PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2556

"ทักษิณ"โพสFBแนะวิธีรัฐรับมือวิกฤติเศรษฐกิจ

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสผ่าน เฟสบุ๊ค Thaksin Shinawatra วันนี้(15ส.ค.56)ว่า 
เมื่อคืนก่อนดูข่าวว่ายุโรปเริ่มหลุดจากเศรษฐกิจถดถอยหลังจาก 18 เดือน คงมีหลายสาเหตุที่ทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของยุโรปล่าช้า แต่เหตุที่สำคัญอันหนึ่งและตัวเลขก็ยังปรากฏอยู่ การตกงานยังสูงมาก ทั้งนี้เพราะเขาแก้ปัญหาธนาคารไม่ครบวงจร เพราะธนาคารเป็นตัวกลางของคนมีเงินเหลือ กับคนต้องการใช้เงิน พอเศรษฐกิจแย่คนมีเงินเหลือก็มีน้อยต้องถอนเงินกัน ธนาคารจึงต้องเพิ่มทุน ผู้ถือหุ้นก็ไม่มีเงิน รัฐจึงต้องเพิ่มทุนให้แทน

แต่คนใช้เงินคือผู้กู้ก็ไม่มีเงินมาชำระ แถมยังเป็นหนี้เสีย ธนาคารก็ตั้งสำรองตลอดเวลาในขณะที่ทุนก็ไม่พอ เงินฝากก็น้อย ธนาคารจึงไม่ปล่อยกู้รายย่อยเพราะกลัวหนี้จะเสีย SME ก็ต้องปิดกิจการ คนก็ตกงานเพิ่ม บริษัทใหญ่ก็เจ๊งบ้าง หดตัวบ้าง

ถ้ารัฐไม่ตั้ง Bad Bank หรือสถาบันบริหารสินทรัพย์เพื่อมาซื้อหนี้เสียออกจากธนาคาร ธนาคารก็ไม่มีกำลังปล่อยกู้ภาคเอกชน การจ้างงานการขยายธุรกิจก็ไม่เกิดก็ต้องใช้เวลานาน ธนาคารที่อมหนี้เสียไว้เยอะจะกลับมาแข็งแรงอีกครั้งและจะมาช่วยสร้างเศรษฐกิจด้วยการปล่อยกู้เพื่อให้เกิดการสร้างงาน

ตอนสมัยที่ผมเป็นนายกฯ ผมรีบประชุมนายแบงค์ทันทีแล้วตั้ง บสท. (บรรษัทบริหารสินทรัพย์) ขึ้นทันที แล้วซื้อหนี้เสียออกจากธนาคาร เพื่อให้ธนาคารแข็งแรงเหมือนผ่ามะเร็งออกทันที พอธนาคารเริ่มแข็งแรงผมก็เริ่มกระตุ้นให้ธนาคารปล่อยกู้ทันที เลยทำให้การฟื้นตัวเกิดขึ้นเร็ว มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่อเนื่อง

ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ รัฐบาลในยุโรปเน้นเรื่อง Austerity Program ก็คือการประหยัดและตัดงบประมาณลงในหลายด้าน ซึ่งหลักการถูกแต่วิธีการบางรัฐบาลทำไม่เป็น เศรษฐกิจเลยยิ่งหดตัวใหญ่ คนตกงานมาก ระบบราชการที่บริการประชาชนก็มีปัญหาทันที ทั้งๆที่เป็นจังหวะที่ประชาชนกำลังเดือดร้อนอยู่

ก็เปรียบเสมือนการที่เราต้องการลดน้ำหนักละครับ ถ้าลดน้ำหนักด้วยการกินน้อยลง เลือกหมวดอาหารที่เป็นประโยชน์ไม่มีไขมัน ไม่มีแป้งน้ำตาล น้ำหนักก็จะลดแต่ยังแข็งแรง ถ้าออกกำลังกายอีกก็ยิ่งแข็งแรงมากโดยน้ำหนักก็ลด แต่ถ้าเราขี้เกียจและก็เห็นแก่กิน แถมไม่มีสติ ก็ใช้ระบบตัดแขนตัดขา น้ำหนักก็ลดจริงแต่ทำงานไม่ได้

ที่ผมยกตัวอย่างที่อาจจะเพี้ยนไปหน่อย ก็เพื่อจะให้เห็นชัดๆเข้าใจง่ายๆว่าการจะทำอะไรอย่ามองจุดใดจุดหนึ่งหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพราะในโลกปัจจุบันซับซ้อนมีหลายมิติที่มองไปพร้อมๆกัน ดูจุดเดียวมิติเดียวก็พลาดได้ง่ายเพราะมองไม่เห็นภาพรวม มองไม่เข้าใจถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการ

สำหรับท่านที่มีปัญหาครอบครัวชักหน้าไม่ถึงหลังก็ดี ท่านที่ทำธุรกิจแล้วขาดทุนก็ดี อย่าลืมที่ผมเคยพูดไว้ว่า “ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส” นี่คือสูตรสำเร็จของชีวิตครับ คือ

(1) ทำบัญชีให้ชัดว่าเรามีรายจ่ายอะไรบ้างทุกบาททุกสตางค์ อันไหนไม่จำเป็นในช่วงนี้ให้ตัดทิ้ง ชวนทั้งครอบครัวมาดูตัวเลขการใช้จ่ายด้วยกันเลย ถ้าเป็นกระเป๋าเดียวกัน

(2) ทำบัญชีรายได้ว่ามีรายได้มาจากไหนบ้าง เอา (1) กับ (2) มาเปรียบเทียบดูถ้ารายได้น้อยกว่ารายจ่ายทั้งๆที่ตัดรายจ่ายไปแล้ว หรือรายได้พอๆกับรายจ่ายไม่ค่อยมีเงินเหลือ ก็ขอให้ไปสู่ข้อ 3

(3) คือการขยายโอกาสในการทำมาหากินของตัวเองและสมาชิกในครอบครัวที่ใช้กระเป๋าเดียวกันว่าใครพอจะมีโอกาสสร้างรายได้เพิ่มเติมก็ต้องทำทุกอย่างที่สุจริต จะได้อยู่รอดและมีเงินเหลือในที่สุดครับ

ขอให้โชคดีทุกคน ทุกครอบครัว ทุกบริษัทครับ.


สภาทนายความออกแถลงการณ์เฉ่งปอท.คุมไลน์

เมื่อเวลา 15.00 น. สภาทนายความได้ออกแถลงการณ์ กรณี การล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลบน Social Network โดยหน่วยงานของรัฐ อันสืบเนื่องมาจากกรณีที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) มีแนวคิดที่จะตรวจสอบและออกกฎเกณฑ์ในการควบคุมการใช้ Application Line โดยอ้างว่าเพื่อการป้องกันปัญหาการกระทบกับความมั่นคงของชาติ ความสงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดีของประชาชน นั้น

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนสภาทนายความ เห็นว่า การที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) จะทำการตรวจสอบและออกกฎเกณฑ์ในการควบคุมการใช้ Application Line นั้น เป็นการอ้างข้อยกเว้นของกฎหมายซึ่งจะต้องแปลความในทางที่แคบ เพราะหลักการที่สำคัญกว่าก็คือ การที่ ปอท. ต้องระมัดระวังการใช้อำนาจหน้าที่ให้สอดคล้องกับกฎหมายและโดยเฉพาะจะต้องไม่เป็นการก้าวล่วงละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น ทั้งต้องให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ที่ได้กำหนดการใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กร ต้องคำนึงถึงความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพ ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ และเสรีภาพในการสื่อสารถึงกันโดยทางที่ชอบด้วยกฎหมายของบุคคลและมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น

ดังนั้น การที่หน่วยงานกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) จะทำการตรวจสอบและออกกฎเกณฑ์ควบคุมการใช้ Application Line โดยลำพังตนเอง ไม่ผ่านการตรวจสอบของศาลยุติธรรม จึงไม่ชอบ การจะตั้งข้อกล่าวหาว่ามีการกระทำผิดโดย ปอท. จะต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนในแต่ละกรณี และจะต้องได้รับคำสั่งอนุญาตจากศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 105 เนื่องจากการส่งข้อความผ่าน Application Line ถือได้ว่าเป็นสิ่งพิมพ์หรือเอกสารอื่นซึ่งมีการส่งทางไปรษณีย์และโทรเลข ทั้งนี้ จะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการสอบสวนคดีและการพิจารณาคดี หรือเพื่อประกอบการกระทำซึ่งเป็นการกระทำความผิดทางอาญา


รัฐบาลอียิปต์ยืดอกรับ "จำเป็น" ต้องใช้กำลังสลายการชุมนุม

รัฐบาลรักษาการอียิปต์ออกโรงปกป้องภารกิจของเจ้าหน้าที่ความมั่นคงในการสลายกลุ่มผู้ชุมนุมฝ่ายสนับสนุนอดีตประธานาธิบดีโมฮาเหม็ด มอร์ซี โดยยืนยันว่า เป็นหน้าที่ของรัฐบาลในการนำพาความสงบสุขกลับคืนสู่ประเทศ ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 343 ศพ และบาดเจ็บอีกกว่า 1,400 คนแล้ว

นายกรัฐมนตรีฮาเซ็ม เบบลาวี แถลงผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งชาติเมื่อวันพุธ แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งไปยังครอบครัวของผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บทุกคน พร้อมกับยืนยันว่า ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศตั้งแต่เวลา 19.00 น.- 06.00 น. ที่จะมีผลบังคับใช้ 1 เดือนเต็มนั้น อาจถูกยกเลิกก่อนได้ หากสถานการณ์กลับคืนสู่สภาวะปกติด้วยความรวดเร็ว

เบบลาวีกล่าวด้วยว่า รัฐบาลใช้เวลาพิจารณานานพอสมควร กว่าจะตัดสินใจออกคำสั่งให้มีการสลายการชุมนุม และเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทุกคนทำงานด้วยความเป็น "มืออาชีพ" เพื่อควบคุมสถานการณ์ให้กลับคืนสู่ความสงบดังเดิมโดยเร็ว และจะไม่มีการใช้กระสุนจริง ขณะที่รายงานจากกระทรวงมหาดไทยระบุว่า ในจำนวนผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 343 ศพนั้น มีเจ้าหน้าที่รวมอยู่ด้วย 43 ศพ

อย่างไรก็ตาม เสถียรภาพภายในรัฐบาลรักษาการเริ่มสั่นคลอนเช่นกัน เมื่อรองประธานาธิบดีโมฮัมเหม็ด เอลบาราเดย์ ประกาศลาออกจากตำแหน่งแล้ว โดยให้เหตุผลว่า ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่บนกองเลือดของประชาชนได้อีกต่อไป

ขณะที่ทั่วโลกพากันออกมาร่วมประณามเหตุนองเลือดที่เกิดขึ้น ซึ่งถือว่าเลวร้ายและรุนแรงที่สุด นับตั้งแต่การลุกฮือของประชาชนเพื่อขับไล่ประธานาธิบดีฮอสนี มูบารัก เมื่อกว่า 2 ปีก่อน โดยนายบัน คี-มูน เลขาธิการสหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) แถลงแสดงความผิดหวัง "อย่างรุนแรง" ต่อการที่รัฐบาลรักษาการอียิปต์ซึ่งมีกองทัพหนุนหลัง ตัดสินใจใช้กำลังต่อกลุ่มผู้ชุมนุม เช่นเดียวกับสหภาพยุโรป ( อียู ) อังกฤษ ฝรั่งเศส อิหร่าน กาตาร์ และตุรกี ที่ต่างออกแถลงการณ์ประณามเช่นกัน

สำหรับท่าทีของสหรัฐนั้น นายจอห์น แคร์รี รมว.กระทรวงการต่างประเทศ แถลงประณามสถานการณ์ในอียิปต์ว่า "น่าสะพรึงกลัว" อย่างมาก พร้อมกับเรียกร้องให้ทั้งรัฐบาลและกองทัพใช้ "อำนาจ" ที่มีอยู่หยุดยั้งเหตุรุนแรงที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมา เพื่อคืนสันติภาพและความสงบสุขให้กลับคืนสู่ชาวอียิปต์โดยเร็วที่สุด

http://www.theatlanticwire.com/global/2013/08/egypt-cairo-army-crackdown/68302/

http://www.sbs.com.au/podcasts/Podcasts/radionews/episode/283063/Bloodshed-in-Egypt-crackdown

by..@theatlanticwire.com/sbs.com.au/dailynews


มหาเศรษฐี "ผู้ปิดทองใต้ฐานพระ" ซุ่มบริจาคทรัพย์เงียบ 30ปี มูลค่ากว่าแสนล้าน

มหาเศรษฐี "ผู้ปิดทองใต้ฐานพระ" ซุ่มบริจาคทรัพย์เงียบ 30ปี มูลค่ากว่าแสนล้าน

เดลี่ เมล์ ได้เปิดเผยเรื่องราวของนายชัค ฟีเนย์ อภิมหาเศรษฐีผู้ได้ชื่อว่าเป็น "บุรุษใจบุญซุ่มเงียบ" ผู้บริจาคทรัพย์สินกว่า 7,500 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.51 แสนล้านบาท) ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากบิล เกตส์ อภิมหาเศรษฐี เจ้าพ่อกิจการไมโครซอฟท์ ซึ่งกลายเป็นบุรุษใจบุญรายใหญ่ที่สุดของโลก

รายงานระบุว่า นายชัค ซึ่งเป็นชาวอเมริกัน-ไอริช
เจ้าของกิจการขายสินค้าปลอดภาษี ได้เริ่มบริจาคเงินอย่างลับๆ ตั้งแต่ปี 1984 และได้ก่อตั้งมูลนิธิชื่อว่า "แอตแลนติค ฟาวเดชั่น" โดยเขาได้ซุ่มบริจาคเงินอย่างเงียบๆ เป็นเวลากว่า 29 ปี เป็นมูลค่า 7,500 ล้านดอลลาร์ไปแล้ว และมีแผนจะบริจาคเพิ่มไปเรื่อยๆ จนกว่าเขาจะเสียชีวิต

ขณะที่เจ้าตัวมีภาพลักษณ์ถือความสมถะมาก โดยเขาใส่นาฬิกายี่ห้อ "คาสิโอ" ราคาเพียง 15 ดอลลาร์ ชอบเดินทางด้วยรถไฟ ไม่เคยมีรถยนต์เป็นของตัวเอง และชอบแต่งกายในสไตล์เชยๆ และให้ลูกของเขาทำงานไปพร้อมกับการเรียนหนังสือ

รายงานระบุว่า ทรัพย์สินทั้งหมดที่นายชัคบริจาค ถือเป็นสัดส่วนถึง 99 เปอร์เซ็นต์ของทรัพย์สินทั้งหมดที่เขามี โดยบริจาคให้มูลนิธิที่เขาก่อตั้งที่จะกระจายเงินบริจาคให้แก่ด้านสาธารณสุข, วิทยาศาสตร์, การศึกษา และสิทธิพลเรือนทั่วโลก และนายชัคเคยกล่าวกับ "ฟอร์บส์" ว่า ผู้คนมีแต่รับปากว่าจะให้ แต่สำหรับเขา เขาไม่ชอบพูดว่าเขามีสิทธิจะอวดว่าตัวเองก็เป็นนักบริจาค แต่เขาชอบทำเรื่องแบบนี้อย่างฉลาดมากกว่า

พร้อมทั้งกล่าวด้วยว่า เขาเชื่อว่า เขาพอใจมากกว่ากับการกระทำเช่นนี้ และได้เห็นสิ่งต่างๆ ถูกเนรมิตขึ้นจากเงินบริจาคของเขา เช่น โรงพยาบาลและมหาวิทยาลัย และว่าการบริจาคทรัพย์เป็นเรื่องมีเหตุผล มากกว่าการนำเงินไปเข้าบัญชีธนาคาร และรอให้เงินนั้นงอกเงยขึ้นเรื่อยๆ และเขาคิดว่า...

"เขามีความสุขเมื่อเขาได้ทำสิ่งที่ช่วยเหลือผู้คน
และไม่มีความสุข ถ้าสิ่งที่เขาทำไม่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น"

อ่านเรื่องราวของคนหัวใจดีอีกมากมาย คลิก
https://www.facebook.com/media/set/?set=a.570038436373777.1073741836.240466992664258&type=1

ขอบคุณที่มา
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1374564681&grpid=01&catid=06&subcatid=0600


เปิดคำพิพากษาศาลยกฟ้องคดี “แม้ว” ฟ้อง “สนธิ”- ย้ำพฤติการณ์ “นช.ทักษิณ” จาบจ้วงชัด


โดย ทีมข่าวอาชญากรรม14 สิงหาคม 2556 21:32 น
เปิดคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยกฟ้องคดี “ทักษิณ” ฟ้อง “สนธิ-สโรชา” ข้อหาหมิ่นประมาท ชี้พฤติการณ์และพยานแวดล้อมต่อเนื่องหลายกรรมหลายวาระ ชี้ชัด “ทักษิณ” จาบจ้วงเบื้องสูง ขณะที่ “สนธิ” ติชมโจทก์ด้วยความเป็นธรรม ในฐานะพสกนิกรที่จงรักภักดี ไม่เข้าข่ายหมิ่นประมาท
       
        จากกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องคดีหมายเลขดำ อ.3323/2550 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่อยู่ระหว่างการหลบหนีคำพิพากษาของศาลในคดีที่ดินรัชดา มอบอำนาจให้นายสมบูรณ์ คุปติมนัส โดย นายสรรพวิชช์ คงคาน้อย ผู้รับมอบอำนาจช่วง เป็นโจทก์ฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) นางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ อดีตผู้ดำเนินรายการทางสถานีโทรทัศน์ ASTV นั้น
       
        “ASTVผู้จัดการออนไลน์” พบว่า ในคำพิพากษาโดยละเอียดของศาลอุทธรณ์มีความน่าสนใจยิ่ง โดยเฉพาะพฤติการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ต่อข้อกล่าวหาจาบจ้วงเบื้องสูง
       
        ทั้งนี้ คดีนี้เกิดขึ้นจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เห็นว่ารายการยามเฝ้าแผ่นดิน ที่ดำเนินรายการโดยนายสนธิ และ น.ส.สโรชา ซึ่งออกอากาศเมื่อวันที่ 24 ส.ค.2550 ซึ่งขณะนั้นนำเสนอเทปที่นายสนธิได้พูดถึงนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกกับนายสนธิ ถึงสาเหตุที่ถอนตัวออกจากรัฐบาลทักษิณ เพราะรับไม่ได้ที่หลังการยึดอำนาจของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 ตลอดเวลา 8 ชั่วโมงที่อยู่ร่วมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้พูดจาจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงตลอดเวลา
       
       5 ปีผ่านไป คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2555 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 6 เดือน ปรับ 2 หมื่นบาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี
       
       ทว่า เมื่อ นายสนธิ และ น.ส.สโรชา ได้ยื่นอุทธรณ์ และต่อมาเช้าวันที่ 14 สิงหาคม 2556 ศาลอุทธรณ์จึงอ่านคำพิพากษา ประเด็นที่สำคัญคือ จำเลยคือ นายสนธิ และ น.ส.สโรชา หมิ่น นักโทษหนีคดี พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่
       
        จากการเบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลย ประกอบภาพถ่ายและเอกสารได้ความว่า “ในขณะที่โจทก์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อระหว่างปี 2548 ถึง 2549 มีกรณีกล่าวหาว่าโจทก์พูดจาจาบจ้วงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2548 เอกสารหมายเลข ล.4 ในหน้าแรกพาดหัวข่าวว่า “ตอก แม้วจาบจ้วงพาดพิงถึงเบื้องสูงด้วยคำหยาบคาย แนะพบจิตแพทย์” และในฉบับเดียวกันบทความ เปลว สีเงิน หน้า 5 ได้กล่าวถึงโจทก์ว่า การที่โจทก์ใช้คำพูดว่า “เอะอะก็หาว่าผมไม่จงรักภักดี ปัดโธ่...ถ้านายกฯ ไม่จงรักภักดี แล้วผีที่ไหนจะจงรักภักดีวะ” นั้นเป็นการไม่บังควรและยังเป็นการเหยียบย่ำ ให้ความรู้สึกว่าหมิ่นแคลนมากกว่าการเทิดทูน ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2549 เอกสารหมายเลข ล.5 ในหน้าแรกพาดหัวข่าวว่า “ทักษิณเลยเถิดดึงเบื้องสูงยุ่งการเมืองรับสั่งคำเดียวกราบพระบาทลาออก แค่ในหลวงกระซิบ” รายละเอียดข่าวในหน้า 10 มีใจความตอนหนึ่งว่า “ในช่วงหนึ่งของรายการนายกฯ ทักษิณคุยกับประชาชน พ.ต.ท.ทักษิณได้อ้างถึงในหลวงอย่างไม่เหมาะสม และได้สร้างความไม่สบายใจให้กับหลายฝ่ายหลังจากเขากล่าวจบ “พี่น้องครับ วันนี้ผมรู้ว่าคนส่วนใหญ่ยังอยากให้ผมทำงาน เพราะฉะนั้นผมลาออกไม่ได้ ผมทรยศกับคนที่ต้องการให้ผมทำงานไม่ได้ ถ้าคนส่วนใหญ่ไม่เอาผมอีกเรื่องหนึ่ง คนที่จะให้ผมลาออกจากตำแหน่งนายกฯ ได้ ไม่ต้องหลายคนเลยครับ คนเดียวให้ออกได้เลยนั่นคือพระเจ้าอยู่หัว ถ้าพระเจ้าอยู่หัวกระซิบผมรับสั่งคำเดียว ทักษิณออกเถอะ รับรองกราบพระบาทออกแน่นอนครับ...” “...การอ้างให้ในหลวงมากระซิบลาออก จึงจะลาออกนั้นเป็นประเด็นที่สร้างความไม่พอใจให้กับสังคมในวงกว้าง มีการวิพากษ์วิจารณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าไม่รู้ที่สูงที่ต่ำ เหมือนครั้งที่เคยกล่าวกับคนขับแท็กซี่ที่สนามกีฬาหัวหมากช่วงปีใหม่ว่า “นายกฯ ไม่จงรักภักดี แล้วผีที่ไหนจะจงรักภักดีวะ” ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ฉบับวันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน 2549 เอกสารหมายเลข ล.6 ในหน้าแรกพาดหัวข่าวว่า “ทักษิณแฉบุคคลมากบารมีจ้องล้มกระดาน ตั้งรัฐบาลชั่วคราวแก้ รธน.” และในหน้า 9 มีข้อความตอนหนึ่งว่า “ที่ทำเนียบรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกฯ กล่าวในการเป็นประธานการประชุมมอบนโยบายปฏิบัติราชการให้แก่หัวหน้าส่วนราชการในตอนหนึ่งว่า วันนี้ความวุ่นวายเกิดจากหลายอย่าง เมื่อใดองค์กรตามปกติถูกองค์กรที่อยู่นอกระบบครอบงำหรือมีอิทธิพลมากกว่า องค์กรปกตินั้นวุ่นวาย หรือถ้าจะแปลชัดๆ คือ บุคคลซึ่งดูเหมือนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญเข้ามาวุ่นวายองค์กรที่มีในระบบรัฐธรรมนูญมากไป ไม่เคารพกติกา หลายฝ่ายหลายองค์กรไม่ทำหน้าที่ของตัวเองตามหน้าที่ที่ต้องทำ นอกจากนี้ยังปรากฏภาพข่าวของหนังสือพิมพ์หมายเอกสารหมาย ล.7 รวม 5 แผ่น ว่า ในการพบประชาชนของโจทก์ในหลายโอกาส ประชาชนผู้มารอต้อนรับโจทก์ได้ถือธงไตรรงค์โดยในธงไตรรงค์บางส่วนมีคำว่า “ทรงพระเจริญ” อยู่ด้วย ซึ่งเป็นที่ทราบโดยทั่วไปว่าธงไตรรงค์ที่มีคำว่า “ทรงพระเจริญ” อยู่ด้วยนี้ จะใช้ในการเฝ้ารับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือพระบรมวงศานุวงศ์เท่านั้น จะไม่ใช้กับสามัญชนดังเช่นโจทก์ ได้ความต่อมาว่า เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้ทำการยึดอำนาจการปกครองทำให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากนั้นได้เกิดกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่ากลุ่มคนเสื้อแดง รวมตัวกันเพื่อสนับสนุนโจทก์และเรียกร้องให้นำประชาธิปไตยกลับคืน ซึ่งนายสรรพวิชช์ ก็เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 และที่้ 2 ถามค้านว่าโจทก์ได้โฟนอินเข้ามาให้กำลังใจกลุ่ม นปก.อยู่ตลอดเวลา และในการชุมนุมของกลุ่ม นปก.แต่ละครั้งจะมีภาพถ่ายของโจทก์อยู่เสมอ ตามตัวอย่างภาพถ่ายหมาย ล.29 และเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2550 กลุ่ม นปก.ได้รวมตัวกันบริเวณหน้าบ้านพักของ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อบทบาท และการทำหน้าที่ของพลเอกเปรมโดยในวันดังกล่าวมีเหตุการณ์ที่กลุ่ม นปก.ฝ่าด่านกั้นของเจ้าพนักงานตำรวจ และใช้กำลังต่อสู้ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจด้วย ตามภาพข่าวเอกสารหมาย ล.15 ซึ่งตามประเพณีการปกครองและตามรัฐธรรมนูญที่สืบต่อกันมาได้กำหนดให้พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและแต่งตั้งประธานองคมนตรีและองคมนตรี ตลอดจนการให้ประธานองคมนตรีและองคมนตรีพ้นจากตำแหน่งตามพระราชอัธยาศัย ทั้งประธานองคมนตรีและองคมนตรีมีหน้าที่หลักเพียงถวายความเห็นต่อพระมหากษัตริย์ในพระราชกรณียกิจทั้งปวงที่พระมหากษัตริย์ทรงปรึกษาเท่านั้น การที่กลุ่ม นปก.รวมตัวกันแสดงความไม่พอใจต่อพลเอกเปรม ผู้ดำรงตำแหน่งประธานองคมนตรีในขณะนั้น ย่อมทำให้เห็นได้ว่าเป็นการกระทำที่กระทบกระเทือนต่อเบื้องพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงแต่งตั้งพลเอกเปรมด้วย เมื่อโจทก์เป็นผู้ให้การสนับสนุน นปก.อยู่ จึงอาจทำให้คนทั่วไปคาดคิดได้ว่าโจทก์มีส่วนรู้เห็นในการกระทำของกลุ่ม นปก.ดังกล่าว โดยภายหลังเกิดเหตุคดีนี้ปรากฏตามแผนผังโครงข่ายจาบจ้วงสถาบันเอกสารหมาย ล.34 ที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) นำออกเผยแพร่ว่าโจทก์มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มบุคคลที่มีพฤติการณ์จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งสอดคล้องกับกรณีที่มีการกล่าวหาโจทก์ดังกล่าวมาแล้วทั้งหมดข้างต้น จากพฤติการณ์ของโจทก์ประกอบกับสภาพแวดล้อมและเหตุการณ์ต่างๆ ที่กล่าวมาย่อมมีเหตุผลเพียงพอที่จะทำให้พสกนิกรชาวไทย ซึ่งรวมถึงจำเลยที่ 1 ด้วย ที่มีจิตใจเลื่อมใสศรัทธาเคารพเทิดทูนและจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เห็นไปได้ว่าโจทก์กระทำการจาบจ้วงดูหมิ่นและต้องการโค่นล้มพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และโจทก์ทำตัวเหมือนพระเจ้าแผ่นดิน และทำตัวเหนือองคมนตรี การที่จำเลยที่ 1 กล่าวถ้อยคำต่อโจทก์ในลักษณะดังกล่าวข้างต้น จึงถือได้ว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริตติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(3) จำเลยที่ 2 ซึ่งนำวิดีโอเทปถ้อยคำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวมาออกอากาศเผยแพร่ในรายการทางโทรทัศน์ จึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทเช่นกัน ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ข้อนี้ฟังขึ้น
      
       พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2”

       
        “รู้สึกดีใจที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ซึ่งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในวันนี้ได้ยืนยันสิ่งผมพูดและเข้าใจว่ามาจากพฤติการณ์และสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งการมอบอำนาจให้ตัวแทนมายื่นฟ้องผมนั้น เห็นว่าเป็นสิทธิที่สามารถทำได้ แต่หากในขั้นตอนการสืบพยาน พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นโจทก์ไม่ได้เดินทางมาตอบคำซักค้าน ก็จะทำให้ผมซึ่งถูกฟ้องเป็นจำเลยเสียสิทธิในการต่อสู้คดีในชั้นศาล จึงเห็นว่าหากเป็นเช่นนี้ศาลก็น่าจะมีคำพิพากษาให้ยกฟ้องได้” นายสนธิ กล่าวหลังจากฟังคำพิพากษา