PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2558

รัฐบาลแจง ไทยจริงจังแก้ปัญหาค้ามนุษย์ ชี้ข่าวแรงงานประมงผิดกฎหมายเป็นข้อมูลเก่า



รัฐบาลแจง ไทยจริงจังแก้ปัญหาค้ามนุษย์ ชี้ข่าวแรงงานประมงผิดกฎหมายเป็นข้อมูลเก่า
พล.ต. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงกรณีสื่อต่างประเทศรายงานว่า มีการใช้แรงงานทาสในอุตสาหกรรมประมงและโรงงานแกะกุ้งที่ส่งขายไปยังต่างประเทศ เนื้อหาข่าวระบุว่าเจ้าหน้าที่ของไทยละเลยการแก้ปัญหา ทำให้ต่างประเทศรณรงค์ไม่ซื้อสินค้าอาหารไทย โดยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีระบุว่า เป็นข้อมูลที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงซึ่งส่งผลกระทบในวงกว้าง และเชื่อว่าเป็นการนำเอาข้อมูลเก่ามาใช้ พร้อมทั้งยันยันว่ารัฐบาลไทยจริงจังกับการปราบปรามการค้ามนุษย์
การแถลงครั้งนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงด้วย ประกอบไปด้วยนายทรงศักดิ์ สายเชื้อ อธิบดีกรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ นายธีรพล ขุนเมือง โฆษกกระทรวงแรงงาน พล.ต.ต. กรไชย คล้ายคลึง ผู้บังคับการกองปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ และพล.ร.ท.จุมพล ลุมพิกานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ศูนย์แก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) และพ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งชี้แจงในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานของตน
พล.ร.ท. จุมพล ยืนยันว่า ที่ผ่านมาศปมผ. บังคับใช้กฎหมายและความร่วมมือจากภาคเอกชนและเอ็นจีโออย่างจริงจังในการแก้ไขปัญหา และการนำเสนอภาพข่าวนั้น เป็นภาพข่าวจากการลงพื้นที่เมื่อวันที่ 9 พ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งนำเสนอว่าเป็นแรงงานทาส แต่ในความเป็นจริงภาพดังกล่าวเกิดจากการดำเนินงานอย่างจริงจัง โดยในการทำงานได้ตั้งเป้าเข้าตรวจโรงงาน 125 แห่ง และตรวจไปแล้ว 101 แห่ง ผอ. ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ศปมผ. ยังบอกด้วยว่าขอให้สื่อนำเสนอให้ครบทุกด้าน อย่านำภาพข่าวเพียงส่วนเดียวไปขยายผลในทางที่ผิด พร้อมยืนยันจะดำเนินนโยบายปราบปรามประมงผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่องต่อไป
ขณะที่โฆษกกระทรวงแรงงานระบุว่า ที่ผ่านมาไทยได้ปรับสถานะผู้ใช้แรงงานที่ผิดกฎหมายเข้าสู่ระบบ และเปิดรับลงทะเบียนผู้ใช้แรงงาน 3 สัญชาติกว่า 1,600,000 คน ในส่วนของแรงงานประมงมีการลงทะเบียน 2 ครั้ง ขณะนี้กำลังดำเนินการในครั้งที่ 2 จนถึงเดือนม.ค. 2559 ส่วนแรงงานในอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าประมงมีการเปิดให้ลงทะเบียนในปัจจุบันถึงวันที่ 22 ก.พ. 2559 มีผู้ใช้แรงงานเข้าลงทะเบียนแล้วกว่า 12,000 คน
นายธีรพลกล่าวว่า กระทรวงแรงงานได้กำหนดห้ามแรงงานอายุต่ำกว่า 18 ปีทำงานบนเรือประมง นอกจากนี้ยังมีการจัดทำหลักฐานสัญญาจ้างและจัดล่ามเพื่อสื่อสารในการแก้ไขปัญหาให้กับแรงงาน ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดถือเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของไทยในการแก้ไขปัญหา อย่างไรก็ตามต้องขอความร่วมมือจากประเทศต้นทาง ในการร่วมมือแสดงความจริงใจ
พล.ต.ต. กรไชย ยืนยันว่าข่าวที่นำเสนอนั้น เกิดจากการที่เจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลือแรงงานผิดกฎหมายในจังหวัดสมุทรสาครจำนวนราว 100 คน ซึ่งทั้งหมดอยู่ระหว่างการควบคุมตัวและได้ดูแลตามหลักสิทธิมนุษยชน พร้อมทั้งกำลังมีการดำเนินคดีผู้ที่เกี่ยวข้อง
ด้านอธิบดีกรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ระบุว่า ได้ประสานไปยังสถานทูตไทยในประเทศต่าง ๆ เพื่อทำความเข้าใจกับสมาคมผู้นำเข้าสินค้าอาหาร ทั้งสหรัฐฯ ออสเตรเลีย และยุโรป รวมถึงภาคเอกชนและเอ็นจีโอ ตลอดจนมีการชี้แจงไปยังรัฐสภา สหรัฐฯ ยุโรปและนานาชาติ รวมถึงเอ็นจีโอว่าการดำเนินการของไทยมีความคืบหน้า และพร้อมรับฟังความคิดเห็น โดยขอความร่วมมือทำงานและแก้ไขปัญหาร่วมกัน
ภาพประกอบ จาก ศปมผ.

หุ้นไทยปักเสาสัญญาณใหม่บนดอย! นลท.แห่เทขายกลุ่มสื่อสาร หลังหวั่นปีหน้ากำไรหดจากการลงทุนสูง



updated: 21 ธ.ค. 2558 เวลา 18:25:30 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ผู้สื่อข่าวประชาชาติธุรกิจ รายงานว่า นายคณฆัส จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันที่ 21 ธ.ค. ดัชนีปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยปิดตลาดที่ระดับ 1,264.44 จุด ลดลง 20.48 จุด หรือ -1.59% มูลค่าการซื้อขาย 61,465.16 ล้านบาท เพราะต้องเผชิญแรงกดดันจากการเทขายของหุ้นกลุ่มสื่อสาร หลังการประมูลใบอนุญาตทั้งคลื่น 1800 MHz และ 900 MHz จบไปในราคาสูงอย่างมาก
โดยจากข้อมูลจะพบได้ว่า การประมูลใบอนุญาตทั้งหมดมีมูลค่ารวมสูงถึง 232,730 ล้านบาท แบ่งเป็น ใบอนุญาต 4G ย่านความถี่ 1800 MHz สองใบอนุญาต ซึ่งเสร็จสิ้นในวันที่ 23 พ.ย. 2558 จำนวนความกว้างใบละ 15 MHz ผู้ชนะคือ ADVANC ในราคา 40,986 ล้านบาท และ TRUE ในราคา 39,792 ล้านบาท

ส่วนการประมูลย่านความถี่ 900 MHz สองใบ ซึ่งเสร็จเมื่อ 19 ธ.ค. 2558 โดยย่านนี้มีความกว้างใบละ 10 MHz ผู้ชนะคือ JAS ในราคา 75,654 ล้านบาท และ TRUE ในราคา 76,298 ล้านบาท

ดังนั้น มูลค่าการลงทุนทั้งหมดนี้ จึงทำให้นักลงทุนมีมุมมองเชิงลบต่อการลงทุนให้หุ้นกลุ่มสื่อสารที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง และอาจมีผลต่อธุรกิจในปีหน้า

สำหรับตลาดหุ้นไทยวันที่ 22 ธ.ค. ประเมินแนวรับที่ระดับ 1,251 จุด แนวต้านที่ระดับ 1,272/1,280 จุด

สหรัฐฯไม่ควรใช้คำว่า “เข้าใจผิด” มาเป็นข้ออ้าง

สหรัฐฯไม่ควรใช้คำว่า “เข้าใจผิด” มาเป็นข้ออ้าง
เมื่อเร็วๆนี้ หลังจากที่สื่อสหรัฐฯปล่อยข่าวออกมาว่ามีเครื่องบินทิ้งระเบิดยุทธศาสตร์ B-52สองลำได้บินเข้าไปใกล้หมู่เกาะสแปรตลีย์ ในทะเลจีนใต้ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคมที่ผ่านมา ทำให้สถานการณ์ในทะเลจีนใต้กลายเป็นที่จับตามองของทุกฝ่ายอีกครั้ง และกระทรวงกลาโหมและกระทรวงต่างประเทศของจีนก็ได้ออกมาตอบโต้ในเรื่องดังกล่าว
ท่าทีของทหารสหรัฐฯต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นทำให้หลายคนเกิดความสงสัย ซึ่งทางเพนตากอนก็ออกมาบอกว่ามีเครื่องบินทิ้งระเบิดยุทธศาสาตร์บินเข้าใกล้แนวปะการังในหมู่เกาะทะเลีนใต้จริงและเจ้าหน้าที่ในภาคพื้นดินของจีนก็ได้พยายามที่จะติดต่อกับเครื่องบินดังกล่าว
แต่ทว่าในขณะเดียวกัน โฆษกทหารของสหรัฐฯก็ได้ออกมากล่าวว่าการบินของ B-52นั้นอยู่นอกเหนือแผนการอย่างสิ้นเชิง โดยกล่าวว่า “เราไม่ได้มีแผนว่าจะบินเข้าไปในพื้นที่ที่อยู่ห่างจากหมู่เกาะในทะเลจีนใต้ ในระยะ 12 ไมล์ทะเล” และสหรัฐฯกำลังดำเนินการตรวจสอบในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว นี่แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯกำลังจะบอกว่าการส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดเข้ามาในน่านฟ้าที่ไม่ไกลจากหมูเกาะในทะเลจีนใต้ครั้งนี้เป็นเรื่อง “เข้าใจผิด”ที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจและหวังว่าเรื่องนี้จะไม่ส่งผลกระทบที่รุนแรง
ในความเป็นจริงแล้ว การจัดการกับประเด็นทะเลจีนใต้ของสหรัฐฯนั้นแบ่งออกเป็นสองหน้า หน้าแรกก็คือพยายามสร้างแรงกดดันให้กับจีนโดยใช้วิธีเดิมๆในฐานะที่เป็นประเทศมหาอำนาจซึ่งก็คือการอวดแสนยานุภาพ
เมื่อเดือนตุลาคมสหรัฐฯส่งเรือพิฆาตUSS Lassen ไปแถวทะเลจีนใต้ใกล้หมู่เกาะสแปรตลีย์ และต่อมายังส่งเครื่องบินทิ้งระเบิด B-52มาอีก โดยใช้การประกาศเสรีภาพในการบินเป็นสโลแกน ซึ่งนายทหารระดับสูงของสหรัฐฯก็พยายามเติมเชื้อเพลิงความขัดแย้งด้วยการขึ้นเรือบรรทุกเครื่องบินยูเอสเอส ธีโอดอร์ รูสเวลท์ ที่ลอยลำเข้ามาใกล้กับหมู่เกาะในทะเลจีนใต้ พร้อมประกาศว่าจะนำเทคโนโลยีที่ “ทันสมัยที่สุด”มาติดตั้งในบริเวณทะเลจีนใต้อีกด้วย
ยังไม่เพียงเท่านั้นสหรัฐฯยังพยายามสร้างสงครามสงครามจิตวิทยา โดยการโจมตีและยัดเยียดว่าสิ่งที่จีนกำลังทำบนเกาะในทะเลจีนใต้นั้นคือการก่อสร้างเพื่อใช้ในกิจการทางทหาร สหรัฐฯจึงมีเหตุผลสมควรที่จะกดดันจีนทุกวิถีทางเพื่อหยุดยั้งกิจกรรมต่างๆบนเกาะของจีน
อีกหน้าหนึ่ง สหรัฐฯก็พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้สถานการณ์บานปลายเกินควบคุม เช่นเมื่อเรือพิฆาตUSS Lassen เข้ามาใกล้กับหมู่เกาะสแปรตลีย์ในทะเลจีนใต้ สหรัฐฯก็จงใจหยุดการเคลื่อนไหวของทหารบนเรือ ปิดเรดาร์ควบคุมการยิง รวมถึงหลีกเลี่ยงการบินขึ้นลงของเฮลิคอปเตอร์ เจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯอ้างว่ารัฐบาลโอบามาพิจรณาแล้วว่าภายในสิ้นปีนี้จะไม่สนับสนุนการส่งเรือรบใดใดหรือเครื่องบินใดใดเข้าไปในบริเวณหมู่เกาะในทะเลจีนใต้อีก
และการที่สหรัฐฯออกมาบอกว่าตนสนับสนุนเสรีภาพในการบินและการเดินเรือนั้นคือการสนับสนุนกฎหมายระหว่างประเทศไม่ได้เป็นการคุกคามทางทหารแต่อย่างใด
แต่สำหรับจีนแล้ว ไม่ว่าสหรัฐฯจะพยายามกดดันหรือเล่นลูกไม้ใดใด ก็ไม่สามารถปิดบังการเข้ามาเคลื่อนไหวในทะเลจีนใต้ในหลายๆครั้งของสหรัฐฯได้ รวมถึงพฤติกรรมการจับตาเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพราะจริงๆแล้วการ“เข้ามาอยางไม่ตั้งใจ”นี้ก็ไม่ต่างอะไรกับ “การบุกรุก”
นอกจากนี้จีนยังสังเกตได้ว่าสหรัฐฯพยายามที่จะดึงพันธมิตรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเข้ามาร่วมในการล่องเรือในทะเลจีนใต้เพื่อปิดล้อมจีน
จีนได้แสดงจุดยืนของจีนต่อสหรัฐฯแล้วหลายครั้ง อันดับแรกจีนยืนหยัดคัดค้านการยั่วยุเพราะ “เสรีภาพในการเดินเรือ” ที่สหรัฐฯกล่าวถึงนั้นไม่เพียงแต่จะไม่สามารถรักษาความปลอดภัยในทะเลจีนใต้ได้แถมยังเป็นสาเหตุสำคัญในการกระตุ้น “ให้เป็นประเด็นทางการทหาร” และทำลายอธิปไตยและความปลอดภัยของจีน
อันดับที่สองสหรัฐฯไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในปัญหาทะเลจีนใต้เพราะสหรัฐฯไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยในปัญหานี้ อันดับสุดท้าย จีนไม่หาเรื่องใครก่อนแต่ก็ไม่เกรงกลัวที่จะตอบโต้ ทหารจีนจะ “ใช้ทุกวิธีการและนโยบายที่จำเป็น”โดยพิจรณาจากสถานการณ์
และสำหรับเหตุเครื่องบินทิ้งระเบิด B-52 ที่ได้บินเข้ามาเฉียดในครั้งนี้ทหารจีนได้มีการเฝ้าจับตาดูอย่างใกล้ชิดรวมถึงมีการเตรียมพร้อมในระดับสูง พร้อมทั้งส่งสัญญาณเตือนให้เครื่องบินสหรัฐฯออกไปจากบริเวณดังกล่าว
“การรุกราน”หมายถึงการละเมิดสิทธิ และทำตามแต่ใจตนเป็นหลัก ซึ่งจีนไม่มีวันยอมรับการใช้เครื่องบินรบเพื่อเป็นการข่มขู่ของสหรัฐฯในครั้งนี้
(เขียนโดย หัว อี้เชิง)นสพ.ซินหัว

โตชิบา คาดการณ์ขาดทุนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ฉุดตลาดหุ้นญี่ปุ่นดิ่งตามไปด้วย



โตชิบา คาดการณ์ขาดทุนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ฉุดตลาดหุ้นญี่ปุ่นดิ่งตามไปด้วย
กลุ่มบริษัทโตชิบาระบุว่า จะรายงานผลขาดทุนประจำปีซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์ราว 162,000 ล้านบาท ในช่วงที่บริษัทกำลังปรับโครงสร้างองค์กร สืบเนื่องมาจากกรณีอื้อฉาวเรื่องการตกแต่งบัญชีผลกำไรเกินจริง ซึ่งการคาดการณ์ผลขาดทุนมหาศาลครั้งนี้ ส่งผลให้หุ้นโตชิบาดิ่งลงแล้วฉุดให้ดัชนีนิเคอิ ของญี่ปุ่นปรับตัวลดลงตามไปด้วย
ข่าวการขาดทุนของโตชิบา ทำให้บรรดานักลงทุนต่างเทขายหุ้นของโตชิบาในวันนี้ (21 ธ.ค.) ส่งผลให้หุ้นของบริษัทปรับตัวลดลงเกือบ 10% และทำให้ดัชนีนิเคอิ ปิดตลาดปรับตัวลดลง 0.4% ไปอยู่ที่ 18,916.02 จุด
โดยหลังจากตลาดหุ้นปิดการซื้อขาย บริษัทโตชิบาเปิดเผยว่า มีแผนจะปลดพนักงาน 6,800 ตำแหน่งในฝ่ายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อผู้บริโภค นอกจากนี้ จะปรับโครงสร้างบริษัทด้วยการขายโรงงานผลิตทีวีและเครื่องซักผ้าในอินโดนีเซีย ทั้งยังมองหานักลงทุนเข้าไปลงทุนในธุรกิจด้านสุขภาพของบริษัท และจะยื่นข้อเสนอให้พนักงานในญี่ปุ่นเกษียณอายุก่อนกำหนดด้วย
ข่าวครั้งนี้มีขึ้นหลังจากเมื่อเดือน เม.ย. มีการตรวจพบว่า บริษัททำบัญชีรายงานผลกำไรเกินจริง 151,800 ล้านเยน ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้มูลค่าของบริษัทโตชิบา ลดลงราว 40% กรณีที่เกิดขึ้นยังทำให้ประธานกรรมการและรองประธานกรรมการของโตชิบาในขณะนั้นลาออกจากตำแหน่งด้วย ‪#‎Toshiba‬
ภาพประกอบ – ภาพจากการแถลงข่าวของโตชิบาที่กรุงโตเกียวในวันนี้

แฉมิสยูนิเวิร์ส 2015 ไม่ใช่ใครที่ไหน"คนรู้ใจ"ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์


แฉมิสยูนิเวิร์ส 2015 ไม่ใช่ใครที่ไหน"คนรู้ใจ"ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์
Cr:kapook
ชาวเน็ตคุ้ยประวัติ ปิอา อะลอนโซ เวิร์ตซแบช นางงามจากฟิลิปปินส์ เจ้าของมงกุฎมิสยูนิเวิร์ส 2015 พบว่าเธอมีความสัมพันธ์สุดหวานซึ้งกับประธานาธิบดีเบนิกโน อากีโนที่ 3 แห่งฟิลิปปินส์
โดยหลังจากผลการประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2015 ปรากฏออกมาเมื่อคืนวันที่ 20 ธันวาคม 2558 ชื่อของ ปิอา อะลอนโซ เวิร์ตซแบช ก็ถูกพูดถึงไปทั่วโลกทันที และประเด็นหนึ่งที่ได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวางก็คือ ปิอา อะลอนโซ เวิร์ตซแบช ไม่ใช่ใครที่ไหน เธอถูกจับตาว่าน่าจะเป็น "คนรู้ใจ" ของประธานาธิบดีเบนิกโน อากีโนที่ 3 แห่งฟิลิปปินส์ มานานแล้ว และเจ้าตัวก็ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องนี้เสียด้วย จุดคำถามคาใจคำถามใหม่ ความสัมพันธ์ระหว่างเธอและประธานาธิบดีมีส่วนทำให้เธอได้มงกุฎมิสยูนิเวิร์สไปครองหรือไม่ ?
ปิอา อะลอนโซ เวิร์ตซแบช ตกเป็นข่าวกิ๊กกับประธานาธิบดีเบนิกโน อากีโนที่ 3 แห่งฟิลิปปินส์ มานานนับปี รายงานจากเว็บไซต์ Canadian Inquirer ระบุว่า เธอตกเป็นข่าวชวนกังขาหนัก ๆ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา หลังจากมีคนไปพบเห็นเธอและประธานาธิบดีกำลังนั่งทานดินเนอร์ด้วยกันสองต่อสอง ในร้านอาหารอิตาลี กรุงมะนิลา แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอเองก็ไม่เคยตอบคำถามว่ากำลังคบหาดูใจอยู่กับท่านประธานาธิบดีหรือเปล่า แต่เธอก็ยอมรับว่ามีความสุขที่ได้พูดคุยกับเขา ได้ส่งข้อความหากัน โดยเธอได้แย้มให้รู้ถึงความสัมพันธ์ผ่านคำเปิดเผยของเธอที่ระบุว่า
"ท่านประธานาธิบดีนั้นรายล้อมด้วยผู้คนที่จริงจังตลอดเวลา ดังนั้นเวลาที่ฉันคุยกับท่าน ฉันกล้าที่จะถามคำถามที่หลายคนไม่กล้าที่จะถาม อย่างเช่น มีงานอดิเรกอะไร ชอบฟังเพลงแบบไหน มันเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ฉันคิดว่าท่านคงจะเซอร์ไพรส์กับคำถามของฉัน ก็เลยทำให้เราเริ่มคุยกันอย่างสนุกสนาน ฉันคิดว่าท่านจะไม่สนใจฉันนะถ้าหากท่านไม่เห็นว่าฉันคุยสนุก"
แต่เมื่อถูกถามถึงรูปแบบความสัมพันธ์ว่าอยู่ในฐานะอะไร เธอกลับตอบอย่างคลุมเครือว่า "ฉันรู้จักท่าน ฉันคุยกับท่าน เขาเป็นคนที่คุยด้วยแล้วมีความสุข" พร้อมย้ำว่าต่างคนต่างก็มีหน้าที่ของตัวเอง ไม่มีเวลารู้จักกันมากกว่านี้ ประธานาธิบดีก็มีหน้าที่ยุ่งเหยิง ส่วนเธอเองก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมขึ้นเวทีมิสยูนิเวิร์ส
นอกจากนี้ ในช่วงก่อนหน้าที่จะขึ้นเวทีประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2015 ปิอา อะลอนโซ เวิร์ตซแบช ก็ยังเปิดเผยว่าเธอรอคำอวยพรจากประธานาธิบดีอีกด้วย โดยเธอให้เหตุผลว่าเธออยากจะได้รับคำอวยพรจากท่านประธานาธิบดี เพราะคำอวยพรของท่านนั้นทำให้มันเกิดขึ้นจริง อย่างตอนที่ท่านอวยพร บีอา โรส ซานติอาโด ตัวแทนสาวงามจากฟิลิปปินส์ที่เข้าประกวดเวทีมิสอินเทอร์เนชั่นแนล 2013 ปรากฏว่าซานติอาโดก็ได้มงกุฎจากเวทีนั้นมา
อนึ่ง นอกจากประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประธานาธิบดีเบนิกโน อากีโนที่ 3 และปิอา อะลอนโซ เวิร์ตซแบช แล้ว กรณีคำถามที่เวิร์ตซแบชได้รับบนเวทีการประกวด ยังกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมากด้วย เพราะส่อเค้าจะเป็นเรื่องการเอื้อผลประโยชน์ทางการเมือง เมื่อทางกองประกวดได้ถามเวิร์ตซแบชว่า "คุณคิดว่าสหรัฐฯ ควรจะตั้งฐานทัพในฟิลิปปินส์หรือไม่" ซึ่งเธอได้ตอบอย่างฉะฉานว่า "ฉันคิดว่าฟิลิปปินส์และสหรัฐฯ มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันค่ะ ดังนั้นจึงไม่น่ามีปัญหาอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้" จนหลายคนเชื่อว่าเรื่องนี้มีอะไรในกอไผ่อย่างแน่นอน

คสช.สั่งทหาร ลงพื้นที่ ทำความเข้าใจ การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล เน้นการเป็น “ประชารัฐ”


คสช.สั่งทหาร ลงพื้นที่ ทำความเข้าใจ การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล เน้นการเป็น “ประชารัฐ” ที่ประชาชนต้องเข้าใจในสิทธิ เสรีภาพและหน้าที่ เดินหน้าบังคับใช้กม. จัดระเบียบสังคม พร้อมจับมือทุกภาคส่วนร่วมดูแลประชาชน ฉลองปีใหม่ อย่างปลอดภัยและมีความสุข บิ๊กอู๊ด พลเอกวลิต อยู่โยง ประชุมแทน บิ๊กหมูที่ลงใต้ กับ รมว.กห.
พลเอก วลิต โรจนภักดี รองเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เป็นประธานการประชุมสำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
โดยได้ให้ความสำคัญกับมาตรการป้องกัน ดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๙ โดยเฉพาะมาตรการลดอุบัติเหตุบนท้องถนน เพื่อมอบเป็นของขวัญวันปีใหม่ และให้ประชาชนเดินทางอย่างปลอดภัยและมีความสุข
โดยมอบหมายให้กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย บูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วนอย่างใกล้ชิด ในการตั้งจุดบริการประชาชนตลอดเส้นทางสายหลัก
สำหรับถนนสายรองให้มีการประสานกับทางหลวงชนบทและองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทำสัญลักษณ์เตือนและบอกเส้นทางให้เกิดความปลอดภัยในการสัญจร
ในขณะเดียวกันให้ทุกส่วนเดินหน้าสร้างการรับรู้ และความเข้าใจให้กับประชาชน ในแนวทางการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล เน้นเรื่องการเป็น “ประชารัฐ” ที่ประชาชนต้องเข้าใจในสิทธิ เสรีภาพและหน้าที่
ขณะนี้กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ศูนย์ปรองดองสมานฉันท์ และกระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมกันลงพื้นที่ชี้แจงสถานการณ์น้ำ มาตรการการช่วยเหลือจากภาครัฐ การปลูกพืชใช้น้ำน้อย และมาตรการประหยัดน้ำ โดยในภาคกลางได้ลงพื้นที่แล้ว ๙๘๘ หมู่บ้านใน ๘ จังหวัด
ส่วนภาคอีสาน เข้าชี้แจงแล้ว ๔๒ อำเภอ ส่วนในภาคเหนือได้ชี้แจงใน ๑๐ จังหวัด ๕๐ หมู่บ้าน และในภาคใต้ที่ จ.สุราษฎร์ธานี และพังงา ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่มีความเข้าใจและให้ความร่วมมือกับมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ ในขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ได้เข้ารับฟังความเดือดร้อนของประชาชนด้วย
นอกจากนี้ กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ได้ร่วมกับตำรวจ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เข้มงวดการบังคับใช้กฎหมายและการจัดระเบียบสังคม เช่น การเข้าตรวจสอบซ้ำในมาตรการจัดระเบียบรถตู้โดยสารสาธารณะในพื้นที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กทม., การจัดกำลังร่วม ๓ ฝ่าย กวาดล้างอาชญากรรมและสิ่งผิดกฎหมายใน ๙ จังหวัดภาคอีสาน พบการกระทำความผิดในคดีเงินกู้นอกระบบ และการเข้าตรวจค้นและจับกุมแรงงานต่างด้าวในพื้นที่ก่อสร้างเขตพญาไท กทม., การเข้าดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมสวนปาล์มในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานีและกระบี่
สำหรับการจัดระเบียบการรุกล้ำลำคลองสาธารณะ ซึ่งรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มีแผนดำเนินการในหลายพื้นที่ เพื่อดูแลแหล่งนำ้สาธารณะให้เกิดประโยชน์
ต่อส่วนรวมอย่างแท้จริง ล่าสุดกำลังดำเนินการที่ คลองลาดพร้าว กทม.โดยมีการจัดประชุมหารือกับทุกส่วนที่ได้รับผลกระทบ ขณะนี้อยู่ระหว่างการสำรวจและสร้างการรับรู้ของประชาชนในพื้นที่
พลเอกวลิต รองเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ให้เร่งรวบรวมสภาพปัญหาและความเดือดร้อนของประชาชนในด้านต่างๆ เพื่อเข้าสู่การแก้ไขอย่างเป็นระบบ
การประชุมในวันนี้มีการสรุปผลการปฏิบัติงานในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ยังคงสกัดกั้นการกระทำผิดกฎหมาย ยาเสพติด ป่าไม้ อาวุธ การพนัน รวมทั้งสร้างสภาวะแวดล้อมที่ปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง สามารถจับกุมยาเสพติด ๒๐ ครั้ง ยึดยาบ้า ๗๔๒,๔๘๐ เม็ด, ไอซ์ ๔๓ กรัม, กัญชา ๖๗๒ กรัม, ไม้มีค่า ๑๗๓ ท่อน ไม้มีค่าแปรรูปอีก ๓๖ แผ่น และจับกุมผู้กระทำผิด พ.ร.บ.อาวุธ ได้อาวุธปืน ๒๓ กระบอก, เครื่องกระสุน ๑๗๔ นัด ส่วนการทำงานของศูนย์ดำรงธรรมในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนประชาชน สามารถคลี่คลายปัญหาต่างๆได้ร้อยละ๙๒ ของเรื่องร้องทุกข์
สำหรับการช่วยเหลือประชาชนยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง อาทิ การพัฒนาสถานที่สาธารณะประโยชน์ การก่อสร้างฝายป้องกันน้ำแล้งใน จ.สกลนคร ๑๖๖ แห่ง ซึ่งเกษตรกรได้รับประโยชน์ ๑๕,๐๘๕ ครัวเรือน ส่วนการขุดลอกแหล่งน้ำ ๑๖๔ แผนงาน เพื่อกักเก็บน้ำฝนทั่วประเทศ ปัจจุบันมีความคืบหน้าร้อยละ ๙๖.๙ 
///
ที่มาเพจ วาสนา นาน่วม

ทำเนียบฯ ตั้ง เต้นท์ติดแอร์ขนาดใหญ่ยาวเลียบ คลองเปรมประชากร หน้าทำเนียบฯจัดนิทรรศการผลงานรัฐบาล23-25ธค

ทำเนียบฯ ตั้ง เต้นท์ติดแอร์ขนาดใหญ่ยาวเลียบ คลองเปรมประชากร หน้าทำเนียบฯจัดนิทรรศการผลงานรัฐบาล23-25ธค.6กลุ่มงาน นายกฯนำแถลง23ธค. และสรุปปิดท้าย 25ธค. ด้าน คสช. เชิญชมนิทรรศการผลงานในรอบ 1 ปี
พันเอกหญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก คสช. เผยว่า ตามที่รัฐบาลกำหนดแถลงผลการดำเนินงานและจัดแสดงผลงานรอบ ๑ ปี ระหว่างวันที่ ๒๓ – ๒๕ ธ.ค.๕๘ ณ ทำเนียบรัฐบาล นั้น
ในส่วนของ คสช. ได้นำผลการปฏิบัติงานตลอดปี ๕๘ ทั้งที่เป็นงานตามภารกิจของ คสช. โดยตรง และงานที่ให้การสนับสนุนรัฐบาล โดยได้สรุปผลงานดังกล่าวนำเสนอในรูปแบบของการจัดนิทรรศการ โดยมีเนื้อหาประกอบด้วย สภาพปัญหาของประเทศ, โรดแมพของ คสช. และการดำเนินงานตามโรดแม็พ, การดำเนินงานที่สำคัญของ คสช. รวมทั้งงานที่เกี่ยวกับการสร้างความปรองดองและสมานฉันท์

กระชับพื้นที่ แถลงผลงานรัฐบาล บิ๊กตู่ จาก3 วันเหลือ2 วัน

กระชับพื้นที่ แถลงผลงานรัฐบาล บิ๊กตู่ จาก3 วันเหลือ2 วัน แต่เสิร์ฟ รมต. ถึงบ้าน ผ่านรายการ เดินหน้าประเทศไทย 23ธค.-13มค.
พลตรีสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาล เผยว่า หลังจากมีการหารือกันหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง แล้ว จากที่นายกฯและรองนายกฯและรมต. ต่างๆ มีข้อคิดเห็นมา เราก็มาประชุมกันแล้ว เห็นตรงกันว่า จะลดวันแถลงข่าวผลงานรัฐบาล จาก 3วัน 23-25ธค. เหลือ23ธค.วันเดียว โดย นายกฯนำแถลง ราว1 ชม. ก่อน รองนายกฯ6คนแถลง ต่อ คนละ20 นาที และให้สื้อซักถาม จนถึงเที่ยง
ส่วนบ่าย 23ธค. พลเอกประวิตร เปิดนิทรรศการ ผลงานรัฐบาล เพราะนายกฯไป รับเสด็จฯสมเด็จพระเทพฯ ที่กาญจนบุรี
นอกจากนี้ เราจะเสิร์ฟ รมต.แต่ละกระทรวงออกรายการ"เดืนหน้าประเมศไทย"ให้ดูถึงบ้าน 23ธค-13มค.เว้น วันศุกร์ เพราะมีรายการ คืนความสุขฯ ตามเดิม โดยพลเอกประวิตร ประเดิมกระทรวงกลาโหม เป็นกระทรวงแรก ออกทีวี. อุตสาหกรรม ท้ายสุด
ส่วน25ธค.นายกฯ จะมาปิดท้ายแถลงข่าว กับสื่อ โดยมาทานน้ำชากับสื่อ 16.00 น. ในโอกาสปีใหม่ ตามเดิม

ศาลทหารชี้คดีโพสต์ข่าวกล่าวหานายกโอนหุ้นไปสิงคโปร์ ไม่อยู่ในข่ายความผิดต่อความมั่นคง


ศาลทหารชี้คดีโพสต์ข่าวกล่าวหานายกโอนหุ้นไปสิงคโปร์ ไม่อยู่ในข่ายความผิดต่อความมั่นคง
เฟซบุ๊กเพจโครงการกฎหมายอินเตอร์เน็ตเพื่อประชาชน หรือไอลอว์ รายงานผลการพิจารณาคดีในศาลทหารกรณีที่ น.ส. รินดา โพสต์ข้อความกล่าวหาว่าพล.อ.ประยุทธ์ และภรรยาทุจริตภาษีประชาชน โอนเงินไปประเทศสิงคโปร์หลายหมื่นล้านบาท โดยศาลชี้ว่าการโพสต์เฟซบุ๊กในลักษณะดังกล่าวเป็นการหมิ่นประมาทตัวพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ใช่การยุยงปลุกปั่น ตามมาตรา 116 ซึ่งอยู่ในหมวดความผิดต่อความมั่นคง และศาลสั่งจำหน่ายคดีระหว่างรอพิจารณาว่าคดีต้องไปขึ้นศาลไหน
เว็บไซต์ไอลอว์ระบุว่า ศาลชี้ด้วยว่าการโพสต์ข้อความดังกล่าวเป็นเพียงความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 328 และเนื่องจากจำเลยเป็นพลเรือน ศาลทหารจึงมีอำนาจพิจารณาคดีของพลเรือนเฉพาะในความผิดที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ หรือความมั่นคงของรัฐ หรือความผิดฐานฝ่าฝืนประกาศ/คำสั่ง คสช. เท่านั้น เมื่อคดีไม่เกี่ยวข้องกับความผิดตามมาตรา 116 ศาลทหารจึงไม่มีอำนาจพิจารณาคดีนี้
อย่างไรก็ตาม อัยการศาลทหารแถลงค้าน ศาลจึงขอส่งคำร้องไปให้ศาลอาญาพิจารณาว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจของศาลอาญาหรือไม่ และสั่งให้ระงับการพิจารณาคดีนี้ไว้ชั่วคราว เพื่อรอฟังการวินิจฉัยเรื่องเขตอำนาจศาลก่อน ซึ่งหากศาลอาญาเห็นตรงกันกับศาลทหาร ก็จะจำหน่ายคดีให้ไปฟ้องที่ศาลอาญาแทน
คดีนี้รินดาถูกจับกุมเมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2558 ถูกกล่าวหาว่า โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก เรียกร้องให้คนที่ทำงานเกี่ยวกับการเงิน ช่วยกันสกัดการโอนเงินจำนวนหลายหมื่นล้านบาทไปยังประเทศสิงคโปร์ โดยเงินดังกล่าวเป็นเงินที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และภรรยา ได้มาโดยมิชอบ โดยรินดาถูกนำตัวมาฝากขังที่ศาลทหารเมื่อวันที่ 10 ก.ค. ที่ผ่านมา ก่อนจะได้ประกันตัวไปในวันที่ 13 ก.ค.

'บิ๊กป้อม'เตือน 'วีระ'พ้นคุกกัมพูชาได้เพราะ'บิ๊กตู่' | เดลินิวส์

'บิ๊กป้อม'เตือน 'วีระ'พ้นคุกกัมพูชาได้เพราะ'บิ๊กตู่' "บิ๊กป้อม"เบื่อสื่อจี้ถามปมราชภักดิ์ เมิน "เต้น"ยื่นข้อมูลพื้นคอนกรีตร้าว แนะรอผลสอบ คกก. พร้อมเตือน "วีระ"คิดประท้วงกัมพูชา ชี้ออกจากคุกได้เพราะ "บิ๊กตู่" 

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2558 เวลา 10:05 น. 

เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. ที่ฝูงเครื่องบินกองการบิน กรมการขนส่งทหารบก (ขส.ทบ.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ระบุว่าจะยื่นรายละเอียดให้ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธานศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ตรวจสอบการจัดสร้างโครงการอุทยานราชภักดิ์เพิ่มเติม เนื่องจากพบข้อมูลใหม่ว่ามีรอยร้าวพื้นคอนกรีตหลายจุดเป็นทางยาวรอบอุทยาน และเรื่องต้นปาล์มที่ไม่มีการติดชื่อผู้ร่วมบริจาคเงินว่า นายณัฐวุฒิก็ไปยื่นเรื่องได้ ไม่เห็นเป็นอะไร มีเจ้าหน้าที่ดำเนินการ รวมถึงที่ผ่านมาก็มีคณะกรรมการตรวจรับโครงการอยู่แล้ว ส่วนความคืบหน้าการดำเนินการตรวจสอบของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ที่มีพล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานนั้น ขณะนี้ยังไม่ได้มีการสรุปผลการตรวจสอบมาให้ตน เพราะคณะกรรมการกำลังดำเนินการตรวจสอบอยู่ แต่สื่อก็มาถามตนตลอด ถ้าตนได้รับผลสรุปเมื่อใดจะให้คณะกรรมการชี้แจงทันที สื่อไม่ต้องห่วงและไม่ต้องถามตน เพราะเมื่อผลสรุปออกเมื่อใด ตนจะบอกด้วยตนเอง พล.อ.ประวิตร ยังกล่าวถึงกรณีที่นายวีระ สมความคิด แกนนำเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชั่นโพสต์ข้อความพร้อมรูปภาพลงเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่าถูกทหารบุกรุกและคุกคามบ้านพักส่วนตัว ภายหลังจะไปประท้วงการมาเยือนของสมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ว่า เมื่อมีแขกของบ้านเมืองมาเยือน ทางเจ้าหน้าที่ก็ต้องดำเนินการให้เกิดความสงบ ที่ผ่านมาพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นคนช่วยดำเนินการเจรจาประสานกับทางการกัมพูชาขอให้ช่วยผ่อนปรนให้นายวีระออกมาจากเรือนจำกัมพูชา และครั้งนี้ทางกัมพูชาก็มาเยือนไทยอย่างเป็นทางการเพื่อดำเนินการเอื้อประโยชน์ต่อประชาชนทั้งสองประเทศอย่างมหาศาล เมื่อถามถึงกรณีที่นายณัฐวุฒิ ระบุว่าจะขอพระราชทานอภัยโทษให้กับแกนนำ นปช. อุบลราชธานี ที่ถูกศาลตัดสินจำคุก กรณีเผาศาลกลาง จ.อุบลราชธานี เมื่อปี 53 ว่า ทุกอย่างว่าไปตามกระบวนการ นายณัฐวุฒิอยากขอก็ขอไป ไม่เป็นอะไร แต่การที่จะไปรวมตัวให้กำลังใจนั้นถามว่าถูกต้องหรือไม่ เพราะขณะนี้เรามีพ.ร.บ. การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 บังคับใช้ อีกทั้งยังมี คสช.อยู่ ตนคิดว่าการรวมตัวนั้นทำไม่ได้.“

อ่านต่อที่ : http://www.dailynews.co.th/politics/368304

ทักษิณเดือดร้อนหนัก! หลังถูก “บัวแก้ว” เพิกถอน 2 พาสปอร์ต - ฟ้อง “อธิบดีกงสุล” ศาล ปค.นัดไต่สวน 23 ธ.ค.นี้

  โดย MGR Online
20 ธันวาคม 2558 11:46 น

ทักษิณเดือดร้อนหนัก! หลังถูก “บัวแก้ว” เพิกถอน 2 พาสปอร์ต กรณีพูดกระทบความมั่นคงปลอดภัยของประเทศไทย - ม.112 เผย “นายใหญ่” ส่งทนายจากพรรคเพื่อไทย ยื่นศาลปกครองฟ้อง “อธิบดีกงสุล” นัดไต่สวน 23 ธ.ค. นี้ คำฟ้องระบุยื่น อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่ได้รับเเจ้งผลการพิจารณายืนตามคำสั่งเดิม
      
       วันนี้ (20 ธ.ค.) มีรายงานว่า ในวันพุธที่ 23 ธ.ค. นี้ เวลา 10.00 น. ศาลปกครองกลาง ได้นัดไต่สวน คดีหมายเลขดำที่ 2115/2558 ระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร (ผู้ฟ้องคดี) กับอธิบดีกรมการกงสุล กับพวกรวม 2 คน (ผู้ถูกฟ้องคดี) ในคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายโดยคดีดังกล่าวนายทักษิณ ฟ้องว่า อธิบดีกรมการกงสุล กับพวกรวม 2 คน มีคำสั่งยกเลิกหนังสือเดินทางเลขที่ U957411 และ Z530117ของนายทักษิณ ลงวันที่วันที่ 26 พ.ค. 2558 โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
      
       โดย ระบุว่าคำสัมภาษณ์ของนายทักษิณมีเนื้อหาบางส่วนที่อาจส่งผลต่อความมั่นคงปลอดภัยของประเทศไทย ประกอบกับอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนนายทักษิณเพื่อดำเนินคดีอาญา มาตรา 112, 326 และ 328 และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (3) (5) จึงเข้าข่ายที่จะยกเลิกหนังสือเดินทางตามระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ. 2548 ข้อ 21 (4) และข้อ 23 (2)
      
       มีรายงานว่า ศาลปกครองได้รับคำฟ้องในวันที่ 8 ธ.ค. 2558 จาก นายวัฒนา เตียงกูล ทนายความพรรคเพื่อไทย เป็นผู้รับมอบอำนาจจากนายทักษิณเป็นผู้ฟ้องคดี
      
       “โดยในคำฟ้องระบุว่า นายทักษิณ ได้มีหนังสือ ลว. 30 ก.ค. 2558 อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่ได้รับเเจ้งผลการพิจารณายืนตามคำสั่งเดิม ปรากฏตามหนังสือที่ กต. 0305.23/23593 ลว. ลงวันที่ 9 ก.ย. 2558 จนเป็นเหตุให้นายทักษิณได้รับความเดือดร้อนเสียหายนำมาสู่การฟ้องคดีดังกล่าว”
      
       มีรายงานว่า หนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) เลขที่ U957441 และเลขที่ Z530117 ของ นายทักษิณ เป็นพาสปอร์ตสำหรับบุคคลทั่วไป ซึ่ง นายทักษิณ ได้รับในสมัยที่ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สำหรับการที่บุคคลหนึ่งคนถือพาสปอร์ตบุคคลธรรมดา 2 เล่มนั้นสามารถทำได้ โดยบุคคลทั่วไปสามารถขอมีพาสปอร์ตมากกว่า 1 เล่มได้ ถ้ามีความจำเป็น อาทิ เป็นผู้ประกอบอาชีพที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อย เช่น นักการทูต นักธุรกิจ นักกีฬา พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน เป็นต้น
      
       ทั้งนี้ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2558 นายนรชิต สิงหเสนี ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ในขณะนั้น ระบุว่า นายทักษิณ ถือพาสปอร์ตแบบบุคคลทั่วไป 2 เล่มพร้อมกัน ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะโดยหลักการที่บุคคลทั่วไปถือหนังสือเดินทาง 2 เล่มนั้น สามารถทำได้หากมีเหตุผลเพียงพอ อาทิ ในกรณีของนักธุรกิจหรือผู้ที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยครั้ง เพราะการยื่นขอวีซ่าบางประเทศใช้เวลา 2 - 3 สัปดาห์ แต่ผู้ที่จะขอถือพาสปอร์ต 2 เล่ม ต้องส่งเรื่องและหลักฐานที่ชัดเจน ซึ่งแสดงถึงเหตุผลและความจำเป็นไปยังกรมการกงสุลเพื่อใช้ประกอบการพิจารณา จึงจะสามารถออกหนังสือเดินทางเล่มที่ 2 ให้ได้
      
       ขณะที่ นายธงชัย ชาสวัสดิ์ อธิบดีกรมการกงสุล ตอนนั้นก็กล่าวว่า เราเพียงแค่ดำเนินการยกเลิกพาสปอร์ตเท่านั้น โดยทั่วไปคนที่ถูกยกเลิกพาสปอร์ตก็คงต้องเดินทางกลับประเทศไทย แต่ก็ขึ้นอยู่กับบุคคลนั้น ๆ ว่า จะตัดสินใจอย่างไร ซึ่งเราไม่รู้ว่าเขาจะทำอย่างไร ทั้งนี้ ไม่ทราบว่า นายทักษิณ จะเคลื่อนไหวในต่างประเทศอย่างไรต่อไปหรือไม่ ต้องไปสอบถามจากครอบครัวหรือคนใกล้ชิด นายทักษิณ
      
       ในเดือนเดียวกัน นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ออกมาเปิดเผยว่า เนื่องจากฝ่ายความมั่นคงได้เสนอให้กระทรวงการต่างประเทศ พิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ภายในอำนาจหน้าที่ ในเรื่องที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้พิจารณาเห็นว่าถ้อยคำการให้สัมภาษณ์ของ นายทักษิณ มีเนื้อหาบางส่วนที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคง ปลอดภัย หรือชื่อเสียง และเกียรติภูมิของประเทศไทย ประกอบกับกรณีดังกล่าวอยู่ระหว่างการสืบสวนสวบสวนเพื่อดำเนินคดีอาญาในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 326 และ 328 และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (3) และ (5) กระทรวงการต่างประเทศได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเข้าข่ายที่จะยกเลิกหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) แบบบุคคลทั่วไป ตามระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ. 2548 ข้อ 21(4) และข้อ 23(2) จึงได้ประกาศยกเลิกหนังสือเดินทาง เลขที่ U 957441 และเลขที่ Z530117 ของ นายทักษิณ ตั้งแต่วันที่ 26 พ.ค. 2558
      
       “เรื่องนี้กระทรวงทำตามหน้าที่ ภายหลังได้รับการประสานงานจากหน่วยงานด้านความมั่นคง ให้ยกเลิกพาสปอร์ต โดยจากนี้ ทางกระทรวงจะส่งหนังสือเวียนถึงสถานเอกอัครราชทูตไทยที่ประจำการในทั่วโลก เพื่อแจ้งให้ทราบถึงคำสั่งดังกล่าว และขณะนี้ถือว่า นายทักษิณ ไม่ได้เป็นผู้ถือพาสปอร์ตไทยแล้ว ทั้งนี้ นายทักษิณ สามารถเดินทางกลับประเทศไทยได้ แต่หากจะเคลื่อนไหวในต่างประเทศอย่างไรต่อไปนั้น เป็นการดำเนินการส่วนตัวของนายทักษิณ” นายเสข กล่าวตอนนั้น
      
       ประเด็นนี้ พลตรี วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ขณะนี้มีข้อมูลว่า นายทักษิณ มีหนังสือเดินทางของประเทศมอนเตเนโกรและนิการากัว ที่สามารถขอวีซ่าเดินทางเข้าออกต่างประเทศได้ แต่หนังสือเดินทางของทั้งสองประเทศ อาจจะมีข้อจำกัดในการเดินทางเข้าออกประเทศในอาเซียนและเอเชีย มากกว่าหนังสือเดินทางของไทย ที่มีข้อตกลงไม่ต้องขอวีซ่าเดินทางเข้าออกอยู่หลายประเทศ ทำให้นายทักษิณเดินทางในต่างประเทศได้ยากขึ้น
       

นายกรัฐมนตรี พูดถึง วีระ สมความคิด

นายกรัฐมนตรี พูดถึง วีระ สมความคิด
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ทหารจำเป็นต้องเข้าบล็อค นายวีระ สมความคิด ที่หน้าบ้าน หลังประกาศจะออกมาประท้วง นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ขณะเยือนไทย
โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ถามสื่อว่า แล้วมันถูกต้องไหม ทำไมสื่อจะต้องมาพูดให้เขาด้วย แขกบ้านแขกเมืองมา มาประชุมเป็นทางการ แล้วจะออกมาด่า เนี่ย ควรจะมาไหม แล้วทหารไปล้อมจับหรือไง เผยทหารไปล้อมหน้าบ้าน ล้อมไปนานๆ แล้ว สงสัยว่า หายไปไหนวะ แต่ไม่รู้ออกไปไหนแล้ว ต้องไปถามแม่ เขาบอกออกไปแล้ว ก็แสดงว่า
ทหารไม่ได้เอาจริง ถามแล้วรู้ไหม ทำไมเขาถึงมาพูดมากแบบนี้ได้ เพราะใคร เพราะผมเป็นคนขอกับ "สมเด็จฮุนเซน" เพื่อขอให้ขอพระราชทานอภัยโทษจาก พระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี พระมหากษัตริย์แห่งกัมพูชา ให้จึงออกจากคุกมาได้
แล้วมาหาว่า มีอะไรแลกเปลี่ยนกัน เรื่องผลประโยชน์ในทะเล มันน่าปล่อยให้เน่าตายนะ ผมต้องไปขอสมเด็จฮุนเซน ให้ไม่ใช่อำนาจเขา เขาต้องไปขอพระราชทานอภัยโทษ ให้ ถามมีใครรัฐบาลไหนทำให้ไหม ทำให้แล้ว แล้วผมได้อะไร. นายกรัฐมนตรีกล่าว.

บทวิเคราะห์ หลังประมูล 4G ชัยชนะของ True-JAS อนาคต AIS-DTAC

บทวิเคราะห์ หลังประมูล 4G ชัยชนะของ True-JAS อนาคต AIS-DTAC

posted by   32,506 views
474
p
จบไปแล้วกับการประมูลคลื่นความถี่ 900 MHz เพื่อให้บริการ 4G ผลการประมูลทำให้หลายคนประหลาดใจ เพราะผู้ชนะคือ True และ Jas ซึ่งผิดกับที่คาดการณ์กันไว้ แต่อย่างไรก็ก็ตาม เมื่อการประมูลจบลงไปแล้ว ก็ต้องมาดูกันต่อยาวๆ ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ทาง Marketingoops จึงประเมินสถานการณ์พร้อมเรียบเรียงบทวิเคราะห์จากคาตาลิสท์ ที่วิเคราะห์ได้อย่างน่าสนใจ ให้อ่านแบบง่ายๆ ดังนี้
1) วันที่ 19 ธันวาคม 2558 คือวันสิ้นสุดการประมูลคลื่นความถี่ 900 MHz ใช้เวลาไป 4 วัน 4 คืน โดยมีใบอนุญาต 2 ใบ ใบแรกผู้ชนะคือ บริษัท แจส โมบาย บรอดแบนด์ จำกัด หรือ JAS ที่ราคา 75,654 ล้านบาท และใบที่สอง ผู้ชนะคือ บริษัท ทรูมูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด หรือ True ที่ราคา 76,298 ล้านบาท รวมเป็นเงินเข้ารัฐ 151,952 ล้านบาท เรียกว่าทำลายสถิติโลกมูลค่าการประมูลคลื่นความถี่ในต่างประเทศที่เคยสูงสุดประมาณ 68,000 ล้านบาท
2) นายธีระ กนกกาญจนรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และกลยุทธ์ธุรกิจ บริษัท เจ.เอ็ม.คาตาลิสท์ จำกัด ระบุว่า ผลการประมูลจะทำให้การแข่งขันในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเปลี่ยนไป จากเดิมมีผู้ให้บริการ 3 ราย จะเพิ่มเป็น 4 ราย โดยมี JAS เข้ามาสร้างแรงกดดันและความเข้มข้น
1450463338381
พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ประธานกรรมการกิจการโทรคมนาคม ใน กสทช. แถลงผลการประมูล

JAS ภารกิจเร่งสร้างลูกค้า-โครงข่าย

3) ผู้ชนะการประมูลรายแรก JAS แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะเข้าสู่ตลาดโทรคมนาคมแบบเต็มตัว จะเห็นการขยายตลาดจากบริการ Fixed Broadband หรืออินเทอร์เน็ตตามบ้าน สำนักงาน ไปสู่รูปแบบ Mobile Broadband ที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งคลื่น 900 MHz นั้น เป็นคลื่นช่วงยาว ที่ใช้ได้ดีในวงกว้าง จึงเหมาะมากในการเริ่มต้น และด้วยคอนเทนต์ที่ JAS มีอยู่ การมีโครงข่ายทั้งมีสายและไร้สาย จะช่วยให้การกระจายไปได้ครอบคลุมมากขึ้นด้วย
4) JAS เหมือนหลังชนฝาที่ต้องคว้าคลื่น 900 มาให้ได้ เพราะ True มีทั้งเครือข่ายมีสายและไร้สายอยู่แล้ว AIS ก็เริ่มรุกเข้าตลาดเครือข่ายมีสายมากขึ้นเรื่อย เรียกว่าเป็นส่วนผสมของ Fixed-Mobile-Content อย่างลงตัว JAS มีจุดแข็งที่โครงข่ายสาย ให้บริการ 3BB Broadband อยู่แล้ว แต่ไม่สามารถขยายไปโครงข่ายไร้สายได้ เพราะไม่มีคลื่นความถี่ ครั้งนี้จึงเป็นการปลดล็อคครั้งสำคัญ
5) แต่ JAS ก็ต้องเหนื่อยหนักกว่าเจ้าเก่าในตลาด เพราะไม่มีฐานลูกค้าโมบายอยู่เลย นอกจากต้องลงทุนโครงข่ายให้เร็วที่สุด เพราะมีมูลค่าใบอนุญาตค้ำคออยู่กว่า 7.5 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะเห็นการจับมือเป็นพันธมิตรเพื่อขอใช้เสาสัญญาณร่วมกัน ควบคู่กับการลงทุนเสาสัญญาณของตัวเอง ยังมีเรื่องของบุคลากรด้านโมบาย เรียกว่าทั้ง True และ JAS ต้องใช้ประโยชน์จากการมีคลื่นความถี่เพื่อสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุดนั่นเอง

True ความกดดันอันมหาศาล เพื่อเป็นที่ 1

6) ผู้ชนะอีกรายคือ True ในการประมูลปีนี้ True แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทอย่างชัดเจนว่า ต้องการชิงตำแหน่งอันดับ 2 ในตลาดจาก DTAC ด้วยการประมูลคลื่นทั้ง 1800 และ 900 ไปครอง และการมีคลื่นมาเพิ่มยังเป็นการประกันความเสี่ยงที่มีผู้เล่นหน้าใหม่อย่าง JAS เข้ามาในตลาด และในระยะยาว True ยังมีศักยภาพที่จะแข่งกับ AIS ได้ดีขึ้นด้วย
ais1

AIS ต้องพิสูจน์ว่าคลื่นที่มีอยู่เพียงพอให้บริการ

7) ผู้ที่พลาดรายแรกคือ AIS จากที่คาดกันว่า การมีผู้ใช้บริการกว่า 40 ล้านราย และมีคลื่นเพียง 1800 และ 2100 MHz ซึ่งอาจไม่เพียงพอให้บริการในระยะยาว ขณะที่ผลประกอบการ AIS มีรายได้และกำไรมากที่สุด น่าจะได้คลื่น 900 มาครอง แต่ AIS ระบุว่าจากการประเมินความคุ้มค่าแล้ว การประมูลครั้งนี้มีราคาสูงเกินไป และมั่นใจว่าทรัพยากรที่มีอยู่เพียงพอเพื่อให้บริการต่อไปได้
8) AIS กดราคาไปถึง 75,976 ล้านบาท แสดงว่าประเมินแล้วว่าสูงกว่านี้ ไม่คุ้มกับคลื่น 900 แต่ที่ยังวางใจส่วนหนึ่ง เชื่อว่าจะได้เห็นการจับมือกับ TOT เพื่อนำคลื่น 1900 MHz มาใช้งาน ซึ่ง TOT ก็จะมีส่วนแบ่งรายได้จากการให้ใช้งานคลื่น และ AIS ก็จะได้ใช้คลื่นให้บริการลูกค้า สมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

DTAC สร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าโดยเร็ว

9) ด้าน DTAC แม้จะมี 3 คลื่นไตรเน็ต 850, 1800 และ 2100 MHz ในมืออยู่แล้ว บอกเลยว่ายังมีคลื่นเหลือพอใช้งานสบายๆ แต่ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า และเตรียมจัดการความเสี่ยงเรื่องสัมปทานที่จะหมดอายุในปี 2561 ที่ต้องมาลุ้นกันอีกรอบ และจากนี้ dtac จะโดนรุกหนักจาก True ในการชิงฐานลูกค้าเพื่อขึ้นสู่อันดับ 2 ของตลาดแน่นอน ทางออกหนึ่งคือ dtac น่าจะกลับมาจับมือกับ CAT Telecom มากขึ้น เพื่อนำคลื่นความถี่ที่ยังไม่มีการใช้งานออกมาใช้ (โมเดลเหมือน TOT-AIS เลย) ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
dtac1

TDRI ยืนยันประเทศ-ประชาชนได้ประโยชน์

10) มูลค่าใบอนุญาตครั้งนี้ 151,952 ล้านบาทสูงไปหรือไม่ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ แห่งสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอ ได้แสดงทัศนะไว้อย่างน่าสนใจว่า คลื่นความถี่เป็นทรัพยากรที่มีจำกัด ต้องมีการแข่งขันเพื่อจัดสรรให้กับผู้ชนะไปใช้งาน ซึ่งการประมูลคลื่น 4G ทั้ง 2 ครั้งสร้างรายได้มหาศาลแก่รัฐบาล  ลดความจำเป็นในการเก็บภาษีเพิ่มจากประชาชน  ในขณะที่ไม่ก่อให้เกิดผลเสียแก่ประชาชนในฐานะผู้บริโภค
11) หากมีความกังวลใจว่า ผู้ชนะการประมูลจะไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้ ทีดีอาร์ไอ มองว่าเรื่องนี้เป็นการคาดการณ์ที่ผิดพลาดของผู้ประกอบการธุรกิจเอง ไม่ได้เป็นปัญหาที่เกิดจากการประมูล และการที่มีผู้ประกอบการรายใหม่ (JAS) แสดงความสนใจ และชนะการประมูลเข้าสู่ตลาดได้ แสดงว่ามีโอกาสทางธุรกิจอีกมหาศาล
12) สำหรับคลื่นความถี่ 900 นั้น นอกจากจะรองรับเทคโนโลยี 4G ที่กำลังเปิดให้บริการอยู่แล้ว ยังมีคุณสมบัติรองรับเทคโนโลยี 5G ที่จะเปิดให้บริการในอนาคต ผู้ชนะไม่ต้องกังวลเรื่องคลื่นความถี่ไปอีกนาน และ กสทช. ยังจัดให้งวดการจ่ายชำระมีความยืดหยุ่นมากกว่าโดยแบ่งเป็น 4 งวด รวม 3 ปีแรกจ่ายที่ประมาณ 16,000 ล้านบาท จ่ายที่เหลือในปีที่ 4 ทำให้ผู้ให้บริการนั้นมีเวลาในการระดมทุนและจัดสรรเรื่อง Financing
ThinkstockPhotos-468838588
13) ค่าประมูลที่สูง ทำให้ต้นทุนสูงตาม จะกระทบกับค่าบริการหรือไม่ คำตอบคือ ไม่ เพราะมีเงื่อนไขการประมูลกำหนดไว้แต่แรกแล้วว่า ค่าบริการห้ามสูงกว่าที่มีการใช้งานในตลาดปัจจุบัน รวมถึงมีการแข่งขันกันในตลาดอยู่แล้ว (ยิ่งมี JAS มาเป็นรายที่ 4 แข่งขันยิ่งเข้มข้น) เรื่องค่าบริการจึงไม่น่าเป็นห่วง ซึ่งผู้ให้บริการสามารถเพิ่มรายได้ โดยการดึงดูดให้ผู้ใช้ เพิ่มปริมาณการใช้งานและขยายฐานผู้ใช้ แม้จะมีผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือในไทยกว่า 90 ล้านเลขหมาย เกินจำนวนประชากรไปแล้ว แต่มีการใช้สมาร์ทโฟนประมาณ 40% หรือ 36 ล้านเลขหมาย แสดงว่ายังมีโอกาส และจากแนวโน้มทั่วโลก พบว่าเมื่อมีการเปิดให้บริการ 3G และ 4G แล้ว พบว่า ผู้ใช้มีการใช้งานเพิ่มขึ้น เสียคา่บริการเฉลี่ยต่อเดือนเพิ่มขึ้นด้วย
14) จึงคาดการณ์ได้ว่า การแข่งขันกันที่บริการที่มีคุณภาพเพื่อแย่งชิงลูกค้าใหม่ และรักษาฐานลูกค้าเดิมจะเป็นหัวใจสำคัญ ราคาค่าบริการจะเร้าใจมากกว่านี้ จะเห็นการเปิดตลาดใหม่ Bundle บริการ หรือ Convergence ระหว่าง Fixed และ Mobile มากขึ้น จะเห็นการเปิดตลาดผู้บริโภคองค์กร ซึ่งมีการใช้งานหนักกว่าผู้ใช้ทั่วไป

ThinkstockPhotos-468337076

May the force be with True !

May the force be with True !
หลังจากเป็นผู้ชนะในการประมูลคลื่น 900 MHz มาหมาดๆ งานนี้ผู้บริหารทรูไม่รอช้าเปิดโต๊ะแถลงข่าวด้วยคอนเซ็ปท์สตาร์วอร์ ยืนยันคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
“76,298 ล้านบาท หลายคนตั้งคำถามว่าเราจ่ายแพงเกินไปหรือเปล่า นี่เป็นสิ่งที่เราพิจารณาอย่างละเอียดแล้วว่า “คุ้ม”เพราะงานนี้เรายิงทีเดียวได้นกถึง 2 ตัว (เสริมศักยภาพตัวเอง+ทะลวงฐานลูกค้าคู่แข่ง)
1 เราได้คลื่นที่เป็นฐานของสัญญาณ 2G ซึ่งเป็นคลื่นศักยภาพสูง เป็นกลุ่มลูกค้าฐานใหญ่ในประเทศไทยกว่า 50% ซึ่งเป็นผู้ใช้งานจริงอยู่แล้ว
2 ฐานนี้เป็นฐานที่คู่แข่งมีความแข็งแกร่งมานาน การได้มาเท่ากับเป็นการเพิ่มโอกาสในการเจาะฐานลูกค้าของคู่แข่ง ทั้งบริการวอยซ์และดาต้าบน 2G แน่นอนว่าผมอยู่ในวงการมา 20 ปี ไม่มีโอกาสไหนที่ดีกว่านี้อีกแล้ว” ศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น
@ คุ้มค่าในอนาคต เพราะคลื่น 900 MHz ทะลุทะลวงไปได้ไกลกว่าคลื่นความถี่สูงถึง 3 เท่า ลดต้นทุนกว่า 45,000 ล้านบาท ในการลงทุนขยายโครงข่ายเพื่อให้บริการ 4 G ครอบคลุม 97% ของประเทศ
@ เสริมยุทธศาสตร์ “4G Advance” ด้วยจุดแข็งการมีแบนด์วิธมากที่สุดถึง 55MHz ประกอบด้วยคลื่นความถี่ 900 , คลื่นความถี่850(ภายใต้กสท.), คลื่นความถี่ 1800 และ 2100 MHz
@ ปัจจุบันมูลค่าในตลาดประมาณ 240,000 ล้านบาท โดนทรูมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 20 % (เบอร์ 3 รองจากเอไอเอสและดีแทค)ซึ่งจากแผนการรุกตลาดภายใน 3 ปี ตั้งเป้าหมายส่วนแบ่งการตลาดเป็น 34%
@ มีช่องทางในการจัดสรรแหล่งเงินทุนทั้งจากกระแสเงินสดของบริษัท เงินกู้หรือสินเชื่อจากสถาบันการเงิน การจำหน่ายสินทรัพย์เพิ่มเติมเข้ากองทุนและหน่วยลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทคคมนาคมดิจิทัล(DIF) ที่สำคัญด้วยโมเมนตั้มการเติบโตของบริษัทจึงมั่นใจในการชำระหนี้ในอนาคต

ซีพี ออลล์ แถลงการณ์ให้ “ก่อศักดิ์-พิทยา-ปิยะวัฒน์”อยู่ต่อ หลังก.ล.ต.ลงโทษใช้ข้อมูลภายในซื้อหุ้นสยามแม็คโคร

ซีพี ออลล์ แถลงการณ์ให้ “ก่อศักดิ์-พิทยา-ปิยะวัฒน์”อยู่ต่อ หลังก.ล.ต.ลงโทษใช้ข้อมูลภายในซื้อหุ้นสยามแม็คโคร ระบุผลงานโดดเด่นหาคนทดแทนยาก
Date: 21 ธันวาคม 2015
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)เปิดเผยกรณีคณะกรรมการเปรียบเทียบมีคำสั่งเปรียบเทียบปรับ (1) นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (2) นายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุลกรรมการผู้จัดการ บริษัทซีพี ออลล์ จำกัด(มหาชน) (3) นายพิทยา เจียรวิสิฐกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ (4) นายอธึก อัศวานันท์ รองประธานกรรมการและหัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มด้านกฎหมาย บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด กรณีอาศัยข้อมูลภายในซื้อหุ้นบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) (MAKRO) เป็นเงินรวม 33,339,500 บาท และเปรียบเทียบ (5) นายสมศักดิ์ เจียรวิสิฐกุล และ (6) นางสาวอารียา อัศวานันท์ ซึ่งให้การช่วยเหลือสนับสนุน เป็นเงินรายละ 333,333.33 บาท ซึ่งหลังจากมีข่าวปรากฏนายก่อศักดิ์ได้ชี้แจงเรื่องดังกล่าวผ่านสื่อบางฉบับ
นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ที่มาภาพ : https://www.cpall.co.th
นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)
ที่มาภาพ : https://www.cpall.co.th
ล่าสุดวันที่ 21 ธันวาคม2558 ทางบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด(มหาชน) ได้ส่งแถลงการณ์ของคณะกรรมการตรวจสอบและกรรมการอิสระ ของบริษัทต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า สืบเนื่องจากจากประกาศของสำนักงานก.ล.ต.เมื่อวันพุธที่ 2 ธันวาคม 2558 เกี่ยวกับนายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ นายพิทยา เจียรวิสิฐกุล และนายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล ซึ่งเป็นผู้บริหารของบริษัท ซีพี ออลล์ ที่ประชุมของคณะกรรมการตรวจสอบซึ่งมีการประชุมวาระพิเศษเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2558 โดยมีกรรมการอิสระของบริษัทเข้าร่วมประชุมด้วย ได้พิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงหน้าที่ในฐานะผู้แทนของผู้ถือหุ้นทุกรายของบริษัท
ที่ประชุมรับทราบว่านายก่อศักดิ์ นายพิทยา และนายปิยะวัฒน์ ได้ยอมรับในคำตัดสินของสำนักงานก.ล.ต.โดยได้รับการเปรียบเทียบปรับแล้ว และได้พิจารณาข้อเท็จจริงต่างๆอย่างถี่ถ้วน โดยคำนึงถึงการลงโทษของสำนักงานก.ล.ต.ที่ได้เกิดขึ้นแล้ว ตลอดจนพฤติกรรมและผลงานในอดีต รวมทั้งคุณสมบัติและประสบการณ์อันโดดเด่นของบุคคลเหล่านี้ ซึ่งหาทดแทนได้ยาก โดยเปรียบเทียบกับผลกระทบและประโยชน์ที่บริษัทจะได้รับ และเชื่อมั่นว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก คณะกรรมการตรวจสอบและกรรมการอิสระจึงลงความเห็นว่า ยังสมควรที่จะให้บุคคลเหล่านี้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้
กรรมการบริษัทซีพีออลล์
อย่างไรก็ดี ด้วยความเคารพในการตัดสินใจของสำนักงานก.ล.ต. บริษัทควรจะพัฒนาและปรับปรุงแนวทาง และกระบวนการ ตลอดจนการอบรมพนักงานในเรื่องบรรษัทภิบาล เพื่อให้ดำเนินธุรกิจบนมาตรฐานบรรษัทภิบาลที่สาธารณชนคาดหวัง จากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ที่ประชุมจึงมีมติดังต่อไปนี้
1.จัดตั้งคณะกรรมการบรรษัทภิบาล อันจะช่วยเสริมระบบบรรษัทภิบาลในปัจจุบันให้มีความรัดกุมและครอบคลุมยิ่งขึ้น เพื่อให้ที่ประชุมกรรมการบริษัทครั้งต่อไปพิจารณาให้ความเห็นชอบ
2.แต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านบรรษัทภิบาลจากภายนอก ซึ่งรวมไปถึงปรึกษากฎหมายและการตรวจสอบ เพื่อทบทวนจุดอ่อนในโครงสร้างและกระบวนการด้านบรรษัทภิบาลต่างๆ รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุง โดยผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้จะรายงานต่อคณะกรรมการบรรษัทภิบาล
3.กำหนดให้จัดการอบรมที่มีเนื้อหาครอบคลุมอย่างสม่ำเสมอแก่กรรมการและผู้บริหารของบริษัท ตลอดจนผู้ใดก็ตามที่อาจเข้าถึงข้อมูลที่มิได้เผยแพร่ต่อสาธารณะ เพื่อให้ตระหนักถึงความสำคัญ และให้ปฏิบัติตน ตามกฎข้อบังคับของสำนักงานก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

JAS เปิดโต๊ะแจงข้อมูลการเข้าลุยตลาดมือถือ เตรียมทำ 4G ลุยทั่วประเทศ

JAS เปิดโต๊ะแจงข้อมูลการเข้าลุยตลาดมือถือ เตรียมทำ 4G ลุยทั่วประเทศ

By Gimme
Posted at 21/12/2015 11:32
3858 reads
หลังจาก JAS ประมูลใบอนุญาตคลื่น 900MHz ทำให้บริษัทกลายเป็นจุดสนใจ และอยากรู้ข้อมูลว่าค่ายน้อยใหม่ค่ายนี้จะมีดียังไง น่าใช้ขนาดไหน คลื่นที่เอามาจะเอาไปทำอะไรบ้าง และมีเงินลงทุนมาจากแหล่งไหนอย่างไร สู้กับเครือข่ายอื่นได้หรือเปล่า และมีเครือข่ายของต่างชาติเข้ามาแจมรึเปล่า วันนี้ทาง JAS จึงเปิดโต๊ะแถลงข่าวตอบข้อสงสัยให้กับทางผู้สื่อข่าว และพอดีได้มีโอกาสได้เข้าร่วมฟังด้วย จึงขอนำเอาข้อมูลมาแชร์ให้ฟังกัน
ข้อมูลผมจะแบ่งเป็นหัวข้อต่างๆให้นะครับ เผื่อใครสนใจส่วนไหน จะได้เลือกอ่านตามหัวข้อไป โดยการแถลงข่าวครั้งนี้เป็นทางคุณพิชญ์ โพธารามิก CEO ของบริษัท JAS เป็นคนออกมาให้สัมภาษณ์ด้วยตัวเอง

ข้อมูลเชิงธุรกิจ
  • JAS ไม่ได้ถือว่าต้องเริ่มใหม่หมดเพราะว่ามีธุรกิจ Broad Band เป็นฐาน มีลูกค้าอยู่ในมืออยู่แล้ว ปัจจุบันมีบุคลากร 6600 ราย และมีชอป 300 ร้านค้าทั่วประเทศ พนักงาน และซัพพลายเออร์ต่างๆ มีการเตรียมตัวเอาไว้หมดแล้ว พร้อมลุยต่อทันที
  • 3BB 2 ล้านครัวเรือน น่าจะแปลงเป็นลูกค้าได้ 6-8 ล้านเลขหมาย
  • เป้าหมายปีแรก 2 ล้านหมาย ภายใน 3 ปี จะมีลูกค้า 5 ล้านราย และคาดว่าน่าจะมีกำไรทันที
  • จะไม่มีการเพิ่มทุนในเลเวลของ JAS ทุกอย่างจะไปเกิดที่บริษัทลูกของ JAS ที่ทำด้านเครือข่ายทั้งหมด
  • มีฐานลูกค้า broadband อยู่แล้ว 550ตำบลทั่วประเทศ ซึ่งถือเป็นเจ้าที่มีอินเทอร์เนตแบบ Fixed Line ใช้งานแบบ nationwide เจ้าที่สอง และมีการลงทุนเรื่องเครือข่ายทุกๆปีหลักพันล้านบาท
  • JAS Mobile อยู่ภายใต้ JAS อย่ามองว่าเป็นเรื่องบริษัทข้ามชาติ ไม่คิดจะคุยกับ operator ในประเทศไทย เพราะมีคุยกับเครือข่ายต่างชาติแล้ว ต้องการทั้งเงินทุนและความรู้ knowhow แต่ไม่ใช่ผู้ถือหุ้นหลักแน่นอน
  • กฎการจ่ายเงินที่กสทช.ตั้งมาค่อนข้างเอื้อผู้เล่นรายใหม่ มีเวลาให้หายใจก่อน 3 ปี ก่อนที่ต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่
  • JAS มองธุรกิจนี้ว่าเป็นธุรกิจ blue ocean เพราะการเติบโตด้านการใช้งาน data แม้วันนี้ทางคู่แข่งก็เริ่มทำไปบ้างแล้วแต่ว่า JAS ยังมองว่าเข้ามาทัน รายอื่นได้ไปจะไม่ได้เงินอะไรเพิ่มเติมแต่เป็นการปรับปรุงพัฒนาเครือข่ายเป็นหลัก แต่สำหรับ JAS ลูกค้าทุกรายคือการเพิ่มจำนวนลูกค้า เพิ่มรายได้
  • น่าจะได้เห็น JAS Mobile (หรืออาจจะเป็นชื่ออื่น) เข้าตลาดหุ้นภายใน 3 ปี
  • ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดว่าจะได้เริ่มใช้บริการเมื่อไหร่

ข้อมูลเชิงเทคนิค
  • เลือกคลื่น 900 เพราะการลงทุนน้อยกว่ามาก โดยเตรียมลงทุนเรื่องเสาเอาไว้ 20,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 3 ปี น่าจะได้เสาหลักหมื่นต้น (ดูเปรียบเทียบกับคู่แข่งด้านล่าง)
  • ที่มีความเป็นห่วง(รวมถึงบลัฟ)กันว่าคลื่น 900MHz Lot1 จะมีปัญหา ทาง JAS บอกว่าเตรียมอุปกรณ์กรองคลื่นเอาไว้แล้ว โดยน่าจะมีวงเงินที่ใช้เพิ่มไม่เกิน 3000 ล้านบาท
  • จำนวนคลื่น 900MHz ที่ได้มา 10MHz น่าจะสามารถรองรับลูกค้าได้ราว 10ล้านราย
  • Survey สถานที่ตั้งเสาแล้ว น่าจะตั้งเสาเอง และอาจเป็นพาร์ทเนอร์กับ CAT หรือ TOT เพื่อใช้เสาเค้าด้วย
  • ยังไม่เปิดเผยว่าจะมีการจับมือกับเครือข่ายต่างชาติรายใด (แต่คาดการณ์กันว่าน่าจะเป็น SK Telecom จากเกาหลี)
  • เครื่องที่รองรับ 900MHz อาจจะไม่ได้เยอะมาก แต่ว่าแบรนด์ใหญ่ๆอย่าง Samsung Apple ทำมารองรับทั้งหมด และอาจทำอุปกรณ์ของตัวเองเพื่อรองรับ

เบื้องหลังการประมูล
  • คาดว่ามูลค่าการประมูลต้องสูงอยู่แล้ว โดนเฉพาะของ JAS ที่เข้ามาเป็นผู้ให้บริการรายใหม่
  • ช็อคว่าผู้ชนะอีกรายเป็น TRUE ไม่ใช่ AIS
  • กะจะเอาคลื่น 900MHz ตั้งแต่แรก ไม่ได้เล็งคลื่น 1800MHz
  • การที่ราคาประมูล 1800MHz ขึ้นสูง ถือว่าค่อนข้างพอใจและเป็นแทคติกของทางบริษัท

แหล่งเงินทุน
  • JASIF มีเงินสดเหลือ 7หมื่นล้าน
  • Warrant 15000ล้าน
  • คาดว่าจะได้เงิน support จากแบงค์อีก 6หมื่นล้านบาท
  • น่าจะได้เงินลงทุนจาก Operator ต่างชาติมาเพิ่มเติม
คู่แข่ง
  • การที่ราคาประมูล 1800MHz ขึ้นสูง ถือว่าค่อนข้างพอใจและเป็นแทคติกของทางบริษัท
  • AIS ประกาศลงทุนเมื่อคราวทำ 3G 2100MHz ปี 2556-2557 ราว 60,000 ล้านบาท คิดเป็นสถานีฐานกระจายสัญญานอยู่เกือบ 20,000 ต้น
  • AIS Fibre ปีนึงผ่านไปมีลูกค้าเพียงแค่ 25,000 ราย ไม่มองว่าเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว
  • DTAC งบลงทุนด้านเครือข่ายปี 2556-2558 ราว 34,000 ล้านบาท มีสถานีรวมราว 16,500 สถานี

อันนี้เป็นข้อมูลดิบๆที่ได้จากการเปิดโต๊ะนะครับ ส่วนเรื่องการวิเคราะห์เดี๋ยวขอรวบรวมข้อมูลจากทั้ง 4 เจ้าให้ครบก่อนแล้วจะมาเขียนให้ได้อ่านอีกครั้งครับ