PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ยื่นยุบพรรคอนาคตใหม่ ฐานล้มล้างการปกครอง

ยื่นยุบพรรคอนาคตใหม่ ฐานล้มล้างการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 
.
วันนี้ (28 ก.พ.) นายบุญถาวร ปัญญาสิทธิ์ ทีมงานประชาชนและปกป้องรัฐธรรมนูญ เดินทางมาที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นหนังสือขอให้ กกต. ดำเนินการพิจารณาส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคอนาคตใหม่ ตามมาตรา 92 ของ พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง เพราะมีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
.
กรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ใช้วาทกรรมที่ส่อว่ามีเจตนาดังกล่าวหลายครั้ง ตั้งแต่ปี 2554 รวมไปถึงการประกาศยกเลิกมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
.
และล่าสุดกับคำให้สัมภาษณ์ที่ระบุว่าจะสานต่อภารกิจของคณะราษฎร์ให้สำเร็จ ซึ่งต้องถามนายธนาธรว่าหมายถึงอะไร
.
นายบุญถาวร กล่าวว่า การยื่นคำร้องครั้งนี้ ดำเนินการในฐานะคนไทยที่รักประเทศ โดยใช้สิทธิตามตามมาตรา 50 ของรัฐธรรมนูญ โดยได้เตรียมเอกสารประกอบคำร้อง 20 หน้า ให้ กกต. พิจารณา และทราบว่าหลังจากนี้อีก 3 วันจะมี 2 องค์กรเตรียมที่จะเข้ายื่นคำร้องให้ตรวจสอบพรรคอนาคตใหม่ในความผิดเดียวกัน
.
ขณะที่ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 25 ก.พ. นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ก็ได้ยื่นคำร้องต่อ กกต. ขอให้ตรวจสอบกรณีนายธนาธรและนายปิยบุตร กระทำการต้องห้ามตามมาตรา 73 (5) ประกอบมาตรา 132 และมาตรา 159 พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2560
.
กรณีที่เว็บไซต์ของพรรคอนาคตใหม่เผยแพร่ประวัติของนายธนาธร หัวหน้าพรรคว่าเคยเป็นประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 2 สมัย ทั้งที่ไม่เคยดำรงตำแหน่งดังกล่าว ถือเป็นการอุปโลกน์ข้อมูลดังกล่าวขึ้น

ม.หอการค้าไทย เผยผลสำรวจพี่วินมอเตอร์ไซค์รับจ้างแบกภาระเหนื่อย

ม.หอการค้าไทย เผยผลสำรวจพี่วินมอเตอร์ไซค์รับจ้างแบกภาระเหนื่อย
SME D Bank ประสานพันธมิตรดันนวัตกรรม EV ยกระดับอาชีพรถขนส่งสาธารณะ
ม.หอการค้าไทย เผยผลสำรวจสถานภาพผู้ประกอบอาชีพขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ทำงานหนักหารายได้ 25 วันต่อเดือน ต้นทุนค่าใช้จ่ายสูงกว่า 1 หมื่นบาทต่อเดือน เหลือรายได้ 12,736.61 บาท แต่ต้องดูแลสมาชิกครอบครัวเฉลี่ยถึง 4 คน เกิดภาวะชักหน้าไม่ถึงหลัง แถมไม่มีสวัสดิการรองรับ ด้าน SME D Bank รับปากหาแนวทางช่วยเหลือ ประสานพลังงานหน่วยงานพันธมิตร นำนวัตกรรม EV ยกระดับอาชีพบริการรถขนส่งสาธารณะ ลดต้นทุน ลดมลภาวะ เติมคุณภาพชีวิตที่ดี
ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย รองอธิการบดีอาวุโสวิชาการและงานวิจัย และผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวในการแถลงผลการสำรวจ “สถานภาพผู้ประกอบการรถจักรยานยนต์รับจ้าง” ว่า ข้อมูลของกลุ่มสถิติการขนส่ง กองแผนงาน กรมการขนส่งทางบก ระบุจำนวนผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะที่ได้รับใบอนุญาตทั่วประเทศมี 185,303 ราย ส่วนปัญหาที่ผู้ใช้บริการพบมาก ได้แก่ การทะเลาะวิวาท แย่งลูกค้าระหว่างวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างกับ Grab bike ความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน บอกค่าโดยสารเกินควร วินรถเถื่อนไม่มีใบอนุญาต บริการไม่สุภาพ และจอดรถบนทางเท้ากีดขวางทางจราจร
จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 1,243 รายพบว่า 70.06% ได้จดทะเบียนถูกต้องแล้ว และมีรถเป็นของตัวเอง อายุเฉลี่ยของผู้ประกอบอาชีพนี้อยู่ที่ 39 ปี ทำอาชีพนี้มาแล้วเฉลี่ย 8 ปี ในแต่ละเดือนต้องขี่รถเพื่อหารายได้ถึง 25วัน เฉลี่ยวันละ 41 เที่ยว เฉลี่ย 9 ชั่วโมงต่อวัน โดย 79.57% ยึดการขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างเป็นอาชีพหลัก เพียงอาชีพเดียว โดยมีรายได้เฉลี่ย 974.81 บาทต่อวัน หรือ 24,370.25 บาทเดือน ขณะเดียวกัน รายได้ดังกล่าวต้องนำไปดูแลสมาชิกครอบครัวเฉลี่ย 4 คน และเกือบทั้งหมดไม่มีขึ้นทะเบียนเข้ารับระบบสวัสดิการจากภาครัฐ
นอกจากนั้น 37.88% บอกว่าไม่มีการวางแผนการออม ขณะที่ 69.40% บอกว่าในปัจจุบันมีภาระหนี้ ประมาณ 185,858 บาท อัตราการผ่อนเฉลี่ย 5,266.30 บาทต่อเดือน ส่วนทัศนะเกี่ยวการกู้เงินในอนาคต กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 26.92 อยากกู้ในระบบเพื่อซื้อรถจักรยานยนต์คันใหม่
เมื่อถามถึงความต้องการกู้ภายใน 1 ปี นับจากปัจจุบัน จำนวน 31.66% มีความต้องการจะกู้ เพื่อไปชำระหนี้เก่า ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และเสริมสภาพคล่อง แทบทั้งหมดต้องการกู้ในระบบ วงเงินเฉลี่ย 230,889.49 บาท อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่ต้องการกู้ 53.02% ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนในระบบได้ ด้วยเหตุผล ขาดหลักประกัน ไม่มีประวัติเคลื่อนไหวทางการเงิน และไม่รู้จะติดต่อธนาคารอย่างไร เป็นต้น
ผศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าวต่อว่า ผู้ประกอบอาชีพรถจักรยานยนต์รับจ้าง มีต้นทุนค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 11,633.64 บาทต่อเดือน โดย 3 อันดับแรก คือ ค่าน้ำมัน ค่าผ่อนรถจักรยานยนต์ และค่าเช่าเสื้อ ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าว ถือเป็นภาระหนักระดับปานกลางถึงหนักมาก รวมกันถึง 90.29%
กลุ่มตัวอย่าง 64.20% เผยด้วยว่า ยังไม่ได้ใช้แอปพลิเคชันเพื่อบริการรับส่งผู้โดยสาร เนื่องจากมีขั้นตอนและระเบียบยุ่งยาก ใช้แอปพลิเคชันไม่เป็น และมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ซึ่งการไม่ใช้แอปพลิเคชัน ส่งผลกระทบลูกค้าไม่เดินมาที่วิน และจำนวนลูกค้าลดลง ส่วนกลุ่มที่ใช้แอปพลิเคชันบริการลูกค้า บอกว่า มีรายได้เพิ่มขึ้น 1,741.95 บาทต่อเดือน
เมื่อถามว่า หากประสบอุบัติเหตุ หรือมีเหตุจำเป็นไม่สามารถขี่รถจักรยานยนต์ได้ชั่วคราว กลุ่มตัวอย่างถึง 68.87% บอกว่า จะกระทบปัญหาการเงิน ในจำนวนดังกล่าวถึง 40.05% บอกว่ากระทบในระดับมาก ส่วนปัญหาการหารายได้ในปัจจุบัน กลุ่มตัวอย่างถึง 73.21% ระบุมาจากต้นทุนน้ำมันสูง ส่วนเงินทุนที่ต้องการใช้ซื้อรถจักรยานยนต์คันใหม่เฉลี่ย 61,817.03 บาท
กรณีหากบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) มีโครงการค้ำประกันเงินกู้กับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เพื่อซื้อรถจักรยานยนต์คันใหม่ กลุ่มตัวอย่าง 27.49% ระบุเข้าร่วม เพราะเห็นว่า เป็นโครงการของภาครัฐที่น่าสนใจ ดอกเบี้ยถูก ลดค่าใช้จ่าย ได้สิทธิประโยชน์ต่างๆ โดยสามารถผ่อนได้สูงสุด 151.12 บาทต่อวัน
สำหรับข้อเสนอแนะและสิ่งที่ต้องการได้รับจากภาครัฐนั้น ได้แก่ 1.ควบคุมราคาสินค้า เช่น ค่าน้ำมัน ค่าเช่าเสื้อวิน ค่าสินค้าทั่วไป เป็นต้น 2.ปรับราคาค่าโดยสาร 3.จัดระเบียบและบทลงโทษให้เคร่งครัด และ 4.สนับสนุนให้มีโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำและเข้าถึงง่าย ขณะที่ข้อเสนอและสิ่งที่ต้องการได้รับจากธนาคารรัฐ ได้แก่ 1.ปล่อยกู้โดยไม่เสียดอกเบี้ย หรือลดอัตราดอกเบี้ย 2.เพิ่มสินเชื่อโดยไม่ต้องมีหลักประกัน และ 3.อำนวยความสะดวกในขั้นตอนดำเนินการให้ง่ายขึ้น
ด้าน นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ SME D Bank กล่าวว่า จากจำนวนผู้ประกอบอาชีพขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง ประมาณ 1.8 แสนราย รวมถึงเกี่ยวข้องไปถึงผู้โดยสารอีกจำนวนมาก ดังนั้น อาชีพขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างจึงมีความสำคัญ และควรยกระดับมาตรฐาน ทั้งด้านคุณภาพรถ บริการ และความปลอดภัย
“ผู้ประกอบอาชีพรถจักรยานยนต์รับจ้าง ควรได้รับการดูแล เนื่องจากต้องทำงานหนัก เฉลี่ยขี่รถกว่า 9 ชั่วโมงต่อวัน และไม่มีสวัสดิการจากภาครัฐรองรับ เหลือรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจากการประกอบอาชีพเพียง 12,736.61 บาทต่อเดือน แต่มีภาระดูแลสมาชิกครอบครัวเฉลี่ยถึง 4 คน นำไปสู่ปัญหาชักหน้าไม่ถึงหลัง ดังนั้น ธนาคารจะนำผลสำรวจ และข้อเสนอแนะจากกลุ่มตัวอย่าง ไปพัฒนามาตรการช่วยเหลือ เช่น ส่งเสริมความรู้ให้นำแอปพลิเคชันมาเพิ่มลูกค้า รวมถึง ช่วยผู้ขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างลดต้นทุนค่าใช้จ่าย” นายมงคล กล่าว
นอกจากนั้น SME D Bank และพันธมิตร ได้แก่ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สถาบันยานยนต์ และสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย ร่วมสนับสนุนการใช้นวัตกรรมยานยนต์ (EV : Electric Vehicle) หรือพาหนะไฟฟ้า ยกระดับปรับเปลี่ยนรถ สำหรับผู้ประกอบอาชีพให้บริการรถขนส่งสาธารณะต่างๆ สร้างประโยชน์ช่วยลดต้นทุนค่าพลังงาน ในขณะเดียวกัน สร้างประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม ลดมลภาวะทางอากาศ และทางเสียง สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี
นายมงคล กล่าวต่อว่า หน่วยงานพันธมิตรจะร่วมกันมอบ “3 เติม” ผลักดันผู้ประกอบการด้านขนส่งสาธารณะใช้นวัตกรรม EV ยกระดับอาชีพ ได้แก่ “เติมทักษะ” ผ่านการอบรมความรู้ต่างๆ “เติมทุน” ผ่านโครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน ระยะเวลากู้สูงสุด 7 ปี บุคคลธรรมดา อัตราดอกเบี้ย 3ปีแรกเพียง 0.42% ต่อเดือน ปีที่ 4-7 อัตราดอกเบี้ย MLR ต่อปี วงเงินกู้สูงสุด 2 ล้านบาทต่อราย และหากยกระดับเป็นนิติบุคคล อัตราดอกเบี้ยจะถูกลงไปอีก โดย 3 ปีแรกเหลือเพียง 0.25% ต่อเดือนเท่านั้น ส่วนปีที่ 4-7 อัตราดอกเบี้ย MLR ต่อปี วงเงินกู้สูงสุด 5 ล้านบาทต่อราย สามารถใช้เป็นทุนหมุนเวียน ลงทุนนวัตกรรม และปรับปรุงธุรกิจให้มีความทันสมัย
เมื่อได้รับการ “เติมทักษะ” และ “เติมทุน” จะนำไปสู่การ “เติมคุณภาพชีวิต” ช่วยให้ผู้ประกอบการอาชีพบริการรถขนส่งสาธารณะ รวมถึงครอบครัว อยู่ดี กินดี มีสวัสดิการในชีวิตมั่นคง คุณภาพชีวิตดีขึ้น ประโยชน์ที่เกิดขึ้น ไม่เพียงด้านเศรษฐกิจเท่านั้น ยังส่งผลดีไปในด้านสังคมอีกด้วย

ครบรอบ11ปีกราบแผ่นดินของ"ทักษิณ"



ในโซเชียลวันนี้(28ก.พ.62) มีการเอาคลิป11ปีที่แล้ว ที่"ทักษิณ"หลังถูกปฏิวัติ19ก.ย.49

กลับมาประเทศไทย ก้ม กราบแผ่นดิน ที่สนามบินสุวรรณภูมิ วันที่28ก.พ.51 มาเผยแพร่..

โดยครั้งนั้น เขากลับมาสู่คดี ก่อนที่หลังจากนั้น ก็ได้หลบหนีออกนอกประเทศไปอีกในปีเดียวกัน

จนถึงปัจจุบัน 11 ปีแล้วก็ยังไม่สามารถกลับมาได้ .

หนุ่มฝรั่งเศสเจอคุกบินโดรนเหนือรัฐสภาพม่า

ศาลพม่าสั่งจำคุก 1 เดือน หนุ่มฝรั่งเศสบินโดรนเหนือรัฐสภา
.
รอยเตอร์ 28 ก.พ.- ศาลพม่าตัดสินจำคุกชายชาวฝรั่งเศสเป็นเวลา 1 เดือน ฐานละเมิดกฎหมายนำเข้า-ส่งออก จากการนำโดรนเข้ามาในประเทศและบังคับบินเหนือรัฐสภา ตามการเปิดเผยของสถานทูตฝรั่งเศสวานนี้ (27)
.
ตำรวจได้จับกุมตัวนายอาร์เธอร์ เดส์โคลซ์ อายุ 27 ปี เมื่อวันที่ 7 ก.พ. พร้อมกับอากาศยานไร้คนขับในกรุงเนปีดอ เมืองหลวงของประเทศ
.

เจ้าหน้าที่สถานทูตฝรั่งเศสระบุว่า ผู้พิพากษาตัดสินว่านายเดส์โคลซ์กระทำความผิดจริงตามกฎหมายนำเข้าและส่งออกของประเทศ และต้องโทษจำคุก 1 เดือน
.
“เราเข้าใจว่าผู้พิพากษาพิจารณาถึงความสุจริตใจของเขา” เจ้าหน้าที่สถานทูต กล่าว และอธิบายว่าเดส์โคลซ์ได้กล่าวว่า เขาไม่ทราบว่าการนำเข้าหรือบังคับโดรนบินเป็นสิ่งที่ห้ามกระทำในพม่า
.
เจ้าหน้าที่พม่ากล่าวว่าพื้นที่บางส่วนเช่น รัฐสภา เป็นพื้นที่ห้ามบินโดรน แต่นักท่องเที่ยวไม่ได้รับการแจ้งเตือนอย่างชัดเจนเกี่ยวกับข้อจำกัดเหล่านี้
.
ในปี 2560 นักข่าวต่างชาติ 2 คน ที่ทำงานให้กับสถานีโทรทัศน์ของตุรกี และล่ามของพวกเขาถูกจำคุก 2 เดือนในพม่าจากความพยายามที่จะบินโดรนใกล้กับหมู่อาคารรัฐสภา.

ผ่านฉลุย! สนช. เห็นชอบ #พรบมั่นคงไซเบอร์

(ข้อมูล) พรบ.ความมั่นคงไซเบอร์62
////////////////
ผ่านฉลุย! สนช. เห็นชอบ #พรบมั่นคงไซเบอร์ หรือ #พรบไซเบอร์ แล้ว โดยไม่มีการแก้ไขข้อห่วงกังวลของภาคประชาชนแต่อย่างใด
.
28 กุมภาพันธ์ 2562 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ หรือ 'พ.ร.บ.มั่นคงไซเบอร์ฯ' ให้บังคับใช้เป็นกฎหมาย ด้วยมติ 133 ต่อ 0 เสียง ภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมง
.
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ภาคประชาชน และพลเมืองเน็ตต่างก็จับตาความเคลื่อนไหวของ 'พ.ร.บ.มั่นคงไซเบอร์ฯ' มาโดยตลอดหลัง สนช. บรรจุกฎหมายดังกล่าวอยู่ในวาระการพิจารณาตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2562
.
อย่างไรก็ดี กฎหมายฉบับดังกล่าวมีข้อน่ากังวลอยู่อย่างน้อย 8 ข้อ ได้แก่
.
1. นิยามภัยคุกคามไซเบอร์ตีความได้กว้าง ครอบคลุม 'เนื้อหา' บนโลกออนไลน์
.
ร่าง พ.ร.บ.มั่นคงไซเบอร์ฯ มาตรา 59 กลับเปิดทางให้ตีความ 'ขยาย' ความหมายของภัยคุกคามไซเบอร์ให้กว้างขึ้น เช่น "อันกระทบหรืออาจกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ.." การเขียนกฎหมายเช่นนี้ เสี่ยงต่อการที่ในอนาคตอาจมีผู้ที่เจตนาไม่ดี ตีความให้คำว่า "ภัยคุกคามไซเบอร์" ครอบคลุมถึงประเด็น "เนื้อหา" บนโลกออนไลน์มากกว่าเรื่องระบบ
.
2. เจ้าหน้าที่รัฐสามารถขอข้อมูลจากใครก็ได้เพื่อประโยชน์ในการทำงาน
.
ร่างพ.ร.บ.มั่นคงไซเบอร์ฯ มาตรา 61 ระบุว่า เพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์สถานการณ์ และประเมินผลกระทบจากภัยคุกคามไซเบอร์ เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กมช.) มีอำนาจขอความร่วมมือจากบุคคลให้มาให้ข้อมูล หรือทำข้อมูลเป็นหนังสือเกี่ยวกับภัยคุกคามไซเบอร์ และสามารถขอข้อมูล เอกสาร หรือสำเนาข้อมูล ที่อยู่ในการครอบครองของผู้อื่นได้ หากเห็นว่า เป็นประโยชน์ รวมถึงสามารถเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์หรือสถานประกอบการที่เกี่ยวข้องกับภัยคุกคามไซเบอร์ได้ แต่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ครอบครองสถานที่นั้น
.
3. กฎหมายให้อำนาจเจ้าหน้าที่ ยึด-ค้น-เจาะ-ทำสำเนา คอมพิวเตอร์ ระบบคอมพิวเตอร์ และข้อมูลคอมพิวเตอร์
.
ในร่าง พ.ร.บ.มั่นคงไซเบอร์ฯ มาตรา 65 กำหนดว่า ในกรณีที่คณะกรรมการกำกับดูแลด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (กกม.) เห็นว่า มีภัยคุกคามไซเบอร์ในระดับที่ร้ายแรงขึ้นไป ให้เจ้าหน้าที่รัฐสามารถตรวจค้นสถานที่ได้ และสามารถค้นคอมพิวเตอร์ เข้าถึงข้อมูล เข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ เจาะระบบ หรือทำสำเนาเอาข้อมูลทั้งหมดในคอมพิวเตอร์หรือในระบบคอมพิวเตอร์ไปได้ รวมถึงสามารถยึดหรืออายัดคอมพิวเตอร์ไว้ได้ หากมีเหตุอันควรเชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับภัยคุกคามไซเบอร์
.
4. เมื่อมีภัยคุกคามไซเบอร์ร้ายแรงขึ้นไป เจ้าหน้าที่รัฐสามารถสอดส่องข้อมูลได้แบบ Real-time
.
ร่าง พ.ร.บ.มั่นคงไซเบอร์ฯ มาตรา 67 วรรคสองระบุว่า ในกรณีที่มีภัยคุกคามระดับร้ายแรงหรือวิกฤติ และเพื่อประโยชน์ในการป้องกัน ประเมินผล รับมือ ปราบปราม ระงับ และลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ ให้เลขาธิการคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติโดยความเห็นชอบของ กกม. มีอำนาจขอข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและต่อเนื่อง (ข้อมูลแบบ Real-time) จากผู้ที่เกี่ยวข้องกับภัยคุกคามไซเบอร์
.
5. ในกรณีจำเป็นเร่งด่วน เจ้าหน้าที่สามารถใช้อำนาจได้โดยไม่ต้องขอหมายศาล
.
ตาม ร่าง พ.ร.บ.มั่นคงไซเบอร์ฯ การจะเข้าถึงข้อมูลหรือระบบคอมพิวเตอร์ การทำสำเนา การเจาะระบบ หรือยึดอายัค เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการ 'ขอหมายศาล' เพื่อให้มีอำนาจในการดำเนินการ แต่ถ้าในกรณีจำเป็นเร่งด่วน ก็สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องยื่นขอหมายศาล
.
6. การใช้อำนาจยึด ค้น เจาะ หรือขอข้อมูลใดๆ ไม่สามารถอุทธรณ์เพื่อยับยั้งได้
.
ตาม ร่าง พ.ร.บ.มั่นคงไซเบอร์ฯ มาตรา 68 กำหนดว่า ไม่อนุญาตให้ผู้ที่ได้รับคำสั่งอันเกี่ยวกับการรับมือภัยคุกคามไซเบอร์อุทธรณ์คำสั่งได้ในกรณีที่เป็นการใช้อำนาจเมื่อมีภัยคุกคามในระดับร้ายแรงขึ้นไป
.
7. เมื่อมีภัยคุกคามไซเบอร์ระดับวิกฤติ ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสภาความมั่นคงแห่งชาติ
.
ร่าง พ.ร.บ.มั่นคงไซเบอร์ฯ มาตรา 66 กำหนดให้ กรณีที่เกิดภัยคุกคามไซเบอร์ในระดับวิกฤติ ให้เป็นหน้าที่และอำนาจของสภาความมั่นคงแห่งชาติในการดำเนินการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ตามกฎหมายว่าด้วยสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือกฎหมายอื่นทีเกี่ยวข้อง
.
8. ผู้ใดฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามคำสั่งมีทั้งโทษปรับและโทษจำคุก
.
ในกรณีที่ผู้เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง หรือผู้ใช้คอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์ หรือผู้ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ ไม่ดำเนินการใดๆ ตามที่เจ้าหน้าที่รัฐสั่ง เช่น ไม่ได้ตรวจสอบ แก้ไข หรือแม้แต่กำจัดไวรัสที่มีผลเป็นภัยคุกคามไซเบอร์ ก็จะมีความผิดไปด้วย โดยกำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท

ดูรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ https://ilaw.or.th/node/5173