PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

เส้นทางบ้านป่าแหว่ง

ลำดับเหตุการณ์ หมู่บ้านป่าแหว่ง
=====================

เดิมที่ดินแปลงนี้เป็นของกรมป่าไม้ แต่เนื่องจากสภาพเป็นป่าเสื่อมโทรม กองทัพภาคที่ 3 จึงขอใช้สถานที่เพื่อเป็นที่ฝึกกำลังพลกันตั้งแต่ยุคสงครามโลก ต่อมาปี 2500 กรมที่ดินได้ออกเอกสารหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง หรือ นสล.เลขที่ 394/2500 จำนวน 23,787-ไร่ เพื่อให้ใช้ในราชการกระทรวงกลาโหม กองทัพภาคที่ 3 จึงไปขึ้นทะเบียนการใช้ประโยชน์ต่อกรมธนารักษ์

กระทั่ง 25 ก.ค. 2540 กระทรวงยุติธรรมได้มอบหมายให้สำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 ขอใช้พื้นที่ในราชการทหารบริเวณด้านหลังของหน่วยกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 7 เนื้อที่ประมาณ 106 ไร่ เพื่อก่อสร้างบ้านพัก และอาคารที่ทำการของกระทรวงยุติธรรม...แต่เรื่องเงียบ

วันที่ 12 เม.ย. 2542 ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 ได้มีหนังสือถึงอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 ให้ยืนยันการขอใช้ที่ดินเพื่อก่อสร้างบ้านพักและอาคารที่ทำการของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 ได้มีหนังสือยืนยันขอใช้ที่ดิน เมื่อ 21 เมษายน 2542

และเมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2546 สำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 ก็มีหนังสือถึงผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 ขอใช้ที่ดินบริเวณด้านหลังของหน่วยกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 7 เนื้อที่ประมาณ 106 ไร่ เพื่อก่อสร้างอาคารที่ทำการของศาลยุติธรรมและบ้านพัก อีกครั้งตามนโยบายฝ่ายบริหาร

4 มี.ค.47 มทบ.33 ได้มีหนังสือแจ้งว่า ไม่ขัดข้อง ที่จะให้สำนักงานศาลยุติธรรมใช้ที่ดินเนื้อที่รวม 147 - 3 - 41 ไร่ เพื่อก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 และบ้านพักข้าราชการฝ่ายตุลาการ โดยขอให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การดูแล บำรุงรักษาที่ราชพัสดุ 

ประกอบกับก่อนหน้านั้น (10 มิ.ย. 2546) มณฑลทหารบกที่ 33 มีหนังสือถึงอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 ระบุว่า ในการขอใช้ที่ดินของสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 มณฑลทหารบกที่ 33 ได้ตรวจสอบแล้ว บริเวณพื้นที่ที่ขอใช้ไม่คาบเกี่ยวกับอุทยานแห่งชาติ สุเทพ-ปุย, ป.พัน.7 และหน่วยในพื้นที่แต่อย่างใด ประกอบกับสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 มีความจำเป็นเร่งด่วนในการขอใช้ที่ดิน จึงเห็นควรสนับสนุน

จากนั้นสำนักงานศาลยุติธรรมได้มีหนังสือ ลงวันที่ 19 ก.ย. 2548 ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ขอใช้ที่ดินเนื้อที่ประมาณ 147 - 3 - 41 ไร่ ซึ่งจังหวัดเชียงใหม่ ได้มีหนังสืออนุญาตลงวันที่ 14 พ.ย. 2549 ขณะที่กรมธนารักษ์ ก็มีหนังสือ ลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2549 แจ้งอนุญาตให้สำนักงานศาลยุติธรรมใช้ที่ดินราชพัสดุ แปลงหมายเลขทะเบียนที่ ชม. 1723 (บางส่วน) เนื้อที่ 147 - 3 - 30 ไร่ ตามที่ขอใช้

จากนั้น สำนักงานศาลยุติธรรมจึงได้ดำเนินการด้านงบประมาณและการจัดซื้อจัดจ้าง โดยมีบริษัท พี.เอ็น.เอส.ไซน์ จำกัด ที่มีคนในตระกูลเดียวกับอดีต ส.ส.เชียงใหม่ พรรคชาติไทยพัฒนา เป็นผู้รับจ้าง โดยมีบริษัท เอ็นจิเนียริ่งดีไซน์ คอนซัลแตนส์ จำกัด เป็นผู้คุมงาน วงเงินรวม 3 โครงการ จำนวน 955,064,056.28 บาท 

โครงการที่ 1 ก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ ตามสัญญาเลขที่ 87/2557 ลงวันที่ 8 ก.ย. 2557 และบันทึกเพิ่มเติมต่อท้ายสัญญาจ้าง รวมเป็นเงิน 290,495,056.28 บาท กำหนดแล้วเสร็จภายในวันที่ 28 ส.ค. 2559 ได้รับอนุมัติให้ขยายเวลาก่อสร้างออกไปอีก 242 วัน สัญญาสิ้นสุดวันที่ 27 เม.ย. 2560 ขณะนี้โครงการเสร็จสมบูรณ์และได้เข้าใช้งานแล้ว

โครงการที่ 2 ก่อสร้างบ้านพักผู้พิพากษา จำนวน 38 หน่วย อาคารชุดพักอาศัยข้าราชการตุลาการ จำนวน 16 หน่วย บ้านพักผู้อำนวยการ จำนวน 1 หน่วย และอาคารชุดพักอาศัยข้าราชการศาลยุติธรรม จำนวน 36 หน่วย พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ ตามสัญญาเลขที่ 31/2557 ลงวันที่ 25 ก.พ. 2557 และบันทึกเพิ่มเติมต่อท้ายสัญญาจ้าง เป็นเงิน 321,670,000 บาท กำหนดแล้วเสร็จวันที่ 4 ส.ค. 2558 ได้รับอนุมัติให้ขยายเวลาก่อสร้างออกไปอีก จำนวน 1,048 วัน สัญญาสิ้นสุดวันที่ 18 มิ.ย.61 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างผู้รับจ้างดำเนินการก่อสร้างตามสัญญา จนถึงเดือน เม.ย. 2561 การก่อสร้างคืบหน้าร้อยละ 86.08

ส่วนโครงการที่ 3 เป็นการก่อสร้างบ้านพัก รวมจำนวน 9 หน่วย และอาคารชุดพักอาศัยข้าราชการตุลาการ จำนวน 64 หน่วย พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ ศาลยุติธรรมในจังหวัดเชียงใหม่ตามสัญญาเลขที่ 55/2556 ลงวันที่ 19 ก.ค. 2556 และบันทึกเพิ่มเติมต่อท้ายสัญญาจ้าง เป็นเงิน 342,900,000 บาท กำหนดแล้วเสร็จวันที่ 9 ก.ค. 2558 ได้รับอนุมัติให้ขยายเวลาทำการก่อสร้างออกไปอีก 1,066 วัน สัญญาสิ้นสุดวันที่ 9 มิ.ย. 2561 งานก่อสร้างถึงเดือนเมษายน 2561 คืบหน้าคิดเป็นร้อยละ 84.52
.
ผู้เกี่ยวข้อง
- นายกรัฐมนตรีช่วงปี 2544-2549 น.ช.ทักษิณ ชินวัตร 
- นายกรัฐมนตรีช่วงปี 2554 - 2557 น.ญ.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 
- ปลัดกระทรวงยุติธรรมช่วงปี 2542-2548 นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
- ปลัดกระทรวงยุติธรรม  ช่วงปี 2548-2549 นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ
- นายกรัฐมนตรีช่วงปี 2557 - 2561 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 
.
ที่มา : แกะไทม์ไลน์โครงการบ้านพักตุลาการ
https://mgronline.com/local/detail/9610000036124

The METTAD

เลือกตั้งปี 62 แน่..กอ.รมน.ลงพื้นที่แล้ว

เลือกตั้งปี 62 แน่..กอ.รมน.ลงพื้นที่แล้ว
"โฆษก กอ.รมน." เตือน "คนอยากเลือกตั้ง" จัดการชุมนุม ต้องดูแลรับผิดชอบ หากเกิดเหตุอะไรขึ้น อย่าปล่อย"มือที่สาม" แอบแฝง แทรกแซง เหมือน "เพนกวิน"บุกประชิด กราบ"บิ๊กตู่"/ ยัน เลือกตั้งปี62 แน่ เผย กอ.รมน.ลงพื้นที่ให้ความรู้ประชาธิปไตย
พลตรี พีรวัชฌ์ แสงทอง โฆษก กอ.รมน. กล่าวถึง"คนอยากเลือกตั้ง" จะจัดการชุมนุม ว่า ก็ตัองอยู่ในกรอบกฏหมาย และผู้จัดการชุมนุม ต้องดูแลรับผิดชอบ หากเกิดเหตุอะไรขึ้น
โดยจะต้องดูแลการขุมนุม ไม่ให้มี"มือที่สาม" มาสร้างสถานการณ์ หรือ ทำให้เกิดการเข้าใจผิด แม้ว่า จะมี จนท.รัฐ ดูแล ก็ตาม แต่ผู้จัดการชุมนุม จะต้องดูแล ด้วย เพื่อไม่ให้ "มือที่สาม" มาแทรกแซง หรือแอบแฝง มาทำให้เกิดความวุ่นวาย ขึ้น
ส่วนเหตุการณ์ ที่ "เพนกวิน" สมาชิกกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง บุกประชิดตัวนายกฯ เพื่อกราบขอให้เลือกตั้ง ในงานวันแรงงาน นั้น โฆษกกอ.รมน. กล่าวว่า ผู้จัดงานก็ต้องดูแล ว่า ให้เข้ามาได้อย่างไร ตัองร่วมกันดูแล
ส่วนการเตรียมพร้อมการเลือกตั้ง นั้น พลตรีพีรวัชฌ์ กล่าวว่า กอ.รมน. มีการลงพื้นที่ ในการให้ความรู้ ปชต. แก่ประชาชน ส่วนการเลือกตั้ง ก็เป็น ครรลองของประชาธิปไตย
ทั้งนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ได้ประกาศยืนยัน แล้วว่า จะมีการเลือกตั้ง ในปี 2562 แน่นอน
ส่วน การลงพื้นที่นั้น ยังไม่มีข้อมูล ชี้ชัดว่า ประชาชน ต้องการจะรีบเลือกตั้งหรือไม่ แต่ที่มีข่อมูลชี้ขัดคือ ประชาชน ต้องการเรื่องการพัฒนา อาชีพและรายได้

เปิดสถิติเก้าอี้ส.ส.สระบุรี จับตา”อดิเรกสาร” คัมแบ๊กสู้ศึกเลือกตั้ง

เปิดสถิติเก้าอี้ส.ส.สระบุรี จับตา”อดิเรกสาร” คัมแบ๊กสู้ศึกเลือกตั้ง


หลังจาก”เสี่ยปาล์ม” ร.ต.ปรพล อดิเรกสาร อดีตส.ส.สระบุรี พรรคพลังประชาชน ที่ปัจจุบันไม่ขอยืนยันการเป็นสมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนา(ชทพ.) พ้นเดดไลน์การเปิดให้สมาชิกพรรคเก่า มายืนยันความเป็นสมาชิกพรรคระหว่างวันที่ 1-30 เมษายนนี้ ตามคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 53/2560
พร้อมกันนี้ “ร.ต.ปรพล” พร้อมกับบิดา “เฮียป๊อก” “ปองพล อดิเรกสาร” ประกาศจุดยืนชัดว่าการเลือกตั้งสมัยหน้า เจ้าตัวพร้อมกับบิดาจะสนับสนุน “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ให้คัมแบ็กกลับมานั่งเก้าอี้ “นายกฯ” อีกคำรบ
ส่วนจะมาในชื่อพรรคไหน ใครเป็นหัวหน้าพรรค ให้รอดูความชัดเจนในไม่ช้า
แต่ที่แน่ๆ “ร.ต.ปรพล” จะทำหน้าที่คุมทีมผู้สมัครส.ส.สระบุรี ส่วนนายปองพลจะทำหน้าที่กุนซือของทีมผู้สมัครส.ส.ที่จะลงสู้ศึกเลือกตั้งในนามพรรคสนับสนุน”บิ๊กตู่”
หากจะย้อนดูสถิติการชิงชัยเก้าอีส.ส. ในพื้นที่ จ.สระบุรี 2 ครั้งหลังสุด คือ การเลือกตั้งเมื่อพ.ศ.2550 และพ.ศ.2554
พบว่าการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ.2550 ตามรัฐธรรมนูญ 2550 กำหนดให้จ.สระบุรี มี 2 เขตเลือกตั้ง คือเขต 1 และเขต 2 มีส.ส.ได้ 4 คน
ซึ่งเป็นการชิงชัยกันระหว่าง”พรรคประชาธิปัตย์”(ปชป.) กับ “พรรคพลังประชาชน”(พปช.)
โดยเขต 1 “เจ๊นก” น.ส.กัลยา รุ่งวิจิตรชัย จากพรรคปชป. และ ร.ต.ปรพล อดิเรกสาร จากพรรคพปช. ได้รับการเลือกตั้งเป็นส.ส.
ส่วนเขต 2 “เฮียเม้ง”นายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ จากพรรคปชป. และนายวีระพล อดิเรกสาร น้องชายนายปองพล อดิเรกสาร จากพรรคพปช. คว้าชัยได้เป็นส.ส.
ต่อมาพรรคพลังประชาชนถูกยุบพรรค เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2551 พร้อมกับตัดสิทธิ์ทางการเมืองคณะกรรมการบริหารพรรค 5 ปี โดยนายวีระพล เป็นหนึ่งในสมาชิกพรรคที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปีด้วย
โดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ได้จัดเลือกตั้งซ่อมส.ส.ในเขต 2 ของจ.สระบุรี ในปี 2552 และ”องอาจ วงษ์ประยูร” จากพรรคปชป.ได้รับการเลือกตั้งเป็นส.ส.
จากนั้นรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ประกาศยุบสภาฯ และกกต.จัดให้มีการเลือกตั้งส.ส. ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554
ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ 2550 ฉบับแก้ไข ได้ปรับแก้ไขเขตการเลือกตั้งของ จ.สระบุรี โดยให้มี 4 เขตเลือกตั้ง มีส.ส.ได้ 4 คน
เขต 1 อ.เมือง, อ.เฉลิมพระเกียรติ เขต 2 อ.แก่งคอย, อ.มวกเหล็ก, อ.วังม่วง เขต 3 อ.หนองแค, อ.วิหารแดง, อ.หนองแซง และเขต 4 อ.พระพุทธบาท, อ.บ้านหมอ, อ.หนองโดน, อ.ดอนพุด และ อ.เสาไห้
โดยเขต 1 “ส.ส.นก” น.ส.กัลยา รุ่งวิจิตรชัย จากพรรคปชป. ยังป้องกันแชมป์รักษาเก้าอี้ส.ส.ได้อีกสมัย
ส่วนเขต 2 อดีตส.ส.มีการย้ายพรรค ย้ายค่ายใหม่มาชิงชัยเก้าอี้ส.ส. โดย “เสี่ยปาล์ม” ร.ต.ปรพล ย้ายจากพรรคพปช. มาสู้ในนามพรรคภูมิใจไทย(ภท.) ขับเคี่ยวกับ อรรถพล วงษ์ประยูร จากพรรคเพื่อไทย ซึ่ง”เสี่ยปาล์ม” พลาดท่าเสียเก้าอี้ ส.ส.ในเขต 2 ให้กับ “อรรถพล” จากพรรคพท.

ขณะที่เขต 3 “เฮียเม้ง” วัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ ย้ายค่ายจากพรรคปชป. มาสวมเสื้อผู้สมัครส.ส.ในนามพรรคภท. และป้องกันแชมป์ได้เป็น ส.ส.อีกสมัย
ปิดท้ายที่เขต 4 “องอาจ วงษ์ประยูร” ที่ย้ายจากพรรคปชป.ในการเลือกตั้งซ่อมส.ส.เมื่อปี 2552 มาอยู่พรรคพท. ตามคำชักชวนของ “พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก” อดีตรองนายกฯ ที่เป็นเครือญาติกัน และได้รับเลือกตั้งเป็นส.ส.แบบไม่พลิกโผ
น่าติดตามว่าในการเลือกตั้งครั้งต่อ หากไม่ผิดเพี้ยนไปจากโรดแมปของคสช. นั่นคือเดือน”กุมภาพันธ์ 2562″
เมื่อตระกูล”อดิเรกสาร”ประกาศสู้ศึกเลือกตั้งอีกครั้ง พร้อมโชว์จุดยืนสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ให้คัมแบ๊กมานั่งเก้าอี้ “นายกฯ” อีกสมัย
แม้จะยังไม่ชัดเจนว่าจะมาในนามพรรคใด ยิ่งรัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดให้ ส.ส.เขตเลือกตั้งลดลงเหลือเพียง 350 เก้าอี้
การชิงชัยเก้าอี้ส.ส.ในพื้นที่่จ.สระบุรี จึงน่าสนใจยิ่งว่า”ร.ต.ปรพล”กับ”ปองพล” จะสามารถปักธงเก้าอี้ส.ส.ได้หรือไม่

อาการ Over Reaction ต่อปม ‘พลังดูด’ ทางการเมือง

อาการ Over Reaction ต่อปม ‘พลังดูด’ ทางการเมือง


ถึงแม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะปฏิเสธการไม่เกี่ยวข้องกับกลยุทธ์ “ดูด” ในทางการเมือง
แต่หากติดตาม”บทบาท” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
จะสัมผัสได้ถึงความสัมพันธ์กับกระบวนการ “ดูด”แม้ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เคยยอมรับ
ยอมรับว่าได้มีการหารือของ”รัฐมนตรี”บางคนในเรื่องการจัด ตั้งพรรคการเมือง โดยที่ตัว”รัฐมนตรี”ท่านนั้นก็มิได้ปฏิเสธ
“สอบถามพรรคที่มีข่าวสนับสนุนผมว่าทำแบบนั้นหรือไม่ ไป เสนอผลประโยชน์กันไว้หรือ เขาบอกไม่ได้มีอะไรนั่งอยู่เฉยๆก็มีคนติดต่อมาขอพบหารือ”
เป็นการยืนยันล่าสุดจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

การยืนยันครั้งนี้แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะปกป้องตัวเองว่า “ผมยังไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง”
แต่อย่างน้อยก็เท่ากับรับรองการมีอยู่ ดำรงอยู่
นั่นก็คือ การดำรงอยู่ของ”พรรคที่มีข่าวสนับสนุนผม”ซึ่งในทางเปิดก็มีอยู่แล้วจำนวนมาก
ไม่ว่าจะเป็น “พรรคประชาชนปฏิรูป” ไม่ว่าจะเป็น “พรรคพลังประชารัฐ” ไม่ว่าจะเป็น “พรรคพลังธรรมใหม่” ไม่ว่าจะเป็น”พรรคทางเลือกใหม่”

ประเด็นอยู่ที่ว่าในบรรดาพรรคเหล่านี้มีพรรคการเมืองใดที่ดำรงอยู่ในสถานะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวได้ว่า
สามารถ “สอบถาม” ได้โดยตรง
เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ระบุในเชิง”หลุด”ออกมาระดับนี้จึงย่อมเป็นธรรมดาที่จะได้รับความสนใจอย่างน้อยก็จาก พรรคประชาธิปัตย์
เพราะพรรคประชาธิปัตย์คือ”เป้าหมาย”ใน”การดูด”

การออกมายืนยัน“ความชอบธรรม”ในการดูดถึงระดับพูดผ่านรายการ”ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน”ว่า
“ดูด” คือ ครรลองของประชาธิปไตย”ไทยนิยม”
บทบาทและความหมายก็คือ การรับรองให้กับทุกปฏิบัติการอันสั่งการผ่าน “ทำเนียบรัฐบาล”
คำถามอยู่ที่ว่า ใครกันที่ Over Reaction ในเรื่องนี้

มธ.แจงปิดเซิร์ฟเวอร์ตัดช่องโหว่แล้ว หลังถูก‘แฮกเกอร์’ แอบใช้ปล่อยมัลแวร์เจาะข้อมูลประเทศ

มธ.แจงปิดเซิร์ฟเวอร์ตัดช่องโหว่แล้ว หลังถูก‘แฮกเกอร์’ แอบใช้ปล่อยมัลแวร์เจาะข้อมูลประเทศ


จากกรณีที่มีการเผยแพร่ข่าว มีนักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก McAfee รายงานว่าช่วง กลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เซิร์ฟเวอร์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.)บางเครื่องถูกเข้ามาควบคุม การทำงานบางส่วนโดยไม่ได้รับอนุญาต และใช้เป็นฐานสำหรับการพยายามไปควบคุมการทางของระบบคอมพิวเตอร์อื่นในหลายประเทศนั้น ทางมธ. ได้ดำเนินการตรวจสอบ ข้อมูลเพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำซ้อน และมีความปลอดภัยสูงสุด
นายปกป้อง ส่องเมือง ผู้อำนวยการ สำนักงานศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ (สทส.) มธ. กล่าวว่า จากกรณีกระแสข่าวมีนักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก McAfee รายงานว่าช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เซิร์ฟเวอร์ของมธ.บางเครื่องถูกเข้ามาควบคุมการทำงานบางส่วนโดยไม่ได้รับอนุญาตและใช้เป็นฐานสำหรับการพยายามไปควบคุมการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์อื่นในหลายประเทศ ด้วยลักษณะของการใช้ชุดคำสั่งของโปรแกรมทางคอมพิวเตอร์ที่มีรูปแบบคล้ายกับกรณี Hidden Cobra ที่กองทัพแฮกเกอร์จากเกาหลีเหนืออยู่เบื้องหลัง ทั้งนี้ สทส. ขอแจ้งข้อมูลว่ากรณีดังกล่าว เราตรวจพบเมื่อวันที่ 24 เมษายน และได้ทำการประสานงานกับ ศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์ประเทศไทย (ไทยเซิร์ต) เพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วน เบื้องต้น สทส. ได้ดำเนินการตามคำแนะนำจากไทยเซิร์ต ด้วยการตัดการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายของเซิร์ฟเวอร์ดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว เพื่อปิดช่องทางการจราจรทางอินเตอร์เน็ตที่อาจเป็นช่องโหว่หรือ สาเหตุทั้งหมด จัดเตรียมเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการเฝ้าระวังมากยิ่งขึ้น และได้วางแผนดำเนินการ ดังนี้ 1. ขยายประสิทธิภาพของอุปกรณ์ Firewall ให้สามารถทางานได้ครอบคลุมมากขึ้น 2. เพิ่มขนาด/เงื่อนไขของอุปกรณ์ IPS ให้ตรวจจับเข้มงวดในระดับสูงขึ้น 3. เพิ่มอุปกรณ์ที่สามารถ วิเคราะห์+ตรวจจับ การบุกรุก/โจมตี รูปแบบใหม่ๆ และแจ้ง เตือนผู้ดูแลระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ทั้งนี้ จากกรณีที่เกิดขึ้น สทศ.ได้มีการดำเนินการตรวจสอบการใช้งานของเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมดในระบบเครือข่ายของมหาวิทยาลัยเพิ่มเติม ผล ตรวจสอบพบว่าไม่เกิดความเสียหายต่อระบบภายในมหาวิทยาลัยแต่อย่างใด

‘วันนอร์’แจ้งชื่อร่วม’ประชาชาติ’ พร้อมยกก๊วน ‘วาดะห์’ 3 จชต.เข้าสังกัด

‘วันนอร์’แจ้งชื่อร่วม’ประชาชาติ’ พร้อมยกก๊วน ‘วาดะห์’ 3 จชต.เข้าสังกัด


‘วันนอร์’แจ้งชื่อร่วม’ประชาชาติ’ พร้อมยกก๊วน ‘วาดะห์’ 3 จชต.เข้าสังกัด ‘สุรพล’ เดินเครื่องหาสมาชิกภาคเหนือ-อีสาน
เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม นายสุรพล นาควานิช ผู้ยื่นขอจัดตั้งพรรคประชาชาติ กล่าวถึงความคืบหน้าการก่อตั้งพรรคว่า ในเบื้องต้นพรรคประชาชาติมีสมาชิกกว่า 500 คนแล้ว แต่ต้องรอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศอนุญาตให้สามารถเปิดประชุมพรรคอย่างเป็นทางการเสียก่อน ทั้งนี้ความก้าวหน้าของพรรคคือ 1.กลุ่มอดีต ส.ส.วาดะห์ ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้ง นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ และนายซูการ์โน่ มะทา ได้นำสมาชิกวาดะห์ทั้งหมด 3 จังหวัดชายแดนใต้ มาอยู่กับพรรคประชาชาติ พร้อมทั้งรวบรวมรายชื่อในกลุ่มเข้ามาร่วมจัดตั้งพรรคอย่างเป็นทางการแล้ว ส่วนกรณีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา แกนนำกลุ่มวาดะห์ อดีตประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร ในเบื้องต้น นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ได้แจ้งว่าจะมาร่วมตั้งพรรคประชาชาติ แต่อนาคตจะมีตำแหน่งเป็นอะไรในพรรคยังไม่ได้ชี้แจงกับตน 2.จากการลงพื้นที่ภาคเหนือ จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา ทางกลุ่มผู้นำชาวจีนพุทธและมุสลิมในพื้นที่ภาคเหนือและผู้นำท้องถิ่นกว่า 50 -100 คน เป็นคนที่เราคุ้นเคยบริเวณชายแดนได้ตกปากรับคำจะมาร่วมก่อตั้งพรรคประชาชาติด้วย อย่างไรก็ตามในสัปดาห์หน้าจะลงพื้นที่ไปภาคอีสาน เพื่อไปเชิญชวนประชาชนที่สนใจการเมืองให้มาเข้าร่วมพรรคประชาชาติเพิ่มเติม

เมื่อถามว่า จุดยืนของพรรคจะมีท่าทีสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) หรือไม่ นายสุรพล กล่าวว่า อยากให้เข้าใจ และเปรียบเสมือนว่าพรรคประชาชาติยังไม่มีลูกเลย เพราะตอนนี้ยังอยู่ในช่วงผสมพันธุ์ต้องรอดูท่าทีที่อีกสักพักหนึ่งว่าจะเป็นอย่างไร หากมีลูกเกิดขึ้นมาแล้วมีความคิดเห็นเป็นอย่างไรก็ต้องเป็นไปตามนั้น เป็นเรื่องของอนาคต
“เจตนารมณ์ที่ตั้งพรรคขึ้นมาคงไม่จำเป็นที่จะต้องไปสนันสนุนนายกฯ หรอก เพราะพล.อ.ประยุทธ์มีพรรคที่สนับสนุนเยอะแล้ว แต่อย่างไรก็ตามในส่วนตัวผมไม่ได้รังเกียจในตัวพล.อ.ประยุทธ์ เพราะพรรคประชาชาติเปิดรับความหลากหลายทุกกลุ่มอยู่แล้ว” นายสุรพล กล่าว

หน้า3 กลยุทธ์ โหดเหี้ยม ทำลาย ‘ประชาธิปัตย์’ กลยุทธ์ จาก คสช. 2พ.ค.61

หน้า3 กลยุทธ์ โหดเหี้ยม ทำลาย ‘ประชาธิปัตย์’ กลยุทธ์ จาก คสช. 2พ.ค.61


สภาพที่พรรคประชาธิปัตย์กำลัง “โดน” ในขณะนี้ถือว่าหนักหนาสาหัสอย่างยิ่งในทางการเมือง ไม่ว่าจะมองผ่านจำนวน “สมาชิกพรรค” ไม่ว่าจะมองผ่านอาการกระเพื่อมของ “อดีต ส.ส.”
นอกจาก นายสกลธี ภัททิยกุล ยังมี นายชื่นชอบ คงอุดม
ความเจ็บปวดอย่างยิ่งยวดยังอยู่ที่การมายืนยันความเป็นสมาชิกภาพตลอดเดือนเมษายนที่ผ่านมาอยู่ระหว่าง 1 แสนคน
เป็น 1 แสนจากจำนวนทั้งสิ้น 2.5 ล้าน
นี่คือผลสะเทือนอย่างเป็นรูปธรรมอันเนื่องมาแต่คำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับที่ 53/2560 ที่ส่งผลสะเทือนอย่างลึกซึ้งต่อ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560
เท่ากับเป็นการ “เซตซีโร่” ในทางเป็นจริง
ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าพรรคชาติไทยพัฒนา ไม่ว่าพรรคภูมิใจไทย อันเป็นพรรคการเมืองเก่าล้วนโดนกันหมด
แต่ “พรรคประชาธิปัตย์” หนักหนา สาหัสที่สุด
นับแต่รัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 เป็นต้นมา รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 พรรคประชาธิปัตย์เหน็ดเหนื่อยที่สุด
เมื่อปี 2549 ยังอยู่ใน “บันได 4 ขั้น”
แม้ในการเลือกตั้งเดือนธันวาคม 2550 อาจไม่สำเร็จตามเป้าหมาย แต่ในเดือนพฤศจิกายน 2551 ก็เรียบร้อย
และพรรคประชาธิปัตย์ก็เข้าเสวยประโยชน์ในอีก 1 เดือนต่อมา
การร่วมเป็นร่วมตายกับเหล่าทหารแห่ง “บูรพาพยัคฆ์” ในสถานการณ์เดือนเมษายน พฤษภาคม 2553 อาจทำให้พรรคประชาธิปัตย์หลอมรวมเข้าไปได้อย่างแนบแน่นด้วยความเชื่อมั่นว่าจะสามารถกำชัยได้ในการเลือกตั้งจึงได้ประกาศยุบสภา
แม้การเลือกตั้งเดือนกรกฎาคม 2554 พรรคประชาธิปัตย์จะแพ้ แต่ก็แปรความแพ้ไปสู่การเคลื่อนไหวผ่าน “กปปส.” กระทั่งก่อให้เกิดรัฐประหารในเดือนพฤษภาคม 2557

ตรงนั้นคือจุดตัดนำอันก่อปัญหาให้กับ “พรรคประชาธิปัตย์” ในวันนี้
รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 มองว่ารัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 เป็นรัฐประหารเสียของและปัจจัย 1 ซึ่งทำให้เสียของคือพรรคประชาธิปัตย์
แม้ก่อนรัฐประหารจะมีการร่วมมือกันในระดับที่แน่นอน
แต่ภายหลังรัฐประหาร คสช.ก็สามารถแยกสลายความเป็นเอกภาพของพรรคประชาธิปัตย์ลงได้ เมื่อแกนหลักของ กปปส. กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญของ คสช.
เป็นองค์ประกอบในการสืบทอด “อำนาจ”
มิได้เป็นองค์ประกอบในสภาพอันเหมือนกับ “นั่งร้าน” ให้พรรคประชาธิปัตย์เหมือนกับ คมช.ในยุคหลังรัฐประหารเมื่อปี 2549
พรรคประชาธิปัตย์จึงกลายเป็นเป้าในการแยกสลาย
หากกลุ่มของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังดึงดันอย่างดื้อรั้นครรลองแห่ง “การดูด” จักดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้นมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าก่อนหรือหลังการเลือกตั้ง
ทุกอย่างเป็นไปตามกลยุทธ์ “ม้าไม้เมืองทรอย”
กลยุทธ์นี้ คสช.ประเมินว่าจะเป็นผลดีและอำนวยประโยชน์ให้กับการสืบทอดอำนาจ ที่สำคัญก็คือ เอาพลังจากพรรคประชาธิปัตย์มาสร้างความมั่นใจ
แต่ในอีกด้าน ก็เท่ากับทำลายพรรคประชาธิปัตย์
ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะแยกทางเดินกับ คสช. ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะถูกสลายกลายเป็นหางเครื่องของ คสช. ล้วนไม่ส่งผลดีต่อการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น
ทั้งหมดนี้คือ “กรรมเก่า” ของพรรคประชาธิปัตย์

หึ่ง”ประดิษฐ์-วินัย”จ่อลงพรรคเพื่อไทย-วินัยเผยยังไม่ได้สังกัดพรรคใดแต่ลงสมัครส.ส.แน่

หึ่ง”ประดิษฐ์-วินัย”จ่อลงพรรคเพื่อไทย-วินัยเผยยังไม่ได้สังกัดพรรคใดแต่ลงสมัครส.ส.แน่


เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2561 ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดพิจิตรว่า จากกรณีที่นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีต สส. พรรคชาติไทยพัฒนา และนาย วินัย ภัทรประสิทธิ์ อดีต สส.พรรคชาติไทยพัฒนา ได้ออกงานกับนางสาวสุนีย์ เหลืองวิจิตร อดีต สส. พรรคเพื่อไทย หลายงานในช่วงนี้พร้อมกับถ่ายรูปคู่กันแบบชื่นมื่น ทำให้เกิดกระแสข่าวลือ ว่า ทั้ง 2 คนพี่น้องจะลงลง สมัคร สส. พรรคเพื่อไทย ขณะที่ในส่วนของนายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ อดีต รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และเป็นอดีต ส.ส.พิจิตรพรรคชาติไทยพัฒนา ประกาศชัดเจนแล้วว่าจะไปลงในพรรค ภูมิใจไทย
นายวินัย ภัทรประสิทธิ์ อดีต ส.ส.พิจิตร เขต 1 กล่าวว่า ตนเองยังไม่ได้ลงสมัครพรรคการเมืองใด หลังจากที่ได้ลาออกจากพรรคชาติไทยพัฒนามา เมื่อช่วงปฏิวัติอย่างไรก็ตามยืนยันว่ายังจะเล่นการเมืองอยู่ แต่ยังไม่ได้ลงสมัครพรรคการเมืองพรรคไหนเท่านั้น


นายวินัย กล่าวว่า ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่า มี ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยมาทาบทามให้มาสมัครในนามพรรคเพื่อไทยนั้น ยืนยันว่าตอนนี้ยังไม่มีใครมาทาบทาม ส่วนเรื่องการเลือกตั้งนั้นมองว่าเรื่องนี้ยังอีกนาน หากถามว่าจะมีการเลือกตั้งในปี 62 หรือไม่นั้น เรื่องนี้ตอบไม่ได้ เพราะกฎหมายร่ายรัฐธรรมนูญยังไม่เสร็จเลย
“เขตเลือกตั้งของจังหวัดพิจิตร ต้องมาทำประชาคมกัน ว่าจะทำอย่างไร ซึ่งจริงๆแล้วนักการเมืองในจังหวัดพิจิตร ไม่มีเรื่องบาดหมางกัน ทุกคนต่างยิ้มแย้ม เจอหน้ากันทักทายกันเป็นปกติ เรื่องการเมืองก็เป็นส่วนของเรื่องการเมือง ส่วนที่มีภาพข่าวออกมาว่า คุณสุนีย์ เหลืองวิจิตร มาทาบทามผมกับนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ พี่ชายผม ให้มาลงพรรคเพื่อไทยนั้น เป็นเพียงกระแสข่าวลือเท่านั้น ภาพข่าวที่ออกมาวันนั้น เป็นวันที่เราไปสรงน้ำพระกันในช่วงสงกรานต์ ที่เขาพระ ซึ่ง คุณประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ ก็สึกอออกมาแล้ว ขอย้ำว่า นักการเมืองไม่ได้เป็นศัตรูกันเลย เหมือนพี่เหมือนน้องมากกว่า การแข่งขันทางการเมืองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ก็ว่าไปตามกติกา”นายวินัยกล่าว
นายวินัย กล่าวว่า หากมีการเลือกตั้งในสมัยหน้า ตนก็พร้อมที่จะลงสมัคร ส.ส.อีกครั้ง เพราะทำงานทางการเมืองไปแล้ว ก็อยากทำงานรับใช้ชาวพิจิตรให้ต่อเนื่อง ส่วนกระแสที่ออกมาว่า จะลงในนามพรรคเพื่อไทยนั้น ยังตอบไม่ได้ ว่าจะลงพรรคการเมืองไหน เพราะยังไม่มีพรรคการเมืองใดทาบทามเข้ามา เรื่องนี้จึงตอบไม่ได้ แต่จะลงเลือกตั้งแน่นอน

ถือแต้มต่อคุมเกมม็อบ

ถือแต้มต่อคุมเกมม็อบ



ถอดพิมพ์แทบจะโคลนนิ่งกันมาเป๊ะเลย
ทั้งรูปร่างหน้าตาและลีลาของหนุ่ม “ไอติม” นายพริษฐ์ วัชรสินธุ หลานชาย “เดอะมาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ล่าสุดให้สัมภาษณ์นักข่าว ขณะรายงานตัวเข้ารับราชการทหารเกณฑ์ผลัดแรก ที่เจ้าตัวสมัครรับใช้ชาติและต้องฝึกวิชาทหารเป็นเวลา 6 เดือน
โชว์จุดยืนชัดๆ ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ปรับตัวเป็นยุคใหม่ได้ ตนเองก็สมัครเป็นสมาชิกพรรค และขณะนี้ก็ยังไม่มีเหตุผลอะไรที่พรรคประชาธิปัตย์จะเข้าสู่ยุคใหม่ไม่ได้
หลักการแน่น โปรไฟล์ปึ้ก พูดเก่ง ภาษาการเมืองจัดอยู่ในจำพวก “มีแสงในตัวเอง” มันก็ไม่แปลกที่ “หนุ่มไอติม” จะเป็นหนึ่งในเบอร์ต้นๆนักการเมืองรุ่นใหม่ที่โดดเด่นขึ้นมา
โดยสถานการณ์สวนทางกับน้าชาย “เดอะมาร์ค” กำลังอยู่ในห้วงอาทิตย์อัสดง
ตอนนี้เหลือแค่รุ่นอาวุโสระดับนายหัวชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค กับทีมงานใกล้ชิดนายอภิสิทธิ์เท่านั้น ที่ยังเป็นแนวร่วม ฝืนแรงกระแทกจากฝ่ายเดินเกมโค่นเก้าอี้
กับภาวะที่นายอภิสิทธิ์ถูกมองเป็น “ตัวถ่วง” มากกว่าจะเป็นผู้นำทัพไปทวงคืนความยิ่งใหญ่
กลายเป็นอุปสรรคสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่รู้จะเดินแต้มไปต่อกันในทิศทางใด เพราะประตูเดียวที่เหลือคือเกาะขบวนรถไฟกับ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ หัวหน้า คสช. ถ้า “เดอะมาร์ค” ยังอยู่ ก็ดูท่าจะไปด้วยกันยาก
ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์ลำบาก อารมณ์เหมือนมวยถูกต้อนให้เข้ามุม “โยนผ้า”
โดยเฉพาะปัญหาเรื่องทุนที่นายอภิสิทธิ์ออกมาปูดเองเลยว่า ขาใหญ่ในรัฐบาล “ลุงตู่” ส่งซิกเอกชนไม่ให้ต่อท่อน้ำเลี้ยงสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์
ข่าววงในจากคนประชาธิปัตย์ย้ำว่า ขัดสนจริงๆ
สถานการณ์ถึงขั้นที่ว่ากันว่า “ช่องทีวีสีฟ้า” ของทีม “อภิสิทธิ์” ต้องเอาเงินบริษัททัวร์มา “หมุน” สำรองจ่ายล่วงหน้า 2-3 ล้าน พอถึงเวลาไม่มีเงินออกตั๋วเครื่องบินให้ลูกทัวร์ ต้องวิ่งหากันให้วุ่น
กลุ่มทุนหายหน้า น้ำเลี้ยงเหือดแห้ง ไม่รู้จะเจาะ “ตาน้ำ” ตรงไหน
ประชาธิปัตย์อยู่ในภาวะเดี้ยงจริงๆ
ขณะที่ค่ายเพื่อไทยที่พยายามตีปี๊บ เลี้ยงกระแส “เต็งหนึ่ง” แชมป์เก่าหลายสมัย
แต่ภาพจริงตามข่าว ผ่านเส้นตายวันที่ 30 เมษายนแล้ว ต้องมีประกาศคนหาย มีพวกไม่มายืนยันสมาชิก ทั้งบ้านใหญ่นครปฐม ทีมวังน้ำยมสุโขทัย กลุ่มวาดะห์แห่ง 3 จังหวัดชายแดนใต้
นี่แค่พวกนำร่อง ตามรูปการณ์ถึงเวลาจริงที่หมดเวลาแทงกั๊ก น่าจะมีอีกเยอะ พวกหนีเกมลุยสุดซอย ชิ่งเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับ “นายใหญ่”
ยี่ห้อ “ทักษิณ” ขลังแค่ไหน มันก็ยังมีปัจจัยตัวบุคคลทำให้พลิกล็อกได้
เพราะงานนี้ฝ่ายคุมเกมอำนาจทำการบ้านกันมานาน ตามโจทย์ไม่ให้ซ้ำรอยเสียของซ้ำซาก ชัวร์แล้วถึงเปิดไพ่ดันหลัง
“นายกฯลุงตู่” ตีตั๋วต่อ ยกระดับเป็นนายกฯคนในผ่านพรรคการเมือง
ตามจังหวะต่อเนื่อง คสช.เปิดไฟเขียวให้พรรคการเมืองเก่าขยับเช็กฐานสมาชิกใครออกใครเข้า
แค่เขย่าเบาๆ ทำเอานอตหลวมไปตามๆกัน
เต็งหนึ่ง เต็งสอง เพื่อไทย ประชาธิปัตย์ “แน่น” หรือ “กลวง” จับไต๋ได้หมด
สรุปเกมของนักเลือกตั้งอยู่ในกำมือทีม “นายกฯลุงตู่” สู้ได้สบาย
สถานการณ์ท้าทายจริงๆน่าจะอยู่ที่เกมมวลชน ตามรูปการณ์ที่หัวเชื้อม็อบระอุกลับมา
จับสัญญาณจากที่ประชุมสภากลาโหมที่มี “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม เป็นประธาน ได้ทำคู่มือ “สยบม็อบ” เป็นแนวทางปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายในการควบคุมดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมือง
เนื่องจากหน่วยข่าวฝ่ายความมั่นคงได้กลิ่นมือที่สามจะแทรกตัวเข้าฉวยสถานการณ์การชุมนุมของม็อบคนอยากเลือกตั้งที่นำโดย “จ่านิว” กับ “รังสิมันต์ โรม” ผู้นำกลุ่มนักศึกษา ที่นัดหมายรวมพลกันวันที่ 5 พฤษภาคม โอกาสครบรอบ 4 ปี การยึดอำนาจโดย คสช.
นั่นก็ล้อไปกับน้ำเสียงเครียดๆของ “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. เลขาธิการ คสช. เบอร์หนึ่งคุมกำลังฝ่ายความมั่นคง ที่แสดงความกังวลต่อการชุมนุมของม็อบคนอยากเลือกตั้ง จะปั่นป่วนวุ่นวาย
และก็เป็นอะไรที่ออกมาได้จังหวะพอดี ล่าสุดนายสมยศ พฤกษา-เกษมสุข นักเคลื่อนไหวทางการเมือง แนวร่วมเสื้อแดง นปช. เพิ่งพ้นโทษคดีผิดมาตรา 112 ออกจากเรือนจำ ให้สัมภาษณ์หน้าคุกทันที
กระตุกบรรยากาศคล้ายพฤษภาทมิฬ 35 และจะนำไปสู่ความรุนแรง
ประกาศพร้อมร่วมเคลื่อนไหวทวงคืนประชาธิปไตยและเรียกร้องเลือกตั้ง
ถึงจังหวะเดิมพันที่มีผลต่อจุดแข็งของรัฐบาล จุดขายของ พล.อ.ประยุทธ์ นั่นคือการคุมเกมความมั่นคง ปลอดม็อบ ทำบ้านเมืองสงบ เอื้อต่อการพัฒนา
แน่นอน ฝ่ายต้านก็จ้อง “ตบหน้า” ปั่นเกมม็อบตัดแต้ม “ลุงตู่”.
ทีมข่าวการเมือง รายงาน