PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2560

ความขัดแย้งของพระธรรมยุติกนิกายกับพระสงฆ์อีสาน

ประวัติศาสตร์สามัญชนไทย ได้เพิ่มรูปภาพใหม่ 3 ภาพ
9 ชม.
ความขัดแย้งของพระธรรมยุติกนิกายกับพระสงฆ์อีสาน
การเผชิญหน้ากันมีอยู่ 2 ระลอกใหญ่ นั่นคือ การสร้างวัดสุปัฏนาราม อุบลราชธานีให้เป็นวัดธรรมยุติแห่งแรกในอีสาน พระดี พันธุโลได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำของพระสงฆ์ธรรมยุติ ด้วยการสนับสนุนจากรัฐในสมัยนั้นที่ต้องการขยายอำนาจการปกครองทั้งทางโลกและทางสงฆ์เข้าไปในเขตอีสาน
.
ขณะที่ละเลยการให้ความสำคัญกับพระเถระผู้ใหญ่อย่าง พระสุ้ย วัดป่าน้อย พระเถระผู้ใหญ่ที่ฐานะเทียบเจ้าคณะเมือง รวมไปถึงความตึงเครียดที่ฝ่ายรัฐพยายามลดบทบาทความสัมพันธ์ของพระกับชาวบ้านในกิจการทางโลก เช่น การทำบุญบั้งไฟ เส็งกอง แข่งเรือและเลี้ยงม้า
.
ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนำมาซึ่งความขัดแย้งที่ร้าวลึก จนประทุออกมาเป็นความรุนแรงทางกายภาพ นั่นคือ ครั้งหนึ่ง เมื่อสายบิณฑบาตทั้งสองฝ่ายเดินสวนทางกัน พระหนุ่มเณรน้อยของทั้งสองฝ่าย ก็ได้วิวาทจนหัวร้างข้างแตก จนฝ่ายบ้านเมืองต้องออกคำสั่งไม่ให้บิณฑบาตสวนทางกัน ความขัดแย้งดังกล่าวทำให้พระเสาร์ กันตสีโล พระอาวุโสขณะนั้น (ซึ่งเป็นอาจารย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตด้วย) ที่สังกัดวัดเลียบ (มหานิกาย) พยายามประนีประนอม ด้วยการเสนอยุบรวม 2 นิกายเข้าด้วยกัน แต่ก็ทนแรงเสียดทานไม่ไหว ก็ต้องยอมผ่อนปรนให้ทำงานร่วมกัน
.
ระลอกที่ 2 คือช่วงปี 2471-2472 หลังจากที่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เดินทางไปภาคเหนือแล้ว ชั้นลูกศิษย์อย่างหลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม
และพระมหาปิ่น ปัญญาพโลกับภิกษุสามเณรฝ่ายธรรมยุติกว่า 80 รูป ได้รับการสนับสนุนจากเจ้าเมืองอุบลให้ไปเผยแพร่อุดมการณ์ในเขตต่างๆ กล่าวกันว่า การเดินทางเข้าไปในท้องที่ต่างๆ ส่งผลต่อความรู้สึกพระสงฆ์ท้องถิ่นอย่างมาก พบว่าที่ขอนแก่นพระธรรมยุตได้เผชิญการต่อต้านจากสงฆ์ท้องถิ่นอย่างรุนแรง ทั้งยังส่งผลต่อญาติโยมที่แสดงตัวเป็นปรปักษ์กับพระป่าสายธรรมยุตด้วย
.
หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ในคณะธรรมยุต ได้บันทึกว่า โยมขอนแก่นไม่เคยเห็นพระกรรมฐาน เรียกว่า "พวกบักเหลือง" เห็นว่าเป็นงูจงอางต้องถือไม้ค้อนมาดูพระที่มาอาศัยอยู่ตามร่มไม้ และพร้อมจะไล่ออกจากพื้นที่ แม้แต่เวลาบิณฑบาตก็ไม่มีใครยอมใส่บาตร จนต้องภาวนาคาถาอุณหัสสวิชัย แยกสายกันไปบิณฑบาตตามที่ต่างๆ ถึงจะได้ฉันบ้าง
.
อย่างไรก็ตามฝ่ายธรรมยุตก็สามารถวางรากฐานที่ขอนแก่นได้สำเร็จ เห็นได้ชัดจากการวางแผนกระจายกันอยู่จำพรรษาตามสำนักสงฆ์ต่าง ๆ ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดขอนแก่น เกือบสิบแห่ง
...
ที่มา
ธีระพงษ์ มีไธสง. "พระวัดป่าอีสาน : การช่วงชิงพื้นที่ภายใต้กลไกอำนาจรัฐ". วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี, 7 : 1 (มกราคม-มิถุนายน 2559) : 179-183
.
ที่มาภาพ
1.เส้นทางเผยแพร่พระธรรมยุตในอีสาน
ธีระพงษ์ มีไธสง. "พระวัดป่าอีสาน : การช่วงชิงพื้นที่ภายใต้กลไกอำนาจรัฐ". วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี, 7 : 1 (มกราคม-มิถุนายน 2559)
2.ภาพงานศพในอุบล http://www.guideubon.com/2.0/ubon-story/830/
3.วัดสุปัฏนาราม อุบลราชธานี http://qakm.lib.ubu.ac.th/picture/?p=492

ศาลอุทธรณ์ภาค 4ไม่ให้ประกันตัวไผ่ ดาวดิน


ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ยืนตามศาลชั้นต้นไม่ให้ประกันตัว ไผ่ ดาวดิน จำเลยในคดีหมิ่นเบื้องสูง
วันนี้ (1 มี.ค. 60)
กรณีทนายความเข้ายื่นอุทธรณ์ถึงศาลอุทธรณ์ภาค 4 คัดค้านคำสั่งศาลจังหวัดขอนแก่นลงวันที่ 22 ก.พ.60 ที่ไม่อนุญาตให้ประกันตัวนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และนักกิจกรรมกลุ่มดาวดิน และขบวนการประชาธิปไตยใหม่ จำเลยในคดีหมิ่นพระมหากษัตริย์ฯ และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากกรณีแชร์ข่าวจากเว็บข่าว BBC Thai โดยอุทธรณ์ดังกล่าว ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลจังหวัดขอนแก่น และอนุญาตให้จำเลยได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างพิจารณาคดี ต่อมา ศาลจังหวัดขอนแก่นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ดังกล่าวเพื่อส่งศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิจารณา
ล่าสุด ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่าเมื่อเวลา 10.10น. ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ยืนตามศาลชั้นต้นไม่ให้ประกันตัว ไผ่ ดาวดิน
...............
TLC.news

ศาลตัดสิน ! มือตัดต่อภาพโป๊ผู้ประกาศ

ศาลตัดสิน ! มือตัดต่อภาพโป๊ผู้ประกาศ
โทษจำคุกรอลงอาญา ให้ปฏิบัติธรรมขัดเกลาจิต
ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก
เมื่อวันที่ 28 ก.พ.60
ศาลอ่านคำพิพากษาคดีพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ฟ้อง นายจิรภัทร อาชีพรับจ้าง จำเลยในฐาน กระทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ม.14 , 16 ประมวลกฎหมายอาญา ม.287 , 326 และ 328
คำฟ้องสรุปว่า
ระหว่างวันที่ 21 - 25 ส.ค. 59 ต่อเนื่องกัน จำเลยได้กระทำผิดโดยนำรูปภาพใบหน้าของ น.ส.ชลรัศมี งาทวีสุข ผู้ประกาศช่อง ททบ.5 ผู้เสียหายไปตัดต่อกับภาพหญิงสาวลักษณะเปลือยกาย อันมีลักษณะลามก และเผยแพร่ในอินสตาแกรม ของจำเลย ไปสู่สาธารณะ จนทำให้ น.ส.ชลรัศมี ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง
ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง ตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ อันเป็นบทหนักสุด พิพากษาจำคุก 2 ปี ปรับ 60,000 บาท จำเลยสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 1 ปี ปรับ 30,000 บาท
แต่เนื่องจาก จำเลยไม่เคยต้องโทษมาก่อน ศาลจึงให้โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาไว้มีกำหนด 2 ปี พร้อมให้จำเลยเข้าปฏิบัติธรรมเพื่อขัดเกลาจิตใจเป็นเวลา 10 วัน
................
s.news

วงค์ ตาวัน : การเมืองเรื่องธรรมกาย

เป็นที่สงสัยกันไปทั้งบ้านทั้งเมือง ว่าเหตุใดการจับกุมธัมมชโยและการตรวจค้นวัดธรรมกาย จึงได้ดำเนินการกันอย่างเอาเป็นเอาตายทุ่มเทกำลังหน่วยปฏิบัติการอย่างเกินปกติ ถึงขั้นที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. โดดลงมาเล่นเอง ด้วยการเซ็นคำสั่งใช้อำนาจตามมาตรา 44 เพื่อประกาศให้พื้นที่ธรรมกายและรอบๆ เป็นพื้นที่ควบคุม
จนเปรียบกันว่า ราวขี่ช้างจับตั๊กแตน
จะจับธัมมชโยคนเดียว แต่เสมือนเปิดยุทธการกวาดล้างกันทั้งวัด
แถมนายกรัฐมนตรี หัวหน้าคณะปฏิวัติ เปิดหน้าออกมาชนเอง
“ดังนั้น งานนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแค่ล่าผู้กระทำผิดฐานรับของโจร ฟอกเงิน รุกป่า และข้อหาอื่นๆสารพัดเท่านั้นแล้วกระมัง!?”
อันที่จริงอาจจะพอเห็นคำตอบอยู่ หากย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงก่อม็อบชัตดาวน์ เพื่อทำทุกอย่างให้สถานการณ์ถึงทางตัน เพื่อเปิดทางให้ทหารเข้ามาปฏิวัติ
ตอนนั้นเหล่าผู้นำม็อบ มีความอาฆาตแค้นในเจ้าหน้าที่ตำรวจหนึ่ง และพระอีกหนึ่ง
ตำรวจนั้นเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเป็นหน่วยกำลังที่ทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยให้กับบ้านเมือง ตามคำสั่งของรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายอย่างเข้มแข็ง จนทำให้แผนล้มประชาธิปไตยไม่บรรลุง่ายๆ ยืดเยื้อยาวนานหลายเดือน กว่าจะถึงจุดที่ทหารยอมออกมายึดอำนาจ
“พอรัฐบาลประชาธิปไตยโดนล้มสำเร็จ ฝ่ายที่ถือว่าตัวเองเป็นผู้ชนะ ก็พุ่งเป้าจะต้องจัดการกับองค์กรตำรวจให้สาสมให้ได้ ต้องผ่าตัดลดทอนให้กลายเป็นหน่วยเล็กลง ไร้กำลังอำนาจให้ได้”
เช่นเดียวกับพระ
โดยเฉพาะกรณีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง วัดปากน้ำภาษีเจริญ ซึ่งขณะที่กำลังชัตดาวน์กันนั้น ท่านดำรงฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช แล้วได้ออกคำแถลงขอบิณฑบาตทุกฝ่าย ให้ถอยกลับไปยังที่ตั้ง เพื่อให้บ้านเมืองเข้าสู่ความสงบ และเป็นไปตามระบบปกติ
นี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่ง ที่แกนนำม็อบนกหวีดบางราย จดจำไม่ลืมเลือน และจะต้องชำระสะสางให้ได้เมื่อเป็นผู้ชนะ
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า เมื่อมีสภาแต่งตั้งเกิดขึ้น บรรดาผู้มีบทบาทในการก่อม็อบจนนำมาสู่การปฏิวัติรัฐประหาร ได้เข้ามามีบทบาทกันพร้อมหน้า
“พร้อมกับเดินหน้าปฏิรูปตำรวจและปฏิรูปสงฆ์อย่างฉับพลันทันที!!”
ราวกับว่าทั้งประเทศ มี 2 วงการนี้เท่านั้น ที่จะต้องเร่งปฏิรูปให้ได้

ถือว่าเป็นเรื่องที่ติดพันฝังแค้นมาจากการต่อสู้เพื่อล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์นั่นเอง

การปฏิรูปสงฆ์นั้น ดำเนินไปพร้อมกับการโหมคดีรถโบราณที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ ที่สมเด็จช่วง ผู้ปฏิบัติหน้าที่สังฆราช เป็นเจ้าอาวาสอยู่ โดยกลไกรัฐที่เดินเครื่องเรื่องนี้อย่างสุดตัวก็คือ ผู้มีอำนาจในกระทรวงยุติธรรม และกรมสอบสวนคดีพิเศษ หน่วยงานทรงอำนาจของรัฐมนตรีกระทรวงนี้
เดินหน้าสอบคดีรถโบราณอย่างอึกทึกครึกโครม ซึ่งแน่นอนมีผลกระทบต่อสมเด็จช่วง
“จากนั้นกระบวนการชำระสะสางวงการสงฆ์ ก็ขยายวงไปยังวัดธรรมกาย เพราะเป็นที่รู้กันว่าวัดปากน้ำภาษีเจริญ คือต้นธารของวัดธรรมกาย”
ขณะเดียวกัน ภายในหมู่แกนนำ คสช. นั้น มีแกนนำบางรายที่มีแนวทางสายเหยี่ยว พุ่งเป้ากวาดล้างขั้วการเมืองตรงข้ามแบบไม่มีปรานีปราศรัย ได้ระดมทีมสืบสวนเพื่อจะเอาผิดกับธัมมชโยและวัดธรรมกาย ตั้งแต่หลังยึดอำนาจเสร็จสิ้นไม่นานแล้ว
จึงจะเห็นได้ว่า กระบวนการล้มรัฐบาลประชาธิปไตย และแกนนำ คสช. บางคน มองธัมมชโยและวัดธรรมกาย เป็นเป้าหมายที่จะต้องจัดการอยู่โดยตลอด
“รวมทั้งยังเชื่อกันว่าวัดธรรมกาย เป็นฐานกำลังอีกส่วนหนึ่งของขั้วการเมืองที่เป็นศัตรู!”
เราจึงเห็นได้ว่า เมื่อทันทีที่รัฐบาล คสช. ลงมือจัดการกับธัมมชโย คนที่ดาหน้าออกมาสนับสนุนและรุมถล่มธรรมกาย ล้วนแต่กลุ่มฝ่ายขวาฝ่ายแนวคิดอนุรักษนิยมการเมืองที่เกลียดชังทักษิณทั้งสิ้น
กระแสในโซเชียลมีเดีย หากเป็นฝ่ายนกหวีด ฝ่ายขวาจัด
“จะมาแนวเดียวกันโดยพร้อมเพรียง นั่นคือ ถล่มธัมมชโยและธรรมกายไม่มียั้ง สนับสนุนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ให้จัดการให้สิ้นซาก ถึงขั้นเรียกร้องให้สลายลัทธิธรรมกายให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด”
ยิ่งมองเห็นได้ชัดว่า ปฏิบัติการล่าธัมมชโยและจัดการกับธรรมกาย ถูกกำหนดด้วยเป้าหมายทางการเมือง
เป้าหมายที่จะต้องกวาดล้างขั้วการเมืองขั้วนี้ให้หมดสิ้นไปให้ได้
การจัดการกับเรื่องนี้ จึงมุ่งไปยังประเด็นใหญ่เกินกว่าปกติ ผิดเพี้ยนไปตั้งแต่แรกเริ่ม

เพราะมีธงการเมืองเรื่องธรรมกายเป็นตัวกำหนด!


ความจริง ธรรมกายนั้นมีปัญหาไม่เป็นที่ยอมรับของคนในสังคมจำนวนมากมายาวนาน ในประเด็นการบิดเบือนหลักธรรม การเน้นเงินทองและสิ่งปลูกสร้างใหญ่โต การขยายสำนักสาขา ที่ขัดแย้งกับคนท้องถิ่น และน่าสงสัยเรื่องการรุกป่า
แต่ธัมมชโยและธรรมกายเอง ก็มีสาวกที่เลื่อมใส อยู่มากมายเช่นกัน เป็นจำนวนนับล้านคน
การตรวจพบเรื่องเงินบริจาคจากการทุจริตในสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ทำให้ธัมมชโยต้องโดนข้อหารับของโจร ฟอกเงิน เป็นคดีที่ทั่วสังคมไม่ประหลาดใจ
เพราะธัมมชโยนั้นเน้นเรื่องเงินทองก้อนโตอยู่แล้ว อีกทั้งเมื่อเกิดการทุจริตเงินของประชาชนที่เป็นเหยื่อในสหกรณ์ดังกล่าว
“ยิ่งทำให้ผู้ได้รับความเสียหายจากการเป็นสมาชิกสหกรณ์ สนับสนุนให้ดำเนินคดีกับธัมมชโยอย่างจริงจัง”
แต่หากเริ่มต้น ด้วยการเดินหน้าคดีฟอกเงิน รับของโจรนี้ อย่างเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย ทุกอย่างน่าจะง่ายกว่านี้
“หรือเมื่อพบว่า มีการเข้าไปบุกรุกป่า แล้วถูกดำเนินคดีไปตามเนื้อผ้า ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องลุกลามบานปลาย”
แต่เพราะฝ่ายผู้มีอำนาจบางคน มีเป้าหมายทางการเมือง มีอคติเรื่องขั้วการเมืองตรงข้าม และมองว่าสำนักนี้เป็นพวกเดียวกับศัตรูใหญ่ทางการเมือง
กระบวนการจัดการกับผู้ต้องหาฟอกเงิน และรุกป่า จึงไม่เป็นไปตามปกติ
“เรื่องเล็กจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่”
ขณะเดียวกัน หลังจากพยายามเข้าตรวจค้นเพื่อจับกุมตัวในวัด ไม่สำเร็จหลายครั้ง กลายเป็นหนังยาวข้ามปี
จนในที่สุดได้มีปฏิบัติการหนล่าสุด แถมหัวหน้า คสช. เซ็นคำสั่งเปิดตัวออกมาเล่นเอง
“คราวนี้เลยกลายเป็นเรื่องใหญ่และประหลาดในสายตาประชาชน”
ด้านหนึ่งคงเพราะ ก่อนหน้านี้ตำรวจรายงานตลอดว่า จากการส่งสายเข้าไปหาข่าวในวัด สรุปได้ว่า มีการปิดลับเรื่องตัวธัมมชโยอย่างสูงสุด ยากที่จะไปค้นหาตัว
แต่ต่อมามีหน่วยข่าวอีกหน่วย รายงานเรื่องการเข้าไปตรวจสอบโรงครัว ยืนยันว่ามีการจัดอาหารเมนูพิเศษให้ธัมมชโยอยู่ทุกวัน เชื่อว่าต้องอยู่ในวัดเป็นแน่
“นี่อาจเป็นที่มาของปฏิบัติการบุกใหญ่หนนี้ แถมยังดึงทหารกองทัพภาค 1 เข้ามาร่วมปฏิบัติการด้วย คงมุ่งหวังให้จริงจังจบสิ้นเสียที”
ที่แน่ๆ อีกประการ คนใน คสช. บางคนยังคาดหวังว่า ในช่วงขาลง ที่รัฐบาลกำลังประสบปัญหาหลายด้าน จนคะแนนนิยมตกวูบ
ถ้าได้ผลงานชิ้นนี้สักชิ้น มีปฏิบัติการที่เป็นข่าวใหญ่ดึงดูดความสนใจของประชาชนได้หลายวันต่อเนื่อง

ถือว่าจำเป็นต้องลุยกับธัมมชโยและธรรมกายอย่างคึกคักโครมครามเช่นนี้เอง!
ที่มา: https://www.matichonweekly.com/in-depth/article_26365

งานงอก มล.ปนัดดา หลังแสดงบช.ทรัพย์สินปปช.ญาติร้องศาลขอแบ่งมรดกใหม่

ยลโฉมที่ดิน ‘วังวรดิศ’ 3 แปลง นางเลิ้ง-กทม. 801 ล้าน ‘หม่อมปนัดดา’ ก่อนถูกทายาทสกุล ‘ดิศกุล’ ร้องต่อศาลแพ่งขอให้แบ่งทรัพย์สินที่ดินมรดกใหม่
PIC panadda 28 2 60 1
จากกรณีเว็บไซต์เดลินิวส์ออนไลน์ รายงานอ้างว่า นางเกตน์สิรี ดิศกุล ณ อยุธยา ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ม.ร.ว.วิบูลดิศ ดิศกุล (เจ้ามรดก) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมช.ศึกษิการ ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ม.ร.ว.วัฒนดิศ ดิศกุล ม.ร.ว.หญิง เจตนีดิศ ปัทมดิลก และ พล.อ.ม.ร.ว.สังขดิศ ดิศกุล (เจ้ามรดก) เป็นจำเลย ต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ในข้อหาแบ่งกรรมสิทธิ์รวม ให้ส่งมอบโฉนดที่ดินคืนแก่ฝ่ายตน 
เบื้องต้น ทนายฝ่ายนางเกตน์สิรี เปิดเผยว่า คดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการหารือเบื้องต้น โดยมีแนวโน้มเป็นไปได้ด้วยดี และใกล้จะจบลงแล้ว แต่ยังไม่สามารถให้ข้อมูลได้ว่า โฉนดที่ดินแปลงซึ่งเป็นมรดกของตระกูลจะอยู่ฝ่ายใด เนื่องจากศาลได้นัดหารืออีกครั้งในวันที่ 4 พ.ค. 2560 เพื่อพิจารณาประเด็นดังกล่าว (อ่านประกอบ :https://www.dailynews.co.th/regional/558391)
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล แจ้งบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีเข้ารับตำแหน่ง รมช.ศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2559 ระบุว่า มีที่ดินทั้งหมด (รวมของคู่สมรส) 18 แปลง รวมมูลค่า 1,152,473,825 บาท (ดูภาพประกอบ)
PIC ทดนปนดดา 1
สำหรับที่ดินใน กทม. มี 5 แปลง แต่มีอยู่ 3 แปลงที่มีมูลค่าสูง ได้แก่ โฉนดเลขที่ 409 แขวงนางเลิ้ง เขตดุสิต เนื้อที่ 5 ไร่ 2 งาน 25 ตารางวา ได้มาเมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2521 มูลค่า 500,625,000 บาท โฉนดเลขที่ 4262 แขวงนางเลิ้ง เขตดุสิต เนื้อที่ 1 ไร่ 3 งาน 34 ตารางวา ได้มาเมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2554 220,200,000 บาท และโฉนดเลขที่ 4263 แขวงนางเลิ้ง เขตดุสิต เนื้อที่ 3 งาน 57.3 ตารางวา ได้มาเมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2556 มูลค่า 80,392,500 บาท รวมมูลค่าทั้ง 3 แปลง 801,217,500 บาท
จากการตรวจสอบข้อมูลจากกรมที่ดิน พบว่า โฉนดทั้ง 3 แปลงดังกล่าว เป็นที่ตั้งของ ‘วังวรดิศ’ (ดูภาพประกอบ)
PIC โฉนดปนดดา 409 1
PIC โฉนดปนดดา 4262 1
PIC โฉนดปนดดา 4263 1
สำหรับ ม.ล.ปนัดดา เป็นบุตรชายคนเดียวของ พล.อ.ม.ร.ว.สังขดิศ ดิศกุล อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศมาเลเซีย สวิตเซอร์แลนด์ และสำนักวาติกัน ซึ่ง พล.อ.ม.ร.ว.สังขดิศ เป็นโอรสของ ม.จ.จุลดิศ ดิศกุล โอรสพระองค์โตในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ปัจจุบัน ม.ล.ปนัดดา เป็นผู้ดูแลวังวรดิศ และผู้จัดการมรดกตระกูล ‘ดิศกุล’
ทั้งนี้เว็บไซต์เดลินิวส์ออนไลน์ รายงานอ้างด้วยว่า ที่ผ่านมามีการจัดสรรแบ่งมรดกให้กับบุคคลในตระกูล ‘ดิศกุล’ ไปเรียบร้อยแล้ว แต่มีทายาทบางรายเห็นการยื่นบัญชีทรัพย์สินของ ม.ล.ปนัดดา ที่มีโฉนดของที่ดินหลายแปลงเป็นของตระกูล จึงพยายามติดต่อ ม.ล.ปนัดดา เพื่อขอเคลียร์ปัญหาดังกล่าว แต่ ม.ล.ปนัดดา แจ้งว่า ไม่มีเวลา เพราะงานยุ่งมาก ทายาทจึงได้ฟ้องร้องต่อศาล เพื่อขอให้มีการจัดแบ่งที่ดินมรดกใหม่ 
ส่วนผลจะเป็นอย่างไร ต้องรอดูในวันที่ 4 พ.ค. 2560 อีกครั้ง 

อธิบดีเอสไอแจง รีบพารถฉุกเฉิน เข้าวัดทันทีหลังรับแจ้งมีผู้ป่วย เผยเสียชีวิตแล้ว 5ชม.

อธิบดีเอสไอแจง พารถฉุกเฉิน เข้าพื้นที่ทันทีหลังรับแจ้งมีผู้ป่วย ไปถึงมีแพทย์กับตร.ท้องที่ ร่วมชันสูตร เผยเสียชีวิต แล้ว 5 ชม.
เมื่อวันที่ 1 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานกรณีที่เฟสบุ๊คของพระสนิทวงศ์ วุฑฒิวังโส ผอ.สำนักสื่อสารองค์กรวัดพระธรรมกาย เผยแพร่กรณีลูกศิษย์วัดพระธรรมกายเสียชีวิต โดยมีการรับแจ้งว่ามีผู้ป่วยหอบหืด ต้องการยาพ่นเมื่อเวลา 11.29 น. ของช่วงเช้าที่ผ่านมา( 1 ก.พ.) หลังไม่สามารถนำรถกู้ชีพเข้าไปภายในได้ โดยอ้างติดด่านทหาร ไม่อนุญาตให้รถฉุกเฉินผ่านเข้าไปรับต้องไปขอใบอนุญาตเจ้าหน้าที่ดีเอสไอก่อน
พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยว่า ตรวจสอบเบื้องต้นแล้วเวลา 13.51 น. เจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้รับการประสานจากญาติเพื่อขอรถพยาบาลนำผู้ป่วยเพศหญิงอายุ 48 ปี อาการหอบส่งโรงพยาบาล โดยเจ้าหน้าที่ดีเอสไอประสานขอรถพยาบาลเพื่อไปรับผู้ป่วยกรณีดังกล่าวและได้ประสานพระมหานพพร ได้รับคำตอบว่าผู้ป่วยได้เสียชีวิตแล้ว ดังนั้น เจ้าหน้าที่ดีเอสไอจึงเดินทางเข้าไปยังที่เกิดเหตุพร้อมพระมหานพพรและพระสงฆ์อีก 1 รูป รวมถึงญาติผู้เสียชีวิต เมื่อถึงที่พักซึ่งเป็นแฟลตของเจ้าหน้าที่วัดพระธรรมกาย ตั้งอยู่เลียบคลองแอลประตู 14 ในพื้นที่ 58 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุม เจ้าหน้าที่ดีเอสไอพบตำรวจจากสภ.คลองหลวง ทราบชื่อคือ ร.ต.อ.อดิศักดิ์ คชศักดิ์ รองสารวัตรสอบสวนสภ.คลองหลวง เจ้าของคดีและแพทย์ที่ชันสูตรอยู่ก่อนแล้ว สอบถามเบื้องต้นแพทย์คาดว่าเสียชีวิตไปแล้วไม่น้อยกว่า 5 ชั่วโมง
ด้านพ.ต.ท.กรวัชร์ ยืนยันว่าหลังปภ.ของดีเอสไอได้รับแจ้งเหตุผู้ป่วยได้นำรถฉุกเฉินเข้าไปถึงจุดเกิดเหตุใช้เวลาเพียง 10 นาที แต่เมื่อไปถึงผู้ป่วยเสียชีวิตไปแล้ว แพทย์ผู้ชันสูตรให้ข้อมูลเบื้องต้นว่าเสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 5 ชั่วโมง ดังนั้นต้องตรวจสอบต่อไปว่าเหตุใดยังมีข้อมูลทางไลน์ปรากฏการติดต่อจากโทรศัพท์มือถือของผู้เสียชีวิตขอความช่วยเหลือไปยังเพื่อนที่อยู่ในอาคารบุญรักษาในเวลาประมาณ 11.00 น. ได้
ด้านพ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะโฆษกดีเอสไอ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่มีความกังวลเรื่องความเจ็บป่วยของเจ้าหน้าที่ ในการประชุมเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา( 1 ก.พ.) จึงได้มีการหารือกับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน(สพฉ.) ที่ร่วมเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการ ขอให้จัดรถกู้ชีพ 1669 เข้าไปตรวจอาการมวลชนที่อยู่ภายในวัด เพื่อจะได้รู้ด้วยว่าวัดจะอนุญาตให้รถเข้าไปหรือไม่ แต่ก็เกิดกรณีดังกล่าวขึ้นก่อน

สัญญาณเข้ม 'ทุบ' ทุจริต/ไทยรัฐ

อารมณ์เสีย หน้าบูดใส่นักข่าวมา 2-3 วันติดๆกัน
ตามอาการที่เดาทางได้ไม่ยาก “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. คงไม่อยากเจอกับคำถามที่ตอบยากๆของสื่อมวลชน
ทั้งปมธรรมกายที่ยังเอาล่อเอาเถิด ปิดเกมไม่ได้ ไหนจะประเด็นร้อนโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ที่ต้องยกเลิกผลการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และผลการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) เริ่มนับหนึ่งกันใหม่
สถานการณ์วนไม่คืบหน้าไปไหน “บิ๊กตู่” เลยต้องตีหน้ายักษ์กลบเกลื่อนไปก่อน
แต่กับข่าวล่าสุดที่ทำให้ขาใหญ่สะดุ้งไปตามๆกัน
ตามหนังสือที่ลงนามโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เซ็นคำสั่งลงโทษ พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รองเลขาธิการสำนักพระราชวัง ฝ่ายความมั่นคงและกิจการพิเศษ
ถึงขั้นไล่ออกจากราชการ ฐานใช้ตำแหน่งหน้าที่ราชการไปในทางไม่ถูกต้อง แสวงหาประโยชน์ให้กับตัวเอง ฝักใฝ่ในเรื่องการเมืองเป็นอันตรายต่อความมั่นคง
ไล่เลี่ยๆกันกับการที่ พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ วิชชารยะ ที่ปรึกษา (สบ 10) ปฏิบัติราชการแทน ผบ.ตร. ได้เซ็นคำสั่งให้ พล.ต.ต.พงษ์เดช พรหมมิจิตร รอง ผบช.ภ.5 ออกจากราชการไว้ก่อน
เนื่องจากมีความเกี่ยวโยงกับคดีที่ร่วมกับ พล.ต.อ.จุมพล บุกรุกพื้นที่ป่าสงวนในเขตอุทยานแห่งชาติทับลาน อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
ตอกย้ำพฤติการณ์แห่งความผิดที่มีหลักฐานติดบ่วงคดีอาญา
เรื่องของเรื่อง นี่น่าจะเป็นสัญญาณเข้มๆ มาตรการแรงๆในการจัดการกับคนที่ใช้ตำแหน่งหน้าที่แอบอ้างแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ
ไม่ว่าสถานะพิเศษแค่ไหน ก็ไม่มีการละเว้น
และก็เป็นอะไรที่ซีเรียสขึ้นมาแบบปัจจุบันทันด่วนเหมือนกัน ตามจังหวะก่อนหน้านั้น กรณีที่รัฐบาลทหารของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ยกระดับคุมเข้มการทุจริตเมกะโปรเจกต์
ตั้งท่าเอกซเรย์กันละเอียดยิบไม่ให้เล็ดลอดสายตา
โดยการใช้อำนาจตามมาตรา 44 แต่งตั้งคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้างหรือ “ซุปเปอร์บอร์ด” เพื่อดูแลการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐ ในโครงการที่มีมูลค่าตั้งแต่ 5,000 ล้านบาทขึ้นไป มอบหมายให้นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติเป็นประธาน
สกัดการทุจริต จ่ายสินบนใต้โต๊ะ
เบื้องต้นเป้าหมายหลักคือการคุมเกมประมูลรถไฟทางคู่ 5 เส้นทางที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการเปิดให้บริษัทเอกชนที่ผ่านคุณสมบัติยื่นซองประกวดราคา
ท่ามกลางการร้องเรียนเรื่องความไม่โปร่งใสในการกำหนดสเปกผู้รับเหมาเอื้อให้เสือไม่กี่ตัวที่ผูกปีตีกินงานเมกะโปรเจกต์ในเมืองไทย ทำให้ผู้รับเหมาจากจีนที่จอยเวนเจอร์กับผู้รับเหมาขนาดกลางร้องเรียนนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ
ประกอบกับ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ต้องการเปิดทางให้ผู้รับเหมารายเล็กของไทยได้มีโอกาสเข้าร่วมแข่งขันประมูลงานด้วย ไม่ให้เป็นการผูกขาดเฉพาะรายใหญ่
เลยต้องล้มโต๊ะ ล้มกระดาน
ตามรูปการณ์ดึงหมูออกจากปากหมา ยื้ออ้อยออกจากปากช้าง
ไอ้ที่ดีล ฮั้วแบ่งเค้กกันไว้ เป็นอันโมฆะ
ใครจ่ายค่าหัวคิว ล็อกสเปกกันแล้ว ถือว่าฟาวล์ไป
ในกระแสที่รัฐบาลโดย พล.อ.ประยุทธ์ได้ไปก่อนเลย กับภาพความพยายามในการสร้างความโปร่งใส สกัดปมทุจริตรีดหัวคิวในโครงการเมกะโปรเจกต์รถไฟทางคู่
“นายกฯลุงตู่” เน้นปิดจุดอ่อนปมทุจริตคอร์รัปชัน
เพราะมันอันตราย ไม่เลือกใหญ่แค่ไหน สถานะพิเศษยังไง “ติดเชื้อ” ขึ้นมากระแสลามไว
กลายเป็น “จุดตาย” ได้เลย.
ทีมข่าวการเมือง

บิ๊กตู่ ขอคนไทย ทำอะไรอย่าให้คนสาปแช่ง อยู่อย่างมีศักดิ์ศรี ถึงจะจน ต้องไม่คดโกงใคร

นายกฯ อ้อนแบงค์เอกชนร่วมแก้หนี้นอกระบบ ขู่เจ้าหนี้ตามทวง-เก็บดอกเกินโทษหนัก ชี้ช่องร้องทำเนียบได้ทันที ไม่สนคนแช่งบอกทำเพื่อคนดีใครทำไม่ดีก็ย้อนกลับตัว
วันนี้ (1 ม.ค.) ที่เมืองทองธานี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวระหว่างเป็นประธานเปิดงาน การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ อย่างบูรณาการและยั่งยืน ช่วงหนึ่งว่า เราต้องเพิ่มการมีส่วนร่วมในภาคประชาชน ทั้งกองทุน เงินทุน และธนาคารชุมชนต้องเข้ามาเสริม ไม่ใช่อะไรก็ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) และธนาคารออมสินอย่างเดียว ถ้าธนาคารอื่นสามารถช่วยได้ก็ควรเข้ามาช่วย ตอนนี้ประชาชนกำลังมีปัญหาอยากขอให้ธนาคารพาณิชย์อื่นๆ คิดดูว่าหากท่านช่วยก็ถือเป็นกุศลแก่ท่านและองค์กรของท่านที่ทำให้คนที่ลำบากชีวิตดีขึ้น ซึ่งไม่ต้องถึงขั้นขาดทุนก็ได้
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ขอยืนยันว่าตนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษเพราะถือเป็นเจตนารมณ์ของรัฐบาล ขอขอบคุณทุกคนที่เกี่ยวข้องที่ช่วยกันบรรเทาความเดือดร้อนและเข้ามาให้ความรู้กับประชาชน รวมถึงช่วยเรื่องกองทุนหมู่บ้านและสหกรณ์ต่างๆ รัฐบาลพร้อมรับฟังเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับหนี้นอกระบบใครเป็นเจ้าหนี้ที่ไม่ทำตามกฎหมาย ใครไปตามทวงหนี้ขอให้ส่งคำร้องมาที่ทำเนียบรัฐบาลทันที เราจะดำเนินการให้ เราจะต้องแก้ปัญหาเรื่องหนี้ให้ได้โดยเร็ว ขอให้ทุกคนช่วยตนแก้ไขด้วย อย่าโยนมาให้ตนอย่างเดียว ก็ตายกันพอดี และขอให้ทุกคนช่วยกันลดความเหลื่อมล้ำในสังคมและลดความเหลื่อมล้ำในประชาชนให้ได้ รวมถึงต้องร่วมมือกันทุกภาคส่วนพร้อมทั้งเคารพกฎหมายของประเทศ บ้านเมืองของเราจะไม่วุ่นวายอีกต่อไป เราจะได้เป็นประเทศที่มีรายได้สูง ไม่ใช่ประเทศที่มีรายได้ปานกลาง ถ้าไม่ช่วยกันก็ไปไม่ได้แน่นอน
นายกฯกล่าวว่า วันนี้ต้องใช้คำสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งนำมาใช้ดำรงชีวิตได้ ขอให้ทุกคนใคร่ควรการใช้ศีลธรรม คุณธรรมในการดำรงชีวิตต่อไป และน้อมนำเอาศาสตร์พระราชาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเป็นแนวทางใช้ชีวิตด้วย
“เราต้องอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี ถึงเราจะจนแต่ต้องไม่คดโกงใคร จะทำผิดหรือถูกเรารู้อยู่แก่ใจ ไม่ต้องให้ใครเขามาว่า ให้รู้สึกว่านอนแล้วมีความสุข อย่าให้คนนั่งแช่งหรือด่าทุกวัน นอนก็ไม่มีความสุขเหมือนผมที่กำลังโดนอยู่ แต่ผมไม่กลัวอยู่แล้วเพราะผมทำให้คนดีส่วนคนไม่ดีจะแช่งผมก็ช่างเขา ก็กลับไปหาตัวเองทางพระบอกเอาไว้ว่าอย่าไปสาปแช่งใคร ใครว่าเราก็ย้อนกลับที่เขานั่นแหละ ส่วนใครที่ว่าผมก็เปลี่ยนใจได้นะ” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

‘บิ๊กตู่’วอนขออย่ารังเกียจที่มารัฐบาล ให้ดูที่ผลงาน ไม่ต้องการให้ใครมาชอบ

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 1 มีนาคม ที่เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานเปิดงาน การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ อย่างบูรณาการและยั่งยืน
โดย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวตอนหนึ่งว่า “แม้รัฐบาลจะเร่งแก้ไขปัญหาต่างๆ ซึ่งมีจำนวนมาก หลายร้อยปัญหา และมีผู้ที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก แต่ถ้าไม่พูดคุยไม่ใช้หลักประชาธิปไตย ปัญหาก็จะไม่ได้รับการแก้ไขแบบตรงจุด ต้องแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ซึ่งไม่ได้อยู่ที่ผมหรือ ครม.เท่านั้น ทุกคนจะต้องช่วยกัน ไม่ใช่มาคอยจับจ้องว่าผม และรัฐบาลนี้เข้ามาแบบไหน อยากให้มองว่าผมเข้ามาแล้วทำงานอะไร ส่วนการเข้ามาที่ไม่ถูกต้องผมก็รู้อยู่แล้ว ขอร้องว่าอย่ารังเกียจผมเลย ให้กำลังใจเพื่อให้ผมมีกำลังใจ มีสติที่จะทำงานต่อไป ไม่เช่นนั้นทำอะไรก็แย่ไปหมด เพราะต้องคุ้ยทุกปัญหาออกมา ซึ่งมีมากมายทั้งที่ประเทศไทยมีโอกาสมากกว่าหลายประเทศ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับทุกคนซึ่งทราบดีว่าอะไรคืออุปสรรคทั้งด้านการเมือง และเศรษฐกิจ และคงไม่สามารถที่จะแก้ทุกปัญหาได้ภายในวันเดียว ขอร้องคนไทยอย่าใจร้อน ที่ผ่านมาผมไม่ได้ว่าดีหรือเลว และไม่โทษใคร แต่ตั้งข้อสงสัยว่าทำไมจึงปล่อยปละละเลย ซึ่งผมเองก็มีส่วนอยู่ด้วยในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ผมเชื่อฟังรัฐบาลปฏิบัติตามกฎหมายทุกประการ เท่ากับมีส่วนร่วมไม่แก้ไขปัญหา วันนี้อย่าใช้แค่ความรู้สึกในการตัดสินปัญหา ต้องทบทวนตัวเอง ถ้าผมไม่ดีก็ไม่ต้องมาชอบผม ผมไม่ได้มาทำงานเพื่อให้ทุกคนมาชอบ ผมยืนยันว่ามีความจริงใจกับทุกคนในตัวผมไม่มีอะไร อาจมีปัญหาอยู่บ้างในการทำงานแต่เชื่อว่าจะสามารถแก้ได้ วันนี้ทุกคนมาพร้อมกันอยากถามว่าวันนี้กลุ่มเอ็นจีโอ กลุ่มสิทธิมนุษยชน มาหรือไม่
ขอร้องอย่าไปขยายความ แล้วมองว่าประเทศมีปัญหาทุกอย่าง การบังคับใช้กฎหมายก็ต้องมีปัญหาบ้าง เพราะเส้นแบ่งระหว่างสิทธิมนุษยชนกับการทำผิดกฎหมายมันเส้นเดียวกัน ทุกคนจึงต้องทำตามกฎหมายอย่างเท่าเทียม อย่ามามีข้ออ้างกับผม ที่ผ่านมาก็มีปัญหาทำไมไม่ออกมาพูดกัน อย่าเอาอันนั้นมาอ้างอันนี้เหมือนหมาป่ากับลูกแกะ ในนิทานอีสป สุภาษิตคำสอน ศีลธรรม เบญจธรรม มีมาทั้งหมดแต่สงสัยว่าทำไมยังวุ่นวายอยู่ คงเพราะเราเป็นคนที่ยุ่งและวุ่นมากต่างคนต่างคิด ต่างความรู้สึก ต่างความต้องการ แต่รัฐบาลก็พยายามที่จะทำทุกอย่างทั้งเรื่องของกฎหมาย เศรษฐกิจ สังคม กระบวนการยุติธรรม เพื่อเปิดเวทีให้กว้างขึ้น เพื่อให้คนมีช่องทาง ได้รับสิทธิ์และการเข้าถึงในสิ่งต่าง ๆ อย่างเท่าเทียม แต่ทุกอย่างต้องโปร่งใส อย่างเรื่องการรักษาพยาบาลขณะนี้ขึ้นมา 3,091 บาทต่อหัว รัฐบาลไม่เคยคิดจะยกเลิก มีแต่หาทางเพิ่มให้ ขณะเดียวกันก็ต้องเตรียมมาตรการรองรับผู้สูงอายุ และที่วันนี้เราต้องขึ้นบัญชีต่างๆ กับประชาชน ไม่ใช่ไปดูถูกหรือล้วงความลับอะไร แต่ต้องการทราบข้อมูลเพื่อนำเงินที่มีอยู่ไปทำให้เกิดประโยชน์” นายกฯกล่าว

ข่าว1/3/60

ธรรมกาย

นายกฯ ปัดตอบปมธรรมกาย ยันรัฐบาลให้ความสำคัญกับทุกคน ขอสื่อนำเสนอเรื่องดี ๆ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวเป็นประธานในพิธีเปิดงานการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน ว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับทุกคน และอย่าไปสนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ต่อบ้านเมือง และปล่อยให้เจ้าหน้าที่ทำงานน่าจะดีกว่า และขอให้สื่อมวลชนนำเสนอในเรื่องที่ดี ๆ ให้คนเขารับรู้ด้วย หากทุกคนไปติติงในทุกเรื่องปัญหาก็จะกลับมาทั้งหมด

ทั้งนี้ ในช่วงท้ายผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามในเรื่องเกี่ยวกับการประชุมเพื่อหาแนวทางในการดำเนินการวัดพระธรรมกายร่วมกับรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อวานนี้นั้น โดย พล.อ.ประยุทธ์ ระบุเพียงว่า ไม่รู้ ไม่มีคำตอบ รู้ว่าจะถามเรื่องธรรมกาย ก่อนที่จะเดินทางกลับไป
-------------
พล.อ.ประวิตร" แนะพระธัมมชโยมอบตัว ย้ำเดินหน้าค้นวัดตามกฎหมาย ยันพบนายกฯแค่กินข้าว

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่าเมื่อวานที่ผ่านมาที่ได้เข้าพบนายกรัฐมนตรี ไม่ได้หารือเรื่องการดำเนินการกับวัดพระธรรมกาย เป็นเพียงการนัดรับประทานอาหาร ส่วนการปรับแผนการทำงาน อะไรที่ไม่ก้าวหน้าก็ต้องปรับ เพื่อให้สามารถดำเนินการให้ได้ข้อยุติ โดยให้นายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะกำกับดูแลกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ ไปหารือกับ พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  เจ้าหน้าที่ทหาร และสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เพื่อหาวิธีการเข้าไปดำเนินการ โดยจะไม่มีการใช้ความรุนแรง เน้นการเจรจาและดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งคดีนี้เป็นเรื่องของตัวบุคคลเพียงคนเดียว ดังนั้นหากคิดว่าไม่ผิดก็ขอให้ออกมามอบตัว และยินยอมให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจค้นภายในวัด หรือหากหนี บ้านเมืองก็มีกฎหมายเอาผิดอยู่แล้ว
----------
"อดีต" สปช. "ไพบูลย์" เตรียมเสนอร่างกฎหมายจัดการทรัพย์สินวัด ต่อสมเด็จพระสังฆราช และนายกรัฐมนตรี เพื่อสอดรับพระธรรมวินัย ป้องกันสงฆ์ยุ่งเกี่ยวการเงิน

นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ แถลงว่า ตนเองได้มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา, ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และกราบทูลสมเด็จพระสังฆราช เพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดการทรัพย์สินวัดและพระภิกษุ และร่างพระราชบัญญัติสภาพุทธบริษัทแห่งชาติ เพื่อให้หน่วยงานของรัฐ พิจารณานำไปเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาการจัดการเรื่องทรัพย์สินของวัดต่าง ๆ และของพระภิกษุเอง และปัญหาในการขาดองค์กรที่ทำหน้าที่ศึกษาตีความพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าไม่ให้มีผู้นำไปบิดเบือน เพื่อส่งเสริมให้กิจการพระพุทธศาสนาอยู่ในหลักการแห่งพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ตามเจตนารมณ์ของประชาชนทั้งประเทศที่มีความเป็นห่วงในเรื่องนี้
--------------
"ไพบูลย์" มั่นใจ "พระธัมมชโย" ยังอยู่วัดพระธรรมกาย พบหลักฐานบ่งชี้หลายอย่าง

นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ มั่นใจว่า พระธัมมชโย ยังอยู่ในเขตวัดพระธรรมกาย 196 ไร่ เนื่องจากมีหลักฐานหลายประการบ่งชี้ อาทิ มีการตรวจสอบพบว่า คนใกล้ชิดกับพระธัมมชโยทุกคนยังอยู่ในวัดพระธรรมกาย จึงเป็นไปไม่ได้ที่ พระธัมมชโย จะอยู่นอกวัดเพียงลำพัง อีกทั้งยังมีการตรวจจับสัญญาณโทรศัพท์ ซึ่งคนใกล้ชิดกับพระธัมมชโย ได้โทรไปยังเบอร์โทรศัพท์มือถือของบุคคลหนึ่งในช่วงเวลา 04.00 น. ของวันเสาร์ที่ 18 ก.พ. ที่ผ่านมา ประกอบกับเมื่อบ่ายวันอาทิตย์ที่ 19 ก.พ. มีพระภิกษุและลูกศิษย์วัดพระธรรมกายจำนวนหลายพันคนได้บุกเข้ามาแหวกแนวกั้นของทางเจ้าที่ตำรวจเข้ามา เพื่อเพิ่มกำลังมวลชนเข้ามาอยู่ในวัด และต่อมา ทางวัดได้ประกาศไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอเข้าค้นวัดอีก ย่อมแสดงว่า ไม่ต้องการให้เจ้าหน้าที่เข้าไปพบตัว พระธัมมชโย

อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเชื่อว่า เรื่องจะยุติได้ เมื่อเจ้าหน้าที่ได้ล้อมวัดพระธรรมกายจนอ่อนแรงและบุกเข้าไปจับกุมตัว หรือ พระธัมมชโย เข้ามอบตัวเอง แต่ก็กรณีนี้ทาง พระธัมมชโย เป็นห่วงว่าจะไม่ได้รับการประกันตัวและถูกจับสึก ดังนั้น จึงขอให้สังคมช่วยกันหาทางออกเพื่อให้ พระธัมมชโย มอบตัว พร้อมขอให้กระบวนการยุติธรรมให้โอกาสโดยให้สามารถใช้สิทธิ์ประกันตัวได้
------------
ผอ.พศ. คนใหม่ เข้าพบ "วิษณุ" ยัน แก้ปัญหาวัดพระธรรมกาย ใช้แนวทางลดความเสี่ยง ไม่รุนแรง เชื่อการเจรจาคือทางออก

พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เข้าพบ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย และ นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อรายงานตัวพร้อมกับรับมอบนโยบายในการทำงานหลังได้รับการแต่งตั้ง พร้อมเปิดเผยหลังเข้าพบว่า เป็นการเข้ารายงานตัวตามธรรมเนียมราชการทั่วไปต่อผู้บังคับบัญชา ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ดูแลงานพระพุทธศาสนา อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการออกกฎหมายเกี่ยวกับคณะสงฆ์ ต้องผ่านความเห็นของมหาเถรสมาคม (มส.) ก่อนอยู่แล้ว อะไรที่กระทบต่อพระสงฆ์จะต้องหารือกับฝ่ายสงฆ์ก่อน

สำหรับการแก้ไขปัญหาวัดพระธรรมกาย ในฐานะที่เคยทำงานในกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นั้น จะใช้แนวทางลดความเสี่ยง ป้องกันการบาดเจ็บและล้มตาย ดังนั้น จึงไม่ต้องเป็นห่วง เพราะเจ้าหน้าที่จะไม่กระทำการรุนแรง ซึ่ง พศ. มีหน้าที่ทำตามหลักพระพุทธศาสนา และเชื่อว่าการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหานี้ยังสามารถใช้ได้เสมอ การเจรจาและการทูตไม่มีวันสาย หากใครไม่ทำตามการเจรจาก็ไม่สมควรเป็นผู้นำ ส่วนท่าทีขณะนี้จากวัดพระธรรมกายเป็นอย่างไรนั้นต้องถามฝ่ายปฏิบัติ

ทั้งนี้ พ.ต.ท.พงศ์พร ยังกล่าวถึงกรณีที่มีบางฝ่ายเสนอให้แก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์เพื่อควบคุมพระนอกรีต ว่า การเอาผิดพระนอกรีตนั้น มีระบุอยู่ใน พ.ร.บ.สงฆ์ และระเบียบวินัยสงฆ์ จึงไม่จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายเพราะมีบทบัญญัติสำหรับการเอาผิดไว้อยู่แล้ว และกระแสข่าวที่ว่าตนเองเข้ามาเพื่อออกกฎหมายเรียกเก็บภาษีในวัดต่าง ๆ และวัดพระธรรมกาย และการกล่าวหาว่าตนเองเคยอยู่สำนักคดีภาษีดีเอสไอและจะมาทำเรื่องภาษีนั้นเรื่องนี้นั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด

รวมถึงไปถึงการกล่าวหาว่าตนเองเป็นแขกพราหมณ์ เข้ามาเพื่อทำลายพระพุทธศาสนา ก็ถือว่าเป็นการใส่ร้ายกัน และกระทบต่อพระสงฆ์ด้วย ดังนั้นขออย่าเพิ่งไปฟังและเชื่ออะไร
-----------
เจ้าหน้าที่ยังตรึงเข้มคัดกรองบุคคลผ่านเข้าออก วัดพระธรรมกาย จับตาความคืบหน้าหลังนายกฯ เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือ

บรรยากาศบริเวณ รอบวัดพระธรรมกาย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ในช่วงเช้านี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ยังคงตั้งด่านตรวจตราอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยการคัดกรองและตรวจตราบุคคลที่จะผ่านเข้าออก และยานพาหนะที่สัญจรผ่านไปมา ขณะที่บริเวณตลาดกลางหลวง ฝั่งตรงข้ามประตู 5 - 6 ยังคงมีศิษยานุศิษย์ทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ และรอทำวัดเช้าตามปกติ ท่ามกลางมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดจากเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ

นอกจากนี้ ยังมีพระสงฆ์จากวัดพระธรรมกายเดินทางตากประตู 5 ออกมาบิณฑบาต แต่เมื่อต้องการกลับเข้าไปภายในวัดพระธรรมกาย เจ้าหน้าที่ ซึ่งตรึงกำลังรักษาความปลอดภัยอยู่บริเวณดังกล่าวไม่อนุญาตให้กลับเข้าไป เนื่องจากได้รับคำสั่งว่าให้พระกลับเข้าวัดทางประตู 7 พระและเจ้าหน้าที่จึงได้มีการเจรจากัน ซึ่งพระก็ได้นำใบสุทธิสงฆ์เพื่อยืนยันสถานะความเป็นพระ โดยเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าไม่สามารถให้กลับเข้าไปทางประตู 5 ได้เพราะต้องทำตามคำสั่งที่ได้รับจากผู้บังคับบัญชา

สำหรับบริเวณหน้าประตู 7 ซึ่งประตูใหญ่ที่สุด และก่อนหน้านี้เป็นทางเข้าออกหลักของวัด มีเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำการอยู่ และตั้งเต็นท์ด้านหน้า ศิษย์บางส่วนได้มาทำบุญตักบาตร ซึ่งโดยทั่วไปยังคงเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

อย่างไรก็ตาม วันนี้ต้องจับตาความเคลื่อนไหว หลังจากที่เมื่อวานนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เรียกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ผู้บัญชาการหารบก (ผบ.ทบ.) ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) รวมทั้ง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และ ผู้อำนวยการสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เข้าหารือเป็นการด่วน คาดว่าจะหารือปรับแผนแนวทางในการดำเนินการกรณีวัดพระธรรมกาย หลังปัญหายื้อเยื้อมานาน
-----------
เจ้าหน้าที่เข้มทางเข้าออกวัดพระธรรมกายต้องผ่านประตู 7 พระสงฆ์บอกไกล นั่งฉันภัตตาหารเช้า หน้าประตู 6 

ที่บริเวณทางเข้าประตู 6 วัดพระธรรมกาย มีพระสงฆ์จำนวน 16 รูป นั่งอยู่บริเวณด้านหน้าทางเข้า หลังได้ออกมาบิณฑบาต และต้องการกลับเข้าไปในวัดพระธรรมกายผ่านประตู 6 ซึ่งไม่สามารถกลับเข้าไปได้ โดยเจ้าหน้าที่ทหารที่ดูแลพื้นที่ได้ชี้แจงว่า ไม่ได้มีปิดกั้นการเข้าวัด แต่ต้องเข้าทางประตู 7 เท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้อาจมีอนุโลมบ้าง ทำให้พระสงฆ์บางรูปสามารถเข้าได้ โดยหลังจากนี้จะแจ้งพระสงฆ์ทั้งหมดที่อยู่ในวัดให้ทราบ และทำความเข้าใจเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติตรงกัน ทั้งนี้ พระสงฆ์กลุ่มดังกล่าว จึงได้นั่งฉันภัตตาหารเช้า อยู่บริเวณปากทางเข้าประตู 6

ซึ่ง พระสุรพล ปุณโณภาโส พระลูกวัดพระธรรมกาย เปิดเผยว่า พระสงฆ์ที่มานั่งจุดนี้ มีใบสุทธิสงฆ์ บัตรประจำตัวสงฆ์ครบถ้วน และก่อนหน้านี้ ได้เดินเข้าวัดผ่านประตูทางเข้าที่ 6 มาตลอด เพราะเป็นทางเข้าที่ใกล้ที่สุด ซึ่งหากต้องไปเข้าประตูที่ 7 จะเดินไกลขึ้น และทำให้ฉันอาหารเช้า เวลา 07.00 น. ไม่ทัน จึงขอความอนุเคราะห์จากเจ้าหน้าที่เปิดทางให้เข้า แต่ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ ยังคงยืนยันว่าต้องทำตามกฎระเบียบ ทำให้พระสงฆ์ต้องเดินทางไปเข้าที่ประตู 7 โดยไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้น
-----------
เจ้าหน้าที่ นำป้ายมาติดรอบตลอดกลางคลองหลวง ขอผู้ที่ชุมนุมออกจากพื้นที่ มาติดบริเวณโดยรอบ ขณะป้าย "we need food" ถูกนำมาติดอีกครั้ง

บรรยากาศที่ตลาดกลางคลองหลวง จ.ปทุมธานี ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามทางเข้าประตู 5 - 6 วัดพระธรรมกาย เจ้าหน้าที่ทหารได้นำป้ายประกาศ ประมาณ 3 ป้าย มาติดบริเวณโดยรอบ ในข้อความ ระบุว่า "พื้นที่นี้เป็นพื้นที่ส่วนบุคคลไม่อนุญาตให้ประกอบกิจกรรมชุมนุม จึงขอความกรุณาพระภิกษุสงฆ์และสามเณร และผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่บริเวณนี้โดยเร็ว เพื่อที่จะได้ประกอบกิจการค้าได้ตามปกติ หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดีฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 364 และมาตรา 365"

ขณะที่ลูกศิษย์บางส่วนยังนั่งสวดมนต์อยู่ภายในเต็นท์ที่ตั้งอยู่ในตลาดกลาง ยังไม่มีท่าทีจะเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่แต่อย่างใดนอกจากนี้ ยังพบว่า ที่เสาส่งสัญญาน ข้างอาคาร 100 ปี คุณยายอาจารย์ฯ ในพื้นที่ 130 ไร่ โซน B วัดพระธรรมกาย ยังคงมีป้ายข้อความ "we need food" ติดอยู่ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้นำออกไปแล้ว
---------------
พระสนิทวงศ์ ขอรัฐปล่อยสัญญาณโทรศัพท์ เพื่อหวังติดต่อสื่อสารกับคนภายนอก พร้อม ระบุ ว่าการที่ จนท. ปิดกั้นเสรีภาพเสบียงอาหาร ถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลร้ายแรง ยิ่งกว่า สงคราม

พระสนิทวงศ์ วุฑฒิวังโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กรวัดพระธรรมกาย โชว์ภาพจากกล้องวงจรปิด ระบุว่า เมื่อเย็นวานนี้เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ 2 - 3 คน เข้ามาภายในอาคาร 60 ปี โดยพลการ เพื่อมาดึงสายสัญญาณกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่ในอาคารดังกล่าวออก พร้อมจับกุมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของวัดไป และเพิ่งจะปล่อยตัวเมื่อช่วงเช้าวันนี้ โดยทางวัดได้ตั้งข้อสังเกตว่าการมาของเจ้าหน้าที่เป็นการมาโดยพลการ จึงไม่ทราบว่ามีวัตุประสงค์ใด และหวั่นว่าจะนำสิ่งของที่ผิดกฎหมาย มาไว้ในพื้นที่อาคาร หากจะเข้ามาตรวจค้น ก็ควรจะมาแบบปกติ

ส่วนการที่เจ้าหน้าที่ได้ข้าวกล่องจำนวน 300 กล่อง มาให้ทางวัดเมื่อวานนี้ พระสนิทวงศ์ ระบุว่า ข้าวกล่องทั้งหมด ไม่สามารถฉันได้เพราะเสียทั้งหมด และไม่เพียงพอต่อผู้ที่อาศัยอยู่ในวัดซึ่งมีเป็นหมื่นคน พร้อมกันนี้ ยังได้กล่าวอีกว่า การที่เจ้าหน้าที่ ปิดกั้นเสบียงอาหาร สัญญาณโทรศัพท์และการสัญจร ถือเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างร้ายแรง เป็นการกระทำที่ยิ่งกว่าสงคราม จึงขอให้ช่วยปล่อยสัญญาณโทรศัพท์มือถือ เพราะจะได้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่รัฐได้สะดวก รวมถึงติดต่อครอบที่จังหวัดยะลา เพราะทุกคนเป็นห่วงความปลอดภัยของพระสงฆ์ในวัด

นอกจากนี้ ยังได้ชี้แจงกรณีที่เมื่อช่วงเช้าวันนี้มีบุคคลไม่ทราบชื่อ ถือใบกระท่อมมาที่หน้าประตู 7 โดยยืนยันว่าบุคคลดังกล่าว ไม่มีความเกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกายแน่นอน และไม่ทราบว่าทำเพราะจุดประสงค์ใด รวมไปถึงเรื่องการจับผิด ของวัดพระธรรมกาย เพราะขณะนี้มีข้อความเผยแพร่ทางโซเชียลมีเยอะมาก โกยเฉพาะภาพฆ้อน ชี้แจงว่าทำเป็นสีสัน ใช้ในพิธีไม่มีการนำมาขายแน่นอน
------------
อธิบดีดีเอสไอ ประชุมคดีวัดพระธรรมกาย ระบุ นายกฯ ไม่ได้สั่งการอะไรพิเศษ โดยให้ทำตามกฎหมาย

พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ประชุมประเมินสถานการณ์และแนวทางปฏิบัติการตรวจค้นวัดพระธรรมกาย ที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 เพื่อติดตามจับกุมตัวพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม อาทิ ผู้แทนสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และกรมการปกครอง พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวก่อนเข้าประชุมสั้น ๆ กรณีนายกรัฐมนตรีได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเข้ารายงานสรุปสถานการณ์ที่เกี่ยวกับคดีวัดพระธรรมกาย ว่า นายกรัฐมนตรีไม่มีข้อสั่งการอะไรเป็นพิเศษ เพียงแต่ให้ดำเนินการตามกฎหมาย

ด้าน พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ รองโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ กล่าวปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น กรณีมีกระแสข่าวการเปลี่ยนตัวผู้รับผิดชอบการตรวจค้นวัดพระธรรมกาย ยืนยันว่า ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ไปแล้ว ส่วนเรื่องการปฏิบัติก็เป็นเรื่องปกติ

นอกจากนี้ ยังพบว่า สถานการณ์ภาพรวมยังไม่พบความเคลื่อนไหว หลังมีรายงานข่าวว่า มีความพยายามในการยกระดับการชุมนุมของกลุ่มพระสงฆ์และคณะลูกศิษย์ ซึ่งจะมีการประชุมสรุปสถานการณ์ภาพรวมอีกครั้ง
----------
โฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ ออกหมายเรียก "อัยย์ เพชรทอง" พร้อมพวก รวม 3 คน รายงานตัวภายในวันที่ 3 มี.ค. นี้ 

พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล โฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผย ว่า ขณะนี้ดีเอสไอได้ออกหมายเรียกบุคคลที่มีพฤติกรรม ขัดขวางและปลุกระดมในพื้นที่ประกาศมาตรา 44 ประกอบด้วย 1. นายอัยย์ เพชรทอง 2. นางกชกร ไชยวาน และ 3. นายพยุง อุณหิต โดยให้มารายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ ที่ บก.ตชด.ภ.1 ในวันที่ 3 มีนาคม นี้

ส่วนกรณีมีข่าวว่า นายรุ่งโรจน์ เภกะนันทน์ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย และ นายสมเกียรติ ศรลัมพ์ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย มาเคลื่อนไหวร่วมกับศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย ในพื้นที่ตลาดกลางคลองหลวงนั้น ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงาน แต่เจ้าหน้าที่เฝ้าจับตาอยู่

ส่วนการเข้าออกภายในวัดเจ้าหน้าที่ได้อำนวยความสะดวกกับพระสงฆ์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ใช้วิธีการปฏิบัติด้วยความละมุนละม่อม อนุญาตให้นำอาหารปรุงสุก ยารักษาโรคเข้าไปภายในวัดได้

อย่างไรก็ตาม สำหรับการประชุมระะหว่างอธิบดี DSI ร่วมกับนายกรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ นายกรัฐมนตรีไม่ได้สั่งการอะไรเป็นพิเศษ แต่กำชับว่าต้องปฏิบัติตามกฎหมายทั้งภายในและนอกวัด ซึ่งทางการข่าวเจ้าหน้าที่ยังเชื่อว่า พระธัมมชโย ยังคงภายในวัดพระธรรมกาย
-------------
โฆษกดีเอสไอ ขอ พระสงฆ์ - ลูกศิษย์ ออกจากพื้นที่ตลาดคลองหลวง - จ่อฟันผิดผู้สนับสนุนการชุมนุม

พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล โฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า ในวันนี้จะมีการแจ้งให้กลุ่มผู้ชุมนุมที่อยู่บริเวณตลาดกลางคลองหลวง ทั้งพระสงฆ์ และประชาชนออกจากพื้นที่ โดยในเวลา 15.00 น. เจ้าหน้าที่จะเข้าไปประกาศทำความเข้าใจกับประชาชนถึงแนวทางปฏิบัติ ในการให้ออกจากพื้นที่ รวมถึงพิจารณาออกหมายเรียกกับกิจกรรมที่สนับสนุนการชุมนุม เช่น การจัดระเบียบยานพาหนะ และรถที่นำเต็นท์เข้ามาในพื้นที่ รวมถึงจะตรวจสอบใบสุทธิสงฆ์ เพื่อแยกพระสงฆ์ และคนที่แต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ออกจากกัน

สำหรับตลาดกลางคลองหลวง แม้ว่าก่อนหน้านี้จะห้ามไม่ให้มีการชุมนุม รวมถึงเจ้าของตลาดก็ได้มีการไปแจ้งความไว้แล้ว แต่สาเหตุที่ประชาชนยังไม่ออกจากพื้นที่ เนื่องจากบางส่วนเป็นผู้สูงอายุที่ถูกชักชวนเข้ามา และเข้าใจว่าไม่มีความผิด ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่มีความละเอียดอ่อนเจ้าหน้าที่จึงต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจและประกาศเตือนให้ทราบ เพราะไม่ต้องการให้เกิดความสูญเสีย
---------------
พ่อค้าแม่ค้าตลาดเมืองแก้วมณี ยืนถือป้ายเรียกร้องมาตรา 44 คุมวัดพระธรรมกาย หลังขายของไม่ได้มากว่า 14 วัน

กลุ่มพ่อค้าแม้ค้า ตลาดเมืองแก้วมณี กว่า 10 ราย ได้นำป้ายข้อความต่าง ๆ ยืนถือที่บริเวณทางเจ้าประตูที่ 5 วัดพระธรรมกาย เพื่อเรียกร้องให้ทางรัฐบาลยกเลิกการใช้กฎหมาย มาตรา 44 เนื่องจากได้รับความเดือดร้อน และไม่มีรายได้จากการปฏิบัติการปิดล้อมของเจ้าหน้าที่

โดยตัวแทนผู้ประกอบการร้านค้า ระบุว่า ผู้ประกอบการร้านค้าต่าง ๆ ที่ขายของภายในเมืองแก้วมณีแห่งนี้ ทั้งขายอาหาร ขายผลไม้ ขายเครื่องดื่ม และอื่น ๆ อีกมากมาย ต่างได้รับผลกระทบจากการใช้กฎหมายมาตรา 44 เพราะร้านค้าไม่สามารถค้าขายได้มาแล้ว 14 วัน ไม่มีรายได้เข้ามา แถมยังต้องเสียค่าเช่าร้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ รายเดือนอีก ใครจะรับผิดชอบในเรื่องดังกล่าวนี้ ดังนั้น จึงอยากจะวิงวอนขอให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องยกเลิกกฎหมายมาตรา 44 นี้ ด้วย เพื่อพวกตนจะได้มีรายได้ไปเลี้ยงครอบครัวได้
----------
ตำรวจเคลียร์รถจอดกีดขวางการจราจร ช่วงประตู 7 - ประตู 5 วัดพระธรรมกาย หลังการจราจรติดขัด - ฝ่าฝืนมีความผิด คุก 1 ปี ปรับ 2 หมื่นบาท 

ที่วัดพระธรรมกาย ช่วงบ่ายวันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร สภ.คลองหลวง เข้าเคลียร์ยานพาหนะที่จอดกีดขวางการจราจรอยู่ตลอดแนวถนนบางขัน - หนองเสือ ฝั่งขาเข้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี โดยเฉพาะช่วงบริเวณแนวของวัดพระธรรมกาย ตั้งแต่ ทางเข้าประตูที่ 7 จนถึง ประตู 5 - 6 เนื่องจากพบปัญหาการจราจรติดขัด และทำให้ผู้ใช้รถใช้ถนนได้รับความเดือดร้อน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประชาสัมพันธ์ให้ย้ายรถออกจากพื้นที่ และนำกรวยจราจร มาตั้งเพื่อกันรถที่จะเข้ามาจอดภายหลังจากนี้

สำหรับพื้นที่บริเวณดังกล่าว เป็นพื่นที่ควบคุมพิเศษตามคำสั่ง คสช. มาตรา 44 และตามสั่งการปฏิบัติการในพื้นที่ควบคุมของอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งหนึ่งในข้อห้าม ระบุว่า ห้ามผู้ใดที่ไม่ใช่
เจ้าพนักงานจอดรถ หรือยานพาหนะ บนเส้นทางสาธารณะในพื้นที่ควบคุม เว้นแต่จะได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืน มีโทษ จำคุก ไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท

ด้านความเคลื่อนไหวของศิษยานุศิษย์ที่ตลาดกลางคลองหลวง ได้มีการนำป้ายข้อความจำนวนหลายอัน มาติดไว้บริเวณใต้แผ่นไวนิลขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่หน้าตลาดกลางคลองหลวง โดยมีใจความสำคัญ ให้ยกเลิกการใช้กฎหมายมาตรา 44 และมีการเชิญชวนลูกศิษย์มาร่วมสวดมนต์ในเวลา 18.00 น. ของทุกวันอีกด้วย
--------
ดีเอสไอ ตั้งโต๊ะคัดกรองพระและศิษย์เข้าพื้นที่ตลาดกลางคลองหลวง โดยภาพรวมยังเป็นไปด้วยความเรียบร้อย 

บรรยากาศที่วัดพระธรรมกาย บริเวณถนนเลียบคลองแอน ฝั่งตลาดกลางคลองหลวง เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ทหาร เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่จากสำนักพระพุทธศาสนามาตั้งโต๊ะเพื่อคัดกรองพระภิกษุสงฆ์และสามเณร ที่เดินทางเข้ามาในพื้นที่บริเวณตลาดกลางคลองหลวง โดยจะทำการตรวจสอบใบสุทธิสงฆ์ และซักถามเหตุผลของการเดินทางมาที่วัดพระธรรมกาย

ซึ่งตลอดทั้งวันมีพระสงฆ์จากต่างจังหวัด เดินทางเข้ามาในพื้นที่ อาทิ พระสงฆ์จากวัดแสงทอง จ.เชียงใหม่ ที่เดินทางมาพร้อมกับสามเณรอีก 2 รูป โดยให้เหตุผลว่า เดินทางมาเพื่อร่วมปฏิบัติธรรม
กับทางวัดพระธรรมกาย ทั้งนี้ ได้ให้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอตรวจสอบใบสุทธิตามขั้นตอน โดยเจ้าหน้าที่ดีเอสไอยืนยันว่า ไม่สามารถให้เข้าไปภายในพื้นที่ได้ โดยจะนำพระสงฆ์และสามเณร ไปส่งยังวัดบางขัน ซึ่งเป็นวัดในพื้นที่ใกล้เคียง ขณะที่พระสงฆ์บางหลายรูปที่เดินทางออกมาจากวัดพระธรรมกาย ก็มาลงทะเบียนตรวจสอบใบสุทธิ และกลับภูมิลำเนาด้วยเช่นกัน

ด้าน พ.อ.พินิจ ตั้งสกุล ผบช.สำนักคดีทรัพย์สิน กรมสอบสวนคดีพิเศษ เดินทางมาตรวจสอบดูความเรียบร้อยรอบวัดพระธรรมกาย ซึ่งยังคงมีเจ้าหน้าที่ตั้งด่านตรวจ 3 ชั้น ทั้งภายในและภายนอกพื้นที่เพื่อคัดกรองบุคคล ซึ่งขณะนี้ได้รับรายงานว่าภาพรวมทุกจุดเป็นไปด้วยความเรียบร้อยดี ทั้งนี้ ไม่มีความกังวลว่าจะมีผู้ชุมนุมเข้ามาเพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มว่าพระสงฆ์มาเข้าร่วมชุมนุมที่ตลาดกลางคลองหลวงวันนี้ลดลง และเดินทางออกไปดป็นจำนวนมาก

ส่วนจะมีการเข้าปฏิบัติการภายในตลาดกลางคลองหลวงหรือไม่ ยังไม่สามารถตอบได้ ต้องผลการประชุมจากกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนก่อน
-----------
ผบช.ภ.1 เด้ง ผกก.สภ.คลองหลวง ช่วยงาน ศปก.ภ.1 ขาดจากตำแหน่ง ยังไม่ชัดปมวัดพระธรรมกาย 

มีคำสั่งจากตำรวจภูธรภาค 1 ที่ 57/2560 ให้ พ.ต.อ.เขมพัทธ์ โพธิพิทักษ์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรคลองหลวง ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติราชการตำรวจภูธรภาค 1 และมอบหมายให้รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ที่รับผิดชอบศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 1 เป็นผู้ควบคุมกำกับดูแลการปฏิบัติราชการของข้าราชการดังกล่าว โดยให้ขาดจากตำแหน่งเดิม ทั้งนี้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง

ด้าน พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ระบุว่า มอบหมายให้ พ.ต.อ.สามารถ ศรีสิริวิบูลย์ชัย รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี รักษาราชการแทนผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรคลองหลวง
-------------
//////////
ม.44

นายกฯ ยัน จำเป็นต้องใช้ ม.44 แก้ปัญหาให้ประเทศเดินหน้า ขอเคารพกฎหมาย ไม่สร้างความขัดแย้ง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในพิธีเปิดงาน “การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน” ตอนหนึ่งว่า ขณะนี้ขอพักปัญหาความขัดแย้งไว้ก่อน เพราะมีหลายเรื่องต้องเร่งดำเนินการ ซึ่งหากประชาชนมีความเห็นหรือข้อเสนอรัฐบาลพร้อมที่จะรับฟังเสียงของประชาชนทุกเรื่อง เพราะเสนอตัวมาทำงานเอง ส่วนขอเรียกร้องให้ยกเลิก ม.44 นั้น ยืนยันว่ายังจำเป็นต้องใช้เพื่อให้ประเทศเดินหน้า เพราะกฎหมายปกติใช้ไม่ได้

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ยังระบุว่า อย่ามัวแต่คิดว่าตนเองมาไม่ถูกต้อง เพราะรู้ดีว่าไม่ถูกต้อง แต่อยากให้มองสิ่งที่ได้ทำ และให้กำลังใจในการทำหน้าที่ต่อไป เพราะส่วนตัวเชื่อว่า ไทยยังมีโอกาสมากกว่าอีกหลายประเทศ และทุกประเทศก็มีปัญหารวมถึงเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย เพราะเส้นแบ่งของสิทธิมนุษยชนและการทำความผิดกฎหมายเป็นเรื่องเดียวกัน แต่อย่านำเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้าง และขอให้ทุกคนเคารพกฎหมายเพื่อไม่ให้ประเทศต่อวุ่นวายอีกต่อไป
--------------
รมช.กต. หารือผู้แทนพิเศษของเลขาฯ UN ย้ำเจตนารมณ์ไทยพร้อมกระชับความร่วมมือ - เตรียมรับมือกับภัยพิบัติในรูปแบบต่าง ๆ

เฟซบุ๊กกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า ระหว่างเข้าร่วมการประชุมระดับสูงของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 34 (High-Level Segment of the 34th Session of the Human Rights Council - HRC) ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ซึ่งมีขึ้นระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ – 1 มีนาคม 2560 นั้น นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้พบหารือกับ นายโรเบิร์ต กลาซเซอร์ ผู้แทนพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติด้านการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ เพื่อย้ำเจตนารมณ์ของรัฐบาลไทยในการกระชับความร่วมมือและการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติในรูปแบบต่าง ๆ

นอกจากนี้ ยังได้พบหารือกับ นายโฆเซ ลุยส์ กานเซลา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศอุรุกวัย เพื่อแลกเปลี่ยนทัศนะเกี่ยวกับการดำเนินงานของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนด้วย
-----------
/////////////
ทุจริต/7สนช.

"ศรีสุวรรณ" โพสต์เฟซบุ๊ก ร้อง ป.ป.ช. เอาผิดประธาน สนช. เชื่อมีความพยายามปกปิดข้อมูล - ช่วยเหลือ 7 สนช. ขาดประชุม

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว "Srisuwan Janya" ว่า สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยและคณะ เดินทางไปยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. ถนนสนามบินน้ำ นนทบุรี กรณี นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และเลขาธิการวุฒิสภา และ 7 สนช. มีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมาย ป.ป.ช. 2542 โดยเชื่อว่ามีความพยายามปกปิดข้อมูลที่ควรเปิดเผยต่อสาธารณะ และช่วยเหลือเกื้อกูล 7 สนช. ให้ไม่ต้องโทษตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 มาตรา 9 (5) และข้อบังคับการประชุมสภา สนช. และระเบียบว่าด้วยการลา ฯลฯ
--------------
กกต. พร้อมให้ สตง. ตรวจสอบงบฯ ดูงานที่ต่างประเทศ ยืนยันนำข้อมูลมาปรับใช้ทำงานคุ้มค่า

นายภูมิพิทักษ์ กองแก้ว ผู้ทรงคุณวุฒิ รักษาการในตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการบริหารกลางกล่าวถึงกรณีที่สำนักงาน การตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) จะตรวจสอบการใช้งบประมาณของหลักสูตรพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง (พตส.) โดยเฉพาะการเดินทางไปดูงานต่างประเทศ ว่า การไปศึกษาดูงานของหลักสูตรดังกล่าว ไปดูงานจริง มีตารางการดูงานที่แน่นอน เป็นการดูงานเกี่ยวกับระบบการเลือกตั้ง พรรคการเมืองของต่างประเทศ รวมทั้งเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ เพื่อนำข้อมูลมาปรับใช้ในการทำงาน มั่นใจมีความคุ้มค่ามากกว่าเงินที่ใช้จ่ายไป

ทั้งนี้ ยืนยัน กกต. พร้อมให้ สตง. เข้าตรวจสอบ และยินดีให้ความร่วมมือในเรื่องเอกสารหลักฐานอย่างตรงไปตรงมา
-------------------
รองโฆษกเพื่อไทย แนะ ควรตัดงบประมาณซื้อเรือดำน้ำ เพิ่มให้โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค 

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี ครม. อนุมัติงบประมาณสำหรับหลักประกันสุขภาพแห่งชาติประจำปี 2561 และกรอบงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติปี 2562 วงเงิน 172,861,301,800 บาท ว่า ไม่แน่ใจว่า ครม. อนุมัติงบประมาณตามที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เสนอมาหรือไม่ หรือพิจารณาอนุมัติงบประมาณครอบคลุมการบริหารจัดการโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค เพียงพอแล้วหรือไม่ ซึ่งในความเป็นจริง ควรจะเพิ่มงบดังกล่าวให้มากขึ้นเพื่อการดูแลประชาชนอย่างมีคุณภาพและครอบคลุมมากขึ้น เพราะปัจจุบันมีโรคภัยไข้เจ็บแปลก ๆ ใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย จึงอยากให้รัฐบาลพิจารณางบประมาณด้านการดูแลสุขภาพประชาชนให้มากขึ้น ซึ่งสามารถทำได้หลายแนวทาง เช่น การตัดงบจัดซื้อยุทธภัณฑ์ที่ยังไม่จำเป็นอย่าง เรือดำน้ำ ที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะปัจจุบันกองทัพเรือก็ทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ชาติได้ดีอยู่แล้ว ไม่ควรเร่งรีบ ควรรอให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนน่าจะเหมาะสมกว่า ที่สำคัญธนาคารโลกได้ยกตัวอย่างความสำเร็จของประเทศไทยที่รัฐบาลรับภาระรายจ่ายด้านบริการสุขภาพแทนประชาชน ทำให้ประชาชนลดความกังวลของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพยามเจ็บป่วยที่มีค่าใช้จ่ายสูง ทำให้เกิดความมั่นใจในการบริโภคสินค้าจำเป็นอื่น ๆ เป็นการยืนยันอีกครั้งว่าโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค เป็นการดูแลประชาชนที่คุ้มค่า สร้างหลักประกันในการรับการรักษา ไม่ใช่ประชานิยม
--------------------

//////////

ปรองดอง

ปลัด กห. เชิญ พรรคพลังชน เข้าหารือเตรียมการสร้างความสามัคคีปรองดอง - "พล.ต.คงชีพ" เตรียมแถลงผลเที่ยงนี้

พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการเตรียมการสร้างความสามัคคีปรองดอง ครั้งที่ 10 โดยวันนี้ ได้เชิญพรรคพลังชนเข้ามาให้ข้อเสนอแนะในการสร้างความปรองดอง ซึ่งการหารือนี้ยังคงจะยึดแนวทางการปรองดองตามกรอบแนวทางของรัฐธรรมนูญ แผนการปฏิรูปประเทศ และสอดคล้องกับการทำงานของคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง หรือ ป.ย.ป ใน 10 ข้อ ตามนโยบายรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

อย่างไรก็ตาม ในเวลาประมาณ 12.00 น. พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง จะแถลงผลการหารือกับพรรคการเมืองที่มาให้ความเห็นในต้นสัปดาห์นี้
-------------
โฆษก กห. เผย ภาพรวมความเห็นปรองดองพรรคการเมือง แนะเร่งจัดการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ - หนุนปฏิรูปการศึกษาเร่งด่วน

พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง แถลงข่าวภาพรวมการเชิญพรรคการเมืองเข้ามาให้ข้อเสนอแนะ ต่อคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ว่า การรับฟังความเห็นเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ มีการเสนอข้อคิดเห็นไปในแนวทางเดียวกัน คือ การร่วมมือกันในทุกภาคส่วนเพื่อเดินหน้า และกำหนดอนาคตประเทศร่วมกัน โดยในส่วนของประเด็นความขัดแย้ง สิ่งสำคัญทุกพรรคการเมืองมองว่า เกิดมาจากปัญหาทางการเมือง การไม่เคารพกฎหมายส่งผลต่อสังคมในวงกว้าง รวมทั้งปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น และการไม่เคารพกลไกทางการเมืองที่มีอยู่

ขณะที่การการดำเนินการของภาครัฐ มีข้อเสนอว่าควรจะเร่งเข้ามาบริหารจัดการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ พร้อมสนับสนุนประเด็นการปฏิรูปการศึกษาซึ่งถือเป็นเรื่องเร่งด่วน รวมทั้งต้องปลูกฝั่งคุณธรรมจริยธรรมและสร้างจิตสำนึกการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชั่นให้กับเยาวชน
-----------------
อนุฯ ปรองดอง งดเชิญพรรคการเมืองพรุ่งนี้ นัดอีกที 3 มี.ค. ย้ำเป็นกลาง ขอทุกฝ่ายนำเสนอสร้างสรรค์ เตรียมส่งให้กับอนุฯ ชุด 2

พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้งดเชิญพรรคการเมืองมาให้ความเห็นในการสร้างความปรองดอง แต่ในวันศุกร์ (3 มี.ค.) จะเชิญตัวแทน 4 พรรคการเมือง ได้แก่ พรรคเงินเดือนประชาชน พรรคแทนคุณแผ่นดิน พรรคเพื่อสันติ และ พรรคเสรีรวมไทย เข้าให้ข้อคิดเห็น ซึ่งล่าสุดมีพรรคการเมืองเข้าให้ข้อคิดเห็นแล้ว 30 พรรคการเมือง

ส่วนการรับฟังความเห็นในระดับพื้นที่ได้มีการทยอยเปิดเวทีในการรับฟังความเห็น โดยได้รับการตอบรับจากประชาชนและท้องถิ่นในพื้นที่เป็นอย่างดี โดยย้ำว่าทางอนุกรรมการฯ รับฟังทุกความคิดเห็น พร้อมขอให้เชื่อมั่นในการเดินหน้าขับเคลื่อนการสร้างความปรองดองอย่างดีที่สุด มีความเป็นกลางและสร้างสรรค์

ขณะเดียวกัน อนุกรรมการฯ เริ่มทยอยส่งข้อมูลให้คณะอนุกรรมการพัฒนาบูรณาการข้อคิดเห็นข้อเสนอแนะเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ที่มี พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธาน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ 2 ของกระบวนการสร้างความสามัคคีปรองดอง โดยย้ำว่าการทำงานในทุกขั้นตอนเป็นการทำงานควบคู่กันทั้ง 4 อนุกรรมการฯ ซึ่งคาดว่าช่วงปลายเดือนมีนาคม จะเสร็จสิ้นทุกพรรคการเมือง จากนั้นจะเปิดรับฟังความเห็นกลุ่มการเมือง อาทิ กลุ่ม นปช. กลุ่ม กปปส. รวมทั้งความเห็นจากภาคเอกชนและภาธุรกิจต่อไป
/////////
รัฐธรรมนูญ
กรธ. เร่งพิจารณา พ.ร.ป.ผู้ตรวจการแผ่นดิน พร้อมเปิดรับฟังความเห็น พ.ร.ป.วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวันนี้

ศ.ดร.อุดม รัฐอมฤต โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการพิจารณาพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่า ขณะนี้พิจารณา พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีในศาลรัฐธรรมนูญในเบื้องต้นเสร็จแล้ว โดยจะมีการเชิญเจ้าหน้าที่ของศาลเข้ามาหารือให้ความคิดเห็นภายหลัง เนื่องจากอาจจะมีความคิดที่ยังไม่ตรงกัน โดยยืนยันว่าจำนวนตุลาการศาลยังคงมีทั้งหมด 9 คน เช่นเดิม

ทั้งนี้ ศ.ดร.อุดม กล่าวว่า กรธ. จะนัดองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายลูกในวันเวลาต่าง ๆ เพื่อเข้ามาให้ข้อมูลความเห็นในเรื่องที่เกี่ยวข้องที่ยังเห็นต่างกันมาให้ข้อมูลเพิ่มอีก ส่วนในวันนี้ กรธ. จะนำ พ.ร.ป.ผู้ตรวจการแผ่นดิน มาพิจารณา รวมถึงจะมีการรับฟังความคิดเห็นของ พ.ร.ป.วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในเวลา 13.00 - 16.00 น. ที่รัฐสภา โดยได้เชิญพรรคการเมือง นักวิชาการ เจ้าหน้าที่ศาลยุติธรรม ตัวแทน ป.ป.ช. อัยการสูงสุด เข้าให้ความคิดเห็นอีกด้วย
------------
กรธ. จัดสัมมนาฟังความเห็นร่างกฎหมายลูกว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดย มีชัย ร่วมเปิดงาน พร้อมจัดระดมความเห็น 5 กลุ่มย่อย

คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ จัดโครงการสัมมนา เรื่อง การรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.. โดย นายมีชัย ฤชุพันธ์ ประธาน กรธ. เป็นประธานเปิดงานสัมมนา จากนั้นจะเปิดอภิปรายนำเสนอประเด็นของร่างกฎหมายฉบับนี้ อาทิ นายอรรถพล ใหญ่สว่าง อัยการอาวุโส สำนักอัยการสูงสุด นายอธิคม อินทุภูติ เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม นายธรรมนูญ เรืองดิษฐ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดำเนินรายงการโดย นายอุดม รัฐอมฤต โฆษก กรธ. และในฐานะประธานอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาร่างกฎหมายนี้

ขณะเดียวกัน เมื่ออภิปรายแล้ว จะแบ่งกลุ่มย่อย 5 กลุ่ม เพื่อระดมความคิดเห็น คือ กลุ่ม 1 ระบบไต่สวนในคดีทุจริต, กลุ่ม 2 การนับอายุความในกรณีจำเลยหลบหนี, กลุ่ม 3 การฟ้องและการพิจารณาคดีโดยไม่มีตัวจำเลย, กลุ่ม 4 จำนวนผู้พิพากษาในองค์คณะและผู้พิพากษาสำรอง และ กลุ่ม 5 การทำความเห็นส่วนตัวของผู้พิพากษาก่อนทำคำพิพากษา
-----------------
"มีชัย" เสนอแนวคิดการพิจารณาคดี โดยตัดเทคนิคการต่อสู้คดีออก เพื่อให้ศาลไต่ส่วนคดีอย่างเป็นธรรม และเตรียมนำไปใช้กับศาลรัฐธรรมนูญ

นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวในงานสัมมนารับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. .... เพื่อนำความเห็นไปประกอบการพิจารณาจัดทำร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ว่า ศาลถือเป็นองค์กรที่ได้รับการยอมรับและเชื่อถือจากสังคมมาโดยตลอด แต่ กรธ. ยังมีความกังวลว่า ทำอย่างไรจะทำให้กลไกของศาลเดินไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว และยังรักษาความเป็นธรรมให้กับประชาชนได้ ซึ่งต้องวางแนวทางทำให้เกิดความสมดุล

ทั้งนี้ ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จึงสร้างขั้นตอนการอุทธรณ์ขึ้นมา แต่ก็ต้องรักษาความรวดเร็วไว้เพื่อให้เห็นผล พร้อมยอมรับระบบกระบวนการยุติธรรมไทยเคยชินกับระบบกล่าวหามากกว่าไต่สวน หรือคำนึงถึงเทคนิคการต่อสู้คดีมากกว่าการหาความจริงให้ปรากฏ ดังนั้น กรธ. จึงพยายามตัดเรื่องเทคนิคออก เพื่อให้ศาลสามารถไต่สวนได้ มีความเป็นธรรม และนำไปใช้กับศาลรัฐธรรมนูญได้
-----------------
"มีชัย" ชี้คดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่ควรให้คดีมีอายุความ แนะไต่สวนลับหลังได้

นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวตอนหนึ่งในงานสัมมนารับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยเสนอว่า ไม่ควรให้คดีมีอายุความ ควรเปิดโอกาสให้มีการต่อสู้คดีผ่านทนายความและไต่ส่วนลับหลังได้ โดยวิธีพิจารณาจะเน้นหาสาระเพื่อประโยชน์ของตุลาการ รวมทั้งเสนอให้ช่วยกันหาแนวทางช่วยองค์กรอิสระทั้งหลายที่ค่าตอบแทนน้อย เนื่องจากถูกจำกัดเทียบเคียงกับองค์กรทางการเมือง ดังนั้น ควรให้องค์กรอิสระมีค่าตอบแทนสูงขึ้นทัดเทียมค่าครองชีพ

ด้าน นายอรรถพล ใหญ่สว่าง อัยการอาวุโส สำนักงานอัยการสูงสุด เห็นด้วยกับข้อเสนอของ กรธ. ที่ให้พิจารณาคดีหลับหลังทั้งการฟ้องคดี และการพิจารณาคดี ทั้งนี้ ยังเห็นว่าควรกำหนดระบบการไต่ส่วนคดีให้เป็นของไทยโดยเฉพาะ รวมถึงควรออกเป็นกฎหมายเพื่อบังคับใช้ต่อไป
//////////
หนี้นอกระบบ

นายกฯ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน” 

วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน” ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ซึ่งกระทรวงการคลังได้จัดโครงการนี้ขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน ตามเจตนารมณ์ “ขจัดหนี้นอกระบบในประเทศไทยให้เป็นศูนย์” ซึ่งเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้โดยให้มุ่งเน้นการแก้ปัญหาที่สาเหตุ ทั้งด้านสินเชื่อ และศักยภาพในการหารายได้ ให้ชุมชนเข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปัญหา ควบคู่ไปกับการทำงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยในโอกาสนี้นายกรัฐมนตรี จะร่วมกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน” ก่อนจะเดินเยี่ยมชมนิทรรศการ ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดขึ้นบริเวณงานอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม การจัดงานในครั้งนี้ มีผู้แทนหน่วยงานภาคี และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และภาคเอกชนที่สนใจประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ เข้าร่วมกว่า 1000 คน
-----------

//////////
ทรัมป์มั่นคงไทย

พล.อ.ประวิตร มั่นใจ นโยบายใหม่ "โดนัลด์ ทรัมป์" ด้านความมั่นคง ไม่กระทบไทย และภูมิภาคอาเซียน 

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการแถลงนโยบายต่อสภาคองเกรสของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่สำคัญหลายเรื่องโดยเฉพาะการเพิ่มขีดความสามารถ ของกระทรวงกลาโหม ว่า นโยบายดังกล่าวไม่มีผลกระทบกับภูมิภาคและประเทศไทย ซึ่งในส่วนของไทย อยู่ในช่วงของการปฏิรูป และดูแลประชาชนให้ดีที่สุด พร้อมทั้งรักษาอธิปไตยของประเทศ อีกทั้งประเทศไทยยังอยู่ในกลุ่มอาเซียนที่มีนโยบายของภูมิภาคอยู่แล้ว และล่าสุดจากการหารือกับ นาย กลิน ที เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ก็ยืนยันไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกี่ยวกับประเทศไทย
-------------
พล.อ.ประวิตร ห่วงใยการทำงานของตำรวจ กำชับดูแล ปชช. เรื่องความปลอดภัยชีวิตทรัพย์สิน 

พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แถลงผลประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีข้อห่วงใยถึงการทำงานของตำรวจ โดยให้ความสำคัญเรื่องการให้บริการประชาชนให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และป้องกันการเกิดปัญหาอาชญากรรม พร้อมเพิ่มความปลอดภัยในชีวิต จึงได้ฝากให้ปรับและเพิ่มเติมเพื่อการทำงาน ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้มีความรวดเร็วทั้งเรื่องการสั่งการและระบบการทำงาน เพื่อให้บริการประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนงานใดที่มีความซับซ้อนให้ดูแลให้เกิดความชัดเจน

ส่วนปัญหาแรงงานต่างด้าวนั้น ปีที่ผ่านมา คสช. มีคำสั่งให้แรงงานต่างด้าวสามารถเดินทางกลับประเทศได้ เพื่อไปเยี่ยมเยือนและเดินทางกลับมาทำงานในประเทศไทยได้ตามปกติ ซึ่งที่ประชุมวันนี้ ได้เสนอขอให้พิจารณาเรื่องดังกล่าวอีกครั้งโดยมอบให้กระทรวงแรงงานเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในสับดาห์หน้า เพื่อให้กระทรวงมหาดไทยใช้อำนาจผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวเดินทางกลับประเทศได้ในช่วงเทศกาลสงกรานต์และกลับมาทำงานได้ โดยจะมีการพิจารณายกเว้นค่าธรรมเนียมอีกด้วย
------------
นายกฯ มอบ "พล.อ.ประวิตร" หามาตรการให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมเดินหน้าเรื่องพลังงานภาคใต้ เตรียมเปิดเวทีรับฟังความเห็น 1 เดือน

พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงปัญหาพลังงานในภาคใต้ ว่า นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ช่วยหาวิธีการและมาตรการเพื่อให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมเสนอความคิดเห็นและความคืบหน้าเรื่องของพลังงานในภาคใต้ โดย พล.อ.ประวิตร ได้มอบให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 เข้าไปชี้แจงรับฟังความคิดเห็นเพื่อจัดหาพลังงานมาใช้ในพื้นที่ภาคใต้อย่างเหมาะสม ขณะเดียวกัน ต้องรองรับการเจริญเติบโตและสอดคล้องกับการใช้ชีวิตประจำวัน โดยภายใน 1 เดือน ให้เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นทุกภาคส่วนในพื้นที่ และต้องมีผู้ลงไปให้ข้อมูลถึงสถานการณ์พลังงานในพื้นที่ว่าเป็นอย่างไร
----------------

"อย่ารังเกียจผมเลย"

"อย่ารังเกียจผมเลย"
"ไม่ใช่มอง แต่ว่า ผมมาแบบไม่ถูกต้อง ผมรู้ว่า ผมมาไม่ถูก อยู่แล้ว แต่ต้องดูว่ามาทำอะไร ขออย่ารังเกียจผมเลย ให้กำลังใจ ให้มีสติทำงานต่อไป ดีกว่า ไม่เช่นนั้นทำอะไร ก็แย่ไปหมด เพราะต้องคุ้ยปัญหาออกมาแก้ไขทั้งหมด ทั้งที่มีโอกาสมากกว่าประเทศอื่นๆ"
พลเอกประยุทธ์ กล่าว
1มีค.2560

"บิ๊กตู่" ปล่อยมุข "ม.45-ม.88" มีแต่เพิ่ม 2เท่า ยัน เลิก ไม่ได้ ม.44

"บิ๊กตู่" ปล่อยมุข "ม.45-ม.88" มีแต่เพิ่ม 2เท่า ยัน เลิก ไม่ได้ ม.44
“ขอให้เข้าใจว่า ผมทำเพื่ออะไร คำสั่งของผม ขอเถอะ ถ้าไม่ชอบ ม.44 ก็ขอเป็น ม. 45 แล้วกัน
แหม่!! บอกให้เลิก ให้เลิก บ้านเมืองอยู่อย่างนี้ จะเลิกได้ยังไง ถ้าแก้ไม่ได้ จาก 44 ก็ร่างใหม่เป็น 88 เพิ่มเป็น 2 เท่า ไปเลยแล้วกัน
แต่ไม่ว่ากฎหมายอะไรก็ใช้ไม่ได้ ถ้าคนไม่ทำตาม ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกันไม่ว่าอยู่ในสถานะใดก็ตาม”
พลเอกประยุทธ์ กล่าว
1มีค.2560

"โต๊ะกลมกลาโหม".....ยังมีทุกวัน

"โต๊ะกลมกลาโหม".....ยังมีทุกวัน แต่เงียบๆนิด เพราะส่วนใหญ่ เป็นพรรคเล็ก ที่คุยรวมกันเลย. ...โดยมี บิ๊กชาง พลเอกชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกลาโหม เป็นประธานทุกวัน
28 ก.พ.2560 มีมา 4 พรรค คือ
1.พรรคทวงคืนผืนป่าประเทศไทย
2.พรรคพลังเครือข่ายประชาชน
3.พรรคพลังสหกรณ์
4พรรคยางพาราไทย
1 มี.ค.60 มี พรรคพลังชล และ พรรคมหาชน
โฆษกกห.เผย ถกปรองดอง โต๊ะกลมกลาโหม 3 สัปดาห์ 30 พรรค คาดภายในเดือน มี.ค.จะครบทุกพรรค"เพื่อไทย.-นปช."6,15 มีค. ส่วน"กปปส."ยังรอประสาน
พลตรี คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม ในฐานะ โฆษกในฐานะประธานคณะอนุกรรมการด้านการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง กล่าวว่า การพูดคุย ที่เริ่มตั้งแต่ 14กพ.2560 จนวันนี้ 3สัปดาห์แล้ว มีพรรคการเมือง เข้าร่วมเสนอความคิดเห็นให้กับคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความปรองดอง แล้ว 30 พรรค
คาดว่าในสิ้นเดือนมีนาคมนี้ จะสามารถเชิญพรรคการเมืองที่เหลือเข้ามาเสนอความคิดเห็นได้ครบทุกพรรค
หลังจากนั้นในเดือนเมษายน ก็จะเชิญกลุ่มการเมือง กลุ่มภาคประชาสังคม กลุ่มภาคธุรกิจเข้าร่วม
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของพรรคเพื่อไทย ได้ตอบรับเข้ามาแสดงความคิดเห็นในวันที่ 8 มีนาคม
ขณะที่ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ(นปช.) จะมาแสดงความคิดเห็นในวันที่ 15 มีนาคม
ส่วนกลุ่ม คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส จะมาแสดงความคิดเห็นเมื่อไหร่นั้น ขอตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง รอให้ทุกฝ่ายพร้อม เพื่อกำหนดวันที่แน่นอน

โฆษกกห.เผย ถกปรองดอง โต๊ะกลมกลาโหม 3 สัปดาห์ 30 พรรค

โฆษกกห.เผย ถกปรองดอง โต๊ะกลมกลาโหม 3 สัปดาห์ 30 พรรค คาดภายในเดือน มี.ค.จะครบทุกพรรค"เพื่อไทย.-นปช."6,15 มีค. ส่วน"กปปส."ยังรอประสาน
พลตรี คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม ในฐานะ โฆษกในฐานะประธานคณะอนุกรรมการด้านการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง กล่าวว่า การพูดคุย ที่เริ่มตั้งแต่ 14กพ.2560 จนวันนี้ 3สัปดาห์แล้ว มีพรรคการเมือง เข้าร่วมเสนอความคิดเห็นให้กับคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความปรองดอง แล้ว 30 พรรค
คาดว่าในสิ้นเดือนมีนาคมนี้ จะสามารถเชิญพรรคการเมืองที่เหลือเข้ามาเสนอความคิดเห็นได้ครบทุกพรรค
หลังจากนั้นในเดือนเมษายน ก็จะเชิญกลุ่มการเมือง กลุ่มภาคประชาสังคม กลุ่มภาคธุรกิจเข้าร่วม
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของพรรคเพื่อไทย ได้ตอบรับเข้ามาแสดงความคิดเห็นในวันที่ 8 มีนาคม
ขณะที่ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ(นปช.) จะมาแสดงความคิดเห็นในวันที่ 15 มีนาคม
ส่วนกลุ่ม คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส จะมาแสดงความคิดเห็นเมื่อไหร่นั้น ขอตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง รอให้ทุกฝ่ายพร้อม เพื่อกำหนดวันที่แน่นอน