PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

"มัลลิกา" ลั่นไม่กลัว!! "ธาริต" รับคดีพิเศษตัดต่อภาพนายก - สวนกลับ "โอ๊ค" ทำไมทำได้

"มัลลิกา" ไร้กังวลกรณี DSI จ่อเอาผิดคดีโพสต์ รูปตัดต่อ "ยิ่งลักษณ์" ยืนคู่ป้าย “เสือ-สิงห์-กระทิง” -ตอกกลับ "ธาริต" 2 มาตรฐาน ปล่อย "โอ๊ค" ตัดต่อภาพ ห้ามตะโกนในโรงหนัง กลับไม่ดำเนินคดี

วันนี้ (14 ก.ค.) น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับสอบกรณีการโพสรูปภาพ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ ยืนคู่กับป้ายอุทยานแห่งชาติกุยบุรี ที่มีภาพปรากฏในเฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ของตนมีคำว่าเสือ สิงห์ กระทิง ตามที่คนเสื้อแดงร้องเรียนเป็นคดีพิเศษนั้น ว่า ตนไม่รู้สึกกังวลในกรณีนี้ เพราะตนไม่ได้ทำอะไรผิด ภาพที่เอามาโพสตนไม่ได้ตัดต่อขึ้นมาเอง มีการโพสและแชร์จากในเฟซบุ๊กคนอื่น ซึ่งพอเราทราบว่าเป็นรูปที่ตัดต่อขึ้นมาเราก็ได้มีการขอโทษ และนำภาพจริงมาเปรียบเทียบกับภาพตัดต่อเพื่อไม่ให้ประชาชนเข้าใจผิด แต่การที่นายธาริตบอกว่าได้สั่งการให้คดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษทันทีเนื่องจากเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.แนบท้ายการสอบสวนคดีพิเศษนั้น จึงอยากถามว่า การที่นายธาริตบอกรับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษนั้น ต้องผ่านคณะกรรมการคดีพิเศษว่าควรรับหรือไม่ เพราะแม้นายธาริตจะเป็นเลขาธิการคณะกรรมการคดีพิเศษ แต่ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจรับคดีพิเศษ โดยไม่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการคดีพิเศษ เพราะถือเป็นความผิด และหากผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการคดีพิเศษแล้ว ตนก็อยากทราบเหตุผลที่รับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ

“หากคณะกรรมการคดีพิเศษพิจารณาแล้วรับเป็นคดีพิเศษ ดิฉันก็จะใช้คดีนี้เป็นหอกแทงกลับไปยังนายธาริตเอง เพราะการกระทำของดิฉันในเรื่องนี้ เทียบเคียงได้กับกรณีของการโพสรูปตัดต่อของนายพานทองแท้ ชินวัตร ที่โพสต์รูปการจัดทอล์คโชว์ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีการตัดต่อพื้นหลังจากคำว่ากรรเชียงปู เป็นคำว่าห้ามตะโกนในโรงหนังห้ามใช้เสียงในระบบรัฐสภา ซึ่งเป็นการกระทำลักษณะเดียวกัน เพราะทำให้พรรคประชาธิปัตย์เสื่อมเสีย ดังนั้นหากกรณีนี้มีความผิดมีโทษรุนแรง นายธาริตก็ต้องดำเนินการกับนายพานทองแท้ด้วย หากไม่ดำเนินการก็จะเป็นการกระทำสองมาตรฐาน” น.ส.มัลลิกากล่าว

เหตุนองเลือดอียิปต์เข้าขั้นวิกฤต รบ.ประกาศเคอร์ฟิว-ภาวะฉุกเฉิน 1 เดือน

มติชน วันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สื่อรัฐบาลอียิปต์รายงานว่า รัฐบาลอียิปต์ประกาศภาวะเคอร์ฟิวในระหว่างเวลา 19.00-06.00 น. ใน 11 จังหวัดของอียิปต์ ซึ่งรวมถึงกรุงไคโร กิซา อเล็กซานเดรีย และสุเอซ  นอกจากนั้น รัฐบาลยังได้ประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วประเทศ โดยเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลา 16.00 น.ของวันที่ 14 ส.ค.เป็นต้นไป



เหตุนองเลือดในกรุงไคโรของอียิปต์ทำให้ช่างภาพของสถานีโทรทัศน์สกายนิวส์ของอังกฤษถูกยิงเสียชีวิตขณะที่การบุกสลายค่ายผู้ชุมนุมสองแห่งในกรุงไคโรของกลุ่มผู้ชุมนุมที่สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีโมฮัมเหม็ดมอร์ซีทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก

รายงานข่าวระบุว่า นายมิค ดีน วัย 61 ปี ถูกยิงเสียชีวิตระหว่างการบุกทำลายค่ายผู้ชุมนุมที่มัสยิดราบา อัล-อาดาวิยา ซึ่งเป็นจุดที่ผู้ชุมนุมปักหลักประท้วงมานานกว่า 6 สัปดาห์ อย่างไรก็ดี ไม่มีรายงานว่าทีมงานคนอื่นของสถานีได้รับอันตราย ทั้งนี้ นายดีนทำงานให้กับสกายนิวส์มานานกว่า 15 ปี โดยประจำที่กรุงวอชิงตัน และนครเยรูซาเลม

นอกจากนั้นยังมีรายงานว่ามีผู้สื่อข่าวเสียชีวิตอีกหนึ่งราย ต่อมาทราบชื่อว่านายฮาบิบา อาห์เหม็ด เอลาซิส วัย 26 ปี จากหนังสือพิมพ์เอ็กซ์เพรสของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งไม่ได้เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ แต่อยู่ระหว่างการพักร้อนเพื่อเดินทางกลับบ้านเกิดในกรุงไคโร

เจ้าหน้าที่เผยว่า ได้เข้ารื้อค่ายที่พักของผู้ชุมนุมที่บริเวณจัตุรัสนาห์ดา ใกล้มหาวิทยาลัยไคโรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ด้านกระทรวงมหาดไทยเผยว่ากำลังเก็บกวาดและเข้าเคลียร์พื้นที่ดังกล่าวแล้ว ขณะที่
ยังคงได้ยินเสียงปืนดังเป็นระยะๆ โดยยังคงมีรถถังเดินทางเข้ากรุงไคโรอย่างต่อเนื่อง และปรากฎกลุ่มควันสีดำในหลายจุด

อย่างไรก็ดี ยังคงไม่ทราบแน่ชัดว่าผู้เสียชีวิตจากปฏิบัติการกวาดล้าง 2 จุดครั้งนี้มีจำนวนเท่าใดกันแน่ เนื่องจากแหล่งที่มาของข้อมูลการรายงานไม่ตรงกัน โดยผู้สื่อข่าวต่างชาติหลายคนกล่าวว่า เห็นศพผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 40 คน ที่ห้องเก็บศพชั่วคราวที่มัสยิด ราบา อัล-อาดาวิยา ขณะที่เว็บไซต์ lkhwanonline ของกลุ่มภราดรภาพมุสลิมรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 800 คน ส่วนกระทรวงสาธารณสุขยืนยันตัวเลขที่ 56 คน

ขณะที่กระทรวงมหาดไทยปฏิเสธว่าไม่มีผู้เสียชีวิตจากการใช้กระสุนจริงของเจ้าหน้าที่ทางการสลายการชุมนุมโดยใช้เพียงแก๊สน้ำตาเท่านั้นและการยิงโต้ตอบเกิดขึ้นภายในค่ายผู้ประท้วงระหว่างทั้งสองฝ่ายที่ทำให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง

ด้านโฆษกรัฐบาลกล่าวชมเชยการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ในการรื้อค่ายที่พักของผู้ประท้วงและระบุว่ามีผู้บาดเจ็บจำนวนหนึ่งโดยรัฐบาลจะตัดสินใจเผชิญหน้ากับผู้ประท้วงที่ต้องการโจมตีอาคารที่ทำการรัฐบาลและสถานีตำรวจ

นอกจากนั้นยังมีรายงานเหตุปะทะในจังหวัดอื่นๆของอียิปต์อาทิสุเอซ อเล็กซานเดรีย เบไฮรา อัสซุต อัสวานและเมนยา

กระทรวมหาดไทยอียิปต์ เปิดเผยว่า ยังคงดำเนินปฏิบัติการกวาดล้างผู้ชุมนุมต่อไป สถานีโทรทัศน์ไนล์ ทีวีรายงานว่า กลุ่มนักเรียกร้องที่สนับสนุนนายมอร์ซี ถูกต้อนให้ไปรวมตัวกันที่สวนสัตว์และมหาวิทยาลัยไคโร ก่อนหน้านี้ กระทรวงมหาดไทยได้ออกประกาศว่ากองกำลังรักษาความมั่นคงกำลังใช้มาตรการเท่าที่จำเป็นในการสลายค่ายผู้ประท้วงพร้อมประกาศจัดหาหนทางที่ปลอดภัยให้ผู้ที่ต้องการยุติการประท้วงออกจากพื้นที่ด้วยความปลอดภัยยกเว้นแต่ผู้ที่ยังขัดขืนคำสั่งแต่ไม่ต้องการให้มีการเสียเลือดเนื้อ

ตำรวจได้เริ่มปฏิบัติการสลายการชุมนุมของกลุ่มผู้ประท้วงแล้วโดยได้ใช้แก๊สน้ำตายิงใส่กลุ่มผู้ชุมนุมที่ปักหลักกันอยู่ภายนอกมัสยิดราบาห์อัล-อดาวิยาและในบริเวณจตุรัสนาห์ดาในกรุงไคโร ส่วนที่ด้านนอกมหาวิทยาลัยไคโร เจ้าหน้าที่ได้ใช้ยานยนต์หุ้มเกราะเข้าผลักดันผู้ประท้วง และทำลายแนวกั้นที่ผู้ประท้วงได้สร้างขึ้น

โดยก่อนหน้านี้ มีผู้เสียชีวิต 1 ราย ในเหตุปะทะระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีโมฮัมเหม็ด มอร์ซี และฝ่ายต่อต้านอดีตผู้นำอียิปต์ที่กรุงไคโร เมื่อคืนที่ผ่านมา ผู้ชุมนุมได้เผชิญหน้ากับชาวบ้านในพื้นที่ดังกล่าวซึ่งมีแนวคิดต่อต้านนายมอร์ซีและกลุ่มภราดรภาพมุสลิม ที่ตะโกนด่าผู้ชุมนุมว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย ต่อมาผู้ชุมนุมได้พยายามบุกเข้าไปยังพื้นที่ที่ทำการรัฐบาล ขณะที่ตำรวจปราบจลาจลได้ยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ผู้เดินขบวนซึ่งมีทั้งเด็กและสตรีรวมอยู่ด้วย ขณะที่ทั้งสองฝ่ายต่างปาก้อนหินเข้าใส่กัน ทำให้ต้องวิ่งหนีเอาชีวิตรอดกันอย่างอุตลุด

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลจับนักสิทธิมนุษยชนในบังคลาเทศเป็นนักโทษทางความคิด

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลออกแถลงการณ์ถึงกรณีที่ทางการบังคลาเทศจับกุมนักปกป้องสิทธิมนุษยชนชาวบังคลาเทศคนสำคัญ ถือเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกอย่างชัดเจน โดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลรับเป็นนักโทษทางความคิด เรียกร้องรัฐบาลให้ปล่อยตัวทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข 

อับบาซ ฟาอิซ (Abbas Faiz) นักวิจัยของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประจำประเทศบังคลาเทศ เปิดเผยว่าแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล รับนายอดิลู รามัน ข่าน (Adilur Rahman Khan) เป็นนักโทษด้านความคิดแล้ว หลังการทางการจับกุมตัวเขาโดยไม่มีหมายจับเมื่อวันที่ 10 สิงหาคมที่ผ่าน

สาเหตุที่เขาถูกควบคุมตัวเพียงเพราะประท้วงอย่างสงบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนของกองกำลังของบังคลาเทศ “การจับกุมอดิลู รามัน ข่าน เป็นการส่งสัญญาณถึงบรรดาฝ่ายที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล เพื่อเตือนว่าถ้าใครแสดงความกังวลด้านสิทธิมนุษยชน ก็อาจได้รับผลกระทบร้ายแรงเช่นนี้ ทางการจะต้องปล่อยตัวเขาโดยทันทีและอย่างไม่มีเงื่อนไข” อับบาซ ฟาอิซ กล่าวเสริมว่าแทนที่จะหาทางลงโทษนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ทางการบังคลาเทศควรต้องแก้ปัญหาการละเมิดสิทธิตามที่ถูกกล่าวหา โดยต้องจัดให้มีการสอบสวนและนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ

สำหรับอดิลู รามัน ข่านเป็นเลขาธิการของโอดิกา (Odhikar) หน่วยงานสิทธิมนุษยชนซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงธากา เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พนักงานสอบสวนยังได้ค้นสำนักงานของโอดิกา มีการยึดคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อื่น ๆ ไปด้วย ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โอดิกาได้วิพากษ์วิจารณ์กองกำลังของบังคลาเทศที่เข้าปฏิบัติการในระหว่างการชุมนุมประท้วงของกลุ่มเฮฟาซัต อี อิสลาม (Hefazat-e-Islam) ซึ่งเป็นกลุ่มต่อต้านรัฐบาลเมื่อวันที่ 5 และ 6 พฤษภาคมปีนี้

มีผู้เสียชีวิตระหว่างการประท้วงอย่างน้อย 44 คน ส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นเพราะการใช้กำลังเกินกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในขณะที่มีรายงานว่าตำรวจสองนายและเจ้าหน้าที่พิทักษ์ชายแดนอีกหนึ่งนายได้ถูกผู้ประท้วงสังหาร ในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม โมนิรูล อิสลาม (Monirul Islam) ผู้บัญชาการร่วมตำรวจนครบาลกรุงธากาอธิบายเหตุผลที่ต้องมีการควบคุมตัวข่านว่า “โอดิกาได้ตีพิมพ์รายงาน โดยตีพิมพ์ภาพของผู้ที่เสียชีวิตในระหว่างการปราบปรามกลุ่มเฮฟาซัตเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ....ซึ่งเป็นการทำลายภาพลักษณ์ของเจ้าพนักงานผู้บังคับใช้กฎหมาย รัฐบาล และของประเทศ”

โอดิการายงานว่ามีผู้เสียชีวิตมากถึง 61 คนในระหว่างการชุมนุมประท้วงเมื่อเดือนพฤษภาคม แต่ประกาศว่าจะไม่ตีพิมพ์รายชื่อของเหยื่อผู้เสียชีวิต เพราะเกรงว่าญาติจะได้รับอันตราย แต่มีการเรียกร้องให้รัฐบาลตั้งคณะกรรมการเพื่อไต่สวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นอิสระและอย่างไม่ลำเอียง

ซึ่งสอดคล้องกับเสียงเรียกร้องของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลและหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอื่น ๆ “แทนที่จะสอบสวนการเสียชีวิตของประชาชนหลายสิบคนตามที่มีรายงาน ทางการกลับหันมาเล่นงานคนที่พยายามส่งสารของกลุ่มโอดิกา รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี ชีก หัสเสนา (Sheikh Hasina) กำลังปล่อยให้เจ้าหน้าที่ความมั่นคงที่มีส่วนในการละเมิดสิทธิมนุษยชนลอยนวล และปราบปรามคนที่ร้องเรียนเกี่ยวกับพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออกอย่างชัดเจน ซึ่งตรงข้ามกับสัญญาของตัวแทนรัฐบาลบังคลาเทศที่มีต่อรัฐภาคีสหประชาชาติอื่น ๆ ว่าจะปกป้องสิทธิมนุษยชน” อับบาซ ฟาอิซ กล่าว **************************************** AMNESTY INTERNATIONAL

NEWS FLASH

12 August 2013

Bangladesh: Arrest of human rights defender sends a chilling message

The arrest of a prominent Bangladeshi human rights defender over the weekend is a clear violation of the right to freedom of expression, Amnesty International said.

The organization has adopted Adilur Rahman Khan as a prisoner of conscience following his arrest without a warrant on 10 August. He is being detained solely for peacefully challenging alleged human rights violations by Bangladesh security forces.

“Adilur Rahman Khan’s arrest sends a chilling message to government critics – if you raise concerns about human rights, there will be serious consequences. He must be released immediately and unconditionally,” said Abbas Faiz, Bangladesh researcher at Amnesty International.

“Instead of punishing human rights defenders, the Bangladeshi authorities must address alleged violations by carrying out investigations and holding accountable those responsible.”

Adilur Rahman Khan is the secretary of Dhaka-based human rights organization Odhikar. Yesterday detectives searched Odhikar’s office, seizing computers and other equipment.

In recent months Odhikar had been critical of the Bangladeshi security forces’ actions during protests by the opposition group Hefazat-e-Islam on 5 and 6 May this year.

At least 44 people were killed during the protests, most of them after police allegedly used excessive force. Two police officers and a Bangladeshi Border Guard were reportedly killed by the protesters.

At a press briefing on 11 August, the Dhaka Metropolitan Police’s Joint Commissioner Monirul Islam explained the reasons for Khan’s detention: “Odhikar published a motivated report which used the photos of those who had died in the Hefazat attacks on May 5… This has tarnished the image of the law enforcement agency, government, and, overall, the state”.

Odhikar has reported that as many as 61 people died during the May protests, but says it will not publish the list of victims’ names, fearing it would put their relatives at risk. It has instead called on the government to form a commission to carry out an independent and impartial investigation into the incident – a call echoed by Amnesty International and other international human rights organizations.

“Rather than investigating the dozens of deaths reported, the authorities have turned against the messenger, Odhikar,” said Faiz.

“The government of Prime Minister Sheikh Hasina is letting the security forces implicated in human rights violations off the hook, whilst suppressing those who raise concerns about their conduct.

“This is in clear breach of the right to freedom of expression and makes a mockery of the Bangladeshi government’s pledges to other UN member states to uphold human rights.”

Public document
****************************************
For more information please call Amnesty International's press office in London, UK, on +44 20 7413 5566 or email: press@amnesty.org

Naowarat Suesa-ardMedia and Communication Coordinator90/24 Ladprao Soi 1, JompholChatuchak, Bangkok 10900ThailandTel: 66-2-513-8745, 66-2-513-8754Fax: 66-2-939-2534Mobile: 66-8-9922-9585www.amnesty.or.thmedia@amnesty.or.thwww.amnesty.or.thwww.facebook.com/amnestythailand Working to Protect Human Rights

สายัณห์ เลือกรักษาแพทย์ทางเลือกสู้กับมะเร็งตับ ล่าสุดตรวจพบเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวอีก

นางวรรณพร สัมฤทธิ์ ภรรยาของ เป้า-สายัณห์ สัญญา นายมานิตย์ อังกินันทน์ ผู้จัดการส่วนตัว พร้อมนายภานุกร ปริสุธี (พท.ว./พท.ภ) และ น.ส.รมณพรรณ จันทร์จิตจริงใจ (พท.ผ) ซึ่งเป็นทีมแพทย์แผนไทยของสหคลินิกการแพทย์แผนไทย บิ๊กเฮิร์บ แอนด์ แล็ป ร่วมกันแถลงความคืบหน้าอาการป่วยของ สายัณห์ ว่า หลังตรวจเลือดแล้วเริ่มเยียวยาอาการก็ดีขึ้นตามลำดับ แต่ยังต้องระมัดระวังอย่างใกล้ชิด เพราะล่าสุดผลเลือดยังพบว่าคนไข้มีมะเร็งที่ตับใหญ่ 23 ก้อน ตับอ่อน 1 ก้อนซึ่งเล็กกว่าไข่ไก่นิดหน่อย ม้าม 4 ก้อน อีกทั้งคนไข้ยังเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือธาลัสซีเมียด้วย ส่วนโรคเบาหวานอาการยังทรงตัว แพทย์สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี

ทางทีมแพทย์ใช้วิธีปรุงยารักษาตามผลเลือดที่ออกมา โดยตัวยาที่ใช้รักษานั้นมีเยอะมากกว่า 100 ชนิด ปรุงสกัดออกมาเป็นน้ำให้คนไข้รับประทาน เพราะคนไข้เป็นคนที่กินยาค่อนข้างยาก จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษตลอดเวลา คนไข้ยังอยู่ในขั้นอันตราย ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด เช็กอาการวันต่อวัน อย่างไรก็ตามทีมแพทย์ยังคงให้ทานยาจาก รพ.พระรามเก้า ควบคู่กันไป

ส่วนสายัณห์ ได้ฝากคลิปถึงแฟนเพลงระบุว่า "วันนี้ต้องขอโทษที่ไม่สามารถลงมาได้ เพราะต้องการพักผ่อนเอาแรงให้เต็มที่ เพื่อจะได้พบกับแฟน ๆ ในคอนเสิร์ตวันที่ 16 ส.ค.นี้ ที่ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี" พร้อมชูสองนิ้วเป็นการยืนยันว่าอาการดีขึ้นและพร้อมไปขึ้นคอนเสิร์ตแน่นอน

นายมานิตย์ ผู้จัดการส่วนตัว กล่าวว่า ใจจริงไม่อยากให้ไป เพราะระยะทางจากกรุงเทพฯ ไปสุพรรณบุรีค่อนข้างไกล ไป-กลับร่วม 300 กว่ากิโลเมตร จึงห่วงว่าจะเหนื่อย แต่ในเมื่อเจ้าตัวอยากไปก็ต้องเตรียมพร้อม ทั้งการเดินทางและรถพยาบาล

"เป้าเป็นคนดื้อมาก หากไม่พอใจหรือไม่อยากกินยาก็จะหันหลังให้ไม่เอาเลย แถมบางครั้งยังเคยท้อถึงขึ้นดึงสายออกซิเจนออกด้วยซ้ำ ต้องใช้วิธีทั้งปลอบและขู่เรื่องคอนเสิร์ตจึงจะยอมหันกลับมาดูแลตัวเอง"

ขณะที่นาง “วรรณพร สัมฤทธิ์” ภรรยา “เป้า สายัณห์” เผยว่าที่เลือกการรักษาแผนไทย เพราะสงสารที่ “สายัณห์” เจ็บปวดจากการทำเคมีบำบัด จึงหาทางรักษาที่เจ็บน้อยที่สุด


"ดร.ชัยวัฒน์" วิจัยพิมพ์เขียวปฏิรูป แค่ "ทักษิณ" คุย "พล.อ.เปรม" ก็ไม่จบ

: 11 ส.ค. 2556 เวลา 16:00:01 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์


ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ เป็นนักวิชาการด้านสันติวิธี เป็นหนึ่งในหลายคนที่ "สภาปฏิรูปการเมือง" ของ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี ส่งเทียบเชิญเพื่อให้เข้าร่วมองคาพยพ แต่สุดท้ายเขาปฏิเสธคำเชิญนั้น โดยบอกว่า เพราะเขาไม่ได้เตรียมตัว

แต่ก่อนหน้านั้น เขาและลูกทีมหมกมุ่นอยู่กับงานวิจัยปัญหาความขัดแย้งทางสังคม-การเมือง เรื่อง "พื้นที่สันติวิธี/หนทางสังคมไทย"

"ดร.ชัยวัฒน์" จึงสังเคราะห์ความคิดที่ตกผลึกจากงานวิจัยผ่านหน้ากระดาษ "ประชาชาติธุรกิจ" แม้เขาไม่เข้าร่วมวงสภาปฏิรูปการเมือง แต่เขาได้วางวิธีพูดคุยแบบสันติวิธีอย่างน่าสนใจ

- สภาปฏิรูปการเมืองช่วยให้เกิดความปรองดองได้ไหม

ไม่ทราบว่านายกฯอยากเห็นอนาคตของสภาปฏิรูปการเมืองเป็นอะไร เท่าที่ฟังบอกว่าจะให้ใครต่อใครเข้ามา มีอะไรจะได้แลกเปลี่ยนกัน แต่การพยายามให้มีทุกฝ่ายในสังคมที่แยกขั้ว นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วเราเริ่มเห็นว่าคนจำนวนหนึ่งเข้ามา แต่คนอีกจำนวนหนึ่งไม่ยอมเข้ามา เรื่องสำคัญไม่ใช่คนที่มา แต่เป็นคนที่ไม่ยอมมา ว่าจะทำอย่างไรถึงจะมีสะพานสร้างไปสู่คนเหล่านั้น เพราะถ้าไม่มีมุมมองจากคนเหล่านั้น มันก็จะเป็นที่ประชุมของคนที่มีความเห็นคล้ายกัน

- วิธีที่จะนำคนที่ไม่ยอมมา เปลี่ยนใจมาเข้าร่วมสภาปฏิรูปได้ต้องทำอย่างไร

มันเริ่มได้หลายวิธี วิธีหนึ่งคือ ทำอย่างไรถึงมองปัญหาจากมุมของเขา ในการศึกษาวิจัยด้านความขัดแย้งจะอธิบายเสมอว่า สิ่งหนึ่งที่จำเป็นต้องทำ คือ มองเรื่อง ๆ เดียวกัน แต่อย่ามองในมุมมองของตัว ต้องมองมุมของอีกฝ่าย เราก็จะเห็นว่าเรื่องนี้ทำไมถึงสำคัญขนาดนี้กับเขา ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าจะเป็นจะตาย

- คิดว่านายกฯมองจากมุมมองของฝ่ายตรงข้ามไหม

ถ้าคิดจากมุมของรัฐบาล คิดว่ารัฐบาลคงหาวิธี และวิธีที่รัฐบาลอยากทำ คือ อยากใช้วิธีที่ไม่อยากให้มีฝ่ายใดเสีย บัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น สามารถเชิญฝ่ายต่าง ๆ เข้ามาพูดคุยกันได้ก็เข้ามาก่อน ส่วนจะคุยได้ผลไหมก็อีกเรื่องหนึ่ง วิธีนี้ก็เป็นวิธีหนึ่งที่เขาคิดออก ไปเชิญคนสำคัญของชาติบ้านเมืองเข้ามา ไม่ว่าคุณบรรหาร (ศิลปอาชา) พล.อ.ชวลิต (ยงใจยุทธ) คุณอุทัย (พิมพ์ใจชน) คนเหล่านั้นเขาเห็นดีเห็นงามด้วยก็มา

- การเชิญบุคคลที่มีชื่อเสียงร่วมเป็นคณะกรรมการ สามารถช่วยทำให้ปรองดองเกิดขึ้นไหม

ท่านเหล่านี้คงมีความเห็นอะไรของท่านอยู่ แต่ช่วยได้จริงไหม...มันตอบยาก คือแน่นอนคนต้องมองว่านี่เป็นวิธีการทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยและรัฐบาล แต่เชื่อในที่สุดว่าคุยกันดีกว่าตีกัน แต่มันต้องมีวิธีการคุยเหมือนกัน บางเรื่องสำคัญ ๆ ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะพูดในที่สาธารณะ

- ปัญหาความขัดแย้งขณะนี้ ควรคุยในที่ลับหรือที่แจ้งจะเหมาะสมที่สุด

ควรจะใช้ทั้งสองอย่าง แต่ควรดูเป็นเรื่อง ๆ ไป ว่าอะไรควรนั่งคุยกันบนโต๊ะกาแฟตอนเช้าที่ไม่มีนักข่าวอยู่ เหตุผลคือความขัดแย้งบางเรื่องไม่ใช่แค่ประเด็นของเรื่อง สมมติญาติพี่น้องทะเลาะกันเรื่องมรดก บางทีนำเรื่องไปถึงศาล นำเรื่องไปลงหนังสือพิมพ์ พอเป็นอย่างนั้นสิ่งที่เสียหายไปไม่ใช่ใครจะได้ หรือใครจะชนะ แต่คือความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ที่ต้องซ่อม ซึ่งมันไม่ได้ซ่อมในที่สาธารณะ มันอาจจะค่อย ๆ ซ่อมในที่รโหฐาน หลังจากนั้นค่อยมาที่สาธารณะ แล้วจับมือกัน ถ่ายรูปกัน จริง ๆ ในการเจรจาระหว่างประเทศและเจรจาความเมืองมันมีเวทีต้องคุยกันก่อน มีคณะทำงานละเอียดรอบคอบ พอสุดท้ายค่อยบอกว่าเราตกลง เราจะเจรจากันแบบนี้นะ มันแบบนี้ทั้งนั้น

- ถ้าโฟกัสตัวคู่ขัดแย้งอย่างคุณทักษิณ ชินวัตร และ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่ปรากฏผ่านคลิปเสียงคล้ายนักการเมือง คิดว่าความขัดแย้งจะจบไหม

เรากำลังอธิบายว่าความขัดแย้งนี้เป็นความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนำ เป็นความขัดแย้งของคุณทักษิณกับคุณเปรม แต่ถ้าไม่ใช่ล่ะ คือผมมองว่าความขัดแย้งของบุคคลมันสัมพันธ์อยู่กับความขัดแย้งแบบอื่น ๆ ซึ่งฝังอยู่ในโครงสร้าง การดีกันในระดับบุคคลช่วยไหม...ช่วย แต่ทำให้ความขัดแย้งในโครงสร้างหายไปไหม...ไม่

- 6-7 ปีที่ผ่านมา ความขัดแย้งไม่ใช่เฉพาะกลุ่ม แต่เป็นความขัดแย้งลึกถึงโครงสร้าง

จึงไม่เห็นด้วยว่าทั้งหมดเป็นปัญหาของคุณทักษิณ หรือของคุณอภิสิทธิ์ ผมเห็นว่าคุณทักษิณหรือคุณอภิสิทธิ์อยู่ในบริบททางสังคมการเมือง และบริบททางสังคมการเมืองมีพลังสังคมการเมืองหลายอย่าง เช่น พลังเศรษฐกิจ พลังวัฒนธรรม ซึ่งเวลานี้สังคมกำลังเปลี่ยน และคนแต่ละคนอาจเป็นตัวแทนของพลัง 2 อย่างซึ่งต่างกัน พวกนั้นจำเป็นต้องหาวิธีอยู่กับมันให้ได้ ว่าเรากำลังอยู่ในสังคมที่เปลี่ยนแปลง

- ความขัดแย้งที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันมีอะไรบ้าง

โจทย์ของนักวิจัยสันติภาพที่น่าสนใจ คือ อารมณ์ในสังคมไทย ซึ่งน่าสนใจ 2 อัน คือ อารมณ์ขัน กับความเกลียดชัง ซึ่งอารมณ์ขันเป็นพลังทางการเมืองได้จากกลุ่มบางกลุ่มที่ใช้อารมณ์ขันเป็นเครื่องมือ มีการใช้ในต่างประเทศ เช่น เซอร์เบีย ที่ต่อสู้กับเผด็จการสันติวิธีผ่านอารมณ์ขัน ส่วนด้านที่เป็นปัญหาคือความเกลียดชังที่เป็นปัญหาใหญ่ อาจนำไปสู่ความรุนแรงได้ง่ายที่สุด

- หลังจากวิจัยความขัดแย้งในปัจจุบัน อะไรที่เป็นอุปสรรคขัดขวางความปรองดองมากที่สุด

การปรองดองที่เป็นภาพใหญ่มันยาก โดยเฉพาะการปรองดองที่เกิดหลังจากความรุนแรงไปแล้วมันเลยยิ่งยาก สังคมไทยตั้งแต่ปี 2549 ถึงปัจจุบัน มันเกิดเหตุสำคัญ 2 อย่าง คือ การยึดอำนาจ 19 กันยา มันทำให้สังคมฉีกออกจากกัน ผลของมันทำให้ความมั่นใจในสังคมการเมืองไทยมันแยกออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกยังเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้งเป็นเรื่องสำคัญ อีกฝ่ายหนึ่งไม่...การยอมรับการรัฐประหารคือการสูญเสียศรัทธาที่มีต่อระบอบประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้งเป็นฐาน แต่นั่นยังพอพูดกันได้อยู่บ้างในบางเรื่อง

แต่พอถึงการชุมนุมปี 2553 เกิดความรุนแรงบนท้องถนน ต่อสู้กัน นำไปสู่การเผาพื้นที่บางพื้นที่ มีผู้เสียชีวิต 90 คน บาดเจ็บ 1,700 คน พอทำอย่างนี้จึงทำให้ความปรองดองมันยาก รอยแผลแบบนี้มันจัดการลำบาก รอยแผลแบบนี้มันมีผู้เสียหายที่จะอยากเห็นความจริง อยากได้ความยุติธรรม แต่ทั้งความจริงและความยุติธรรมซึ่งเป็นเงื่อนไขของการปรองดองมันมีต้นทุนต่อการปรองดองสูง คือโจทย์อันหนึ่งที่เรากำลังเจออยู่ในสังคมไทย

- จะแก้โจทย์ที่ยากได้อย่างไร

คงต้องไปดูตัวอย่างจากที่ต่าง ๆ บางเรื่องเชื่อว่าความจริงรักษาได้ทุกอย่าง บางทีเขาก็คิดว่าการลืมสำคัญ แม้กระทั่งตัวอย่างของประเทศแอฟริกาใต้ที่มักเอ่ยถึงเสมอ คือ คณะกรรมการสัจจะและการปรองดอง คนที่เป็นคนทำเรื่องนี้มี 2-3 คน คือ เนลสัน เมนเดลล่า, เดสมอนด์ ตูตู, เอฟ ดับบลิว เดอ เคลิร์ก ซึ่งเมลเดลล่าบอกว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้บางเรื่องมันต้องลืมบ้าง ผมตอบไม่ได้ว่าต้องทำอะไร แต่บอกเพียงว่ามีเงื่อนไขพวกนี้อยู่ เวลาเราคิดเรื่องปรองดองมันไม่ได้ไป Track เดียว

- แต่เมื่อศาลอาญาชี้ว่าคดี 6 ศพวัดปทุมวนาราม เป็นการถูกยิงจากเจ้าหน้าที่ ฝ่ายคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยเรียกร้องความรับผิดชอบจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ แต่อีกฝ่ายก็บอกว่าเรื่องทั้งหมดมีคุณทักษิณและคนเสื้อแดงเป็นต้นเหตุ อย่างนี้จะหันหน้ามาแล้วลืมกันได้อย่างไร

โจทย์ใหญ่ของสังคมไทยมันเลยกลายเป็นว่าเราจะอยู่กับความจริงที่เกี่ยวข้องกับตัวเราเองอย่างไร แต่ความจริงที่มีอยู่ในสังคมไทยมี 2 ชั้นซ้อนอยู่เสมอ 1.ความจริงของเรื่องที่เราพูดถึง คือ ใครเป็นคนยิงที่วัดปทุมฯ อันนี้เป็นข้อเท็จจริง แต่ 2.สังคมไทยเวลาที่มีความรุนแรงเกิดขึ้น คนผิดชี้ตัวได้ว่าใครคนยิงคนสั่ง แต่สังคมไทยทั้งหมดได้ทำเพียงพอหรือเปล่าที่จะทำไม่ให้ความรุนแรงนั้นเกิดขึ้น ถ้าคำตอบคือ ทุกคนยังไม่ได้ทำอย่างเพียงพอที่จะป้องกันไม่ให้ความรุนแรงเกิดขึ้น เราเองก็คงต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วยในความรุนแรงที่เกิดขึ้น ไม่ใช่คนพวกนั้นเท่านั้น

เหมือนกับบอกว่า ในที่สุดมีคนยิง แต่ก่อนคนยิงจะเหนี่ยวไกก็มีผู้บังคับบัญชา ก่อนมีผู้บังคับบัญชาต้องมีการสั่ง ก่อนมีการสั่งต้องมีกระบวนการบางอย่าง ก่อนมีกระบวนการบางอย่างต้องมีการสร้างความเกลียดชัง ถ้าพูดอย่างนี้เราอาจเห็นมากขึ้นไหมว่า ไม่ใช่ฝั่งนู้นที่ผิดคนเดียว เราก็มีส่วนผิดด้วยแม้จะอยู่ไกลก็ตาม

- เราจะจัดสมดุลระหว่างผู้ที่เป็นเหยื่อ กับผู้ที่สั่งการตามกฎหมายอย่างไรให้ไปด้วยกันได้

วิธีคิดของผม ปืนทุกกระบอกเวลามันยิงมีเหยื่อ 2 ด้าน ด้านหนึ่งอยู่ที่ด้ามปืน อีกด้านหนึ่งอยู่ที่ปลายกระบอกปืน คนเรามักจะเห็นเหยื่อที่ปลายกระบอกปืน แต่เรามักไม่เห็นว่าคนที่ยิงเป็นเหยื่อเหมือนกัน ใครก็ตามที่เหนี่ยวไกในปี 2553 คนเหล่านั้นผมคิดว่าเขาก็ถูกหล่อหลอมมาว่า

อีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ร้าย ทำร้ายบ้านเมือง ในแง่นั้นเขาจึงเป็นเหยื่อ ดังนั้น หนึ่งในที่วิจัยจึงมุ่งไปที่ความเกลียดชังมาจากไหน กลไกอะไรที่ทำ ของพวกนี้ต่างหากที่สังคมไทยต้องเข้าใจ

- ทุกวันนี้วาทกรรมการสร้างความเกลียดชังก็ยังมีจากพรรคการเมือง 2 พรรค แม้ด้านหนึ่งรัฐบาลประกาศปรองดอง แต่ด้านหนึ่งก็ยังสร้างความเกลียดชังตลอดเวลา

คือเขาอาจทำไปโดยยังไม่ได้เห็นชัดเจนว่าความเกลียดชังมีประสิทธิภาพ การผลิตอารมณ์มันจึงส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการเมือง ฉะนั้น คนที่รู้ดีที่สุดในเรื่องนี้คือพวกนักการเมือง เพราะสิ่งที่เขาขับขี่มันไม่ใช่เรื่องเหตุผล เรื่องที่เป็นรูปธรรมเท่านั้น แต่เป็นเรื่องอารมณ์ของผู้คน

- ถ้าเตือนนักการเมืองในฐานะที่เป็นผู้สร้างวาทกรรมการเกลียดชังได้จะบอกว่าอะไร

ก็จะตอบว่าความเกลียดชังมันเป็นยาพิษ เพราะยาพิษนี้ออกฤทธิ์ช้า เวลามันออกฤทธิ์มันรักษาลำบาก เพราะความเกลียดชังบางอย่างพอลงไปลึกแล้วมันก่อรูปเป็นอคติ แล้วเราก็มองโลกเป็นอีกแบบหนึ่ง โลกที่เรามองเห็นมันอันตรายต่ออนาคต มันทำร้ายอดีต และมันแย่งชิงปัจจุบันไปจากเรา

- ความปรองดองจะเกิดขึ้นอีกนานไหม

ตอบไม่ได้ มันยาก (หัวเราะ)
/////////
"ดร. ชัยวัฒน์ เป็นนักวิชาการด้านสันติวิธี เป็นหนึ่งในหลายคนที่ "สภาปฏิรูปการเมือง" ส่งเทียบเชิญเพื่อให้เข้าร่วมการประชุม แต่สุดท้ายเขาปฏิเสธคำเชิญนั้น โดยบอกว่า เพราะเขาไม่ได้เตรียมตัว

จับตาการใช้พลังงานแสงอาทิตย์

พลังงานแสงอาทิตย์ มาแรง กำลังเป็นที่นิยม ปธ.บริษัท เอสพีซีจี เผย พลังงานแสงอาทิตย์ มาแรง กำลังเป็นที่นิยม แจ้งตลาดหลักทรัพย์ รายได้ 6 เดือนแรก ปีนี้มียอด พุ่ง 1,100 ล้าน ส่งผลให้กำไรโตถึง 343 %

เมื่อวันที่ 14 ส.ค. น.ส.วันดี กุญชรยาคง ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ “SPCG” เปิดเผย ว่า ได้รายงานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถึงมติการประชุมคณะกรรมการบริษัทประจำเดือน ส.ค.2556 เกี่ยวกับผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2556 โดย สามารถทำกำไรสุทธิได้ถึง 150.21 ล้านบาท เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนแล้วเติบโตเพิ่มขึ้น 343.49 % ทั้งนี้ มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 285.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 109.09 % รายได้หลักมาจากการจำหน่ายไฟฟ้าของบริษัทย่อย ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm) ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จมาก่อนไตรมาสที่ 2 ปี 2556 จึงสามารถผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าได้เต็มงวดจำนวน 16 บริษัท 

น.ส.วันดี กล่าวอีกว่า สำหรับผลการดำเนินงานโดยรวมของ SPCG ในช่วงเพียง 6 เดือนแรกของปีนี้ สามารถทำได้ประมาณ 1,157 ล้านบาท เปรียบเทียบแล้วใกล้เคียงกับรายได้ตลอดทั้งปี 2555 ทำไว้ 1,275 ล้านบาท ส่วนโซลาร์ ฟาร์ม ในเครือของบริษัท จนถึงขณะนี้สามารถจำหน่ายไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ ( Commercial Operation Date :COD) ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เรียบร้อยแล้ว 22 โครงการ รวมกำลังการผลิตกว่า 144 เมกะวัตต์ นอกจากนั้น อยู่ระหว่างเชื่อมโยงระบบไฟฟ้าเพื่อรอจำหน่ายอีก 8 โครงการ ที่เหลืออยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง 6 โครงการ ซึ่งทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในปี 2556 จากนั้นบริษัทจะรับรู้รายได้จากโซลาร์ ฟาร์ม 36 โครงการ

“ธุรกิจในเครือที่เพิ่งจะเปิดดำเนินการใหม่เมื่อเดือน พ.ค.56 คือ บริษัท โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟ จำกัด หรือ SPR ได้รับความสนใจจากลูกค้าภาคครัวเรือนตอบรับเป็นอย่างดี สมัครโครงการ “โซลาร์ รูฟ แบรนด์ แอมบาสเดอร์” เพื่อติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาได้ใกล้เคียงเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1,000 ราย กำลังอยู่ระหว่างทยอยติดตั้ง เพื่อผลิตพลังงานใช้เองภายในบ้าน.


หมอประเวศ” เมินร่วมวงปาหี่ปฏิรูป ชี้ที่ผ่านมาไร้ผล เตือนแยกปรองดองต่างหาก


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์14 สิงหาคม 2556 17:46 น.

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส (ภาพจากแฟ้ม)

“สองเทพ” หงายเงิบ! ราษฎรอาวุโสปัดร่วมวงปฎิรูปการเมือง อ้างอายุ 82 แล้ว ภรรยาห้ามไว้ ชี้มีปฏิรูปหลายครั้งแต่ไร้ผล แนะแยกเรื่องปรองดองต่างหากเพราะเป็นเรื่องอดีต ศึกษาอดีตแล้วยึดหลักการ ชี้ควรเปิดกว้างแม้ ปชป.ไม่ร่วม ชี้รัฐบาลไม่ควรปฏิเสธคุยกัน “พงศ์เทพ” เผยถึงไม่ได้ตัวแต่จะเอาข้อเสนอไปพิจารณา “วราเทพ” เผยพรุ่งนี้ถกสภาอุตฯ-หอการค้า-เกษตรกรแห่งชาติร่วมวง
      
       วันนี้ (14 ส.ค.) ที่มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ซอยพหลโยธิน 22 เมื่อเวลา 13.30 น. นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี และนายวราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรมช.เกษตรและสหกรณ์ เดินทางเข้าพบ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส เพื่อเชิญเข้าร่วมการสภาปฏิรูปการเมือง หาทางออกประเทศ โดย นพ.ประเวศกล่าวว่า ส่วนตัวสนับสนุนการปฎิรูปการเมืองทำให้เป็นวาระแห่งชาติ ที่ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วม ทั้งที่ชอบหรือไม่ชอบรัฐบาล แต่ตนขอสนับสนุนอยู่ข้างนอก เพราะชราภาพมากแล้ว อายุ 82 ปีแล้ว และภรรยาก็ห้ามไว้ ปล่อยให้เป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่ ซึ่งโดยธรรมชาติของตนจะทำงานอิสระได้ดีกว่าไปรวมเป็นกลุ่ม เพราะเราไม่รู้ว่าพวกจะลากเราไปไหน เราคอนโทรลไม่ได้ และอยู่ข้างในพูดอะไรไปก็ไม่มีน้ำหนัก คนจะมองว่าเป็นพวกเดียวกัน แต่ถ้าอยู่ตรงกลางเป็นผู้สนับสนุนจะมีน้ำหนักมากว่า ซึ่งไม่ใช่ไม่ช่วย ก็ยังช่วยกันอยู่ หวังว่าในอนาคตคนไทยที่แยกข้างแยกขั้วมากเกินไปในสังคมไทย จะกลับเข้ามาหากัน ช่วยกันทำงานสร้างประเทศไทย ยังเชื่อว่าในอนาคตเราจะมีสิ่งดีๆ มากมาย
      
       ศ.นพ.ประเวศกล่าวว่า ประเทศไทยมีการปฏิรูปหลายครั้ง แต่ถือว่ายังไม่ได้ผลจริง หากการปฏิรูปการเมืองกันอีกและต้องการให้ได้ผลจริงควรศึกษาบทเรียนจากอดีตแล้วมีหลักการ กลไกและกระบวนการที่ถูกต้อง จึงขอเสนอว่าต้องแยกเรื่องการปรองดองและการปฏิรูปให้เป็นคนละเรื่อง เพราะปรองดองเป็นเรื่องอดีต แต่ปฏิรูปเป็นเรื่องอนาคต การแก้ปัญหาของอดีตอาจทำให้ขัดแย้งมากขึ้น นอกจากนี้ต้องไม่มุ่งปฏิรูปองค์กรทางการเมืองเท่านั้น ต้องมีเป้าหมายใหญ่ในการสร้างประเทศที่ดีงาม และต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง ถ้าคนไทยร่วมมือกันมีวัตถุประสงค์เดียวกัน เราสามารถสร้างอนาคตที่ดี เป็นประเทศที่น่าอยู่ได้
      
       ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่คู่ขัดแย้งอย่างพรรคประชาธิปัตย์หรือคู่ขัดแย้งไม่เข้าร่วม จะทำให้กลไกการเดินหน้าปฎิรูปการเมืองเดินไปได้หรือไม่ ศ.นพ.ประเวศตอบว่า ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วย แต่เราก็ต้องเปิดกว้างไว้ วันข้างหน้าเขาอาจเห็นด้วย อย่าเพิ่งไปตัดรอน ให้เขาเห็นความจริงใจ อย่าไปคิดว่าการที่เขาไม่เห็นด้วยจะเป็นคนละพวกกับเรา เมื่อถามว่าคิดว่าปัจจุบันนี้ความขัดแย้งทางความคิดของสังคมไทยจะแก้ได้หรือไม่ ศ.นพ.ประเวศตอบว่า อย่าไปมองว่าทุกอย่างหมดหวัง ในต่างประเทศหนักกว่านี้ยังแก้ได้ ในพระมหาชนกถึงมองไม่เห็นฝั่งก็ยังว่ายไปเรื่อย ยังมีความเพียรอยู่เรื่อย วันหนึ่งสิ่งมหัศจรรย์มันจะเกิดขึ้น การปฏิรูปเป็นเรื่องลองเทอมต้องทำต่อเนื่อง และถ้าจะทำเรื่องนี้ต้องออกระเบียบสำนักนายกฯ สร้างกลไกไว้ ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลก็ทำต่อเนื่องไปได้
      
       เมื่อถามว่าเท่าที่ดูคิดว่ารัฐบาลมาถูกทางแล้วหรือไม่ ศ.นพ.ประเวศตอบว่า เมื่อมีความคิดนี้ขึ้นมาก็ถือเป็นเรื่องดี การมาพูดคุยกันไม่ได้หมายความว่าจะมาตกลงกันเสมอไป แค่พูดคุยก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้ว อย่าไปปฏิเสธการคุยกัน ทั้งนี้ตนพร้อมที่จะเสนอแนะความเห็นหรือจะให้ตนไปเสนอความเห็นในเวทีปฎิรูป ก็ได้ แต่เบื้องต้นอยากให้คิดกันเองก่อน เมื่อถามว่า สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขายังใช้ได้อยู่หรือไม่ ศ.นพ.ประเวศกล่าวว่า เราใช้อยู่ตลอดเวลา และตอนนี้ไปเผยแพร่ในต่างประเทศ
      
       นายพงศ์เทพกล่าวว่า แม้ว่า ศ.นพ.ประเวศจะไม่สะดวกแต่ก็ได้มีข้อเสนอแนะให้ ก็เปรียบเหมือนอยู่ในเวทีเหมือนกัน ซึ่งเราจะนำข้อเสนอแนะไปให้เวทีปฏิรูปพิจารณาด้วย ถือเป็นสิ่งที่ดี
      
       นายวราเทพกล่าวว่า ในวันที่ 15 ส.ค.เวลา 18.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาลจะมีการหารือกับภาคเอกชน เช่น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าไทย และสภาเกษตรกรแห่งชาติ เพื่อทาบทามเข้าร่วมเวทีปฏิรูปหาทางออกประเทศไทย และในวันที่ 16 ส.ค. คาดว่าจะเปิดเผยผู้ตอบตกลงเข้าร่วมเวทีปฏิรูปได้บางส่วน ทั้งนี้ เวทีปฏิรูปจะมีองค์ประกอบประมาณ 50-100 คน คาดว่าการประชุมครั้งแรกน่าจะเกิดขึ้นหลังจากวันที่ 20 ส.ค.ไปแล้ว เนื่องจากวันที่ 19-20 ส.ค. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ติดภารกิจเดินทางไปต่างประเทศ

“ปู” ชื่นมื่นเยี่ยมกองทัพไทย พอใจบทบาทช่วยแก้ปัญหา ไม่ระแวงแฮปปี้ร่วมงาน


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์14 สิงหาคม 2556 17:12 น.

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น





นายกฯ เยี่ยมเป็นทางการกองทัพไทย หลังควบคุม กห. พร้อมตรวจแถวกองเกียรติยศ ผู้นำเหล่าทัพต้อนรับ ก่อนแถลงร่วม แจงมาเพื่อให้กำลังใจ และมอบนโยบายเน้นบูรณาการเป็นระบบ ทำงานเชื่อมรัฐฯ เพื่อความมั่นคงเป็นประโยชน์ชาติ รับพอใจบทบาทกองทัพ ชมแก้ปัญหาบ้านเมืองเร็ว ช่วยกันแก้ไฟใต้ ไม่ระแวงกองทัพ แฮปปี้ทำงานด้วย ชี้โยกย้ายมีขั้นตอน
      
       

      
       วันนี้ (14 ส.ค.) ที่กองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะรมว.กลาโหม พร้อมด้วย พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมช.กลาโหม เดินทางตรวจเยี่ยม บก.ทท.อย่างเป็นทางการ เนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ โดยมีพล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้การต้อนรับ ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ร่วมพีธีตรวจแถวกองทหารเกียรติยศผสมสามเหล่าทัพ จากนั้นเข้าร่วมรับฟังคำบรรยายสรุป พร้อมทั้งมอบนโยบายในการปฎิบัติงานและรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน
      
       จากนั้นเวลา 14.00 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมด้วย พล.อ.ยุทธศักดิ์ พล.อ.ธนะศักดิ์ ผบ.เหล่าทัพ และผบ.ตร. ร่วมกันแถลงข่าวภายหลังการหารือ โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ในฐานะรมว.กลาโหม ได้มอบนโยบายและรับฟังการทำงานที่ผ่านมาของกองทัพไทย ซึ่งการมาครั้งนี้ถือว่ามาให้กำลังใจและขอขอบคุณกองทัพไทย รวมทั้งทุกเหล่าทัพที่ได้ทำงานร่วมกับรัฐบาลมาตลอด 2 ปี ที่ผ่านมากำลังพลทำงานหนัก ทั้งเรื่องการดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนและรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ รวมถึงการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ถือเป็นหน้าที่หลัก ทั้งนี้ การมอบนโยบายได้เน้นกองทัพไทยที่เป็นหน่วยงานที่จะทำงานด้านบูรณาการได้อย่างสมบูรณ์ สำหรับการทำงานร่วมกับทุกเหล่าทัพ วันนี้ต้องอาศัยการบูรณาการอย่างเป็นระบบ ทั้งการแก้ไขปัญหาควบคู่กับการพัฒนา รวมถึงการทำงานเชื่อมต่อกับรัฐบาล โดยเฉพาะนโยบายด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติด การดูแลป้องกันปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงปัญหาชายแดนด้านต่างๆ และเตรียมรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน อีกทั้งการป้องกันอาชญากรรม และการก่อการร้ายในรูปแบบต่างๆ ในฐานะที่ดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหมยินดีที่จะทำงานร่วมกับกองทัพไทยและทุกเหล่าทัพเพื่อจะบูรณาการงานทุกๆ ด้าน และการส่งเสริมด้านต่างๆ ทั้งขวัญกำลังใจของกำลังพล สนับสนุนงานให้เกิดประสิทธิภาพ ที่สำคัญเพื่อให้เกิดความมั่นคงของประเทศ และเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติให้มากที่สุด
      
       เมื่อถามว่า 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลพอใจในบทบาทของกองทัพแค่ไหน น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่าพอใจ เพราะทหารช่วยกันทำงาน ทุกคนทำหน้าที่และภารกิจของตนเองอย่างเต็มที่ สิ่งหนึ่งที่มีความชื่นชมกองทัพ คือกรณีที่บ้านเมืองเกิดปัญหา ทหารจะเข้าไปแก้ไขปัญหาและลงพื้นที่ได้รวดเร็ว เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่อยู่ในพื้นที่ ทั้งนี้ต้องขอชื่นชมในการเข้าถึงพื้นที่และแก้ไขปัญหาได้รวดเร็ว ซึ่งรัฐบาลจะช่วยเสริมต่อในภารกิจต่างๆ เพื่อให้เข้าไปถึงพื้นที่ให้ได้มากที่สุด ส่วนปัญหาความไม่สงบพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เราต้องช่วยกันอดทน ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ทำงานอย่างเต็มที่ในการดูแลรักษาความสงบ และความปลอดภัยให้กับประชาชน
      
       “ทหารทำงานอย่างเต็มที่ ส่วนเรื่องสนับสนุนต้องทำควบคู่กันไป ทั้งเรื่องอุปกรณ์ในการป้องกัน รวมถึงบุคลากรที่ลงไปปฏิบัติงาน ตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาได้มีการพูดคุย และพัฒนาการจัดสรรงบประมาณและบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ไม่สามารถบอกได้ว่าวันนี้จะแก้ได้ทั้งหมด แต่ด้วยความพยายามของทุกฝ่าย ตนเชื่อว่าเราต้องทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่ เพื่อนำมาซึ่งความสันติสุข” น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าว
      
       เมื่อถามว่าที่ผ่านมารัฐบาลหวาดระแวงกองทัพมาโดยตลอด การเดินทางมาครั้งนี้ยังมีความหวาดระแวงอยู่หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้หันหน้าไปสบตากับเหล่าบรรดา ผบ.เหล่าทัพ ก่อนที่จะหันกลับมากล่าวว่า จริงๆ ต้องเรียกว่าไม่ว่าอยู่ที่ไหนถ้าเราทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่ก็ไม่ควรหวาดระแวงกัน และวันนี้เราอยากเห็นบรรยากาศของความไว้วางใจกัน ไว้เนื้อเชื่อใจกัน อย่าเกิดบรรยากาศของความหวาดระแวงกันเลย เพราะเราเป็นคนไทยด้วยกัน ถ้าเราร่วมกันทำงานภายใต้จุดมุ่งหมายเดียวกัน เพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ตนเชื่อว่าเราจะทำงานด้วยกันอย่างดี
      
       เมื่อถามย้ำว่า การทำงานกับ ผบ.เหล่าทัพทุกวันนี้แฮปปี้ดีใช่หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า “แฮปปี้ค่ะ” ขอขอบคุณ ผบ.ทุกเหล่าทัพ ที่ทำงานร่วมกับรัฐบาลเป็นอย่างดี และเชื่อว่าตนทำงานในฐานะ รมว.กลาโหม จะทำงานบนหลักความไว้เนื้อเชื่อใจ และทำงานร่วมกันให้เกิดประโยชน์
      
       เมื่อถามว่าแสดงว่าการโยกย้ายนายทหารปลายปีนี้จะไม่เกิดปัญหาการล้วงลูก น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ทุกอย่างมีขั้นตอน กติกา ทางกองทัพก็ดูแลกำลังพลของตนเองอยู่แล้ว
      
       ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมเข้ามอบนโยบายและฟังบรรยายสรุปในการตรวจเยี่ยมกองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.)อย่างเป็นทางการ ว่า ในที่ประชุม พล.อ.ธนะศักดิ์ ประติมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ได้กล่าวว่า นายกฯ มีความคุ้นเคยกับผู้บัญชาการเหล่าทัพอยู่แล้ว เนื่องจากที่ผ่านมา กองทัพได้ทำงานและสนับสนุนนโยบายรัฐบาลด้วยดีมาตลอด แต่ครั้งนี้นายกฯ เดินทางมาบก.ทท. ในฐานะ รมว.กลาโหม ซึ่งทำให้กองทัพและรัฐบาลต้องทำงานประสานกันใกล้ชิดมากขึ้น
      
       โดย น.ส. ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ตนรู้สึกประทับใจกองทัพตั้งแต่เมื่อครั้งที่ได้มาตรวจเยี่ยมบก.ทท. หลังจากดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใหม่ ๆ เพราะสัมผัสได้ถึงความสง่างามและความมีระเบียบวินัยของกองทัพเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ วันนี้ดีใจที่ได้มาตรวจเยี่ยมในฐานะรมว.กลาโหมซึ่ง 2 ปีที่ผ่านมา ทุกเหล่าทัพได้สนับสนุนนโยบายของรัฐบาลเป็นอย่างดี ทั้งขอขอบคุณในการสนับสนุนนี้ และต่อไปจะหาโอกาสมาพบปะผู้บัญชาการเหล่าทัพให้มากขึ้น เพื่อให้สามารถทำงานประสานกันได้อย่างใกล้ชิด ทั้งนี้รัฐบาลยินดีให้การสนับสนุนการทำงานของกองทัพอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะภารกิจในเรื่องการเทิดทูนและพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ การสืบสานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ การปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน รวมทั้งภารกิจการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยพิบัติต่าง ๆ ซึ่งรัฐบาลจะดูแลสวัสดิการของกำลังพลที่ทุ่มเทเสียสละและปฏิบัติหน้าที่เสี่ยงภัยอันตรายอย่างเต็มที่ หากมีอุปสรรครัฐบาลยินดีรับฟังและหาทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน ทั้งนี้โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริรัฐบาลจะหารือกับจังหวัดต่าง ๆ เพื่อผลักดันให้โครงการเป็นต้นแบบการเรียนรู้และการดำเนินชีวิตของประชาชน
      
       ทั้งนี้ รัฐบาลอยากขอการสนับสนุนจากกองทัพในการทำงานอย่างเป็นองค์รวมร่วมกับส่วนราชการอื่นๆ ในการป้องกันภัยก่อการร้าย ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ปัญหายาเสพติด การลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย การลักลอบนำเข้าสินค้าเถื่อน โดยเฉพาะการทำงานร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพัฒนาและยกระดับด่านตรวจคนเข้าเมือง ตามนโยบาย National Single Window หรือ ระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว รวมทั้งการยกระดับด่านชั่วคราวเป็นด่านถาวร เพื่อให้ระบบศุลกากรของไทยได้รับการยอมรับจากสากลและกลายเป็นประตูสู่การค้าระหว่างประเทศได้ แต่ก็ต้องไม่กระทบความมั่นคงประเทศและยังต้องให้ความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยแก่ประชาชนในพื้นที่ด้วย สำหรับการแก้ปัญหาความไม่สงบภาคใต้นั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า รัฐบาลจะดูแลเจ้าหน้าที่ที่ เสียสละลงไปปกป้องประชาชนอย่างเต็มที่ และขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจกันเพื่อแก้ปัญหาในพื้นที่ เพื่อให้พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีเอกภาพ เป็นหนึ่งเดียว และมีสันติภาพเกิดขึ้นโดยเร็ว
      
       ร.ท.หญิง สุณิสา กล่าวอีกว่า ด้าน พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม กล่าวว่า จะประสานงานอย่างใกล้ชิดกับทุกเหล่าทัพ เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายที่นายกฯ มอบ ในขณะที่ พล.อ.ธนะศักดิ์ กล่าวว่าขอให้ท่านนายกฯ มั่นใจได้ว่า กองทัพไทยเป็นกองทัพชั้นนำในภูมิภาค และทำงานภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาล

เสรีภาพสื่อสังคมออนไลน์ social media

เสรีภาพสื่อสังคมออนไลน์ social media เป็นหัวเรื่องหนึ่งของการพูดคุยระหว่างเสวนากับกลุ่มนักข่าวอาเชี่ยน ที่สมาพันธ์ผู้สื่อข่าวในเอาเชียตะวันออกเฉียงใต้ Southeast Asia Press Alliance SEAPA จัดขึ้นช่วงบ่ายวันนี้ (พุธ 14 สค.)ในหัวเรื่อง Freedom of Expression Challenges to Internet Governance in Asia แลกเปลี่ยความเห็นกันหลากหลาย ในประเด็นเสรีภาพการแสดงคามเห็นทางอินเตอร์เนท เอาเรื่องที่เกิดขึ้นในไทยกรณีกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญกรรมทางเทคโนโลยี่ ปอท. ตั้งท่าจะเอาผิดคนโพสต์ข้อความในเฟสบุ๊คเป็นกรณีพูดคุย พร้อมแลกเปลี่ยนความเห็น

นักข่าวฟิลลิปิน์บอกที่ฟิลลิปปินส์ มีความพยายามจากรัฐเข้ามาควบคุมการแสดงความเห็นในช่วงก่อนหน้านี้ผ่านการออกกฏหมายที่เรียกว่า cybercrime prevention act มีข้อความที่กำกวมคล้าย พรบ.คอมพิวเตอร์ ของไทย Computer crime act เปิดช่องให้จนท.รัฐตีความคำว่าภัยต่อความมั่นคง ได้หลากหลายในมาตรา14 วงเล็บสอง หลังรัฐบาลฟิลลิปินส์ผลักดันกฏหมายดังกล่าวได้ถูกทักท้วงจากภาคประชาสังคมในประเทศ และสื่อมวลชน อย่างหนักเกรงว่าจะถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองควบคุมการรับรุ้ข้อมุลข่าวสารใน สื่อสังคมออนไลน์ ..ก่อนที่ศาลฏีกาจะออกมาหนุนอีกแรงทำให้กฏหมายยังไม่มีการประกาศใช้

ทางมาเลเซีย มีกฏหมายหลายตัวที่ทางรัฐบาลสามารถงัดมาใช้เล่นงานคนโพสต์ข้อความที่อาจไปหมิ่นประมาทบุคคลที่สาม และในกรณีที่อาจส่งผลกระทบความมั่นคง แม้จะไม่มีกฏหมายเล่นงานโดยตรง เนื่องจากอดีตนายกมาเเลย มหาเธ่ร์ ์เคยประกาศรัฐบาลจะไม่แทรกแซงเสรีภาพของสื่อออนไลน์ แต่รัฐบาลก็มีช่องทางเข้ามากดดันอย่างที่ทำตลอดช่วงทีผ่านมา... ต่อความเห็นในเรื่องกดแชร์ กดไลค์ที่อาจเป็นความผิดทางอาญาได้หากไปแสดงความเห็นด้วยในประเด็นทางการเมืองที่มีการแลกเปลี่ยนความเห็นกัน คนข่าวส่วนนี้ได้ี้แสดงความแปลกใจต่อเรื่องที่ได้ยินและเห็นว่าเป็นเรื่องที่ บอกถึงสติปัญญาของคนที่แสดงความเห็นในลักษณะดังกล่าว และยังเห็นว่าเป็นเรืองปกติที่ฝ่ายการเมืองต้องการมาควบคุมการรับรุ้ข้อมุลข่าวสาร่ผ่าน social media ซึ่งการรับรุ้ข้อมุลข่าวสารในsocial media นี้เป็นสาเหตุสำคัญให้เกิดปรากฏการณ์ อาหรับสปริงส์ .ในโลกอาหรับ...

รู้หรือไม่ว่าสามในสี่ หรือประมาณ 15 ล้านของคนใช้อินเตอร์เนทในไทยที่มีอยู่ประมาณ 20 ล้านคน เป็นสมาชิกในเฟสบุ๊คที่มีสมาชิกทั่วโลกกว่า หนึ่งพันหนึ่งร้อยล้านคน และมีคนใช้เฟสบุ๊คทุกวันวันละ 665 ล้านคน (รายงานของเอพี เดือนพค. 2013)
 หมายเหตุ : ข้อมูลจากเพจของ พี่เป๊บซี่ Sermsuk Kasitipradit 14ส.ค.2556 


"ดนัย เอกมหาสวัสดิ์" เสียดาย "ติ่ง-มัลลิกา" จากนักข่าวมากฝีมือ กลายเป็นผู้หญิงหยาบคาย-น่าเกลียด

 “ดนัย เอกมหาสวัสดิ์” สับ “มัลลิกา บุญมีตระกูล” ว่าเป็นผู้หญิงที่น่าเกลียดที่สุดจากกรณีใช้ภาพตัดต่อใส่ร้าย-มอบถ้วยรางวัลแก่นายกรัฐมนตรี และสาดโคลนใส่อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

นายดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ผู้ดำเนินรายการเจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์ ทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 97.0 และถ่ายทอดสดทางสปริงนิวส์ ได้กล่าวถึงการแสดงออกทางการเมืองของผู้หญิงคนหนึ่งที่น่าเกลียด-หยาบ โดยกล่าวว่า “ผมไม่รับไม่ได้เหตุการณ์หลักๆ สามเหตุการณ์ช่วงเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา
ช่วงเสาร์อาทิตย์ เธอตั้งโต๊ะประกาศแถลงข่าวมอบโล่รางวัลตอแหลยอดเยี่ยม ให้แก่นายกรัฐมนตรี รางวัลบริวารดีเด่น แก่นายพงศ์เทพ เทพกาญจนาและ นายวราเทพ รัตนากร”
นายดนัยถามตรงๆว่า “มันต้องขนาดนี้กันเลยเหรอ วันๆ ไม่ทำอะไร  เอาแต่นั่งคิดประดิษฐ์วาทกรรมมาใส่ร้ายเสียดแทงกันอย่างเจ็บปวดที่สุดเพื่ออะไร  แค่สะใจ จะได้ประโยชน์ไหม”

“จากนั้น เธอก็โพสต์รูปนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่กุยบุรี เธอเอาภาพนายกฯจากป้ายจุดชมวิว โดยเปลี่ยนข้อความใหม่เป็น เสือ สิงห์ กระทิง และเว้นวรรคไว้ในจุดที่นายกฯ ยืนอยู่  ถามจริงๆเถอะ มันสร้างสรรค์เหรอ  ผมบอกว่าผู้หญิงคนนี้หยาบจริงๆ”

“กรณีนายพิชัย เธอส่งอีเมลล์แถลงการณ์ถึงสื่อทุกสำนัก นั้น หนูติ่ง หนูเอ้ย แค่เขาคิดไม่เหมือนหนู หนูก็แทงเค้าข้างหลังทะลุถึงหัวใจ  ไม่สงสารคนแก่ ไม่สงสารหัวหน้าพรรค สังคมรับกันได้ไหม  ทำไมนะ นั่งคิดนโยบายดีกว่านะ วันๆอย่านึกแต่ประดิษฐวาทกรรมทิ่มแทนชาวบ้าน สังคมได้อะไร”

ที่มา go6tv

http://www.youtube.com/watch?v=LstgxlhLPN8#at=549

ชาวสะเอียบแถลงขอโทษ 'กูเกิล' เหตุเข้าใจผิด - ถ้ามาเยือนอีกจะต้อนรับเป็นอย่างดี

Wed, 2013-08-14 16:39

กรณีเชิญคนขับรถ 'กูเกิลสตรีทวิว' มาสาบานว่าไม่เกี่ยวกับการสร้างเขื่อนนั้น ล่าสุดชาวสะเอียบแถลงขอโทษแล้ว-ระบุเป็นเรื่องเข้าใจผิด หากรถกูเกิลสตรีทวิวมาอีกจะต้อนรับเป็นอย่างดี ขณะที่ชุมชนระบุในพื้นที่ตึงเครียดมากหลัง 'ปลอดประสพ' ประกาศจะสร้างเขื่อนให้ได้ ชาวบ้านจึงต้องจัดเวรยามเฝ้าพื้นที่ และก่อนหน้านี้เคยมีบริษัทเอกชนสวมรอยเข้ามาสำรวจพื้นที่สร้างเขื่อน
ภาพรถ "Google Maps Camera Car" หรือที่เรียกกันติดปากว่า รถกูเกิลสตรีทวิว ซึ่งเข้ามาในพื้นที่ ต.สะเอียบ อ.สอง จ.แพร่ เมื่อวานนี้ (13 ส.ค.) โดยชาวบ้านได้เชิญตัวคนขับรถมาที่ทำการกำนัน ต.สะเอียบ ให้ชี้แจงการเข้ามาในพื้นที่ และให้สาบานต่อหน้าพระประธานวัดบ้านดอนชัย ล่าสุด ชุมชนได้แถลงแล้วว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการเข้าใจผิด และได้ขอโทษต่อบริษัทกูเกิล และขอโทษต่อคนไทยทั้งชาติที่ทำให้เสียชื่อเสียง
"Google Maps Camera Car" หรือที่เรียกกันติดปากว่า รถกูเกิลสตรีทวิว จอดหน้าที่ทำการกำนัน ต.สะเอียบ อ.สอง จ.แพร่ วานนี้ (13 ส.ค.) หลังชาวบ้านได้เชิญตัวคนขับรถมาที่ทำการกำนัน ต.สะเอียบ ให้ชี้แจงการนำรถติดกล้องเข้ามาสำรวจในพื้นที่ ล่าสุดวันนี้ (14 ส.ค.) ชุมชนได้แถลงแล้วว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการเข้าใจผิด และได้ขอโทษต่อทั้งคนขับรถกูเกิลสตรีวิวและบริษัทกูเกิล และยินดีต้อนรับหากรถกูเกิลสตรีทวิว กลับมาเยือนชุมชนอีก
ภาพนายดีพร้อม ฟองฟอน คนขับรถกูเกิลสตรีทวิว (นั่งแถวใกล้พระประธาน ขวามือ) ระหว่างสาบานต่อหน้าพระประธานวัดบ้านดอนชัย ต.สะเอียบ อ.สอง จ.แพร่ ว่าไม่เกี่ยวข้องกับการสร้างเขื่อน เมื่อวานนี้ (13 ส.ค. 56) ล่าสุด ชุมชนได้แถลงแล้วว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการเข้าใจผิด และได้ขอโทษต่อทั้งคนขับรถกูเกิลสตรีวิวและบริษัทกูเกิล รวมทั้งขอโทษต่อคนไทยทั้งชาติที่ทำให้เสียชื่อเสียง
ภาพป้ายคัดค้านการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น และเขื่อนในพื้นที่ต้นแม่น้ำยม ที่ติดในพื้นที่ ต.สะเอียบ อ.สอง จ.แพร่ ทั้งนี้แกนนำชุมชนสะเอียบระบุด้วยว่า ภายหลังจากที่นายปลอดประสพ สุรัสวดี ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (กบอ.) ประกาศว่าจะสร้างเขื่อนให้ได้ ทำให้ชาวบ้านต้องจัดเวรยามเฝ้าพื้นที่ และก่อนหน้านี้เคยมีบริษัทเอกชนสวมรอยเข้ามาสำรวจพื้นที่สร้างเขื่อน

จากข่าวประชาชนในพื้นที่ ต.สะเอียบ อ.สอง จ.แพร่ เชิญตัวคนขับรถ "Google Maps Camera Car" หรือที่เรียกกันติดปากว่า "รถกูเกิลสตรีทวิว" มาสอบถาม ณ ที่ทำการกำนัน ต.สะเอียบ และให้สาบานต่อหน้าพระประธาน วัดบ้านดอนชัย ว่าที่เข้ามาในพื้นที่ไม่ได้มาสำรวจเรื่องเขื่อนนั้น (อ่านข่าวก่อนหน้านี้) ล่าสุดผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ (14 ส.ค. 56) ชุมชนได้มีการสอบถามแล้ว พบว่าเป็นการเข้าใจผิด เพราะรถกูเกิลสตรีทวิวที่เข้ามาถ่ายรูปในหมู่บ้านมีกล้องรอบทิศทาง และเมื่อเช็คข่าวตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วว่าไม่เกี่ยวกับการสร้างเขื่อน ชาวบ้านจึงมีมติให้ขอโทษ และขอโทษต่อคนไทยทั้งประเทศที่ทำให้เสียชื่อเสียง
ทั้งนี้ชาวบ้านในนามของกลุ่มราษฎรรักษ์ป่า ต.สะเอียบ อ.สอง จ.แพร่ ได้ออกแถลงการณ์ลงวันที่ 14 สิงหาคม 2556 ระบุ ขอโทษต่อบริษัทกูเกิล (Google) ที่มาการสำรวจแผนที่สถานที่ท่องเที่ยว แต่เข้าใจผิดว่าเข้ามาถ่ายรูปสำรวจเพื่อการสร้างเขื่อน
โดยนายวิชัย รักษาพล ประธานคณะกรรมการคัดค้านเขื่อน ต.สะเอียบ กล่าวว่า เมื่อวานนี้ (13 ส.ค.) ได้พูดคุยกับคนขับรถกูเกิลสตรีทวิว คือนายดีพร้อม ฟองฟอน ว่า
“น้องเขาก็บอกว่ามาถ่ายรูปทำแผนที่ให้บริษัทกูเกิล แต่ชาวบ้านไม่เชื่อใจเพราะมีหลายบริษัทเข้ามาทำอย่างนี้แล้วเอาข้อมูล ภาพถ่าย ไปสรุปว่าชาวบ้านเห็นด้วยกับการสร้างเขื่อน ผมในฐานะประธาน ก็ต้องขอโทษต่อน้องเขาด้วย ขอโทษบริษัทกูเกิลด้วย รวมทั้งขอโทษต่อคนไทยทั้งชาติที่ทำให้คนไทยเราเสียชื่อเสียงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รับรองมาคราวหน้าเราจะต้อนรับเป็นอย่างดี ต้องขอโทษด้วยนะครับ” นายวิชัย กล่าว
ด้านนายวุฒิชัย ศรีคำภา กลุ่มเยาวชนตะกอนยม ก็ออกมากล่าวขอโทษต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นกัน โดยขอให้สังคมไทยยกโทษให้ด้วย เพราะชาวบ้านเครียดกับการสร้างเขื่อน ที่จะต้องถูกอพยพโยกย้าย บ้านแตกสาแหรกขาด ชุมชนล่มสลาย อีกทั้งป่าสักทองผืนสุดท้ายก็จะถูกทำลายไปด้วย
“ชาวบ้านเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพวกมาสำรวจเพื่อการสร้างเขื่อน จึงต้องมีมาตรการเข้มงวด ยิ่งเห็นกล้องบนหลังคารถถ่ายภาพรอบทิศอย่างนั้นเป็นใครใครก็งง ทุกวันนี้ชาวบ้านทุกครอบครัวต้องส่งตัวแทนครอบครัวละ 1 คน รวม 20 คนต่อวัน ในการไปเฝ้าเวรยามในพื้นที่ที่จะสร้างเขื่อน ต้องออกค่าใช้จ่ายกันเอง เฝ้าป่าไม่ให้เขื่อนมาทำลาย ไม่ใช่เพื่อคนสะเอียบเท่านั้น แต่เพื่อคนไทยทั้งประเทศ และคนทั้งโลก อย่างไรก็ตาม เมื่อเราตรวจสอบแล้วว่าไม่เกี่ยวกับการสร้างเขื่อน เราก็ต้องขอโทษ ผมในฐานะเยาวชนสะเอียบก็ต้องขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยครับ” นายวุฒิชัย กล่าว
โดยแกนนำชุมชนได้อ่านแถลงการณ์ขอโทษกูเกิล และกล่าวในท้ายที่สุดว่า หากรถกูเกิลสตรีทวิวมาอีกจะต้อนรับเป็นอย่าดี จากนั้นชาวบ้านจึงได้แยกย้ายกันไป และกำชับเวรยามให้ใช้ท่าทีที่ดีและพิจารณาให้ดีก่อนที่จะมีมาตรการใดๆ 
000
แถลงการณ์กลุ่มราษฎรรักษ์ป่า ต.สะเอียบ อ.สอง จ.แพร่
ขอโทษ Google ในการเข้าใจผิดการสำรวจแผนที่สถานที่ท่องเที่ยว
จากการที่ชาวบ้านสะเอียบกว่า 20 คน ได้เชิญตัวเจ้าหน้าที่บริษัท Google มาสาบานต่อหน้าพระประธานวัดดอนชัย ต.สะเอียบ อ.สอง จ.แพร่ ว่าการสำรวจ ถ่ายภาพของบริษัทไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น เขื่อนยมบน เขื่อนยมล่าง และได้เชิญตัวออกนอกพื้นที่เมื่อวานนี้นั้น
กลุ่มราษฎรรักษ์ป่า ต.สะเอียบ อ.สอง จ.แพร่ ขอแสดงความเสียใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และ ขอโทษเจ้าหน้าที่และบริษัท Google เป็นอย่างสูง เนื่องจากสถานการณ์ในพื้นที่มีความตึงเครียดมากจากการที่นายปลอดประสพ สุรัสวดี ประธาน กบอ. ได้ประกาศชัดเจนว่าต้องสร้างเขื่อนให้ได้ ชาวบ้านในพื้นที่ต่างวิตกกังวลเป็นอย่างมาก และได้เกิดเหตุการณ์ทำนองนี้มาหลายครั้งจนทำให้ชาวบ้านเกรงว่าจะมีการสวมรอยเข้ามาสำรวจพื้นที่
จากการตรวจสอบพบว่า Google ได้ทำการสำรวจเส้นทางและแหล่งท่องเที่ยวทั่วโลก เพื่อนำไปไว้ในแผนที่ของทางบริษัท เพื่อให้คนทั่วโลกได้โหลดไปใช้ประโยชน์ ฟรีบ้าง เสียเงินบ้าง ตามแต่บริษัทจะกำหนด กลุ่มราษฎรรักษ์ป่า เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อชุมชนและอนาคตของลูกหลานคนไทยและคนทั่วโลก จึงประกาศขอโทษต่อเจ้าหน้าที่และบริษัท Google รวมทั้งขอโทษต่อคนไทยทั้งชาติ ที่ทำให้คนไทยเสียชื่อเสียงในเรื่องที่เกิดขึ้น
กลุ่มราษฎรรักษ์ป่า ต.สะเอียบ ขอความเห็นใจมายังทุกท่านได้โปรดเข้าใจและเห็นใจชาวบ้านสะเอียบ ที่ต้องทำหน้าที่ปกป้องรักษาป่าสักทองและชุมชนสะเอียบ เพื่อคนไทยทั้งชาติ และคนทั่วโลก เช่นกัน ทั้งนี้กลุ่มราษฎรรักษ์ป่า ยืนยันที่จะคัดค้านเขื่อนแก่งเสือเต้น เขื่อนยมบน เขื่อนยมล่าง สืบต่อไป และเสนอให้รัฐบาลและผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ หันมาใช้ 12 แนวทางในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งลุ่มน้ำยม เพื่ออนาคตของลูกหลาน เพื่อคนไทยทั้งชาติ และเพื่อเพื่อนร่วมโลก
ขอแสดงความนับถือ
กลุ่มราษฎรรักษ์ป่า ต.สะเอียบ อ.สอง จ.แพร่
14 สิงหาคม 2556 ณ วัดดอนชัย ต.สะเอียบ อ.สอง จ.แพร่

อธิบดีดีเอสไอเด้งรับ - สั่งสอบปมร้อน "ติ่ง มัลลิกา" ตัดต่อ-บิดเบือนภาพนายกฯ ปู

วันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 16:39 น.  ข่าวสดออนไลน์

เวลา 14.00 น.วันที่ 14 ส.ค. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นายวิญญัติ  ชาติมนตรี  ทนายความแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)  เข้าพบนายธาริต  เพ็งดิษฐ์  อธิบดีดีเอสไอ  เพื่อยื่นหนังสือร้องทุกข์ให้สอบสวนและดำเนินคดีอาญา น.ส.มัลลิกา  บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์  กรณีที่มีการโพสต์รูปภาพ น.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี ขณะเดินทางไปอุทยานแห่งชาติกุยบุรี  จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 8 ส.ค.ที่ผ่านมา และได้ถ่ายภาพคู่กับป้ายอุทยานแห่งชาติกุยบุรีไว้เป็นที่ระลึก โดยมีภาพปรากฏในเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ของน.ส.มัลลิกาพบป้ายชมวิวตามที่โพสต์นั้นมีคำว่า เสือ สิงห์ กระทิง .. และมีภาพนายกรัฐมนตรียืนข้างป้าย  ซึ่งเป็นข้อความที่คลาดเคลื่อนและไม่ตรงกับความเป็นจริงของอุทยานฯ สร้างความเสื่อมเสียกับนายกฯที่เป็นผู้นำประเทศเห็นว่าเข้าข่ายความผิด ม. 14 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ว่า ด้วยการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าจะทั้งหมดหรือบางส่วน  หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ  โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นและประชาชนและเผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ


 นายวิญญัติ  กล่าวต่อว่า เหตุที่ไม่ไปยื่นเรื่องให้กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(ปอท.) เพราะนายกรัฐมนตรีเป็นบุคคลที่มีตำแหน่งหน้าที่สำคัญในประเทศ และกฎหมายดีเอสไอมีอำนาจหน้าที่  ตนมองว่าดีเอสไอมีศักยภาพที่จะดำเนินการได้ ส่วนตนไม่ได้ประสงค์ที่จะเอาผิดไปถึงผู้ที่กดไลค์ แต่ในส่วนที่กดแชร์ภาพนั้นตนก็ขอให้ดีเอสไอตรวจสอบทั้งหมดด้วย

 ด้าน นายธาริต  กล่าวว่าตนได้สั่งการให้คดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษทันที เนื่องจากเป็นความผิดตามพ.ร.บ.แนบท้ายการสอบสวนคดีพิเศษ  ตนขอบอกเลยว่าตนให้ความสำคัญกับคดีนี้มากกว่าปกติ  ซึ่งผู้ร้องระบุชัดเจนว่าหากมีผู้ใดเกี่ยวข้องก็ให้สอบสวนกลับไปทั้งหมด ดีเอสไอจึงจะเริ่มการสอบสวนตั้งแต่น.ส.มัลลิกาไปจนถึงผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยมอบหมายให้ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ ผู้เชี่ยวชาญคดีพิเศษ เป็นหัวหน้าชุดสอบสวนเรื่องนี้ และให้ดำเนินการสอบปากคำนายวัญญัติในฐานะผู้ร้องทันทีวันนี้

   “เรื่องนี้ต้องรับเป็นคดีพิเศษ เพราะบุคคลในภาพเป็นถึงนายกฯ  ไม่ว่าจะเป็นการส่งต่อหรือโพสต์เองถือว่ามีความผิดชัดเจน  ผมไม่ได้เข้าข้างการเมืองแต่นายกฯเป็นถึงประมุขของประเทศ” อธิบดีดีเอสไอ