PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2561

เหล่าทัพ ลั่น! ‘เป็นกองหนุน คสช.’ ไม่หวั่น ปลายปี ผบ.เหล่าทัพ เกษียณฯยกแผง

เหล่าทัพ ลั่น! ‘เป็นกองหนุน คสช.’ ไม่หวั่น ปลายปี ผบ.เหล่าทัพ เกษียณฯยกแผง


เวลา 15.30 น. ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผบ.ทสส. กล่าวภายหลังการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ถึงการเตรียมพร้อมดูแลสถานการณ์ที่จะมีการเลือกตั้งในปีนี้ว่า ที่ประชุมไม่ได้พูดถึงเรื่องดังกล่าว แต่กองทัพจะสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล โดยทุกอย่างมีกฎหมาย รวมถึงขั้นตอนการดำเนินการอยู่แล้ว เช่น การปลดล็อกให้พรรคดำเนินกิจกรรมต่างๆ ทางกองทัพก็ทำหน้าที่ตามปกติ ส่วนการดูแลความเคลื่อนไหวของนักการเมืองนั้น ยังมีกรอบกำหนดอยู่ เชื่อว่านักการเมืองยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ และเชื่อว่าไม่มีผลกระทบอะไร
เมื่อถามว่าปีนี้ผบ.เหล่าทัพจะเกษียณอายุราชการทั้งหมด จะสานงานต่ออย่างไร เพราะถือเป็นช่วงรอยต่อที่จะมีการเลือกตั้งช่วงปลายปี พล.อ.ธารไชยยันต์ กล่าวว่า กองทัพมีระบบการทำงาน ขั้นตอนและบุคลากรชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ต้องกังวล

เมื่อถามว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ประกาศตัวเป็นนักการเมืองแล้ว ทางกองทัพจะวางตัวอย่างไร พล.อ.ธารไชยยันต์ กล่าวว่า นายกฯได้ชี้แจงแล้วว่าความหมายนักการเมืองของท่านหมายความว่าอย่างไร ซึ่งเราได้รับทราบแล้ว ส่วนบทบาทกองทัพโดยเฉพาะหน้าที่และภารกิจยังดำเนินการตามปกติ ทั้งการสนับสนุนรัฐบาลและเป็นเครื่องมือให้กับคสช.
เมื่อถามว่าที่ประชุมได้พูดคุยถึงกรณีมีการเผยแพร่ภาพน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ในประเทศอังกฤษหรือไม่ พล.อ.ธารไชยยันต์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบดำเนินการ ในที่ประชุมไม่ได้พูดถึง เพียงแต่รับทราบและเห็นภาพจากสื่อเท่านั้น ส่วนจะประสานกับตำรวจสากลหรืออินเตอร์โพลหรือไม่นั้น เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำงานตามระเบียบและขั้นตอน

หลงสภาพ !!

หลงสภาพ !!
ทอ. สรุปผลสอบสวนเครื่องบิน Gripen ตก วันเด็ก ปีที่แล้ว เกิดจากนักบินหลงสภาพการบินชั่วขณะ Spatial Disorientation ชี้เป็นเหตุสุดวิสัย ชี้ มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับนักบินทุกคน /ทอ. ยังบินโชว์ วันเด็กเหมือนเดิม ทั้งGripen-F16
ก่อนถึงจะวันเด็ก เสาร์นี้ ...พลอากาศตรี พงษ์ศักดิ์ เสมาชัย โฆษกกองทัพอากาศ กล่าวว่า จากกรณีเครื่องบินขับไล่แบบที่ 20 หรือ Gripen 39C ของกองทัพอากาศ ประสบอุบัติเหตุขณะแสดงการบินเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2560
บริเวณสนามบินกองบิน 56 จังหวัดสงขลา เมื่อวันเสาร์ที่ 14มกราคม 2560 นั้น
กองทัพอากาศ ได้ดำเนินการสอบสวนหาสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุดังกล่าว โดยได้รวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์หลักฐานอย่างละเอียดทุกขั้นตอนตามมาตรฐานสากล ทั้งด้านการทำงานของเครื่องบิน เครื่องยนต์ การตรวจสอบประวัติสุขภาพรวมทั้งความพร้อมทางร่างกายและจิตใจของนักบิน การตรวจสอบวัตถุพยาน พยานบุคคลที่เห็นเหตุการณ์
รวมทั้งหลักฐานจากเทปบันทึกการบิน และภาพบันทึกเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ
โดยมีเจ้าหน้าที่นิรภัยการบินของกองทัพอากาศ ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน
รวมถึงสำนักงานยุทโธปกรณ์ทางทหารของสวีเดน (FMV) และบริษัท SAAB เข้ามาร่วมในการตรวจสอบ ตามข้อตกลงที่ได้ทำร่วมกัน
ผลการสอบสวนพบว่า เครื่องบินไม่มีปัญหา เป็นเครื่องที่ดีและพร้อมใช้งาน และนักบินเป็นนักบินที่ผ่านการฝึกมาเป็นอย่างดี
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีแนวโน้มเป็นไปได้มากว่าเกิดจากการหลงสภาพการบินชั่วขณะ (Spatial Disorientation) ซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัย
โดยความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ และผลการศึกษาทางด้านเวชศาสตร์การบินพบว่า การหลงสภาพการบินชั่วขณะ มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับนักบินทุกคน ถึงแม้ว่านักบินเหล่านั้นจะได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดีแล้วก็ตาม ซึ่งสาเหตุที่ส่งผลให้เกิดการหลงสภาพการบิน อาจเกิดจากหลายปัจจัยประกอบกัน เช่น สภาพอากาศ ความเร็ว อัตราเร่ง การเปลี่ยนท่าทางการบินโดยฉับพลัน ฯลฯ
ซึ่งจะส่งผลต่ออวัยวะการรับรู้ของมนุษย์ ทั้งนี้การหลงสภาพการบิน เป็นสภาวะหนึ่งที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางการบินมากที่สุด เนื่องจากเหตุผลทางด้านสรีรวิทยาการบิน อย่างไรก็ตาม กองทัพอากาศจะได้นำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ เป็นกรณีศึกษาตามหลักการบริหารจัดการความเสี่ยง (Risk Management) ด้านการบินต่อไป
โดย งานวันเด็ก ทอ. เสาร์นี้13 มค. ทอ.จัดที่ ฝูงบิน 601 กองบิน6 ดอนเมือง พิพิธภัณฑ์ ทอ. และ สนามหน้า สำนักผู้บังคับทหารอากาศดอนเมือง
พบกับการบินโชว์ของ เครื่องบิน Gripen, AU-23, F16 และ ฮ.EC725 และพบกับ 5 นักบินหญิง ทอ.รุ่นแรก และ อีก2 ว่าที่นักบินหญิง รุ่น2
-------

บวงสรวง พระเมรุมาศ

บวงสรวง พระเมรุมาศ
ผบ.เหล่าทัพ ร่วมคณะ "นายกฯบิ๊กตู่" ทำบุญตักบาตร พระสงฆ์ 89 รูป ที่สนามหลวง ก่อนที่ นายกฯจะร่วมพิธีบวงสรวง ที่มีพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี เป็นประธานทำพิธีบวงสรวง เพื่อรื้อถอน พระเมรุมาศ. บริเวณหน้าพระที่นั่งทรงธรรม และพิธีอัญเชิญพระนพปฎลมหาเศวตฉัตรลงจากยอดพระเมรุมาศ เพื่อทำการรื้อถอน โดยใช้เวลา 2 เดือน โดยกรมศิลปากร
หลังเสร็จพิธีบวงสรวง เจ้าหน้าที่จะเริ่มดำเนินการกั้นรั้วโดยรอบพื้นที่ เพื่อรื้อถอนพระเมรุมาศและอาคารประกอบ
สำหรับการรื้อถอนอาคารประกอบ ได้แก่ อาคารพระที่นั่งทรงธรรม ศาลาลูกขุน 4 หลัง ทับเกษตร 2 หลัง บุษบกซ่าง 1 หลัง สระอโนดาต 2 สระ ย้ายไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ บนเนื้อที่ 10 ไร่ ด้านหลังหอจดหมายเหตุเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร คลอง 5 จ.ปทุมธานี
ส่วนอาคารประกอบอื่นๆ ได้แก่ ศาลาลูกขุน 2 หลัง และงานประติมากรรม ศิลปกรรม จิตรกรรมฉากบังเพลิง ย้ายไปสำนักช่างสิบหมู่ ศาลายา จังหวัดนครปฐม
ส่วนไม้ดอกไม้ประดับ ในส่วนของไม้ดัด ซึ่งวัดคลองเตยในให้ความอนุเคราะห์จะจัดส่งคืนวัด อีกส่วนไม้ดัดขนาดใหญ่ เป็นของสวนนงนุช จะดำเนินการจัดส่งคืนสวนนงนุช
ส่วนไม้ล้มลุกประเภทดอกดาวเรือง จำนวน 300,000 ต้น จะเคลื่อนย้ายไปจัดงาน. "อุ่นไอรัก คลายลมหนาว" ที่พระลานพระราชวังดุสิต และสนามเสือป่า

"บิ๊กป้อม" เห็นด้วย "ไพบูลย์" ตั้งพรรค หนุน "บิ๊กตู่" เป็นนายกฯ

กองหนุน "บิ๊กตู่" !!
"บิ๊กป้อม" เห็นด้วย "ไพบูลย์" ตั้งพรรค หนุน "บิ๊กตู่" เป็นนายกฯ แต่สำคัญที่ประชาชน ไม่ปิดประตู คัมแบ็ค มาช่วยงานอีกหาก"บิ๊กตู่" มาเป็นนายกฯอีก รอให้ถึงเวลาก่อน

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว. กลาโหม กล่าวถึงกรณีอดีต สส.พรรคเพื่อไทย เดินสายอวยพรกันแกนนำพรรค และแสดงจุดยืนทางการเมืองว่า เขาไปอวยพรปีใหม่กัน ไม่ใช่เหรอ ไม่ผิดอะไรนี่แต่จะไม่สนใจ นักการเมือง รุ่นเก่า อวยพรปีใหม่กัน คนเก่าๆทั้งนั้น ต้องการนักการเมืองรุ่นใหม่ เราต้องการ นักการเมืองรุ่นใหม่ การเมืองแบบใหม่ ไม่ใช่เหรอ นักการเมืองเก่าๆ ก็ว่าไป ควรมีรุ่นใหม่ขึ้นมา

ส่วน พลเอกประยุทธ์ ถือเป็นนักการเมือง รุ่นใหม่ หรือไม่นั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า แล้วสื่อว่าไงล่ะ นักการเมืองรุ่นใหม่มั้ย ก็แล้วแต่ประชาชน

ส่วนการที่ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ตั้งพรรคประชาชนปฏิรูป หนุน พลเอกประยุทธ์ เป็นนายกฯ นั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า ไม่รู้ผมไม่ใช่ นายไพบูลย์

เมื่อถามว่า เห็นด้วยหรือไม่ ที่ นายไพบูลย์ หนุน พลเอกประยุทธ์ เป็นนายกฯ นั่น พลเอกประวิตร กล่าวว่า. ก็น่าจะเห็นด้วยนะ

"ถ้าประชาชน เห็นด้วย ประขาชนจะเป็นคนมห้ให้คำตอบ ส่วน ผมไม่มีความสำคัญเลยผมตอบคนเดียว ว่า นายกฯจะเป็นได้มั้ย ตัองประชาชน ทั้งนั้นล่ะ" พลเอกประวิตร กล่าว

เมื่อถามว่า ท่านพร้อมจะเป็น"กองหนุน" พลเอกประยุทธ์ ใช่หรือไม่ พลเอกประวิตร ถามว่าจะเป็นกองหนุนยังไง ผมไม่รู้เลย แล้วแต่

เมื่อถามว่า หาก พลเอกประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกฯ ท่านจะกลับมาช่วยงานอีกหรือไม่ พลเอกประวิตร กล่าวว่า ก็ยังไม่ถึงเวลานั่นเลย นายกฯจะเป็นหรือเปล่า ยังไม่รู้เลย จะไป "ถ้าเผื่อ" ไม่ได้ 

เมื่อถามว่า พลเอกประยุทธ์ เหมาะที่จะเป็นนักการเมือง เต็มตัว หรือไม่ นั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า สื่อว่าไง ก็เอาตามสื่อ

เมื่อถามว่า แต่เป็นนักการเมือง จะต้องถูกตรวจสอบ นั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า ตรวจสอบ ก็ตรวจสอบสิ !!

"บิ๊กป้อม" ขึงขัง !!ยัน จนท.ต้องตามตัว"ยิ่งลักษณ์" แน่ ไม่งั้น โดน ม.157

"บิ๊กป้อม" ขึงขัง !!ยัน จนท.ต้องตามตัว"ยิ่งลักษณ์" แน่ ไม่งั้น โดน ม.157 เผยไม่รู้"ยิ่งลักษณ์" ใช้พาสปอร์ต ประเทศไหน แต่ไม่คิดถาม เพื่อนบ้าน
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ว่าให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ ที่ต้องดำเนินการ ทั้งอัยการ ตำรวจ กระทรวงการต่างประเทศ ที่จะต้องร่วมมือกัน เป็นเรื่องของกฎหมาย
เมื่อถามว่ารัฐบาลจะกำชับให้เร่งดำเนินการหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่ต้องกำชับ เพราะเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่ทำก็เจอความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
เมื่อถามว่า ภาพน.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ปรากฎออกมาเป็นการเย้ยฝ่ายความมั่นคง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "ไม่เย้ยหรอก น.ส.ยิ่งลักษณ์ใช้หนังสือเดินทางของประเทศไหนยังไม่รู้เลย"
ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าใช้หนังสือเดินทางของประเทศเพื่อนบ้านนั้น เป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศตรวจสอบ พลเอกประวิตร กล่าวว่า ไม่รู้ขั้นตอนว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง แต่ตอนนี้ยังไม่ทราบว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ใช้หนังสือเดินทางของประเทศอะไร
เมื่อถามว่า จะถามไปยังประเทศเพื่อนบ้านหรือไม่ว่า ออกพาสปอร์ต ให้ ยิ่งลักษณ์ หรือไม่ พลเอกประวิตรกล่าวว่าให้เป็นเรื่องของกระทรวงการคลัง

‘บิ๊กป้อม’ ถามปชช.หนุน ‘บิ๊กตู่’ นั่งนายกฯคนนอกหรือไม่

‘บิ๊กป้อม’ ถามปชช.หนุน ‘บิ๊กตู่’ นั่งนายกฯคนนอกหรือไม่ ชี้คนเพื่อไทยเดินสายอวยพรปีใหม่แค่นักการเมืองเก่า


เมื่อวันที่ 11 มกราคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีนักการเมืองออกมาเคลื่อนไหว โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยที่เดินสายอวยพรปีใหม่แกนนำพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 10 มกราคม ว่า อวยพรปีใหม่กันไม่ใช่หรือ ก็อวยพรปีใหม่จะทำอย่างไรได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีนัยสำคัญทางการเมืองหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ก็คนเก่าๆ ทั้งนั้น เราต้องการการเมืองแบบใหม่ไม่ใช่หรือ ดังนั้น นักการเมืองเก่าๆ ก็ว่าไป ซึ่งอยากให้มีนักการเมืองรุ่นใหม่เข้ามา
เมื่อถามว่านักการเมืองรุ่นเก่าควรจะวางมือใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่ทราบ ต้องถามนักการเมือง เมื่อถามอีกว่า ควรเป็นนักการเมืองกลุ่มไหน พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า กลุ่มอย่างสื่อไง

เมื่อถามต่อไปว่า นายกฯ​ จะเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ได้หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ไม่รู้ ผมจะไปรู้ได้ยังไง” พร้อมหันไปถามผู้สื่อข่าวว่า “นายกฯ เป็นได้หรือไม่ ก็แล้วแต่สื่อมวลชน แล้วแต่ประชาชนจะเห็นด้วยหรือไม่”

ส่วนกรณีนายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานเครือข่ายประชาชนปฏิรูป ประกาศตั้งพรรคการเมืองเพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ คนนอกนั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ผมไม่รู้ เพราะผมไม่ใช่ไพบูลย์ ตอบไม่ได้”


เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า เห็นด้วยหรือไม่จะให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ คนนอก พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ก็เห็นด้วย หากประชาชนเห็นด้วย เพราะประชาชนเท่านั้นที่จะให้คำตอบนี้ ผมไม่มีความสำคัญ ผมจะไปตอบคนเดียวว่า นายกฯ เป็น เป็นไปไม่ได้”

ผู้สื่อข่าวถามว่า พร้อมที่จะเป็นกองหนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ในการสนับสนุนอนาคตหรือไม่ พลอ.ประวิตร ถามกลับว่า กองหนุนยังไง คือใคร จะทำอะไร ยังไม่รู้

เมื่อถามว่า อนาคตหาก พล.อ.ประยุทธ์เล่นการเมืองต่อหรือนั่งนายกฯ คนนอกต่อ พร้อมที่จะช่วยงานนายกฯหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ก็ยังไม่ถึงเวลานั้น นายกฯ จะเป็นหรือไม่ ก็ไม่รู้ ซึ่งจะไปคาดการณ์เผื่อไว้ไม่ได้

เมื่อถามว่า ในฐานะที่รู้ใจกันหลายเรื่อง พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นนักการเมืองเต็มตัวได้หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า แล้วเป็นได้หรือไม่ ถ้าได้ก็เอาตามที่สื่อว่า ซึ่งหากเป็นนักการเมืองแล้วมีการตรวจสอบ ก็ตรวจสอบไป ไม่เป็นไร

คำประกาศ จาก ส.ส.ภาคอีสาน พลัง “พื้นฐาน” ของพรรคเพื่อไทย

 คำประกาศ จาก ส.ส.ภาคอีสาน พลัง “พื้นฐาน” ของพรรคเพื่อไทย


การเคลื่อนไหวของ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ในวันที่ 10 มกราคม มีความสำคัญและทรงความหมาย
เท่ากับฉาย “เงาสะท้อน” ในทาง “การเมือง”

แม้จะมีคำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับที่ 57/2557 ห้ามเคลื่อนไหวในทางการเมืองดำรงอยู่ แต่ก็อาศัยเงื่อนไขของขนบธรรมเนียมประเพณี

เนื่องจากเป็นการเดินทางมาอวยพรปีใหม่

เหมือนๆ กับคณะของ คสช.คณะของรัฐบาล ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เดินทางเข้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ แล้วก็ได้ ส.ค.ส.ว่าด้วย “กองหนุน” ติดมือมา

อดีต ส.ส.อีสานก็มี “เป้าหมาย” เช่นเดียวกัน

เป้าหมาย 1 ของอดีต ส.ส.อีสาน ก็คือ การประกาศความรัก ความภักดี ต่อพรรคเพื่อไทย

“ขอมอบให้เพื่อไทยทั้งชีวี
จะสิ้นลมตรงนี้ก็ยอมตาย”

ขณะเดียวกัน ไม่เพียงแต่จะอวยพรให้กับคณะผู้รักษาการในตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคที่มี
พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ เป็นผู้นำเท่านั้น


1 อดีต ส.ส.จำนวนหนึ่งยังเดินทางไปอวยพรปีใหม่และขอพรทั้งจาก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ นายเสนาะ เทียนทอง

2 คนนี้ดำรงอยู่อย่างเป็น “สัญลักษณ์”

เพราะ นายเสนาะ เทียนทอง กับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เคยรวมพลังกระทั่งครองความเป็นใหญ่ในภาคอีสานจากการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2539

ณ วันนี้ 2 คนนี้ก็ยังมี “ใจ” ให้กับพรรคเพื่อไทยอย่างเต็มเปี่ยม

การแสดงออกของอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย จึงเท่ากับเป็นการแสดงออกในเชิง “สัญลักษณ์”

เป็นการยืนยันและส่ง “สาร” ในทางการเมือง

อย่างน้อยทำให้รับรู้ว่า ไม่ว่าจะมีการเลือกตั้งเมื่อใด พรรคเพื่อไทยยังจะวางน้ำหนักในทางการเมืองให้กับภาคอีสานอย่างไม่แปรเปลี่ยน

จำนวน ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยจะต้องมาจากภาคอีสานอย่างเป็นด้านหลัก

ประสานกับภาคเหนือและภาคกลาง

วิพากษ์ 4 เกณฑ์ คสช. แก้ใช้ ม.44 พร่ำเพรื่อ

วิพากษ์ 4 เกณฑ์ คสช. แก้ใช้ ม.44 พร่ำเพรื่อ


หมายเหตุ – ความคิดเห็นของนักวิชาการและนักการเมือง กรณีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกมาเน้นย้ำและทบทวนการใช้อำนาจตามมาตรา 44 โดยให้ยึดหลัก 4 ประการ คือ 1.ต้องเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศ 2.ต้องเกี่ยวกับการรักษาความมั่นคง 3.ต้องเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยให้กับสังคม และ 4.ต้องการใช้แก้ปัญหาเศรษฐกิจนั้น

ชูศักดิ์ ศิรินิล
ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรค พท.
กรณีที่ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุจะใช้มาตรา 44 เท่าที่จำเป็น แสดงว่าสิ่งที่ใช้มาเป็นอย่างที่เราวิจารณ์ไป ว่าคุณใช้มาตรา 44 มั่วเหลือเกิน ทั้งที่เงื่อนไขของการใช้มาตรานี้รัฐธรรมนูญก็เขียนไว้ชัดเจนว่าเพื่อความสามัคคีปรองดอง เพื่อแก้ปัญหาความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมือง หรือต้องการปฏิรูปเป็นต้น จะเห็นว่าการใช้ในอดีตที่ผ่านมา เช่น ใช้แก้ปัญหารถกระบะ ใช้แก้ปัญหาราชการ ใช้แต่งตั้งโยกย้าย ซึ่งไม่เข้าเกณฑ์ที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้เลย ทั้งนี้ การใช้ในอดีตที่ผ่านมาไม่มีใครจะตรวจสอบได้ ก็ใช้ไป คิดว่าง่ายดี สะดวกดี แต่ท้ายที่สุดคิดว่าเป็นการแสดงให้เห็นถึงการพิกลพิการของกฎหมาย ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว เมื่อรัฐธรรมนูญประกาศใช้แล้ว เมื่อมีองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดอำนาจหน้าที่ไว้แล้ว เช่น เรื่องที่เป็นปัญหาเขาก็บอกไว้แล้วว่าให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นผู้ตรากฎหมาย ถ้าจะแก้ไข เปลี่ยนแปลง ปรับปรุงก็ให้ สนช.ทำกฎหมาย แต่คุณก็ใช้มาตรา 44 ก็แปลว่าคุณใช้พร่ำเพรื่อไม่ถูกต้องเลย
ทั้งนี้ ทางที่ถูกที่ควรคือ เมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแล้ว คุณไม่ควรใช้มาตรา 44 เลย เพราะมาตรา 44 นั้น เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ใช้มาตรา 17 ซึ่งเป็นอำนาจของกฎหมายเผด็จการ เมื่อเรามีรัฐธรรมนูญแล้ว เพื่อความถูกต้องชอบธรรม ไม่ควรจะใช้เลย แต่ถ้าอยากจะใช้ ต้องใช้ในกรณีที่ไม่ได้เขียนให้อำนาจหน้าที่อะไรไว้กับองค์กรอื่น เช่น เขาเขียนให้อำนาจหน้าที่กับสภาไว้ คุณจะใช้ไม่ได้ เมื่อสภาตรากฎหมายขึ้น มีการประกาศใช้อย่างถูกต้อง วันดีคืนดีคุณใช้อำนาจของคุณคนเดียวไปยกเลิกมาตรานั้น มาตรานี้ ถามว่าท้ายที่สุดสภาจะมีไว้ทำไม ดังนั้น ผมจึงเห็นว่า ดีที่สุดไม่ควรจะใช้เลย


ผศ.ดร.จันทจิรา เอี่ยมมยุรา
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ไม่ต้องมีหลักการก็ได้ เพราะหลักการที่ว่านั้นกว้างมาก มันไม่ได้ทำให้การใช้อำนาจตามมาตรา 44 (ม.44) ของนายกรัฐมนตรีนั้นแคบลงไปแต่อย่างใด เพราะเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องความมั่นคง ความปลอดภัย ครอบคลุมทุกเรื่องแล้ว แล้วจะเป็นหลักการตรงไหน ไม่เข้าใจ มันครอบคลุมจนเราไม่อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นหลักการหลักเกณฑ์ในการควบคุมจำกัดการใช้อำนาจตาม ม.44 ที่แตกต่างไปจากเดิม
ส่วนที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่า ผลในทางตุลาการของ ม.44 จะใช้ในการตัดสินคดีได้ แต่ยืนยันว่าไม่ไปก้าวก่ายและยุ่งเกี่ยวกับฝ่ายตุลาการแต่อย่างใด ฟังแล้วก็ดูดี อย่างน้อยนายกฯก็พยายามจะบอกว่า ถ้าจะมีการขัดแย้งกันระหว่างการใช้อำนาจของ คสช.กับประชาชน ก็ยังมีองค์กรตุลาการที่เป็นหน่วยที่ไม่อยู่ภายใต้อำนาจ คสช.
แต่ถ้านายกฯบอกว่าอำนาจของคำสั่งตาม ม.44 นั้นมีอำนาจในทางนิติบัญญัติ มันก็จบแล้ว นายกฯไม่จำเป็นต้องออกตัวเลยว่าไม่ได้ไปแทรกแซงอำนาจตุลาการ เพราะอำนาจตุลาการใช้ภายใต้อำนาจนิติบัญญัติ ตุลาการเขาไม่ได้สร้างกฎหมายของเขาเอง เขาเป็นผู้ใช้กฎหมายตามที่อำนาจนิติบัญญัติหรือฝ่ายบริหารได้ตราขึ้น
ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องพูดเลย เพราะองค์กรตุลาการต้องทำงานภายใต้กฎหมาย อันนี้เป็นการยอมรับเลยว่าการใช้อำนาจตาม ม.44 เขียนกฎหมายอีกกลุ่มหนึ่งขึ้นมา แล้วอำนาจตุลาการก็จำเป็นต้องใช้บังคับ เพราะเทียบเท่านิติบัญญัติ
ผลสุดท้ายก็คือฟังดูดีเท่านั้นเอง แต่ผลจะเป็นอย่างไรอยู่ที่ปลายปากกาท่านอยู่แล้ว เพราะอำนาจตุลาการต้องปฏิบัติตามกฎหมาย อันนี้เป็นการพูดโดยยังไม่วิเคราะห์การทำงานขององค์กรตุลาการมากนัก ละไว้ก่อน
ดูตามข้อเท็จจริง คิดว่าวันนี้เรารู้อยู่แล้วว่าสภาพเศรษฐกิจของบ้านเราเป็นอย่างไร โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจฐานราก ฉะนั้น ที่บอกว่าใช้ ม.44 สำหรับแก้ปัญหาเศรษฐกิจปัญหาปากท้อง ความเข้าใจของคนใช้กฎหมายใช้อำนาจอาจมีความรู้สึกว่าตัวเองใช้อำนาจเพื่อแก้ปัญหา เพื่อไม่ต้องทะเลาะกัน เราดูตามข้อเท็จจริง เราก็รู้ว่าตอนนี้เศรษฐกิจฐานรากมีปัญหาเยอะมาก ตามเสียงที่ออกมาจากสื่อมวลชน
เพราะฉะนั้นแม้ว่าผู้ใช้อำนาจอาจจะมีเจตจำนงที่อยากแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แต่ผลสุดท้ายออกมามันก็ไม่ได้แก้ กลับคิดว่าการใช้อำนาจหลายครั้งไปซ้ำเติมประเด็นปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การใช้อำนาจยกเว้นกฎกระทรวงที่พูดถึงการวางผังเมืองรวม กฎกระทรวงออกมาก่อน เมื่อมีประกาศผังเมืองรวมในพื้นที่ใด การประกอบกิจการในพื้นที่จะต้องเป็นไปตามผังเมือง ส่งผลให้กิจการบางอย่างทำไม่ได้ ก็มีการใช้อำนาจตาม ม.44 มายกเว้นกฎกระทรวง อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นการใช้อำนาจตาม ม.44 เพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมไหม
ส่วนช่วงเวลาที่เหมาะสมในการยกเลิก ม.44 นั้น คิดว่ายังไม่สามารถตอบได้ในเวลานี้ เราทำได้แต่เพียงฟังแล้วก็ดูการกระทำมากกว่า อย่างที่บอกไปว่าผู้ที่มีอำนาจเขามีความตั้งใจอย่างนี้ แต่ผลออกมาจะเป็นอย่างไร ต้องดูเป็นรายกรณีไป


แฟ้มภาพ

วิรัตน์ กัลยาศิริ
หัวหน้าคณะทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)
มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ต้องทำเพื่อ 4 วัตถุประสงค์ 4 ประการ คือ 1.ต้องเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศ 2.ต้องเกี่ยวกับการรักษาความมั่นคง 3.ต้องเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยให้กับสังคม และ 4.ต้องการใช้แก้ปัญหาเศรษฐกิจ จะใช้มาตรา 44 ต้องเพื่อ 4 วัตถุประสงค์นี้เท่านั้น ที่รัฐบาลแถลงมาจึงถูกต้องแล้ว และเนื่องจากเป็นกฎหมายพิเศษจึงต้องใช้เท่าที่จำเป็น และเห็นด้วยที่หากจะใช้ในระยะยาวต้องออกกฎหมายเป็นพระราชบัญญัติหรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) เสียให้ถูกต้อง โดยผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รวมทั้งนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. ได้ออกมาแถลงยืนยันว่า มาตรา 44 ตามรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ซึ่งแม้รัฐธรรมนูญ 2560 ยังเขียนให้มีผลบังคับอยู่ แต่ไม่สามารถใช้มาตรา 44 ดังกล่าวแก้รัฐธรรมนูญ ก็คือ มาตรา 44 เล็กกว่า หรืออยู่ภายใต้บังคับของรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งแปลว่า คำสั่งตามมาตรา 44 ไม่อาจจะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ 2560 ได้
ทั้งนี้ มาตรา 44 ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2557 ออกโดย คสช. แต่รัฐธรรมนูญ 2560 ยกร่างโดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ผ่านประชามติจากประชาชนของประเทศไทยแล้ว จุดสำคัญที่สุดคือ ทรงโปรดเกล้าฯพระราชทานแล้ว

นอกจากนั้นยังมีจุดที่สุ่มเสี่ยงตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 53/2560 คือ การสร้างภาระเกินจำเป็นให้กับสมาชิกพรรคการเมืองทุกพรรคทั่วประเทศประมาณ 4,000,000 คน ซึ่งการที่จะไปยืนยันความเป็นสมาชิกพรรคของแต่ละคนได้นอกจากมีใบยืนยันแล้ว จะต้องไปพบกับหน่วยงานของรัฐประมาณ 20 หน่วยงาน เพื่อให้แต่ละหน่วยงานยืนยันว่า ตนมีคุณสมบัติไม่ขัดกับระเบียบคุณสมบัติของสมาชิกพรรคการเมือง และคำสั่งนี้ต้องไปยื่นกับหัวหน้าพรรคการเมืองแต่ละพรรคเท่านั้น พรรค ปชป.ซึ่งมีสมาชิกเกือบ 3,000,000 คน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคฯ จะต้องยืนรับใบยืนยันพร้อมหลักฐานว่าสมาชิกแต่ละคนไม่ขาดคุณสมบัติซึ่งเป็นเรื่องที่สร้างภาระให้กับหัวหน้าพรรคอย่างร้ายแรง
ดังนั้น คำสั่งดังกล่าวจึงสวนทางกับแนวทางการปฏิรูปพรรคการเมือง ที่ต้องการให้สมาชิกพรรคการเมืองมีส่วนร่วมและส่วนรับผิดชอบอย่างแท้จริงในการดำเนินกิจการทางการเมือง และการคัดเลือกผู้สมัครของพรรคการเมืองตามรัฐธรรมนูญนี้
คำสั่งที่ 53/2560 จึงหมิ่นเหม่ ที่จะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญจึงมีความสงสัยตามสมควรว่า จะชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะฉะนั้นวิธีแก้ปัญหานี้ง่ายนิดเดียว คือ ผู้มีอำนาจยกเลิกคำสั่งที่ 53/2560 แล้วให้ใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งให้อำนาจคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่จะขยายเวลาได้ถึง 3 ปี ได้อยู่แล้ว
รวมทั้งขอให้ คสช.พิจารณายกเลิกคำสั่งที่ 57/2557 ให้พรรคการเมืองสามารถประชุมเพื่อเลือกกรรมการบริหารพรรค ประชุมเพื่อแก้ไขข้อบังคับ และประชุมเพื่อรับรองอุดมการณ์ของพรรคเท่านี้เอง ทุกอย่างก็สามารถเดินหน้าต่อไปได้แล้ว ซึ่ง คสช.สามารถออกประกาศกำหนดห้ามวิธีการประชุมใดใดที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคง หรือการกระทำใดๆ อันเป็นการบ่อนทำลายความสงบเรียบร้อย คสช.ก็สามารถออกคำสั่งห้ามให้ชัดเจนได้อยู่แล้ว
เพราะตอนนี้ยังมองไม่เห็นว่า การประชุมเลือกหัวหน้าพรรค การประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรค และการประชุมเพื่อกำหนดแนวนโยบายของพรรคจะไปกระทบกับความมั่นคง หรือเป็นการบ่อนทำลายความสงบของประเทศแต่อย่างใด


พนัส ทัศนียานนท์
อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ผมไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารอยู่แล้ว อำนาจนี้เกิดขึ้นเนื่องจากการรัฐประหาร เพราะฉะนั้นการรัฐประหารเท่ากับการเข้ามายึดอำนาจการปกครองบ้านเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนตามหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นสิ่งนี้มันผิดอยู่แล้ว การที่มี ม.44 ขึ้นมา เป็นการตามรอยวิถีปฏิบัติซึ่งเคยมีมาแต่เดิม สมัยบ้านเมืองอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองแบบรัฐประหาร
ประวัติศาสตร์ของ ม.44 ผมคิดว่าในปี พ.ศ.2500 เมื่อมีการยึดอำนาจ สมัยนั้นเรียกว่าการปฏิวัติ โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในธรรมนูญการปกครองสมัยนั้นคือเมื่อยึดอำนาจโดยการปฏิวัติแล้ว ก็ยกเลิกรัฐธรรมนูญที่ใช้ในขณะนั้น แล้วประกาศสิ่งที่เรียกว่าธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร ไม่ใช่เรียกว่ารัฐธรรมนูญ มีอยู่ไม่กี่มาตรา มีมาตราหนึ่งที่สำคัญเรียกว่า ม.17
ต่อมาภายหลังมีการปฏิวัติ รัฐประหาร การปฏิรูป หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ทั้งหมดคือการทำรัฐประหาร ถึงมีการให้อำนาจสิ่งนี้ ซึ่งได้เป็นหัวหน้าคณะในการเข้ามายึดอำนาจ ซึ่งยุคปัจจุบันคือ คสช.
หลังจากนั้นเขาต้องการมีอำนาจในการจัดการบ้านเมืองอย่างเด็ดขาด เลยประดิษฐ์ ม.17 จนมาเป็น ม.44 ตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 สมัยเขาทำรัฐประหาร 4 ปีที่แล้ว ขณะนี้มันเข้ามาอยู่ใน รธน.ฉบับ 2560
ถามว่าในรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง มี ม.44 ปรากฏอยู่หรือไม่นั้น ไม่มี ตอนนั้นเคยพยายามเอา ม.7 ที่คล้ายกับว่าในเมื่อรัฐธรรมนูญไม่มี ก็เลยเขียนไว้ ให้ถือประเพณีการปกครองบ้านเมือง คือให้ใช้อำนาจพิเศษในการเข้าจัดการปัญหาบางอย่าง เสมือนเป็น ม.44 แต่ไม่สำเร็จเพราะมีคนไม่เห็นด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันมีข้อจำกัดหลายอย่างตามระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ซึ่งจะใช้อำนาจแบบนี้ไม่ได้ เพราะการใช้ ม.44 เสมือนการให้ผู้มีอำนาจในการใช้มาตรการนี้มีอำนาจรวมกันอยู่ทั้งหมดในตัวเอง คืออำนาจนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ซึ่งถ้าเทียบกับสมัยโบราณก็เรียกดาบอาญาสิทธิ์
ในทางหลักนิติศาสตร์ก็เกิดปัญหาขึ้นมาว่าอำนาจตาม ม.44 มันชอบด้วยหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยหรือไม่
ซึ่งคำตอบก็คือไม่ชอบ เพราะระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยแยกอำนาจออกเป็น 3 อำนาจ คือ นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ และต้องมีการคานและดุลอำนาจกันด้วย
และผมไม่เห็นด้วยกับ ม.44 อยู่แล้ว เพราะนี่เป็นการให้อำนาจคนคนเดียวมีอำนาจเด็ดขาด เป็นเรื่องอันตราย ถ้าหากผู้ใช้อำนาจใช้ไปโดยปราศจากความระงับยับยั้ง ผมไม่ใช้คำว่ามีคุณธรรมหรอก ในทางความคิดความอ่านของตัวเอง มันอาจใช้ไปโดยอคติต่างๆ มันเกิดปัญหาร้ายแรงได้ ไม่มีอะไรแก้ได้ ไปตรวจสอบอะไรก็ไม่ได้ เนื่องจากเขียนห้ามไว้ทั้งหมด การใช้อำนาจนี้ใช้ไปเถอะ ใช้อย่างไรก็ได้ ถือเป็นการชอบด้วยกฎหมายทั้งหมด เป็นเรื่องที่ผิดอยู่แล้ว ผิดในแง่ตรรกะด้วย การใช้อำนาจในตัวเขาเองมันไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะเป็นอำนาจที่ชอบด้วยกฎหมายได้อย่างไร และไม่มีการใช้ ม.44 อย่างถูกต้องเหมาะสมด้วย ถ้าขึ้นต้นมาผิดก็ผิดทั้งขึ้นต้นด้วยการรัฐประหารก็ผิดกฎหมายอยู่แล้ว
ส่วนประเด็น 4 หลักการที่บอกมา แสดงว่าที่ใช้ไปคราวที่แล้วใช้ไม่ได้หรือ ไม่เข้ากับ 4 ข้อนี้ คำถามของผมก็คือใครเป็นคนไปตัดสิน แล้วมันตรวจสอบไม่ได้ เอาไปฟ้องใครไม่ได้ หรือจะบอกว่าที่ออกหลักการเหล่านี้เท่ากับเป็นการยอมรับโดยปริยายว่าให้นำไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบได้อย่างนั้นหรือไม่
ในเมื่อให้ใช้ได้ใน 4 หลักการนี้ นั่นต้องทำให้เกิดการตรวจสอบได้ว่ามันถูกต้องทั้ง 4 หลักการนี้หรือไม่ ถ้ายอมรับโดยปริยายผมไม่เห็นด้วย เพราะฉะนั้นถ้าหลักการบอกว่าโอเค การใช้อำนาจ ม.44 มีการตรวจสอบได้ ผมเห็นด้วย

เมื่อเคลื่อนไหว 'จุดตาย' ก็ประจักษ์

   สาบาน........
          ว่านี่คือ "มนุษย์เกรด A" ผู้มีวิสัยทัศน์และมันสมองเชื่อมต่อศตวรรษที่ ๒๑ ของพรรค ๒ สัมภเวสี
            คัดสรรไว้สำหรับ
            งาน "ออกแบบประเทศ" ในรัฐสภา กับการเลือกตั้งที่จะเกิด? ก็ให้ตายเหอะ....จอร์จ
            คำถามนั้น เกิดฉับพลันกับผมจริงๆ เมื่อเห็นอดีต ส.ส.ภาคอีสานกลุ่มหนึ่ง
            ถวายตัวต่อคณะ "สายตรง ๒ สัมภเวสี" ด้วยบทกลอน ว่า
          "ชีวิตนี้ให้ใครไม่ได้แล้ว
          จะผ่องแผ้วมืดมิดไม่คิดหนี
          ขอมอบให้ 'เพื่อไทย' ทั้งชีวี
          จะสิ้นลงตรงนี้ก็ยอมตาย" 
            หลายท่านคงเห็นพร้อมผม อ้วกพร้อมผม ผ่านข่าวสารโทรทัศน์รอบค่ำวาน
            อ้วกแล้วก็ปลง...........
            ปลงกับชะตา-อนาคตชาติบ้านเมือง!
            รัฐบาล คสช.เข้ามา ปรับนั่น-ล้างนี่ จริงมั่ง-หลอกมั่ง สลับกันไป ตั้ง ๓-๔ ปี
            นึกว่าผีห่าซาตานจะตายซากหรือสูญพันธุ์กันไปบ้าง ถึงไม่ตาย ก็น่าจะสำนึกอะไรดีๆ ได้บ้าง ตายไปหนอนจะได้ไม่รังเกียจที่จะไชซาก
            แต่เปล่าเลย!
            ริยำตำเมืองของ ๒ สัมภเวสีตัวผู้-ตัวเมีย นั้น ไม่ทำให้ "ต่อมสำนึก" มนุษย์พวกนี้ "คิดได้-คิดดี" อะไรขึ้นมาเลย
            เลือกตั้งที่จะมีขึ้นปลายปี ส่วนใหญ่คาดหมายจะได้เห็น "คนมีความคิดดี" เข้าระบบ
            โดยเฉพาะคนมีโลกทัศน์สรรค์สร้างทาง "ปรับปรุง-เปลี่ยนแปลง" ให้สอดคล้องทิศทางศตวรรษใหม่ เข้ามาในรัฐสภา
            แต่พอ "เปิดตัว-เปิดหน้า"
            โอ้แม่เจ้า......
            "ผีเน่า-โลงผุ" มากันครบ!
            "คนคิดดี" น่ะ มันคนละประเภทกับ "คนดี" อย่างที่เข้าใจกัน
            "คนดี" อย่าไปเอามาลงการเมือง
            เหมือนทอง ๑๐๐% มันเหลวป๊อดแป๊ด ทำอะไรไม่ได้ มีเอาไว้ดูสวยๆ เท่านั้น!
            "คนคิดดี" นี่แหละ ที่สังคมต้องการให้เข้ามาเป็น "วิศวกรการเมือง" เพื่อร่วมสร้างสังคมประเทศสู่ศตวรรษใหม่
            เพราะคนคิดดี เหมาะกับการงานทุกอย่าง ด้วยรู้จักแยกแยะและจัดสรรในแต่ละธาตุให้เกิดสมดุลได้ 
            เมื่อถึงคราวจะใช้.........
            ก็สามารถใช้ "ความคิดดี" นำแต่ละธาตุนั้น มาผสมในอัตราส่วนลงตัวทางปฏิบัติ
            ให้เกิด "จุดสร้าง-จุดทำลาย" ตามเงื่อนไขสถานการณ์!
            ฉะนั้น ใครจะตั้งพรรค หรือพรรคไหนเตรียมคนลงเลือกตั้ง ต้องรู้ถึง "ความต้องการ" สังคมในเวลานี้ด้วย
            "เก่า-แก่" แค่อายุ ขอเก่าอยู่ในหมวดลายคราม.........
            ตัว "กึ๋น" เป็นตัวชี้ขาด
            ว่าเป็นสินค้าตลาดเลือกตั้งต้องการ หรือเขี่ยทิ้ง!?
            "คนคิดใหม่" กับ "นโยบายใหม่" ที่เข้าตา-เตะใจมหาชนเท่านั้น จะเป็นตัวตัดสินว่า
            พรรคไหน จะได้เข้าสภา ทำหน้าที่นิติบัญญัติและบริหาร!
            ไอ้ประเภท "ไดโนเสาร์" ประจำถิ่น ที่หลงตัวว่า "ประชาชนของผม...." เลือกตั้งวันไหน ก็ได้วันนั้นน่ะ
            แล้วจะรู้.........
            ว่า "คนชื่อตู่" ตัวจริง-เสียงจริง ใหม่การเมืองจริง แต่ "แสบจริง"!!
            พวก "นักเลือกตั้งตายซาก" มันคิด-มันทำอยู่อย่างเดียว คือทำทุกอย่าง "แลกคะแนน" ในเขตเลือกตั้ง เฉพาะมื้อ-เฉพาะคราว
            ๑๐-๒๐ ปี มันย้ำคิด-ย้ำทำอยู่อย่างนั้น.......
            ในขณะที่ "นายกฯ ประยุทธ์" ประกาศ "ยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี"
            แทนที่จะ "ได้คิด" แล้วสะดุ้ง
            ว่านายกฯ เผด็จการทหารคนนี้ มันมาแนวลึก คนอื่นคิดเฉพาะมื้อ-เฉพาะคราว แต่เขาคิด "ทางยาว" เป็นอนาคตยั่งยืน
            เมื่อ "คิดทางยาว"...........
            หมายถึง "เมล็ดเพาะ-หน่อพันธุ์" ตลอดเส้นทาง ก็จะค่อยๆ ทยอยแทงยอด-ขยายหน่อ-แตกกอ และเติบใหญ่ตามตลอดเส้นทางยาวนั้นไปเรื่อยๆ
            แล้วคิดสิ...คิด!?
            เปลี่ยนจากคิดหัวขวด เขียนกลอน "เลียตีน-ขายตัว"
            ไปเป็นคิดจากวงแคบ "การเมือง-เพื่อกินเมือง" กว้างออกไปเป็น "การเมือง-เพื่อสร้างบ้านสร้างเมือง"
            ก็จะ "ตาสว่าง" โดยพลัน.........
            ว่าการเมืองทางยาว ด้วยยุทธศาสตร์ ๒๐ ปี นั้น คือการเมืองบ่มเพาะ ให้โตยั่งยืน อยู่กินยั่งยืน ด้วย "รากแก้ว"
            ไม่ใช่ตัวนายกฯ ประยุทธ์โต......
            อีก ๒๐ ปี ท่านจะอยู่ดูโลกอันโศภินถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้?
            แต่หมายถึงว่า.......
            "วิถี-ชีวิต-ความเป็นอยู่" ในมิติ "รากฐานเศรษฐกิจ คืออนาคตประเทศและคุณภาพชีวิตประชาชน"
            มันเติบโต!
            เวลา ๒๐ ปี เยาวชน ลูกๆ หลานๆ ที่เรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาลวันนี้
            ก็ค่อยๆ โตคลอเคลียไปกับยุทธศาสตร์สร้างชาติ ๒๐ ปีของประยุทธ์ไปเรื่อยๆ
            อีกซักแค่ ๘-๑๐ ปี "เมล็ดเพาะ-หน่อพันธุ์" ในรายทางยาว ก็จะทยอยเติบใหญ่แล้ว
            "จากรุ่น-สู่รุ่น" รับรู้คุณูปการ "เศรษฐกิจ-สังคมใหม่" อันได้มาจาก "การเมือง-สร้างบ้านสร้างเมือง" ไปด้วยกัน
            ทำเป็นเล่นไป อีอีซี เมืองใหม่ เกิด, รถไฟฟ้าความเร็วสูง เกิด, รางคู่รถไฟ เกิด, เขตเศรษฐกิจพิเศษ ๕-๖ แห่ง เกิด
            เอาแค่นี้ก่อน........
            อย่าว่าแต่ ๕ ปี ต่อจากนี้ "ต้องประยุทธ์" เลย
            ไปจนตะบันน้ำกินแล้วบอกว่าพอ เผลอๆ ชาวบ้านบอก "พอไม่ได้" ต้องเป็นไปจนตายนั่นแหละ!
            ป๋าเปรมบอกว่า "ตู่ใช้กองหนุนไปเกือบหมดแล้ว"
            ความจริง "กองหนุน" ของนายกฯ เป็นระบบรีไซเคิล คือปลดจากกองหนุน ไปอยู่ในหมวด "กองเกิน"
            "กองเกิน" เกินไปเป็น "ซาก" ก็มีเกิดใหม่ทดแทน หมุนเวียนไปเรื่อยๆ และนับวันจะมากขึ้น
            มากทั้งปริมาณและคุณภาพ พูดได้ว่า "เหนือคาดหมาย" และน่าสะพรึงกลัว
            กับศักยภาพ "กองหนุน" ของนายกฯ ที่แอบบ่มเพาะไว้ และปรากฏโฉมเป็น "กองกำลังหลัก" ให้ประจักษ์กลางทำเนียบฯ เมื่อวาน
            ไม่เชื่อก็ดูซี........
            "สวัสดีปีใหม่ 2561 ผมขออวยพรให้นายกฯ และครอบครัวมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง เป็นที่รักของประชาชนทั้งประเทศ ผมดูนายกฯ ทุกวันศุกร์ นายกฯ คงเหนื่อยนะครับ เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ พักผ่อนเยอะๆ กินผักผลไม้เยอะๆ นะครับ อยู่กับผมนานๆ นะครับ รักนายกฯ ครับ”
          ด.ช.มูฮัมหมัดอาราฮัน อาแว
          นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านท่าสาป จ.ยะลา
          --------------------
          ถึงลุงตู่
          สวัสดีครับลุงตู่ สบายดีหรือเปล่าครับ ช่วงนี้อากาศหนาวแล้วนะครับ ขอให้คุณลุงตู่ดูแลสุขภาพด้วยนะครับ เพราะว่าคุณลุงตู่ทำงานหนัก ต้องดูแลคนทั้งประเทศ ผมโตขึ้น ผมอยากรับใช้ชาติเหมือนคุณลุงตู่ครับ
          ด้วยความเคารพอย่างสูง
          น้องเอิร์ธ
--------------------------------
          สวัสดีปีใหม่ค่ะ
          หนูอยากจะบอกลุงตู่ว่า ลุงตู่อย่าท้อถอยนะคะ ลุงตู่ต้องดูแลประเทศชาติและประชาชนอย่างพวกหนูต่อไปนะคะ หนูอยากจะบอกลุงตู่ว่า หนูดูและฟังคำอบรมของลุงตู่ทุกครั้ง หนูรู้ว่าลุงตู่เหนื่อย แต่ลุงตู่ต้องสู้ต่อไปนะคะ
          พวกเรารักลุงตู่ค่ะ
            ครับ...เหล่านี้ แค่ ๑ ในกว่า ๑,๐๐๐ การ์ดอวยพรจาก "เมล็ดพันธุ์ใหม่" คือเด็กนักเรียนจากทั่วประเทศ
            เขียนข้อความด้วยลายมือ วาดรูปนายกฯ ประกอบ เป็นการ์ดอวยพรปีใหม่ ส่งให้นายกฯ
            ไปอ่านได้ เขาติดไว้ที่บอร์ดทำเนียบรัฐบาลให้ดูในวันเด็กที่จะถึงนี้
            แต่ละหยดคิดจากใจเด็ก "ใส-สะอาด-ชื่นใจ"
            ที่สำคัญ "สบายใจ" ว่าหน่อใหม่ล้วนสมบูรณ์คุณภาพ นำพาประเทศชาติสืบต่อจากรุ่น-สู่รุ่น "ไทยรุ่ง" แน่นอน!
            สัมผัสความคิด-ความอ่าน "กองหนุน" ลุงตู่ ที่จะโตเป็น "กำลังหลักชาติ" ในอนาคตนี้แล้ว ก็ถึงบางอ้อ.......
            ที่นายกฯ บอก ต่อไปนี้จะอารมณ์ดี ไม่บึ้ง ยิ้มตลอด
            ก็อย่างนี้นี่เอง!