PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2560

"บิ๊กป้อม" ถาม จะรื้อทำไม คดีสลายม็อบ"แดง" ปี 53 ยัน ทำตามกฎหมาย

"บิ๊กป้อม" ถาม จะรื้อทำไม คดีสลายม็อบ"แดง" ปี 53 ยัน ทำตามกฎหมาย

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าว ถึงกรณีแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เรียกร้องให้ปปช. รื้อคดีการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ปี 2553 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 99 ศพ มาพิจารณาใหม่ว่า ถึงวันนี้ไม่มีอะไร ที่มีผลกระทบต่อหน่วยงานด้านความมั่นคง ทุกอย่างก็ว่ากันไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
ส่วนที่กลุ่มนปช. อยากให้รื้อฟื้นคดีขึ้นมาใหม่นั้น จะให้รื้อขึ้นมาอีกทำไม เจ้าหน้าที่ทำแทบตาย
เมื่อถามว่า ทหารจะเดือดร้อนหรือไม่หากมีการรื้อฟื้นคดีขึ้นมาจริง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "คงไม่มีปัญหาอะไร เขาก็ทำตามกฎหมาย"

ไม่เลี้ยง ไม่อุ้ม!

ไม่เลี้ยง ไม่อุ้ม!
ผบ.ทบ. ลั่น ไม่เลี้ยง ทหารผิด เผยปี 60 ปลดแล้ว8 นายทหาร 126นายสิบ เผยทหาร โดยหนัก ทั้งวินัย-อาญา แจงเหตุ ทำร้ายพลทหาร อย่าเหมารวม เผย พลทหารขอนแก่น ถูกลวงทำร้าย เป็นเรื่องส่วนบุคคล
พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. และเลขาธิการคสช. กล่าว ยอมรับว่ามีกำลังพลทำผิดวินัยหลายครั้ง และมีจำนวนมาก ทั้งที่เป็นความผิดส่วนบุคคล และ ความผิดที่มีผลกระทบมากับหน่วย ส่วนบุคคลก็ว่าไปตามคดีความด้านกระบวนการยุติธรรม
ในขณะเดียวกันเมื่อกลับมา ก็ต้องลงโทษทางวินัยซ้ำอีก ต่างจากคนข้างนอกที่คดีความจบเรื่องก็จบ
ส่วนที่กระทบกับหน่วยก็เช่นเดียวกัน ตรงไหนที่ผิดกฎหมายก็ว่าไปตามกฎหมาย และลงโทษทางวินัย หากเป็นเรื่องภายในก็ลงโทษภายในกันเอง เรื่องใดที่มีผู้เสียหายหน่วยก็ต้องไปเยียวยาให้ความช่วยเหลือ

“ทุกครั้งที่ประชุมผมจะย้ำเรื่องนี้เสมอ และมีการลงโทษตามกระบวนการขั้นตอนของทางราชการ
"ปีนี้ก็งดบำเหน็จไปจำนวนมาก ทั้งนายทหาร นายสิบ และมีการปลดออก มีการสรุปตัวเลขว่ามีนายทหาร 8 นาย นายสิบ126 นาย
เพราะฉะนั้นผมไม่ได้เลี้ยงใครไว้ ถ้าผิดก็ผิด ไม่มีความจำเป็นที่ผมต้องไปช่วยเหลือผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทำความผิด
เพราะเวลานี้เมื่อเปิดสอบสมัครต้องการ 20 คน แต่มีผู้มาสมัครถึง 5 พันคน ดังนั้นไม่มีความจำเป็นต้องไปเลี้ยง หรือช่วยเหลือกัน ยืนยันตามกรอบ ผมก็พยายามเต็มที่ แต่คนหมู่มากก็อาจจะมีบ้าง
ส่วนกรณี พลทหารบัญชา กิจมานะ พลทหารประจำกองร้อยอาวุธเบาที่ 3 ค่าย ร.8 พัน 3 เข้าร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาประจำ ร.8 พัน 3 ค่ายสีหราชเดชโชชัย จ.ขอนแก่น ถูกทหารยศนายสิบและจ่าสังกัดเดียวกันหลอกให้ไปทำความสะอาดบ้านพัก แต่ให้พลเรือนเข้ามาทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บว่า อยู่ในขั้นตอนของคดีความที่ต้องดำเนินการไปตามกรอบของคดีในเรื่องการทำร้ายร่างกาย หากมีใครเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดต้องได้รับการลงโทษ

"อย่าไปมองว่าเป็นเรื่องที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก เหตุนี้เกิดจากตัวบุคคลสองคน ขัดแย้งเรื่องส่วนตัวทำร้ายกัน จากที่จ่าซึ่งควบคุมพาไปทำงานเท่านั้นเอง ไม่ใช่กรณีของการไปซ่อม ทำโทษกันตามที่ปรากฏเป็นข่าว"ผบ.ทบ. กล่าว
ส่วน กรณีพลทหาร ยุทธกินันท์ บุญเนียม ถูกทำร้ายร่างกายระหว่างถูกคุมขังในเรือนจำ มทบ.45 จ.สุราษฎร์ธานี นั้นก็ได้ดำเนินคดีตามกฎหมายไปแล้ว
ส่วนกรณีพลทหาร ทาโร่ นพดล วรกิจพันธ์ สังกัดมทบ.45 เสียชีวิตนั้น ยังไม่มีความชัดเจน แต่ภาวะโดยรวมผลชันสูตรยังไม่ออกมา ยืนยันว่ายังไม่ใช่การซ้อมทรมาน

ครม.สัญจร สุพรรณฯ-อยุธยา



ครม.สัญจร สุพรรณฯ-อยุธยา
‪"นายกฯบิ๊กตู่" เตรียมนำ ครม.สัญจร ภาคกลาง 18-19 กย.60 นี้ ลงพื้นที่ "สุพรรณบุรี"และถกครม. ที่อยุธยา หลังเพิ่งไป ครม.สัญจร"โคราช"21-22สค.‬ ...ตามแผนจะไปสัญจร ให้ครบ ทั้ง 6ภาค

นักข่าว ร้อง เฮ้ยยย!!....“บิ๊กป้อม ตอบ "ไม่รู้ "เลือกตั้งในปี 61 หรือไม่ อ้างกฎหมายลูกยังไม่เสร็จ



นักข่าว ร้อง เฮ้ยยย!!....“บิ๊กป้อม ตอบ "ไม่รู้ "เลือกตั้งในปี 61 หรือไม่ อ้างกฎหมายลูกยังไม่เสร็จ ยังไม่อาจกำหนด เลือกตั้ง สค.61
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ระบุวันเลือกตั้งเบื้องต้นที่เดือนสิงหาคม 2561 ว่า กกต.ก็กำหนดไป แต่ยังไม่รู้ว่ากฎหมายลูกจะเสร็จเมื่อใด เพราะต้องรอกฎหมายลูกก่อน
เมื่อถามว่าที่ กกต.กำหนดเบื้องต้นใกล้เคียงกับตุ๊กตาที่รัฐบาลวางไว้หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า รัฐบาลไม่ได้วางตุ๊กตา รัฐบาลตั้งไทม์ไลน์ออกมาเท่านั้นเอง ไม่ได้บอกว่าจะต้องเลือกตั้งเดือนไหน แต่ต้องยึดกฎหมายลูก
เมื่อถามว่าสุดท้ายการเลือกตั้งจะมีขึ้นในปี 2561 แน่นอนหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่รู้ ตอบ ได้ไง
ผู้สื่อข่าวตอบว่าถามเพื่อประชาชนจะได้มั่นใจ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “จะไม่มั่นใจได้ยังไง ไม่มั่นใจตรงไหน ทำยังไงถึงไม่มั่นใจ”
ผู้สื่อข่าวถามว่าเพราะมีคนพูดว่าอาจจะไม่มีการเลือกตั้ง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ใครเป็นคนพูดก็ไปถามคนนั้น
เมื่อถามย้ำว่า ทำไมถึงไม่มั่นใจว่าจะมีการเลือกตั้งปีหน้าหรือไม่พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ก็กฎหมายลูก ยังไม่แล้วเสร็จ

จาก ตามล่า.."ลุงวัฒนา"มือระเบิดรพ.มงกุฎฯ...ถึง ตามหา "ยิ่งลักษณ์" ...

จาก ตามล่า.."ลุงวัฒนา"มือระเบิดรพ.มงกุฎฯ...ถึง ตามหา "ยิ่งลักษณ์" ...
"บิ๊กป้อม"พลเอกประวิตร เผยตร.ใช้การแกะรอย "ยิ่งลักษณ์"แบบการตามหา นาย วัฒนา ภุมเรศ "มือระเบิด รพ.พระมงกุฎฯ" ด้วยไล่ตามดูภาพจากกล้องวงจรปิด ขอเวลา จนท.ทำงาน อย่าเพิ่งกำหนดกรอบเวลา เผยมีรถหลายคันต้องสงสัย และระยะทางไกล แถมบางจุด ก็ไม่มีกล้องวงจรปิด
เผยยังไม่ได้ประสาน "พลเอกเตียบันห์" รองนายกฯและรมว.กลาโหม กัมพูชา หรือ ขอความร่วมมือกัมพูชา ระบุ ตรวจสอบในส่วนในประเทศของเราก่อน ปัด หรี่ตา กระพริบ ให้หนี. เชื่อ ไม่ได้ออก ด้าน เกาะกง หรือ จ.ตราด

ให้ "ปู" ตามหา"ปู"

ให้ "ปู" ตามหา"ปู"
"บิ๊กเจี๊ยบ" พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาม ผบทบ. และเลขาฯคสช. เผยว่า พลเอกประวิตร รองนายกฯและรมว.กห. มอบให้ทางตำรวจ นำโดย บิ๊กปู พลตำรวจเอก ศรีวราห์ รองผบ.ตร. มีอะไร ทาง รองนายกฯและ ท่านศรีวราห์ จะเป็นคนชี้แจง เพราะตอนนี้ จนท.ทำงานกันทั้งวัน ทั้งคืน
ทั้งนี้ มีความคืบหน้า เรื่อง"ยิ่งลักษณ์"พอสมควร เผยตำรวจไล่กล้องวงจรปิด เป็นร้อยๆกล้อง ไล่ตามรถต้องสงสัย แต่ขอเวลา เพราะไล่ตามดูรถทีละคัน ถ้าไม่ใช่ ก็ต้องกลับมาไล่กล้องดูใหม่ มอบ"ศรีวราห์" ดูแล เมื่อคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบ เผยจนท.ทำงานทั้งวันทั้งคืน ไม่ได้นิ่งนอนใจ ปัดระบุว่า ตามรถอะไร เพราะถ้าผลออกมาไม่ใช่ ฟอร์จูนเน่อร์ ยังบอกไม่ได้ มีจนท.ช่วยเหลือในการหลบหนีหรือไม่

ไล่กล้องวงจรปิด...ตามรถ ต้องสงสัย

ไล่กล้องวงจรปิด...ตามรถ ต้องสงสัย
"บิ๊กเจี๊ยบ" ผบทบ.แย้ม แกะรอย"ยิ่งลักษณ์"คืบหน้า เผยตำรวจไล่กล้องวงจรปิด เป็นร้อยๆกล้อง ไล่ตาม รถต้องสงสัย แต่ขอเวลา เพราะไล่ตามดูรถทีละคัน ซึ่งมีจำนวนหลายคัน เพราะถ้าไม่ใช่ ก็ต้องกลับมาไล่กล้องดูใหม่ มอบ"ศรีวราห์" ดูแล เมื่อคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบ เผยจนท.ทำงานทั้งวันทั้งคืน ไม่ได้นิ่งนอนใจ ปัดระบุว่า ตามรถอะไร เพราะถ้าผลออกมาไม่ใช่ ฟอร์จูนเน่อร์ เพราะถ้าไม่ใช่ต้องไล่ใหม่ 1 คัน1 วัน. แต่ยังบอกไม่ได้ มีจนท.ช่วยเหลือในการหลบหนีหรือไม่
พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ./เลขาฯคสช. กล่าวถึงความคืบหน้าการติดตามตัวน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า มีความคืบหน้าพอสมควร โดยเป็นเรื่องของคณะทำงาน ซึ่งเราต้องให้เวลากับเจ้าหน้าที่ด้วย เนื่องจากมีรถที่เกี่ยวข้องหลายคัน และรถแต่ละคันก็ต้องตรวจสอบรายละเอียดจากกล้องวงจรปิดหลายสิบตัว แต่ความคืบหน้านั้นมีแน่นอน ซึ่งเมื่อถึงเวลาที่จะชี้แจงทางพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรมว.กลาโหม และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะชี้แจงในเรื่องนี้เอง
ส่วนที่มีกระแสข่าวว่านายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและน.ส.ยิ่งลักษณ์ อาจมีความเคลื่อนไหวในช่วงสัปดาห์นี้นั้นตนยังไม่ทราบ แต่เรื่องทั่วไปยังไม่มีอะไรที่น่าห่วงใย

"ยังไม่สามารถแย้มความคืบหน้าได้ เกรงว่าจะเกิดความสับสน เพราะมีบางคนพูดถึงเรื่องรถฟอร์จูนเนอร์ เดี๋ยวพอเวลาจริงๆ ไม่ใช่รถฟอร์จูนเนอร์. ก็จะบอกว่าที่พูดไว้ทำไมไม่ใช่รถฟอร์จูนเนอร์ ดังนั้นขอให้มีความชัดเจนก่อน ก็จะออกมาบอก
ทุกวันนี้เราไม่ได้นิ่งนอนใจและเจ้าหน้าที่ทำงานทั้งวันทั้งคืนในการไล่ดูกล้องวงจรปิดทุกพื้นที่ และรถต้องสงสัยทุกคัน ผมก็ทราบจากพล.อ.ประวิตรว่ามีความคืบหน้าพอสมควร ถ้ามีอะไรพล.อ.ประวิตรคงชี้แจง รวมถึงทางตำรวจโดย พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ"

เมื่อถามว่า เป็นที่ยืนยันชัดเจนแล้วใช่หรือไม่ว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า หลักฐานยังไม่มี แต่เป็นการทำงานตามกรอบความคิดและความเชื่อที่เชื่อว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว

เมื่อถามต่อว่า จากการวิเคราะห์เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือ พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า ยังไม่ขอสรุปและต้องขอเวลาตรวจสอบอีกนิดนึง เพราะเรื่องนี้ต้องใช้เวลา

"บิ๊กป้อก" ติดตลก "จะไปพาใครหนีได้. ผมมา ทำเนียบฯยังรถติดเลย"

"บิ๊กป้อก" ติดตลก "จะไปพาใครหนีได้. ผมมา ทำเนียบฯยังรถติดเลย" ....หลังถูกพาดพิง ว่า ระบุว่า ใครช่วย"ยิ่งลักษณ์" หนี
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และพี่รอง ในคสช. และ บูรพาพยัคฆ์ ตกเป็นเป้าสายตา ในฐานะ เพื่อน เตรียมทหาร10 ของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร. แต่ทว่า ก็เป็นคน ปฏิวัติล้ม อำนาจ ทักษิณ เมื่อ19กย.2549 ในฐานะแม่ทัพภาค1 คุมกำลัง
พลเอกอนุพงษ์ กล่าวว่า ผมไม่เข้าใจสื่อประเทศไทย ทำไมเอาเรื่องนี้มาถาม
"ผมไปเกี่ยวอะไรด้วย ไม่มีอะไรสำคัญ เอางี้แล้วกัน เมื่อถามมาก็จะตอบ คุณชอบถามแบบนี้ คำถามไม่ค่อยได้อะไร แก่ประเทศ สังคมไม่ได้อะไรเลย นิสัยชอบถามแบบนี้"
"โดยอำนาจหน้าที่ของผม ไม่ได้ไปเกี่ยวข้อง สิ่งที่ผมควรทำ ผมคงไม่ไปทำอะไรที่มันพิเรนทร์ แบบนั้น" พลเอก อนุพงษ์ ระบุ
อย่างไรก็ตาม กำลัฃให้ จนท.ฝ่สยกฎหมาย ดูว่าจะดำเนินการทางกม.ได้อย่างไรหรือไม่ เพราะเหมือนนั่งทำงานอยู่เฉยๆ แล้วมีคนมากล่าวหาอย่างนี้ มันไม่ใช่ผมอย่างเดียว ครอบครัวผม ตระกูลผม สังคมไม่ได้อะไรขึ้นมา ไร้ความคิด ใร้สมองคิด หรือไง
เมื่อถามว่า ได้วิเคราะห์ หรือไม่ว่า ทำไมจึงมีชื่อปรากฏ พลเอก อนุพงษ์ ไม่ตอบ
ก่อนกล่าว ติดตลกว่า จะไปพาใครหนีได้. ผมมานี่ยังรถติดเลย

"บิ๊กป้อก" ฮึ่ม!! ฟ้องเพจ "กูฯ" ลงข้อความพาดพิง

"บิ๊กป้อก" ฮึ่ม!! ฟ้องเพจ "กูฯ" ลงข้อความพาดพิง ใครช่วย"ยิ่งลักษณ์"หนี ให้ทีมกม.ดำเนินการ ยันไม่ทำอะไรพิเรนทร์ แบบนั้น ติงสื่อถามเรื่องนี้ ไม่มีประโยชน์ต่อบ้านเมือง ไร้สมอง ไร้ความคืด
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และพี่รอง ในคสช. และ บูรพาพยัคฆ์ กล่าวว่า ผมไม่เข้าใจสื่อประเทศไทย ทำไมเอาเรื่องนี้มาถาม
"ผมไปเกี่ยวอะไรด้วย ไม่มีอะไรสำคัญ เอางี้แล้วกัน เมื่อถามมาก็จะตอบ คุณชอบถามแบบนี้ คำถามไม่ค่อยได้อะไร แก่ประเทศ สังคมไม่ได้อะไรเลย นิสัยชอบถามแบบนี้"
"โดยอำนาจหน้าที่ของผม ไม่ได้ไปเกี่ยวข้อง สิ่งที่ผมควรทำ ผมคงไม่ไปทำอะไรที่มันพิเรนทร์ แบบนั้น" พลเอก อนุพงษ์ ระบุ
อย่างไรก็ตาม กำลัฃให้ จนท.ฝ่สยกฎหมาย ดูว่าจะดำเนินการทางกม.ได้อย่างไรหรือไม่ เพราะเหมือนนั่งทำงานอยู่เฉยๆ แล้วมีคนมากล่าวหาอย่างนี้ มันไม่ใช่ผมอย่างเดียว ค ครอบครัวผม ตระกูลผม สังคมไม่ได้อะไรขึ้นมา ไร้ความคิด ใร้สมองคิด หรือไง
เมื่อถามว่า ได้วิเคราะห์ หรือไม่ว่า ทำไมจึงมีชื่อปรากฏ พลเอก อนุพงษ์ ไม่ตอบ
ก่อนกล่าว ติดตลกว่า จะไปพาใครหนีได้. ผมมานี่ยังรถติดเลย

ที่ดินอัลไพน์ 'แก้ผิดให้ผิดอีก'

ได้ยิน "ท่านรองฯ วิษณุ" พูดเมื่อวาน ได้แต่นึก...เออ หนอ ในใจ!
ก็เรื่องที่กำลังวิพากษ์กันขรม.........
มหาดไทย-สำนักพุทธเตรียมเสนอร่าง พ.ร.บ.โอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ "วัดธรรมิการามวรวิหาร" ที่กลายเป็นสนามกอล์ฟอัลไพน์
ให้ "มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย"
ในฐานะผู้จัดการมรดกของ "นางเนื่อม ชำนาญชาติศักดา"
ส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาแล้วด้วยซ้ำ
คนเห็นร่าง พ.ร.บ.ก็ท้วงติงอื้ออึง
"นี่มันร่าง 'นิรโทษกรรมยกเข่ง' ชัดๆ นี่นา ถ้าออกมา นายยงยุทธได้อานิสงส์นิรโทษด้วย?"
อีกอย่าง คุณยายเนื่อมถวายที่ดินแก่วัด ย่อมเป็นที่ธรณีสงฆ์ แต่ต่อมามูลนิธิฯ นั่นแหละเอาไปขายให้ทำสนามกอล์ฟ
เมื่อจะออกกฎหมายคืน ก็ต้องคืนที่วัดให้แก่วัดตามพินัยกรรม ไม่ใช่คืนให้มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย (ตัวปัญหา)
เมื่อโวยกัน เมื่อวาน (๔ ก.ย.๖๐) รองนายกฯ วิษณุ จึงบอกว่า
"ยังไม่ใช่กำลังจะออกกฎหมาย........
และยังไม่เคยเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี จะเข้า สนช.ได้อย่างไร รวมถึงยังไม่เคยไปที่คณะกรรมการกฤษฎีกา
เรื่องยังไม่ได้พ้นจากกระทรวงมหาดไทย เป็นเรื่องที่กระทรวงมหาดไทยและสำนักพุทธกำลังหารือกันอยู่"
เอาล่ะ เมื่อรองนายกฯ พูด ก็ต้องเชื่อท่าน เรื่องที่ดินคุณยายเนื่อม มันยอกย้อน-ซ่อนเงื่อน
เมื่อศาลตัดสินจำคุกนายยงยุทธ ๒ ปี ปัญหาที่ต้องแก้กันต่อไปคือ
ในคำพิพากษาเมื่อ ๒๙ สิงหาระบุว่า........
"พินัยกรรมของนางเนื่อม ระบุชัดเจนว่ายกที่ดินให้กับวัดเท่านั้น และให้มูลนิธิร่วมกับวัด ไปร่วมกันช่วยจัดทำประโยชน์ในการครอบครองที่ดิน โดยที่ไม่อาจขยายความไปถึงการขายที่ดินได้....ฯลฯ..."
ก็ชัดเจน แม้ซื้อ-ขายกันไปหลายทอดก็ตาม..........
แต่ที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ และที่ดินบ้านจัดสรรอัลไพน์ ก็ยังคงเป็น "ธรณีสงฆ์" เหมือนเดิม!
เพื่อการติดตามเรื่องแบบมี "ฐานข้อมูล"
วันนี้ ขอเก็บความจาก "บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา"
app-thca.krisdika.go.th/Naturesig/CheckSig? whichLaw=cmd&year=2544...
เรื่อง "ที่ดินอัลไพน์" ตามที่กรมการศาสนาหารือกฤษฎีกามาทบทวนกัน เป็นการเก็บความและนำมาบางส่วนนะครับ
กรมการศาสนา ขอหารือดังนี้
๑.เมื่อนางเนื่อม ชำนาญชาติศักดา ถึงแก่กรรม ที่ดินซึ่งได้ทำพินัยกรรมยกกรรมสิทธิ์ให้แก่วัดธรรมิการามวรวิหาร
ทั้งสองแปลงจะตกเป็นที่ธรณีสงฆ์ คือที่ซึ่งเป็นสมบัติของวัด โดยทันทีหรือไม่ อย่างไร?
๒.ที่ดินตามพินัยกรรมดังกล่าว อยู่ภายใต้เงื่อนไขบทบัญญัติมาตรา ๘๔ แห่งประมวลกฎหมายที่ดินหรือไม่ อย่างไร?
๓.หากที่ดินตามพินัยกรรมดังกล่าว ตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขตามมาตรา ๘๔ แห่งประมวลกฎหมายที่ดินตามข้อ ๒
แต่ผู้มีอำนาจได้มีคำสั่งไม่อนุญาตให้วัดธรรมิการามวรวิหารได้มาซึ่งที่ดินแล้ว ที่ดินตามพินัยกรรมจะตกเป็นของผู้ใด อย่างไร?
๔.ที่ดินทั้งสองแปลงที่นางเนื่อมได้ทำพินัยกรรม ยกกรรมสิทธิ์ให้วัด ผู้จัดการมรดกจะนำที่ดินดังกล่าวไปจำหน่าย จ่าย โอน ได้หรือไม่ อย่างไร?
คณะกรรมการกฤษฎีกา (ที่ประชุมใหญ่) ได้พิจารณาแล้ว มีความเห็นดังนี้
ประเด็นที่หนึ่ง เมื่อนางเนื่อมถึงแก่กรรม ที่ดินทั้งสองแปลงจะตกเป็นที่ธรณีสงฆ์โดยทันทีหรือไม่ นั้น
เห็นว่า ตามข้อเท็จจริง นางเนื่อมได้ทำพินัยกรรม ณ ที่ว่าการอำเภอดุสิต จังหวัดพระนคร โดยระบุในข้อ ๑ (๓) (ง) และ (จ)[๒] ของพินัยกรรมว่า
ต้องการยกกรรมสิทธิ์ที่ดินสองแปลงที่ตั้งอยู่ที่อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เนื้อที่รวมกันประมาณ ๙๒๔ ไร่ ให้แก่วัดธรรมิการามวรวิหาร
ต่อมาในวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๑๔ นางเนื่อมถึงแก่กรรม วัดซึ่งเป็นผู้รับมรดกได้ครอบครองหาประโยชน์จากที่ดินดังกล่าวตลอดมา โดยการให้เช่าทำนา
จนกระทั่งได้โอนให้ "มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย" ในฐานะผู้จัดการมรดก เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๓๓
กรณีจึงพิจารณาได้ว่า นับตั้งแต่นางเนื่อมถึงแก่กรรม มรดกของนางเนื่อมตกทอดไปยังทายาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ที่ดินจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของวัดซึ่งเป็นทายาทตามพินัยกรรม นับตั้งแต่นางเนื่อมถึงแก่กรรม[๓] โดยไม่จำต้องทำการรับมรดก หรือเข้าครอบครองที่พิพาท
ทั้งนี้ ตามมาตรา ๑๕๙๙[๔] ประกอบกับมาตรา ๑๖๐๓[๕] แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
และวัด ในฐานะผู้รับพินัยกรรม อาจใช้สิทธิเรียกร้องเรียกเอาที่ดินมรดกให้ตกได้แก่วัดได้นับตั้งแต่นางเนื่อมถึงแก่กรรมเป็นต้นไป ตามมาตรา ๑๖๗๓[๖] แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งการได้มาซึ่งที่ดินตามพินัยกรรมดังกล่าว เป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม
แม้จะยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มา ที่ดินนั้นก็ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของทายาทแล้ว[๗]
เพียงแต่จะยกเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้ ทั้งนี้ ตามมาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง[๘] แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
อนึ่ง ตามมาตรา ๑๕๙๙ วรรคสอง[๙] แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้น
ทายาทอาจเสียสิทธิในมรดกได้ โดยประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น ซึ่งการเสียสิทธิในมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ประการหนึ่ง คือ การทำหนังสือแสดงเจตนาสละมรดกตามมาตรา ๑๖๑๒
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นับตั้งแต่เมื่อนางเนื่อมถึงแก่กรรม วัดได้เก็บผลประโยชน์จากที่ดินโดยเก็บค่าเช่าทำนามาโดยตลอด และไม่ปรากฏว่าวัดได้ทำหนังสือแสดงเจตนาสละมรดกที่ดินดังกล่าวแต่อย่างใด
ดังนั้น ตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ดินตามพินัยกรรมของนางเนื่อม จึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของวัดแล้วตั้งแต่เจ้ามรดกถึงแก่กรรม
การที่วัดได้มาซึ่งที่ดินมรดกสองแปลงนี้ ต้องอยู่ภายใต้บังคับของประมวลกฎหมายที่ดินด้วย
ซึ่งมาตรา ๘๔ แห่งประมวลกฎหมายที่ดินบัญญัติให้การได้มาซึ่งที่ดินของวัด ต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี แต่ไม่กระทบถึงที่ดินที่วัดได้มาก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ
และมาตรา ๘๕ บัญญัติว่า ในกรณีที่วัดได้ที่ดินมาเกินข้อกำหนดแห่งกฎหมายตามความในมาตรา ๘๔ เมื่อประมวลกฎหมายนี้ได้ใช้บังคับแล้ว ให้นิติบุคคลดังกล่าวจัดการจำหน่ายภายใน ๕ ปี
โดยนัยนี้เท่ากับว่า ประมวลกฎหมายที่ดิน ถือว่าที่ดินที่วัดได้มาตกเป็นกรรมสิทธิ์ของวัดแล้ว
แต่หากรัฐมนตรีไม่อนุญาต วัดจะถือกรรมสิทธิ์ต่อไปไม่ได้
และมาตรา ๘๕ กำหนดให้วัดจัดการจำหน่ายเสียภายใน ๕ ปี ซึ่งผู้มีกรรมสิทธิ์เท่านั้นที่จะมีอำนาจจำหน่ายทรัพย์สินได้
ในระหว่างนั้น วัดจึงเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินจนกว่าจะจำหน่ายที่ดินไป
บทบัญญัติมาตรา ๘๔ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน จึงไม่เป็นเงื่อนไขการได้มาซึ่งที่ดินของวัดแต่อย่างใด แต่เป็นเงื่อนไขในการจะถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินต่อไปเท่านั้น
ดังนั้น ในกรณีของวัดธรรมิการามวรวิหารนี้ วัดได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินมรดกตามพินัยกรรมของนางเนื่อมทันทีที่นางเนื่อมถึงแก่กรรม
และมาตรา ๘๔ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ไม่ใช่บทบัญญัติยกเว้นการได้มาดังกล่าว
เมื่อผลทางกฎหมาย ที่ดินมรดกของนางเนื่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของวัดแล้ว ที่ดินดังกล่าวจึงเป็นที่ธรณีสงฆ์ตามมาตรา ๓๓ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕
ซึ่งการโอนที่ธรณีสงฆ์ ต้องทำโดยพระราชบัญญัติตามมาตรา ๓๔ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕
ประเด็นที่สอง ที่ดินทั้งสองแปลง ผู้จัดการมรดกจะนำที่ดินไปจำหน่าย จ่าย โอน ได้หรือไม่ นั้น
ปรากฏจากข้อเท็จจริงว่า หลังจากที่นางเนื่อมถึงแก่กรรม ศาลแพ่งมีคำสั่งแต่งตั้ง นายพจน์ สุนทราชุน, นายหงษ์ สุวรรณหิรัญ และนายแพทย์วิรัช มรรคดวงแก้ว เป็นผู้จัดการมรดกนางเนื่อมเมื่อ ๑ ก.ย.๑๔
แต่ต่อมา ศาลแพ่งได้มีคำสั่งอนุญาตให้นายพจน์และนายแพทย์วิรัช ถอนตัวจากการเป็นผู้จัดการมรดก และนายหงษ์ถึงแก่กรรมเมื่อ ๑๕ เม.ย.๓๓
เนื่องจากไม่มีผู้จัดการมรดกเหลืออยู่ ต่อมาศาลแพ่งจึงได้มีคำสั่งเมื่อ ๑๑ ส.ค.๓๓ แต่งตั้งมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย เป็นผู้จัดการมรดก วันที่ ๒๑ ส.ค.๓๓
กรมที่ดิน ได้จดทะเบียนโอนที่ดินมรดกให้แก่มูลนิธิฯ ในฐานะผู้จัดการมรดก
ซึ่งมูลนิธิฯ ในฐานะผู้จัดการมรดก ได้โอนที่ดินมรดกให้แก่มูลนิธิฯ เอง แล้วมูลนิธิฯ ได้โอนที่ดินดังกล่าวต่อไปให้บริษัท อัลไพน์เรียลเอสเตท จำกัด และบริษัท อัลไพน์ กอล์ฟแอนด์สปอร์ตคลับ จำกัด ในวันเดียวกันนั้นเอง
กรณีจึงมีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่า มูลนิธิฯ ในฐานะผู้จัดการมรดก ได้ดำเนินการไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่?
มาตรา ๑๗๑๙ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้กำหนดหน้าที่ของผู้จัดการมรดกไว้ว่า
ให้ทำการอันจำเป็น เพื่อให้การเป็นไปตามคำสั่งแจ้งชัดหรือโดยปริยายแห่งพินัยกรรม และเพื่อจัดการมรดกโดยทั่วไป หรือเพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดก
จึงเห็นได้ว่า เมื่อเจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมสั่งความไว้เป็นประการใด ผู้จัดการมรดกย่อมต้องจัดการไปตามคำสั่งนั้น จะจัดการนอกเหนือคำสั่งในพินัยกรรมไม่ได้
ในกรณีของที่ดินมรดกสองแปลงของนางเนื่อมที่เป็นปัญหานี้ นางเนื่อมได้สั่งไว้ในพินัยกรรมว่า
ยกให้แก่วัดธรรมิการามวรวิหาร ผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมจึงชอบแต่จะจัดการจำหน่าย จ่าย โอน ที่ดินมรดกให้แก่วัดผู้รับมรดกตามพินัยกรรมเท่านั้น
จะโอนให้แก่บุคคลอื่นที่พินัยกรรมมิได้ระบุให้เป็นผู้รับพินัยกรรมไม่ได้
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น มูลนิธิฯ ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางเนื่อม จึงต้องโอนที่ดินมรดกตามพินัยกรรมที่ระบุให้ตกแก่วัด ให้แก่วัดได้เท่านั้น
จะโอนให้แก่บุคคลอื่นนอกเหนือจากวัดไม่ได้
การโอนที่ดินมรดกให้แก่บุคคลอื่นนอกเหนือจากบุคคลที่ระบุให้เป็นผู้รับมรดกตามพินัยกรรม
จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของเจ้ามรดก ซึ่งไม่ผูกพันทายาท และจะต้องรับผิดต่อทายาทตามมาตรา ๑๗๒๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ก็พอเข้าใจกันกระมัง.......
ที่จะออกกฎหมายเอาที่ดินไปยกให้มูลนิธิฯ (ตัวการ) แทนที่จะเป็นวัด เป็นการ "ทำผิดให้เป็นถูก" หรือ
"ทำที่ผิดให้มันผิดอีก"?

เครดิตผู้นำสำคัญสุด

เครดิตผู้นำสำคัญสุด

จังหวะที่แรงเสียดทานทางการเมืองเบาบาง

ฝั่งตรงข้ามยังตั้งหลักไม่ทัน ในสถานการณ์ที่ “น้องปู” อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังล่องหน
ล่าสุด “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. พร้อมนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และคณะได้บินไปเข้าร่วมการประชุมระหว่างผู้นำกลุ่มประเทศ BRICS “บริกส์” กับประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา ที่เมืองเซี่ยเหมิน มณฑลฝูเจี้ยน สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 4–5 กันยายน 2560

ยกระดับประเทศไทยในฐานะที่มีบทบาทสำคัญของประเทศกำลังพัฒนา

และอีกช็อตสำคัญนายกรัฐมนตรีไทยยังจะพบหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีจีนและร่วมกันเป็นสักขีพยานการลงนามความตกลงในเรื่องความร่วมมือรถไฟไทย–จีน

ย้ำดีลยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจและความมั่นคงกับจีนแผ่นดินใหญ่

เท่าที่ดูตามโปรแกรมหลังจากนี้ “นายกฯลุงตู่” มีคิวเดินสายไปต่างประเทศอีกหลายงาน ส่วนใหญ่ก็เกี่ยวข้องกับข้อตกลงทางเศรษฐกิจและความมั่นคง

ตามสถานะของประเทศไทยคือจุดยุทธศาสตร์สำคัญในภูมิภาค ซึ่งนั่นก็แปรผันตามเครดิตผู้นำรัฐบาลทหารของไทยที่ได้รับการยอมรับระดับหนึ่ง ประกอบกับเงื่อนไขเชิงบวกของอำนาจพิเศษที่เอื้อต่อการปลดล็อกปมติดขัดข้อกฎหมายให้มีความสะดวกคล่องตัวมากกว่าปกติ

นี่คือจังหวะที่รัฐบาล คสช.จะเดินเนื้องานด้านต่างประเทศที่เอื้อกับเศรษฐกิจภายใน

แต่อย่างไรก็ตาม มันก็มีร่องรอยของปรากฏการณ์แปร่งๆ ยุทธการงัดกันเองระหว่างกระทรวงใหญ่ที่มีขุนทหารนั่งบัญชาการ จากปมโครงการเขื่อนผลิตไฟฟ้า “สตึงมนัม” โปรเจกต์ระหว่างไทยกับกัมพูชา
เป็นกระแสข่าวที่ขัดแย้งกันเองในตัว คนนอกอ่านแล้วยังงงๆ

เมื่อย้อนไปตรวจสอบข้อมูลข่าวย้อนหลัง จุดเริ่มเลยมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ได้หารือกับสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เมื่อคราวเดินทางเยือนประเทศไทย ในการขอความร่วมมือกันเดินหน้าโครงการไฟฟ้าพลังน้ำสตึงมนัม เพื่อความมั่นคงทางพลังงานและบริหารจัดการน้ำร่วมกันระหว่าง 2 ประเทศ
โดยทางผู้นำกัมพูชาได้เห็นชอบด้วย หลังจากนั้นนายกฯฮุน เซนได้สั่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกัมพูชาเปิดทางสะดวกในการเดินหน้าโครงการ เอื้อกับข้อตกลงที่ได้รับปากกับผู้นำไทย

ขณะที่นายกฯประยุทธ์ได้สั่งการผ่าน “บิ๊กโย่ง” พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รมว.พลังงาน และนายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงพลังงาน ไปบูรณาการกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ เดินหน้าศึกษารายละเอียด วางแผนเส้นทางน้ำ และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม

ตามข่าวก็มีการรายงานความคืบหน้าโครงการต่อที่ประชุม ครม.เป็นระยะ

เป้าหมายหลักของโครงการคือรองรับโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่จำเป็นต้องใช้น้ำปริมาณมหาศาล นอกเหนือจากน้ำที่ใช้ในการบริโภคและการเกษตรในภาคตะวันออกที่ทุกปีก็ไม่เพียงพออยู่แล้ว ขณะที่อีกมุมก็มีการเปรียบเทียบกับค่าไฟฟ้าต่อหน่วยของโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่สูงกว่าปกติ เป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับฝ่ายกัมพูชา

สรุปเมื่อบวกลบคูณหารทางด้านเศรษฐกิจแล้วถือว่าคุ้มกับไทย

แต่ก็เป็น “บิ๊กนมชง” พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ได้ออกมาตัดบทแบบชัดถ้อยชัดคำ การผันน้ำจากเขื่อนสตึงมนัมไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป เพราะกระทรวงเกษตรฯได้หารือกับกระทรวงทรัพยากรฯเห็นชอบที่จะให้กรมชลประทานเข้าไปก่อสร้างอ่างเก็บน้ำในพื้นที่แทน

นั่นก็ทำให้แผนที่วางไว้ปั่นป่วน ฝ่ายปฏิบัติหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

เพราะ พล.อ.ฉัตรชัยก็ระดับเพื่อนรัก ขณะที่ พล.อ.อนันตพรก็ระดับสายตรง

ตกลงไม่รู้ “นายกฯลุงตู่” จะเอายังไงกันแน่

และตามโปรแกรม พล.อ.ประยุทธ์มีคิวเดินทางเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 7 กันยายนนี้ ซึ่งแน่นอนน่าจะมีเรื่องของเขื่อนสตึงมนัม “วัดใจ” อยู่บนโต๊ะเจรจาความเมืองด้วย

เรื่องของเรื่อง ยังไม่ต้องพูดถึงประเด็นทางเทคนิค ความคุ้มค่าเชิงเศรษฐกิจ หรือปมลึกลับซับซ้อนที่มีการร่ำลือในวงการว่ายุทธการสกัดเขื่อนสตึงมนัมโยงกับการลงทุนโครงการไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์
เป็นการขัดเหลี่ยมผลประโยชน์ของกลุ่มอำนาจแฝง คสช.ที่แบ่งเป็น 2-3 ก๊ก

แต่ที่แน่ๆว่ากันตามเงื่อนไขข้อตกลงระหว่างผู้นำ 2 ประเทศที่ตกปากรับคำกันไว้ นั่นจึงไม่ใช่แค่เรื่องเฉพาะของประเทศไทย แต่มันเกี่ยวโยงกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

เป็นเครดิตความน่าเชื่อถือของผู้นำไทยในเวทีโลก.

ทีมข่าวการเมือง