PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

กสทช. ชี้กรณีช่อง 5 แทรก 'ฮาร์ดคอร์ข่าว' ไม่ผิด

กสทช. ชี้กรณีช่อง 5 แทรก 'ฮาร์ดคอร์ข่าว' ไม่ผิด แต่ต้องตอบคำถามสังคม

ประธานอนุกรรมการด้านผังรายการและเนื้อหารายการ กสทช. แจงกรณีช่อง 5 แทรกฮาร์ดคอร์ข่าวกลางคัน ชี้ทำได้ แต่ไม่เนียน และต้องตอบสังคมให้ได้ ส่วน กสทช.เรียกดูเนื้อหาไม่ได้ เพราะยังไม่ได้ออกอากาศ

เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่า เมื่อวันที่ 2 ก.ค. พลโท พีระพงษ์ มานะกิจ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในฐานะประธานอนุกรรมการด้านผังรายการและเนื้อหารายการ กล่าวถึงกรณีเหตุการณ์โฆษณาแทรกคั่นกลางอากาศในรายการฮาร์ดคอร์ข่าว กำลังนำเสนอสกู๊ปข่าวโครงการที่เกี่ยวข้องกับบริษัทหนึ่งทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา ว่า วานนี้ (1 ก.ค.) คณะอนุฯ ได้เรียกทุกส่วนที่เกี่ยวข้องซักถามและหารือกับเรื่องที่เกิดขึ้น โดยได้รับแจ้งจากช่อง 5 ว่าสาเหตุที่ตัดรายการออกเพราะข่าวสารคลุมเครือ เพื่อจะนำมาปรับแก้ไขใหม่ ขณะที่ บริษัท โพสต์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) ในฐานะบริษัทผู้ผลิตร่วม ได้ออกแถลงการณ์ว่าเป็นดุลพินิจของสถานี
ประธานอนุกรรมการด้านผังรายการและเนื้อหารายการ กล่าวต่อว่า ส่วนตัวมองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่น่าจะเกิดขึ้น แม้ว่ากรณีการตัดรายการนั้นจะทำได้ แต่จะเกิดคำถามจากสังคมตามมา และส่วนตัวได้ตั้งคำถามว่าทำไมไม่ตรวจสอบ ซึ่งวานนี้ที่ประชุมสรุปว่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากการจัดการภายใน และฝ่ายข่าวรับหน้าเสื่อ
“ช่อง 5 ชี้แจงว่า ข่าวสารคลุมเครือถึงได้ตัดออก เพื่อจะเอามาฉายใหม่ ถ้ามองในแง่บวก ช่อง 5 มีระบบการตรวจสอบที่สามารถทำได้ ไม่มีอะไรผิด แต่ในกรณีนี้ทำไม่เนียน ซึ่งต้องรับผิดชอบต่อสังคม และตามกฎหมาย กสทช. ไม่สามารถเอาอะไรมาดูได้ เพราะยังไม่ได้ออกอากาศ”
- See more at: http://prachatai3.info/journal/2013/07/47497?utm_source=dlvr.it&utm_medium=facebook#sthash.YEmQ0CIO.dpuf

การสังหารเพื่อรักษาศักดิศรีของครอบครัว

วัยรุ่นหญิงปากีสถาน 2 คน ถูกสังหารหลังถ่ายวีดิโอคลิปเต้นกลางสายฝน

ชาย 5 คนบุกเข้าไปในบ้านเพื่อสังหารวัยรุ่นหญิงและแม่ของเธอในเมืองชีลาสของปากีสถาน หลังพบคลิปเด็กวัยรุ่นทั้งสองคนเต้นกลางฝน โดยอ้างว่าเป็น "การสังหารเพื่อรักษาศักดิศรีของครอบครัว" ซึ่งเป็นประเพณีในพื้นที่อนุรักษ์นิยมของปากีสถาน
30 มิ.ย. 2013 - สื่อ The Telegraph กล่าวถึงเหตุการณ์ที่มีเด็กวัยรุ่นผู้หญิงชาวปากีสถานสองคนถูกสังหารหลังจากที่มีวีดิโอของทั้งสองคนกำลังเต้นท่ามกลางสายฝนแพร่กระจายไปทั่วอินเตอร์เน็ต
ภาพวีดิโอดังกล่าวแสดงให้เห็น เด็กวัยรุ่นผู้หญิงสองคนอายุ 15 และ 16 ปี สวมชุดตามประเพณีออกไปวิ่งอย่างร่าเริงรอบนอกบ้านก่อนที่จะเริ่มเต้น สำนักข่าว Dawn ของปากีสถานรายงานว่าทั้งสองคนชื่อ นูร์ บัสรา และนูร์ เชซา เป็นลูกสาวของตำรวจปลดเกษียณ อาศัยอยู่ในเมืองชิลาส ทางตอนเหนือของประเทศ
หลังจากที่วีดิโอดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไปก็มีชาย 5 คน บุกเข้าไปในบ้านของพวกเธอเพื่อสังหารหญิงสาวทั้งสองคนรวมถึงแม่ของพวกเธอด้วยอาวุธปืน
เจ้าหน้าที่ตำรวจของปากีสถานสันนิษฐานว่าผู้ก่อเหตุคือ คูโตเร พี่เลี้ยงผู้ชายของพวกเธอกับผู้ร่วมมืออีก 4 คนโดยมีและเชื่อว่าแรงจูงใจคือเป็นการ "สังหารเพื่อรักษาศักดิศรีของครอบครัว" หลังพบเห็นภาพวีดิโอคลิปเต้นท่ามกลางสายฝนของพวกเธอ ซึ่งทางตำรวจของปากีสถานได้จับตัวผู้ต้องสงสัย 4 คนที่ร่วมมือกับคูโตเรไว้ได้และทั้งหมดให้การรับสารภาพ ขณะที่คูโตเรยังคงลอยนวล
อย่างไรก็ตาม จากการรายงานข่าวของ The Telegraph เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวเตือนว่าการสืบสวนยังไม่เสร็จสิ้นจึงยังไม่ด่วยสรุป โดยมีการนำภาพวีดิโอคลิปมาตรวจสอบและพบว่าเด็กวัยรุ่นทั้งสองคนได้พูดคุยอยู่กับชายคนหนึ่งในบางช่วงของคลิป ซึ่งอาจเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหาร
"การสังหารเพื่อรักษาศักดิศรี" เป็นประเพณีในพื้นที่ชนบทของปากีสถานที่ยึดติดในแนวคิดอนุรักษ์นิยม โดยบางครั้งสภาเผ่าจะเป็นผู้สั่งให้มีการสังหาร
นักกิจกรรมเปิดเผยว่า ในประเทศปากีสถานเมื่อปี 2012 มีผู้หญิง 900 รายถูกสังหารเพราะทำให้ครอบครัวเสื่อมเสียศักดิศรี โดยมีจำนวนมากที่ผู้ลงมือสังหารเป็นพ่อหรือพี่น้องผู้ชายโดยที่ผู้หญิงเหล่านั้นถูกกล่าวหาว่ามีความสัมพันธ์แบบผิดศีลธรรม
ในพื้นที่เดียวกันของหากีสถานยังเคยมีรายงานข่าวว่ามีผู้หญิง 5 คน และชาย 2 คน ถูกสังหารหลังจากที่มีวีดิโอคลิปของพวกเขาร้องเพลงและเต้นรำด้วยกันในงานแต่งงาน แต่การสืบสวนหลังจากนั้นก็ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร
- See more at: http://prachatai3.info/journal/2013/07/47495?utm_source=dlvr.it&utm_medium=facebook#sthash.0gMeAZFG.dpuf

ดีแทคลงนามใน MoU กับกระทรวงพาณิชย์ สนับสนุนการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและราคาสินค้าช่วยประชาชนรับมือปัญหาสินค้าแพง

ดีแทคลงนามใน MoU กับกระทรวงพาณิชย์ สนับสนุนการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและราคาสินค้าช่วยประชาชนรับมือปัญหาสินค้าแพง


1 กรกฎาคม 2556 – บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) โดยสำนักงานสำนึกรักบ้านเกิด ลงนามในบันทึกความร่วมมือกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เพื่อสนับสนุนการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและราคาสินค้าผ่านบริการ SMS *1677 ทางด่วนข้อมูลการเกษตร และแอพพลิเคชั่น ภายใต้ TriNet โครงข่ายอัจฉริยะของดีแทค ซึ่งขณะนี้ผู้ใช้สมาร์ทโฟนบนระบบปฏิบัติการ iOS และ Android สามารถดาวน์โหลดและใช้งานได้ฟรี
dtac-158
ดีแทคมุ่งสร้างโอกาสให้คนไทยได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีการสื่อสารที่ก้าวหน้าและมีคุณภาพสูงสุดอย่างเท่าเทียมกันด้วยวิสัยทัศน์ Internet for All ล่าสุดได้มีส่วนสำคัญในการสนับสนุนกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและราคาสินค้าให้ประชาชนได้รับรู้อย่างทั่วถึง รวดเร็วแบบเรียลไทม์ ผ่านแอพพลิเคชั่น Farmer Info ต่อยอดจากบริการ SMS *1677 ทางด่วนข้อมูลการเกษตร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้เกี่ยวข้องทุกกลุ่มทั่วประเทศ โดยเกษตรกรจะสามารถวางแผนการผลิตและจัดจำหน่าย ผู้ประกอบการจะสามารถประเมิน วิเคราะห์สถานการณ์เพื่อเป็นแนวทางในการประกอบธุรกิจ ในขณะเดียวกัน ผู้บริโภคก็สามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการใช้จ่าย เลือกซื้อสินค้า นอกจากนั้น ยังเป็นการส่งเสริมสนับสนุนนโยบายขององค์กรรัฐ ที่มุ่งสร้างความเป็นธรรมด้านราคาสินค้าสำหรับประชาชนทุกกลุ่มอีกด้วย
Farmer Info เป็นโมบายล์แอพพลิเคชั่นด้านการเกษตรหนึ่งเดียวของไทยซึ่งให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ประกอบด้วยเมนูต่างๆ ได้แก่ ราคารับซื้อ ให้เกษตรกรสามารถตรวจสอบและเปรียบเทียบราคาสินค้าจากแหล่งรับซื้อทั่วประเทศก่อนนำไปขายเพื่อให้ราคาดีที่สุด ราคาตลาดสด จาก 6 ตลาดชั้นนำในประเทศ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปเปรียบเทียบราคาสินค้าได้ทุกวัน ข่าวสาร แหล่งรวบรวมข้อมูลข่าวสารและความรู้ที่เป็นประโยชน์ เกร็ดความรู้ คลิปวิดีโอภูมิปัญญาจากปราชญ์ชาวบ้าน เช่น การปลูกกล้วยกลับหัวเพื่อให้ต้นเตี้ยและลูกดก การป้องกันแมลงเจาะต้นทุเรียนด้วยตาข่ายดักปลา และคลัง SMS แหล่งสืบค้นข้อมูลที่รวบรวมจาก *1677 บริการทางด่วนข้อมูลการเกษตรซึ่งสามารถเลือกอ่านย้อนหลังได้
สำหรับลูกค้าสมาร์ทโฟนของดีแทคและแฮปปี้ซึ่งใช้ระบบปฎิบัติการ Window Phone สามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นและใช้งานได้ฟรีในเดือนกรกฎาคม

ถ่ายทอดสดสถานการณ์อียิปต์2ก.ค.56


มีการถ่ายทอดสด สถานการณ์เหตุการณ์ มิคสัญญี ในอิียิปต์ ผ่าน ยูทูฟ 2ก.ค.2556

“ขวัญชัย” กร่างไม่เลิก! ลั่นเดินหน้าปลุกคนเสื้อ แดงต้านหน้ากากขาวอุดร

อุดรธานี - “ขวัญชัย” ยังกร่างไม่เลิก ประกาศจัด ทัพคนเสื้อแดงต้านหน้ากากขาวชุมนุมไล่รัฐบาลหุ่นเชิด พ่อแม้วทุกวันอาทิตย์ และจะระดมมาให้มากกว่าเดิม อ้าง หน้ากากขาวอุดรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนไทยใหม่ชาวญวน ที่ได้สัญชาติไทยซ้ำมีพ่อค้านักธุรกิจสีเทา-เจ้ามือหวย หนุนหลัง ยืนยันไม่ฝ่าฝืนคำสั่งศาล

ค่ำวานนี้ (1 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.อุดรธานี ว่านายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร พร้อม สมาชิก ร่วมแถลงที่อาณาจักรคนเสื้อแดง บ้านหนองลีหู ต.สามพร้าว อ.เมือง จ.อุดรธานี กรณีการชุมนุมของกลุ่ม หน้ากากขาวว่า จากการที่ตนได้ปราศรัยที่เวทีเครือข่าย ประชาชนปกป้องรัฐบาลที่วงเวียนแยกหลักสี่โดยขอให้ สมาชิกออกมาต้านกลุ่มหน้ากากขาวอุดรธานีให้มากๆ ทำให้สื่อมวลชนนำคำพูดของตนไปลงในลักษณะพวก ตนเป็นนักเลง ที่จริงตนใช้วิธีการเจรจากับคนกลุ่มดัง กล่าวมาแล้วหลายรอบ โดยผ่านผู้ใหญ่ในจังหวัดไม่ว่า จะเป็น พล.ต.ต.บุญลือ กอบางยาง ผบก.ภ.จว.อุดรธานี พ.ต.อ.โกวิท เจริญวัฒนศักดิ์ ผกก.สภ.เมือง หรือ พ.อ.อำนวยจัลโนนยาง รองผู้บัญชาการมณฑลทหาร บก ที่ 24 ขอให้ไปเจรจากับแกนนำกลุ่มหน้ากากขาว ว่า อย่ามาสร้างความวุ่นวาย อย่ามาก่อกวน เพราะ จ.อุดรธานีนั้นได้รับงบประมาณจากมติคณะรัฐมนตรี สัญจรเมื่อวันที่22 กุมภาพันธ์2555 จำนวนมาก

ตนในนามภาคประชาชนก็เห็นด้วยและสนับสนุน แต่มีคนบางกลุ่มบางคนซึ่งเสียผลประโยชน์และไม่ เข้าใจจุดยืนของคนเหล่านั้นที่ออกมาสร้างความวุ่นวาย อาทิตย์ละ 5 คน 10 คน บางอาทิตย์ก็ 20 คน 30 คน จนถึงบางอาทิตย์ 50 คนก็มี

สิ่งเหล่านี้กลายเป็นความวุ่นวาย กลายเป็นความเสีย หายของจังหวัด เราต้องการเห็นความเจริญของจังหวัด อุดรธานี ในเมื่อระบอบประชาธิปไตยได้มีการเลือกตั้ง ไปแล้ว ทั่วประเทศได้มอบให้พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ซึ่งชัดเจนอยู่แล้วว่าประชาชนทั่วประเทศมอบความไว้ วางใจให้

นายขวัญชัยกล่าวว่า คนกลุ่มหน้ากากขาวบางคน เป็นคนไทยใหม่ (ชาวเวียดนามที่ได้รับสัญชาติไทย) ซึ่ง กลุ่มนี้เสียผลประโยชน์อะไร บางคนก็เป็นพ่อค้า อดีต เจ้ามือหวยเป็นแกนนำ เป็นคนหนุนหลังให้กับคนกลุ่มนี้ ออกมาเคลื่อนไหว ตนเองก็เคยถามไปยังคนกลุ่มคน เหล่านั้นว่าเมื่อจะไล่นายกฯ แล้ว คนกลุ่มนี้จะเอาใครมา เป็นรัฐบาล ก็ไม่มีคำตอบ

ขณะนี้มีสัญญาณว่ามีพรรคการเมืองให้การ สนับสนุน ต้องการที่จะให้ จ.อุดรธานี เป็นโมเดลให้กลุ่ม คนหน้ากากขาวเกิดขึ้นที่จังหวัดรอบๆ จ.อุดรธานีเช่น หนองบัวลำภู หนองคายบึงกาฬ เลย สกลนครแล้วมา รวมตัวกันที่จ.อุดรธานี เพื่อให้ชมรมคนรักอุดรทนไม่ ไหวแล้วเกิดการปะทะกัน นี่คือความคิดของคนที่ไม่ ต้องการเห็นบ้านเมืองเดินหน้า

พวกตนยอมไม่ได้ด้วยสัจวาจา ขวัญชัย ไพรพนา และแกนนำทุกตำบลทุกหมู่บ้านในอุดรธานี ประกาศขอ ยืนหยัดเคียงข้างรัฐบาล แต่หากว่ารัฐบาลนี้ทำไม่ดี เรา จะติ แต่ติเพื่อก่อ พร้อมกับประกาศอีกว่าชมรมคนรัก อุดรจะไม่ใช้ความรุนแรง เราเรียกร้องหาความยุติธรรม สันติภาพ ไม่ทำอะไรที่รุนแรง แต่พวกเราจะออกมาแสดง พลัง และในอาทิตย์หน้าพวกเราจะออกมาให้มากกว่าเดิม

นายขวัญชัยกล่าวว่า นี่ไม่ใช่เป็นการปลุกปั่นยุยง ขอกราบเรียนศาลที่เคารพไว้ด้วยว่า ตนไม่ได้ปลุกปั่นยุง ยง แต่ขอเชิญชวนประชาชนคนเสื้อแดงที่รัก ประชาธิปไตยออกมาต่อต้านขบวนการที่จะล้มรัฐบาล ของประชาชน รัฐบาลที่ในหลวงโปรดเกล้าฯ ซึ่งเท่ากับ พวกนี้กำลังหมิ่นสถาบัน ไม่ยอมรับรับกฎกติกาของ ประชาธิปไตย นี่คือสิ่งที่ตนเองขอประกาศว่าต่อไปนี้ หากว่ากลุ่มหนากากขาวออกมาเคลื่อนไหวอีก พวกตนก็ จะออกมาเคลื่อนไหวให้มากยิ่งขึ้น

พวกตนจะพยายามไม่ให้มีการปะทะกัน แต่คนที่อยู่ เบื้องหลังของกลุ่มคนหน้ากากขาวนั้น เป็นกลุ่มธุรกิจสี เทา จะต้องยอมรับหากว่าจะมาเผชิญหน้ากับตนเอง ก็ ขอให้มีคำตอบที่ชัดเจนมาตอบพวกตน เพราะวันนี้พวก ตนมีคำตอบชัดเจนว่าอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย เพราะคน เขามอบความไว้วางใจให้กับรัฐบาลนี้แล้วพรรค ประชาธิปัตย์จะมาตะบี้ตะบันหนุนหลังกลุ่มคนหน้ากาก ขาวอยู่ทำไม

“ผมขอประกาศว่าต่อไปนี้ทุกวันอาทิตย์ ชมรมคน รักอุดรและคนเสื้อแดงอุดร จะออกมาเคลื่อนไหวต่อต้าน กลุ่มหน้ากากขาวให้มากขึ้นทุกอาทิตย์”

หนี้สินภาคครัวเรือนของไทย สถานการณ์น่าเป็นห่วง

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า จากการสำรวจตัวเลขเงินให้กู้ยืมภาคครัวเรือนของสถาบันการเงินทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นสถาบันรับฝากเงิน เช่น ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐบาล สหกรณ์ออมทรัพย์ และสถาบันการเงินอื่น เช่น บริษัทบริหารสินทรัพย์ บริษัทประกันภัยและประกันชีวิต บริษัทหลักทรัพย์ ตลอดจนโรงรับจำนำ ในช่วงสิ้นปี 2555 พบว่า มียอดให้กู้ยืมรวม 8.81 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2552 ซึ่งมียอดให้กู้ยืมที่ 5.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.24 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 58.15%

ตัวเลขข้างต้นส่งผลให้ สัดส่วนหนี้สินภาคครัวเรือนของไทยเพิ่มขึ้นจาก 61% เป็น 78% ของ GDP

สำนักงานสถิติแห่งชาติ รายงานว่า ประมาณ 60% ของครัวเรือนไทยมีหนี้สิน โดยในบรรดาครัวเรือนที่เป็นหนี้ มีหนี้สินเฉลี่ย 241,760 บาท คิดเป็น 10.4 เท่าของรายได้ ... แน่นอนว่านี่เป็นตัวเลขเฉลี่ยตั้งประเทศ ถ้าดูแยกรายภาค จะพบว่า ครัวเรือนในกรุงเทพและปริมณฑลส่วนใหญ่มีหนี้สินเกิน 400,000 บาท ส่วนครัวเรือนในต่างจังหวัดส่วนใหญ่มีหนี้สินต่ำกว่า 200,000 บาท

ครัวเรือนของไทยมีรายได้เฉลี่ย 23,236 บาท มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 17,403 บาท ... แปลว่าครัวเรือนมีเงินเหลือออมเดือนละ 5,833 บาท ... สำหรับครัวเรือนที่เป็นหนี้ หากเอาเงินเหลือตรงนี้ไปชำระหนี้ (เฉลี่ย 241,760 บาท) จะใช้เวลาประมาณ 41 เดือนครับ


ไทยสปริง ชำแหละ ระบอบทักษิณ

ไทยสปริง ชำแหละ ระบอบทักษิณ รัฐบาลขี้หมูไหล เจาะลึก ขี้ข้าแม้ว มีทุกระดับ ชักใยด้วยผลประโยชน์ ทุบระบบ กลืนกินประเทศไทย แก้วสรร แฉ แม้ว ส่ง ซ้ายไร้สำนึก “สุธรรม” นั่ง ปธ.บอร์ด อ.ส.ม.ท. วางแผนสูง ซื้อพรีเมียร์ลีก โยนขี้รัฐวิสาหกิจ ขาดทุน ฟันกำไรทางการเมือง ขยายฐานแดงผ่านวงการฟุตบอล ชี้ สุดแสบ ส่งนักวิชาการ ปล่อยไวรัสทางความคิด ลวงคนรุ่นใหม่เป็นสาวก ให้ร้ายสถาบันกษัตริย์ เพื่อทำลายความสมานฉันท์ในชาติ ยก บ้านเอื้ออาทร โมเดลโกงของ ทักษิณ มี เสี่ยเปี๋ยง เป็นรัฐมนตรีเอื้ออาทร-จำนำข้าวตัวจริง ลากไส้ ใหญ่คับเมือง ดันก้นอธิบดีเป็นปลัดพาณิชย์คุมจำนำข้าว แม้วแอนด์เดอะแก๊งอิ่มแปล้ ชาติเจ๊งยับ ด้านขวัญสรวง ชำแหละ ระบอบทักษิณ พูดดี ทำเหี้ย เสียหาย ไม่รับผิดชอบ ชวนคนไทยร่วมภารกิจพลเมือง ต้าน “โฆษณาหน้าด้าน” ใช้งบชาติ พีอาร์ ยิ่งลักษณ์ แนะ ถ่ายภาพประจานผ่านเพจไทยสปริง

เพจไทยสปริงฟอรั่มได้นำคลิปไทยสปริงตอนที่ 2 ระบอบทักษิณ รัฐบาลขี้หมูไหล ขึ้นเผยแพร่ทางเฟซบุ๊ค http://www.facebook.com/ThaiSpringForum?fref=ts เมื่อเวลา 18 นาฬิกา ของวันที่ 30 มิ.ย.56

ซึ่งเป็นไปตามกำหนดเวลาที่ทางเพจนัดหมายไว้ว่าจะมีการชุมนุมออนไลน์เวลา 18 นาฬิกา ของทุกวันอาทิตย์ ซึ่งครั้งหน้าจะเป็นวันที่ 7 ก.ค.56 ตอน รถรางคันนั้นชื่อปรารถนา ซึ่งจะเป็นการชำแหละนโยบายประชานิยมว่าจะทำให้ชาติล่มจมอย่างไร

สำหรับการชุมนุมออนไลน์ครั้งที่สองของไทยสปริง เพื่อติดอาวุธทางปัญญาให้กับประชาชนได้เตรียมความพร้อมสำหรับการรักษาบ้านเมืองจากการใช้อำนาจที่ไม่ชอบธรรม นำโดย นำโดย พลตำรวจเอกวสิษฐ์ เดชกุญชร อดีตนายตำรวจประจำราชสำนัก , นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตกรรมการ คตส. , และนายขวัญสรวง อติโพธิ นักวิชาการ มีแขกรับเชิญพิเศษคือ นางอัญชลีพร กุสุมภ์ สื่อมวลชนและพิธีกรชื่อดัง และมีนายจิตรกร บุษบา เป็นผู้ดำเนินรายการ

พล.ต.อ.วสิษฐ กล่าวถึงการตอบรับการชุมนุมออนไลน์ในครั้งแรกว่า จากการสำรวจอย่างคร่าวๆ พบว่ามีผู้ที่เข้ามารับชมคลิปผ่านเฟซบุ๊คกว่า 60,000 คนในรอบหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งต่อไปจะมีการจัดเวทีในลักษณะเช่นนี้อีก 4 ครั้ง และจะมีการประมวลความเห็นของประชาชน เพื่อกำหนดทิศทางของกลุ่มต่อไป พร้อมย้ำว่าการต่อสู้ของกลุ่มไทยสปริงด้วยอาวุธทางปัญญา โดยยกตัวอย่างการต่อสู้ของนายชัย ราชวัตร ที่ใช้การเขียนการ์ตูนเป็นเครื่องมือในการแสดงออกทางการเมือง

นายแก้วสรร ได้อธิบายถึงความหมายของ ระบอบทักษิณ...รัฐบาลขี้หมูไหล ว่า มีจุดกำเนิดจากการใช้เงินซื้ออำนาจใช้อำนาจสร้างบารมี ซื้อเครือข่าย สร้างกระบอกเสียง โฆษณาชวนเชื่อ หว่านประชานิยมให้ประชาชนเสพติด สร้างขุมกำลังในทุกระบบตั้งแต่การเมือง ข้าราชการไปจนถึงการปลุกปั่นประชาชนให้กลายเป็นทาสรับใช้ โดยมีหัวหน้าแก๊งค์คือ ประมุขและคนใกล้ชิด ใช้คนหลายรูปแบบมีทั้ง ขี้ข้าใกล้ตัว นักเลือกตั้งมืออาชีพ ขุนนางสวามิภักดิ์ นักเลือกตั้งอาชีพ เสธซ้ายเก่าไร้สำนึก นักวิชาการปล่อยไวรัส นักกระบอกเสียง นักปลุกระดม อันธพาลใหญ่ อันธพาลน้อย นักจัดตั้งระดับพื้นที่ และมวลชนเสพติด โดยทั้งหมดจะถูกใช้งานอย่างเป็นระบบเพื่อสร้างฐานอำนาจ แสวงหาประโยชน์ และทำลายระบบการปกครองเดิมให้สั่นคลอนเพื่อให้ง่ายต่อการเปลี่ยนแปลงประเทศ จึงขอยืนยันว่าระบอบทักษิณมีชีวิตที่ยังเคลื่อนตัวตลอดเวลา ในขณะที่พรรคการเมืองอื่นไม่มีโครงสร้างแบบนี้ และประเทศไทยไม่เคยมีระบอบแบบนี้

“ผมเคยสงสัยว่าในหลวงท่านไปทำอะไรให้พวกนี้ ทำไมจึงปล่อยไวรัสทำลายตลอด ผมมีคำตอบเพราะระบอบทักษิณต้องดึงคนมาแยกออกจากประชาชนมารวมเป็นสาวกเขาให้ได้ ผูดขาดว่าตัวเองคือความหวัง สร้างอำมาตย์ไล่จนถึงหัวหน้าอำมาตย์ เพราะถ้าสามารถสลายความเชื่อถือต่อสถาบันได้ เราจะกลายเป็นทรายร่วน ๆ ที่ให้เขาตักไปใส่ถังหรือปั้นแต่งได้ตามจริง สถาบันกษ้ตริย์คือสิ่งที่ขวางทางระบบทักษิณ ทรงเป็นองค์คุณของความสมานฉันท์การอยู่ร่วมกันของบ้านเมือง ทรงยากลำบากมาตลอดพระชนมายุเพื่อสิ่งนี้ เพราะฉะนั้นถ้าจะทำลายความสมานฉันท์จนเป็นเม็ดทรายที่อยู่โดยลำพังไม่ได้ ทางเดียวคือการปล่อยไวรัสทางปัญญาลงไป นี่คือหน้าที่ของนักวิชาการพวกนี้ และมีการจัดตั้งกลุ่มบุคคลให้รวมตัวด้วยความเกลียดชัง เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ จึงเป็นหน้าที่ของเราต้องปฏิบัติต่อคนเสื้อแดงโดยสมานฉันท์ เพราะคนเหล่านี้ไม่เห็นอนาคตในวันรุ่งขึ้น เป็นเหยื่อของระบอบทักษิณ เราต้องทำให้คนเหล่านี้ปลีกตัวออกจากบ่วงมาของระบอบนี้” นายแก้วสรรกล่าว

นายแก้วสรร กล่าวว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ผ่านมาได้ก่ออาชญากรรมกลางเมืองหลวง เกิดการเสียชีวิต มีความสูญเสียในบ้านเมือง แต่แกนนำกลับทอดทิ้งคนตามให้ตาย ตัวเองไปกินปูนึ่งอยู่ที่หัวหิน ชาวบ้านค้างอยู่วัดปทุม แกนนำที่ไหนทิ้งคนตามตาย ถ้าแน่จริงต้องตายก่อน เพราะฉะนั้นพวกนี้มันล่อคนไปตาย เรียกแกนนำยกย่องมากไป

นอกจากนี้ยังเห็นว่าตระกูลชินวัตร เป็นตระกูลซุก เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ จะใช้ทั้งลูกชาย ลูกสาว และหลานสาวในการซุกหุ้น โดยบางครั้งก็ยังไปไกลถึงการซุกของโจร เช่นกรณีการปล่อยสินเชื่อของธนาคารกรุงไทย 9,000 ล้านบาทที่มีหลักฐานเส้นทางการเงินจำนวนหนึ่งไปที่นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ จึงเห็นว่าอาจเป็นเพราะเคยชินกับการซุกทำให้ในปัจจุบันนายพานทองแท้ยังซุกทีมงานไว้โพสต์เฟซบุ๊คแล้วอ้างว่าเป็นการโพสต์ด้วยตัวเอง

นายแก้วสรร เปิดเผยด้วยว่า ขณะนี้นายสุธรรม แสงประทุม ประธานบอร์ด อ.ส.ม.ท. ซึ่งตนขอเรียกว่าซ้ายไร้สำนึก เป็นคนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกตัวจริงแต่งตั้งให้ไปทำหน้าที่นี้ กำลังล้วงลูกบีบให้อ.ส.ม.ท.ซื้อพรีเมียลีก เพื่อใช้เป็นทุนทางการเมืองในการขยายฐานเสียงกับคนในแวดวงกีฬา โดยจะตั้งทีวีที่จ่ายตังค์ต้องซื้อกล่องแล้วเอาพรีเมียลีกมาเป็นตัวล่อ สอดแทรกด้วยการจัดรายการล้างสมองประชาชน เพื่อขยายฐานจากทีวีแดงให้ครอบคลุมประชาชนมากขึ้น ซึ่งไม่มีอะไรเหมาะไปกว่าการลงทุนซื้อพรีเมียลีก เป็นการลงทุนทางการเมืองไม่ใช่การลงทุนทางธุรกิจ ต้องลงทุนถึงปีละ 160 ล้าน สามปี 480 ล้าน ถ้าจะให้คุ้มทุนต้องหาโฆษณาหนึ่งนาทีให้ได้ 20 ล้าน ขาดทุนแน่นอน อย่างนี้เรียกประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ คิดได้ยังไงเห็นพรีเมียลีกเป็นทุนในการมอมเมา

ประชาชน เพราะฉะนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ มีคนพร้อมรับใช้ทุกอย่าง เช่นกรณีพวกซ้ายไร้สำนึกด้านนายขวัญสรวง กล่าวว่า มีความพยายามจะรักษาอำนาจด้วยการแสวงหาประโยชน์จากโครงการต่าง ๆ นี่คือศูนย์รวมที่ทำให้เกิดรัฐบาลขี้หมูไหลมารวมกัน คือทำโครงการให้ฟังดูดี แต่ลงมือทำแล้ว “ทำเหี้ย” เกิดความ “เสียหาย” แต่ “ไม่รับผิดชอบ” เช่นโครงการน้ำที่กำลังมีปัญหาก็ไม่มีใครรับผิดชอบ

ขณะที่นายแก้วสรร ยกตัวอย่างโครงการบ้านเอื้ออาทรในรัฐบาลทักษิณ ที่ให้ความหวังกับคนจนเมืองว่าจะมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง ผ่านการลงทุนของรัฐบาลโดยยืนยันว่าจะไม่ขาดทุน แต่ในทางปฏิบัติเมื่อมีการดำเนินโครงการกลับแสวงหาประโยชน์ตั้งแต่ ที่ดิน ไปจนถึงการก่อสร้าง จนทำให้เกิดความล้มเหลวรัฐเสียหายกว่าหมื่นล้านบาท เพราะสร้างไม่เสร็จ การเคหะฯต้องอมที่ดินเน่าเหมือนข้าวเน่าในสต๊อค และสุดท้ายก็ไปเอาที่ดินไกล ๆ ของพรรคพวกตัวเอง ก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน ทำให้ไม่มีใครไปอยู่ จนกลายเป็นบ้านเอื้ออาทรร้าง ซึ่งโครงการนี้ยังพบว่า นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง อดีตเลขา รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ผลประโยชน์จากที่ดินด้วย โดยเส้นทางการเงินจากการทุจริตในโครงการบ้านเอื้ออาทรโยงไปถึงข้าวคือบริษัทเพรสซิ เด๊นท์อะกริ เจ้าของคือ นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ เสี่ยเปี๋ยง แล้วออกไปข้างนอก มีจำนวนเงินที่ตามได้จากการจ่ายเงินล่วงหน้าถึง 1,400 ล้านบาท ซึ่งตนเชื่อว่าหากตามเส้นทางการเงินกรณีจำนำข้าวในปัจจุบันหาก ก็จะพบว่าเป็นคนเครือข่ายเดียวกันทั้งสิ้น

“เงินทุจริตบ้านเอื้ออาทรเข้าบริษัทเพรสสิเด๊นท์อะกริ มี นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี๋ยงเป็นเจ้าของมียอดเงินที่ตามได้ 1,400 ล้าน คน ๆ นี้คือผู้ชำนาญการในการจัดการคอร์รัปชั่น สร้างสินค้า
เรียกโควต้า ส่งเงินให้นายต่างประเทศ ฟอกเงินกลับมาในฐานะค้าข้าว มือ ๆ นี่ละครับที่ทำโครงการจำนำข้าว มือ ๆ นี้ที่สั่งโครงการบ้านเอื้ออาทร ไม่ใช่รัฐมนตรี นี่คือรัฐมนตรีเอื้ออาทรตัวจริง และ

ปัจจุบันคือรัฐมนตรีจำนำข้าวมันนี่แหละสองหนเลย อยากให้ฟ้องจะได้แฉมาชนกันเลย คน ๆ นี้ถ่ายรูปคู่กับ พ.ต.ท.ทักษิณ มีใบฝากตัวของอธิบดีในกระทรวงพาณิชย์คนหนึ่งว่าจะทำตามนโยบายทุกอย่างให้บอกรัฐมนตรีด้วย และในที่สุดอธิบดีคนดังกล่าวก็ได้เป็นปลัดกระทรวงพาณิชย์คุมจำนำข้าวนี่คืออินไซด์ขุนนางสวามิภักดิ์จับมือกับมือจัดการการคอร์รัปชั่น ในการสอบของ คตส.มีสิบบริษัทยอมรับว่า จ่ายเงินให้เสี่ยคนนี่ นี่คือคนที่ระบอบทักษิณใช้ทั้งในบ้านเอื้ออาทรและจำนำข้าว” นายแก้วสรรกล่าว

นายแก้วสรร ยังเชิญชวนประชาชนทำภารกิจพลเมืองร่วมจัดการโฆษณาหน้าด้านที่ใช้งบแผ่นดินเป็นร้อยล้านไปหาเสียงให้กับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทำให้ไทยมีสภาพไม่ต่างจาก
เกาหลีเหนือที่เต็มไปด้วยภาพโฆษณาผู้นำประเทศ ด้วยการส่งภาพประจานพริตตี้ระบอบทักษิณระบาดบนป้ายคัทเอาท์ โดยขอให้คนไทยถ่ายภาพมาโสต์ในเว็บเพจไทยสปริงฟอรั่ม แนะหน้ากากขาวเจอป้ายที่ไหนนัดรวมตัวหน้าป้ายด่าประจาน “หน้าด้าน

กองทัพอียิปต์ปัด ขีดเส้นตาย 48 ชม. ไม่ใช่การก่อ"รัฐประหาร"

วันที่ 02 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 10:15:54 น.




กองทัพอียิปต์ปฏิเสธการยื่นคำขาดแก่นักการเมืองเพื่อสะสางวิฤตการเมืองภายในประเทศให้ได้ภายใน 48 ชม.  ว่าไม่ใช่เป็นความพยายามในการก่อรัฐประหาร แต่กล่าวว่ากองทัพเพียงเสนอแนวทางดำเนินการเพื่อสันติภาพ หากประธานาธิบดีโมฮัมเหม็ด มอร์ซี และฝ่ายค้านไม่สามารถทำตามเจตนารมย์ของประชาชนได้


View image on Twitter


ประธานาธิบดีมอร์ซี  ปฏิเสธคำเตือนของกองทัพ ที่ให้เวลาเขา 48 ชั่วโมง บรรลุข้อตกลงกับฝ่ายค้านให้ได้ มิเช่นนั้นทหารอาจต้องเข้าแทรกแซง โดยยืนกรานขอเดินหน้าแผนปรองดองแห่งชาติตามแบบของตัวเอง หลังพลเอก อับเดล ฟัตตาห์ อัล-ซิซี รัฐมนตรีกลาโหมและผู้บัญชาการทหารบก กล่าวคำประกาศทางโทรทัศน์ว่า การประท้วงที่เกิดขึ้นเป็นการแสดงออกซึ่งความปรารถนาของประชาชน และหากไม่ได้ตามที่ต้องการ กองทัพก็จะต้องรับผิดชอบต่อแผนการในอนาคต

แม้ว่าเขาจะกล่าวว่า กองทัพจะไม่เข้าไปก้าวก่ายการเมืองหรือรัฐบาล แต่คำพูดของเขาถูกมองว่าอาจกำลังจะเกิดรัฐประหาร ขณะเดียวกัน สำนักข่าวมีนาของทางการอียิปต์รายงานว่า นายโมฮาเหม็ด คาเมล อามีร์ รัฐมนตรีต่างประเทศ ได้ขอยื่นใบลาออกแล้ว ซึ่งหากเป็นจริง เขาจะกลายเป็นหนึ่งในห้ารัฐมนตรี ที่ขอลาออกในช่วงที่เกิดวิกฤตการเมือง อาทิ รัฐมนตรีกระทรวงท่องเที่ยว โทรคมนาคม กิจการกฎหมาย และสิ่งแวดล้อม ที่ประกาศลาออกจากตำแหน่งในเวลาไล่เลี่ยกัน

แถลงการณ์ของทำเนียบประธานาธิบดีอียิปต์ระบุ การกำหนดเส้นตายของกองทัพ ที่มาจากคำสั่งของพลเอกอัล-ซิซี  ยังไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากนายมอร์ซี จึงอาจสร้างความสับสนแก่ประชาชน รวมถึงอาจส่งผลกระทบเชิงลบและสร้างความแตกแยกต่อสังคม ข้อบังคับเหล่านี้จึงไม่มีผล รัฐบาลจะขอเดินหน้านโยบายสร้างความปรองดองและสมานฉันท์ของคนในชาติ เพื่อฟื้นฟูประชาธิปไตยตามที่เคยกำหนดไว้แล้วต่อไป  และประธานาธิบดีมอร์ซี จะไม่ยินยอมให้กลุ่มคนใดก่อความวุ่นวายในทุกกรณี ซึ่งจะเป็นการทำลายประเทศให้ถอยหลังกลับไปสู่ยุคก่อนการปฏิวัติประชาชนโค่นล้มอำนาจของอดีตประธานาธิบดีฮอสนี มูบารัค
 
ส่วนสถานการณ์การประท้วงทั่วประเทศยังคงดำเนินต่อไป โดยพบผู้เสียชีวิตแล้ว 8 ราย ขณะที่กลุ่มนักเคลื่อนไหวได้บุกเข้าไปยังสำนักงานใหญ่ของกลุ่มภราดรภาพมุสลิมในกรุงไคโร นอกจากนั้นยังมีรายงานการเปิดฉากยิงระหว่างสองขั้วตรงข้ามที่เมืองสุเอซ 

เปิดข้อมูลใหม่!ปมคดี"เอกยุทธ"

02 กรกฎาคม 2556 เวลา 06:11 น. 

เปิดข้อมูลใหม่!ปมคดี"เอกยุทธ"
โดย...ทีมข่าวในประเทศ
ข้อมูลใหม่ในคดีฆาตกรรมนักธุรกิจชื่อดัง เอกยุทธ อัญชันบุตร ถูกเปิดเผยขึ้นในที่ประชุมคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เมื่อวันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมี นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ เป็นประธาน โดยใช้เวลาร่วม 2 ชั่วโมง
เป็นข้อมูลการตรวจศพจากสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ
เป็นข้อมูลที่ “สวนทาง” กับคำให้การของ 2 ผู้ต้องหา ทั้ง “บอล” สันติภาพ เพ็งด้วง และ “เบิ้ม” สุทธิพงศ์ พิมพิสาร
วันดังกล่าว กสม.ได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รอง ผบช.น. ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานสอบสวน พ.ต.อ.สง่า กรรภิรมย์ ผกก.สส.บก.น.4 พ.ต.อ.ณัฐฏ์ บุรณศิริ เจ้าหน้าที่จากกองพิสูจน์หลักฐานกลาง และ พ.ต.ท.ปิยพงษ์ สาครเย็น แพทย์ผู้ผ่าชันสูตรพลิกศพเอกยุทธ เข้าให้ข้อมูล
พล.ต.ต.อนุชัย ได้ให้รายละเอียด ลำดับเวลาและขั้นตอน ตั้งแต่เกิดคดีกระทั่งการสอบสวนล่าสุด
“ข้อมูลมีความจำเป็นในการพิจารณาคดีของศาล ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการสอบสวน ผู้ต้องหามีสิทธิที่จะต่อสู้คดี ผมว่าเราเคลียร์เฉพาะอะไรที่พอชี้แจงได้ อะไรที่เป็นหลักฐานสำคัญที่จะต้องไปเปิดเผยต่อศาลพวกนั้นไม่จำเป็น ให้สรุปผลว่าเราทำงานด้วยความโปร่งใสหรือไม่ กสม.ต้องการทราบเท่านั้นเอง” พล.ต.ต.อนุชัย กล่าวขึ้นภายหลัง กสม. ให้ พ.ต.ท.ปิยพงษ์ อธิบายถึงการตายของเอกยุทธ
พ.ต.ท.ปิยพงษ์ กล่าวต่อที่ประชุมตอนหนึ่งว่า ต้องแยกการตายของเอกยุทธออกเป็น 2 กรณี คือ สาเหตุการตาย (Cause of Death) ชัดเจนว่าขาดอากาศหายใจอย่างแน่นอน กับกระบวนการเสียชีวิต (Mechanism) ซึ่งพบการบีบร่วมกับการอุดกั้นการหายใจส่วนนอก
กสม.ถามว่า การบีบรัดข้างต้น คนร้ายใช้เชือกหรือมือ
“รายงานการตรวจศพของผม รายนี้ไม่ได้ตายด้วยการรัดคอครับ”พ.ต.ท.ปิยพงษ์ ตอบ
คำชี้แจงข้างต้นที่แพทย์ผู้นี้ให้ ขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับการให้การของคนร้ายทั้งสองก่อนหน้านี้ กล่าวคือ “บอล” ยืนกรานว่า “เบิ้ม” ใช้เชือกรองเท้ารัดคอเอกยุทธจนถึงแก่ความตาย ขณะที่ “เบิ้ม” ยอมรับว่าได้รัดคอจริง แต่รัดภายหลังที่เอกยุทธถูกบอลกระทืบจนเสียชีวิตแล้ว
ผลการตรวจศพครั้งนี้ จึงไม่ตรงตามคำสารภาพของทั้งคู่
พ.ต.ท.ปิยพงษ์ ให้ข้อมูลต่อไปว่า จากการตรวจศพ พบบาดแผลภายนอก 8 รายการ แบ่งออกเป็น 1.บาดแผลบวมฟกช้ำบริเวณส้นเท้าซ้ายขนาด 5x4 ซม. 2.บาดแผลถลอกกดทับบริเวณข้อมือทั้งสองข้าง 3.บาดแผลฟกช้ำบริเวณหัวไหล่ขวาขนาด 3x2 ซม. และบ่าขวาขนาด 2.5x1 ซม.
4.บาดแผลฟกช้ำบริเวณใต้สะบักหลังซ้าย ขนาด 7.5x6 ซม. 5.บาดแผลฟกช้ำบริเวณหลังเอวขวา ขนาด 12x8 ซม. 6.บาดแผลฉีกขาดหนังถลกบริเวณส้นเท้าซ้ายด้านนอก ขนาด 0.7x0.5 ซม. 7.บาดแผลฟกช้ำบริเวณปลายจมูก
8.บาดแผลถลอกกดทับเป็นแนวยาวผ่านปาก พาดไปคอด้านหลังทั้งสองข้าง ด้านขวากว้าง 5 ซม. เหนือคางไปคอด้านหลังซ้าย กว้าง 3-5 ซม.
“มันมีบาดแผลที่คอด้านขวา ที่โคนลิ้นด้านขวา มีเทคนิคท่าพิเศษ เป็นการกระทำจากด้านหลัง” แพทย์รายเดิมยืนยัน และขยายความว่า มีเพียงบาดแผลข้อ 6 ที่เกิดจากหนังเปิดฉีกขาด ที่เหลือเกิดจากของแข็งไม่มีคม
กสม. ซักว่า ท่าพิเศษคืออะไร
“เป็นท่าพิเศษที่ทำมาจากข้างหลังทางขวา” พ.ต.ท.ปิยพงษ์ อธิบายว่า ระหว่างที่คนร้ายลงมือฆ่าผู้ตายยังมีสติอยู่ แต่ถูกพันธนาการที่มือและข้อมือไว้ทางด้านหลัง เห็นได้จากผลการตรวจศพข้อ 3-5 ที่มีแรงทำมาจากด้านหลังขวา และมีการกดโดยใช้แกนในตำแหน่งโคนลิ้นขวา เป็นเหตุให้ศพปรากฏรอยโคนลิ้นขวาฟกช้ำ ยืนยันว่าไม่ใช่บีบ
“ผมไม่ได้ใช้คำว่ากุญแจมือ แต่ใช้คำว่ามีการพันธนาการที่มือและข้อมือ การทำไม่ได้มาจากด้านหน้าแน่นอน และยังพบบาดแผลฟกช้ำจากจมูก มีการใช้มืออุดกั้น” แพทย์จากสถาบันนิติเวช ระบุ
จากข้อมูลที่แพทย์ผู้นี้ให้ ตรงข้ามกับข้อมูลที่ “บอล” ให้การว่า “เบิ้ม” ใช้มือบีบคอเอกยุทธจากด้านหน้า แล้วจึงใช้เชือกรองเท้ารัดคออีกที
หากตีความตามที่แพทย์อธิบายเป็นไปได้ว่า คนร้ายเข้ามาทางด้านหลังเอกยุทธแล้วใช้ท่อนแขนด้านขวาล็อกลำคอจากนั้นใช้มือซ้ายปิดจมูกแน่นจนขาดอากาศหายใจ ตามผลการตรวจศพที่ระบุว่า มีการอุดกั้นทางเดินหายใจภายนอก
สำหรับบาดแผลรายการที่ 6 ซึ่งมีลักษณะฉีกเปิดแต่มีขนาดเล็กมาก ได้สร้างข้อเคลือบแคลงให้ กสม.ต่อคำให้การของ “เบิ้ม” ที่บอกว่า เอกยุทธได้กระโดดหลบหนีลงจากรถ โดย กสม.เชื่อว่าหากกระโดดลงไปจริงน่าจะมีบาดแผลขนาดใหญ่กว่านี้
อย่างไรก็ดี พล.ต.ต.อนุชัย ได้ชี้แจงว่า ขณะที่เอกยุทธกระโดดหนีออกจากรถตู้ รถได้หยุดนิ่งอยู่ เพราะระหว่างนั้น “บอล” ได้ยินเสียงผิดปกติจากหลังรถแล้ว
ทว่า เมื่อพิจารณาจากบาดแผลทั้ง 8 รายการ ซึ่ง พ.ต.ท.ปิยพงษ์ บอกว่า นอกเหนือจากรายการที่ 6 แล้ว เป็นร่องรอยที่เหลือเกิดจากของแข็งไม่มีคม ยิ่งตอกย้ำข้อพิรุธในคำให้การของ “เบิ้ม” ที่สารภาพว่า “บอลตามลงไปกระทืบเอกยุทธจนตาย”
พ.ต.ท.ปิยพงษ์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การประเมินระยะเวลาการตายเป็นเรื่องยาก เนื่องจากศพมีการอำพราง มีการเคลื่อนย้าย และจุดลงมือสังหารกับจุด|ที่พบศพเป็นคนละจุดกัน ดังนั้นการประเมินจึงต้องใช้สิ่งอื่นประกอบ อาทิ การพบตัวหนอน ซึ่งทำให้ทราบว่ามีการเสียชีวิตหลังพบศพไม่ต่ำกว่า 5 วัน
ตอนหนึ่งของการประชุม กสม. ถามว่า ร่างกายของบอลและเบิ้มมีบาดแผลจากการต่อสู้หรือไม่
“ผลการตรวจ 3 คนแรกมีบาดแผลครับ (3 คนแรกที่ตำรวจจับได้ คือ ทีมฝังศพ 2 คน และบอล) เป็นบาดแผลฟกช้ำและถลอกทั้งเก่าและใหม่ แต่คนสุดท้ายคือเบิ้ม ตรวจไม่พบบาดแผลเลยครับ”
กสม. ถามถึงการตรวจสัญญาณโทรศัพท์
พ.ต.อ.สง่า ให้ข้อมูลว่า สัญญาณโทรศัพท์ของเอกยุทธในขณะที่ติดต่อไปยังหลานชายเพื่อให้นำสมุดเช็กมาให้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ปรากฏว่า เอกยุทธอยู่ที่บ้านของพี่สาว “บอล” นั่นหมายความว่า ขณะนั้นเอกยุทธอยู่ในหมู่บ้านราชพฤกษ์ ย่านฉลองกรุง
“เมื่อมีการสั่งการให้นำสมุดเช็คมาให้แล้ว บอลจึงได้ขับรถตู้ของเอกยุทธไปรับสมุดเช็คที่บริเวณประตู 8 สนามบินสุวรรณภูมิ แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเอกยุทธอยู่บนรถตู้ด้วยหรือไม่ และจากการคำนวณระยะทางระหว่างบ้านพักมายังสนามบิน มีระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร ซึ่งก็ไม่ไกลกันมากนัก”พ.ต.อ.สง่า อธิบาย
พ.ต.อ.สง่า บอกอีกว่า ข้อมูลดังกล่าวสอดรับกับภาพกล้องวงจรปิดที่ตำรวจได้มา เพราะรถตู้ของเอกยุทธได้มาจอดที่จุดนัดพบ และมีรถเก๋งของหลานชายเอกยุทธมาจอดด้านหลัง จากนั้นบอลได้ลงมาเอาสมุดเช็คและขับรถออกไปทันที จากนั้นไม่นานรถตู้ของเอกยุทธก็ขับมายังจุดเดิมเพื่อเอาเช็คที่เซ็นมาให้กับหลานชายเอกยุทธเพื่อนำไปขึ้นเงิน
ข้อมูลชุดนี้ “เบิ้ม” เคยให้การไว้ว่า เอกยุทธนั่งอยู่ในรถตู้ระหว่างที่อยู่ในสนามบินสุวรรณภูมิ โดยมีการเจรจากับบอลอย่างสมัครใจ

"ยุทธศักดิ์"เคลียร์ทางนายกฯควบรมว.กลาโหม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า ตนได้เรียก พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ชาญ โกมลหิรัญ เจ้ากรมเสมียนตรา พล.อ.ไพชยนต์ ค้าทันเจริญ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนกระทรวงกลาโหม มาชี้แจงขั้นตอนการปฏิบัติตามหน้าที่ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่มาดำรงตำแหน่งรมว.กลาโหม เพื่อวางเวลาให้เหมาะสม เพราะนายกฯมีภารกิจมาก

หลังจากท่านกลับจากไปต่างประเทศระหว่างวันที่ 3-7 ก.ค.นี้แล้ว ได้ให้ปลัดกระทรวงกลาโหมวางแผนการตรวจเยี่ยมเหล่าทัพ รวมถึงการประชุมสภากลาโหม เพื่อรับฟังการดำเนินงานในส่วนรับผิดชอบของรมวกลาโหม เช่น เรื่องงบประมาณ ปัญหาชายแดน เป็นต้น ส่วนตนหากว่า มีตำแหน่งอะไรที่รมว.กลาโหมมอบให้และเกี่ยวข้องกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ กอ.รมน.ตนก็จะไปรับตำแหน่งและดำเนินการต่อ

ทั้งนี้ผู้ดำรงตำแหน่งรมว.กลาโหม เป็นกรรมการในศูนย์ปฏิบัติการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์แก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศปก.กปต.อยู่แล้ว และโดยตำแหน่งของพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรี น่าจะมาเป็น ผอ.ศปก.กปต.แทน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน แต่ต้องรอนายกรัฐมนตรีมอบหมมาย ส่วนตนอยู่ในกรรมการอยู่แล้ว และได้บอกกับ พล.ต.อ.ประชา ไปว่า ไม่ต้องห่วง พร้อมประสานการทำงานกับท่านได้

โดยพล.ต.อ.ประชา ขอลงพื้นที่ภาคใต้กับตนด้วย ซึ่งที่ผ่านมาตนลงพื้นที่พร้อม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก อยู่แล้ว โดยได้แจ้งกับผบ.ทบ.ว่า ยังเดินลงพื้นที่ภาคใต้ ร่วมกับ ผบ.ทบ.ต่อไป ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ต่อไปคงต้องลงไปกับ พล.อ.ประชา และกับผบ.ทบ.ด้วย สำหรับการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีแนวโน้มที่จะดีขึ้น และ การที่นายกรัฐมนตรีได้เรียกประชุมหน่วยย่อยทุกวันพฤหัสบดีเป็นการเร่งรัดให้กระทรวงต่างๆ ที่ทำงานล่าช้ามีความรวดเร็วขึ้น ให้กระทรวงเข้าใจงานของตัวเองให้ดีมากขึ้น

ส่วนเหตุผลที่ท่านนายกฯ ควบตำแหน่งรมว.กลาโหมคงจะชี้แจงใน ครม. แต่ผมคิดว่าการที่ท่านมาดำรงนี้ เป็นเรื่องที่ดี เพราะจะทำให้สายการบังคับบัญชาสั้นลง และได้ใกล้ชิดกับหน่วยทหารต่างๆ มากขึ้น การทำงานจะกระชับมากขึ้น รวมถึงการโยกย้ายนายทหารประจำปีนี้ เพราะเมื่อทุกอย่างมีความใกล้ชิดกันมากขึ้นสามารถคุยกันได้ ซึ่งผมได้คุยกับท่านปลัดกระทรวงกลาโหมแล้วถึงแนวทางในการที่จะพิจารณาโผทหาร โดยเน้นว่า การเมืองจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวในการพิจารณา

แต่ต้องรับทราบว่า แต่ละคนที่ถูกปรับเปลี่ยนต้องมีเหตุและผล มีความเหมาะสม ซึ่งจะต้องมีการคุยนอกรอบให้เรียบร้อยเสียก่อนในแต่ละหน่วย นอกจากนั้นยังเอาแต่ละหน่วยที่จะสับเปลี่ยนกันมาคุยกันด้วย ถ้าได้ข้อยุติแล้วจะเปิดประชุมคณะกรรมการปรับย้ายนายทหาร โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ใช้เวลาไม่นานก็จบ
ขณะที่เหล่าทัพสบายใจได้หรือไม่ว่านายกฯจะไม่เข้ามาล้วงโผทหารนั้นน กองทัพมีความมั่นใจขึ้น เพราะเท่าที่คุยกับ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ ผบ.ทบ. เมื่อเช้านี้ ( 1 ก.ค.) ทุกคนก็แฮปปี้ และ วันที่ 25 ก.ค.นี้จะมีการประชุมสภากลาโหม ที่มีรมว.กลาโหมใหม่เป็นประธานครั้งแรก เพื่อเป็นการให้นโยบาย

ทั้งนี้ถึงนายกรัฐมนตรีเป็นผู้หญิงก็ไม่ได้เป็นอุปสรรค เพราะท่านทำงานอย่างรวดเร็ว และ เข้าใจได้ง่าย ตนผ่านการทำงานในกระทรวงกลาโหมมาหลายตำแหน่ง ซึ่งนายกรัฐมนตรีบอกกับตนว่าต้องดูแลเรื่องภาคใต้ให้ใกล้ชิด หากมีอะไรต้องรายงานให้นายกรัฐมนตรีรับทราบทุกเรื่อง

นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งครม.ชุดใหม่ในเรื่องใดบ้างนั้น ทรงรับสั่งส่วนพระองค์กับนายกรัฐมนตรีหลังจากที่มีการถวายสัตย์ปฏิญาณตนไปแล้ว ซึ่งหลังจากนายกรัฐมนตรีกลับออกจากเข้าเฝ้าฯแล้ว ท่านซาบซึ้งและ ได้แสดงอาการดีใจมาก