PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เปิดข้อมูลใหม่!ปมคดี"เอกยุทธ"

02 กรกฎาคม 2556 เวลา 06:11 น. 

เปิดข้อมูลใหม่!ปมคดี"เอกยุทธ"
โดย...ทีมข่าวในประเทศ
ข้อมูลใหม่ในคดีฆาตกรรมนักธุรกิจชื่อดัง เอกยุทธ อัญชันบุตร ถูกเปิดเผยขึ้นในที่ประชุมคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เมื่อวันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมี นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ เป็นประธาน โดยใช้เวลาร่วม 2 ชั่วโมง
เป็นข้อมูลการตรวจศพจากสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ
เป็นข้อมูลที่ “สวนทาง” กับคำให้การของ 2 ผู้ต้องหา ทั้ง “บอล” สันติภาพ เพ็งด้วง และ “เบิ้ม” สุทธิพงศ์ พิมพิสาร
วันดังกล่าว กสม.ได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รอง ผบช.น. ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานสอบสวน พ.ต.อ.สง่า กรรภิรมย์ ผกก.สส.บก.น.4 พ.ต.อ.ณัฐฏ์ บุรณศิริ เจ้าหน้าที่จากกองพิสูจน์หลักฐานกลาง และ พ.ต.ท.ปิยพงษ์ สาครเย็น แพทย์ผู้ผ่าชันสูตรพลิกศพเอกยุทธ เข้าให้ข้อมูล
พล.ต.ต.อนุชัย ได้ให้รายละเอียด ลำดับเวลาและขั้นตอน ตั้งแต่เกิดคดีกระทั่งการสอบสวนล่าสุด
“ข้อมูลมีความจำเป็นในการพิจารณาคดีของศาล ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการสอบสวน ผู้ต้องหามีสิทธิที่จะต่อสู้คดี ผมว่าเราเคลียร์เฉพาะอะไรที่พอชี้แจงได้ อะไรที่เป็นหลักฐานสำคัญที่จะต้องไปเปิดเผยต่อศาลพวกนั้นไม่จำเป็น ให้สรุปผลว่าเราทำงานด้วยความโปร่งใสหรือไม่ กสม.ต้องการทราบเท่านั้นเอง” พล.ต.ต.อนุชัย กล่าวขึ้นภายหลัง กสม. ให้ พ.ต.ท.ปิยพงษ์ อธิบายถึงการตายของเอกยุทธ
พ.ต.ท.ปิยพงษ์ กล่าวต่อที่ประชุมตอนหนึ่งว่า ต้องแยกการตายของเอกยุทธออกเป็น 2 กรณี คือ สาเหตุการตาย (Cause of Death) ชัดเจนว่าขาดอากาศหายใจอย่างแน่นอน กับกระบวนการเสียชีวิต (Mechanism) ซึ่งพบการบีบร่วมกับการอุดกั้นการหายใจส่วนนอก
กสม.ถามว่า การบีบรัดข้างต้น คนร้ายใช้เชือกหรือมือ
“รายงานการตรวจศพของผม รายนี้ไม่ได้ตายด้วยการรัดคอครับ”พ.ต.ท.ปิยพงษ์ ตอบ
คำชี้แจงข้างต้นที่แพทย์ผู้นี้ให้ ขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับการให้การของคนร้ายทั้งสองก่อนหน้านี้ กล่าวคือ “บอล” ยืนกรานว่า “เบิ้ม” ใช้เชือกรองเท้ารัดคอเอกยุทธจนถึงแก่ความตาย ขณะที่ “เบิ้ม” ยอมรับว่าได้รัดคอจริง แต่รัดภายหลังที่เอกยุทธถูกบอลกระทืบจนเสียชีวิตแล้ว
ผลการตรวจศพครั้งนี้ จึงไม่ตรงตามคำสารภาพของทั้งคู่
พ.ต.ท.ปิยพงษ์ ให้ข้อมูลต่อไปว่า จากการตรวจศพ พบบาดแผลภายนอก 8 รายการ แบ่งออกเป็น 1.บาดแผลบวมฟกช้ำบริเวณส้นเท้าซ้ายขนาด 5x4 ซม. 2.บาดแผลถลอกกดทับบริเวณข้อมือทั้งสองข้าง 3.บาดแผลฟกช้ำบริเวณหัวไหล่ขวาขนาด 3x2 ซม. และบ่าขวาขนาด 2.5x1 ซม.
4.บาดแผลฟกช้ำบริเวณใต้สะบักหลังซ้าย ขนาด 7.5x6 ซม. 5.บาดแผลฟกช้ำบริเวณหลังเอวขวา ขนาด 12x8 ซม. 6.บาดแผลฉีกขาดหนังถลกบริเวณส้นเท้าซ้ายด้านนอก ขนาด 0.7x0.5 ซม. 7.บาดแผลฟกช้ำบริเวณปลายจมูก
8.บาดแผลถลอกกดทับเป็นแนวยาวผ่านปาก พาดไปคอด้านหลังทั้งสองข้าง ด้านขวากว้าง 5 ซม. เหนือคางไปคอด้านหลังซ้าย กว้าง 3-5 ซม.
“มันมีบาดแผลที่คอด้านขวา ที่โคนลิ้นด้านขวา มีเทคนิคท่าพิเศษ เป็นการกระทำจากด้านหลัง” แพทย์รายเดิมยืนยัน และขยายความว่า มีเพียงบาดแผลข้อ 6 ที่เกิดจากหนังเปิดฉีกขาด ที่เหลือเกิดจากของแข็งไม่มีคม
กสม. ซักว่า ท่าพิเศษคืออะไร
“เป็นท่าพิเศษที่ทำมาจากข้างหลังทางขวา” พ.ต.ท.ปิยพงษ์ อธิบายว่า ระหว่างที่คนร้ายลงมือฆ่าผู้ตายยังมีสติอยู่ แต่ถูกพันธนาการที่มือและข้อมือไว้ทางด้านหลัง เห็นได้จากผลการตรวจศพข้อ 3-5 ที่มีแรงทำมาจากด้านหลังขวา และมีการกดโดยใช้แกนในตำแหน่งโคนลิ้นขวา เป็นเหตุให้ศพปรากฏรอยโคนลิ้นขวาฟกช้ำ ยืนยันว่าไม่ใช่บีบ
“ผมไม่ได้ใช้คำว่ากุญแจมือ แต่ใช้คำว่ามีการพันธนาการที่มือและข้อมือ การทำไม่ได้มาจากด้านหน้าแน่นอน และยังพบบาดแผลฟกช้ำจากจมูก มีการใช้มืออุดกั้น” แพทย์จากสถาบันนิติเวช ระบุ
จากข้อมูลที่แพทย์ผู้นี้ให้ ตรงข้ามกับข้อมูลที่ “บอล” ให้การว่า “เบิ้ม” ใช้มือบีบคอเอกยุทธจากด้านหน้า แล้วจึงใช้เชือกรองเท้ารัดคออีกที
หากตีความตามที่แพทย์อธิบายเป็นไปได้ว่า คนร้ายเข้ามาทางด้านหลังเอกยุทธแล้วใช้ท่อนแขนด้านขวาล็อกลำคอจากนั้นใช้มือซ้ายปิดจมูกแน่นจนขาดอากาศหายใจ ตามผลการตรวจศพที่ระบุว่า มีการอุดกั้นทางเดินหายใจภายนอก
สำหรับบาดแผลรายการที่ 6 ซึ่งมีลักษณะฉีกเปิดแต่มีขนาดเล็กมาก ได้สร้างข้อเคลือบแคลงให้ กสม.ต่อคำให้การของ “เบิ้ม” ที่บอกว่า เอกยุทธได้กระโดดหลบหนีลงจากรถ โดย กสม.เชื่อว่าหากกระโดดลงไปจริงน่าจะมีบาดแผลขนาดใหญ่กว่านี้
อย่างไรก็ดี พล.ต.ต.อนุชัย ได้ชี้แจงว่า ขณะที่เอกยุทธกระโดดหนีออกจากรถตู้ รถได้หยุดนิ่งอยู่ เพราะระหว่างนั้น “บอล” ได้ยินเสียงผิดปกติจากหลังรถแล้ว
ทว่า เมื่อพิจารณาจากบาดแผลทั้ง 8 รายการ ซึ่ง พ.ต.ท.ปิยพงษ์ บอกว่า นอกเหนือจากรายการที่ 6 แล้ว เป็นร่องรอยที่เหลือเกิดจากของแข็งไม่มีคม ยิ่งตอกย้ำข้อพิรุธในคำให้การของ “เบิ้ม” ที่สารภาพว่า “บอลตามลงไปกระทืบเอกยุทธจนตาย”
พ.ต.ท.ปิยพงษ์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การประเมินระยะเวลาการตายเป็นเรื่องยาก เนื่องจากศพมีการอำพราง มีการเคลื่อนย้าย และจุดลงมือสังหารกับจุด|ที่พบศพเป็นคนละจุดกัน ดังนั้นการประเมินจึงต้องใช้สิ่งอื่นประกอบ อาทิ การพบตัวหนอน ซึ่งทำให้ทราบว่ามีการเสียชีวิตหลังพบศพไม่ต่ำกว่า 5 วัน
ตอนหนึ่งของการประชุม กสม. ถามว่า ร่างกายของบอลและเบิ้มมีบาดแผลจากการต่อสู้หรือไม่
“ผลการตรวจ 3 คนแรกมีบาดแผลครับ (3 คนแรกที่ตำรวจจับได้ คือ ทีมฝังศพ 2 คน และบอล) เป็นบาดแผลฟกช้ำและถลอกทั้งเก่าและใหม่ แต่คนสุดท้ายคือเบิ้ม ตรวจไม่พบบาดแผลเลยครับ”
กสม. ถามถึงการตรวจสัญญาณโทรศัพท์
พ.ต.อ.สง่า ให้ข้อมูลว่า สัญญาณโทรศัพท์ของเอกยุทธในขณะที่ติดต่อไปยังหลานชายเพื่อให้นำสมุดเช็กมาให้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ปรากฏว่า เอกยุทธอยู่ที่บ้านของพี่สาว “บอล” นั่นหมายความว่า ขณะนั้นเอกยุทธอยู่ในหมู่บ้านราชพฤกษ์ ย่านฉลองกรุง
“เมื่อมีการสั่งการให้นำสมุดเช็คมาให้แล้ว บอลจึงได้ขับรถตู้ของเอกยุทธไปรับสมุดเช็คที่บริเวณประตู 8 สนามบินสุวรรณภูมิ แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเอกยุทธอยู่บนรถตู้ด้วยหรือไม่ และจากการคำนวณระยะทางระหว่างบ้านพักมายังสนามบิน มีระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร ซึ่งก็ไม่ไกลกันมากนัก”พ.ต.อ.สง่า อธิบาย
พ.ต.อ.สง่า บอกอีกว่า ข้อมูลดังกล่าวสอดรับกับภาพกล้องวงจรปิดที่ตำรวจได้มา เพราะรถตู้ของเอกยุทธได้มาจอดที่จุดนัดพบ และมีรถเก๋งของหลานชายเอกยุทธมาจอดด้านหลัง จากนั้นบอลได้ลงมาเอาสมุดเช็คและขับรถออกไปทันที จากนั้นไม่นานรถตู้ของเอกยุทธก็ขับมายังจุดเดิมเพื่อเอาเช็คที่เซ็นมาให้กับหลานชายเอกยุทธเพื่อนำไปขึ้นเงิน
ข้อมูลชุดนี้ “เบิ้ม” เคยให้การไว้ว่า เอกยุทธนั่งอยู่ในรถตู้ระหว่างที่อยู่ในสนามบินสุวรรณภูมิ โดยมีการเจรจากับบอลอย่างสมัครใจ

ไม่มีความคิดเห็น: