PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ไทกร พลสุวรรณ : ไม่นึกว่าทักษิณจะกล้า.!!!


ไม่นึกว่าทักษิณจะกล้า.!!!

หลังทักษิณเข้าพบผู้บัญชาการทหารสูงสุดของพม่าเมื่อวันที่ 11 ก.พ.ที่ผ่านมา ก็มีกระแสข่าวว่า ทักษิณได้ยื่นข้อเสนอบางอย่างเพื่อขอให้ทักษิณได้ในสิ่งที่ต้องการ แหล่งข่าวด้านความมั่นคงให้ข้อมูลว่า ข้อเสนอของทักษิณคือ ทักษิณขอใช้พื้นที่ในประเทศพม่า(เมียนมาร์)บริเวณรัฐฉาน(Shan state)หรือไทใหญ่ เพื่อใช้เป็นพื้นที่จัดตั้งเป็นศูนย์ส่งกำลังบำรุงในงานด้านพลาธิการและศูนย์ฝึก โดยทักษิณเสนอข้อแลกเปลี่ยนดังนี้

1.ทักษิณจะให้ กฟฝ.สร้างโรงผลิตไฟฟ้าให้นิคมทวาย ฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ
2.ทักษิณจะนำเงินมาลงทุนในพม่าไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
3.ทักษิณจะสั่งให้รัฐบาลไทยและคนในพื้นที่หยุดการสนับสนุนกองกำลัง SSA (Shan Sate Army)ของเจ้ายอดศึก และพร้อมช่วยทหารพม่าทุกอย่างเพื่อให้สามารถรบชนะ SSA ได้ (เนื่องจากทักษิณไม่พอใจเจ้ายอดศึกเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว เพราะเมื่อปี 53 ทักษิณได้ติดต่อเจ้ายอดศึกให้จัดทหารเข้ามาช่วยทักษิณในกรุงเทพฯ โดยให้ค่าจ้างอย่างงาม แต่เจ้ายอดศึกปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่าถ้าจะจ้างให้ไปฆ่าคนไทย ทหารไทใหญ่ไม่ทำ) 

4.ทักษิณพร้อมให้เงินกินเปล่าสนับสนุนทหารว้าและทหารพม่าในพื้นที่รัฐฉาน
-แต่การยื่นข้อเสนอของทักษิณยังไม่ได้รับคำตอบ
คำถามคือทักษิณต้องทำถึงขนาดนี้เชี่ยวหรือเพื่อหาหลังพิง.!!!

เส้นทางเหตุการณ์ล้มเลือกตั้ง

ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคำร้องรวม 4 เรื่องคือ



.....วันนี้ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2557 ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคำร้องรวม 4 เรื่องคือ
.......1.นายธนะพล สุขปาน ผู้ร้อง เรื่องพิจารณาที่14/2557
.......2.สมาคมเพื่อรัฐธรรมนูญ ผู้ร้อง เรื่องพิจารณาที่ 15/2557
.......3.นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ผู้ร้อง เรื่องพิจารณาที่ 16/2557
.......4.นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ผู้ร้อง เรื่องพิจารณาที่ 17/2557

.....สำหรับเรื่องพิจารณาที่ 1 ที่ 2 และ ที่ 4 ผู้ร้องทั้งสามยื่นคำร้องในทำนองเดียวกันโดยว่า ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวก ผู้ถูกร้อง กระทำการเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ หรือไม่
.....ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาแล้วเห็นว่า การชุมนุมของประชาชนตามคำร้อง เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพ โดยมีผลสืบเนื่องมาจากการต่อต้านพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม และมาจากความไม่ไว้วางใจในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ฯลฯ
.....จึงยังไม่มีมูลกรณีที่จะเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ จึงไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคหนึ่ง ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยได้ ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย

.....ส่วนเรื่องที่ 3 นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ผู้ร้อง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ 1กับพวก ผู้ถูกร้อง โดยผู้ร้องยื่นคำร้องว่า การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เพราะว่าเป็นการเลือกตั้งทั่วไปที่ไม่ได้เลือกในวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร ทั้งผู้ถูกร้องที่1 กับพวก ยังได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร และบางเขตในบางจังหวัด เพื่อให้พรรคเพื่อไทยได้เปรียบในการเลือกตั้ง อันเป็นการเพื่ิอให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่า ผู้ถูกร้อง กระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ ฯลฯ
.....ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้ว เห็นว่า กรณีตามคำร้องนี้ยังไม่มีมูลกรณีที่จะเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ จึงไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคหนึ่ง ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยได้ ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย

.....การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ทั้ง 4 เรื่องดังกล่าว ได้พิจารณาวินิจฉัยทุกคำร้อง ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่รัฐธรรมนูญบัญญัติแล้ว ครับ

.....นอกจากนี้วันนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาสืบพยานในคดี ร่างพระราชบัญญัติให้กระทรวงการคลังกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทด้วย
.....โดยวันนี้มีการสืบพยานอีก 4 ปาก เสร็จแล้ว และศาลรัฐธรรมนูญได้สั่งให้คู่ความยื่นคำแถลงการณ์ปิดคดีภายในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2557 หากฝ่ายใดไม่ยื่นภายในกำหนดก็ให้ถือว่า ไม่ติดใจยื่น ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญจะนัดวันฟังคำวินิจฉัยต่อไป

เกษียร : ความเห็นต่างและขัดแย้งเป็นธรรมดาของสังคมการเมืองไทยทุกวันนี้

Kasian Tejapira
อยู่อย่างไรในสังคมพหูพจน์ทางความเห็นของคนเท่ากัน?
%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

ความเห็นต่างและขัดแย้งเป็นธรรมดาของสังคมการเมืองไทยทุกวันนี้

การเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันได้โดยสบายและสันติคือ

๑) ยอมรับทางใจและความคิดว่าสังคมไทยและทุกวงการในเมืองไทยเป็นพหูพจน์ มีความเห็นแตกต่างหลากหลาย (มากกว่า ๒ ด้วยซ้ำ) ทางการเมืองในหมู่คนที่เท่ากัน

๒) ดังนั้นสังคมไทยและทุกวงการวิชาชีพสถาบันควรยอมรับและเปิดรับความเป็นพหูพจน์ทางการเมืองนั้น วิธีอยู่กับพหูพจน์ทางความคิดเห็นอย่างสันติคือ คุยกัน แลกเปลี่ยนกันด้วยเหตุผลข้อเท็จจริง ไม่รับเหมาพูดแทน รับเหมาทำแทน เคารพมติเสียงข้างมากและรักษาปกป้องสิทธิเสียงข้างน้อยและบุคคล

๓) นี่คือบทเรียนขั้นต้นที่ทำได้ทุกวงวิชาชีพ สถาบัน สถานที่ทำงาน คือพหูพจน์ ความแตกต่างเป็นธรรมดา ทะเลาะกันไป ร่วมงานกันไป บ้านเมืองไม่ต้องหยุดชะงักแช่แข็ง เศรษฐกิจเดินหน้าลงทุนทำงานประกอบอาชีพ การเมืองเดินหน้าหาทางปฏิรูป ท่ามกลางความงอกงามแตกต่างหลากหลายทางความคิด

ไม่บังคับใจกัน ไม่รับเหมาพูดแทนทำแทนกัน เคารพกติกา รักษาวิถีทางประชาธิปไตย ก็จะช่วยให้ "ทะเลากันอย่างสันติ" แบบไทย ๆ ไปได้

สุเทพ เทือกสุบรรณ:เราสู้และลงทุนกันมามากแล้ว

เราสู้กันมากว่าร้อยวันแล้ว เรามาเกินครึ่งทางแล้ว เราลงทุนกันมามากแล้ว พี่น้องที่มาจากต่างจังหวัดมากันคนละหลายรอบแล้ว ผมเดินไปตามถนนเกือบทุกสายแล้วในกรุงเทพฯแล้ว ได้สัมผัสมือ ได้ยื่นมือไปรับ "เงินหุ้น" ที่พี่น้องร่วมกันให้มา ผมมองเข้าไปในสายตาของพี่น้อง ผมเห็นเลยว่านี่เป็นการต่อสู้ที่พี่น้องชาวกรุงเทพฯลงทุนมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่เรายังต้องสู้กันต่อครับ สู้จนกว่าจะชนะ

ถ้าเราไม่สู้วันนี้ลูกหลานของเราจะต้องอยู่อย่างคนที่ไม่เป็นไทย ต้องอยู่เป็นขี้ข้าของระบอบทักษิณ การต่อสู้ครั้งนี้จึงมีความหมายที่สุด ต่ออนาคตของประเทศไทย


เสี่ยโรงสี แฉจำนำข้าวโกงตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ

ข่าวจำนำข้าว เสี่ยโรงสีฉาว เปิดปาก แฉยิบ จำนำข้าวโกง ต้นน้ำยันปลายน้ำ

สำนักข่าวมุสลิมไทยโพสต์: ข่าวจำนำข้าว เสี่ยโรงสีฉาว เปิดปาก แฉยิบ จำนำข้าวโกง ต้นน้ำยันปลายน้ำ

ตำรวจนำ “เสี่ยหนุ่ม” เจ้าของโรงสีฉาว ผู้ต้องหาฉ้อโกงชาวนา-ยักยอกข้าว อ.ต.ก.ฝากขังเรือนจำพิจิตรแล้ว พร้อมค้านประกัน ด้านผู้การฯสั่งย้ำให้ จนท.เค้นสอบทุกมิติ ขณะที่ผู้ต้องหาแฉผ่านสื่อหมดเปลือก กระบวนการโกงจำนำข้าว ยันเจ้าหน้าที่มีเอี่ยว โกงทั้งต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ ชี้ “เซอร์เวย์เยอร์”ตัวดีกินหัวคิวเวียนเทียนข้าวเขมร-พม่า-ข้าวเก่า

รายงานข่าวจากจังหวัดพิจิตร แจ้งว่า หลังตำรวจชุดสืบสวนภูธรจังหวัดพิจิตร และตำรวจภูธร สภ.โพทะเล สนธิกำลังนำหมายศาลจังหวัดพิจิตร เข้าจับกุมตัวนายมุนินทร์ จันทรา เจ้าของตัวจริงบริษัทโรงสีแอลโกลด์เมนูแฟคเจอร์ จำกัด ผู้ต้องหาในคดีฉ้อโกงชาวนา-ยักยอกข้าว อ.ต.ก. รวม 12,000 ตัน ได้ในอพาร์ทเม้นท์หรู เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ คืนก่อนหน้านี้ ล่าสุดเมื่อเวลาประมาณ 17.00 น.เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้นำตัวนายมุนินทร์ หรือเสี่ยหนุ่ม ไปฝากขังที่เรือนจำกลางจังหวัดพิจิตรแล้ว

ขณะที่นายจักริน เปลี่ยนวงษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการข้าวระดับจังหวัด ซึ่งได้นัดหมายที่จะแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนตั้งแต่ช่วงบ่ายที่ผ่านมา โดยมีกลุ่มชาวนาหลายสิบคนเดินทางมารอด้วย แต่ปรากฏว่า นายมุนินทร์ ได้ใช้สิทธิไม่ยอมมานั่งโชว์แถลงข่าว เพราะปฏิเสธข้อกล่าวหา จึงยังถือว่า เป็นผู้บริสุทธิ์ตามกฎหมายตราบใดที่ศาลยังไม่ได้ตัดสิน

ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร จึงได้เพียงว่า ที่ผ่านมาตนและนายชาติชาย เจียมศรีพงษ์ นายก อบจ.พิจิตร รวมถึงคณะผู้บริหารของ อบจ. ได้สละเงินเดือนคนละ 2 เดือน รวมถึงได้ขอรับบริจาคเงิน ได้เงินมา 4.8 ล้านบาท แจกจ่ายให้ชาวนา 121 คน เฉพาะในส่วนที่แจ้งความดำเนินคดีกับโรงสีแอล-โกลด์ แมนูแฟคเจอร์ จำกัดเท่านั้น และยังได้แจกจ่ายสิ่งของต่างๆมากมาย

ด้าน พล.ต.ต.กฤษณะ ศิริปิยะวัฒน์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพิจิตร กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า คดีโกงโครงการรับจำนำข้าวในครั้งนี้ ถือเป็นคดีใหญ่ ดังนั้นได้สั่งพนักงานสอบสวนให้ทำสำนวนให้ละเอียด ถึงแม้ว่าผู้ต้องหาจะให้การปฏิเสธ หรือขอให้การในชั้นศาลอย่างเดียวก็ตาม

โดยตนได้สั่งการไปว่า ให้ตั้งคำถามครอบคลุมทุกมิติ ตั้งแต่คดีเก่าเมื่อปี 2548/2549 สมัยที่ใช้ชื่อโรงสีก้องเกียรติ ว่า มีพฤติการณ์อย่างไร อีกทั้งการขอเข้าโครงการรับจำนำปี 54/55 ทั้งที่โรงสีถูกขึ้นบัญชีดำแล้วเปลี่ยนชื่อโรงสีมาเป็นโรงสีแอล-โกลด์ แมนูแฟคเจอร์ จำกัด เปลี่ยนชื่อกรรมการบริหารบริษัทชุดใหม่ แต่ตั้งอยู่ในสถานที่เดิม ซึ่งแท้ที่จริงแล้วไม่น่าจะเข้าโครงการรับจำนำได้ ให้สอบเค้นด้วยว่า ติดสินบนให้กับใครบ้าง จึงเข้าโครงการรับจำนำได้

นอกจากนี้ มีหลักฐานจากการสอบสวนเบื้องต้นของ พ.ต.อ.ธวัชชัย มวญนรา รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพิจิตร เพิ่มเติมอีกว่า โรงสีดังกล่าวไม่มีเงินวางค้ำประกัน แต่ทำไม อ.ต.ก.จึงปล่อยให้รับจำนำข้าวได้ รวมถึงการสั่งสีแปรรูปข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร เอาข้าวสารส่งเข้าคลังสินค้าไปแลกกับใบประทวน ซึ่งมีลักษณะเหมือนแชร์ลูกโซ่ และจะเค้นสอบเอาผู้ที่กระทำผิดถึงแม้จะเป็นข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่ อ.ต.ก. มาดำเนินคดีให้ถอนรากถอนโคน ส่วนถามแล้วผู้ต้องหาปฏิเสธ หรือ ไม่ตอบ ก็จะได้เป็นสำนวนการสอบสวนให้อัยการและศาลยุติธรรมได้ไต่สวนต่อไป

สำหรับกรณีที่นำตัวมาแถลงข่าวเป็นสิทธิของผู้ต้องหา ถ้าเขาไม่ยอมก็บังคับไม่ได้ แต่จะขออำนาจฝากขัง และคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเกรงว่า จะไปข่มขู่พยาน และอาจหลบหนี ซึ่งวันนี้ได้ขออำนาจศาลฝากขังและส่งตัวเข้าเรือนจำพิจิตรแล้ว

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้นายมุนินทร์ จันทรา หรือ “เสี่ยหนุ่ม” เคยเปิดปากให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชนในท้องถิ่น ก่อนที่จะเดินทางไปให้สัมภาษณ์รายการข่าวของสถานีใหญ่โดยตรงในกรุงเทพฯ ในลักษณะคล้ายกันว่า หัวใจของโรงสีที่เข้าโครงการรับจำนำข้าวกับรัฐบาล คือ ได้ออกใบประทวนแล้วจึงจะเกิดรายได้จากคำสั่งสีแปร แต่ที่ผ่านมาโรงสีของเขาถูกเจ้าหน้าที่ อ.ต.ก.กลั่นแกล้ง หน่วงเหนี่ยวเวลาการออกใบประทวนไว้นานถึง 4 เดือน ไม่ออกใบประทวนตามหลักเกณฑ์ และในช่วงที่ดึงเวลาอยู่นั้น ก็ไปประชาสัมพันธ์ให้ชาวนามาแจ้งความเอาผิดกับโรงสีว่า โรงสีของตนโกงชาวนาอีกแล้ว พอถึงขั้นนั้นตนอธิบายให้ชาวนาฟังอย่างไรก็ไม่มีใครฟังแล้ว จึงทำให้ชาวนามีความเดือดร้อน เมื่อไม่มีเงินจะกิน ไม่มีเงินจะลงทุนทำนาในรอบใหม่ ก็วิ่งเข้า-ออกโรงสีทุกวันมาร้องขอความช่วยเหลือ เห็นหน้า เห็นอกเห็นใจกัน ปรับทุกข์ซึ่งกันและกัน จนมีความสัมพันธ์เป็นเหมือนพี่น้องกัน

จนตนทนไม่ไหวเพราะชาวนาบอกว่า ไม่จำนำข้าวแล้วอยากจะได้เงินสด ข้าวเปลือกตันละ 5-6 พันบาท ก็ยอมขายเอาเงินสดเป็นความสมัครใจของชาวนา ตนเองจึงหาทางออกเอาเงินสดจ่ายชาวนาไปตันละ 5-6 พันบาท โดยไม่คิดดอกเบี้ย แต่บอกกับชาวนาว่า ข้าวที่อยู่ในโรงสีแอลโกลด์ฯ นั้น เป็นข้าวที่อยู่ในโครงการรับจำนำข้าวและอยู่ในเงื่อนไขตามมติ กขช. พวกเราชาวนาจะต้องได้ใบประทวน

นายมุนินทร์ ยังบอกอีกว่า ตนรับจำนำข้าวด้วยการวัดความชื้น และตีราคาตามมาตรฐาน ซึ่งข้าวที่รับจำนำในช่วงนั้นคือเดือน มกราคม - กุมภาพันธ์ เป็นข้าวที่มีคุณภาพดีมาก เพราะความชื้นจะอยู่ที่ 25% ตีราคาให้ได้ถึงตันละ 12,480 บาท แต่ก็มีคนปล่อยข่าวว่า โรงสีแอลโกลด์ฯ รับจำนำข้าวให้ราคาสูงกว่าที่อื่นถึงตันละ 1 พันบาทเศษ ซึ่งเป็นคำกล่าวหาของเจ้าหน้าที่ อ.ต.ก.พิจิตร จนมีปากเสียงกับพนักงานกันอยู่หลายครั้ง โดยมีชาวนานั่งฟังและเห็นเหตุการณ์อยู่ด้วย

นายมุนินทร์ ยังอ้างว่า ชาวนาที่เห็นเหตุการณ์ยังมาต่อว่าเจ้าหน้าที่ของ อ.ต.ก. ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐได้อย่างไร? ชาวนาจะจำนำข้าวได้ราคา แต่เจ้าหน้าที่ อ.ต.ก.กลับมาต่อว่าโรงสี

นายมุนินทร์ เล่าอีกว่า เจ้าหน้าที่ อ.ต.ก.พิจิตรมากดดันตนเองจะให้รับจำนำข้าวราคาต่ำๆ ซึ่งตนก็เห็นว่าไม่ถูกต้องจึงมีปากเสียงกัน และยืนยันว่าไม่ได้โกง

“เสี่ยหนุ่ม” ยังพูดอีกว่า ตอนที่ตนเริ่มเข้าโครงการับจำนำข้าวของรัฐที่จังหวัดพิจิตร ก็มีคนกลางมาเจรจาว่า ถ้าได้เข้าโครงการรับจำนำข้าวได้ มีคำสั่งในการแปรรูปข้าวเพื่อส่งเข้าคลังสินค้าแล้ว จะได้ใบประทวนก็จะมีรายรับ คุณมุนินทร์ จะจ่ายเท่าไหร่? ซึ่งเป็นค่าเคลียร์ ตนก็ตอบไปว่าไม่มีปัญหา เพราะเป็นการคอรัปชั่นกันจนเป็นประเพณีปฏิบัติที่ชาวโรงสีจะเป็นที่รู้กัน และจริงๆแล้วสังคมก็น่าจะรู้ รัฐบาลก็น่าจะรู้ ตนก็ยินยอมอยู่แล้วในการที่จะจ่ายเงินให้กับผู้ตรวจสอบคุณภาพสินค้าที่ อ.ต.ก.จ้างมา ที่เรียกว่า “เซอร์เวย์เยอร์” โดยการจ่ายแบบนี้เรียกว่า “ค่าเหยียบแผ่นดิน” ถ้าเป็นข้าวสารคุณภาพดี ถึงแม้จะผ่านเกณฑ์ก็ต้องจ่ายกระสอบละ 10 บาท ซึ่งตนเองก็จ่ายด้วยดี

และอยากท้าว่า ให้ไปผ่ากองข้าวสารตามโกดังต่างๆทั้งใน พิจิตรและที่อื่นๆ รับรองได้ว่า ข้าวอยู่หน้าประตูจะเป็นข้าวดี ส่วนที่อยู่กลางกองจะเป็นข้าวด้อยคุณภาพ เพราะว่าเป็นข้าวจากเขมร และพม่า รวมถึงข้าวคุณภาพเก่าที่ประมูลมาจากคลังสินค้า แล้วมาเวียนเข้าเป็นสต็อกส่งมอบเข้าคลังสินค้า ซึ่งจะต้องจ่ายเงินให้กับเซอร์เวย์เยอร์ กระสอบละ 50 บาท ทำเรื่องผิดให้เป็นเรื่องถูก เพื่อแลกกับใบประทวน ส่วนที่เป็นข้าวใหม่ข้าวดี โรงสีก็เอาไปขายส่งออกและบรรจุข้าวถุงขายในประเทศได้กำไร 2-3 ชั้น

นายมุนินทร์ บอกต่ออีกว่า ผู้มีอำนาจเรื่องนี้คือตำรวจ DSI แต่ดูข้าวสารไม่เป็น จะดูเป็นก็เพียงแค่เห็นข้าวสารเป็นข้าวสาร แต่จะไม่รู้ว่าข้าวหอมมะลิตันละ 3 หมื่นบาทนั้น แท้จริงแล้วคือ ข้าวพันธุ์พิษณุโลก ราคาถูกตันละไม่ถึง 1 หมื่นบาท หรือถ้าจะดูเป็น ก็แค่มองว่าเป็นข้าวผัดพริก ข้าวผัดกระเพราเท่านั้น

“เสี่ยหนุ่ม”บอกว่า โครงการรับจำนำข้าวปีที่แล้วทั่วประเทศประมาณ 150 ล้านกระสอบ คิดดูเอาเองว่าเป็นเงินเท่าไหร่? และจะมีข้าวที่เข้ามาปลอมปน และสวมรอยว่าเป็นข้าวตามโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลมากน้อยเพียงใด


เสธน้ำเงิน : ตับๆๆ..เปรี้ยงๆๆ..โครมๆๆ..ข้าวโพด ก้อนหิน ถล่ม รถ บ้าน หงอกยับเยิน

12 ก.พ.57 
ตับๆๆ..เปรี้ยงๆๆ..โครมๆๆ..ข้าวโพด ก้อนหิน ถล่ม รถ บ้าน หงอกยับเยิน

เวลาประมาณ 12.30 น. ได้มีชายไร้สีนาม นักรบมืดผู้ปราบมาร จำนวน 2 คน ใช้สิ่งเทียมปืนบุกเข้าไประดมยิงใส่รถ และบ้าน ของหงอกจาบจ้วงเบื้องสูงหลายนัด รวมทั้งระดมขว้างก้อนอิฐใส่บ้าน หน้าต่าง อย่างไม่ยั้ง ต่อหน้าเพื่อนบ้านหงอกชั่วหลายคน จนรถ กระจก และบ้านหงอกได้รับความเสียหาย

กรณี ตั้ง อาชีวะ ซึ้งขึ้นปราศรัยบนเวทีพรรคเผาไทยรัฐอั้งยี่แดง ต่อหน้าผู้บริหารพรรค รัฐมนตรี หลายคน เมื่อวันที่ 27 พ.ย.56 ที่ขึ้นเวทีราชมังคลาฯ กล่าวจาบจ้วงสถาบัน เบื้องสูง จนตู่คางคก ได้ตบรางวัลให้ ตั้ง อาชีวะ หลายหมื่นบาท ต่อหน้าควายแดงที่มาชุมนุมและสื่อมวลชน

ต่อมาชายชุดดำทนแรงกดดันจากสังคมไม่ไหว ค่อย ๆ ขี่หอยทากเสนอศาลออกหมายจับกุม ตั้ง อาชีวะ แบบเฝื่อนๆ อายุความ 15 ปี นับตั้งแต่วันที่ 11 ธ.ค.2556 แต่บริษัทเผาไทยอั้งยี่แดง ได้ให้ อดีตส.ส.เผาไทย คอยให้ความคุ้มครอง จากนั้นไปกบดานอยู่ที่เชียงใหม่ ภายไต้การดูแลคุ้มครองของ เจ๊ ด.แดกจำนำข้าว และตั้ง ได้ไปเที่ยวทั่วทั้งเชียงใหม่ เช่น สวนสัตว์ ร้านอาหาร และไปร่วมจุดเทียนบ้า ๆ บอๆ กับแก๊งค์อันธพาลแดงเชียงใหม่ แต่ชายชุดดำก็ยังไม่สามารถมองเห็น เพราะความชั่วมันบังตาจนพร่ามัว

ล่าสุดมีเอกสารลับวิทยุในราชการสำนักงานชายชุดดำแห่งชาติ ตีตราด่วนที่สุดวันที่ 10 ก.พ.57 ถึงผู้รับปฏิบัติ เกี่ยวกับการติดตามตัว โดยเนื้อหาระบุว่าได้รับรายงานจากหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้องว่า “ยังไม่พบตั้ง อาชีวะ” และ “ ไม่รู้ว่าไปหลบซ่อนอยู่ที่ใด “

บริษัทเผาไทย กำลังใช้ให้สมุนผีห่าซาตานชั่ว ปล่อยข่าวให้ร้ายสถาบันเบื้องสูงให้หนักขึ้นกว่าเดิม ผ่านสายวิชาการมหาลัย นักวิชาการในสังกัดที่รับจ้าง พวกชั่วช้านี้เจอแค่นี้คงพอแก้กระษัยปากเสียไปได้บ้าง ครั้งหน้าชายไร้สีนาม นักรบมืดผู้ปราบมาร เขาอาจจับขึงมัดเสา แล้วถามโดยสุภาพว่าจะเลิกหมิ่นไหม !!

ถ้าตอบว่าเลิก...เขาก็จะช่วยเอาสิ่งเทียมพานท้ายปืนช่วยถอนฟันปลอมให้หมดปาก และเอามือวางกับพื้นกระแทกมือที่เขียนเลว ๆ ให้นิ้วหักให้หมด

ถ้าตอบว่าไม่เลิก..หรือไม่ตอบ..เขาก็อาจให้อม หรือยัดประทัดยักษ์เขาไปในตูด แต่เขาก็จะไม่ทำร้ายอะไร แค่เดินจากไป..พร้อมกับดึงสายชนวนออกเท่านั้น !!

เสธ ว่า ถ้าชายชุดดำจับไม่ได้ก็คงไม่เป็นไร เพราะมีพ่อครัวอีกมาก ที่เขาจะถือข้าวโพดไปเยี่ยมพวกจาบจ้วงนี้อยู่

@เสธ น้ำเงิน
ที่มา : https://www.facebook.com/topsecretthai

อีกมุมมองวิธีคิดว่าด้วยตัวเลขคะแนนเสียงเลือกตั้ง

มีหลากหลายข้อสังเกตต่อผลการเลือกตั้งที่ออกมาซึ่งพรรคเพื่อไทยประกาศชัยชนะหลังการเลือกตั้ง หากมาคำนวณต่อคะแนนเสียงที่ปรากฏ จะเห็นถึงคะแนนสนับสนุนที่ถดถอยของพรรคเพื่อไทย ตามมาอับดุลย์

การเลือกตั้ง 2 กพ. มีปชช.มาใช้สิทธ์ 20.5 ล้านคน คิดเป็น 47.7% ของผุ้มีิสิทธิ์ 43.02 ล้าน บัตรเสีย 2.45 ล้าน โวตโน 3.42 ล้าน รวมบัตรเสียและโวตโน 5.87 ล้าน คะแนนที่เพื่อไทยได้ 14.63 ล้าน (รวมคะแนนของพรรคเล็กๆ)

จำนวนคนที่ไม่ไปเลือกตั้ง 54% คิดเป็น 23 ล้าน 

ที่่ผ่านมาผุ้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง เฉลี่ยประมาณ 70% คำนวณตัวเลขผู้ไม่มาใช้สิทธิ์ 30% ของ 23 ล้าน ประมาณ 7 ล้านคน คำนวณเป็นคะแนนเสียงของผูุ้้ที่ no vote 16 ล้านคน (23 ล้านลบออกจาก 7 ล้าน) เป็นพวกที่ไม่มาเลือกตั้งตามที่กปปส.เรียกร้อง ถือเป็นคะแนนเสียงของฝ่ายค้าน นำมารวมกับบัตรโวตโน 3.42 ล้าน จะเป็นเสียงฝ่ายค้าน19.4 ล้านเสียง มากกว่าคะแนนที่เพื่อไทย(รวมกับคะแนนของพรรคเล็ก) ได้ 14.63 ล้าน

ยังไม่นับคะแนนจากภาคใต้ที่เป็นฐานใหญ่ของปชป. ที่ไม่มีการจัดการเลือกตั้งในอีกเก้าจว. หากเอาคะแนนเสียงส่วนนี้มารวมจะทำให้มีเสียงของฝ่ายค้านเพิ่มอีกสี่ถึงห้าแสนคะแนน จากผู้มีสิทธิ์ภาคใต้ 1.61 ล้านคน เสียงของฝ่ายค้านน่าจะขยับถึง 20 ล้าน (19.4ล้านรวมกับเสียงจากภาคใต้อีกประมาณ 5แสน)

เ็นตัวเลขที่ลองบวกลบคูณหารเล่นๆจากตัวเลขของผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้ง บอกให้เห็นถึงการถดถอยของเสียงสนับสนุนต่อ พรรคเพื่อไทย

15.7 ล้านเป็นฐานเสียงเพื่อไทย ปี 2554 ของปชป. 11.4 ล้าน จากคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ทั้งหมด 32 ล้าน


การประชุมเรื่องปฏิรูปพลังงาน ของภาคประชาชน


และแล้วการประชุมเรื่องปฏิรูปพลังงานก็ผ่านไป อย่าถามว่าหน้าห้องประชุมเกิดอะไรขึ้น ผมไม่รู้เพราะผมอยู่ในห้องประชุม ต้องถาม พ.ท.รัฐเขต ครับ แต่ผลของมันก็คือ ทำให้การประชุมปิด กลายเป็นการประชุมเปิดให้ประชาชนร่วมฟังได้

พอย้ายมาห้องประชุมใหญ่ ผมก็เปิดด้วยการชี้แจงว่าที่ผมได้ไม่ขึ้นเวทีปทุมวันนั้น ไม่เกี่ยวข้องกับลุงกำนันและผู้ใหญ่บ้านสาทิตย์เลย แต่เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่เท่านั้น(แต่ผู้ที่แอบอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เป็นใคร ผมจะเปิดเผยให้ทราบต่อไปครับ) จากนั้นผมก็ต่อด้วยเรื่องที่มีคนดิสเครดิตภาคประชาชนที่เคลื่อนไหวด้านพลังงาน โดยกล่าวว่า ถ้าเห็นภาคประชาชนพูดไม่ถูกต้องตรงไหนขอให้คุณอนิก(เมียนายปิยะสวัสดิ์ อัมระนันทน์)และดร.รักษ์ไทย ช่วยชี้แนะกันตรงๆเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปที่ถูกต้อง

เริ่มที่ ดร.รักษ์ไทย กล่าวว่าน้ำมันแพงเพราะภาษี และราคาหน้าโรงกลั่นไม่แพงเลย!!!

ผมถึงกับตะลึงในคำตอบ เพราะเป็นคำตอบของ ปตท.นั่นเอง

ซึ่งถ้าเป็นคนรู้จริงก็จะทราบว่าราคาหน้าโรงกลั่นที่ขายคนไทยนั้นแพงกว่าราคาส่งออกขายต่างชาติ โดยระบุในหนังสือชี้ชวนการขายหุ้นของโรงกลั่นทุกโรง ที่บอกว่าราคาหน้าโรงกลั่นที่ขายคนไทยใช้ราคาสมมติว่านำเข้าจากสิงคโปร์ จึงสามารถบวกค่าใช้จ่ายเทียม ทั้งค่าขนส่งจากสิงคโปร์ ค่าประกันภัย ค่าสูญเสียระหว่างขนส่งได้ ทั้งที่มันบวกไปแล้ว 1 รอบในการนำเข้าน้ำมันดิบ ส่วนการส่งออกให้ใช้ราคาส่งออก ซึ่งราคาทั้ง 2 แตกต่างกันมาก

สรุปว่ากลั่นเมืองไทย มลภาวะอยู่เมืองไทย แต่คนไทยจ่ายแพงกว่าส่งออก(ขัดหลักกลไกตลาดเสรีมาก) ที่ถูกต้องก็คือราคาเฉพาะเนื้อน้ำมันขายคนไทยหรือต่างชาติต้องเท่าๆกันตามกลไกตลาดโลกครับ การให้บวกค่าใช้จ่ายเทียมได้นี้ คือเงินกินเปล่าของโรงกลั่นครับ ปรับลดลงได้แน่นอน

ส่วนที่บอกว่าแพงเพราะภาษีก็ไม่จริงอีก เพราะภาษีมิได้สูงเมื่อเทียบกับต่างประเทศ แต่สิ่งที่บวกเข้าไปแล้วไม่ควรบวกคือ กองทุนน้ำมัน ที่ปิโตรเคมีลูกของบริษัทพลังงานได้ประโยชน์ไปเต็มๆในการซื้อก๊าซหุงต้มราคาต่ำเพียงประมาณ 17 บาทต่อกิโลกรัม โดยใช้สิทธิพิเศษที่มีมติออกมาสมัย นายกฯสมชาย วงศ์สวัสดิ์ โดยให้ธุรกิจปิโตรเคมีใช้ก๊าซจากอ่าวไทยก่อนเสมอกับภาคครัวเรือน ผลคือปิโตรเคมีดูดก๊าซไปใช้อย่างก้าวกระโดด ทำให้ก๊าซในประเทศขาดแคลน ภาระของการนำเข้าก๊าซตกจึงแก่กองทุนน้ำมันและภาคประชาชน

วิธีแก้คือให้ภาคประชาชนใช้ก๊าซจากอ่าวไทยก่อนเท่านั้น และให้ปิโตรเคมีไปนำเข้าก๊าซเอาเอง เท่านี้ภาระกองทุนน้ำมันก็หมดลง เบนซินก็จะถูกลงลิตรละ 10 บาท ทีเดียว

สรุปว่าที่กล่าวหาภาคประชาชนว่าข้อมูลไม่ตรงกับเขา ก็เป็นความจริงครับ เพราะเราใช้ข้อมูลมากกว่าที่ปรากฏในเวปไซด์ของปตท.และกระทรวงพลังงานครับ จึงอยากให้ผู้เห็นต่างเปลี่ยนจากการดิสเครดิต ไปเป็นค้นคว้าหาข้อมูลตามที่ผมบอก ก็จะหูตาสว่างกว้างไกลครับ

ผมเชื่อว่าปฏิรูปพลังงานจะไม่ทำให้ประชาชนแตกแยก แต่จะทำให้สีดำแทรกมาในสีขาวหลุดร่วงออกไปเองครับ

ปล.เวทีปิด เร็วกว่ากำหนด….เพราะเหตุใด….ไม่ทราบครับ


ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์:เงินบริจาค เรื่องจริง หรือ ราคาคุย


ผมดูวิธีการเดินหาเงินของคุณสุเทพแล้วแปลกใจ เพราะอ้างว่าเดินเที่ยวหนึ่งได้เงินเป็นล้าน เช่นไปเดินที่สีลม เอกมัย ทองหล่อ ได้ถึง 19 ล้าน มีบริจาคที่เวทีอีก 6 ล้าน รวมเป็น 25 ล้าน

ผมคนคิดมากเรื่องเงินเรื่องทองตามประสาพ่อค้า เงินเคยผ่านมือผมเป็นร้อยล้านพันล้านเพราะทำการค้ามาตั้งแต่เด็ก ถนนสีลมสั้นนิดเดียว แค่ 2กิโลกว่า ส่วนที่เอกมัยทองหล่อก็ไม่ได้ยาวอะไรมากมาย

ผมจึงขอเปรียบเทียบให้ฟังถึงข้อสงสัยของผม ระยะทาง 1 กิโลเมตร เท่ากับ 1,000 เมตร หรือ 100,000 เซ็นติเมตร

ธนบัตร 1,000 บาท หนึ่งใบ มีความยาว 16 เซ็นติเมตร หากนำเอาธนบัตร 1,000 บาท มาวางติดต่อกัน จะต้องใช้จำนวน 6,250 ใบ ถึงจะได้ความยาว 1 กิโลเมตร หรือเท่ากับจำนวน 6,250,000 บาทต่อระยะทาง 1 กิโลเมตร

นั่นหมายความว่าคุณสุเทพจะต้องเดินได้แบงค์พันล้วนๆตลอดทุกฝีก้าว หรือคนบริจาคจะต้องเย็บแบงค์พันยาวติดต่อกัน 3 กิโลเมตร ถึงจะได้ 18.75 ล้านบาท โดยไม่มีแบงค์ร้อย แบงค์ห้าร้อย หรือแบงค์ยี่สิบ มาแซม

ผมไม่ทราบว่าคุณสุเทพเดินกี่ก้าวถึงจะได้แบงค์พันสักใบ? จะไปดูถูกคุณสุเทพไม่ได้ มีประชาชนเขาเอาเงินให้ จึงคำนวณต่อว่าคุณสุเทพเดินก้าวละกี่เซ็นติเมตร

โดยปกติคนธรรมดาเดินก้าวละ 60 เซ็นติเมตร แสดงว่าทุกๆก้าวของคุณสุเทพที่เดิน จะต้องได้แบงค์พันก้าวละ 3.75 ใบ หรือ 3,750 บาทต่อก้าว

คุณสุเทพเดินก็ไม่ได้เงินทุกก้าว ระยะทางที่เอาแบงค์พันมาเย็บติดต่อกันเป็นกิโลก็ไม่มี ส่วนคนที่ให้เป็นปึก อย่างมากก็หมื่นถึงสองหมื่นบาท ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่คุณสุเทพจะได้เงินเป็นสิบล้านต่อการเดินหนึ่งครั้ง

อีกทั้งคุณสุเทพก็ไม่เคยนำเงินที่ได้รับบริจาคมานับต่อสาธารณชนอย่างชัดเจนว่าได้เท่าไหร่ ประชาชนคนทั่วไปจะได้เห็น เพราะตอนบริจาคมีการถ่ายทอดออกข่าว แต่ตอนนับเงินไม่เห็นมี คนเขาจะติฉินนินทาได้ บัญชีรายรับรายจ่ายไม่มี รับมาเท่าไหร่ เอาไปจ่ายอะไรบ้าง? อาหาร การกิน ดนตรี ค่ารถ ค่าน้ำมัน รวมด้วยหรือเปล่า?

หรือจะเอาไปช่วยชาวนาจ้างทนาย ค่าธรรมเนียมวางศาลล้วนๆ? ส่วนที่บริจาคก่อนหน้านั้นจะว่าอย่างไร? เอาแต่บอกว่าวันนี้เดินได้สิบกระสอบ ยี่สิบกระสอบ โดยไม่มีตัวเลขชี้แจงให้ชัดเจน

ผมเคยชินกับการเย็บแบงค์เป็นพวงมาลัย ทั้งแขวนคอนักร้อง หรือทำบุญทอดกฐิน และผมเป็นคนเก่งคำนวณ ตัวเลขไม่เคยพลาด ประเมินได้ไม่เคยผิด

ผมเกรงว่าจะทำเป็นเดินได้เงินสักหน่อย แล้วยัดไส้เงินที่ได้มาจากท่อน้ำเลี้ยง เงินใต้โต๊ะ เงินที่ไม่มีที่มาที่ไป แล้วอ้างว่าได้มาจากการบริจาค ผสมโรงให้สาธารณชนเขาเข้าใจผิด เพราะที่คุณสุเทพเดิน แม้จะเป็นย่านสีลม สุขุมวิท ดูแล้วที่ดินมันแพง แต่บรรดาเศรษฐีคนร่ำคนรวยเขาไม่ได้เดินอยู่ข้างถนนด้วย

หากคุณสุเทพมีคอลเซ็นเตอร์ของ กปปส. มีเลขบัญชีให้เขาโอนเงินเข้ารับบริจาคมันก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่นี่เห็นเป็นเงินสดทั้งนั้น

ไหนๆจะปฏิรูปแล้วทำให้ชัดเจนเถอะครับ เริ่มตั้งแต่เงินบริจาคเสียเลยเป็นไง? ทำให้เขาดูเป็นตัวอย่างเสียหน่อย


ทหารกดดันให้ปูยิ่งลักษณ์ลาออก

Suvinai Pornavalai ได้แชร์รูปภาพของ Thanong Fanclub
ทหารกดดันให้ปูยิ่งลักษณ์ลาออก
ทหารกดดันให้ปูนิ่มลาออก

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา มีการประชุมครม.ที่กองทัพอากาศ ปรากฎว่าฝ่ายทหารที่อยู่ด้วยได้มีการส่งสัญญานพูดชัดเจนกับปูนิ่มว่าให้ลาออก เพื่อเปิดทางให้มีการแต่งตั้งรัฐบาลชั่วคราวเพื่อการปฏิรูปประเทศ ไม่แน่ใจว่าใครเป็นคนยื่นคำขาดให้กับปูนิ่ม แต่ทหารประคองปูนิ่มต่อไปไม่ไหว เพราะความชอบธรรมหมดสิ้นไปแล้ว

มีสองฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ปูนิ่มมิอาจจะรักษาอำนาจอยู่ต่อไปได้ คือ 1. ทุกข์ของชาวนาที่ถูกโกงจำนำข้าว ทำให้ชาวนาฆ่าตัวตายไปแล้ว 5คน รัฐบาลรักษาการไม่อาจกู้ยืมเงิน130,000ล้านมาคืนหนี้ให้ชาวนาได้ ข้าวที่รับจำนำมาที่อยู่ในโกดัง 15-18ล้าน ไม่รู้ว่ามีสต๊อคลม มีปริมาณเหลืออยู่จริง หรือมีคุณภาพมากแค่ใหน และจะใช้เวลานานแค่ใหนกว่าจะระบายข้าวออกมาทัน เพื่อใช้หนี้ชาวนา ที่ตอนนี้ลำบากสุดๆ ติดหนี้นอกระบบจนจะล้มละลายกันไปหมดแล้ว ความมั่นคงของประเทศสั่นคลอนหนักเพราะทุกข์ของชาวนาคือทุกข์ของแผ่นดิน

2. ฟางอีกเส้นคือการที่ทักกี้เรียกประชุมพรรคพวกที่ไว้ใจในวงในสุดที่พม่า เพื่อวางยุทธศาสตร์ในการต่อรอง วางคนที่จะปฏิบัติการป่วน และวางคนที่จะรับตำแหน่งสำคัญต่อไป เพื่อรักษาอำนาจ หลังจากที่มีการทำบุญเสดาะเคราะห์ต่อดวง เพราะมันชี้ให้เห็นถึงรัฐบาลเงาหรือผู้ที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาลปูที่แท้จริง เรื่องนี้กระทบความมั่นคงของประเทศ ทำให้ทหารอยู่เฉยๆต่อไม่ได้

จึงพร้อมใจออกมายื่นคำขาดให้ปูนิ่มลาออก เพราะว่าหมดความชอบธรรมทุกประการแล้ว น่าจะให้เวลาปูนิ่มถึงวันแห่งความรัก หรือปลายสัปดาห์นี้ มิฉะนั้นจะไม่รับรองว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขณะนี้กำลังทหารหลักๆ เข้ามาดูแลพระนครหมดแล้ว

ต้องดูว่าปูจะทำอย่างไรต่อ เพราะว่าประตูทางออกถูกปิดหมดแล้ว ยกเว้นการลงออกแต่โดยดี

12/2/2014

"เจ้าสัวซีพี" พูดชัด ! ให้เก็บข้าวในสต็อค และ ซื้อข้าวต่างชาติเข้ามาขาย .

"เจ้าสัวซีพี" พูดชัด ! ให้เก็บข้าวในสต็อค และ ซื้อข้าวต่างชาติเข้ามาขาย .... รัฐไม่ต้องเร่งระบายข้าว ส่วนกรณีที่รัฐบาล ต้องแบกสต๊อกข้าวสารในเวลานี้ ไม่ต่ำกว่า 8 ล้านตันจากโครงการรับจำนำข้าว มองว่าไม่น่าห่วง เพราะหากต้องการ ความปลอดภัยทาง ด้านความมั่นคงด้านอาหาร เราต้องเก็บสต๊อกไว้อย่างน้อย 6 ล้านตัน หรือต้องเก็บไว้หนึ่งรอบการผลิต ไม่ใช่ขายจนเกลี้ยง เพราะหากมีข้าวขาดตลาด ชาวบ้านเคยซื้อครั้งละ 5 กิโลกรัม เพิ่มเป็น 10 กิโลกรัม

เราจะทำอย่างไรไม่ให้เสียแสนล้าน ต้องเก็บข้าวเอาไว้ และทำอย่างไร ให้ราคาสูง คุณขายไปก่อน ผมขายทีหลัง ผมขายน้อยได้เงินมาก ที่เกินนั้นได้ฟรี แล้วผมไปหาข้าวประเท ศอื่นไปขาย เช่น ซีพีวันนี้ก็เริ่ม‪#‎ซื้อข้าวจากกัมพูชาไปขายทั่วโลก‬ เขาก็พอใจเพราะเรา ไปช่วยเขานี่ คือธุรกิจสมัยใหม่ ผมจะไม่สู้กับเวียดนาม สู้กับพม่า แต่จะสู้ด้วยการเพิ่มมูลค่า สู้ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพ และการแปรรูป เขาขายข้าวสาร ผมขายข้าวผัด ขายข้าวสำเร็จรูป ทำไมผมต้องไปแข่งขัน ขายข้าวราคาถูกๆ ซึ่งผู้ที่จะเสียหาย คือชาวนา และรัฐบาล"


เบื้องหลัง มท.งัดข้อ ศรส.ไม่สนคำสั่งเนรเทศ “สาธิต เซกัล”

เบื้องหลัง มท.งัดข้อ ศรส.ไม่สนคำสั่งเนรเทศ “สาธิต เซกัล”

เขียนวันที่
วันพุธ ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 16:20 น.
เขียนโดย
isranews
หมวดหมู่
“ที่สำคัญการ คำปราศรัยของนายสาธิต ยังไม่ได้เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ นายสาธิตพูดเพียงแต่เรื่องจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์”
satid-prapas
ภายหลังที่ “ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ” (ศรส.) ซึ่งมี “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นั่งเป็นผอ.ศรส. มีมติให้เนรเทศ “สาธิต เซกัล” นายกสมาคมธุรกิจอินเดีย-ไทย แกนนำ กปปส. ออกจากประเทศไทย
แต่อำนาจการเนรเทศ “สาธิต” ไม่ได้อยู่ที่ “ศรส.” เมื่อมีมติออกมาแล้ว “ศรส.” จึงต้องแทงเรื่องส่งไปยัง “คณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง” ซึ่งมี “วิบูลย์ สงวนพงศ์” ปลัดกระทรวงมหาดไทย นั่งเป็นประธานโดยตำแหน่ง
โดยมีการจัดการประชุม “คณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง” ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2557 ที่ผ่านมา ซึ่ง “วิบูลย์” มอบหมายให้ “ประภาศ บุญยินดี” รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นั่งเป็นประธานในที่ประชุมแทน
ฝั่ง “ศรส.” ส่งตัวแทนจาก “สภาความมั่นคงแห่งชาติ” (สมช.) และ “กรมสอบสวนคดีพิเศษ” (ดีเอสไอ) เข้าชี้แจงต่อ “คณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง”
“ตัวแทนจากศรส.” นำสั่งเนรเทศของ “ศรส.” มาประกอบเป็นหลักฐาน พร้อมทั้งเปิดฉากชี้แจง ว่า พฤติกรรมของ “สาธิต” เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ เพราะสนับสนุนการชุมนุม จึงเห็นสมควรให้เนรเทศ “นักธุรกิจอินเดีย” ออกจากประเทศไทย
ทั้งนี้ “ตัวแทนศรส.” ยกเหตุผลการเนรเทศ “สาธิต” ว่าเข้าข่ายตาม “พ.ร.บ.คนเข้าเมือง” ในหมวด 6 การส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร โดยในมาตรา 53 ระบุว่า คนต่างด้าวซึ่งเข้ามามีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรแล้วภายหลังปรากฏว่าเป็นบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งตามมาตรา 12 (7)
มาตรา 12 ระบุว่า ห้ามมิให้คนต่างด้าวซึ่งมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้เข้ามาในราชอาณาจักร และใน (7) ระบุว่า มีพฤติการณ์เป็นที่น่าเชื่อว่าเป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคม หรือจะก่อเหตุร้ายให้เกิดอันตรายต่อความสงบสุขหรือความปลอดภัยของประชาชนหรือความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หรือบุคคลซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศได้ออกหมายจับ
ทว่าคำชี้แจงของ “ตัวแทนศรส.” ทางฝากฝั่งของ “คณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง” ไม่เห็นด้วย เพราะเห็นว่าหลักฐานที่จะใช้ในการเนรเทศ “สาธิต” ยังไม่เพียงพอ และไม่เข้าเงื่อนไขการถูกเนรเทศ ตามเจตนารมณ์ที่ “พ.ร.บ.คนเข้าเมือง” ระบุไว้
โดย “ประภาศ” ตอบปฏิเสธ “ตัวแทนศรส.” ทันควันที่จะมีมติออกจาก “คณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง” ตีตรารับรองให้กับ “ศรส.” ใช้เนรเทศ “สาธิต”
“ประภาศ” ให้เหตุผลว่า ตอนนี้ยังใช้อำนาไม่ได้ เพราะเราต้องมีหลักฐานที่ชัดเจน ว่านายสาธิตมีพฤติกรรมที่เป็นภัยต่อประเทศ
“ที่สำคัญการปราศรัยของนายสาธิต ยังไม่ได้เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ นายสาธิตพูดเพียงแต่เรื่องจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์” แหล่งข่าวอ้างคำพูดรองปลัดมท.
นอกจากนี้ “ตัวแทนอัยการ” ยังเห็นด้วยกับ “ประภาศ” ที่ระบุว่า หลักฐานในการเนรเทศ “สาธิต” ยังไม่เพียงพอ
ที่ประชุม “คณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง” จึงมีมติให้ “ตัวแทนของศรส.” นำเรื่องไปแจ้ง “ศรส.” ให้หาหลักฐานในการเอาผิด “สาธิต” เพิ่มเติม อาทิ เทปบันทึกคำปราศรัย พฤติกรรมที่ถือเป็นภัยต่อประเทศ เป็นต้น
ทั้งหมดคือเบื้องหลักที่ “คณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง” แข็งข้อไม่ส่งความเห็นเนรเทศ “สาธิต” ให้กับ “ศรส.” เพื่อที่จะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

ภาพจากซ้ายนายสาธิต เซกัล นักธุรกิจอินเดีย-ไทย ขวา นายประภาศ บุญยินดี รองปลัดกระทรวงมหาดไทย