PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2561

กฎหมายพรรคการเมือง พรรคมวลชน และ(พรรค)คนรุ่นใหม่ โดย อุเชนทร์ เชียงเสน

กฎหมายพรรคการเมือง พรรคมวลชน และ(พรรค)คนรุ่นใหม่ โดย อุเชนทร์ เชียงเสน


ท่ามกลางสถานการณ์ที่เสียงของ “คนอยากเลือกตั้ง” เพื่อโอกาสหรือการเริ่มต้นใหม่ๆ มีพลังมากขึ้น พร้อมกับคำถามว่าด้วยข้อจำกัดของรัฐธรรมนูญ กฎหมาย หรืออื่นๆ รวมทั้ง “ตัวเลือก” ที่จำกัดของประชาชนนั้น การเลือกตั้งที่เกิดขึ้นจะนำไปสู่สิ่งใหม่ได้อีกหรือ? การเสนอตัวเป็น “ทางเลือกใหม่” โดยพรรคการเมืองคนรุ่นใหม่ ภายใต้การนำของนักวิชาการ นักธุรกิจ/นักกิจกรรมรุ่นใหม่ จึงเหมือนมาเติมช่องว่าง สร้างสีสัน จุดประกายของความหวังเล็กๆ ได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม แม้กระทั่งในหมู่คนอยากเลือกตั้งเองก็มีคำถามต่อการปรากฏตัวของพรรคการเมืองนี้เช่นกัน จากเรื่องเล็กๆ จนไปถึงเรื่องใหญ่ๆ จากระยะสั้นจนถึงระยะยาว ตั้งแต่ควรจะมีพรรคการเมืองหรือไม่? จังหวะเวลานี้เหมาะสมหรือไม่? พรรคจะเป็นแบบไหน? ใครเป็นกลุ่มเป้าหมาย? นโยบายควรเป็นแบบไหน? จะประสบความสำเร็จหรือไม่? จนกระทั่งหากได้เป็นรัฐบาลแล้วจะแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ ด้วยกระบวนการอย่างไร? คำถามทั้งหมดนี้น่าสนใจ เป็นหน้าที่ของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่ต้องขบคิดและตอบคำถาม จัดลำดับความสำคัญก่อนหลังเอง
ทั้งนี้ผู้เขียนต้องการแลกเปลี่ยนและเสนอความเห็นทั้งต่อผู้ริเริ่ม ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ผู้ที่สนใจ และประชาชนทั่วไป ในประเด็นสำคัญพื้นฐาน 3 ประการ คือ 1) พรรคการเมืองและกฎหมายพรรคการเมือง 2) พรรคมวลชนและโอกาสของพรรคมวลชน และ 3) การสร้างพรรคทางเลือกใหม่ของคนรุ่นใหม่
1.
พรรคการเมืองและกฎหมายพรรคการเมือง 2560
หากถามนักรัฐศาสตร์ พวกเขาอาจจะนิยามความหมายพรรคการเมืองแตกต่างกันไป แต่สิ่งที่มีร่วมกันคือเน้นไปที่การมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งและต้องการได้รับตำแหน่งสาธารณะและอาณัติหรืออำนาจในการปกครองจากประชาชน หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่ง พรรคการเมืองเป็นการรวมตัวของพลเมืองบนฐานของความเป็นสมาชิกและโปรแกรมบางอย่าง เพื่อยึดครองตำแหน่งในการตัดสินใจทางการเมือง ผ่านวิธีการเลือกตั้ง ด้วยกลุ่มผู้นำของตนเอง เพื่อที่จะทำให้ข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่ดำรงอยู่เป็นจริง หรือนำไปสู่การปฏิบัติ สิ่งนี้เองที่ทำให้พรรคการเมืองต่างกับการรวมกลุ่มในลักษณะอื่นๆ ที่ต้องการใช้กลุ่มในการต่อรองผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มตนอย่างกลุ่มผลประโยชน์ หรือสร้างอำนาจผ่านปฏิบัติการทางตรงอย่างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม
การมีอำนาจที่เป็นทางการ/ตามกฎหมาย “อำนาจที่มาจากประชาชน” ไม่ว่าจะเป็นนิติบัญญัติ (กรณีเป็นสมาชิกรัฐสภา) หรือบริหาร (กรณีเป็นรัฐบาล) ซึ่งจำเป็นในการผลักดันหรือเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ เป็นข้อจำกัดหรือสิ่งที่ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมไม่มี และจึงเป็นเหตุให้ขบวนการไม่น้อยที่มีขอบเขตสมาชิกหรือผลประโยชน์ครอบคลุมกลุ่มที่กว้างขวางพอ พัฒนามาเป็นพรรคการเมืองในที่สุด สำหรับประเทศไทยมีความพยายามลักษณะนี้จากขบวนการเคลื่อนไหว “ภาคประชาชน” เช่นกัน แต่ด้วยความคิดและวิถีการปฏิบัติแบบเก่า ไม่เชื่อมั่นในพลังของตนเองและเป็นนักฉวยโอกาส โครงการทางการเมืองนี้จึงจบด้วยการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขุดหลุมฝังโอกาสของตัวเองและคนรุ่นหลังกับวิกฤตทางการเมืองที่พวกเขาร่วมสร้างขึ้นมานับทศวรรษ
สำหรับพรรคการเมือง ดูเหมือนว่า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 กลายมาเป็นอุปสรรคมากกว่าสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมือง ซึ่งการรวมตัวเป็นพรรคการเมืองของพลเมืองนี้เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานควรจะทำได้ง่าย
รูปธรรมที่สำคัญของประเด็นที่กล่าวถึงข้างต้น เช่น การกำหนดจำนวนสมาชิกในการจัดตั้ง ไม่น้อยกว่าห้าร้อยคน และ “เพื่อประโยชน์ในการดําเนินการของพรรคการเมือง พรรคการเมืองต้องมีทุนประเดิมไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท โดยผู้ร่วมกันจัดตั้งพรรคการเมืองทุกคนต้องร่วมกันจ่ายเงินเพื่อเป็นทุนประเดิม คนละไม่น้อยกว่าหนึ่งพันบาท แต่ไม่เกินคนละห้าหมื่นบาท” (มาตรา 9) สมาชิกแต่ละคนต้องจ่ายค่าสมาชิก/บำรุงพรรคไม่น้อยกว่าปีละหนึ่งร้อยบาท (มาตรา 15 วงเล็บ 15) แต่จะสิ้นสุดสมาชิกภาพเมื่อไม่ชําระค่าบํารุงเป็นเวลาสองปีติดต่อกัน (มาตรา 27 วงเล็บ 3)
นอกจากนั้น เมื่อจดทะเบียนพรรคแล้ว ภายใน 1 ปี ต้องมีสมาชิกไม่น้อยกว่าห้าพันคน และภายใน 4 ปี ต้องเพิ่มสมาชิกให้มีจํานวนไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นคน และต้องจัดให้มีสาขาพรรคอย่างน้อยภาคละหนึ่งสาขา (มาตรา 33) โดยในจังหวัดที่ไม่มีสำนักงานใหญ่หรือสาขาพรรค ให้จัดตั้ง “ตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด” (มาตรา 35) เพื่อดำเนินกิจกรรมของพรรคในเขตพื้นที่ ไม่นับข้อห้ามอีกสารพัดที่ไม่เพียงมีอคติ แต่ยังมองพรรคการเมืองเป็นสิ่งชั่วร้ายที่ต้องควบคุมอย่างเคร่งครัด
มาตรการที่ยกมาข้างต้นนี้ กล่าวได้ว่า เป็นปฏิกิริยาต่อการเกิด “พรรคทักษิณ” (พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน เพื่อไทย) และจึงต้องการให้เกิด “พรรคการเมืองแบบมวลชน (Mass Party)” ขึ้นในประเทศไทยของผู้บัญญัติกฎหมาย แต่กลายเป็นความหวังดีที่จะมีผลทางร้ายเพราะการบังคับให้เป็นพรรคมวลชนและถูกควบคุมมากเกินไปด้วยความกลัว “ผีทักษิณ” จะทำให้พรรคการเมืองขาดคุณสมบัติ (มาตรา 91) หรือถูกยุบ (มาตรา 92) ได้ง่ายจนเกินไป แทนที่จะส่งเสริมหรือปล่อยให้เติบโตอย่างอิสระตามวิถีของมัน
ไม่นับรวมวิธีการเลือกตั้ง/นับคะแนนของรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ที่ค่อนข้างพิสดาร ในระบบบัญชีรายชื่อหรือสัดส่วน จากเดิม รัฐธรรมนูญ 2540 หรือฉบับต่อๆ มา ที่เป็นระบบคู่ขนาน พรรคการเมืองหรือกลุ่มเฉพาะขนาดเล็กที่ไม่สามารถชนะในการเลือกตั้งในระบบแบ่งเขตได้ สามารถรวบรวมเสียงที่กระจัดกระจายผ่านการเลือกตั้งระบบบัญชีรายชื่อ ทำให้มี ส.ส.ในระบบสัดส่วนได้บ้าง แต่รัฐธรรมนูญ 2560 กลับคำนวณสัดส่วน ส.ส.จากคะแนนที่ได้รับในระบบแบ่งเขตมารวมกัน แล้วลบด้วยจำนวน ส.ส.เขตที่แต่ละพรรคได้จริง เป็นจำนวน ส.ส.ในระบบสัดส่วนของแต่ละพรรค
ทั้งหมดนี้ ทำให้พรรคการเมืองใหม่ๆ ขนาดเล็ก เกิดพัฒนา กระทั่งมีผู้แทนในสภาได้ยาก ไม่เพียงแต่กรณีพรรคการเมืองไม่สามารถปฏิบัติตามเกณฑ์จุกจิกที่วางไว้ หากออกนอกลู่นอกทางก็อาจจะถูกยุบได้ง่ายเหมือนกัน
2.
พรรคมวลชน และ “โอกาส” ของพรรคมวลชน
ไม่ต่างกับคนอื่นนัก คำถามขึ้นในใจผู้เขียนทันที เมื่อทราบว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะตั้งพรรคการเมืองและลงแข่งขันในการเลือกตั้งครั้งหน้าว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมหรือไม่? ทั้งข้อจำกัดของกฎหมายการเลือกตั้งและพรรคการเมือง ระบบการเมืองและรัฐธรรมนูญที่คณะรัฐประหารวางไว้ ที่การแก้ไขตามระบบเป็นไปได้ยากมาก แต่ภายใต้การเห็นในสิ่งเดียวกันนี้สามารถมองได้สองทางเช่นกัน ทางหนึ่งปล่อยมันไปตามยถากรรม อีกทางหนึ่งก็พยายามจะต่อสู้หรือเปลี่ยนแปลงมัน แม้ตระหนักว่ายากเพียงใดก็ตาม แต่ความเปลี่ยนแปลงในโลกนี้น่าจะมาจากมุมมองที่สองมากกว่ามุมมองแรก
เราสามารถมองสถานการณ์นี้เป็น “โอกาสทางการเมือง” ได้เช่นกันในอย่างน้อย 2 ประเด็น
ประเด็นแรกว่าด้วย “ทางเลือก” ความขัดแย้งทางการเมืองกว่าทศวรรษที่ผ่านมายังไม่เห็นทางออกอันใด เมื่อพิจารณาจากผู้แสดงทางการเมืองที่มีอยู่ และดังนั้น ทางเลือกจึงจำเป็น และเป็นโอกาสของตัวแสดงทางการเมืองใหม่ที่จะเข้ามาเสนอตัวเป็นทางเลือก ประเด็นนี้มีผู้อภิปรายไว้หลายท่านแล้ว
ประเด็นที่สองว่าด้วย “พรรคมวลชน” หากถือว่า “พรรคไทยรักไทย” เป็นพรรคทางเลือกในต้นทศวรรษ 2540 ปัญหาที่เกิดขึ้นหลายอย่างในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สะท้อนการขาดความเป็นพรรคมวลชนของพรรคนี้ แม้จะมีสมาชิกมากมายเพียงไรก็ตาม ทำให้การดำเนินการหรือตัดสินใจต่างๆ ในเรื่องสำคัญ ถูกจำกัดไว้ที่ “แกนนำ” หรือศูนย์กลางของพรรคมากเกินไป ขาดการอภิปรายตรวจสอบหรือเหนี่ยวรั้งจากสมาชิก และคำนึงถึงสมาชิกน้อยเกินไป

ถ้าเข้าใจไม่ผิด ความคิดเบื้องต้น (แปลว่า ต้องผ่านกระบวนการแลกเปลี่ยน ปรับปรุง พัฒนา ตกผลึกซ้ำแล้วซ้ำเล่า) ของผู้ริเริ่มเองตระหนักถึงปัญหานี้ดีและจึงมี “พรรคมวลชน” เป็นต้นแบบ
หากคิดแบบนี้ เราสามารถใช้เงื่อนไขที่กฎหมายบีบให้เป็นพรรคมวลชน สร้างพรรคมวลชนจริงๆ ได้เหมือนกัน เพียงแต่มีระยะเวลาจำกัด และหวังผลระยะสั้นไม่ได้มากนัก ประเด็นนี้ทุกคนย่อมตระหนักดี
พรรคมวลชนคืออะไร? คนทั่วไปมักจะเข้าใจว่าเป็นพรรคที่มีสมาชิกมาก แน่นอนจำนวนสมาชิกสำคัญเพราะเป็นที่มาหรือนำไปสู่ประเด็นสำคัญอื่น อันได้แก่ ผู้ลงคะแนนเสียง ค่าสมาชิก/เงินบริจาคในการดำเนินกิจกรรม การรณรงค์หาเสียง หรือการระดมทรัพยากรอื่นๆ แต่ไม่เพียงเท่านั้น เพราะพรรคแบบนี้ต้องการความผูกพันอย่างสูงจากสมาชิก เพื่อเข้าสู่โครงสร้างที่ขยายออกจากศูนย์กลางเพื่อทำหน้าที่ต่างๆ ที่กว้างขวางและเครือข่ายที่เข้มแข็งของพรรค ดังนั้น ตัวชี้วัดสำคัญของการเป็นพรรคมวลชน คือ โครงสร้างและการจัดการบริหารพรรค ซึ่งหมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่างๆ ในพรรค (ตรงกันข้ามกับพรรคชนชั้นนำที่เน้นบทบาทผู้นำและรวมศูนย์อำนาจ) ที่เน้นการมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ และการร่วมตัดสินใจของสมาชิก ในฐานะที่เป็นเจ้าของพรรคร่วมกัน และความสัมพันธ์ภายในที่เป็นประชาธิปไตย สมาชิกที่เข้มแข็งและเอาการเอางานจึงเป็นหัวใจสำคัญ และเป็นวัคซีนป้องกันความโน้มเอียงหรือกลายร่างเป็นอย่างอื่น
การสร้างพรรคการเมืองใหม่และพยายามเป็นพรรคมวลชนจึงเป็นกระบวนการและแนวทางใหม่ที่หลายคนอาจไม่คุ้นเคยและอาจขาดความชัดเจน การไม่มีสูตรสำเร็จในหลายเรื่อง สร้างข้อกังขาหรือคำถามได้มากมาย แต่กระบวนการได้มาในเรื่องเหล่านี้สำคัญไม่น้อยกว่าคำตอบ และเปิดโอกาสให้ผู้คนที่สนใจจะร่วมหัวจมท้ายด้วยกัน สามารถมีส่วนร่วมได้อย่างจริงจัง กระบวนการนี้ต่างหากที่จะเป็นดัชนีชี้วัดความสำเร็จหรืออนาคตของพรรค
3.
การสร้างพรรคทางเลือกใหม่ของคนรุ่นใหม่
ด้วยเหตุผลหลายอย่างที่กล่าวไว้บ้างแล้ว ไม่มีเหตุผลต้องปิดบังว่าผู้เขียนสนับสนุนคนรุ่นใหม่ที่เสนอตัวขึ้นมาเป็นทางเลือกในการเมืองในขณะนี้ ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มนี้เท่านั้น แต่หมายรวมถึงกลุ่มอื่นๆ ซึ่งมีจุดยืนหรือความคิดทางการเมืองต่างออกไป เพราะพรรคการเมืองเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับสังคมประชาธิปไตย การมีพรรคการเมืองเพิ่มขึ้น หมายถึงประชาชนมีตัวเลือกที่จะมาแข่งขันเป็นปากเป็นเสียงหรือตัวแทนของเขามากขึ้น ท่ามกลางความคาดหวังและคำถามที่เกิดขึ้นมากมาย ผู้เขียนมีความเห็นและข้อเสนอเล็กๆ ที่อาจจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือสนใจ ดังนี้
เป้าหมาย ที่นั่งในสภา และสมาชิก
สำหรับผู้ก่อตั้ง ย่อมหวังจะได้ ส.ส.จากการเลือกตั้งครั้งหน้าจำนวนหนึ่ง เพราะมี ส.ส.หมายถึงการที่พรรคจะได้มีบทบาทในสถาบันที่เป็นทางการในการเสนอความเห็น อภิปราย ผลักดัน และเสนอทางเลือกต่างๆ ตามนโยบายของพรรค นอกจากนั้นยังเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า แนวทางที่เลือก-การสร้างพรรคการเมือง-เป็นแนวทางที่ถูกต้องหรือเป็นไปได้ มีอิทธิพลทางการเมืองมากกว่าช่องทางนอกสภา ความสำเร็จในขั้นตอนนี้จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มเป้าหมายและดึงดูดคนที่มีศักยภาพเข้าสู่พรรคต่อไป และนั่นรวมถึงความสำเร็จที่จะเพิ่มขึ้นในการเลือกตั้งต่อไป
จำนวน ส.ส.ที่จะได้จากการเลือกตั้งมีความไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง แต่การไม่มีหรือมีที่นั่งในสภาน้อย ไม่ใช่ตัวชี้วัดความสำเร็จอันเดียวหรือสำคัญชี้ขาดของพรรคการเมืองในระยะแรก แต่อีกขาหนึ่งของความสำเร็จ คือ การมีสมาชิก-รวมถึงโครงสร้างพรรคการเมือง-ตามแบบพรรคมวลชนที่แท้จริง ที่มีความผูกพันกับพรรค พร้อมจ่ายค่าสมาชิก หาสมาชิกหรือผู้ปฏิบัติงานของพรรคเพิ่มเติม มีส่วนร่วมในองค์กรของพรรค และการสร้างเครือข่ายกับภาคประชาสังคม ตั้งแต่ระดับท้องถิ่น ภูมิภาค จนถึงระดับชาติ เป้าหมายนี้ต้องใช้เวลาและเป็นการทำงานระยะยาว ความสำเร็จในการรวบรวมสมาชิกที่มีเป้าหมายร่วมกันนี้จะเป็นเครื่องประกันความมั่นคงและความสำเร็จของพรรคในอนาคต
ดังนั้นสองขาในการทำงานของพรรค ซึ่งไปด้วยกัน ด้านหนึ่ง สร้างผลิตภัณฑ์ของพรรค คือ นโยบายและผู้สมัคร เสนอต่อผู้ลงคะแนนเสียง อีกด้านหนึ่ง การรวบรวมหาสมาชิกพรรค
การรวบรวมหาสมาชิกและผู้ปฏิบัติงาน
เมื่อนึกถึงพรรคการเมือง ผู้เขียนนึกถึงคำวิจารณ์ของอาจารย์ท่านหนึ่งต่อขบวนการ “ภาคประชาชน” เมื่อปี 2548 ว่า “ขบวนการทางการเมืองต้องเริ่มจากฐานความคิดอุดมการณ์ ไม่ใช่เริ่มจากคนหรือสิ่งที่คนส่วนใหญ่เชื่อ ไม่ว่าจะเป็นคนในชุมชนหรือระดับล่างก็ตาม คุณจะต้องบอกว่า ความคิดแบบไหนเหมาะสมกับคนทั้งหมดในสังคม ที่ถูกต้อง และก็ถกเถียงจากความคิดนั้น”
เหมือนเอามะพร้าวห้าวไปขายสวน แต่อยากเน้นย้ำว่า แนวคิดนี้สามารถหรือควรนำมาใช้ในการสร้างพรรค กล่าวคือ แทนที่จะเริ่มต้นด้วยการรวบรวมผู้คนที่กระตือรือร้นทางการเมืองที่มีอยู่ และพยายามเข้าถึงเฉพาะกลุ่มเฉพาะปัญหา ซึ่งมีลักษณะแคบเกินไป พรรคการเมืองควรจะเริ่มต้นจากฐานความคิดหรืออุดมการณ์แล้วนำไปสู่การรวบรวมหาสมาชิกและผู้ปฏิบัติงาน หรือขั้นตอนอื่นๆ ของพรรคทั้งหมดต่อไป
สุดท้าย ในสถานการณ์แบบนี้ การริเริ่มหรือการสร้างสิ่งใหม่ๆ ทั้งน่ากลัว-เสี่ยง หลายอย่างต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง แต่ก็ท้าทายสำหรับผู้ที่ลงมือกระทำ การไม่ประสบความสำเร็จในเวลาสั้นๆ เป็นเรื่องปกติ แต่เหล่านี้จะเป็นประสบการณ์เพื่อความสำเร็จขั้นตอนต่อไป (ทั้งนี้จำเป็นต้องมีกระบวนการเก็บรับบทเรียนและรายละเอียดที่ดีพอ)
ดังนั้น กระบวนการในการสร้างสิ่งใหม่ วัฒนธรรมการเมืองแบบใหม่ มีความสำคัญไม่น้อยความสำเร็จในระยะสั้น การเปลี่ยนสู่สิ่งที่ดีกว่ามาจากผู้คนที่เชื่อมั่นในการเปลี่ยนแปลงมากกว่าผู้ยอมจำนน
อุเชนทร์ เชียงเสน
(c.cheangsan@gmail.com)
สำนักวิชารัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ ม.วลัยลักษณ์

"บิ๊กป้อม"เตือน "ธนาธร" เอา แต่ พอประมาณ

"บิ๊กป้อม"เตือน "ธนาธร" เอา แต่ พอประมาณ อย่าไปอะไรมาก เวลาให้สัมภาษณ์ อย่าเพิ่งหาเสียง
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ติง นาย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เตรียมตั้งพรรคการเมือง ร่วมกับนายปิยบุตร แสงกนกกุล นักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์ แต่ให้สัมภาษณ์ในเชิงหาเสียงว่า ถ้าหาเสียงก็ทำไม่ได้ แต่ถ้าวิจารณ์ว่าคล้ายๆ ก็ยังไม่ใช่การหาเสียง ขณะนี้เป็นเพียงการแจ้งจดพรรคการเมือง ยังไม่ถึงขั้นประชุมพรรค อย่าไปอะไรมาก เอาพอประมาณ
เมื่อถามว่ามีพรรคใดบ้างที่ขออนุญาตคสช.เพื่อเปิดประชุมพรรค พลเอกประวิตร กล่าวว่า ยังไม่ทราบ ตนยังไม่ได้ประชุม

จับสัญญาณ ‘บิ๊กตู่’ เฟ้นพรรคเสนอชื่อ ‘นายกฯ’

จับสัญญาณ ‘บิ๊กตู่’ เฟ้นพรรคเสนอชื่อ ‘นายกฯ’


หมายเหตุ – ความคิดเห็นของนักวิชาการและนักการเมือง กรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงหลักเกณฑ์ในการพิจารณาตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองที่จะยินยอมให้เสนอชื่อเป็นนายกฯ เช่น นโยบายพรรค ตัวบุคคล ความน่าเชื่อถือ



ฐิติวุฒิ บุญยวงศ์วิวัชร
อาจารย์คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ ม.เชียงใหม่

ก่อนอื่นแล้ว ในเบื้องต้นให้มองประวัติศาสตร์การเมืองไทยก่อน ที่ชัดมากคือในยุคของ ปี?35 รสช.ที่มีความพยายามสร้างทายาททางการเมืองโดยตั้งพรรคการเมืองมารองรับการสืบทอดอำนาจของฝ่ายทหาร แต่การสืบทอดอำนาจแบบนั้นก่อให้เกิดปัญหาอย่างหนึ่ง คือความชอบธรรมด้านการเมืองว่าด้วยการเข้ามาของผู้มีอำนาจทางการเมือง เพราะจะกลายเป็นว่าคำถามคือจะมีการสืบทอดอำนาจกันหรือเปล่า การที่มีความไม่ชัดเจนและการสืบทอดอำนาจแบบนั้นจะนำมาสู่การที่กลไกพรรคการเมืองจะทำงานได้อย่างไม่เป็นอิสระอย่างแท้จริง จะเป็นการยึดติดกับส่วนบุคคล ระบบอุปถัมภ์แบบเดิมๆ เป็นการสร้างมหาอำมาตย์แบบใหม่ แทนที่จะสร้างพรรคการเมืองเข้มแข็ง แต่กลายเป็นว่าพรรคการเมืองมารองรับพรรคข้าราชการต่อเนื่องขึ้นมาอีก นอกจากนี้ในแง่ของระบบการตรวจสอบว่าจะวางกลไกอย่างไร
สำหรับคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ที่บอกว่าขอดูนโยบายพรรคที่จะเสนอชื่อเป็นนายกฯก่อนนั้น เราต้องมองยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศ 20 ปี ต้องมองว่าทางฝ่ายผู้มีอำนาจจะบอกว่าใช้เพื่อพัฒนาประเทศ แต่ยุทธศาสตร์ 20 ปี ส่วนหนึ่งสามารถใช้เป็นกลไกในการเข้ามามีอำนาจทางการเมืองได้อีก เช่น ต้องการมาสืบทอดหรือสืบสานงานให้ครบในแผนที่ตั้งไว้ในยุทธศาสตร์ แต่แผนนี้สะท้อนอะไรบางอย่างที่นายกฯกำลังคิดอยู่ส่วนหนึ่ง โดยสะท้อนความต้องการลึกๆ ของนายกฯ มองว่าภารกิจของนายกฯ ด้านการเมืองที่เห็นชัด คือต้องไปดูว่าสถานการณ์ทางการเมืองที่กำลังพัฒนาหรือสืบทอดกันมาตอนนี้
ถ้ามองตามสายตาของนายกฯ เวลาจะลงจากหลังเสือยังไม่ปลอดภัย เขาลงคนเดียวไม่เท่าไหร่ แต่มันเป็นเครือข่าย การขึ้นหลังเสือโดยรัฐประหาร การตอบคำถามของนักการเมืองที่จะลงจากหลังเสืออย่างไรให้ปลอดภัยเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สะท้อนการเข้ามา ส่วนการมาทำงานเพื่อช่วยเหลือประเทศ เป็นเหตุผลโดยทั่วไปมากกว่าเหตุผลทางด้านการเมือง



องอาจ คล้ามไพบูลย์
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)

การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. ออกมาขอบคุณพรรคการเมืองที่สนับสนุนตนเองให้เป็นนายกฯคนนอกนั้น คิดว่า นายกฯคงจะขอบคุณตามธรรมเนียมที่ทราบอยู่แล้วว่าก็คงจะมีพรรคการเมืองใหม่บางพรรคสนับสนุนตัวเอง ซึ่งตามขั้นตอนนั้นนายกฯคนนอก พล.อ.ประยุทธ์สามารถมีสิทธิถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯคนนอกได้ ดังนั้นท่านจึงออกมาขอบคุณพรรคการเมืองที่สนับสนุนตนเองตามมารยาท อีกด้านหนึ่ง หากมองก็จะเห็นได้ชัดว่านี่คือการเปิดไมตรีจากพรรคการเมืองที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ให้เป็นนายกฯคนนอกอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาท่าทีของนายกฯไม่เคยมีการปฏิเสธ หรือมีการปิดประตู ปิดช่องทางว่าตัวเองจะไม่เป็นนายกฯคนนอกแต่อย่างใด แม้แต่ตัวท่านเองก็ยังเคยพูดว่า เรื่องท่านจะเป็นนายกฯคนนอกหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของอนาคต จึงชัดเจนว่าตรงนี้ไม่ได้เป็นการปิดประตูในตำแหน่งหน้าที่นายกฯคนนอกของ พล.อ.ประยุทธ์
นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมและการกระทำหลายอย่างของนายกฯที่เห็นได้ชัดว่าอาจจะตัดสินใจเล่นการเมือง หรืออาจเป็นนายกฯคนนอกได้ ถ้าติดตามการให้สัมภาษณ์ของท่านจะเห็นได้ชัดว่าท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ในการตัดสินใจที่จะเป็นนายกฯคนนอก ก็ยังมีอยู่มากไม่น้อยเลยทีเดียว
ทั้งนี้ การตัดสินใจก็ขึ้นอยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์ ท่านก็พูดถูกว่า เรื่องนี้ท่านไม่จำเป็นที่จะต้องตัดสินใจอะไรในตอนนี้ เพราะการเลือกนายกฯคนนอกนั้น เป็นเรื่องของทิศทางการเมืองในอนาคต จึงไม่มีใครสามารถเดาได้ แต่หากถึงวันเวลานั้นแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับตัวของ พล.อ.ประยุทธ์ว่าจะตัดสินใจอย่างไร หากมีพรรคการเมืองมาเสนอให้ท่านเป็นนายกฯคนนอกจะตกลงหรือไม่ตกลง ก็ขึ้นอยู่กับตัวท่านเองเพียงคนเดียว ไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้
สำหรับพรรค ปชป. แนวทางการสนับสนุนผู้ที่จะมาเป็นนายกฯนั้น จุดยืนยังคงเป็นไปตามทิศทางของพรรค ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ เราเป็นพรรคการเมืองก็ต้องสนับสนุนหัวหน้าพรรคให้เป็นนายกฯเท่านั้น ส่วนพรรคอื่นจะมีแนวทางอย่างไร ก็ถือเป็นสิทธิของแต่ละพรรค เพราะอุดมการณ์และแนวทางของแต่ละพรรคการเมืองไม่เหมือนกับพรรค ปชป. ผมยืนยันว่าแนวทางการสนับสนุนนายกฯของพรรคจะต้องเป็นหัวหน้าพรรคเท่านั้น




นันทนา นันทวโรภาส
คณบดีวิทยาลัยสื่อสารการเมือง ม.เกริก

ดูจากการสื่อสารของท่านนายกฯ มีความชัดเจนในระดับหนึ่งว่า นายกฯจะสืบทอดอำนาจผ่านพรรคการเมืองจากการเลือกตั้งครั้งใหม่นี้ เพราะว่าจากที่ท่านสื่อสารออกมา ท่านไม่ได้ปฏิเสธตำแหน่งนายกฯจากการเสนอชื่อของพรรคการเมือง การที่ไม่ปฏิเสธ อนุมานได้ว่าเป็นการยอมรับข้อเสนอ เพียงแต่ว่านายกฯมีเงื่อนไขว่าจะขอพิจารณาจากพรรคการเมืองซึ่งมีนโยบายอย่างไร และก็ขอพิจารณาคนในพรรค จึงมีความชัดเจนว่าท่านมีความประสงค์ที่จะอยู่ในอำนาจต่อ ก็คือนายกฯอยากที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี โดยการเสนอชื่อโดยพรรคการเมืองในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
เป็นสัญญาณที่ค่อนข้างชัดเจนว่า นายกฯพร้อมที่จะสืบทอดอำนาจในกระบวนการการเลือกตั้งโดยที่ว่าให้พรรคการเมืองเสนอชื่อท่าน เป็นสัญญาณว่าพรรคการเมืองต่างๆ ต้องเตรียมพร้อมว่าถ้ามีพรรคใดพรรคหนึ่งเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ พรรคอื่นๆ จะเสนอชื่อใคร คงเป็นสัญญาณที่ส่งให้พรรคการเมืองได้เตรียมความพร้อมในเรื่องของคนที่จะมาเป็นหัวขบวนหรือคนที่จะถูกเสนอเป็นนายกรัฐมนตรี
จากที่ พล.อ.ประยุทธ์สื่อสารมาค่อนข้างชัดเจน คือให้พรรคใดพรรคหนึ่งเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ท่านจะลงสมัครหรือเปล่า คิดว่าคงไม่ลงสมัครเลือกตั้ง แต่ในกระบวนการที่อนุญาตให้พรรคการเมืองเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ท่านก็สามารถมาดำรงตำแหน่งได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ท่านคงไม่ลงไปในกระบวนการเลือกตั้ง แต่ยินยอมให้เสนอชื่อ นั่นก็คือการพร้อมเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกฯในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
ยังคาดการณ์ไม่ได้ว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร แต่หากหลังการเลือกตั้งจะดูภาวะใกล้ๆ ว่าบริบทในช่วงนั้นเป็นอย่างไร ภาวะเศรษฐกิจ สังคมโลก มองไทยอย่างไร มีปฏิกิริยายังไง คงต้องประเมินใกล้ๆ การเลือกตั้ง แต่ว่าตอนนี้ยังไม่เห็นสัญญาณที่ส่งว่าจะมีการเลือกตั้ง เราจึงประเมินได้ยากว่าหลังการเลือกตั้งภาวการณ์จะเป็นอย่างไร แต่ในแง่ของการประเมิน ถ้ามีการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ยินดีให้พรรคการเมืองเสนอ กระบวนการการเลือกตั้งเป็นอย่างไร พรรคที่เสนอ พล.อ.ประยุทธ์จะมีความได้เปรียบในระดับหนึ่ง เพราะถือเป็นการเสนอชื่อผู้ที่อยู่ในตำแหน่ง ปัจจัยแวดล้อมต่างๆ จะเอื้อให้กับพรรคนี้ได้เปรียบกว่าพรรคอื่นๆ อยู่บ้าง ยกเว้นแต่ว่าพรรคอื่นมีตัวบุคคลที่โดดเด่นและมีนโยบายที่สามารถจะเสนอแล้วโดนใจประชาชนได้ ตรงนั้นมีโอกาสต่อสู้ในกระบวนการการเลือกตั้งได้



ทรงศักดิ์ ทองศรี
รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.)

คงตอบแทน พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ว่าจริงๆ แล้วท่านคิดอย่างไร เพราะเป็นเพียงคนนอกที่มองท่านทำงาน คิดว่านายกฯก็ต้องพูดแบบนี้ เพราะถ้าเป็นผม ผมก็พูดอย่างนี้ พูดอย่างอื่นไม่ได้หรอก เพราะยังไม่ชัดเจน พูดแบบไม่ชัดไว้ดีกว่า เพราะถ้าพูดแบบชัดๆ จะผูกมัดตัวเองในวันข้างหน้า ที่ พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่าขอดูนโยบายของแต่ละพรรคก่อน คงมีเหตุผลของตัวเอง เรียกว่าตอบแบบการเมืองหรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่คิดว่าเวลาที่เหลืออยู่จะเป็นตัวพิสูจน์ ยิ่งเวลาเหลือน้อยลงเรื่อยๆ ความชัดเจนก็จะยิ่งเกิด วันนี้ยังตอบโจทย์อะไรแทบไม่ได้ เพราะวันเวลาที่จะจัดเลือกตั้งยังไม่ชัด พอไม่ชัด บุคคลจะตัดสินใจในสิ่งที่ยังไม่ชัดก็ตัดสินใจลำบากทุกคน การตอบคำถามสมมุตินั้นตอบยาก วันนี้กฎหมายลูกทั้ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) อยู่ในขั้นตอนของการพิจารณา ยังไม่ประกาศเป็นกฎหมาย แม้จะประกาศเป็นกฎหมายก็มีเรื่องต่ออีกว่า วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต้องต่อไปอีก 90 วันหรือเท่าไหร่ ต้องชัดเจนก่อน ดังนั้น คนที่จะตอบโจทย์ว่าจะเล่นการเมืองหรือไม่ โดยเฉพาะคนที่ยังไม่อยู่ในเส้นทางการเมืองจริงๆ อย่างบางท่านก็ยังตอบไม่ได้หรอก
ส่วนที่มีกลุ่มการเมืองประกาศสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีคนนอกนั้น ต้องบอกว่าหลายกลุ่มที่ไปจดแจ้งชื่อพรรคก็ยังไม่ได้เป็นพรรคการเมือง เวลาทำพรรคจริงๆ จะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็ยังไม่ทราบ ชื่อพรรคที่ขอจะเข้าหลักเกณฑ์หรือไม่ ผมเห็นข่าวมาว่าเป็นพรรคนั้นพรรคนี้ จริงๆ ยังไม่ได้เป็นพรรคหรอก เป็นแค่กลุ่มการเมืองเสนอจดแจ้งชื่อพรรค ต่อไปก็ยังมีขั้นตอนอีกเยอะ แต่วันนี้คนที่เสนอแนวคิดว่าจะสนับสนุนใครก็เป็นทิศทางที่ดีในระบอบประชาธิปไตย
ที่ผ่านมา ด้วยตำแหน่งนายกฯ แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะบอกว่าไม่ได้เป็นนักการเมือง แต่โดยตำแหน่งของท่านเป็นตำแหน่งทางการเมือง จะไม่เป็นนักการเมืองก็ไม่ได้ แต่ในอนาคตท่านจะเล่นการเมืองต่อหรือไม่เป็นเรื่องของท่านที่ต้องพิจารณา
โดยส่วนตัวมองว่าถ้าใครคิดว่าสามารถทำงานเพื่อบ้านเมืองเพื่อประชาชน ผมก็เห็นด้วยในการเข้ามาสู่เส้นทางการเมือง แต่สุดท้ายคนที่จะได้ตัดสินใจว่าใครจะได้ไปต่อก็ต้องอยู่ที่ประชาชน ดังนั้น ถ้าใครในประเทศไทยที่มีความประสงค์ และคิดว่าตัวเองมีความรู้ความสามารถจะพาประเทศเดินไปข้างหน้าได้ ผมเห็นด้วยและพร้อมสนับสนุนให้เข้าสู่เส้นทางการเมือง

จุดยกระดับความมั่นใจ

จุดยกระดับความมั่นใจ



โดยสถานะของ “ตัวเต็ง” นายกรัฐมนตรีคนนอก แค่นี้ก็บอกอะไรได้เยอะแล้ว
กับอาการของ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้าคสช.ที่ออกตัวเป็นเชิงขอบคุณมิตรรักแฟนเพลงที่แสดงเจตจำนง ตั้งพรรคการเมืองมาสนับสนุน
เอาเสลี่ยงมาแบกให้เบิ้ลเก้าอี้นายกรัฐมนตรีหลังเลือกตั้ง
แต่ตามฟอร์มก็ยังต้อง “แทงกั๊ก” ยักท่าไว้ก่อนว่า ยังไม่ถึงเวลา ตอนนี้ยังไม่มีใคร “กล้า” ต่อสายตรงทาบทาม ที่สำคัญถึงจะขอมาก็ยังไม่รู้จะรับหรือไม่
ต้องดูนโยบาย ดูคนร่วมพรรค มีความน่าเชื่อถือแค่ไหน
ไม่ตอบรับ แต่ก็ไม่ปฏิเสธ
ลีลาภาษาแบบนี้ นักการเมืองเขาเรียกว่า “เอาแน่”
เอาเป็นว่า จับอาการประเมินคำพูดของ “ลุงตู่” ที่เริ่มปล่อยเงื่อนไขพรรคการเมืองที่จะสนับสนุน ล้อต่อเนื่องกับการย้ำกำหนดเลือกตั้งชัดเจนไม่เกินเดือนกุมภาพันธ์ 2562
สะท้อนระดับความมั่นอกมั่นใจ
ไม่กลัว “เสียของ” แสดงว่าต้องพร้อมระดับหนึ่งแล้ว
อีกทั้งประเมินตามแนวโน้มสถานการณ์ที่ “ลุงตู่” และทีมงานเดินหน้าปั่นเนื้องาน แบบที่เห็นทั้งการปล่อยโครงการ “ไทยนิยมยั่งยืน” ลุยเจาะพื้นที่ทั่วประเทศ พร้อมๆกับโชว์ลูกขยันเดินสายตรวจราชการ ประชุม ครม.สัญจรต่างจังหวัดแบบถี่ยิบสัปดาห์เว้นสัปดาห์
แทบไม่ได้นั่งอยู่บนหอคอยงาช้าง ทำเนียบรัฐบาล
โดยเฉพาะการประชุม ครม.สัญจรล่าสุดในกลุ่มจังหวัด “เพชรสมุทรคีรี” ก็มีจุดไฮไลต์ตรงที่ “นายกฯลุงตู่” กับ “จอมยุทธ์กวง” นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ
ภูมิใจนำเสนอโครงการ “ไทยแลนด์ริเวียร่า”
ยุทธศาสตร์พัฒนาชายฝั่งทะเลจากเพชรบุรีถึงประจวบคีรีขันธ์ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก เป้าหมายของนักท่องเที่ยวจากชาติตะวันตก สอดรับกับโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ–หัวหิน
จัดเป็นยุทธศาสตร์ต่อเนื่องจากเมกะโปรเจกต์ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)
แน่นอน นี่คือกระบวนการคิดยุทธศาสตร์การพัฒนาอย่างเป็นระบบ
ทำให้เห็นภาพแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของทีม “นายกฯลุงตู่” ไม่ใช่แค่เพ้อฝันกันลอยๆ แต่มีการเดินหน้าเนื้องานตามโปรแกรม ผุดโครงการพัฒนาประเทศอย่างเป็นรูปธรรม
ที่สำคัญเป็นแผนงานที่หวังผลได้ในอนาคตระยะยาว
ผิดฟอร์มรัฐบาลทหารทั่วไปที่ไร้กึ๋นเชิงบริหาร มาแค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว
แต่ถึงตรงนี้ผ่านมา 3 ปีกว่า ขึ้นสู่ปีที่ 4 ภาพของรัฐบาลที่อาสาเข้ามานำการปฏิรูป ยกเครื่องประเทศไทย ค่อยๆเด่นชัดขึ้นตามเนื้องาน
สะท้อนถึงความตั้งใจของ “ลุงตู่” ในการไปสู่จุดหมายปลายทาง
ไม่ใช่แค่ปฏิวัติไล่นักการเมือง เพื่อเปิดทางทหารสลับฉากมากอบโกยแล้วกลับเข้ากรม
แน่นอน สถานการณ์แบบนี้ ยิ่ง “ลุงตู่–สมคิด” อยู่ยาว ยิ่งไม่เป็นผลดีกับนักเลือกตั้งอาชีพ
ต้องบีบ ต้องนวดให้เลือกตั้งตามโรดแม็ปเป็นอย่างช้า
เพราะยิ่งปล่อยให้นานวันไป มันเป็นอะไรที่เริ่มเห็นตัวเปรียบเทียบ
จากสารพัดโครงการที่รัฐบาลเดินหน้า ประชาชนจะรู้สึกว่า ไม่ใช่แค่ยี่ห้อ “ทักษิณ” เท่านั้นที่คิดได้ แต่ต้นตำรับตัวจริงอย่าง “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ก็ทำเป็นเหมือนกัน
จุดสำคัญ ไม่คิด “ค่าบริหาร” แพง
เพราะไม่ต้องแบ่งเจ๊ แบ่งเฮีย ไม่มีปมทุจริตเชิงนโยบาย
เหนืออื่นใด โดยหลักประกัน สถานการณ์ความมั่นคงภายใต้ “นายกฯลุงตู่” ผู้นำที่มีทั้งต้นทุนทางการเมือง และฐานอำนาจสนับสนุนจากกองทัพ ประกอบกับสถานะ “ผู้ถูกเลือก” ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ห้วงเปลี่ยนผ่านประเทศมากที่สุด
จุดนี้แหละคือ “แต้มต่อ” ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่น่าจะนำมาซึ่งความมั่นใจ
“หลักประกัน” การเมืองจะไม่วนย้อนกลับไปลงเหว.
ทีมข่าวการเมือง