PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2558

สหรัฐฯไม่ควรใช้คำว่า “เข้าใจผิด” มาเป็นข้ออ้าง

สหรัฐฯไม่ควรใช้คำว่า “เข้าใจผิด” มาเป็นข้ออ้าง
เมื่อเร็วๆนี้ หลังจากที่สื่อสหรัฐฯปล่อยข่าวออกมาว่ามีเครื่องบินทิ้งระเบิดยุทธศาสตร์ B-52สองลำได้บินเข้าไปใกล้หมู่เกาะสแปรตลีย์ ในทะเลจีนใต้ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคมที่ผ่านมา ทำให้สถานการณ์ในทะเลจีนใต้กลายเป็นที่จับตามองของทุกฝ่ายอีกครั้ง และกระทรวงกลาโหมและกระทรวงต่างประเทศของจีนก็ได้ออกมาตอบโต้ในเรื่องดังกล่าว
ท่าทีของทหารสหรัฐฯต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นทำให้หลายคนเกิดความสงสัย ซึ่งทางเพนตากอนก็ออกมาบอกว่ามีเครื่องบินทิ้งระเบิดยุทธศาสาตร์บินเข้าใกล้แนวปะการังในหมู่เกาะทะเลีนใต้จริงและเจ้าหน้าที่ในภาคพื้นดินของจีนก็ได้พยายามที่จะติดต่อกับเครื่องบินดังกล่าว
แต่ทว่าในขณะเดียวกัน โฆษกทหารของสหรัฐฯก็ได้ออกมากล่าวว่าการบินของ B-52นั้นอยู่นอกเหนือแผนการอย่างสิ้นเชิง โดยกล่าวว่า “เราไม่ได้มีแผนว่าจะบินเข้าไปในพื้นที่ที่อยู่ห่างจากหมู่เกาะในทะเลจีนใต้ ในระยะ 12 ไมล์ทะเล” และสหรัฐฯกำลังดำเนินการตรวจสอบในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว นี่แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯกำลังจะบอกว่าการส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดเข้ามาในน่านฟ้าที่ไม่ไกลจากหมูเกาะในทะเลจีนใต้ครั้งนี้เป็นเรื่อง “เข้าใจผิด”ที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจและหวังว่าเรื่องนี้จะไม่ส่งผลกระทบที่รุนแรง
ในความเป็นจริงแล้ว การจัดการกับประเด็นทะเลจีนใต้ของสหรัฐฯนั้นแบ่งออกเป็นสองหน้า หน้าแรกก็คือพยายามสร้างแรงกดดันให้กับจีนโดยใช้วิธีเดิมๆในฐานะที่เป็นประเทศมหาอำนาจซึ่งก็คือการอวดแสนยานุภาพ
เมื่อเดือนตุลาคมสหรัฐฯส่งเรือพิฆาตUSS Lassen ไปแถวทะเลจีนใต้ใกล้หมู่เกาะสแปรตลีย์ และต่อมายังส่งเครื่องบินทิ้งระเบิด B-52มาอีก โดยใช้การประกาศเสรีภาพในการบินเป็นสโลแกน ซึ่งนายทหารระดับสูงของสหรัฐฯก็พยายามเติมเชื้อเพลิงความขัดแย้งด้วยการขึ้นเรือบรรทุกเครื่องบินยูเอสเอส ธีโอดอร์ รูสเวลท์ ที่ลอยลำเข้ามาใกล้กับหมู่เกาะในทะเลจีนใต้ พร้อมประกาศว่าจะนำเทคโนโลยีที่ “ทันสมัยที่สุด”มาติดตั้งในบริเวณทะเลจีนใต้อีกด้วย
ยังไม่เพียงเท่านั้นสหรัฐฯยังพยายามสร้างสงครามสงครามจิตวิทยา โดยการโจมตีและยัดเยียดว่าสิ่งที่จีนกำลังทำบนเกาะในทะเลจีนใต้นั้นคือการก่อสร้างเพื่อใช้ในกิจการทางทหาร สหรัฐฯจึงมีเหตุผลสมควรที่จะกดดันจีนทุกวิถีทางเพื่อหยุดยั้งกิจกรรมต่างๆบนเกาะของจีน
อีกหน้าหนึ่ง สหรัฐฯก็พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้สถานการณ์บานปลายเกินควบคุม เช่นเมื่อเรือพิฆาตUSS Lassen เข้ามาใกล้กับหมู่เกาะสแปรตลีย์ในทะเลจีนใต้ สหรัฐฯก็จงใจหยุดการเคลื่อนไหวของทหารบนเรือ ปิดเรดาร์ควบคุมการยิง รวมถึงหลีกเลี่ยงการบินขึ้นลงของเฮลิคอปเตอร์ เจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯอ้างว่ารัฐบาลโอบามาพิจรณาแล้วว่าภายในสิ้นปีนี้จะไม่สนับสนุนการส่งเรือรบใดใดหรือเครื่องบินใดใดเข้าไปในบริเวณหมู่เกาะในทะเลจีนใต้อีก
และการที่สหรัฐฯออกมาบอกว่าตนสนับสนุนเสรีภาพในการบินและการเดินเรือนั้นคือการสนับสนุนกฎหมายระหว่างประเทศไม่ได้เป็นการคุกคามทางทหารแต่อย่างใด
แต่สำหรับจีนแล้ว ไม่ว่าสหรัฐฯจะพยายามกดดันหรือเล่นลูกไม้ใดใด ก็ไม่สามารถปิดบังการเข้ามาเคลื่อนไหวในทะเลจีนใต้ในหลายๆครั้งของสหรัฐฯได้ รวมถึงพฤติกรรมการจับตาเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพราะจริงๆแล้วการ“เข้ามาอยางไม่ตั้งใจ”นี้ก็ไม่ต่างอะไรกับ “การบุกรุก”
นอกจากนี้จีนยังสังเกตได้ว่าสหรัฐฯพยายามที่จะดึงพันธมิตรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเข้ามาร่วมในการล่องเรือในทะเลจีนใต้เพื่อปิดล้อมจีน
จีนได้แสดงจุดยืนของจีนต่อสหรัฐฯแล้วหลายครั้ง อันดับแรกจีนยืนหยัดคัดค้านการยั่วยุเพราะ “เสรีภาพในการเดินเรือ” ที่สหรัฐฯกล่าวถึงนั้นไม่เพียงแต่จะไม่สามารถรักษาความปลอดภัยในทะเลจีนใต้ได้แถมยังเป็นสาเหตุสำคัญในการกระตุ้น “ให้เป็นประเด็นทางการทหาร” และทำลายอธิปไตยและความปลอดภัยของจีน
อันดับที่สองสหรัฐฯไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในปัญหาทะเลจีนใต้เพราะสหรัฐฯไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยในปัญหานี้ อันดับสุดท้าย จีนไม่หาเรื่องใครก่อนแต่ก็ไม่เกรงกลัวที่จะตอบโต้ ทหารจีนจะ “ใช้ทุกวิธีการและนโยบายที่จำเป็น”โดยพิจรณาจากสถานการณ์
และสำหรับเหตุเครื่องบินทิ้งระเบิด B-52 ที่ได้บินเข้ามาเฉียดในครั้งนี้ทหารจีนได้มีการเฝ้าจับตาดูอย่างใกล้ชิดรวมถึงมีการเตรียมพร้อมในระดับสูง พร้อมทั้งส่งสัญญาณเตือนให้เครื่องบินสหรัฐฯออกไปจากบริเวณดังกล่าว
“การรุกราน”หมายถึงการละเมิดสิทธิ และทำตามแต่ใจตนเป็นหลัก ซึ่งจีนไม่มีวันยอมรับการใช้เครื่องบินรบเพื่อเป็นการข่มขู่ของสหรัฐฯในครั้งนี้
(เขียนโดย หัว อี้เชิง)นสพ.ซินหัว

ไม่มีความคิดเห็น: