PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2561

นักการเมือง

UPDATE: ประยุทธ์ประกาศครั้งแรก “ผมไม่ใช่ทหาร เป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหาร”
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. แถลงหลังประชุมคณะรัฐมนตรีนัดแรกของปี 2561 โดยช่วงท้ายของการแถลงข่าว พลเอก ประยุทธ์ กล่าวออกมาเองโดยไม่มีนักข่าวถามนำว่า
.
“วันนี้เป็นวันแห่งความสุข แล้วก็เป็นวันแห่งรอยยิ้ม ผมก็ยิ้มเยอะๆ หน่อย แต่ก่อนผมยิ้มแล้วหุบเร็ว เพราะผมเป็นคนไม่ค่อยยิ้มเท่าไร หน้าผมเป็นอย่างนี้ ตอนนี้ก็ต้องเปลี่ยนแปลง เพราะผมไม่ใช่ทหาร เป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหาร มันก็ติดนิสัยทหารอยู่บ้าง”
.
ทั้งนี้ตลอดการแถลงข่าว พลเอก ประยุทธ์ พยายามย้ำประเด็นเพื่อสลัดภาพลักษณ์ทหารหลายครั้ง โดยช่วงหนึ่งของการแถลงข่าว พลเอก ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้รัฐบาลผมไม่ใช่ทหาร ถึงผมจะมาจากทหาร แต่ผมก็ไม่ใช่ทหารแล้ว ออกจากทหารมาตั้ง 3 ปีแล้วก็อย่ามองว่าอะไรก็ทหารๆ ต้องไปมองว่าเป็นความสร้างความเกลียดชังให้ทหารหรือเปล่า เพราะวันนี้เราก็มาทำตรงนี้ แล้วก็ไม่ใช่ทหารเป็นรัฐบาลทั้งหมด ผมก็มี ครม. หลายส่วน นักวิชาการก็มี ผมไม่ใช่ทหาร ถ้าทหารก็ต้องไปสั่งทหารด้วยกัน ผมสั่งอย่างนั้นไม่ได้ 
ส่วนการเลือกตั้งนั้น ผมไม่อยากให้ใช้คำว่าเป็นการต่อสู้ทางการเมือง เป็นเรื่องของทหารต้องการมีอำนาจต่อ ผมเบื่อการใช้อำนาจ เพราะผมเป็นทหารมา 30-40 ปี ผมใช้อำนาจในการปกครองบังคับบัญชาลูกน้องมาตลอด การมีอำนาจมีไว้ใช้ปกครองทหารยามศึกสงคราม ซึ่งจำเป็นต้องมีระเบียบวินัย
แต่ตอนนี้ผมเป็นนายกฯ ซึ่งกำกับดูแลการทำงาน มอบนโยบายต่างๆ ผมไม่ได้ใช้ความคิดแบบทหาร ความคิดแบบทหารมีอย่างเดียวที่ผมใช้คือการขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติให้เกิดขึ้นให้ได้
.
ส่วนประเด็นคำถามที่ว่ายังยืนยันการเลือกตั้งว่าเป็นไปตามโรดแมปหรือไม่?
พลเอก ประยุทธ์ ตอบว่าทุกอย่างเป็นไปตามโรดแมปว่าอยู่ที่กฎหมายลูก ซึ่งเหลืออีกสองฉบับคือ พ.ร.ป. การเลือกตั้ง ส.ส. และ พ.ร.ป. การได้มาซึ่ง ส.ว. ซึ่งเสร็จเมื่อไรก็เลือกตั้งเมื่อนั้น จะบอกว่าผมไปดึงเรื่อง ยืนยันว่าผมทำไม่ได้ กรรมการร่างรัฐธรรมนูญเขาก็ทำออกมาโดยความคิดเห็นของเขา หน้าที่ของใครก็ของใคร แต่ทุกคนก็ต้องรับผิดชอบร่วมกันให้บ้านเมืองสงบสุข
นายกฯ กล่าวด้วยว่า จากข้อมูลของรัฐระบุว่าสถานการณ์บ้านเมืองยังสงบอยู่ในระดับหนึ่ง แต่เพราะว่ากลุ่มการเมืองออกมาไม่ได้ เพราะกลัวกฎหมายของตน แต่ถ้าไม่มีกฎหมายเหล่านี้จะเป็นอย่างไร ที่ผ่านมาใช้กฎหมายปกติแล้วเอาไม่อยู่ ยิ่งวันนี้ในโซเชียลมีเดียก็มากมาย เพราะฉะนั้นต้องแก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้ได้ก่อนเข้าสู่การเลือกตั้ง ถ้าไม่แก้เรื่องเหล่านี้ต่อไปก็ลำบาก และผมก็ไม่รู้ว่าใครจะรับผิดชอบเรื่องเหล่านี้ เมื่อได้รัฐบาลเลือกตั้งมาแล้วจะบริหารได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ทุกอย่างมีบทเรียนมาแล้วทั้งสิ้น
.
ภาพ: ชาติกล้า สำเนียงแจ่ม

#News #TheStandardPhoto #TheStandardCo #TheStandardTH #StandUpForThePeople #ชาติกล้าสำเนียงแจ่ม

เปลี่ยน?

“วันนี้ผมต้องเปลี่ยนแปลงเพราะผมไม่ใช่ทหาร เข้าใจไหม เป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหาร มันก็ติดนิสัยทหารอยู่บ้าง แต่ท้ายที่สุดคือประชาชน และไม่ใช่ประชาชนของผม ประชาชนของประเทศไทย.."
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา, 3 ม.ค.61
ที่มา : ‘บิ๊กตู่’ไม่เหนียมประกาศเป็นนักการเมืองเต็มตัว แม้ไม่เคยคิดเป็นแต่ต้องรับผิดชอบด้วยชีวิต https://www.matichon.co.th/news/789316
----
ปีก่อน :
“ผมไม่ใช่นักการเมือง ผมไม่เคยเปิดบ้านรับใครเลย”
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา, 18 ม.ค.59
ที่มา : นายกฯ ถามสื่อไปร่วมงานปีใหม่’ยิ่งลักษณ์’ได้อะไรมาบ้าง ลั่นส่วนตัวไม่เปิดบ้านรับใคร http://www.matichon.co.th/news/5025

3 ป.....โอดดดดด !!!

3 ป.....โอดดดดด !!!
"นายกฯบิ๊กตู่" เจอหน้า บิ๊กป้อม-บิ๊กป๊อก" ก็บ่นๆ เปรยๆ เรื่องการให้ " น้องหมา " เป็นของขวัญปีใหม่ ให้เอาไปเลี้ยง ไม่ได้เป็นเรื่องผลประโยชน์อะไร....
พี่ป้อม พี่ป๊อก ก็ได้แต่ พยักหน้า ฮึๆ ....
จากนั้น นายกฯบอกกับนักข่าวว่า หมา บางแก้ว ที่สั่งซิ้อไป ยังไม่มาสักตัวเลย แต่ซิ้อแล้ว เพราะจ่ายเงินไปแล้ว แต่ถ้าใครจะเอา ก็มาจ่ายเงินซิ้อ

น้องหมา ยังไม่มา!!!

น้องหมา ยังไม่มา!!! ฉีดวัคซีน-ติดปีใหม่.....เปิดช่อง "บิ๊กป๊อก-บิ๊กฉัตร" บอก ไม่รับ
"สุนัขพันธุ์บางแก้ว" 3 ตัว ที่นายกฯ ซิ้อขณะลงพื้นที่พิษณุโลก ให้เป็นของขวัญปีใหม่ บิ๊กป๊อก บิ๊กฉัตร แต่ โดน "ศรีสุวรรณ จรรยา" ร้องว่า ผิดกม.ปปช.นั้น
นายกฯ แจงว่า ยังไม่มาสักตัวเลย แต่จ่ายเงินไปแล้ว แต่ถ้าใครจะเอา ก็มาจ่ายเงินซื้อ ไป
ทั้งนี้มีรายงานว่า สาเหตุที่ ทางผู้ขาย ยังไม่ส่งมา เพราะ นายกฯให้ไปฉัดวัคซีน ให้เรียบร้อยก่อน อีกทั้งเป็นช่วง วันหยุดยาวเทศกาลปีใหม่. จึงยังไม่ได้ส่งมา ดังนั้น พลเอกอนุพงษ์ และ พลเอกฉัตรชัย จึงยังไม่ได้รับ. และสามารถปฏิเสธที่จะไม่รับ ได้
โดย พลเอกอนุพงษ์ กล่าวว่า จะไม่ขอรับ เพราะถ้าอยากจะเลี้ยง ก็จะซื้อเอง
ส่วน พลเอกฉัตรชัย ก็บอกว่า ยังไม่ได้สุนัข และ คงไม่รับ

บางแก้ว เจอ สุนัขเจ้าถิ่น

บิ๊กตู่ ปล่อยมุข.. ..หวั่น บางแก้ว เจอ สุนัขเจ้าถิ่น "บิ๊กป๊อก-บิ๊กฉัตร" ไม่รับ ชี้ ราคาอาจไม่ถึง แต่ช่วยค่าวัคซีน ชี้ใครจะเอา ต้องจ่ายเงิน ยันรู้กม.ดี ...เรื่องของสุนัขๆ..อย่าทำเป็นเรื่องใหญ่
นายกฯยัน ตัวเองรู้กม. ให้ของขวัญเกิน 3,000 บาท ไม่ได้ ชี้ ราคาสุนัขอาจไม่ถึง แต่ตนเอง ช่วยเขา ธุรกิจเพาะเลี้ยง และค่าวัคซีน ค่าจัดส่งอะไรอีก แต่ตอนนี้ ยังไม่ได้มาสักตัวเลย แต่ถ้าใครเอา ก็ต้องจ่ายเงินผมล่ะ แล้ว รมต.เขาคงไม่รับ เพราะ ที่บ้านเขามีหมาเจ้าถิ่น อยู่ อาจเข้ากันไม่ได้. ขออย่าเอามาเป็นประเด็นเลย. ยันชี้แจงได้หมด เหน็บเป็นเรื่องของสุนัข อย่าทำเป็นเรื่องใหญ่ เผยยังไม่ได้ให้ใคร ส่วนใครจะเอา ก็ให้มาจ่ายเงิน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช.กล่าว ถึงกรณีที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ร้องป.ป.ช.ให้ตรวจสอบ การซื้อสุนัขพันธุ์บางแก้วตัวละ 6,000 บาท 3 ตัว แต่จ่ายเงิน 25,000 บาท ในระหว่างลงพื้นที่ ครม.สัญจร ที่จังหวัดพิษณุโลก ให้ พลเอก อนุพงษ์ และพลเอกฉัตรชัย ว่า ก็เป็นเรื่องของสุนัข ขออย่าให้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะผมยังไม่ได้มอบให้ใคร
และส่วนเงินที่จ่ายเกินไปนั้น หากหักลบกันไปแล้วเป็นค่าวัคซีน ค่าขนส่ง แล้วผมยังไม่ได้รับสุนัขสักตัว และสุนัขจะรอดหรือไม่ ก็ยังไม่รู้ เพราะสุนัขตัวเล็กมาก
ผมสามารถชี้แจงได้หมด และผมก็ยังไม่ให้ใคร ถ้าจะให้ใครก็ต้องนำเงินมาจ่ายด้วย เพราะรู้เรื่องของกฎหมายอยู่ ที่ให้ของมูลค่าเกิน 3,000 บาทไม่ได้
นายกฯยังกล่าวทิ้งท้ายติดตลกว่า “ท่านรองนายกฯบอกต้องไปดูสุนัขที่บ้าน ก่อนว่าจะอยู่กันได้หรือเปล่าอีก เพราะสุนัขเจ้าถิ่น ท่านเลี้ยงสุนัข กันคนละหลายตัว”

ยัน"บิ๊กตู่" ไม่ได้บอก จะเลื่อนเลือกตั้ง 61

"บิ๊กป้อม" ยัน"บิ๊กตู่" ไม่ได้บอก จะเลื่อนเลือกตั้ง 61 ยังยึดตาม โรดแมพ ชี้บ้านเมืองสงบ จะเลือกตั้งได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับประชาชนทุกคน พอใจปีใหม่ สงบ ไม่มี บึ้ม!! ฝ่ายความมั่นคง ทำงานได้ผล
พลเอกประวิตร กล่าวถึง กรณีที่ พลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ระบุว่าไม่มั่นใจว่าปลาย ปี 2561 นี้จะมีเลือกตั้งหรือไม่ว่า. นายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้ไปเปลี่ยนแปลงอะไรยังคงยึดตาม โรดแมพ
เมื่อถามว่าถ้าบ้านเมืองไม่สงบ ก็เลือกตั้งไม่ได้ ประมาณนั้นหรือเปล่า พลเอกประวิตร กล่าวว่า ก็ขึ้นอยู่กับพวกเรานะ ถ้าสงบ เพราะประชาลน ก็ต้องการความสงบ จะเห็นได้ว่า ช่วงปีใหม่ ที่ผ่านมาประชาชนให้ความร่วมมือดี บ้านเมืองสงบ ไม่มีเหตุรุนแรง เหตุร้าย หรืออระเบิดอะไร ถือว่า ฝ่ายความมั่นคง ก็ทำงานได้ผล และประชาชนร่วมมือ

นักการเมือง ที่เคยเป็นทหาร

"ผมเป็นนักการเมือง ที่เคยเป็นทหาร"
"บิ๊กตู่"พูดชัดๆเป็นครั้งแรก
"ผมเป็นนักการเมือง ที่เคยเป็นทหาร เลย ติดนิสัยทหารอยู่บ้าง. ก่อนออกตัว ผมไม่ได้อยากเป็นนักการเมืองสักวัน ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ แต่ด้วยหน้าที่ ความจำเป็น ชีวิตรับผิดชอบ เพราะผมรับผิดชอบด้วยชีวิตของผม"
พล.อ ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคสช. กล่าวว่า วันนี้เป็นวันแห่งความสุข และเป็นวันแห่งรอยยิ้ม ก็ขอยิ้มให้เยอะขึ้น
"แต่ก่อนผมยิ้ม แล้วหุบเร็ว เพราะผมเป็นคนไม่ค่อยยิ้มเท่าไหร่ หน้าผมเป็นยังงี้
วันนี้ก็ต้องเปลี่ยนแปลง เพราะผมไม่ใช่ทหาร ผมเป็นนักการเมือง ที่เคยเป็นทหาร มันก็ติดนิสัยทหารอยู่บ้าง
แต่ท้ายที่สุด ก็คือประชาชน ซึ่งไม่ใช่ประชาชนของผม แต่เป็นประชาชนของประเทศไทย และไม่ใช่ของพรรคไหน ทุกคนเป็นพลเมืองไทย"
เมื่อถามว่าอยากเป็นนักการเมืองยาวๆ เลยหรือไม่ พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า ผมไม่ได้อยากเป็นนักการเมืองสักวัน ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ แต่ด้วยหน้าที่ ความจำเป็น ชีวิตรับผิดชอบ เพราะผมรับผิดชอบด้วยชีวิตของผม"

โชคดีปีจอ

โชคดีปีจอ


แฮปปี้นิวเยียร์ สวัสดีปีจอ ขอต้อนรับ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเป็นทางการ

ปีใหม่ 2561 ถือเป็นช่วงหัวเลี้ยว หัวต่อสำคัญของการเมืองไทย

เพราะเป็นการเริ่มต้นสู่ปีที่ 4 ซึ่งเป็นปีสุดท้าย และเป็นโค้งสุดท้ายของโรดแม็ป คสช.

เท่ากับยังมีเวลาอีก 1 ปี ให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ทำงาน พิสูจน์ฝีมือ

ยังมีเวลาอีก 12 เดือน ให้ “นายกฯบิ๊กตู่” กอบกู้เรตติ้งรัฐบาลให้กระเด้งกลับสู่ระดับเดิม

ถ้าหวังจะสืบทอดอำนาจ คสช. ต่อไปยาวๆรัฐบาลต้องเร่งสร้างผลงาน ปีนี้ให้มากกว่า 3 ปีแรกรวมกัน!!

“แม่ลูกจันทร์” ถือโอกาสเริ่มต้น ปีใหม่เอาใจช่วย “นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์” ให้ประสบความสำเร็จสมดังที่หวังปอง

หวังว่าปีใหม่นี้จะเกิดการเปลี่ยน แปลงในทางที่ดีกว่าเดิม

โดยเริ่มต้นจากตัว พล.อ.ประยุทธ์เอง

ปีใหม่นี้ พล.อ.ประยุทธ์ ลั่นวาจาจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ใจเย็นขึ้น ฉีกยิ้มมากขึ้น พูดจาสุภาพเรียบร้อยขึ้น

พร้อมเปิดใจกว้างรับฟังความเห็นที่แตกต่างด้วยความอดทน

จะไม่ฉุนเฉียวเกรี้ยวกราดอีกต่อไป

ถ้าตลอดปีใหม่ (ที่ยังเหลืออีก 362 วัน) พล.อ.ประยุทธ์เปลี่ยนนิสัยตัวเองได้สำเร็จอย่างที่ตั้งใจก็เป็นเรื่องควรอนุโมทนา

“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่าปัญหาเศรษฐกิจยังเป็นโจทย์ยากที่สุดในช่วงปีสุดท้ายของรัฐบาล คสช.
เพราะ 3 ปีแรกที่ผ่านไป รัฐบาลยังปล้ำฟัดปัญหาเศรษฐกิจไม่ชนะสักที

แม้จะทุ่มเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมโหฬาร

ยังไม่สามารถพลิกเศรษฐกิจให้ฟื้นได้อย่างที่ฉายหนังโฆษณา

“แม่ลูกจันทร์” เห็นว่าในช่วงเริ่มต้นปีใหม่สมควรจะพูดถึงแนวโน้มเศรษฐกิจแง่บวกเพื่อกระตุ้นหัวใจให้แจ่มใสเบิกบาน

ปีใหม่ 2561 มีสัญญาณที่ดีว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นจากสลบอย่างชัดเจน

ปีนี้เศรษฐกิจจะขยายตัวเกิน 4 เปอร์-เซ็นต์เป็นครั้งแรกในยุครัฐบาล คสช.

มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยในปี 2561 จะกระเด้งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์

ปีใหม่นี้จะเป็นปีทองของตลาดหุ้นไทย ตั้งเป้าว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์จะทำแม็กซิมัมเบรกจาก 1,700 จุดทะลุแนวต้าน 2,000 จุดอย่างสะดวกโยธิน

รายได้จากธุรกิจการท่องเที่ยวไทยปีจอ จะเติบโตพรวดพราดจาก 2.7 ล้านล้านบาท ขึ้นไปแตะ 3 ล้านล้านบาทอย่างแน่นอน

“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าปีใหม่ 2561 จะเป็นปีที่รัฐบาลบิ๊กตู่จะใช้เงินมือเติบยิ่งกว่าทุกปี

โดยจะกระหน่ำลงทุนโครงการใหญ่ๆพร้อมกันครบวงจร

ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาล คสช. ทุบโต๊ะเปรี้ยงด้วยความมั่นใจว่าปีใหม่นี้จะมีกองทัพนักลงทุนจากทั่วโลกแห่เข้ามาลงทุนในโครงการอีอีซีกันระเบิดเถิดเทิง

รวมทั้งนักธุรกิจภาคเอกชนไทยที่หอบเงินไปลงทุนต่างประเทศกันโครมๆ ก็จะเลี้ยวยูเทิร์นกลับมาลงทุนในเมืองไทยกันอย่างพร้อมเพรียง

นี่คือแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปีใหม่ที่ใสปิ๊งยิ่งกว่าทุกปี

เอ้า...ใครยังไม่เชื่อว่าเศรษฐกิจปีใหม่จะกระเด้งขึ้นเห็นทันตา ยังมีเวลาพิสูจน์ของจริงอีก 362 วัน

ขอให้โชคดีปีใหม่ทั่วหน้ากันทุกท่านเทอญ.

"แม่ลูกจันทร์"

ก้าวคนละก้าวเข้าโหมดคืนความสุข : ส่งมอบประชาธิปไตย

ก้าวคนละก้าวเข้าโหมดคืนความสุข : ส่งมอบประชาธิปไตย


“ทีมข่าวการเมือง” ได้ถือโอกาสการเปลี่ยนผ่านสู่ศักราชใหม่ เปิดหน้าสัมภาษณ์พิเศษบุคคลสำคัญทางด้านความมั่นคง โดยได้คัดสรรบุคคลที่เป็นจิ๊กซอว์ “ชิ้นสำคัญ” ใน สถานการณ์ด้านความมั่นคง มาแง้มมิติทางความคิด มุมมองและตัวตน ชนิดเกาะติดกระแส

บุคคลทางด้านความมั่นคงที่ “ทีมข่าวการเมือง” เลือกก็คือ พล.ท.กู้เกียรติ ศรีนาคา แม่ทัพภาคที่ 1 ฉายา“แม่ทัพตู่” คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็น“ผู้มีความสำคัญในด้านความมั่นคง”

เมื่อย่างเข้าสู่ปีที่ 4 ของการใช้กฎเหล็กคำสั่งหัวหน้า คสช. มาตรา 44 และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ย้ำมาตลอดจะประกาศวันเลือกตั้งและเดินตามโรดแม็ปในปีนี้

จากวันนั้นถึงวันนี้ “แม่ทัพตู่” ขยับมุมคิดมองความมั่นคงของประเทศในช่วงปีแห่งการปฏิรูปประเทศ ถึงความมั่นคงของเมืองไทยจะเป็นอย่างไรในปี 2561

“ตั้งปณิธานเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยชีวิต

และเป็นหลักในการรักษาความมั่นคง

ปกป้องเอกราชอธิปไตยของชาติตลอดไป”

พล.ท.กู้เกียรติ ได้เปิดแนวคิดเอาไว้ในช่วงรับตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1 พร้อมอธิบายให้เห็นภาพถึงบทบาทของกองทัพบก ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบตามพื้นที่ตามแนวชายแดน

ด้านทิศตะวันตกติดประเทศเมียนมา ครอบคลุมจังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ตะเข็บชายแดนยาว 846 กิโลเมตร โดยมีกองกำลังสุรสีห์รับผิดชอบ ด้านทิศตะวันออกติดกับประเทศกัมพูชา
ครอบคลุมจังหวัดสระแก้ว ตะเข็บชายแดนยาว 164 กิโลเมตร โดยมีกองกำลังบูรพารับผิดชอบ

ที่ผ่านมาได้ปฏิบัติภารกิจการเฝ้าตรวจและป้องกันชายแดน โดยการผนึกกำลังรบหลัก กำลัง กึ่งทหาร และกำลังประชาชน มีการประสานการปฏิบัติการอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง วางกำลังควบคุมพื้นที่-ช่องทาง-ภูมิประเทศสำคัญตามแนวชายแดน

โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ที่มีความล่อแหลมต่อภัยคุกคาม วางระบบการเฝ้าตรวจ ระบบงานด้านการข่าวตามแนวชายแดน โดยพัฒนาเสริมสร้างขีดความสามารถของกำลังพล พัฒนาระบบข่าวกรองอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาความขัดแย้งเฉพาะบริเวณการปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุและป้องกันประเทศ

ภารกิจการจัดระเบียบพื้นที่และแก้ไขปัญหาความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน โดยดำเนินการขจัดเงื่อนไขที่กระทบความมั่นคงของชาติและความปลอดภัยของประชาชน ด้วยการป้องกัน สกัดกั้น ปราบปรามการกระทำผิดกฎหมาย ที่เกิดขึ้นในพื้นที่รับผิดชอบ เช่น ยาเสพติด ผู้หลบหนีเข้าเมือง การค้ามนุษย์ การค้าอาวุธ อาชญากรรมข้ามชาติ

สนับสนุนการปรับปรุง-พัฒนากฎหมาย กฎ ระเบียบต่างๆ ข้อตกลงและบันทึกความเข้าใจระหว่างส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานในพื้นที่ชายแดนให้เกิดความเหมาะสม อำนวยประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และสอดคล้องกับสถานการณ์ภัยคุกคาม

ภารกิจการประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ในรูปแบบต่างๆ เพื่อสร้างความไว้เนื้อ เชื่อใจ สร้างความเข้มแข็งของกลไกความร่วมมือทางทหาร เป็นการลดช่องว่าง สร้างสภาพแวดล้อมที่เกื้อกูลต่อการพัฒนาพื้นที่ชายแดนและร่วมกันแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นด้วยสันติวิธี

ขณะเดียวกัน งานรักษาความมั่นคงภายใน ภายใต้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 1
(กอ.รมน.ภาค 1) เป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบดำเนินการรักษาความมั่นคงภายในภาค 1

โดยบูรณาการทรัพยากร ขีดความสามารถจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคประชาสังคม ราชการพลเรือน ตำรวจ ทหาร โดยเฉพาะในพื้นที่ระดับจังหวัด หน่วยทหารจะต้องสามารถปฏิบัติงานในลักษณะงานปกติ งานกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) และงาน กอ.รมน.

พร้อมสนับสนุนการปฏิบัติงานของ กอ.รมน.จังหวัดรวม กทม. ทั้งหมด 26 จังหวัดในทุกด้านเมื่อได้รับการร้องขอ เพื่อแสดงศักยภาพเป็นส่วนหนึ่งในกลไกบริหารจังหวัดในด้านความมั่นคง นำไปสู่การป้องกันและแก้ไขปัญหา ทุกรูปแบบที่เกิดขึ้นหรืออาจจะเกิดขึ้น อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดเป็นรูปธรรม

การสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ 26 จังหวัดภาคกลางและกรุงเทพฯ

มุ่งเน้นการทำให้สังคมเกิดความมั่นคงปลอดภัย

ภายใต้หลักทหารต้องเป็นที่พึ่งของประชาชนในทุกโอกาส

กอ.รมน.ภาค 1 ยังทำ หน้าที่เป็นสื่อกลาง ในการสร้างความตระหนักรู้ให้ประชาชน เข้าใจเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาล แนวทางปฏิบัติของหน่วยงานด้านความมั่นคง ส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิบัติตามแผนรักษาความมั่นคงภายในภาค 1

และเป็นพลังสำคัญสนับสนุนนโยบายของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล สร้างความเข้าใจสู่ประชาชน เพื่อการพัฒนาประเทศตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

ผลลัพธ์สุดท้ายต้องการให้มีความสงบเรียบร้อย ประชาชนรู้รักสามัคคี มีความมั่นคง ยั่งยืนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ทีมข่าวการเมือง ถามว่าความมั่นคงบริเวณตะเข็บชายแดนไร้ปัญหา แต่ขณะนี้ปัญหาความมั่นคงภายในประเทศเป็นอย่างไรบ้าง พล.ท.กู้เกียรติ บอกว่า ในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 1 ทาง กกล.รส.ได้จัดชุดต่างๆไปสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา เพื่อสร้างความปรองดอง สถานการณ์ดีขึ้นเป็นลำดับ

แต่ความเห็นต่างถือเป็นเรื่องธรรมชาติ เราอยากให้แสดงออกตามกรอบกติกา กฎหมายของบ้านเมือง
ยิ่งในปี 2561 นายกรัฐมนตรีเตรียมประกาศวันเลือกตั้งและเดินตามโรดแม็ป ภารกิจของกองทัพภาคที่ 1 จะเพิ่มบทบาทในการสร้างความปรองดองในพื้นที่อย่างไร พล.ท.กู้เกียรติ บอกว่า กองทัพภาคที่ 1 เป็นหน่วยงานหลักของกองทัพบก เป็นกลไกหนึ่งของรัฐบาล

เราจะปฏิบัติทุกสิ่งทุกอย่างตามแนวทางหรือนโยบายการสั่งการของรัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายก- รัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ที่สั่งผ่าน พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ.

กองทัพภาคที่ 1 จะทำตามที่รัฐบาลได้สั่งการในทุกๆเรื่อง

ทีมข่าวการเมือง ถามว่า ความมั่นคงภายในสถานการณ์ดีขึ้นเป็นลำดับ แต่ คสช.ยังคงมาตรา 44 เอาไว้ ในระหว่างนี้ กกล.รส.ยังมีภารกิจสร้างความปรองดองในพื้นที่ วันนี้เป็นห่วงรัฐบาลจะให้มีการเลือกตั้งตามโรดแม็ปอย่างไรบ้าง พล.ท.กู้เกียรติ บอกว่า “ต้องดูสถานการณ์ในแต่ละช่วงไปเรื่อยๆ ในแต่ละช่วงเราก็ทำตามนโยบายของรัฐบาลให้ดีที่สุด”

กองทัพภาคที่ 1 เป็นอีกหน่วยงานหลักที่สำคัญด้านความมั่นคง แต่ในปี 2561 หลายฝ่ายเริ่มพูดถึงความไม่มั่นคงในทางการเมือง กองทัพภาคที่ 1 มีนโยบายอะไรเป็นพิเศษรองรับความไม่มั่นคงทางการเมืองที่จะเกิดขึ้น พล.ท.กู้เกียรติ บอกว่า ขออนุญาตไม่พูดถึงเรื่องการเมือง

นโยบายเกี่ยวกับด้านการเมืองของกองทัพภาคที่ 1 ก็เป็นไปตามที่ ผบ.ทบ.สั่งการเอาไว้

เราต้องคงรักษาระดับความเข้มข้นอย่างนี้ตลอดไปและยังสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่อยู่ตลอด

เมื่อใกล้วันประกาศวันเลือกตั้งตามโรดแม็ป ได้จับตาดูความเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองเก่าๆอย่างไร พล.ท.กู้เกียรติ บอกว่า กลุ่มการเมืองเคลื่อนไหวถือเป็นเรื่องปกติ ขอให้อยู่ภายใต้กรอบที่ คสช.อนุญาตไว้

เพราะบ้านเมืองบอบช้ำมาหลายปีแล้ว เพิ่งสงบสุขเมื่อรัฐบาลทำกฎหมายให้เป็นกฎหมายมาบังคับใช้กับทุกกลุ่ม ทำให้บ้านเมืองอยู่ด้วยความสงบมาจนถึงปัจจุบัน

วันนี้เข้าสู่ปี 2561 มิติความมั่นคงด้านไหนที่ห่วงเป็นพิเศษ พล.ท.กู้เกียรติ บอกว่า ขอย้ำอีกครั้งว่ากองทัพภาคที่ 1 เป็นกลไกของกองทัพบกและรัฐบาล

ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างต้องทำตามนโยบายของกองทัพบก โดยผบ.ทบ. รมว.กลาโหมและนายกรัฐมนตรีในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเน้นย้ำตรงไหนก็เป็นไปตามที่รัฐบาลได้สั่งการกองทัพภาคที่ 1 เราพร้อมปฏิบัติในทุกเรื่อง

เพื่อให้ประเทศชาติเกิดความสงบสุขในทุกด้าน

การยึดอำนาจในวงการเมืองเริ่มพูดถึงกันอีกครั้ง ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร พล.ท.กู้เกียรติ บอกว่า
“...ผมขออนุญาตไม่ตอบนะครับ”.

ทีมการเมือง

เหลียวหลังการเมือง 2560 : ปีอำนาจพิเศษกร่อน

เหลียวหลังการเมือง 2560 : ปีอำนาจพิเศษกร่อน


สิ่งที่ไม่เคยหยุดนิ่งและทำให้มนุษย์ต้องวิ่งตามคือเวลาที่ไม่คอยใคร

เมื่อเข็มนาฬิกาเดินหน้า โลกหมุนมาครบ 365วัน “ทีมการเมืองไทยรัฐ” จึงขอใช้โอกาสวันสุดท้ายของปี 2560 ที่กำลังจะผ่านพ้นไป มองย้อนหลังสำรวจสถานการณ์การเมืองในรอบปีที่ผ่านมา

ปีที่เราสรุปนิยามว่า “ปีอำนาจพิเศษกร่อน”

ตามเงื่อนไขสถานการณ์ภายใต้อำนาจ “รัฏฐาธิปัตย์” ที่นำทีมบริหารราชการแผ่นดินโดย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช.กำลังจะผ่านพ้นปีที่ 3 เดินหน้าเข้าสู่ปีที่ 4

ปีท้ายเทอมรัฐบาล ปลายโรดแม็ป คสช.

ย้อนกลับไปสำรวจปรากฏการณ์ตั้งแต่ต้นปี 2560 ที่ผ่านมา เหตุการณ์สำคัญสุดในทางการเมืองการบริหารหนีไม่พ้นพระราชพิธีประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ในวันที่ 6 เมษายน
นับเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 20 ของราชอาณาจักรไทย

ถือเป็นความคืบหน้าก้าวสำคัญของกระบวนการตามโรดแม็ป คสช.

ตามสถานการณ์แบบที่ พล.อ.ประยุทธ์ แถลงผ่านทีวีพูล ภายหลังรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มีผลบังคับใช้ ใจความว่า ปัจจุบันถือว่าอยู่ในช่วงปลายของโรดแม็ประยะที่สองแล้ว เพื่อนำไปสู่ระยะที่สาม คือการเลือกตั้ง ซึ่งรัฐบาลยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะเป็นเมื่อใด

เพราะต้องทำตามขั้นตอนต่างๆ โดยเฉพาะการออกกฎหมายลูกเสียก่อน ทั้งนี้ คสช.และรัฐบาลจะอยู่ทำหน้าที่ต่อไป โดยบรรดาประกาศและคำสั่งของ คสช. รวมถึงคำสั่งของหัวหน้า คสช. ที่ออกไปแล้วยังคงมีผลใช้บังคับ เช่นเดียวกับมาตรา 44 ที่ยังคงมีอยู่

แต่จะใช้ภายใต้หลักเกณฑ์เดิม คือเท่าที่จำเป็นเร่งด่วนและที่ไม่อาจใช้กฎหมายปกติได้

มันเป็น “จุดเปลี่ยน” สถานการณ์อำนาจพิเศษก็ว่าได้

รัฐธรรมนูญกฎหมายสูงสุดมีผลบังคับใช้ ขณะที่อำนาจภายใต้ “รัฏฐาธิปัตย์” ยังคาอยู่

ตามรูปการณ์ที่ “นายกฯลุงตู่” ต้องออกตัวไว้ด้วยว่า ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญกำหนดให้ ครม. คสช. สนช. จะอยู่ต่อไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้ง โดยมีภารกิจสำคัญที่รัฐบาลจะต้องทำ 2 เรื่องคือเสนอกฎหมายให้ สนช.พิจารณายุทธศาสตร์ชาติและปฏิรูปประเทศ

พร้อมย้ำด้วยว่า คสช.และรัฐบาลมิได้เข้ามาเพื่อต้องการอำนาจและผลประโยชน์ หรืออยู่ยาวนาน โดยปล่อยให้เหตุการณ์ต่างๆผ่านพ้นไปแต่ละวันโดยเปล่าประโยชน์ หากแต่ต้องการแก้ปัญหาเดิมๆที่ค้างคาอยู่จนเป็นกับดักสกัดกั้นความเจริญของชาติ

นั่นหมายถึงว่า ฝ่ายคุมเกมอำนาจคาดการณ์ล่วงหน้าได้ เมื่อรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้

หนีไม่พ้นเงื่อนไขประชาธิปไตยต้องตามมาโดยอัตโนมัติ

โดยเฉพาะสถานการณ์อึดอัดของนักการเมืองอาชีพที่ถูกล็อกแขนล็อกขามานานเกือบ 3 ปี ถึงจังหวะที่ต้องขยับแข้งขยับขา ตามกลิ่นอายการเลือกตั้งที่โชยมาพร้อมรัฐธรรมนูญใหม่

อาการเหมือนเขื่อนใกล้แตกทะลัก แทบจะอั้นไม่ไหว

แต่กระนั้นก็ดี มันก็มีเงื่อนไขสถานการณ์ของพระราชพิธีสำคัญ ตามกำหนด การถวายพระเพลิงพระบรมศพ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ในเดือนตุลาคม

ในอารมณ์ที่ประชาชนคนไทยทั้งประเทศพร้อมใจกันแสดงให้เห็นถึง “พลังแผ่นดิน”

ทุกส่วนผสมหลอมรวมเป็นหนึ่ง เพื่อ “พ่อ” คนเดียวกัน

ก่อให้เกิดภาพที่โลกยังตะลึงกับความสวยงามแบบไทย พสกนิกรทุกหมู่เหล่ามุ่งมั่นกับการถวายพระเกียรติ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” เป็นครั้งสุดท้าย

ไม่มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ก้าวข้ามความขัดแย้งชั่วขณะ

นั่นก็ทำให้การเมืองต้องสงบนิ่งตามกาลเทศะ

เงื่อนสถานการณ์หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญยังไม่ร้อนแรงตามสภาพการบังคับ

ประกอบกับแรงกดดันจากต่างชาติเบาบาง ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ได้รับเชิญให้เข้าไปนั่งคุยกับประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” แห่งสหรัฐอเมริกา ในทำเนียบขาว วอชิงตัน ดี.ซี.

บ่งชี้สถานะผู้นำรัฐบาลทหารไม่โดนตั้งแง่รังเกียจอีกต่อไป ตามเหตุปัจจัยจากการที่ประเทศไทยเป็นจุด ยุทธศาสตร์สำคัญที่มหาอำนาจโลกต้องการใช้เป็นฐานในการประคองดุลอำนาจการเมืองโลก

กลายเป็นสถานการณ์ “โชคช่วย” พล.อ.ประยุทธ์ เก่งบวกเฮง

ได้เงื่อนไขบังเอิญช่วยให้การบริหารของผู้นำอำนาจพิเศษลดแรงเสียดทานลงไปเยอะ

อย่างไรก็ตาม แม้ปัจจัยภายนอกไม่หนักหนา แต่ปัญหามันอยู่ตรงอาการ “พลาด” ที่เกิดจากทำตัวเอง

ตามปรากฏการณ์แบบที่เห็น การใช้ดาบมาตรา 44 ทั้งในประเด็นของการห้ามนั่งท้ายรถกระบะที่โดนชาวบ้านร้านตลาดต่อต้านเพราะขัดกับวิถีชีวิตประจำวัน

จนรัฐบาลต้องสั่งไอ้เสือถอยแทบไม่ทัน

หรือการออกพระราชกำหนดยกเครื่องปัญหาแรงงานต่างด้าว ไล่แรงงานชาวพม่า ลาว กัมพูชากลับ ประเทศไปทำเอกสารเพื่อเคลียร์ปัญหาค้ามนุษย์ แต่ก็กลายเป็นทำให้เกิดผลกระทบกับภาคอุตสาหกรรมก่อสร้าง ประมง ท่องเที่ยว ต้องขาดแคลนแรงงาน ลามเป็นผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาพรวม

ที่สุดผู้นำรัฐบาล คสช.ก็ต้องงัดมาตรา 44 มาผ่าทางตันปัญหา

ดาบอาญาสิทธิ์ชักเข้าชักออก เสียฟอร์มรัฏฐาธิปัตย์ หมดความขลังไปเลย

2-3 ช็อตติดๆที่ “นายกฯลุงตู่” สะดุดอำนาจตัวเองหัวคะมำ

แต่นั่นก็ไม่ทำให้เสียอาการทรงตัวเท่ากับการโดนแรงกระแทกที่กระทบชิ่งมาจากบรรดาเพื่อนพ้องน้องพี่ ตามสไตล์ทหารอาชีพที่ประกาศจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

เลยโดนจังๆกับปมใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องคนรอบตัว

สถานการณ์ถูกลากเข้าไปนัวเนียๆกับ “พี่ใหญ่” อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ที่โดนถล่มต่อเนื่องทั้งปี

ตั้งแต่เรือดำน้ำ รถถัง มายันกระทั่งแหวนเพชร นาฬิกาหรู

ขณะที่ “พี่รอง” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว. มหาดไทย ปีนี้ก็เจอของหนักทั้งปมอนุมัติให้บริษัทเอกชนเช่าที่ดินป่าต้นน้ำ ต่อเนื่องกับประเด็นเครื่องตรวจจับความเร็วฝังเพชร

ถลอกปอกเปิกไปทั้งตัวเหมือนกัน

หรือ “เพื่อนรัก” อย่าง “บิ๊กนมชง” พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ก็อ่วมอรทัยในช่วงที่นั่งแท่น รมว.เกษตรและสหกรณ์ โดนทั้งปมไม่โปร่งใสในโครงการ 9101ฯ แถมบ้อท่าในการบริหารราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ

รับสภาพตำบลกระสุนตกสะบักสะบอม

พี่ใหญ่ พี่รอง เพื่อนรัก แรงกระแทกพุ่งตรงถึงตัวผู้นำรัฏฐาธิปัตย์

“สนิมเนื้อใน” ทำอำนาจพิเศษกร่อนเข้าไปทุกทีและก็นับเป็นหัวเชื้ออย่างดีกับจังหวะสถานการณ์เมื่อผ่านพ้นห้วงเวลาพิเศษ การเมืองเริ่มขยับกลับมาร้อนแรงตามบรรยากาศห้วงท้ายปลายโรดแม็ป

แบบที่มีการจุดพลุประจานเรื่องการจ้องสืบทอดอำนาจ

นักการเมืองชิงเหลี่ยมขยายภาพวาระแฝงของทหาร พฤติการณ์ไม่ได้ดีไปกว่ากัน

ตามยุทธการขยายแผลจิกตี “พี่ใหญ่-พี่รอง-เพื่อนรัก” ที่มาพร้อมๆกับการที่โคตรเซียนจอมเขี้ยวยี่ห้อประชาธิปัตย์เปิดฉากแฉการตั้งพรรคท็อปบูต

มีการเปิดชื่อนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจรัฐบาล เป็นหัวหน้าพรรค
เหลี่ยมนักการเมืองอาชีพ มุ่ง “เจาะยาง” เสาค้ำยัน เตะตัดขา “พี่ใหญ่-พี่รอง” รวมถึง “สมคิด”
เพื่อสกัดเส้นทาง“นายกฯลุงตู่”

ประชาธิปัตย์กับเพื่อไทยเปิดเกมรุกกดดันหนัก พร้อมๆกับตะโกนเรียกร้องให้ปลดล็อกการเมือง

เรื่องของเรื่อง พล.อ.ประยุทธ์ ก็หนีไม่พ้นต้องใช้สูตรสำเร็จการเมืองทั่วไป ตัดสินใจปรับคณะรัฐมนตรี “ประยุทธ์ 5” เพื่อผ่อนกระแส “เล่นแต้ม” ตามเงื่อนไขสถานการณ์บังคับให้ต้องลดโควตาทหาร

เปิดทางมือบริหารอาชีพมาช่วยปั่นเนื้องานเพื่อกรุยทางรัฐบาล คสช.ไปต่อ

โดยจังหวะมอบธงให้นายสมคิดถืออำนาจลุยแบบเต็มตัว ในจังหวะกำลังปั้นเศรษฐกิจภาพรวมติดลมบน ทั้งตัวเลขจีดีพีที่เป็นบวก การส่งออกที่สูงขึ้นต่อเนื่อง สถานการณ์ดีขึ้นทั้งลำดับความสามารถในการแข่งขัน ประเทศน่าลงทุน เวิลด์แบงก์ประเมินไทยกำลังหลุดพ้นสถานะยากจน

ยังติดตรงโจทย์ยากการกู้สถานการณ์ปัญหาปากท้อง

รัฐบาล คสช.ต้องรีบกู้กระแสที่โดนนักการเมืองตีปี๊บปลุกอารมณ์ชาวบ้านรายวัน

สถานการณ์จึงไหลมาถึงจุดเดิมพันเศรษฐกิจ “สมคิด” ต้องรับภาระกู้วิกฤติ “สนิมเนื้อใน”

ภายใต้สภาพการณ์ตลอดปี 2560 ที่รัฐบาลอยู่ในสภาวะขาลง คะแนนต้นทุนหน้าตัก “นายกฯลุงตู่”
หดหาย สถานะ “รัฏฐาธิปัตย์” ไม่เข้มขลังเหมือนช่วงแรกๆ

เรียกได้เลยว่าเป็น “ปีอำนาจพิเศษกร่อน”.

ทีมการเมือง

ที่สุดแห่งปี 2560 ในแวดวงการเมือง

ที่สุดแห่งปี 2560 ในแวดวงการเมือง


พัฒนาการทางการเมืองไทยหยุดชะงักมาหลายปี แต่ทว่ารอบปฏิทินปีระกา 2560 กลับเริ่มมีความเคลื่อนไหวให้คนในแวดวงการเมืองคอยเฝ้าจับตา
นับตั้งแต่กติกาว่าด้วยเรื่องรัฐธรรมนูญใหม่ การทำคลอดกฎหมายลูกต่างๆ ตลอดจนแนวทางบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลทหาร ที่เป็นสัญญาณบอกทิศทางแห่งวิถีประชาธิปไตย ว่าจะเป็นไปได้ตามโรดแม็ปจริงหรือไม่
โดยเฉพาะรอบใหม่ของปีจอที่กำลังจะมาถึง จะเดินหน้าไปตามวิถี หรือสะดุดอยู่กับที่ในเกมยื้ออย่างที่นักประชาธิปไตยหวั่นเกรงกัน
ปรากฏการณ์ทางการเมือง “ที่สุดแห่งปี 2560” จะเป็นข้อมูลให้คอการเมืองเห็นภาพช็อตต่อไปได้ชัดเจนทีเดียว...
ปักหมุดวันเลือกตั้ง

นับตั้งแต่เปิดศักราชปี 2560 ภารกิจที่ได้คืบหน้าเห็นผลมีหลายประการ
รัฐบาลนำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. ที่ยังคงกุมบังเหียน สะกดเหล่านักการเมืองตัวพ่อที่หมั่นทวงถาม “ขอปลดล็อก” เพื่อผ่อนคลายให้พรรคการเมืองได้ทำกิจกรรมเตรียมลงสนามเลือกตั้ง หลังรัฐธรรมนูญใหม่และกฎหมายพรรคการเมืองประกาศใช้
เจ้าตัวได้แต่ออกลีลาติ๊ดชึ่ง อ้างถึงแต่สถานการณ์ที่ยังไม่สงบ
หากทว่า เรื่องกลับไปจบตรงที่รัฐบาลขยันเดินสาย “ครม.สัญจร” ลงพื้นที่ต่างจังหวัด ขึ้นเหนือ–ล่องใต้ อีสาน ภาคกลาง ตามงานตรวจ เยี่ยมชาวบ้าน แถมจัดโปรโมชั่นใหม่ตามสไตล์ “ประชานิยม”
ถึงคราวทำแบบสำรวจผลโพลทุกระยะ คะแนนนิยมเลยพุ่งนำโด่งแซงหน้า “กลุ่มเจ้าเก่า” ไปไกลลิบ ปลายปีหยิบคำถาม 4 บวก 6 เช็กเรตติ้ง พร้อมชิงไหวชิงพริบตอบโต้ข่าวคว่ำร่างกฎหมายลูกหวังยื้อ เวลาเลือกตั้ง
กลุ่มที่ระแวงแคลงใจย่อมไม่พ้น “นัก การเมือง” ผลัดหน้ากันทวงหาความชัดเจนจากปาก “ผู้นำท็อปบู๊ต”
ท้ายสุด บินลัดฟ้าเยือนสหรัฐอเมริกา เข้าทำเนียบขาว กระทบไหล่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ลั่นคำมั่น “จะประกาศวันเลือกตั้งให้ชัดเจนในปีหน้า” ทั้งที่บทสนทนาไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองไทย
แถมก่อนกลับกลุ่มคนไทยที่ส่งเสียงเชียร์ ว่าหากเลือกตั้งจะบินไปเทคะแนนให้ นายกฯประยุทธ์รับคำสั้นๆ “จ้ะ” แต่ก็ทำสะดุ้งมาถึงกลุ่มคนไทยอีกซีกโลก
พร้อมกลับมาประกาศเปรี้ยง การเลือกตั้งจะมีขึ้นเดือน พ.ย.2561!!!
จัดทัพใหม่

ขยับอีกก้าวก่อนเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง จากที่เคยปรับ ครม.หวังเพื่อแค่สอดรับต่อการบริหารงานแผ่นดิน
แต่ก่อนสิ้นปี มีสัญญาณบวกถึงนักการเมืองทั้งเก่าและใหม่ให้เตรียมลงสนาม
การปรับคณะรัฐมนตรีหนนี้ จึงไม่ได้จบเพียงแค่งานประจำ แต่ต้องทำแบบ “เชิงรุก-บุกหนัก” นับตั้งแต่วันรับตำแหน่ง เพราะยังต้องแข่งขัน ต่อสู้กับปมปัญหา และความท้าทายทุกสถานการณ์ที่จะตามมา
“ครม.ประยุทธ์ 5” จึงปรับขุนพลขนานใหญ่ จัดทัพให้ตรงตามสเปก ไม่หวังแค่เรียกความเชื่อมั่น แต่เป็นปัจจัยชี้ชะตา คสช.และรัฐบาล
วันประชุม ครม.นัดสุดท้ายก่อนปรับทัพ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. ต้องแจงเหตุผลกับขุนพลทีมเก่าให้เข้าใจ
“จำเป็นต้องปรับเพื่ออนาคต ขออย่าโกรธเคือง น้อยใจ ยึดความเหมาะสมกับสถานการณ์ ไม่เช่นนั้นทุกอย่างที่ทำมาจะเสียของ และการปรับ ครม.ครั้งนี้ เสียใจมากกว่าใคร”
ยิ่งปรับ ครม.ครั้งใหญ่ ต้องยอมให้ถอนขุนพลลดหั่นโควตาท็อปบู๊ต เสริมทัพด้านงานเศรษฐกิจ แก้โจทย์ยาก–จุดบอด ทั้งปัญหาปากท้อง ราคาพืชผลการเกษตร
ส่วนทัพใหญ่ฝ่ายความมั่นคง ไม่แตะต้อง เพื่อนพ้องน้องพี่ กอดคอ กันต่อไป
ศกหน้าชี้ชะตา ศึกเดิมพันอนาคตทั้งรัฐบาลและ คสช.!!!
เครื่องสะดุด
บอกว่าคนเก่า-ระบบเก่าไม่เข้าท่า “บิ๊กท็อปบู๊ต” เลยขันอาสาเข้ามายกเครื่อง ทั้งเรื่องคนและระบบงาน
เดินเครื่องมา 3 ปี ยังมีอาการกระตุกให้เห็นอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะฟันเฟือง “เหล่าขุนพล”
ใช่ว่าจะไร้ผลงานหรือบริหารราชการไม่เข้าตา แต่ยังปัญหาในรูปแบบเดิม
รายแรกคือ “พี่ใหญ่” ขุนพลข้างกายของ “ท่านผู้นำ” จะทำอะไรก็ไม่พ้น เป็นเป้านิ่ง ยิ่งรอบปีระกา “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม
ถูกโจมตีหลายระลอก ทั้งเรื่องจัดซื้ออาวุธยุทธภัณฑ์ในหลายลอต ช็อตให้สัมภาษณ์กรณีการเสียชีวิตของนักเรียนเตรียมทหาร ถูกวิจารณ์ขรมเพราะพลั้งปากว่า “ผมก็เคยโดนซ่อมเกินกำลังจะรับได้ จนสลบเหมือนกัน แต่ผมไม่ตาย” สุดท้าย “พี่ใหญ่” ต้องยอมออกมาขอโทษ
แต่ที่โหดหน่อยคือ กรณี “แดดส่องตา” เลยได้โชว์นาฬิกาสุดหรูบนข้อมือกับแหวนเพชรเม็ดโตอย่างไม่ตั้งใจ จนโดนร่ายยาว แถมโดนสาวไปถึงรายการ “ยื่นทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.”
ส่วนอีกราย “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ก็เจองานเข้าหนักไม่แพ้กัน
ทั้งปมร้อนปล่อยให้เอกชนขาใหญ่เข้าใช้พื้นที่ป่าชุมชน กระแสค้านกระหึ่มจนต้องยกเลิก
ส่งท้ายปียังร้อนฉ่า ปมปัญหาอนุมัติงบประมาณให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จัดซื้อเครื่องตรวจจับความเร็วแบบพกพา สนน ราคา 573 ล้านบาท ทั้งที่ไม่มีหน้าที่ตรวจจับ กับข้อครหาว่าแพงเกิน!!!
บิ๊กขุนพลอีกราย “พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ” เพิ่งย้ายสลับไปนั่งเป็นรองนายกฯ แทนตำแหน่ง รมว.เกษตรฯ กับเหตุผลง่ายๆ ทำอย่างไร ราคายางพาราก็ยังต่ำ ไม่ดีขึ้นสักที
ที่ว่ายกเครื่อง ชูเรื่องปฏิรูป แต่ทุกรูปแบบปัญหาก็ยังวนมาให้เห็นเช่นเดิม!!!
ช็อปกระจาย

ขึ้นชื่อว่าเป็นรัฐบาลทหาร บริหารประเทศมา 3 ปี โดนเสียดสีในยามจัดซื้ออาวุธเป็นเรื่องธรรมดา
โดยเฉพาะรอบปีล่าสุด “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. แจกโบนัสเหล่าทัพไม่อั้น จัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์เต็มสตีม
ยกเหตุผลเพื่อรองรับธีมการปฏิรูปโครงสร้างกองทัพ เสริมศักยภาพกำลังรบให้พร้อมเผชิญภัยคุกคาม
ดูตามลิสต์ ดีลที่ฮือฮามากที่สุด คือกองทัพเรือซื้อเรือดำน้ำรุ่น yuan class S26T จำนวน 1 ลำ จากจีนด้วยงบฯ 13,500 ล้านบาท
อ้างความจำเป็นและความมั่นคงทางทะเล แม้จะมีเสียงวิจารณ์ถึงภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง บวกกับปัญหาปากท้องของประชาชน แต่รัฐบาลกลับไม่สะทกสะท้าน
งานเข้าอีกหน กองทัพบก ส้มหล่นเร่งจัดซื้ออาวุธลอตใหญ่ทั้งรถถัง VT–4 จากจีน เม็ดเงิน 7,002 ล้านบาท เฮลิคอปเตอร์ Mi 17VS จากรัสเซียมูลค่ากว่า 5,083 ล้านบาท
แถมผูกพันงบฯปี 61-63 อีก 2.28 หมื่นล้านบาทเพื่อซื้อเฮลิคอปเตอร์ Black Hawk เสริมทัพอีก 4 ลำเม็ดเงิน 3,000 ล้านบาท ซื้อรถยานเกราะ VN 1 จำนวน 34 คัน 2,300 ล้านบาท รถถังแบบเอ็ม 41 อีก 2,000 ล้านบาท
ฟากทัพฟ้าเองก็ใช่ย่อย ปีนี้ของบฯเบาะๆ 8,997 ล้านบาท ซื้อเครื่องบินฝึกขับไล่จากเกาหลีใต้อีก 8 ลำ
คำนวณเบ็ดเสร็จ ปีเดียวกองทัพควักกระเป๋าซื้ออาวุธไปเกือบ 30,000 ล้านบาท
ตลอดศก กองทัพยกพาเหรด ช็อปกันกระจาย!!!
รูดม่านมหากาพย์

“การดำเนินนโยบายสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประเทศ แต่กลับถูกกระทำเช่นนี้ คิดว่าไม่มีใครต้องรับชะตากรรมที่หนักหนามากกว่าดิฉันอีกแล้ว” คำแถลงปิดคดีโครงการรับจำนำข้าวของ “อดีตนายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
มรสุมทางการเมืองลูกใหญ่ลูกนี้ ย้อนกลับไปกว่า 2 ปี กับการต่อสู้อันร้อนแรงและยืดเยื้อ จากการตั้งแท่นของ ป.ป.ช. จนถึงมืออัยการสูงสุดที่มีความเห็นยื่นฟ้องต่อศาล ฎีกาฯ เอาผิดฐานปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริต คู่ขนานไปกับคำสั่ง ทางปกครองต้องชดใช้ค่าเสียหาย 3.5 หมื่นล้านบาท
สถานการณ์อดีตนายกฯหญิงร้อนระอุ กดดันขึ้นเรื่อยๆ ต้องโชว์ตัวออกงาน เปิดบ้าน เลี้ยงกระแสกองเชียร์ เดินสายไปวัด มีน้ำตาให้เห็นเกือบทุกครั้ง
แม้จะวิจารณ์กันแซดว่า “ยิ่งลักษณ์” มีโอกาสหนีสูง เพราะดูแล้วไม่น่าจะหลุดคดี แต่พฤติการณ์ที่เดินทางไปศาลทุกนัด ยืนยันหนักแน่นว่าไม่ไปไหน ทำให้น้ำหนักเทไปที่การยืนหยัดต่อสู้จนถึงยืดอกเดินเข้าเรือนจำ
แต่แล้ว 25 ส.ค. ถึงวันพิพากษา อดีตนายกฯหญิง หายตัวไร้ร่องรอย ศาลออกหมายจับ ริบเงินประกัน 30 ล้านบาท
ขณะที่วันเดียวกัน ศาลอ่านคำพิพากษาคดีทุจริตระบายข้าว จีทูที โดยตัดสินจำคุก “บุญทรง เตริยาภิรมย์” อดีต รมว.พาณิชย์ 42 ปี “ภูมิ สาระผล” อดีต รมช.พาณิชย์ 36 ปี ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ต่อมา 27 ก.ย. ศาลพิพากษาจำคุก “ยิ่งลักษณ์” 5 ปี ไม่รอลงอาญา
ชะตาชีวิต “ยิ่งลักษณ์” จบที่ต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศเหมือนพี่ชาย “ทักษิณ ชินวัตร” ปิดฉากมหากาพย์จำนำข้าว พร้อมพี่น้องอดีตนายกฯ ตระกูล “ชินฯ”!!!
วิบากกรรมพรรคการเมือง

รอบปีนี้ พรรคเพื่อไทยเจอปัญหาประเดประดัง จากคดีจำนำข้าวพ่นพิษทำเสียศูนย์ แถมด้วยข้อหาหนักหน่วงรับของโจร-ฟอกเงิน คดีทุจริตแบงก์กรุงไทย ที่ประเคนให้ “โอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร ลูกชาย หัวแก้วหัวแหวนของ “ทักษิณ ชินวัตร” สั่นสะเทือนจนออกอาการเป๋ไปไม่เป็น
ควานหาคนถือธงเดินนำ โดดเด่นกว่าใครชั่วโมงนี้ “หญิงหน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เจ้าแม่ กทม. ที่ออกแอ็กชั่นชัดเป๊ะ นั่งหัวโต๊ะประชุมบ่อยครั้ง คล้ายนายใหญ่ส่งสัญญาณ ส่วนสปอตไลต์อีกดวงส่องไปที่ “เจ๊แดง เยาวภา” จะหาญกล้าผลักดัน “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” เป็นนายกฯอีกสมัยหรือไม่
ต้องจับตาดูแผนกู้วิกฤติจากแดนไกล
อีกฟากพรรคประชาธิปัตย์ สภาพภายในพรรคง่อนแง่นไม่แพ้กัน ไหนจะเจอคำถามจุดยืนพรรค ขาดน้ำเลี้ยงจนต้องปรับตัวอยู่ในสภาพแบ่งมุ้ง แบ่งพื้นที่ให้รองหัวหน้าแต่ละภาคดูแล
คะแนนนิยมของพรรคและผู้นำอย่าง “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลดฮวบ สวนทางกับบารมีของ “นายหัว” ชวน หลีกภัย ประธานสภาพรรค จนเกิดข่าวสองพรรคใหญ่จับมือชู “นายหัวชวน” ขึ้นนำขบวน
ด้าน “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ แม่ทัพ กปปส. ซุ่มหารือพรรคพวกรอการตั้งพรรคการเมืองที่มีฐาน “มวลมหาประชาชน” รักษาสถานภาพไม่ให้เพลี่ยงพล้ำถูกรุกไล่บนเวทีประชาธิปัตย์ยามนี้ เจอวิบากกรรมพรรคมืออาชีพที่รอการปรับเปลี่ยนในยุคปฏิรูป
คลอดรัฐธรรมนูญ คสช.

หลังรอคอยมานานเกือบ 3 ปี ในที่สุด รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับที่ 20 ก็ประกาศใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 6 เม.ย.เบ็ดเสร็จ 279 มาตรา
เป็นหนังยาวยืดเยื้อ จากที่ระดมบุคลากรผู้เชี่ยวชาญถึง 2 ชุด กว่าจะบัญญัติกติกาสูงสุดสำเร็จอีกทั้งยังต้องลุ้นประชามติจากประชาชนเจ้าของประเทศ
ถึงจะนานก็มีดีให้โชว์ ผู้ร่างอย่าง กรธ.คุยฟุ้งว่าเป็น “รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง” เสริมใยเหล็กสร้างกลไกป้องปรามเข้มข้น ติดดาบ องค์กรอิสระมีอำนาจเต็มไม้เต็มมือ
แต่ที่โดนถล่มเละ หนีไม่พ้นระบบการเลือกตั้ง ส.ส.บัตรใบเดียว กับการเลือกไขว้ ส.ว.ที่ทำให้เกิดความสับสนเข้าใจคลาดเคลื่อน
หนักหนาสาหัสกว่านั้น 5 ปีแรกให้หัวหน้า คสช.เป็นคนเลือก ส.ว.250 คน แถม ส.ว.มีอำนาจโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ส่อสืบทอดอำนาจชัดเจน
ส่วนไม้กายสิทธิ์ มาตรา 44 “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังสามารถกวัดแกว่งแสดงอิทธิฤทธิ์ได้ยาวไปจนกว่า คสช.จะสิ้นสุดอำนาจ!!!
กฎหมายลูกเจ้าปัญหา

ขั้นตอนการร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญทั้ง 10 ฉบับ ของ กรธ.ดำเนินไปท่ามกลางเสียงอื้ออึงว่าจะถูกคว่ำในท้ายที่สุดโดย สนช. หวังยืดโรดเเม็ปเลือกตั้งสืบอำนาจเอื้อ คสช.อยู่ยาว
ตามเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญ ถ้ากฎหมาย 4 ฉบับทั้ง “กฎหมายลูก ส.ส.-ส.ว.-พรรคการเมือง- กกต.” เสร็จไม่ทันตามกรอบ 240 วัน หลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้ สนามเลือกตั้งเปิดไม่ได้
ร่างตุ๊กตาของ กรธ.เเต่ละฉบับ ถูกถล่มยับเยินข้อหารับงาน คสช.เขียนกติกาบอนไซพรรคการ เมืองเก่า เอื้อพรรคเล็ก–พรรคทหาร
ล็อกสเปกด้วยบัตรใบเดียว หมายเลขต่างเขต ต่างเบอร์ แต่ได้ผลลัพธ์คะเเนนทูอินวันทั้ง ส.ส.เขต และบัญชีรายชื่อ เฉลี่ยเสียงประชาชนเห็นใจผู้แพ้ สกัดพรรคเสียงข้างมากชนะถล่มทลาย เข้ามาคุมสภาเบ็ดเสร็จแบบในอดีต
ไม่เว้นแม้องค์กรอิสระที่ต่างถูกกฎหมายลูกใหม่ล้างบาง โวยวายกันยกใหญ่ เกิดสงครามน้ำลายทิ้งทวน “สองมาตรฐานเขียนกติกาทำลายล้าง”
ส่วนกฎหมายลูก ป.ป.ช.ก็ไม่ต้องสืบค้น คนในเครือข่ายพี่ใหญ่ ถูกส่งตัวเข้ามาคัดท้ายกฎหมาย
วันนี้ประกาศใช้กฎหมายลูกไปแล้ว 2 ฉบับ เหลืออีก 2 ฉบับสุดท้าย กฎหมายลูก ส.ส. และกฎหมายลูก ส.ว. ลากตั้ง 250 คนใน 5 ปีแรก
ช่วงโค้งสุดท้าย เส้นตายกฎหมายลูก เปราะบางยากจะคาดเดาบทสรุป
สองมาตรฐาน?

หลัง สนช.ยกมือตีตราประทับผ่านร่างกฎหมายลูกองค์กรอิสระออกมาครบทุกองค์กร ผลกลับกลายเป็นสร้าง “มาตรฐานปลาสองน้ำ” ขึ้นมาทันใด
บางองค์กรโดนเซ็ตซีโร่ไม่ทันตั้งตัว แต่บางองค์กรลอยลำอยู่ต่อ ภายใต้รัฐธรรมนูญเดียวกัน
หนักสุด กกต.โดนเชือดโละยกแผงรายแรก ต้องสรรหา 7 เสือเข้ามาเสียบแทน
ตามด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) ที่ดาหน้าแสดงอาการรับไม่ได้กับเหตุผลที่ถูกตัดสินให้เก็บของกลับบ้าน แค่ให้อยู่รักษาไปจนกว่าจะมีชุดใหม่

แต่หันไปมองที่ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ให้ตุลาการผู้ที่มีคุณสมบัติ “ไม่ครบ” อยู่ต่อไปจนครบวาระ และให้ตุลาการที่อายุครบเกณฑ์ 70 ปี ก่อนหน้านี้ทำหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะกรรมการสรรหาจะเลือกตุลาการเข้ามาทำหน้าที่แทน
ด้านผู้ตรวจการแผ่นดิน ก็ให้อยู่ต่อไปจนครบวาระ อ้างว่ามาจากรัฐธรรมนูญปี 2550 โดยถูกต้อง ไม่ควรไปรอนสิทธิ์
แล้วจะไม่ให้คนโดนเทช้ำใจได้อย่างไร “สมชัย ศรีสุทธิยากร” กกต. โวยดังๆ เขม่นหรือไม่ชอบใจใครรึเปล่าถึงต้องโละกันแบบนี้ “ซือแป๋” มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. โต้หนักแน่นไม่ได้กลั่นแกล้งเกลียดชังใครทั้งสิ้น
ไม่ต้องถามหามาตรฐาน ตามสไตล์ไทยแลนด์โอนลี่!!!
ทีมการเมือง