PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2558

มติ กมธ.ยกร่าง รธน. ห้ามตั้งองค์กรได้เงินจากภาษีบาปเพิ่ม

มติ กมธ.ยกร่าง รธน. ห้ามตั้งองค์กรได้เงินจากภาษีบาปเพิ่ม ให้เขียน กม.ลูกกำหนดเพดานงบ "สสส.-ไทยพีบีเอส-กองทุนกีฬา"
-----
เมื่อวันที่ 10 ส.ค.2558 กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน ได้พิจารณาเนื้อหาร่าง รธน.ในช่วงโค้งสุดท้าย หนึ่งในประเด็นสำคัญ ก็คือกรณีที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ขอให้เขียนไว้ในร่าง รธน. 2 ประเด็น
1.ไม่ให้ตั้งองค์กรที่ใช้ระบบ Earmark Tax เพิ่มเติม โดยเฉพาะองค์กรที่ได้งบจากภาษีบาป
2.องค์กรที่มีอยู่แล้ว 3 องค์กร คือ สสส. ไทยพีบีเอส และกองทุนกีฬาแห่งชาติ ให้ได้งบจากภาษีบาปต่ออีก 3 ปี ก่อนเข้าสู่ระบบงบประมาณปกติ
โดยที่ประชุม กมธ.ยกร่างฯ ได้พิจารณาประเด็นดังกล่าว ก่อนมีมติให้เขียนไว้ในร่าง รธน. ว่าจะไม่ตั้งองค์กรที่ใช้ภาษีบาปขึ้นมาใหม่ ส่วนองค์กรที่มีอยู่แล้ว ทั้ง 3 องค์กร จะให้มีการออกกฎหมายลูกมากำหนด "เพดาน" งบที่ได้จากภาษีบาป ภายใน 2 ปี
ทั้งนี้ องค์กรที่ใช้ระบบ Earmark Tax ที่โดดเด่นก็คือ สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) ซึ่งจัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. 2544 ได้รับงบจากภาษีบาปในอัตรา 2% จากภาษีการขายเหล้าและบุหรี่
โดยในปี 2557 สสส. ได้รับงบจากภาษีบาป เป็นเงิน 4,064 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2545 ที่ได้รับงบจากภาษีบาป เป็นเงิน 1,526 ล้านบาท คิดเป็น 266%
อย่างไรก็ตาม สสส. อ้างว่า มีผลการดำเนินที่ทำให้จำนวนคนสูบบุหรี่และดื่มเหล้าลดลงอย่างเป็นรูปธรรม ตลอดระยะเวลา 13 ปีที่ผ่านมา

08082558 'อดออม-อดใจ' ในทางวิบาก เปลว สีเงิน

08082558 'อดออม-อดใจ' ในทางวิบาก เปลว สีเงิน
"เป็นช่วงเวลาที่เราต้องมีสติในการคิดและเชื่ออย่างมีเหตุมีผลในการตัดสินใจ........."
ครับ...พูดได้ประเสริฐ ก็อยากให้เจ้าของคำพูดคือ "นายกฯ ประยุทธ์" พูดคำนี้กับตัวเองทุกครั้ง ก่อน พูด-คิด-ทำ!
เมื่อวาน (๗ ส.ค.๕๘) พูดหลายเรื่อง สังเกตว่า ระยะหลังๆ ท่านจะ "ใช้สติ" ประกอบการพูดและคิดละเมียดขึ้น ด้วยเย็นลง
อาจเริ่มชิน ต่อปฏิกิริยาดีดกลับของนักข่าวที่ "โต้-แย้ง-แยง-แหย่" ผิดกับทหารในค่าย ที่ผู้บังคับบัญชาสั่งอะไรแล้ว พูดได้ ๒ คำเท่านั้น
ครับ..รับปฏิบัติ!
แสดงว่า "สนิมการเมือง" เริ่มจับ ยิ่งพูดเรื่องสติคิด ผมก็อยากให้ท่านใช้คำถามกวนโอ๊ย เป็น "อารมณ์กรรมฐาน" เพื่อไม่โกรธ แล้วตอบแบบคมขาด-บาดลึก อย่างที่ตอบระยะหลังๆ นี่แหละ
ด้วยเหตุผลแห่งการใช้สติก่อนพูด-คิด ผมจึงเชื่อ "ด้วยความเชื่อใจ" ในเรื่องที่ท่านพูด ๒-๓ เรื่อง เมื่อวาน
เรื่องแรก....
การถอดยศทักษิณ
"หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังทำงานกันอยู่ ต้องมีขั้นตอนของเขา ก่อนหน้านี้พูดเร็วกันไปหน่อยว่าจะทำได้ แต่ในความจริงต้องมีคณะกรรมการตรวจสอบอีกครั้ง ผมมอบให้กระทรวงยุติธรรมไปติดตามเรื่องดังกล่าว
ไม่ว่าจะถอดถอนวันนี้ หรือวันไหน ก็เหมือนกัน เพราะวันนี้เขาก็กลับมาประเทศไทยไม่ได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เดี๋ยวถ้ามันถอดได้ ก็ถอดเท่านั้นเอง"
สรุปว่า...ถอดแน่!
เรื่องที่สอง.......
ผบ.ตร.คนใหม่
"..........ไม่ว่าจะตั้งใครขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ก็ไม่ต้องกังวล เพราะผมเป็นคนดูอยู่แล้ว...ผมเป็นคนตัดสินใจในการเลือก...ไม่มีสัญญาใจอะไรกับใคร คราวที่แล้วผมก็เป็นคนตั้ง ครั้งนี้ผมก็เป็นคนตั้งอีก...สัปดาห์หน้าก็คงจะได้ตัว ผบ.ตร.ใหม่"
สรุปว่า...พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ผบ.ตร.คนใหม่ ไม่พลิก!
เรื่องที่สาม.....
ผบ.ทบ.คนใหม่
"ผมมีอยู่ในใจมาตั้งนานแล้ว ทหารเขาไม่ได้ตั้งแค่วันนี้พรุ่งนี้ ทุกอย่างต้องมีการวางพื้นฐานไว้ ไม่ใช่ว่าวันนี้จะเอาใครก็ได้ ต้องมีการเตรียมการ ผมจึงบอกว่า การจะไปตั้งคนวันนี้ เพื่อจะให้ทำงานให้เราวันนี้ มันไม่ใช่
ก็ต้องไปดูคนทั้งหมด ถ้ามีปัญหาก็บอกกัน พูดคุยกัน ทำทุกอย่างออกมาให้ดี ภายใต้ความไว้เนื้อเชื่อใจจากประชาชน ถือเป็นเรื่องสำคัญ รัฐบาลก็พยายามที่จะทำ แต่หลายคนก็ยังไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ หาว่าผมต้องการอำนาจ ต้องการอยู่ต่อ แต่ก็ต้องยอมเพื่อน ยอมพี่ หรือยอม พล.อ.ประวิตร เขียนนิยายกันไปเรื่อย
ทุกคนให้เกียรติผมทั้งหมด ผมเป็นคนตัดสินใจทุกเรื่อง ในเมื่อผมบอกแล้วว่า ผมเป็นคนรับผิดชอบ เพราะฉะนั้น ทุกอย่างผมเป็นคนตกลงใจและตัดสินใจ มันจะดีหรือไม่ดีก็ผมทั้งนั้น"
สรุปว่า....ผบ.ทบ.คนใหม่ พลเอกธีรชัย นาควานิช ลงตัว!
เรื่องที่ ๔.....
ฟ้องแพ่งยิ่งลักษณ์ เรียกค่าเสียหายจำนำข้าว ๖ แสนล้าน
เรื่องนี้ นายกฯ ลุงตู่ไม่ได้พูด รองนายกฯ "วิษณุ เครืองาม" เป็นผู้พูด คือหลังจากนายวิชา มหาคุณ และ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช.บอกว่า โครงการจำนำข้าวรัฐบาลยิ่งลักษณ์เสียหายเกินกว่า ๖ แสนล้านบาท
รัฐบาล "ในฐานะผู้เสียหาย" จะต้องฟ้องแพ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เรียกค่าเสียหายในจำนวนนี้ด้วย!
ก่อนหน้า รองวิษณุเคยยกประเด็น "เงินค่าธรรมเนียม" ในการฟ้องแพ่ง เชิงถอดใจ ว่า..มันมากนะ เป็นพันล้าน น่าเสียดาย
ความจริง ไม่ต้องพูดประเด็นเงินค่าธรรมเนียมให้ไขว้เขว เพราะลงท้าย ไม่ว่าแพ้-ชนะ เงินก้อนนั้น ศาลท่านก็ส่งกลับเข้าคลังอยู่ดี!
ถึงตอนนี้ ประตูเลี่ยง "ปิดตาย" ยังไงๆ รัฐบาล คสช.ก็ต้องฟ้องแพ่งยิ่งลักษณ์ด้วย ไม่งั้น ต่อไป...รัฐบาล คสช.เอง จะถูกฟ้องมาตรา ๑๕๗ ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่
เมื่อวาน ท่านรองฯ จึงมี "ลีลาวิษณุเทพจนมุม" ว่า
"......ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ ว่าจะเรียกค่าเสียหายแต่ละบุคคลเท่าใดกันแน่ เพราะมีความเกี่ยวข้องกับเงินค่าวางศาลด้วย ไม่ใช่ว่าฟ้องไปหมื่นล้าน แสนล้าน โดยคิดว่าไม่เป็นไร"
ครับ...๗ ก.ย. สปช.เปิดประชุมโหวตร่างรัฐธรรมนูญ ว่าจะรับ หรือจะคว่ำ
ส่วนทางรัฐบาล ข้อเสนอให้ฟ้องแพ่ง เรียกค่าเสียหายยิ่งลักษณ์กับคณะในคดีจำนำข้าว พินาศกว่า ๖ แสนล้าน จะส่งถึงมือนายกฯ ลุงตู่
จะฟ้อง หรือจะใจอ่อน กับหน้าอ่อนๆ แต่กร้าน!?
มาอีกเรื่องสืบเนื่องจากที่คุยเมื่อวาน สหรัฐฯ "ลดระดับ" ความสัมพันธ์กับไทย ใช้แค่ "อุปทูต" เฝ้าสถานทูตสหรัฐฯ ในไทย และให้ไปนัวเนียอยู่กับแดงทักษิณทางอีสานมานานพอควร
วานซืน ก็ "ปรับระดับ" ความสัมพันธ์ "ไทย-สหรัฐฯ" กลับสู่มาตรฐานเดิม!
โดยรัฐสภารับรองให้ "นายกลิน ที. เดวีส์" ดำรงตำแหน่ง "เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย" หลังจากดองมา ๑๑ เดือน
ผมมองว่า นี่คือสัญญาณใหม่ ที่สหรัฐฯ ส่งถึงรัฐบาล "ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง" ภายใต้การบริหารของนายกฯ "พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา" หัวหน้าคณะ คสช.
"สัญญาณใหม่" ดีหรือร้าย.......
ดีสำหรับเขา หรือดีสำหรับเรา?
ไม่ยาก...หาดูได้จากคำที่ "นายกลิน ที. เดวีส์" บอกกับรัฐสภาสหรัฐฯ ว่า ถ้าให้เขามาแล้ว เขาจะทำอะไรบ้าง.......
"ด้วยตระหนักถึงผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ระยะยาวของเรา สหรัฐฯ ยังคงยึดมั่นในการรักษาพันธมิตรด้านความมั่นคงของเรา กองทัพไทย และกองทัพสหรัฐฯ ได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ในสงครามเวียดนาม และสงครามเกาหลี
อีกทั้งได้ร่วมกันจัดการฝึกซ้อม กิจกรรมความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนบุคลากรทางทหาร ทั้งในระดับทวิภาคี และระดับพหุภาคีจำนวนมาก อันรวมถึงการฝึกคอบราโกลด์ ซึ่งเป็นการฝึกซ้อมทางทหารระดับพหุภาคีที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย..........ฯลฯ............
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศผู้ก่อตั้งและเป็นเสียงหลักขององค์กรพหุภาคีต่างๆ ในภูมิภาค ซึ่งรวมถึงสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก(EAS) ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) และข้อริเริ่มลุ่มน้ำโขงตอนล่าง (LMI) สหรัฐฯ จะยังคงร่วมมือกับไทย........
และดำเนินงานผ่านองค์กรต่างๆ ในภูมิภาคนี้ เพื่อผลักดันเป้าหมายที่มีร่วมกันในการกระตุ้นการเจริญเติบโตทางการค้าและเศรษฐกิจ รวมไปถึงการเสริมสร้างความมั่นคงของภูมิภาค....ฯลฯ...
สหรัฐฯ ใส่ใจอย่างยิ่งต่อความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีกับไทยและต่อชาวไทย หากผมได้รับความเห็นชอบให้ดำรงตำแหน่ง ...........
ผมจะร่วมมือกับคณะกรรมาธิการอย่างใกล้ชิด ในการส่งเสริมผลประโยชน์ของเราในไทย อันครอบคลุมหลากหลายด้าน...ฯลฯ...."
และเช้าวาน (๗ ส.ค.) คณะนักธุรกิจสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน ประกอบด้วยนักลงทุนสหรัฐฯ ๕๐-๖๐ บริษัท ก็มาพบนายกฯ ลุงตู่ เรื่องการลงทุนที่ทำเนียบฯ
วัดอุณหภูมิไทย-สหรัฐฯ ที่ "ปรับระดับ" แล้ว จากอารมณ์แฉล้มลุงตู่ ผ่านคำตอบนักข่าวถึงการจะเดินทางมาของเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ คนใหม่.....
"ก็มีความยินดี เมื่อครู่ผมได้ฝากกลุ่มนักธุรกิจสหรัฐฯ ไปบอกแล้ว ทางทูตก็บอกเองว่าอยากจะมา ผมก็ตั้งใจรอทูตมาประจำการที่ไทยเช่นกัน อยากให้รีบมาเร็วๆ ให้มาพบผมก่อน ผมพร้อมที่จะคุยกับเขา จะได้ทำความเข้าใจกันก่อน
ถ้าไปฟังที่อื่นมาแล้วไม่ฟังผมเลย มันก็จะไม่เข้าใจกันตั้งแต่ต้น เขาก็ยิ้มและหัวเราะกัน รับปากผมว่า...จะนำไปบอก"
ครับ..เรื่องทูต-เรื่องประเทศ ก็ต้องเข้าใจ เป็นเรื่องผลประโยชน์ที่ต่างฝ่ายต่างแสวงหาในกันและกัน ทุกประเทศในโลก โกรธเราได้ทั้งนั้น
แต่ไทยเรา.....
อักโกเธนะ ชิเน โกธัง อสาธุง สาธุนา ชิเน
พึงชนะคนโกรธ ด้วยความไม่โกรธ พึงชนะคนไม่ดี ด้วยความดี.

"พี่ใหญ่"ต้องรีบเคลียร์ ปมสนช.เชิดชู"ผู้ต้องหา" โยงดีลลับ"วงษ์สุวรรณ"



"พี่ใหญ่"ต้องรีบเคลียร์ ปมสนช.เชิดชู"ผู้ต้องหา" โยงดีลลับ"วงษ์สุวรรณ"
กลายเป็นข่าวอื้อฉาวครึกโครม เมื่อคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แต่งตั้ง ธีระศักดิ์ แสนวรางกูร หรือ เสี่ยอ้วน ผู้ต้องหาคดีขโมยข้าวจากโครงการับจำนำข้าวยุค รัฐบาลปูแดง ออกไปเวียนเทียนขาย ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ประจำ กมธ.การกฎหมายฯ
โดยกมธ.ที่ว่ามี บิ๊กปุ้ม พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ สมาชิกสนช. นั่งเป็นประธาน และเป็นผู้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้ง เสี่ยอ้วน ด้วยตัวเอง
ที่สำคัญบิ๊กปุ้ม เป็นน้องชายคลานตามกันมาของ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เรื่องราวจึงถูกตีแผ่ขยายความใหญ่โต อย่างช่วยไม่ได้
ชื่อของเสี่ยอ้วนรวมทั้งเสี่ยเล็ก กิตติพงศ์ แสนวรางกุล ผู้เป็นน้องชาย เป็นที่รู้จักกันดีในวงการค้าข้าว โดยว่ากันว่าเสี่ยอ้วน เป็นเพียง ข้อต่อ ทอดหนึ่งที่เก็งกำไรจากการเวียนเทียนข้าวเข้าโครงการ เฉพาะที่ถูกตั้งข้อหาจากทางตำรวจ มีการนำข้าวออกจากโกดัง 98,000 กระสอบ มูลค่าเกือบ 99 ล้านบาท
คำถามจากสังคมพุ่งตรงไปยังบิ๊กปุ้ม กระทบชิ่งไปถึงคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทันที ถึงความเหมาะสมที่แต่งตั้งคนที่ได้ชื่อว่า โกงประเทศ มาดำรงตำแหน่งมีหน้ามีตาในแม่น้ำสายหนึ่งของ คสช.
หนำซ้ำ หลังตกเป็นข่าวอื้อฉาว ศิษฐวัชร ดูจะไม่ยี่หระกับเรื่องที่เกิดขึ้น แถมยังมองว่าเป็นเรื่องเล็กๆ หยุมหยิม บอกกับสื่อในเชิงว่า ถ้าวุ่นวายนัก ปลดออกก็สิ้นเรื่อง แม้ว่าท้ายที่สุดจะไม่อาจทนต่อกระแสสังคมที่รับไม่ได้กับเรื่องนี้ จนต้องเฉดหัว เสี่ยอ้วน ออกมาจากตำแหน่งทันที
แต่ท่าที และการกระทำที่ความผิดสำเร็จไปแล้วของแม่น้ำสายหนึ่งของ คสช.นั้น ยิ่งทำให้ประชาชนรู้สึกหมดหวังกับยุคที่ใช้คำว่า “ปฏิรูป”มานำหน้า คำพูดของทายาทวงษ์สุวรรณ เหมือนไม่สะทกสะท้านว่า สิ่งที่ทำลงไปเป็นความผิด จนอดคิดไม่ว่า รู้แล้วว่าผิด แต่ก็ยังทำ
แม้ ศิษฐวัชร จะไม่ได้เป็นคนเสนอแต่งตั้งเสี่ยอ้วนโดยตรง แต่ก็ควรที่จะมีมีกลไกในการคัดกรองคนที่จะมีชื่อเข้ามาพัวพันกับ กมธ.ที่ตัวเองเป็นประธานเสียหน่อย ที่สำคัญยังปกปิดชื่อ กมธ.ผู้ที่เสนอแต่งตั้งเสี่ยอ้วน เสียอีก
โดยให้เหตุผลแค่ ให้เกียรติกัน ทั้งที่ถือเป็นคนทำผิด และสมควรต้องออกมาชี้แจงต่อสังคม ถึงเหตุผลที่เสนอชื่อคนที่มีคดีโกงภาษีชาติติดตัวเข้ามาเป็นที่ปรึกษา
จริงอยู่ตำแหน่งที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ เป็นเพียงตำแหน่งลอยๆ ไม่มีค่าตอบแทน และไม่มีอำนาจหน้าที่ใดๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเอาไปหากินไม่ได้ ยิ่งจากประวัติของเสี่ยอ้วน เป็นพวกรู้ช่องทางหลีก-หลบ-โกง อยู่ด้วยแล้ว ยิ่งนำไปหาผลประโยชน์ได้ไม่น้อย
แค่ใช้ชื่อตำแหน่งไปพิมพ์นามบัตรก็แอ๊คอาร์ต อ้างชื่อว่าซี้กับคนใน กมธ.ที่มี “บิ๊กทหาร-ตำรวจ”อยู่พรึ่บพรั่บได้แล้ว เหมือนไปติดดาบให้ “โจร”ที่เมื่อได้ดาบแล้วก็อาจจะเอาไปทิ่มแทงคนอื่นไปทั่ว ตามนิสัย
ที่น่ากังวลกันไม่น้อยคือระหว่างที่เสี่ยอ้วน ดำรงตำแหน่งดังกล่าว จะใช้ตำแหน่งไปทำให้คดีขโมยข้าวในโกดังเสียรูปคดีไปหรือไม่ หรือมีการเอาตำแหน่งไปฟอกตัวเองในชั้นกระบวนการยุติธรรมมากน้อยแค่ไหน เพราะบิ๊กตำรวจใน กมธ. ก็ล้วนแล้วแต่ระดับ รอง-ผู้ช่วย ผบ.ตร. รวมทั้งมี ว่าที่ ผบ.ตร. อยู่ด้วย
เรื่องเหล่านี้ ดิษฐวัชร หรือคนใน กมธ. ต้องตอบให้สังคมได้รับรู้ เพราะประเทศไทยมีคนที่มีความรู้ความสามารถสมควรได้รับการยกย่องมากกว่า“ผู้ต้องหา”อีกมากมายก่ายกอง
เรื่องนี้รู้ถึงหู มือปราบจำนำข้าว นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อยู่เฉยไม่ได้ เพราะรู้ไส้รู้พุงเสี่ยอ้วน อย่างดี และคาดว่าอาจจะมีบางอย่างแฝงอยู่ อีกทั้ง เสี่ยอ้วน ถือเป็นหลักฐาน และหนึ่งในตัวจิ๊กซอว์สำคัญในขบวนการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว จึงเรียกร้องให้ สนช. ตรวจสอบว่า ใครอยู่เบื้องหลังผลักดัน เสี่ยอ้วน เข้ารับตำแหน่งดังกล่าว
หลังวิพากษ์วิจารณ์ว่า การตั้ง ผู้ต้องหาคดีขโมยข้าวในยุค คสช. ที่ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งยึดถือเรื่องความโปร่งใส ยิ่งทำให้สงสัยกันไปอีกว่าอาจจะมี มือที่มองไม่เห็น คอยชักใยอยู่
หนำซ้ำก่อนหน้านี้สองพี่น้องตระกูล วงษ์สุวรรณ เคยตกเป็นข่าวอื้อฉาวว่า ร่วมกับสมาชิกสนช.สายทหาร และ สนช.สายตำรวจ พยายามล็อบบี้สมาชิกสนช. เพื่ออุ้ม ปูแดง ที่ถูกยื่นถอดถอนจากพิษโครงการรับจำนำข้าว โดยอ้างว่าเพื่อสร้างความปรองดอง
การส่งเสี่ยอ้วนเข้ามาจึงถูกมองว่าเป็นสปาย คอยเอาไว้เคลียร์กับใคร หรือเคลียร์เอกสารสำคัญบางอย่างที่ยังหลงเหลืออยู่ เพื่อไม่ให้สาวถึงตัวการใหญ่ ในการขโมยข้าวในโครงการรับจำนำไปขายหรือไม่
ที่สำคัญบทบาทของ บิ๊กปุ้มในฐานะน้อง บิ๊กป้อมจึงเป็นที่จับตาอย่างยิ่ง เพราะทุกสัญญาณ-ทุกดีล ที่ออกจากบิ๊กปุ้มอาจจะหมายถึงสัญญาณจากบิ๊กป้อม สัญญาณจากบิ๊กตู่ ก็เป็นได้
ด้วยความสำคัญของนามสกุล วงษ์สุวรรณ จึงมีขบวนการทำให้ข่าวเงียบ เพื่อกลบเกลื่อนความผิดเพราะอย่าลืมว่าคนในวงษ์สุวรรณ ล้วนมีคอนเนกชั่นหลากหลาย
ยิ่งระยะหลังมีกระแสข่าวออกมาตลอดว่า พี่ใหญ่วงษ์สุวรรณ ได้รับการติดต่อจาก นายหญิง อดีตตระกูลชินวัตร เปิดดีลการเมือง พูดคุยสูตรปรองดองกันมาแล้ว แต่ประตูยังไม่เปิด จึงต้องพับแผนกันไปก่อน เพราะหากแหวกหญ้าให้งูตื่น มีหวัง วงษ์สุวรรณ เองที่ต้องตกขอบ หลุดออกจากวงจรอำนาจไป ยิ่งความเคลื่อนไหวของ พี่ใหญ่วงษ์สุวรรณ ที่ทำตัวโลว์โปรไฟล์ หลังมีข่าวว่าป่วย
งานนี้จึงไม่รู้ว่า ป่วยจริง หรือป่วยหลอก ป่วยธรรมชาติ หรือป่วยการเมือง เพราะเกือบหนึ่งเดือนแล้วที่ พี่ใหญ่วงษ์สุวรรณ ขอเก็บตัวเงียบ ไม่ปรากฏตัวให้สัมภาษณ์สื่อ เหมือนที่ผ่านมา
ยิ่งผนวกกับข่าวการปรับครม. ที่จะดันให้ บิ๊กโด่ง ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหม แทน ยิ่งจุดชนวนสงสัยว่า พี่ใหญ่วงษ์สุวรรณ ไปเล่นบทผิดคิว เปิดดีลลึก-ดีลลับ อะไรไว้หรือไม่
ชั่วโมงนี้ให้จับตาทุกความเคลื่อนไหวของตระกูลวงษ์สุวรรณว่าอยู่ หรือร่วง หากร่วงมาวันไหน ฟันธงได้เลยว่า ดีลลับบางอย่างได้ปิดตายไปแล้ว ส่งผลให้ตระกูลชินวัตร อยู่ยากขึ้นทุกวัน
ป้อมพระสุเมรุ : Astvผู้จัดการออนไลน์

กระบวนการถอดยศ "ทักษิณ" 7 ปี จบไม่ลง

กระบวนการถอดยศ "ทักษิณ" 7 ปี จบไม่ลง
เรื่องโดย Nation TV
วันที่ 10 สิงหาคม 2558 11:04 น.

การถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ มีจุดเริ่มจากคำพิพากษาศาลฎีกานักการเมือง คดีการประมูลซื้อที่ดินรัชดา เมื่อ ปี 2551 ให้จำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงวันนี้ ผ่านมือ 8 ผบ.ตร.ยังไม่มีใคร ทำเรื่องการถอดยศได้สำเร็จ กลับย้อนดูเกิดอะไรขึ้นใน 7 ปีที่ผ่านมา

กระบวนการในการถอดยศ อดีตนายกฯ เริ่มขึ้นหลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาในคดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิง พจมาน ประมูลซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก วันที่ 21 ตุลาคม 2551 ให้มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. มาตรา 100 (1) และมาตรา 122 ลงโทษจำคุก 2 ปี พร้อมมีคำสั่งให้ออกหมายจับ

ปี 2552 ยุคที่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ทำหน้าที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นช่วงต้นของการดำเนินการตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ ปี 2547 กองวินัยส่งเรื่องเสนอไปยังกองกำลังพล เพื่อทำเรื่องไปยัง พล.ต.อ.พัชรวาท ซึ่ง พล.ต.อ.พัชรวาท มีความเห็นว่า เรื่องนี้เป็นกรณีพัวพันคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อน จึงให้ส่งเรื่องไปสอบถามคณะกรรมการกฤษฎีกา แม้คณะกรรมการกฤษฎีกาจะตอบกลับถึง สตช.ในวันที่ 28 ต.ค. 2552 รับรองถึงอำนาจในการถอดยศ แต่ พล.ต.อ.พัชรวาท ก็เกษียณราชการไปก่อนหน้าเพียง 1 เดือน ทำให้เรื่องถูกดองไว้

หลังยุคของ พล.ต.อ.พัชรวาท ปัญหาภาวะสุญญากาศภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต่อเนื่องมาถึงช่วงเวลาของความวุ่นวาย จากการชุมนุมทางการเมือง ทำให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่พลัดเปลี่ยนขึ้นรับตำแหน่ง คนละ 1 ตั้งแต่ สมัย พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ต่อเนื่องมาถึง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. คนสุดท้ายในยุครัฐบาลพรรคเพื่อไทย แทบจะเรียกได้ว่า ประเด็นการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้ถูกหยิบขึ้นมาพิจารณาอีก

จนถึงวันนี้นับว่าเรื่อง ได้ผ่านมาถึงมือ ผบ.ตร.คนที่ 8 พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ซึ่งขึ้นมาทำหน้าที่ในยุค คสช. เขาได้มีคำสั่ง แต่งตั้ง พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล เป็นประธานคณะกรรมการดำเนินการถอดยศ เมื่อวันที่ 1 พ.ค. ที่ผ่านมา คณะกรรมการชุดนี้ ลงมติว่า ข้อกฏหมายครบถ้วนสมบูรณ์ ที่จะดำเนินการได้ และส่งรายงานฉบับแรก ให้ พล.ต.อ.สมยศ เมื่อวันที่ 29 พ.ค. แต่ถูกตีกลับ ด้วยเหตุผล "ขาดขั้นตอนการลงนามในการรับรองมติ"

คณะกรรมการชุดเดียวกันนี้ ต้องประชุมอีกครั้ง เพื่อยืนยันว่า รายงานครบถ้วยสมบูรณ์ตามกฏหมาย และส่งกลับไปให้ พล.ต.อ.สมยศ ลงนามเป็นครั้งที่ 2 แต่ก็ถูกตีกลับ ด้วยเหตุผลว่า "ข้อมูลไม่ชัดเจน" และแม้คณะกรรมการจะยืนยันกลับไปเป็นครั้งที่ 3 ล่าสุดเมื่อ 11 มิถุนายน ก็ยังไม่ปรากฏข้อมูลว่า ได้มีการลงนามจาก ผบ.ตร. จนทำให้สังคม เชื่อว่า การถอดยศ พ.ต.ท. ทักษิณ คงจะไม่สำเร็จในยุคของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง อย่างแน่นอน
///////////
ยธ. ขีดเส้นตายถอดยศ "ทักษิณ" จบเดือนนี้
เรื่องโดย Nation TV

วันที่ 10 สิงหาคม 2558 15:06 น.
รัฐมนตรียุติธรรม นัดกฤษฎีกาและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หารือประเด็นการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อให้สังคมได้รับคำตอบ ภายในเดือนนี้

วันนี้ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรียุติธรรม ได้ใช้เวลาหารือกับฝ่ายกฎหมายกระทรวงยุติราว 1 ชั่วโมง ในเรื่องระเบียบ หลักเกณฑ์การปฏิบัติที่เป็นข้อติดขัดทางกฏหมาย เพื่อเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยวันนี้ได้สั่งการให้ทีมกฏหมายกำหนดประเด็นซักถามให้ครบถ้วน เพื่อเชิญผู้แทนจากคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาชี้แจงในวันพรุ่งนี้ และเชื่อว่า ภายหลังการประชุมจะมีแนวทางคำตอบที่ชัดเจน

เพราะกรณีการถอดยศนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการมานานแล้ว และควรจะมีคำตอบให้สังคมรับทราบว่า ทำได้ หรือ ทำไม่ได้และจะได้เสนอให้นายกฯพิจารณาในทันที ซึ่งเบื้องต้นตั้งใจให้แล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม
//////////////
‘สมยศ’แจง‘นายกฯ’ปมถอดยศ‘ทักษิณ’อืด!

‘ผบ.ตร.’ เผยคุย ‘นายกฯ’ แล้ว ปมถอดยศ ‘ทักษิณ’ ล่าช้า โยนเรื่องให้กฤษฎีกาพิจารณา-ส่งตัวแทนชี้แจง ‘พล.อ.ไพบูลย์’ ยัน สตช.ทำงานยึดหลักความถูกต้อง

        สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 10 สิงหาคม 2558 พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยเกี่ยวกับกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมเข้ามากำกับดูแลการถอดยศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ท่านนายกรัฐมนตรี ได้สอบถามถึงกรณีดังกล่าวแล้ว ซึ่งตนก็ได้ชี้แจงว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แต่เรื่องดังกล่าวมีข้อกฎหมายที่ต้องพิจารณาหลายข้อ ตามขั้นตอนและระเบียบกฎเกณฑ์ โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนจึงต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ และนายกรัฐมนตรี ก็รับทราบแล้ว

        “สำหรับความคืบหน้าเรื่องนี้ หลังจากที่ได้มอบหมายให้สำนักงานกำลังพลพิจารณา ซึ่งขณะนี้ได้ส่งเรื่องกลับมาที่ผมแล้ว จากนั้นผมก็ได้ส่งเรื่องไปยังสำนักงานกฤษฎีกา เพื่อให้พิจารณาโดยไม่ขอเปิดเผยในรายละเอียดว่ามีข้อติดขัดอะไรที่ต้องพิจารณาบ้าง” ผบ.ตร.กล่าว

        พล.ต.อ.สมยศ กล่าวด้วยว่า กรณีที่ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เรียกประชุมฝ่ายที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับเรื่องการดำเนินการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณในวันนี้ (10 ส.ค.) ตนได้ส่งตัวแทนเข้าชี้แจงกับ พล.อ.ไพบูลย์ ในที่ประชุมแล้ว และขอยืนยันว่า ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำงานโดยยึดหลักความถูกต้องชัดเจน และจะไม่ทำงานตามกระแสเด็ดขาด

 ‘พล.ต.อ.สมยศ’ ย้ำผบ.ตร.คนใหม่ตามใจ ‘นายกฯ’


        เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 10 สิงหาคม พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าวันที่ 14 ส.ค.นี้จะมีการประชุมนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) และจะมีการคัดเลือก ผบ.ตร. คนใหม่ด้วย ว่า ยังไม่มีการหารือตรงนี้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้ารักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

        เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ พูดว่าสัปดาห์นี้น่าจะรู้แล้ว พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ก็หวังให้เป็นเช่นนั้น ถามต่อว่านายกรัฐมนตรีบอกว่ามีผบ.ตร.คนใหม่ในใจแล้ว เป็นคนเดียวกับที่ ผบ.ตร.คิดไว้หรือไม่ พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ไม่อาจเดาใจ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ แต่ถ้าใจท่านคิดอย่างไร ตนก็คิดอย่างนั้นแหล่ะ คิดตามใจท่าน แต่ตอนนี้ยังไม่มีชื่อใครในใจ ก็มีแต่อาจไม่ตรงใจกับนายกฯ

        เมื่อถามว่า นายกฯเองยังไม่ได้มีการมาพูดคุยกับ ผบ.ตร. เพื่อให้ใจตรงกันใช่หรือไม่ พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ยังไม่ได้หารือในส่วนนี้ ถามต่อว่าถ้าเกิดไปประชุมแล้ว ผบ.ตร.มีการเสนอชื่อ แต่ไม่ตรงกับนายกฯ ผบ.ตร. กล่าวด้วยน้ำเสียงหัวเราะว่า คงไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ต้องมีการคุยก่อนที่จะมีการเสนอชื่อให้กับที่ประชุม เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ได้มีการคุยกัน
////////////
จับตา!...ก.ยุติธรรม ถอดยศ "ทักษิณ"
เรื่องโดย Nation TV

วันที่ 9 สิงหาคม 2558 11:34 น.


ประเด็นการเมืองที่ต้องจับตากับใกล้ชิด คือความคืบหน้าการถอดยศ ที่รัฐมนตรียุติธรรม พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา ได้เชิญให้ ผบ.ตร. เข้าชี้แจงในวันพรุ่งนี้

พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา บอกว่าวันจันทร์นี้ ได้เชิญฝ่ายกฏหมายของกระทรวง มาหารือเป็นการภายใน พร้อมทำหนังสือเชิญ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร. สอบถามถึงความคืบหน้าการดำเนินการและปัญหาติดขัดในข้อกฏหมาย ที่ทำให้ไม่สามารถดำเนินการเรื่องนี้ได้

โดย รมต.ยุติธรรม ยืนยันว่าการดำเนินการกับ พ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องเดินหน้าต่อเช่นเดียวกับ ข้าราชการทหารตำรวจทุกนาย ที่กระทำผิดในข่ายต้องถูกถอด และการถอดยศไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกพร้อมยืนยัน เป็นเรื่องที่อยู่ในการกำกับดูแล ไม่ได้รู้สึกกดดันหรือหนักใจและคาดว่า จะใช้เวลาในการพิจารณาไม่นาน และไม่เกี่ยวข้องกับการเข้ารับตำแหน่งของ ผบ.ตร.คนใหม่ เพราะเรื่องนี้กระทำโดยตำแหน่ง ไม่ได้ผูกพันกับตัวผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไม่ว่าใครอยู่ในตำแหน่งก็ต้องดำเนินการตั้งแต่ปี 2551 การถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกพูดถึงและพิจารณาโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาโดยตลอด แต่ยังไม่เคยมีผู้บัญชาการตำรวจคนไหนทำสำเร็จ พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ที่ปรึกษา (สบ 10) ประธานคณะกรรมการดำเนินการถอดยศ จะยืนยันว่า ฝ่ายกฎหมายดำเนินการตรวจสอบรายละรายละเอียดมติ การถอดยศแล้ว ว่า ข้อกฏหมายครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ยังไม่ได้มีการลงนามรับรองมติ จนทำให้สังคมเชื่อว่า การถอดยศ พ.ต.ท. ทักษิณ คงจะไม่สำเร็จในยุคของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง

ระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วย การถอดยศตำรวจ ปี 2547 บัญญัติ ผู้ที่ดำรงอยู่ในยศตำรวจ สมควรจะประพฤติเหมาะสมผู้มีประพฤติไท่เหมาะสมไม่สมควรจะดำรงอยู่ในยศตำรวจต่อไป

และอำนาจตามความในมาตรา 11 (4) มาตรา 28 และมาตรา 29 เขียนว่า การเสนอขอถอดยศตำรวจ ทำได้ ในกรณีที่ต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุด ว่าทุจริตต่อหน้าที่ราชการ หรือโทษที่หนักกว่าจำ
คุก หรือแม้แต่ต้องหาในคดีอาญาแล้วหลบหนี
////////////////
‘มัลลิกา’ปลง‘สมยศ’ไม่ถอดยศ‘แม้ว’
"มัลลิกา" ปลง กรณี "สมยศ" ไม่ถอดยศ "ทักษิณ" รอโยน ผบ.ตร.คนใหม่ ชี้ ยอมถูกร้องผิดอาญา 157 เพื่อแลกอะไรบางอย่างหรือไม่

          วันที่ 5 ก.ค.58 นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานมูลนิธิมัลลิกาเพื่อประชาชน เปิดเผยว่า ได้แลกเปลี่ยนความเห็นกับบุคคลระดับนำทางสังคมหลายฝ่ายระหว่างที่เรียนหลักสูตรปริญญาเอก สาขาวิชาผู้นำทางสังคม ธุรกิจ และการเมืองของมหาวิทยาลัยรังสิต

          ล่าสุดยืนยันว่า ทิศทางของแต่ละคนรู้สึกผิดหวังกับ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.กรณีการเพิกเฉยต่อการทำหน้าที่ถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตามที่กรรมการเสนอและเชื่อว่า ผบ.ตร.จะปล่อยเรื่องนี้ให้เป็นภาระผบ.ตร.คนใหม่ที่จะมาแทนปลายปีนี้มากกว่า

          ดังนั้นในเวลาไม่กี่เดือนที่เหลืออาจจะต้องมีบางฝ่ายเก็บรายละเอียดร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ดำเนินการสอบอาญาในมาตรา 157 ละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ หาก ผบ.ตร.จะแลกอะไรบางอย่างกับการถูก ป.ป.ช.สอบก็คงต้องปลง

          “ ไม่ค่อยแปลกใจกับ ผบ.ตร.คนนี้ และเชื่อว่าคงไม่ได้อะไรกับการเรียกร้องเรื่องการถอดยศ เพราะพันธกิจนี้แทบจะไม่ได้เป็นเป้าหมายการทำงานของ พล.ต.อ.สมยศ หรือแม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์เลย ไม่เช่นนั้นคงจัดการเสร็จไปตั้งแต่แรกเหมือนกับการถอดยศตำรวจรายอื่นๆ ที่ทำผิดและเป็นไปตาม ระเบียบตร.ไปแล้ว

          จากประสบการณ์นั้นขอเรียกว่า พฤติกรรมแหกตา คือ จะดีไปจนกว่าได้อำนาจ พอได้ตำแหน่งแล้วจะดีหรือไม่ดีก็ได้และไม่จำเป็นต้องดีในสายตาของคนอื่นนี่เป็นสัญชาตญาณของข้าราชการบางคน จะเอาอะไรกับคุณสมยศ เพราะสมัยเป็นตำรวจยุคเดินตามคุณมนตรี พงษ์พานิช กับสมัยเดินกับคุณเนวินหรือสมัยนี้ที่เดินกับ พล.อ.ประวิตร ก็เห็นร่องรอยแล้วว่าชีวิตเขาจะอยู่อย่างไรต่อไป คนเราก็คงใช้ความคิดในกรอบของตัวเองวางผังอนาคตของตัวเองโดยไม่สนสังคมและคนอื่นอนาคตหลังเดือนตุลาคมนี้ต่างหากที่ พล.ต.อ.สมยศคำนึงถึงมากกว่าเสียงสะท้อนจากสังคมหรือระเบียบวินัยใด ตำรวจเวลาแก่แล้วก็แบบนี้ล่ะ ปลง”  นางมัลลิกา กล่าว
/////////////
‘สมยศ’ยันถอดยศ‘ทักษิณ’ไม่เงียบ
"สมยศ" ยัน ถอดยศ "ทักษิณ" ไม่เงียบ รับมีฝ่ายการเมืองสอบถาม


          วันที่ 6 ก.ค58  ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลังคณะกรรมการชุด พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันกุล ที่ปรึกษา สบ.10 เป็นประธานได้ ลงมติให้ถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า เรื่องดังกล่าวไม่เงียบ แต่ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสำนักงานกำลังพล ซึ่งต้องใช้เวลาในการพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ โดยไม่สามารถระบุได้ว่าจะดำเนินการเสร็จทันในสมัยที่ตนเป็น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือไม่ ซึ่งหากไม่ทัน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนต่อไปก็จะต้องดำเนินการต่อ พร้อมยอมรับว่ามีฝ่ายการเมืองมาสอบถามความคืบหน้า แต่ก็ไม่ได้เร่งรัดและให้ทำด้วยความรอบคอบรัดกุม เนื่องจากเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน
//////////////////
‘สมยศ’ปัดขัดแย้ง‘ชัยยะ’ปมถอดยศ‘ทักษิณ’
‘สมยศ’ ปัดขัดแย้ง ‘ชัยยะ’ ปมยื้อถอดยศ ‘ทักษิณ’ คาดกรรมการส่งให้พิจารณาก่อน 11 มิ.ย.นี้ ระบุพร้อมให้ความเป็นธรรมทุกฝ่ายคดีวิสามัญบนโรงพัก

        ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) วันที่ 8 มิถุนายน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า เกี่ยวกับเรื่องที่ได้ส่งมติของคณะกรรมกลับไปให้ พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ที่ปรึกษา (สบ 10) ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณานั้น ไม่ได้มีปัญหาความขัดแย้งกับ พล.ต.อ.ชัยยะ แต่อย่างใด หรือไม่ได้ดึงหรือยื้อเวลาการถอดยศดังกล่าวออกไปเรื่อยตามที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ เพียงแต่ได้แนะนำให้ชี้แจงองค์ประกอบความผิดให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ตามระเบียบว่าด้วยการถอดยศข้าราชการตำรวจ พ.ศ.2547 ที่ต้องมีองค์ประกอบความผิด ให้ครบตามหลักเกณฑ์ จึงจะมีการเซ็นคำสั่ง

        "ในการทำงานเรื่องนี้ผมกับ พล.ต.อ.ชัยยะ มีการพูดคุยกันมาโดยตลอด และแนะนำให้ทำสำนวนอย่างรอบคอบ หาก พล.ต.อ.ชัยยะ ส่งเรื่องนี้กลับมาให้พิจารณาอีก ก็จะให้ฝ่ายกฎหมายดำเนินการตรวจสอบว่า มีการแก้ไขตามที่ได้ให้คำแนะนำไว้หรือไม่ ส่วนเรื่องการตัดสินใจนั้น จะใช้ดุลยพินิจให้ดีที่สุด เพราะเมื่อพิจารณาแล้วผิดกฎหมาย ก็ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้ จึงต้องมีความรอบคอบในการทำสำนวน" พล.ต.อ.สมยศ กล่าว

        พล.ต.อ.สมยศ กล่าวด้วยว่า พล.ต.อ.ชัยยะ น่าจะส่งเรื่องการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกฯ กลับมาให้พิจารณาก่อนวันที่ 11 มิ.ย.นี้ เพราะก่อนหน้านี้ยังไม่มีการยื่นขอขยายเวลาในการตรวจ
สอบเพิ่มเติมแต่อย่างใด
///////////////
‘สมยศ’ตีกลับถอดยศ‘ทักษิณ’รอบสอง
"สมยศ" ตีกลับถอดยศ"ทักษิณ"รอบสอง อ้างเสนอมาไม่ชัดเจน ขีดเส้นพิจารณาใหม่ ให้แล้วเสร็จภายใน 11 มิ.ย.นี้

          วันที่ 5 มิ.ย.58 มีรายงานว่าภายหลังที่ พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ที่ปรึกษา สบ 10 หัวหน้าคณะกรรมการฯ ได้นำเรื่องที่คณะกรรมการพิจารณาถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับไปให้คณะกรรมการฯ ลงลายมือชื่อรับรองมติที่ประชุมนั้น แล้วได้นำเรื่องดังกล่าวกลับไปให้ พล.ต.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. พิจารณาเสนอตามลำดับชั้นนั้น

          ปรากฏว่าล่าสุดได้ถูก พล.ต.อ.สมยศ สั่งให้ส่งเรื่องดังกล่าวกลับไปดูในรายละเอียดที่ยังไม่ครบถ้วนตามระเบียบของ ตร. เพราะถ้าหากการเสนอขอถอดยศ ตามระเบียบ ตร. ว่าด้วยการถอดยศ พ.ศ.2547 มี 2 องค์ประกอบ คือ ข้อที่หนึ่ง พฤติการณ์เป็นเหตุให้เสนอขอถอดยศได้ 7 เหตุ ตามข้อหนึ่งของระเบียบฯ ข้อที่สองพฤติการณ์ไม่สมควรดำรงอยู่ในยศตำรวจ นำความเสื่อมเสียมาสู่หมู่คณะ หรือ ไม่เหมาะสมแก่เกียรติศักดิ์ตามวรรคแรกของระเบียบฯ

          ซึ่งคณะกรรมการชุดดังกล่าวได้มีมติเฉพาะองค์ประกอบตามข้อแรกมาเท่านั้น แต่ไม่ได้พิจารณาข้อสองมาด้วย ซึ่งการส่งเรื่องคืนคราวที่แล้ว เป็นกรณีเกี่ยวกับเอกสารลงลายมือชื่อไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่การส่งเรื่องคืนคราวนี้ เป็นกรณีความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ของประเด็นและเนื้อหาที่มีไม่เพียงพอที่จะพิจารณาสั่งการในทางใดทางหนึ่งได้ เลยให้นำกลับไปให้ดูในรายละเอียดให้ครบถ้วนสมบูรณ์ โดยได้กำชับกรอบเวลาให้รีบดำเนินการให้แล้วเสร็จแล้วนำกลับมาเสนอใหม่และต้องครบถ้วนทุกประเด็นภายในวันที่ 11 มิ.ย.58 นี้

          ที้งนี้ยังมีรายงานว่า พล.ต.อ.สมยศ จะเชิญ พล.ต.อ.ชัยยะ ในฐานะประธานคณะกรรมการฯมาหารือในรายละเอียดให้ครบถ้วนทุกประเด็นเพื่อเสนอเรื่องดังกล่าวต่อไปตามลำดับชั้นโดยกรณีนี้มีการตั้งข้อสังเกตุ หากเรื่องดังกล่าวล่าช้าอาจจะทำให้สังคมเคลือบแคลงสงสัยได้


ผบ.ตร.ชี้ไม่ได้ยื้อเวลาเรื่องถอดยศ'ทักษิณ'

          พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา คณะกรรมการฯได้สรุปเรื่องส่งมายังตน ซึ่งได้ให้เจ้าหน้าที่พิจารณาอย่างเร่งด่วน รัดกุม รอบคอบ และเน้นทุกอย่างตามกฎหมาย ตามระเบียบการถอดยศ พ.ศ.2547 โดยการถอดยศได้นั้น ต้องเข้าองค์ประกอบ 2 องค์ประกอบ คือ 1.พฤติการณ์ที่สมควรเสนอให้ถอดยศ มี 7 เหตุ ตามข้อ 1ของระเบียบฯ และ 2.พฤติการณ์ซึ่งไม่สมควรให้ดำรงตำแหน่งในยศตำรวจ อาทิ ทำตัวไม่เหมาะสม เป็นเหตุให้เสื่อมเสียต่อตนเองหรือหมู่คณะ หรือเป็นเหตุให้เสื่อมเกียรติยศของตำรวจ ซึ่งคณะกรรมการชุดดังกล่าว ได้มีมติเฉพาะองค์ประกอบตามข้อ 1 มาเท่านั้น แต่ไม่ได้พิจารณาตามข้อ2 มาด้วย จึงนำเรื่องส่งกลับคืนให้คณะกรรมการฯ สรุปในข้อ 2 มาให้ครบถ้วน โดยมีกรอบระยะเวลาให้แล้วเสร็จ และรีบนำกลับมาเสนอตนภายในวันที่ 11 มิถุนายน นี้ โดยหลังจากนั้นตนจะมีความเห็นเสนอไปยังพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อเสนอไปยังพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต่อไป
 
          ทั้งนี้ ตนขอชี้แจงว่า เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ตนเพิ่งได้รับเรื่องมติการถอดยศพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นครั้งแรก เนื่องจากที่คณะกรรมการฯ เคยส่งเรื่องมาก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรการเป็นผู้รับไว้ เเต่
เมื่อตรวจสอบกลับพบว่า เอกสารไม่ครบถ้วน จึงส่งเรื่องคืนให้กับกรรมการฯ

          “ผมยืนยันว่า ผมไม่ได้ยื้อเวลา ไม่มีกลัว ระเบียบก็ว่าไปตามระเบียบ แต่ทุกอย่างต้องทำอย่างถูกต้อง ครบถ้วน ตอบสังคมได้ ถ้าเรื่องที่ทำมาครบถ้วน ถูกต้อง ผมก็พร้อมจะเซ็นต์ให้อย่างแน่นอน โดยไม่รอใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ต้องห่วง นอกจากนี้ผมไปคุยกับพล.ต.อ.ชัยยะ แล้ว โดยระบุว่า หากเสนอเรื่องไม่ทันตามกรอบระยะเวลา ก็สามารถขอเลื่อนได้ ”ผบ.ตร.กล่าว
/////////////////

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ยุคที่มี พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)กำลังสร้างความเคลือบแคลงต่อสังคมกรณีที่ส่อพฤติการณ์ดึงเกมไม่ถอดยศนักโทษชาย

แม้วด้วยการเลื่อนชี้ขาดเป็นครั้งที่ 3 หลังจากที่ก่อนหน้านี้ตีกลับมติเอกฉันท์ของคณะกรรมการพิจารณาถอดยศนักโทษชายแม้วที่มี พล.ต.อ.ชัยยะศิริอำพันธ์กุล ที่ปรึกษา(สบ 10) เป็นประธานมา

แล้วสองครั้ง

โดยหลังจากตีกลับมติเอกฉันท์ของคณะกรรมการที่มี พล.ต.อ.ชัยยะเป็นประธานเป็นครั้งที่สอง พล.ต.อ.สมยศประกาศขึงขังว่า เมื่อคณะกรรมการที่ตัวเองมีคำสั่งตั้งมากับมือส่งเรื่องกลับมาแล้วจะชี้

ขาดภายในวันที่ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยจะไม่มีการซื้อเวลาออกไปอีกแน่นอนโดยขอเวลาศึกษารายงานของคณะกรรมการ 1-2 วัน

แต่แล้ว พล.ต.อ.สมยศ ก็กลืนน้ำลายตัวเองด้วยการส่งเรื่องให้ฝ่ายกฎหมายของสตช.พิจารณาอีกครั้งโดยไม่มีกำหนดระยะเวลาการพิจารณา นั่นเท่ากับส่งสัญญาณว่า เรื่องถอด นักโทษชายแม้ว กำลัง

จะกลายเป็นมหากาพย์อมตะนิรันดร์กาลที่ถูกแช่แข็งหลังจากที่ถูกดองมาหลายปีโดยรัฐตำรวจตระกูลชินทั้งๆ ที่ปัญหาข้อกฎหมายกรณีของ นักโทษชายแม้ว ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเลยแม้แต่น้อย ซึ่ง

ในอดีตยุครัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช เคยส่งเรื่องคณะกรรมการกฤษฎีกาชุดใหญ่พิจารณาข้อกฎหมาย ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาและมีความเห็นเสนอรัฐบาลมาแล้ว 2 ครั้งโดยระบุว่า

นักโทษชายแม้ว เข้าข่ายต้องถูกถอดยศตามพ.ร.บ.ตำรวจ พ.ศ.2547 เนื่องจากต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดว่าทุจริตต่อหน้าที่ราชการและต้องหาในคดีอาญาแล้วหลบหนี

อีกทั้งที่ผ่านมามีนายตำรวจที่ถูกถอดยศเนื่องจากถูกศาลพิพากษาจำคุกมาแล้วมากมาย อาทิ พล.ต.ท.ชลอเกิดเทศ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ผู้โด่งดัง หรือ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ฉายาพันธุ์

อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ซึ่งถูกดำเนินคดีฐานแอบอ้างเบื้องสูงก็อยู่ในขั้นตอนการถูกถอดยศเช่นกัน

จากพฤติการณ์อันน่าเคลือบแคลงของ พล.ต.อ.สมยศ ทำให้ นายวัชระเพชรทอง อดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปองค์กรตำรวจรวมทั้งปฏิรูปตัวผบ.ตร.ที่ส่อพฤติการณ์ดึง

เกมไม่ถอดยศ นักโทษชายแม้ว

พล.ต.อ.สมยศ เคยประกาศขึงขังว่า สตช.ภายใต้ยุคของตัวเองหากทำผิดกฎหมายไม่ว่าใหญ่แค่ไหนก็จับ และย้ำว่า “ไม่มีใครสั่งผมได้นอกจากคน 2 คน” ซึ่งหมายถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง โดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตร ที่มีสายสัมพันธ์และมีข่าวว่าพยายามเจรจากับ นัก

โทษชายแม้วเพื่อสร้างความปรองดอง

การที่สตช.ยุค พล.ต.อ.สมยศส่อดึงเกมไม่ถอดยศนักโทษชายแม้วจึงถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการสะท้อนธาตุแท้ตัวตนที่แท้จริงชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่พล.ต.อ.สมยศกำลังจะเกษียณราชการใน

ปลายเดือนก.ย.นี้ และส่อเจตนาแฝงเร้นเลือกปฏิบัติในการบังคับใช้กฎหมายเพราะฉะนั้นจะไปหวังอะไรกับการปฏิรูปองค์กรตำรวจซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญในการปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่โดย

คสช.ที่ส่อเค้าเหลวเป๋วถูกเก็บเข้าลิ้นชัก

ทีมข่าวการเมือง

"อ๊อด"โยนลูกถอดยศ"แม้ว"ให้กฤษฎีกาตีความ หนุนให้ยธ.เป็นเจ้าภาพ

ผบ.ตร.โยนลูกถอดยศแม้ว ให้กฤษฎีกาตี ตั้งแต่เดือนก.ค. อ้างเพื่อความรอบคอบในประเด็นโต้แย้งข้อกฎหมาย หลีกเลี่ยงการถูกฟ้องร้อง ยันไม่ใช่เป็นการยื้อเวลา ชี้หากนายกฯ ใช้อำนาจสั่งรมว.ยธ.พิจารณาถอดยศเป็นเรื่องดี จะได้ข้อสรุปที่เร็วขึ้น
วันนี้(10 ส.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า (คสช.) ได้มอบหมายให้ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ติดตามการดำเนินการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกศาลฎีกา แผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุกในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดิน ถ.รัชดาภิเษก ว่า หลังจากที่คณะกรรมการพิจารณาถอดยศตำรวจที่มี พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธุ์กุล ที่ปรึกษา (สบ10) เป็นประธาน มีความเห็นถึงตน และตนก็ได้ส่งความเห็นนั้นกลับไปยังสำนักงานกำลังพล (สกพ.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบอย่างเป็นทางการในการสรุปผลหรือนำความคิดเห็นของคณะกรรมการชุดต่างๆมาสรุป ทั้งนี้ เมื่อทาง สกพ. ได้สรุปผลถึงตนว่ายังมีประเด็นข้อกฎหมายบางประเด็นหรือหลายประเด็นที่จะต้องตรวจสอบ ว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สามารถดำเนินการถอดยศได้หรือไม่อย่างไร เมื่อมีประเด็นข้อโต้แย้งหรือข้อสงสัยในประเด็นกฎหมาย ตนจึงได้ทำบันทึกถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งถือเป็นหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย เพื่อซักถามในข้อคิดเห็นหรือข้อกฎหมายซึ่งเรายังไม่แน่ใจว่าสามารถปฏิบัติได้หรือไม่
“เพื่อความถูกต้องชัดเจนและไม่ถูกฟ้องร้องในภายหลัง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้ทำบันทึกถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา เพื่อสอบถามในข้อกฎหมายที่เราไม่มั่นใจ ไม่แน่ใจ แต่ไม่ปรากฎเป็นข่าว ซึ่งตอนนี้ทาสำนักงานกฤษฎีกายังไม่ตอบกลับมา อย่างไรก็ดีในวันนี้ผมก็ได้เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ซึ่งท่านได้ถามเรื่องดังกล่าว และผมได้ชี้แจงไปตามที่กล่าวมาแล้ว” พล.ต.อ.สมยศ ระบุ
ผู้สื่อข่าวถามว่าที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ทำหนังสือหารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ถึง 2 ครั้ง เกี่ยวกับการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งได้รับคำตอบว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีอำนาจดำเนินการได้ พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า เราจะนำแต่ละเรื่องมาเทียบเคียงกันไม่ได้ เนื่องจากไม่ใช่เรื่องเดียวกัน อีกทั้งไม่ใช่เรื่องที่ใช้กฎหมายตัวเดียวกัน สำหรับเรื่องของการถอดยศตำรวจนั้นจะต้องนำระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยถอดยศตำรวจ พ.ศ.2547 มาพิจารณาว่าระเบียบนั้นสามารถนำมาบังคับใช้ได้หรือไม่กับกรณีนี้ หากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาบอกว่าสามารถนำมาใช้ได้ก็ตอบมา ดังนั้น เหตุผลที่ ตร. ส่งเรื่องไปให้กฤษฎีกาตีความก็เพื่อความรอบคอบและไม่ให้เกิดข้อถกเถียงในประเด็นข้อกฎหมายเพราะอาจนำไปสู่การฟ้องร้อง เพราะก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.วิรุฬห์ ฟื้นแสน อดีตผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจและอดีตส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงตน จึงต้องนำประเด็นเหล่านี้มาพิจารณาอีกครั้ง จะเพิกเฉยไม่ได้ เพราะอาจเป็นความผิดของตร.ได้ และในเมื่อตร.ไม่มั่นใจในข้อกฎหมายจึงต้องส่งเรื่องให้กฤษฎีกาดังกล่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ สั่งให้กระทรวงยุติธรรมมาดำเนินการแทน พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี โดย พล.อ.ไพบูลย์ จะได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และฝ่ายกฎหมายของกระทรวงยุติธรรม มาประชุมหารือกันในเรื่องนี้ โดยเฉพาะประเด็นที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่งเรื่องไปหารือกับทางกฤษฎีกา ซึ่งถือเป็นเรื่องดีที่กระทรวงยุติธรรมเข้ามาดูแล เพราะตนได้ส่งเรื่องไปยังกฤษฎีกานานแล้วแต่ยังไม่ได้รับคำตอบ ดังนั้นหากมีการหารือกันทุกหน่วยงาน หรือ มีการบูรณาการการทำงานจะทำให้ขั้นตอนต่างๆ ลดลง ได้ข้อสรุปเร็วขึ้น ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรม ได้เชิญตัวแทนของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมหารือ ได้แก่ พล.ต.อ.ชัยยะ ,พล.ต.ท.ปัญญา เอ่งฉ้วน ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี และ พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล
การที่ รมว.ยุติธรรมเข้ามาดูแลเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ดี เราจะได้รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป เดินไปทางไหน ทำแล้วเราก็จะสามารถตอบสังคมได้ ไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งทั้งในทางความคิด ความรู้สึก ที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ได้ยื้อเวลาหรือขยายเวลาแต่อย่างใด เราทำด้วยความรอบคอบ เป็นตามขั้นตอนของกฎหมาย และวิธีการที่ถูกต้อง เราไม่ได้ทำแบบเร่งรีบ ไม่ได้ทำตามกระแสหรือแรงกดดันใดๆผบ.ตร.กล่าว
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมา ตร. ดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย เมื่อได้รับข้อสรุปจาก สกพ. ก็ได้ส่งเรื่องให้กฤษฎีกาตีความตามขั้นตอน ซึ่งตนไม่สามารถไปเร่งรัดทางกฤษฎีกาได้ แต่หลังการเข้ามาดำเนินการของรมว.ยุติธรรมก็อาจทำให้เรื่องนี้เร็วขึ้น ซึ่งตนเห็นด้วย แต่สุดท้ายแล้วอยู่ที่การประชุมหารือของทาง พล.อ.ไพบูลย์ ว่าจะให้ ตร.เป็นผู้ดำเนินการ หรือ พล.อ.ประยุทธ์ อาจใช้อำนาจสั่งให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการเลยก็ได้

ลุ้นเฮือกสุดท้าย รธน.-คว่ำหรือไม่ แฉ‘เทือก’หวั่นแพ้ซํ้า ยุบิ๊กตู่เขียนรธน.เอง

 ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 10 ส.ค. 2558 07:22

“จาตุรนต์” แฉ “เทือก” ยุ “บิ๊กตู่” เขียน รธน.เอง เหตุผวาแพ้เลือกตั้งซ้ำซาก-บล็อกพรรคคู่แข่งกลับมามีอำนาจ แบ่งทีมกันวางกลไกกินรวบอำนาจ จวก 1 ปีที่ผ่านมาเสียของ แม่น้ำ 5 สายไม่ได้ปฏิรูปอะไรเลย เด็ก พท.อัดซ้ำพูดไปก็น้ำเน่า-วนในอ่าง “เสรี” ไม่เชื่อ คสช.ล้วงร่าง รธน. สปช.เสียงแตก 6 ก๊กโหวตร่าง รธน.ต้องลุ้นโค้งสุดท้ายคว่ำ-ไม่คว่ำ นิด้าโพลจี้ให้โหวตผ่าน รัฐบาลจะอยู่ต่ออีก 2 ปีให้ถามประชามติ ที่ประชุม สปช.เตรียมถกยกเครื่องตำรวจ ดันสูตร ตร.เลือก ผบ.ตร.ตัดตอนการเมืองแทรก
จากกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย เสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ใช้อำนาจพิเศษเขียนรัฐธรรมนูญและแผนปฏิรูปเองนั้น
“บิ๊กตู่” บินร่วมวันชาติสิงคโปร์
เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 9 ส.ค. ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เดินทางในฐานะผู้แทนพระองค์พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวและตัวแทนรัฐบาล ไปยังสาธารณรัฐสิงคโปร์ เพื่อร่วมงานเฉลิมฉลองวันชาติสาธารณรัฐสิงคโปร์และครบรอบ 50 ปีการสถาปนาสิงคโปร์ โดยมีประมุขและผู้นำรัฐบาลจากประเทศต่างๆเข้าร่วม อาทิ สมเด็จพระราชาธิบดีบรูไนดารุสซาลาม ดยุกออฟยอร์กแห่งสหราชอาณาจักร ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา นายกฯนิวซีแลนด์ นายหลี่ หยวนเฉา รองประธานาธิบดีจีน เป็นต้น ทั้งนี้ เมื่อนายกฯเดินทางมาถึงไม่ได้ให้สัมภาษณ์แต่อย่าง ใด เพียงแต่พยักหน้าตอบผู้สื่อข่าวที่ถามว่า ได้เตรียมเสื้อแดงไปร่วมด้วยหรือไม่เท่านั้น จากนั้นได้เดินเข้าห้องรับรอง ขณะที่ พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษก ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเดินทางไปด้วย กล่าวว่าได้เตรียมเสื้อสีแดงไปใส่ร่วมงานด้วย เนื่องจากเป็นประเพณีปฏิบัติของวันชาติสิงคโปร์และเป็นการให้เกียรติด้วย ทั้งนี้ นายกฯเดินทางกลับถึงประเทศไทยในวันเดียวกัน เวลา 23.30 น.
นายกฯน้อยยังรอแผนสร้างชาติ
พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปีว่า อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลทั้งจากแนวทางปฏิรูป คสช.11 ด้าน แผนปฏิรูปของรัฐบาล 11 ด้านที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา และของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) 37 ด้าน เพื่อวางกรอบกำหนดแนวทางว่าอะไรที่ต้องทำทันที อะไรที่ต้องทำก่อนและหลัง หรือต้องส่งต่อ โดยการกำหนดยุทธศาสตร์จะทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องงานปฏิรูป ซึ่งมีตัวแทนร่วมเป็นหนึ่งในคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ด้วย อาทิ สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สภาหอการค้า สภาอุตสาห-กรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) สภาเกษตรกร ช่วยกันกำหนดยุทธศาสตร์วางแนวทางปฏิรูป เพราะต้องกำหนดยุทธศาสตร์ร่วมกันทุกด้าน และที่สำคัญต้องถามความต้องการของประชาชนด้วย
รมว.กต.มึน กปปส.ตั้ง “กษิต” คุย ตปท.
พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกฯและ รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย แต่งตั้งนายกษิต ภิรมย์ อดีต รมว.ต่างประเทศ เป็นผู้ประสานกับต่างชาติว่า จะตั้งในตำแหน่งอะไรก็แล้วแต่ ขอให้ทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม มีเป้าหมายที่ชัดเจนและรู้ว่าอะไรควรไม่ควร แต่เรายังไม่เห็นถึงแนวทางของมูลนิธิฯที่ชัดเจนว่าตั้งแล้วจะช่วยประเทศชาติอย่างไรบ้าง หากช่วยให้ภาพลักษณ์ประเทศดีขึ้นคงเป็นเรื่องดี ซึ่งขอดูการดำเนินการก่อนว่าจะเป็นอย่างไร อย่างไร ก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการมาถูกทางแล้ว เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับต่างชาติเหมือนสถานการณ์ปกติ โดยช่วงการไปร่วมประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ก็ไม่มีใครสอบถามสถานการณ์การเมืองของไทยและเรื่องโรดแม็ป มีแต่ถามว่าถ้าเลือกตั้งแล้วสถานการณ์ของไทยจะ มั่นคงอยู่แบบนี้หรือไม่ ซึ่งตนก็ตอบไม่ได้เพราะขึ้นอยู่กับรัฐบาลที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามา
พท.แฉปม “เทือก” ยุ คสช.เขียน รธน.
นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีต รมว.ศึกษาธิการ แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงข้อเสนอนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส.และประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ใช้อำนาจพิเศษเขียนรัฐธรรมนูญและแผนปฏิรูปเองว่า เรียกร้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง และมาพูดว่าให้ พล.อ.ประยุทธ์ ใช้อำนาจพิเศษเขียนรัฐธรรมนูญและแผนปฏิรูป มันก็ชัดแล้วว่าเป็นเรื่องการเมือง อย่างเสนอไม่ให้มี ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ก็ชี้ให้เห็นได้ชัด สะท้อนว่าการที่นายสุเทพเคยอยู่กับพรรค การเมืองที่แพ้เลือกตั้งมาตลอด จึงทนไม่ได้ที่จะพ่ายแพ้อีก และคงเห็นว่าการร่างรัฐธรรมนูญวางระบบเลือก ตั้ง ที่ต้องการให้แน่ใจว่าพรรคที่เคยเป็นรัฐบาลต้องไม่กลับคืนสู่อำนาจอีก โอกาสที่พรรคเดิมจะกลับมาเป็นรัฐบาลอีกยังสูงอยู่ และข้อเสนอนี้เท่ากับขยายโรดแม็ป การประกาศใช้รัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งอาจถูกเลื่อนออกไปไม่สิ้นสุด ซึ่งเรื่องนี้ต้องตั้งคำถามกับ คสช.ว่ากล้าไหม สำหรับตนคิดว่าคงยากที่จะให้ คสช.เขียนรัฐธรรมนูญเอง ถ้า คสช.ไม่กล้าทำตามข้อเสนอ เชื่อนายสุเทพคงมีไม้เด็ด ที่ไม่อาจมองข้ามอิทธิฤทธิ์ของนายสุเทพได้
แบ่งสายวางแผนกินรวบอำนาจยาวๆ
นายจาตุรนต์กล่าวว่า สิ่งที่นายสุเทพเสนอสอดคล้องกับสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์พูดว่า การเมืองต้องมีระบบมากำกับไม่ให้กลับไปเหมือนเดิมอีก และต้องมีแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี เรียกว่ากินหัวกินหางกินกลางตลอดตัว นายสุเทพไปเน้นระบบเลือกตั้ง ส่วนฝั่งร่างรัฐธรรมนูญวางกลไกที่จะทำให้ผู้มีอำนาจในปัจจุบัน ยังคงสามารถปกครองประเทศไปต่อได้ อีกยาวนาน ทั้งกำหนดให้ใครมาเป็นรัฐบาล และกำหนด รัฐบาลชุดหน้าต้องทำตามสิ่งที่รัฐบาลชุดนี้กำหนดไว้เท่านั้น ขณะที่ 1 ปีที่ผ่านมา แม่น้ำ 5 สายไม่ได้ปฏิรูปอะไรเลย อย่างเรื่องไม่ให้ใครมาขัดขวางการเลือกตั้งได้ง่ายๆ ก็ไม่เห็นทำ และที่ พล.อ.ประยุทธ์ พูดฝากให้นักการเมืองไปคุยกันจะปฏิรูปหรือไม่ ฐานะนักการเมืองคนหนึ่งก็ยังไม่เห็นว่ามีการปฏิรูปอะไรเลย แถมไม่ยอมรับฟังความเห็นที่แตกต่าง รวมถึงสิ่งที่รัฐบาลและ คสช.ทำอยู่ก็ไม่ใช่การปฏิรูป ตนเชื่อว่าแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี หลังเลือกตั้งและรัฐบาลหลังเลือกตั้ง คงไม่มีใครสมัครใจทำตามกลุ่มผู้มีอำนาจบังคับข่มขู่ประชาชนอยู่อย่างนี้
ซัดพูดไปก็น้ำเน่า-วนในอ่าง
นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์คงไม่กล้าทำ หากทำไปยิ่งทำให้ประเทศแย่ลง ประชาชนจะยิ่งไม่ ยอมรับ อย่างไรก็ตาม หากเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญมีปัญหาจริงๆ พล.อ.ประยุทธ์ควรใช้อำนาจพิเศษนำรัฐธรรมนูญในอดีตฉบับใดฉบับหนึ่งมาประกาศใช้ แล้วเขียนบทเฉพาะกาลแก้ไขเพียงเล็กน้อย เช่น นำรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ได้ชื่อว่าเป็นฉบับที่มีที่มาจาก ประชาชนอย่างแท้จริงมาประกาศใช้แทน นายสุเทพพูดเรื่องประชาธิปไตยไปก็ไม่มีใครฟังแล้ว พูดไปก็น้ำเน่า พายเรืออยู่แต่ในอ่าง
จวกแม่น้ำ 5 สายฉุดรั้ง ปท.
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกระแสข่าวคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญแสดงความอึดอัดใจที่ถูก คสช.กดดันเรื่องการปรับแก้ร่างรัฐธรรมนูญว่า ไม่น่าเชื่อว่าแม่น้ำ 5 สาย พาประเทศไทยมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร จุดที่มีความเห็นต่างระหว่างคว่ำร่างรัฐธรรมนูญแล้วอยู่ต่อ หรือทำประชามติถามประชาชนแล้วอยู่ต่อ ซึ่งข้ออ้างปฏิรูปก่อนเลือกตั้งนั้น ฟังไม่ได้ เป็นการอ้างเพื่อถ่วงเวลาขออยู่ต่อ ยิ่งทำให้เศรษฐกิจแย่ลง อีกทั้งการไม่กำหนดวันเลือกตั้งให้ชัดเจน ทำให้ความเชื่อมั่นลดลง ต่างประเทศเริ่มไม่เชื่อมั่นว่า ประเทศไทยจะกลับสู่การเลือกตั้งหรือไม่ มีสิ่งบ่งชี้หลายอย่างส่งสัญญาณว่า ผู้มีอำนาจต้องการสร้างการปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างถาวร การแข่งขัน กันเสนอทางออกของ สปช. โดยไม่สนใจเนื้อหาในร่าง รัฐธรรมนูญเป็นแค่เพียงรูปแบบการวิ่งเต้นเพื่อไปเป็นสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ เหมือนเด็กวิ่งแย่งห่อขนมกัน ถือเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญว่า คนเหล่านั้นยึดประโยชน์ทางการเมืองของตนเป็นหลัก มากกว่าประเทศ ถือเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
กกต.สอน “เทือก” อย่าเป็นคนแก่ขี้บ่น
นายประวิช รัตนเพียร กกต.ด้านการมีส่วนร่วม กล่าวถึงกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยออกมาวิพากษ์ วิจารณ์การทำงานของ กกต. ทุกชุดที่ผ่านมาว่า จุดยืนที่ไม่ต่างกับนายสุเทพ ที่อยากเห็นการเลือกตั้ง เป็นไปโดยสุจริต จึงได้พยายามหามาตรการใหม่ๆ นำเสนอต่อกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยขอให้ กกต.กลับมามีอำนาจมีความเด็ดขาดเป็นยักษ์ที่มีกระบองเหมือน กกต.ชุดแรก แต่ กมธ.ยกร่างฯดูไม่สนใจไม่ยอมรับฟัง นายสุเทพและคณะมูลนิธิฯ ก็ต้องไม่เพียงแต่พูด แต่บ่น ตำหนิคนอื่น ท่านต้องช่วยกันเสนอแนวความคิดทางออกให้กับประเทศในเรื่องนี้ด้วย มิฉะนั้นแทนที่ท่านจะใช้ประสบการณ์ทางการเมือง ของท่านที่มีอย่างโชกโชนล้นเหลือ ให้เกิดประโยชน์กับบ้านเมืองในยามวิกฤติจะกลายเป็นคนแก่ขี้บ่นอีกคนหนึ่งที่หาสาระไม่ได้เลย
“ปนัดดา” วอนกำนัน-ผญบ.ไม่แบ่งสี
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งกับคณะกำนันและผู้ใหญ่บ้านยอดเยี่ยม ประจำปี 2558 จำนวน 270 คน ในโอกาสเข้าเยี่ยมชมวังวรดิศ พิพิธภัณฑ์สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ องค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ว่า กำนันและผู้ใหญ่บ้าน ถือเป็นข้าต่างพระเนตรพระกรรณของแผ่นดิน อย่าไปเป็นผู้อยู่ใต้บงการของพรรคการเมืองใดๆ ขณะเดียวกัน ต้องช่วยกันกลับฟื้นคืนความสงบเรียบร้อยให้กับประเทศชาติ ช่วยเสริมสร้างให้ลูกบ้านรักสมัครสมาน ไม่แตกแยกเป็นสี
10 ส.ค. กมธ.ยกร่างฯชี้ขาดที่มา ส.ว.
นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงความคืบหน้าในการพิจารณาแก้ไขปรับร่างรัฐธรรมนูญว่า ภายในสองสัปดาห์นี้ต้องตัดสินใจในเรื่องที่ยังค้างหรือเป็นปัญหาที่ถกกันให้ได้ทั้งหมด โดยจะเริ่มพิจารณาในวันที่ 10-11 ส.ค. เช่น เรื่องที่มาของ ส.ว.ว่าจะมาจากสรรหาอย่างเดียว หรือแบบผสมผสาน ซึ่งต้องหารือกัน ซึ่งคาดว่าน่าจะได้บทสรุป ทั้งนี้ยืนยันว่า ไม่มีแรงกดดันจาก คสช.ตามกระแสข่าวที่ออกไปว่า ต้องให้ที่มี ส.ว.มาจากการสรรหาทั้งหมด
โชว์เชปร่างสุดท้ายดีเดย์ 23 ส.ค.
นายคำนูณ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการฯต้องการให้ที่มา ส.ว.เป็นแบบพหุนิยม คือมาจากหลากหลายกลุ่มตัวแทนอาชีพ ซึ่งไม่มีโอกาสเข้ามาจากการเลือกตั้งจึงได้ออกแบบให้มีการสรรหา ส.ว.ไว้ 123 คน ส่วนเรื่อง ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้งก็เป็นตัวแทนจังหวัดตามที่มีเสียงเรียกร้องว่า ควรมีตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งด้วย แต่ก็มีความเห็นแตกต่างจากหลายฝ่ายว่า ในส่วนสรรหาควรจะมีรูปแบบอย่างไรจากที่กำหนดให้มีคณะกรรมการสรรหา 4 ชุดก็ยังถูกวิจารณ์ว่าไม่เหมาะจึงต้องพิจารณาอีกครั้ง โดยยึดหลัก “พหุนิยม” คือมี ส.ว.ทั้งจากสรรหาและเลือกตั้งเป็นเจตนารมณ์สำคัญเพื่อให้มีความแตกต่างจากสภาผู้แทนราษฎรเพื่อสะท้อนความหลากหลายของ สังคม โดยอาจปรับเปลี่ยนเรื่องวิธีการสรรหาให้เหมาะสม โดยร่างรัฐธรรมนูญสุดท้ายจะเผยแพร่ต่อสาธารณชนได้หลังวันที่ 23 ส.ค. หลังจากส่งให้ สปช.ในวันที่ 22 ส.ค.แล้ว ยืนยันว่าจะทำให้ดี ที่สุด เหมาะสมกับสถานการณ์ที่สุดและพร้อมน้อมรับผลที่ออกมา
ปรับ กก.ปฏิรูปหวั่นรัฐซ้อนรัฐแทงใจ
นายคำนูณกล่าวต่อว่า ส่วนประเด็นสำคัญอื่นที่จะมีการพิจารณาคือ คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการปฏิรูปประเทศและการปรองดอง ที่มีการปรับแก้ให้มารวมกัน ในร่างล่าสุด เพราะไม่เคยมีมาก่อน แต่คณะกรรมการชุดนี้จะไม่เกี่ยวเนื่องกับสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศชุด 200 คนตามที่มีการแก้ไขในรัฐธรรมนูญชั่วคราว ปี 2557 โดยต้องมีการระบุในบทเฉพาะกาลว่า จะทำหน้าที่เท่ากับวาระของ สปช.เดิม ไม่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญใหม่ ดังนั้น สิ่งที่ต้องคิดต่อคือ สภาขับเคลื่อนฯ ที่จะตั้งใหม่ในรัฐธรรมนูญใหม่ควรจะเป็นอย่างไร รวมถึงคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ ซึ่งจะใช้ตัวแบบคำแก้ไขของ ครม.ที่ขอมา 20 คน โดยไม่อยากให้เป็นกลไกให้อยู่เหนือใครทั้งสิ้น เพราะจะมีนายกรัฐมนตรีและประธานสภาฯรวมอยู่ด้วย ไม่ให้ใครมีอำนาจอยู่เหนือใคร เพราะมีเสียงสะท้อนว่ากลไกนี้จะกลายเป็นการสร้างอำนาจรัฐซ้อนรัฐ จึงอาจปรับเปลี่ยนเพื่อให้ฝ่ายการเมืองเข้ามามีส่วนร่วม แต่จะออกแบบอย่างไร มีวิธีการทำงานแบบใด ยังต้องหารือในที่ประชุมให้ได้ข้อสรุปก่อน
“เสรี” ไม่เชื่อ คสช.ล้วงร่าง รธน.
นายเสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม สปช. กล่าวถึงกระแสข่าว คสช.แทรกแซงการทำงานของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญว่า นายกรัฐมนตรีได้ปฏิเสธเรื่องดังกล่าวไปแล้ว ส่วนตัวเชื่อว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่ คสช.จะไปแทรกแซงการยกร่างรัฐธรรมนูญของ กมธ.ยกร่างฯ ยังมั่นใจว่า กรณีที่มา ส.ว.จะยังมี ส.ว.เลือกตั้ง และ ส.ว.สรรหา ตามเนื้อหาเดิม เพราะหากแก้ไขให้เหลือเฉพาะ ส.ว.สรรหาอย่างเดียวจะถูกครหาได้ ส่วนแนวโน้ม สปช.จะคว่ำหรือไม่คว่ำร่างรัฐธรรมนูญ คงต้องรอให้เห็นร่างสุดท้ายของ กมธ.ยกร่างฯที่จะส่งให้ สปช.พิจารณาในวันที่ 22 ส.ค. จึงจะเห็นทิศทางชัดเจนขึ้น นอกจาก สปช.จะพิจารณาจากเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญแล้ว คงต้องนำเรื่องสถานการณ์การเมืองในขณะนั้นมาประกอบการตัดสินใจในการลงมติด้วย
2 กมธ.ตั้งป้อมต้าน 3 ปมร้อน
นายเสรีกล่าวว่า ขณะนี้คณะกรรมาธิการปฏิรูปการเมืองและคณะกรรมาธิการปฏิรูปกฎหมายฯ กำลังรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์เนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญที่เริ่มมีความชัดเจนจาก กมธ.ยกร่างฯ เพื่อเตรียมที่จะสรุปรายละเอียดทั้งหมดว่า มีข้อดี ข้อเสียอย่างไรให้สมาชิก สปช.รับทราบ จากการประเมินเห็นว่า กมธ.ยกร่างฯยังไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงเนื้อหาเท่าใด และมีจุดบกพร่องอาทิ 1.เรื่องระบบการเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม ทำให้เกิดรัฐบาลผสม ขัดหลักเกณฑ์การบริหารบ้านเมือง เพราะทำให้รัฐบาลไม่มีเสถียร-ภาพการทำงาน 2.นายกรัฐมนตรีคนนอก 3.ที่มา ส.ว. ที่ยังคงให้ ส.ว.มีอำนาจถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ ทั้งที่ผ่านมา ส.ว.ไม่เคยถอดถอนได้สำเร็จ จึงควรให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นผู้ทำหน้าที่แทน นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดอีกหลายประเด็น ที่กำลังรอดูความชัดเจนจาก กมธ.ยกร่างฯ
ชง สปช.ยกเครื่องกิจการตำรวจ
นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการจัดทำแผนปฏิรูปกิจการตำรวจ กล่าวว่า ในวันที่ 11 ส.ค.ที่ประชุม สปช.จะพิจารณารายงานของคณะกรรมการจัดทำแผนปฏิรูปกิจการตำรวจเรื่องการจัดทำแผนปฏิรูปกิจการตำรวจ มีสาระสำคัญเพื่อปฏิรูปเปลี่ยนแปลงวงการตำรวจครั้งใหญ่ในหลายด้านได้แก่ 1.การ บริหารกิจการตำรวจให้มีความเป็นอิสระ ลดการแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง 2.การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจมีความเป็นธรรม ลดการวิ่งเต้นโยกย้ายและซื้อขายตำแหน่ง 3.การแต่งตั้ง ผบ.ตร.ให้ได้รับการยอมรับจากข้าราชการตำรวจ เพราะไม่ได้แต่งตั้งจาก ฝ่ายการเมือง แต่แต่งตั้งจากข้าราชการตำรวจด้วยกัน 4.การถ่ายโอนภารกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับตำรวจให้หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง 5.อำนาจการสอบสวนของตำรวจมีความเป็นอิสระ ปลอดภัยจากการถูกแทรกแซงจากตำรวจชั้นผู้ใหญ่และฝ่ายการเมือง 6.การรับสินบนของตำรวจจะลดลง 7.การให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกิจการตำรวจมากขึ้น
ดันสูตร ตร.เลือก ผบ.ตร.เอง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แนวทางการปฏิรูปตำรวจตามรายงานดังกล่าวมีสาระสำคัญ อาทิ การปฏิรูปโครงสร้างคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ให้มี 16 คน โดยตำแหน่งประธาน ก.ตร. ให้คัดเลือกจากอดีต ผบ.ตร.หรือเทียบเท่าขึ้นไป โดยมาจากการลงคะแนนเลือกจากข้าราชการตำรวจระดับยศ พ.ต.อ.ขึ้นไป ส่วนการแต่งตั้ง ผบ.ตร.นั้น จะให้ ก.ตร.เพียงองค์กรเดียวเป็นผู้ดำเนินการแต่งตั้ง โดยคัดเลือกข้าราชการตำรวจในตำแหน่งจเรตำรวจแห่งชาติ รอง ผบ.ตร.หรือเทียบเท่า จำนวน 3 คน แล้วให้ข้าราชการตำรวจระดับผู้กำกับการหรือเทียบเท่า (ยศ พ.ต.อ.ขึ้นไป) ลงคะแนนเลือกให้เหลือ 1 คน เพื่อเสนอ ก.ตร.นำเสนอนายกรัฐมนตรี นำความกราบบังคมทูลโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็น ผบ.ตร.ต่อไป จะทำให้ผู้ได้รับแต่งตั้งเป็น ผบ.ตร. ต้องสั่งสมผลงานมาเป็นระยะยาวพอสมควร ไม่ใช่วิ่งเต้นรับใช้นักการเมืองอย่างเดียว
เฉือนชิ้นปลามันให้องค์กรอื่นไปคุม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่านอกจากนี้ ยังให้ถ่ายโอนภารกิจบางส่วนให้หน่วยงานที่มีภารกิจโดยตรงไปดำเนินการ เพื่อลดภาระหน้าที่ของตำรวจ อาทิ ภารกิจจราจรให้ กทม. เมืองพัทยา และองค์กรปกครองท้องถิ่น ภารกิจป้องกันปราบปรามความผิดทางทรัพยากรธรรมชาติไปให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภารกิจตำรวจน้ำไปให้กระทรวงคมนาคม และภารกิจการตรวจคนเข้าเมือง ไปให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม หรือกระทรวงต่างประเทศดำเนินการ
ให้ กก.ประเมินผลฯเช็กงบ สสส.
นายไพบูลย์ นิติตะวัน คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า ในการประชุม กมธ.ยกร่างวันที่ 10-11 ส.ค. จะมีการพิจารณาเรื่องที่ค้างไว้ 2 ประเด็นคือ 1.ที่มาคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ 2.ที่มา ส.ว. ซึ่งจะต้องได้ข้อสรุปออกมา เพราะยังมีสมาชิก กมธ.ยกร่างฯบางคนต้องการแก้ไขหลักการเรื่องที่มา ส.ว. ซึ่งต้องรอดูว่าที่ประชุมจะเห็นเป็นอย่างไร ส่วนเรื่องการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยให้กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และไทยพีบีเอส ต้องของบประมาณโดยผ่านการเห็นชอบจากสภาฯนั้น กมธ.ยกร่างฯจะพิจารณาเรื่องดังกล่าวในวันที่ 11 ส.ค.
แต่เชื่อว่าที่ประชุมส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการให้ทั้งสององค์กรต้องของบประมาณโดยผ่านสภาฯ เพียงแต่อาจมีการปรับแก้ในประเด็นการตรวจสอบการใช้งบของทั้งสององค์กร เพราะที่ผ่านมา ทั้ง 2 องค์กรมีปัญหาเรื่องการตรวจสอบ ตนจะเสนอให้คณะกรรมการประเมินผลแห่งชาติ มาทำหน้าที่ตรวจสอบบอร์ดบริหารของ 2 องค์กรนี้เพื่อให้ประ-ชาชนรับทราบ
ติงคว่ำ รธน.-ปฏิรูป 2 ปีจุดวิกฤติใหม่
วันเดียวกัน นายอลงกรณ์ พลบุตร เลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วิป สปช.) โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ ระบุว่า ประเทศไทยกำลังเข้าสู่เดือนสุดท้ายของหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญอีกครั้ง เมื่อ สปช.จะลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบรัฐธรรมนูญ การเคลื่อนไหวทางการเมืองเริ่มปรากฏให้เห็นมากขึ้นเมื่อใกล้ถึงวันลงมติรัฐธรรมนูญทั้งการคว่ำรัฐธรรมนูญ จนถึงประชามติให้ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง 2 ปี การกระทำใดๆช่วงนี้ล้วนมีผลต่ออนาคตของประเทศ ซึ่งจุดยืนของนายกรัฐมนตรีที่ยึดมั่นการเดินตามโรดแม็ปถูกต้องแล้ว เพื่อช่วยให้ประเทศไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ไม่ชัดเจนและไม่แน่นอน เพราะการเปลี่ยนแปลงที่กระทบต่อโรดแม็ป มีแต่สร้างความขัดแย้งซ้ำเติมประเทศ ซึ่งการเดินตามโรดแม็ปและร่วมกันขับเคลื่อนการปฏิรูปอย่างต่อเนื่องจะดีที่สุดสำหรับประเทศ ดังนั้น ข้อเสนอให้คว่ำรัฐธรรมนูญหรือปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง 2 ปี แฝงความพยายามหาทางออกให้ประเทศ แต่เกรงว่าจะก่อวิกฤติความขัดแย้งครั้งใหม่ สู้ให้ประเทศเดินตามโรดแม็ปจะดีกว่า
สปช.แตก 6 ก๊กโหวตร่าง รธน.
นายบุญเลิศ คชายุทธเดช สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวถึงการลงมติร่างรัฐธรรมนูญของ สปช.ในวันที่ 7 ก.ย. ว่าจากการประเมินท่าทีและจุดยืนของ สปช.ทั้ง 249 คน แบ่งได้เป็น 6 กลุ่มคือ 1.สปช. 20 คนที่เป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กลุ่มนี้ตัดสินใจนานแล้วจะให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านแน่นอน 2.กลุ่มที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อ กมธ.ยกร่างฯ ซึ่งได้ตัดสินใจแล้วว่า จะลงมติให้ผ่านแน่นอน เนื่องจากเห็นว่า เนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญดีเป็นส่วนใหญ่ มีไม่ถูกใจเพียงเล็กน้อย เป็นกลุ่มที่ไม่ชอบความขัดแย้ง และถือว่า ร่วมงานปฏิรูปและจัดทำรัฐธรรมนูญด้วยกันมา จะให้คว่ำรัฐธรรมนูญไม่ได้ 3.กลุ่ม สปช.22 คนที่เสนอให้ตั้งคำถามประชามติสอบถามเรื่องการปฏิรูป 2 ปี ก่อนเลือกตั้ง กลุ่มนี้จะลงมติผ่านร่างรัฐธรรมนูญเช่นกัน 4. กลุ่มที่จะลงมติไม่ให้ผ่านแน่นอน เพราะเห็นว่า ร่างรัฐธรรมนูญบางส่วนจะเกิดปัญหาในวันข้างหน้า และประเมินว่าสถานการณ์ของประเทศยังวางใจไม่ได้ว่า เมื่อ สปช.ผ่านร่างรัฐธรรมนูญแล้ว และผ่านการทำประชามติ จะไม่เกิดปัญหาในอนาคต จึงต้องตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการคว่ำในขั้นตอนลงมติ สปช. 5.กลุ่มที่ยังไม่ตัดสินใจ โดยขอดูเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญก่อน 6.กลุ่มที่ยังไม่ตัดสินใจ โดยขอดูเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญ และบรรยากาศทางการเมืองก่อน ซึ่งยังคาดเดาไม่ได้ว่า ผลลงมติจะออกมาอย่างไร แต่ถ้าประเมินขณะนี้ สปช.ที่อยากให้ผ่านร่างรัฐธรรมนูญยังมีมากกว่า
เตือนสติ สปช.ยึดประเทศเป็นตัวตั้ง
นายนิมิต สิทธิไตรย์ สปช. กล่าวว่า การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญต้องเอาบ้านเมืองและเหตุผลเป็นตัวตั้ง การลงมติจะต้องเข้าใจเนื้อหา ต้องรอบคอบและคำนึงถึงทุกมิติ ที่สำคัญต้องไม่ลืมสาเหตุหลักว่า ทำไมถึงต้องปฏิรูปประเทศและทำไมจึงต้องทำรัฐธรรมนูญใหม่ ถ้ารัฐธรรมนูญดีจริง ตอบโจทย์ได้ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ผ่าน ถึงแม้รัฐธรรมนูญไม่ผ่านก็ไม่ใช่ทางตัน เพราะรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวได้เขียนทางออกไว้แล้ว
“ยะใส” ให้ทำความเห็นส่วนตัวลงมติ
นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต และ ผอ.สถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) กล่าวถึงการลงมติของ สปช.ในการรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญว่า ขอเสนอให้ สปช.ทั้ง 249 คน ทำความเห็นส่วนตัว เพื่อแถลงต่อสาธารณะประกอบการลงมติว่า เหตุใดจึงตัดสินใจรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ในลักษณะคล้ายๆกับกระบวนการวินิจฉัยคดีของศาลรัฐธรรมนูญ แม้กระบวนการลงมติครั้งนี้จะทำโดยเปิดเผยขานชื่อเรียงตัวก็ตาม แต่เป็นไปได้ว่า สปช.หลายคนอาจโหวตตามกระแสหรือการล็อบบี้ ซึ่งประชาชนไม่สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ว่า แรงจูงใจในการโหวตเกิดจากอะไร เป็นตัวของตัวเองหรือไม่ แต่ถ้า สปช. ทุกคนทำคำแถลงส่วนตนแล้วเปิดเผยผ่านสาธารณะ จะทำให้การลงมติมีความสง่างาม ไม่ถูกมองว่า มีเบื้องหลัง ไม่ว่าผลการลงมติจะออกมาทางใดก็ตาม สาเหตุที่เสนอเช่นนี้ เพราะเป็นห่วงว่า การลงมติของ สปช.อาจมีแรงจูงใจทางอื่นมาเจือปน ทำให้การลงมติเบี่ยงเบนไปจากสิ่งที่ควรจะทำ
“เทียนฉาย” ออกจาก รพ.เร่งงานต่อ
นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวถึงอาการป่วยโรคปอดอักเสบว่า เพิ่งออกจากโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 9 ส.ค. หลังจากเข้ารับการรักษาตัวที่ รพ.จุฬาฯ ตั้งแต่วันที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยแพทย์ระบุว่าเกิดจากปอดติดเชื้อไวรัส ต้องใช้เวลาฟื้นตัว และพักรักษาเป็นเดือน แต่ขณะนี้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ยังทำงานไหว เพราะเป็นช่วงที่งาน สปช.ต้องเร่งทำให้เสร็จ
โพลจี้ สปช.โหวตผ่านร่าง รธน.
“นิด้าโพล” เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนกระจายทั่วทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา และอาชีพ รวมทั้งสิ้นจำนวน 1,251 หน่วยตัวอย่าง เรื่อง “สถานการณ์ทางการเมือง จากนี้เป็นอย่างไร” จากการสำรวจ เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อสถานการณ์ทางการเมืองที่ต้องการเห็นจากนี้ไป พบว่า ร้อยละ 74.66 ระบุว่า เป็นไปตาม Road Map ของ คสช. คือ ร่างรัฐธรรมนูญผ่านความเห็นชอบจาก สปช. และจากการลงประชามติของประชาชน ทำให้มีการเลือกตั้งประมาณเดือนกันยายนปี 2559 รองลงมา ร้อยละ 8.95 ระบุว่า สปช. ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ทำให้ต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นอีก 6 เดือน เพื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และทำให้ต้องเลื่อนการเลือกตั้งออกไปประมาณต้นปี 2560
รัฐบาลจะอยู่ 2 ปีต้องถามประชามติ
สำหรับความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อข้อเสนอให้ทำประชามติถามความเห็นประชาชนว่าจะให้รัฐบาลอยู่ต่ออีก 2 ปี เพื่อปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 71.54 ระบุว่า เห็นด้วยกับการทำประชามติ เพราะจะได้ทราบถึงเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนที่ชัดเจนไปเลยว่า คิดเห็นอย่างไร เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีสิทธิและมีส่วนร่วมตามหลักประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ซึ่งทุกวันนี้ในสังคมมีความคิดเห็นที่แตกต่าง รัฐบาลควรรับฟังความเห็นจากประชาชนก่อนที่จะตัดสินใจเอง และจะได้ไม่เกิดปัญหาตามมาภายหลัง ขณะที่ ร้อยละ 23.66 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยกับการทำประชามติ เพราะ เป็นการสิ้นเปลืองเวลาและงบประมาณ ควรปล่อยให้รัฐบาลดำเนินการไปตาม Road Map ควรเร่งจัดการการเลือกตั้งทีเดียวไปเลย และร้อยละ 4.80 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ
สวนดุสิตโพลเชียร์ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง
“สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศจำนวน 1,204 คน เรื่อง “ทิศทางการเมืองไทย” ในทัศนะประชาชน พบว่า ร้อยละ 47.06 ควรปฏิรูปประเทศให้เสร็จก่อน แล้วจึงมีการเลือกตั้ง ร้อยละ 22.07 ควรเดินตามโรดแม็ป โดยมีการเลือกตั้งในปีหน้า ร้อยละ 14.83 อย่างไรก็ได้ แล้วแต่นายกรัฐมนตรี ร้อยละ 9.31 เลือกตั้งให้เร็วที่สุดก่อนโรดแม็ปกำหนดไว้ และร้อยละ 6.73 อื่นๆ อาทิ อยากให้เดินหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องประชาชนก่อน ดำเนินการกับข้าราชการ นักการเมืองที่ทุจริตคอร์รัปชันสร้างความเสียหายให้กับบ้านเมือง
ชมเปลี่ยนคนลุยถอดยศ “ทักษิณ”
นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีส่งเรื่องการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยมอบให้ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม เป็นผู้ดูแลแทน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.ว่า เป็นเรื่องเซียนเหนือเซียน เชื่อว่าจะมีคำตอบให้ประชาชนได้ภายในหนึ่งเดือนตามที่ พล.อ.ไพบูลย์ ระบุจะถอดยศหรือไม่ เพราะถ้าเรื่องยังคาอยู่ที่ สตช.จะทำให้ไม่มีความคืบหน้าแน่ จึงเห็นด้วยที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช.ให้กระทรวงยุติธรรมเข้ามาดูแลเพื่อให้ได้ข้อสรุปนี้ต่อสังคม
ยุ “บิ๊กตู่” ชักดาบค่าโง่คลองด่าน
นายวัชระกล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตัดสินใจจ่ายเงินค่าโง่กรณีบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน กว่า 9 พันล้านบาทว่า ตนได้รับการร้องเรียนจากประชาชนผู้เสียภาษีให้รัฐจำนวนมากว่า ขอคัดค้าน เพราะนายกฯมีอำนาจใช้มาตรา 44 ในการตัดสินปัญหา แทนที่จะนำงบประมาณแผ่นดินมาจ่ายค่าโง่นี้ ขอให้สั่งทบทวนหรือจ่ายแค่ครึ่งเดียว ไม่จำเป็นต้องมารับผิดชอบการโกงของข้าราชการประจำและนักการเมืองถึง 9 พันล้านบาท ตนจะทำหนังสือทักท้วงเพื่อยื่นต่อนายกรัฐมนตรีต่อไป และขอเสนอให้ใช้มาตรา 44 ชักดาบเริ่มด้วยการชะลอหรือระงับการจ่ายเงินไว้ก่อนเพราะมีอำนาจเหนือทุกฝ่ายและดำเนินการให้โปร่งใส
เสื้อแดงเจอเบรกจัดกิจกรรมหน้าคุก
ด้านความเคลื่อนไหวกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อเวลา 14.00 น. กลุ่มเมล็ดพริก นำโดย น.ส.เสาว-ลักษณ์ โพธิ์งาม และ น.ส.เพียงคำ ประดับความ นัดหมายมวลชนเสื้อแดงราว 40 คน รวมตัวหน้าป้ายเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ติดถนนงามวงศ์วาน เพื่อจัดกิจกรรม สนทนาหน้าคุกตอนที่ 1 เรื่อง “สรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน การซ้อมทรมานภายใต้รัฐประหาร” เพื่อสะท้อนกระบวนการยุติธรรมภายใต้กฎอัยการศึก และ ม.44 ปรากฏว่าก่อนกิจกรรมจะเริ่ม พ.ต.อ.ธนันท์ธร รัตนสิทธภาคย์ ผกก.สน.ประชาชื่น นำกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งในและนอกเครื่องแบบ ขนแผงรั้วเหล็กมาล้อมลานหน้าป้ายเรือนจำพิเศษกรุงเทพ สกัดกั้นการรวมตัวของมวลชนกลุ่มเมล็ดพริก
ก่อนสั่งห้ามขาดว่าหากมีการรวมตัวต้องไม่มีการใช้เครื่องเสียง และการพูดคุยเรื่องการเมือง โดยขู่ว่าหากฝ่าฝืนจะจับกุม ทางกลุ่มจึงต้องยอมมาใช้พื้นที่ริมฟุตปาท นั่งล้อมวงสนทนา เรื่องสิทธิมนุษยชน และมีการชูป้ายเรียกร้องยุติการซ้อมทรมานผู้ต้องหา เรียกร้องให้มีการประกันตัวนายสรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน น.ส.ณัฏฐธิดา มีวังปลา หรือแหวน และผู้ต้องหารายอื่นๆ จากนั้นเวลา 18.00 น. ผู้ชุมนุมล้อมวงจุดเทียน ร้องเพลงแสงดาวศรัทธาแล้วสลายตัวกลับ

"สมยศ"โยนให้กฤษฎีกาพิจารณาปมถอดยศ"ทักษิณ"

    ผบ.ตร.ระบุแจง "บิ๊กตู่" ปมถอดยศ"ทักษิณ" แล้ว โยนเรื่องให้กฤษฎีกาพิจารณา ส่งตัวแทนชี้แจงที่ประชุมยุติธรรม ยันสตช.ทำงานโดยยึดหลักความถูกต้อง ไม่ตามกระแสเด็ดขาด
    สมยศโยนให้กฤษฎีกาพิจารณาปมถอดยศทักษิณ

    สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) --- เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 10 สิงหาคม 58  พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) เปิดเผยเกี่ยวกับกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมเข้ามากำกับดูแลการถอดยศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ท่านนายกรัฐมนตรี ได้สอบถามถึงกรณีดังกล่าวแล้ว ซึ่งตนก็ได้ชี้แจงว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แต่เรื่องดังกล่าวมีข้อกฎหมายที่ต้องพิจารณาหลายข้อ ตามขั้นตอนและระเบียบกฎเกณฑ์ โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนจึงต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ และนายกรัฐมนตรี ก็รับทราบแล้ว 

    สำหรับความคืบหน้าเรื่องนี้ หลังจากที่ได้มอบหมายให้สำนักงานกำลังพลพิจารณา ซึ่งขณะนี้ได้ส่งเรื่องกลับมาที่ผมแล้ว จากนั้นผมก็ได้ส่งเรื่องไปยังสำนักงานกฤษฎีกา เพื่อให้พิจารณาโดยไม่ขอเปิดเผยในรายละเอียดว่า มีข้อติดขัดอะไรที่ต้องพิจารณาบ้าง ผบ.ตร. กล่าว

    พล.ต.อ.สมยศ กล่าวด้วยว่า กรณีที่ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เรียกประชุมฝ่ายที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับเรื่องการดำเนินการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณในวันนี้(10 ส.ค.) ตนได้ส่งตัวแทนเข้าชี้แจงกับ พล.อ.ไพบูลย์ ในที่ประชุมแล้ว และขอยืนยันว่า ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำงานโดยยึดหลักความถูกต้องชัดเจน และจะไม่ทำงานตามกระแสเด็ดขาด

    “ศรีสุวรรณ” ยื่น ปธ.สปช.สอบจริยธรรม “วันชัย” คว่ำร่างฯ แฉ 10 สมาชิกเรียน ปปร.ซ้อนเวลาประชุม

    เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นร้องเรียนต่อประธาน สปช. โวย “วันชัย” ให้ข่าวหนุนคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ ขัดแย้งกับหน้าที่ เชื่อสร้างกระแสให้เด่นหวังถูกเลือกนั่งสภาขับเคลื่อนฯ จี้ตั้งกรรมการสอบจริยธรรม พ่วงพวกหนุนคว่ำด้วย จ่อยื่น ป.ป.ช.ฟัน 10 สมาชิก ลงเรียน ปปร.ทับซ้อนเวลาประชุม คอร์รัปชันเวลาราชการ
     (10 ส.ค.) ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 13.00 น. นายศรีสุวรรณ จรรยา อุปนายกและเลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นหนังสือร้องเรียนถึงนายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ผ่านนายคณพล ตุ้ยสุวรรณ ผู้บังคับบัญชากลุ่มงานประสานการเมือง และรับเรื่องราวร้องทุกข์ สภาผู้แทนราษฎร ในฐานะ ผอ.ศูนย์รับฟังความเห็น สปช. กรณีสมาชิก สปช.มีพฤติการณ์หรือการกระทำที่ขัดต่อข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมฯ และอื่นๆ
           
           โดยนายศรีสุวรรณกล่าวว่า ตามที่ปรากฏว่าสมาชิก สปช.หลายคน อาทิ นายวันชัย สอนศิริ สปช.ได้ออกมาให้ข่าวต่อสาธารณะ โดยสนับสนุนให้คว่ำรัฐธรรมนูญหลายครั้ง การแสดงออกดังกล่าวเป็นการขัดหรือแย้งต่อการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิก สปช. อีกทั้งนายวันชัยยังมีตำแหน่งเป็นเลขานุการวิป สปช. ย่อมต้องมีวุฒิภาวะในการนำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อสมาชิก และประชาชนในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 31 ประกอบมาตรา 27 ที่รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 บัญญัติไว้ ทั้งนี้ ตนเชื่อว่านายวันชัยพยายามสร้างกระแสให้ตัวเองโดดเด่น เพื่อที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะได้เลือกให้เป็นสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ หากเป็นเช่นนั้นจริงจะถือว่าเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อนด้วย ตนจึงต้องการให้ประธาน สปช.ใช้อำนาจดำเนินการตั้งกรรมการสอบจริยธรรมนายวันชัย และสมาชิก สปช.ที่ออกมาสนับสนุนการคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ
           
           นายศรีสุวรรณกล่าวต่อว่า สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ทราบมาด้วยว่ามีสมาชิก สปช. ประมาณ 10 คน ได้ลงเรียนในหลักสูตรการเมือง การปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระดับสูง (ปปร.) ของสถาบันพระปกเกล้า โดยมีตารางเรียนทุกวันวันจันทร์ และวันอังคาร ทับซ้อนกับเวลาประชุมสปช. ถือเป็นการคอร์รัปชันเวลาราชการ ดังนั้นตนจะยื่นเรื่องดังกล่าวให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พิจารณาต่อไป

    สุเทพ อัดยับ กกต. ชี้ เป็นองค์กรที่ควรต้องปฏิรูปมากที่สุด

    - ข่าวไทยรัฐออนไลน์
    "สุเทพ" อัด กกต.องค์กรที่ต้องปฏิรูปมากสุด ทำตัวเป็นศาลพระภูมิ ไม่เคยจับกุมคนโกงเลือกตั้งได้แม้แต่คนเดียว แนะ ถึงเวลาที่ กกต.ทั้งหมด อาจต้องมาจากเลือกตั้ง
    วันที่ 9 ส.ค. 58 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการทำหน้าที่ตรวจสอบทุจริตเลือกตั้งของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่า กกต. ควรเป็นองค์กรที่ต้องถูกปรับปรุงมากที่สุด หลังจากเฝ้าดู กกต.มาตลอดตั้งแต่ใช้รัฐธรรมนูญปี 40-50 มา ไม่เคยจับกุมคนโกงเลือกตั้งได้แม้แต่คนเดียว ถือเป็นองค์กรที่ไม่ได้เรื่องที่สุด ทำหน้าที่โดยสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดิน มีอำนาจใหญ่คับบ้านเมืองแต่ไม่เป็นประโยชน์ ทำตัวเป็นศาลพระภูมิ ไม่มีใครจุดธูปไม่ลงจากศาล ทั้งที่คนเขารู้กันทั้งประเทศว่า มีโกงเลือกตั้งซื้อสิทธิขายเสียง แต่ไม่เคยจับเองได้เลย ขอตำหนิในแง่องค์กร มีแต่คนอยากเป็น กกต. อยากเป็นใหญ่ แต่ไม่ยอมทำงานแล้วที่ร้ายกว่านั้น คือ ทั้ง นายก อบต. นายก อบจ. นายกเทศมนตรี ทั้งหลายในประเทศนี้โดนทั้งนั้น จากใบแดงเป็นใบเหลือง จากใบเหลืองเป็นหลุด ใครวิ่งเต้นได้ก็หยุด แต่ว่า ในกระบวนการนี้ มีคนมีพฤติการณ์อย่างนี้เช่นกัน ทำให้การเลือกตั้งไม่บริสุทธิ์ ประเทศนี้จึงกลายเป็นของหลอกไปหมด จึงน่าเสียดายที่เรามีองค์กรกลางที่เป็นอิสระแต่ไม่มีความเข้มแข็ง ไม่สามารถเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง จึงอาจถึงเวลาที่ กกต.จะต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน นี่หมายถึง ทั้งกกต.จังหวัด และ กกต.ประเทศ

    แก๊งทักษิณดาหน้าชน เดินเกมบ่อนทำลายรัฐบาล-คสช.

    คอลัมน์...จับได้ไล่ทัน

    โดย...ส.วิภาวดี
    (นสพ.แนวหน้า)

    ในภาวะที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)และรัฐบาลเฉพาะกาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช.ต้องเผชิญสารพัดปัญหารุมเร้า อาทิ วิกฤติเศรษฐกิจวิกฤติภัยแล้ง บรรดาแกนนำพรรเพื่อไทยสาวกระบอบทักษิณทั้งหลายต่างดาหน้าออกมาเดินเครื่องจ้องทำลายความชอบธรรมบ่อนทำลายรัฐบาลและคสช. เพื่อปูทางให้ระบอบทักษิณกลับมายิ่งใหญ่ยึดครองประเทศอีกครั้ง

    นับวันบรรดาแกนนำระบอบทักษิณจะกล้าออกมาเคลื่อนไหวท้าทายอำนาจคสช.และรัฐบาลมากขึ้นเรื่อยๆ อาทิ นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรี และแกนนำพรรคเพื่อไทย ออกมาดับเครื่องชนโจมตีรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์อย่างรุนแรง โดยชี้ว่า ถึงแม้จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.)ประยุทธ์ 2 ก็ไม่ทำให้บ้านเมืองดีขึ้น เพราะเป็นรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร และถึงขนาดโจมตีว่า พล.อ.ประยุทธ์  ในฐานะผู้นำรัฐบาลและบรรดารัฐมนตรีไม่มีความรู้ความสามารถและคุณสมบัติตลอดจนประสบในการบริหารประเทศ อีกทั้งใช้อำนาจเผด็จการโดยไม่ฟังเสียงประชาชน

    ขณะเดียวกันแกนนำพรรคเพื่อไทยอีกหลายคนต้องออกมาโจมตีว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ บริหารประเทศล้มเหลวจนทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจที่ชะงักงัน ซึ่งต่างจากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด ที่ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น ทั้งๆที่ในความเป็นจริงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ก่อหนี้สาธารณะมูลค่ามหาศาลและนำพาประเทศไปสู่ภาวะรัฐล้มเหลวสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแค่โครงการรับจำนำข้าวทำให้ประเทศเป็นหนี้และขาดทุนกว่า 1 ล้านล้านบาทในช่วงเวลาแค่ 3 ปีที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์บริหารประเทศ และที่สำคัญคือมีการทุจริตโกงชาติปล้นแผ่นดินมโหฬารคาดว่าเป็นมูลค่านับแสนล้านบาท  และที่เลวร้ายกว่านั้นคือโครงการรับจำนำข้าวได้สร้างความหายนะจากการก่อหนี้จนการคลังของประเทศพินาศล่มจม และทำลายวงจรข้าวของประเทศทั้งระบบมาจนทุกวันนี้

    ผลพวงอัปยศจากโครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ดยังทำให้ข้าวล้นประเทศขายไม่ได้เพราะราคาสูงกว่าความเป็นจริงถึงเท่าตัวปริมาณถึงเกือบ 20 ล้านตันที่ต้องเสียค่าดูแลรักษาปีละหลายหมื่นล้านบาท และเสื่อมคุณภาพทำให้ขาดทุนอีกนับแสนล้านบาท และที่เลวร้ายกว่านั้นก็คือ ข้าวที่ล้นประเทศทำให้ชาวนาขายข้าวไม่ได้และราคาตกต่ำ

    รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ทิ้งซากแห่งความหายนะไว้กับบ้านเมืองจำนวนมากทำให้รัฐบาล  พล.อ.ประยุทธ์ ต้องแบกรับภาระเข้ามาสะสางปัดกวาดจนทำให้สถานการณ์เริ่มค่อยๆดีขึ้นตามลำดับซึ่งแม้แต่วิกฤติภัยแล้งน้ำในเขื่อนหลักทั่วประเทศที่ใกล้แห้งขอดก็เป็นผลพวงอัปยศจากกรบริหารจัดการน้ำผิดพลาดของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ด้วยการระบายน้ำจากเขื่อนใหญ่ทั่วประเทศหลังเกิดมหาอุทกภัยครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์เมื่อปี 2554 จนเหลือต้นทุนน้ำอยู่น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ทั้งๆที่ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายเคยเตือนว่าจะเกิดวิกฤติภัยแล้งต่อเนื่องหลายปีหลังเกิดมหาอุทกภัย  แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ดึงดันระบายน้ำจากเขื่อนขนานใหญ่เพื่อรองรับโครงการรับจำนำข้าวที่ใช้น้ำมหาศาลเนื่องจากชาวนาแห่ปลูกข้าวทั่วประเทศเพิ่มขึ้นจากประมาณ 3 ล้านไร่เป็นกว่า 5 ล้านไร่ เพื่อจำนำข้าวตันละ 15,000 บาทซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าราคาตลาดถึงเท่าตัว ผลก็คือต้นทุนน้ำในเขื่อนอยู่ในระดับวิกฤติ ซึ่งเมื่อรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามาบริหารประเทศวิกฤติน้ำในเขื่อนอยู่ในสภาพเลวร้ายอยู่แล้ว แต่จำเป็นต้องระบายเพื่อใช้ในการเกษตรและ เพื่อการอุปโภคบริโภครวมทั้งไล่น้ำเต็มตามปกติประกอบกับเกิดภาวะฝนทิ้งช่วงครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบ50 ปีทำวิกฤติน้ำในเขื่อนรุนแรงมากยิ่งขึ้น ซึ่งหากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่บริหารจัดการน้ำผิดพลาดจนต้นทุนน้ำในเขื่อนเหลือน้อยกว่าที่ควรจะเป็นตั้งแต่แรก วิกฤติภัยแล้งในปีนี้ก็คงไม่รุนแรงอย่างที่เห็น

    ทั้งนี้ที่น่าห่วงก็คือการประเมินของผู้เชี่ยวชาญที่ชี้ว่า แม้ฝนจะตกตามฤดูกาลในปีต่อๆก็ยังต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะต้นทุนน้ำในเขื่อนใหญ่จะกลับสู่ภาวะปกติ

    ส่วนข้ออ้างที่ว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นนั้น จากตัวเลขข้อเท็จจริงก็คือ  ตัวเลขหนี้สาธารณะเมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์เข้าบริหารประเทศปี 2554 อยู่ที่ 4.2 ล้นล้านบาท แต่เมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์พ้นอำนาจในปี 2556 ตัวเลขหนี้สาธารณะอยู่ที่ 5.4 ล้านล้านบาทเพิ่มขึ้นถึง 1.2 ล้านล้านบาทในช่วงเวลาไม่ถึง 3 ปี และหนี้ครัวเรือนก็พุ่งสูงขึ้นจาก 159,432 บาทเพิ่มเป็น 188,774 บาทต่อครัวเรือนหรือเพิ่มขึ้นถึง 29,342 บาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 18.4 %

    ด้านตัวเลขอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจหรือจีดีพียุครัฐบาลยิ่งลักษณ์นั้นเกิดจากการกู้เงินและทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อฟื้นฟูประเทศหลังวิกฤติมหาอุทกภัยเมื่อปี 2554 รวมทั้งสารพัดโครงการประชานิยมทำให้อัตราการเจริญเติบของจีดีพีเหมือนภาพลวงตาอยู่ที่ 6.5 % แต่จากนั้นก็เริ่มลดลงเรื่อยๆจนเหลือ 2.9 % ในปี 2556

    ขบวนการระบอบทักษิณยังคงเดินหน้าบ่อนทำลายศรัทธาความเชื่อมั่นในรัฐบาลและคสช.แบบดับเครื่องชนเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่แผนใช้กลุ่มนักศึกษาเป็นเครื่องมือหวังจุดชนวนสุมไฟ “14 ตุลาฯโมเดล”ประสบความล้มเหลว 

    ทั้งนี้เป้าหมายของระบอบทักษิณก็คือค่อยบ่อนทำลายภาพพจน์ความชอบธรรมของรัฐบาลและคสช.ไปเรื่อยๆโดยพยายามกดดันให้มีการเลือกตั้งทั่วไปตามโรดแม็พซึ่งจะเป็นโอกาสให้ระบอบทักษิณกลับมามีอำนาจยึดครองประเทศอีกครั้ง  ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นการปฏิรูปประเทศเพื่อล้างธุรกิจการเมืองอันชั่วร้ายและขจัดการทุจริตโกงชาติปล้นแผ่นดินจะล้มเหลวสิ้นเชิงและประเทศจะหวนกลับสู่วงจรอุบาทว์อันเลวร้ายแบบเดิมๆภายใต้ระบอบทรราชย์ในคราบประชาธิปไตยครองเมือง