพ้พลิกล็อกยิ่งกว่ารถไฟเหาะตีลังกา

“แม่ลูกจันทร์” เชื่อว่าความพ่ายแพ้ครั้งนี้ เป็นโอกาสดีที่พรรคประชาธิปัตย์จะได้สำรวจจุดอ่อนจุดด้อยของตัวเองอย่างจริงจัง

ยังไม่สายเกินเพลที่พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเก่าแก่ที่สุดในสนามการเมืองไทยจะฟื้นกลับมาแข็งแกร่งอย่างเดิม

แต่ปัญหาสำคัญเร่งด่วนที่สุดที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องชั่งใจให้ดีๆ มี 2 ประเด็น

1, การเฟ้นหาหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ แทนอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่จะนำทัพประชาธิปัตย์จากความตกต่ำกลับสู่ความยิ่งใหญ่โดยเร็ว

2, การตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมรัฐบาลขั้วไหน ที่จะสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาให้พี่น้องประชาชนกลับมาหนุนหลังพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป

นี่คือ 2 ย่างก้าวสำคัญ ที่แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ต้องไตร่ตรองให้รอบคอบรัดกุม

เพราะหากเดินผิดทิศ ก้าวผิดทาง พรรคประชาธิปัตย์จะเสียรังวัดหนักขึ้นเป็นทวีคูณ

“แม่ลูกจันทร์” ขอเริ่มประเด็นแรก จะเฟ้นหาใครมาเป็นแม่ทัพใหญ่คนใหม่ ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม มีความเป็นผู้นำเข้มแข็งเท่ากับ หรือดีกว่าแม่ทัพคนเก่าที่แพ้สงคราม

นายกรณ์ จาติกวณิช ตัวเก็งเบอร์หนึ่ง แม้มีคุณสมบัติเหมาะสมกว่าใครในพรรคก็จริง

แต่ยังไม่ใช่คนที่มั่นใจว่าจะกอบกู้พรรคประชาธิปัตย์ช่วงขาลงให้กลับมาเป็นขาขึ้นรวดเร็วทันใจ

พูดกันตามตรง นายกรณ์ ยังไม่โดดเด่นแหลมคมเท่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่เป็นคู่แข่งคนสำคัญในสนามการเมือง

“แม่ลูกจันทร์” ข้ามไปถึงประเด็นการตัดสินใจเลือกจับขั้วเป็นรัฐบาลกับขั้วพรรคพลังประชารัฐ? หรือขั้วพรรคเพื่อไทย?

นี่คือก้าวย่างสำคัญที่จะมีผลถึงอนาคตพรรคประชาธิปัตย์ในระยะยาว

ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะตัดสินใจจับขั้วไหนเป็นรัฐบาลก็มีแต่ “ขาดทุน”

“แม่ลูกจันทร์” จึงขอเสนอทางเลือกที่ดีที่สุดของพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่ได้กำไร แต่ไม่ขาดทุน

คือยืนโด่เป็นขั้วอิสระ ไม่เลี้ยวซ้ายไม่เลี้ยวขวา ไม่ร่วมรัฐบาลกับขั้วใด

เพราะพรรคประชาธิปัตย์ได้ประกาศตัวเป็นขั้วที่ 3 ก็ต้องยืนหยัดเป็นขั้วที่ 3 อย่างมั่นคง

ใครจะดึงไปทางไหน ก็ไม่รับนิมนต์

ใครจะเสนอตำแหน่งอะไรให้ ก็ไม่รับประเคน

ไม่เป็นฝ่ายรัฐบาล ไม่เป็นฝ่ายค้าน ขอเป็นขั้วที่ 3 ในสภาฯ

แบบนี้เข้าท่ามั้ยโยม.

“แม่ลูกจันทร์”


แค่มเกมชิงรัฐบาลลม

ลิเกแข่งเปิดวิกแย่งคนดู

ตามฉากออกแขก โหมโรงก่อนโดยคณะดูไบ พรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ พรรคเสรีรวมไทย พรรคเพื่อชาติ พรรคประชาชาติ พรรคพลังปวงชนไทย จับมือโหนประชาธิปไตย จัดรัฐบาลผสมเสียงเกิน 250 ที่นั่ง

ตั้ง “รัฐบาลลม” จากตัวเลขคร่าวๆตามสื่อมวลชน

ก่อนคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะประกาศผลเลือกตั้งอย่างเป็นทางการวันที่ 9 พฤษภาคม

อารมณ์แบบที่มวยเก๋าเกมการเมืองระดับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ อ่านไต๋แค่เกมจิตวิทยา เพราะกว่า กกต.จะประกาศผลเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ กระบวนการโหวตนายกรัฐมนตรีจะทำได้ก็ปลายเดือนพฤษภาคมหรือต้นเดือนมิถุนายน

ในมุมแบบที่เบอร์หนึ่งฝ่ายความมั่นคง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม แตะเบรกเกมโหมโรงแย่งตั้งรัฐบาลของทีมดูไบ ต้องรอ กกต.ประกาศผลเป็นทางการ

โดยความเหมาะสม ควรรอหลังพระราชพิธีสำคัญ

ทั้งนี้ทั้งนั้น โดยปรากฏการณ์มันสะท้อนหน้าไพ่ “ทักษิณ” เกหมดหน้าตัก งานนี้ยอมไม่เอาเก้าอี้นายกฯ ไม่สนโควตารัฐมนตรี โยนผลประโยชน์ให้พรรคร่วมรัฐบาล เพื่อแลกกับยุทธการหัก คสช. ล้มขั้วอำนาจ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ให้ได้

ประตูสุดท้ายที่จะนิรโทษกรรม เปิดเส้นทางกลับประเทศไทย

แต่ฉากลิเกดูไบก็ขาดตัวเอกตามท้องเรื่องนัดไว้ไม่มา คิวของนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ ส่งแค่คำสัญญาลอยๆมาร่วมแถลงจับมือมัดข้าวต้ม แต่ตัวล่องหน ไม่แน่ใจเพราะปัญหาทางเทคนิค หรือเพิ่งหวนรำลึกอดีตที่เคยโดน “นายใหญ่” สั่งดองเค็มจนหมดอนาคตในพรรคเพื่อไทย

งานนี้ “มิ่งขวัญ” โชว์ความเก๋า ไม่รีบทิ้งไพ่ หักมุมกับโคตรเซียนการตลาดขวัญใจ

“เจนอัลฟา” อย่าง “ไพร่หมื่นล้าน” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่แสดงความเป็นมือใหม่หัดขับทางการเมือง เป็นแค่หมากในกระดานเดินตามเกมแห่กระแสของทีมดูไบ

หงายไพ่ โชว์แต้มล่อนจ้อนตั้งแต่เริ่มกระดาน

แค่หวังสร้างกระแสกดดัน 250 ส.ว. ในขั้นตอนโหวตหนุน “นายกฯลุงตู่”

ทั้งๆที่รู้กันอยู่ ว่ากันตามกติการัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 272 ตามเงื่อนไขสถานการณ์ทางกฎหมายมันต้องวนมาเข้าทางฝั่งหนุน “นายกฯลุงตู่” ตีตั๋วต่อ

ตัวเลข 250 ส.ว.บวกกับแต้มของพลังประชารัฐและพรรคแนวร่วม เกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภาคือ 376 เสียง

ไม่นับปรากฏการณ์ใบแดง ใบเหลือง ใบดำ ที่ กกต.จะแจกพวกตุกติกเลือกตั้ง ตามข้อมูลลึกไม่ต่ำกว่า 20 ใบ ทำให้แต้ม ส.ส.ของแต่ละพรรคสมการตัวเลขรัฐบาลเปลี่ยนอีกเยอะ

นั่นจึงไม่แปลกที่จับทางฝั่งหนุน “ลุงตู่” เน้นสงบสยบความเคลื่อนไหว

เพราะคนกำหนดเกมไม่ใช่ดูไบ แต่เป็นฝั่งคุมเกมอำนาจในเมืองไทย

เอาเป็นว่า เช็กข่าววงในปมซีเรียสของฝั่งหนุน “นายกฯลุงตู่”

ติดอยู่แค่คนชื่อ “ชวน หลีกภัย” ผู้คุมกฎของค่ายประชาธิปัตย์ ที่กำลังอารมณ์ค้างผิดหวังกับผลการเลือกตั้ง

ยังไม่เซย์เยส เซย์โน ในการร่วมรัฐบาลกับ พล.อ.ประยุทธ์

ถ้าถึงจุดนายชวนเล่นบทเฮี้ยว ไม่ออกซ้าย ออกขวา นั่นเท่ากับลากบ้านเมืองไปติดล็อก

เสียงในสภาผู้แทนราษฎรที่หนุน พล.อ.ประยุทธ์จะก้ำกึ่งมาก เพิ่มโจทย์ยากให้ทีมหนุน “นายกฯลุงตู่” ต้องออกแรงไล่จับไล่ต้อน “งูเห่า” มาเติมสมการ

ตามรูปการณ์ ประชาธิปัตย์นั้นมีแน่ๆจากจำนวน ส.ส.ที่สอบได้ ส่วนใหญ่เป็นสายที่อิงอยู่กับ “ลุงกำนัน” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำพรรครวมพลังประชาชาติไทย

ไม่ต่ำกว่า 30 คน ที่พร้อมโหวตให้ “นายกฯลุงตู่”

และจากปรากฏการณ์ในอดีตที่มีการฉีก “เนวิน ชิดชอบ” ออกจาก “ทักษิณ” ก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ กับ “มิสชันอิมพอสซิเบิล” การไล่จับงูเห่าในฝั่งของทีมดูไบในพรรคเพื่อไทย ไม่เว้นทีมอนาคตใหม่

ที่เต็มไปด้วย ส.ส.โนเนม มาเพราะกระแส เป็นแค่รอบเดียวจบ

หรือถึงที่สุดกับไพ่ใบสุดท้ายที่ทีม “ลุงตู่” ถืออยู่ในมือ ยอมเป็นนายกฯรัฐบาลเสียงข้างน้อย

ถึงจังหวะไปต่อไม่ได้ ยุบสภา ล้มกระดานเลือกตั้งกันใหม่

ในเครื่องหมายคำถาม วัดใจพวกที่ลุยกันยังไม่หายเหนื่อยใครอยากเลือกตั้งใหม่ ไม่ใช่แค่ฝั่งตรงข้าม แต่มันยังเป็นหมากกระตุกพรรคร่วมรัฐบาลที่จ้องกดดันต่อรองในสถานการณ์เสียงปริ่มน้ำ

ตามเงื่อนไข “นายกฯลุงตู่” ต้องยึดพระบรมราโชวาท ร.9 ส่งเสริมให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง

ล็อกสเปกรัฐมนตรีต้องมีมืออาชีพผสมกับนักการเมืองน้ำดีให้รัฐบาลดูหล่อสมกับรัฐบาลเปลี่ยนผ่าน

ตามรอยยุครัฐบาล “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์.

ทีมข่าวการเมือง

ยังไม่จบ

การเมืองคือการต่อรอง!!

“วิษณุ เครืองาม”  ยก สูตร ตั้งรัฐบาล”ป๋าเปรม” เตือน “พรรคเพื่อไทย และพรรคฝ่ายประชาธิปไตย” ที่ชิงแถลงข่าว จัดตั้งรัฐบาลก่อน  ชี้ฝ่ายพรรคที่ได้เสียงมากสุด อาจเป็นฝ่ายค้าน  ชี้ การแถลง แค่มีผลทางจิตวิทยา ให้สังคมรับรู้เท่านั้น  ข่าวรายวัน แต่ที่สุด ก็ยังยุติไม่ได้ เพราะ กกต.แค่ประกาศผลเลือกตั้ง อย่างไม่เป็นทางการ ยังที่เหลืออีก5% ก็หลายคะแนน แถมอาจโดน “สอย”เจอใบเหลือง ใบแดง ใบส้ม อีก เหตุมีร้องเรียนกว่า 100 ราย 

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีและฝ่ายกฎหมายคสช. กล่าวถึงการที่ พรรคเพื่อไทย และพรรคฝ่ายประชาธิปไตย” ชิงแถลงข่าว จัดตั้งรัฐบาลก่อน ว่า ชี้ การแถลง แค่มีผลทางจิตวิทยา ให้สังคมรับรู้เท่านั้น แต่ที่สุด ก็ยังยุติไม่ได้ เพราะ กกต.แค่ประกาศผลเลือกตั้ง อย่างไม่เป็นทางการ ยังที่เหลืออีก5% ก็หลายคะแนน

อีกทั้งต้องมีการดำเนินคดีและตรวจสอบกว่า 100 ราย ที่มีการร้องเรียน  และ ต้องมีการให้ใบส้ม ใบเหลือง ใบแดง อีก

ดังนั้น ยังไม่มีความแน่นอนอะไร แต่เพราะ คนใจร้อน อยากรู้อยากเห็น แค่ให้เกิดการรับรู้ แบบรายวัน 

พร้อมยกตัวอย่าง ในอดีต. เมื่อสมัย พลเอกเปรม ติณสูลานนท์  เมื่อยุบสภาเลือกตั้ง พรรคเสียงข้างมากที่สุด ก็ชิงจัดตั้งรัฐบาลก่อน 

แต่ในระหว่างนั้น พรรคที่ได้คะแนนสูงลดหลั่นกันไป ก็จับมือกัน และทำหนังสือให้ประธานสภาฯ รวบรวมกลายเป็นเสียงข้างมาก แล้วจัดตั้งรัฐบาล  ให้ พลเอกเปรม เป็น นายกฯ พรรคที่ได้เสียงข้างมากที่สุดกลายเป็นฝ่ายค้าน

ในทางการเมือง แม้ จะมีการ รับปากลงชื่อ ทำสัตยาบันอะไรกันแล้ว ก็ยังเปลี่ยนแปลงได้

แต่ละวัน เล่นข่าวลุ้นไปทุกวัน
นายกฯถึงบอกว่า ให้พวกมีหน้าที่ ส่วนได้เสียทำกันไป  รัฐบาลจะดำเนินการ งานพระบรมราชาภิเษก

เพราะขั้นตอนสำคัญอยู่ที่ในสภาฯ โดยนายกรัฐมนตรีก้อนอยู่ในจำนวน 10 กว่าคนที่มีอยู่ที่เราเห็นชื่อกัน นอกจากเมื่อถึงทางตัน จึงจะมีนายกฯคนนอก

ทั้งนี้มาตรา272  ได้วางไว้หลายขั้นตอน ไม่ว่าจะเอาไปขัง ล็อคตัว หรือไปฆ่า ก็ตาม ก็ยังเป็นคนที่ได้รับการเสนอชื่อและมีผู้รับรองการเสนอชื่อ แล้วโหวตทั้งสภา

คณะกรรมการการเลือกตั้ง จะประกาศผลอย่างเป็นทางการ 9 พฤษภาคม หลังจากนั้นใน 3 วัน จะมีทูลเกล้าฯ ถวายชื่อสมาชิกวุฒิสภา

เมื่อมีพระบรมราชโองการออกมา
ใน15 วัน จะกราบบังคมทูลเชิญเสด็จ เปิดสภาฯ ด้วยในวันนั้นควรจะเป็น
สส.และสว.ใหม่ เข้าเฝ้าฯ 

จากนั้นจะเป็นการเลือกประธานสภาฯ 
เมื่อ โปรดเกล้าฯแต่งตั้งประธานสภาก่อนที่จะมีการเรียกประชุมและให้มีการปฎิญาณตน จากนั้นเรียกประชุมเพื่อมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี คาดมนช่วง ปลาย พค.-ต้น มิย.ก็อาจจะมีทั้งรอบแรก รอบ2 รอบ3 จนกว่าจะได้นายกรัฐมนตรี

จากนั้น มี โปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แล้วนายกคนใหม่ก็ไปจัดตั้งคณะรัฐมนตรี 35 คน

การเมืองเป็นเรื่องของการต่อรองบางครั้งโหวตเลือกนายกฯ แล้ว แต่อาจไม่ร่วมรัฐบาล บางคนเลือกนายกรัฐมนตรีแล้ว แต่ไม่พอใจก็ออกไปเป็นฝ่ายค้าน

บางครั้งก็เป็นกรณีของผีถึงป่าช้าแล้วค่อยมาร่วมสมทบเป็นรัฐบาลทีหลัง ก็ได้

นี่ เป็นความยากของคนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี และต้องแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีและตำแหน่งต่างๆอีกมากมาย ขึ้นอยู่กับการเจรจาพูดคุยต่อรองกัน

บางครั้งบางพรรคการเมืองเสนอชื่อนายกฯ1-2-3 มา แต่ก็เททิ้งทั้งหมด เอาคนที่4 มาก็ได้ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่ประชาชนต้องตามให้ทัน

ทั้งนี้เมื่อมีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง คณะรัฐมนตรีชุดใหม่แล้ว นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนแล้ว. รัฐบาล คสช. และ อำนาจมาตรา 44 ก็จะจบลงไปในเวลาเดียวกัน