PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2561

ละครการเมือง?

 
Pat Hemasuk
2 ชม.
ผมอยากจะสรุปข่าวต่างประเทศประจำสัปดาห์ในย่านเอเซีย เลือกเอาเฉพาะเรื่องที่สะใจ

สำนักข่าวซินหัวของจีนได้รายงานข่าวสรุปว่า ตี๋คิมแห่งเกาหลีเหนือประสพความสำเร็จอย่างสูงในการไปเยือนจีน และได้เจรจาความเมืองทุกเรื่องกับเฮียสีเป็นที่เรียบร้อย สิ่งที่โผล่ออกมาแทรกข่าวตั้งแต่วันแรกที่ไปเยือนก็คือตี๋คิมนั้นเห็นด้วยที่จะให้คาบสมุทรเกาหลีปลอดนิวเคลียร์ และยินดีจะเจรจากับทรัมป์ หลังจากที่เกาหลีเหนือผูกมิตรกันเรียบร้อยกับเกาหลีไต้ไปก่อนหน้านั้น

แต่ผมไม่คิดหรอกครับว่าตี๋คิมจะยอมให้ประเทศของตัวเองไร้ขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์ เพราะเกาหลีเหนือพูดเสมอว่าอาวุธของตัวเองนั้นไม่เป็นอันตรายต่อเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ถ้าตราบใดไม่มายุ่งกับเกาหลีเหนือก่อน และอาวุธพวกนี้พร้อมที่จะถล่มพื้นที่ในดินแดนสหรัฐ ถ้าต้องการจะเปิดศึกกับเกาหลีเหนือจริงๆ เรื่องนี้เฮียสีแกเป็นกาวใจให้ ปธน.ทรัมป์มาแล้วครั้งหนึ่งตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมาที่ ปธน.ทรัมป์ต่อสายตรงของคุยกับเฮียสีให้จัดการเกาหลีเหนือ และได้คำตอบจากจีนว่า ถ้าเกาหลีเหนือเปิดสงครามก่อน จีนจะจัดการเกาหลีเหนือเอง แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นจีนจะไม่เข้าไปสอดมือยุ่งเรื่องเกาหลีเหนือ ซึ่งก็ตรงกับที่เกาหลีเหนือเคยประกาศเอาไว้เพียงแต่พูดให้ดูนุ่มขึ้นเท่านั้นเอง และหลังจากที่ตี๋คิมและเฮียสีคุยกันจบ สำนักข่าวซินหัวของจีนก็ออกข่าวแทรกข่าวหลักว่าเกาหลีเหนือพร้อมคุยกับ ปธน.ทรัมป์แล้ว

ผมบอกได้เลยว่าเกาหลีเหนือมาถูกทางมาก ถ้าไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ในมือป่านนี้คงโดนสหรัฐจับมือกับญี่ปุ่นยำตรีนไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ทดสอบเครื่องยนต์จรวดของตัวเอง แต่หลังจากที่เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธโชว์หลายลูกว่าระยะยิงนั้นไปถึงทุกเมืองใหญ่ในสหรัฐแน่นอนและทดลองระเบิดเทอร์โมนิวเคลียร์ขนาดเล็กพอที่จะบรรจุลงขีปนาวุธสำเร็จ เกาหลีใต้ก็ตีตัวออกห่างลูกพี่ใหญ่อเมริกาอย่างออกหน้าออกตา แล้วไปเปิดสัมพันธ์อันดีกว่าแต่ก่อนกับเกาหลีเหนือทันที ผมเชื่อว่าประชาชนเกาหลีใต้ก็เห็นด้วยกับแนวคิดสายพิราบของ ปธน.มูน แจอิน ที่เป็นมิตรกับเกาหลีเหนือมากขึ้น เกาหลีเหนือมีอาวุธนิวเคลียร์และกำลังรบมหาศาล เกาหลีใต้มีเงินและเทคโนโลยี จูบปากกันได้เมื่อไรก็จะเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบมากจนญี่ปุ่นจะต้องคิดหนัก

ปัญหา เด่นชัด “สนิม”เกิดแต่”เนื้อใน” ปัญหา”คสช.”

ปัญหา เด่นชัด “สนิม”เกิดแต่”เนื้อใน” ปัญหา”คสช.”


วิกฤตและปัญหาในทางการเมืองนับแต่เดือนพฤศจิกายน 2560 เป็นต้นมา กระทั่งเดือนมีนาคม 2561 เป็นปัญหาของใคร
ตอบได้เลยว่าเป็นปัญหาของ “คสช.”
ฟังเผินๆ เหมือนกับเป็นการกล่าวหาอย่างเลื่อนลอย เหมือนกับจะไม่ให้ความเป็นธรรมกับ คสช.และกับรัฐบาล
แต่หากลองนั่งนิ่งๆ ทำใจให้เป็นสมาธิ
ถามว่าการที่ต้องนำร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. และว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ส่งให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยทั้งๆ ที่ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมใหญ่ สนช.มาแล้วเป็นปัญหาของใคร
ตอบได้เลยว่า เป็นปัญหาของ สนช. เป็นปัญหาของ กรธ.
ถามต่อไปว่าแล้ว สนช.มาจากไหน แล้ว กรธ.มาจากไหน ก็จะได้คำตอบโดยอัตโนมัติว่าล้วนแต่มาจากการลงนามอนุมัติแต่งตั้งโดยหัวหน้า คสช.ทั้งสิ้น
ร่างกันเอง พิจารณากันเอง ผ่านความเห็นชอบกันเองแล้วก็ส่งตีความกันเอง
ทําไมจึงถือเอาเดือนพฤศจิกายน 2560 เป็นจุดเริ่มต้น ทำไมจึงถือเอาเดือนมีนาคม 2561 เป็นจุดเหมือนกับเป็นการให้คำตอบ
เพราะทั้งหมดล้วนมาจาก “คสช.”
ขอถามว่า เหตุปัจจัยอะไรทำให้ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ต้องยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2560
ตอบว่า เพราะ “มาตรา 44”
ที่จุดนี้เหมือนกับเป็นการเริ่มต้นเพราะเท่ากับนำไปสู่สถานการณ์อันทำให้ คสช.และรัฐบาลจำต้องปรับ ครม.อย่างขนานใหญ่
เกิดเสียงเรียกร้องให้พิจารณารัฐมนตรี “สายทหาร”

ขณะเดียวกัน แม้เมื่อปรับ ครม.แล้วเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังอย่างอึงคะนึงโดยเฉพาะเมื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ยกมือขึ้นบังแดดส่องตาระหว่างรอถ่ายรูปหน้าตึกไทยคู่ฟ้า เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2560
นั่นแหละคือที่มาแห่ง “นาฬิกา” หรู
บทสรุปจากปาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เหมือนกับเป็นการอวยพรปีใหม่เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เดินทางเข้าบ้านสี่เสาฯ
ว่าด้วย “กองหนุน”
จึงถือได้ว่าเป็นการชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์อัน คสช.และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประสบอย่างตรงเป้า
เป็นความหวังดีอย่างยิ่งยวดจาก “ผู้อาวุโส”
เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงเหตุปัจจัยและสภาวะรวบยอดอย่างเด่นชัดเป็นรูปธรรมที่สุด เพราะเมื่อ “กองหนุน” ถดถอยเหลือน้อย
ย่อมหมายถึง “ความล้มเหลว” มีมากกว่า “ความสำเร็จ”
แม้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ มิได้จำแนกแยกแยะว่าทำไม “กองหนุน” จึงเหลือน้อย แต่ก็ดำเนินไปตามภูมิปัญญาแต่โบราณ
อันเป็นไปตามกฎ “นกไร้ ไม้โหด”
สภาพความเป็นจริงในปัจจุบันจึงเท่ากับบ่งชี้ให้เห็นว่า ปัญหาและวิกฤตอันสุมรุมอยู่โดยรอบและตกอยู่บนบ่าของ คสช.และรัฐบาลนั้น
เป็นวิกฤตในแบบ “สนิม” เกิดแต่ “เนื้อใน”
เป็นเงาสะท้อนแห่งการสะสมปัญหาตลอด 4 ปี ภายหลังรัฐประหารว่าอยู่ในความรับผิดชอบของใคร เป็นของ “คนอื่น” หรือว่าเป็นของ “ตนเอง”
นี่เป็นเรื่องของ “เรา” มิใช่เรื่องของ “เขา”

มติผู้ตรวจการแผ่นดิน ยื่นศาลรธน. วินิจฉัยคำสั่ง คสช. 53/2560 ปมยืนยันสมาชิกพรรค

มติผู้ตรวจการแผ่นดิน ยื่นศาลรธน. วินิจฉัยคำสั่ง คสช. 53/2560 ปมยืนยันสมาชิกพรรค


มติผู้ตรวจการแผ่นดิน ยื่นศาล รธน.วินิจฉัยคำสั่ง คสช. 53/2560 ปมยืนยันสมาชิก-ประชุมเลือก กก.บห. 90 วันหลังปลดล็อก หวั่นเข้าข่ายลิดรอนสิทธิ สร้างภาระเกินสมควร เตรียมยื่นทันทีวันนี้ก่อน 1 เม.ย.
เมื่อวันที่ 30 มีนาคม ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน แถลงภายหลังการประชุมผู้ตรวจการแผ่นดินว่า ที่ประชุมมีมติให้เสนอเรื่องพร้อมความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่าคำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 เรื่องการดำเนินการตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ตามที่พรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยยื่นคำร้อง หลังผู้ตรวจได้รับคำร้องและมี 2 หน่วยงานคือ สภานิติบัญญัติแห่งชาติและ กกต.ยื่นคำชี้แจงมา โดยหัวหน้า คสช.ไม่ได้ส่งคำชี้แจงมา ซึ่งเมื่อพิจารณาคำชี้แจงประเด็นที่มีการร้อง เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยเป็นผู้เสียหายและได้รับความเดือดร้อนโดยตรง คสช.มีอำนาจในการออกคำสั่ง คสช.ดังกล่าว คำสั่งดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย แต่เนื้อหาของคำสั่งที่ 53/2560 ที่มีการแก้ไขแนวปฏิบัติของพรรคการเมืองตามมาตรา 140 และมาตรา 141 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง โดยมาตรา 140 เกี่ยวกับการให้สมาชิกพรรคที่ประสงค์จะยังคงเป็นสมาชิกพรรคต่อไปยืนยันตนเองพร้อมแสดงหลักฐานมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามต่อหัวหน้าพรรคภายใน 30 วัน หากพ้นกำหนดไม่มีการยืนยัน ให้ถือว่าพ้นจากการเป็นสมาชิกพรรคนั้น เป็นการลิดรอนสิทธิของสมาชิกพรรค และเพิ่มภาระให้กับสมาชิก และมีระยะเวลาดำเนินการกระชั้นชิด
และที่แก้ไขมาตรา 141 (4) ซึ่งเกี่ยวกับการจัดประชุมใหญ่เพื่อแก้ไขข้อบังคับ จัดทำคำประกาศอุดมการณ์ทางการเมือง เลือกหัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค (5) เกี่ยวกับการจัดตั้งสาขาพรรคและตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด ให้ครบถ้วนตามที่ พ.ร.ป.พรรคการเมืองกำหนดภายใน 90 วัน และ กกต.สามารถขยายได้ครั้งหนึ่ง แต่หากครบเวลาแล้วพรรคไม่สามารถดำเนินการได้ ให้พรรคการเมืองนั้นสิ้นสภาพไป โดยการดำเนินการดังกล่าวให้ทำเมื่อมีคำสั่งยกเลิกคำสั่ง คสช.ที่ 57/2557 และคำสั่ง คสช.ที่ 3/2558 แล้ว ก็เป็นการสร้างภาระให้แก่พรรคการเมืองเกินสมควร จึงเห็นว่าทั้ง 2 ประเด็นเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 25, 26, 27 ประกอบมาตรา 45 ซึ่งทางผู้ตรวจการแผ่นดินก็จะยื่นคำร้องและหลักฐานต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในวันนี้ (30 มี.ค.)

นายรักษเกชากล่าวอีกว่า แม้ผู้ตรวจจะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ แต่ถ้ายังไม่มีคำวินิจฉัยออกมา ในวันที่ 1 เมษายน พรรคการเมืองก็ยังคงต้องปฏิบัติตามคำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 ไปก่อน เพราะการออกคำสั่งดังกล่าวมีกฎหมายรองรับถูกต้องและเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ เมื่อยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็ต้องปฏิบัติตาม
เมื่อถามว่า การที่ผู้ตรวจมีมติเช่นนี้จะทำให้มีปัญหากับ คสช.หรือไม่ นายรักษเกชากล่าวว่า เราปฏิบัติไปตามหน้าที่ที่ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เราก็เห็นว่าคำสั่ง คสช.ออกโดยชอบด้วยกฎหมาย เพียงแต่มีปัญหาในเนื้อหาที่ขัดรัฐธรรมนูญ กระทบต่อการปฏิบัติเท่านั้น ส่วนหลังจากนี้ถ้า คสช.มีการแก้ไขคำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 ก็เป็นเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้วินิจฉัย

สะสมกำลังในงานใหญ่

สะสมกำลังในงานใหญ่



“กลับลำ กลืนน้ำลาย ปาหี่ สมคบคิด” นั่นก็แล้วแต่จะให้คำนิยามกันไป แต่ที่สุด สนช. ก็เดินหน้ายื่นร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ
ตามเคาะสุดท้าย ที่เหมือนสัญญาณจากต้นแม่น้ำสายหลัก “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ระบุให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณา แต่ยิงโป้งนำร่อง ไม่อยากให้กฎหมายมีปัญหาส่งขึ้นทูลเกล้าฯ
ฝักถั่วสลอนใน สนช. ไหลล้อสัญญาณ เป็นอันจบข่าว
และที่จริง “นายกฯลุงตู่” ก็บอกแล้ว ไม่ใช่แผนยื้อเลือกตั้ง ทั้งหมดเป็นไปตามกระบวนการ เมื่อ สนช.โหวตผ่านกฎหมาย แต่เมื่อ สนช.เสียงข้างน้อยยังติดใจ ก็มีสิทธิเข้าชื่อยื่นตีความได้ ไม่ใช่การสมคบคิด
ทุกฝ่ายประสานเสียง โรดแม็ปเลือกตั้งจะเคลื่อนก็คงไม่มากนัก
ในสมมติฐานคาดการณ์ทางบวก ตีความแล้วผ่านฉลุย โดยไม่ได้พูดถึง “ทางลบ” กรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกฎหมายเลือกตั้งขัดรัฐธรรมนูญ ต้องรื้อกันทั้งฉบับหรือไม่ และกระบวนการ “ร่างใหม่” ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ เลือกตั้งขยับจาก เดือน ก.พ.2562 ไปอีกกี่มากน้อย
อันนี้ถาม “บิ๊กตู่” ก็น่าจะยังตอบชัดไม่ได้เหมือนกัน
ในจังหวะของบ้านเมือง ที่ยังคงต้องอ้อมแอ้มไหลตามโปรแกรมกันไปก่อน เพราะนอกจากกระบวนการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญที่ไปกำหนดไม่ได้แล้ว ยังมีหลายปัจจัยที่ยากคาดการณ์
นั่นก็เลยล้อมาตามลำดับ เล่นเฉพาะหน้าไปทุกฝ่าย เลือกตั้งเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น
ห้วงที่การเมืองเริ่มคึกคัก โดยเฉพาะฟากฝั่งถืออำนาจพิเศษ ต้องบอกว่า ณ วันนี้ “บิ๊กตู่” มีแนวโน้มสูงเป็นผู้นำกึ่งคนใน-กึ่งคนนอก ถึงลงเลือกตั้งไม่ได้ แต่ก็สามารถแปะชื่อขายในป้อมค่ายการเมือง
โดยเฉพาะพรรคใหม่ “พลังประชารัฐ” รอติดป้ายประธานที่ปรึกษาพรรคให้ “ลุงตู่” ได้
กับพลังหนุนเนื่องจากฝีมือบริหารบ้านเมืองมากว่า 4 ปี ประชารัฐขึ้นหม้อ ไทยนิยมยั่งยืนติดตลาด อัดฉีดโค้งสำคัญเป็นระลอกๆล่าสุดหมู่บ้านต่างๆรอรับกันได้ หมู่บ้านละ 2 แสนบาท
ชุดแพ็กเกจ “ลุงตู่นิยม” แล้วชาวบ้านจะไม่ “นิยมลุงตู่” ได้ไง
รวมทั้งเวลานี้มืองานการเมืองของผู้นำเริ่มโชว์ของ นอกจากมีข่าวพรรคพลังประชารัฐ โดย “ชวน ชูจันทร์” ผู้ร่วมก่อตั้ง รอชู “มิสเตอร์จันทร์โอชา” อยู่ในเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน เกี่ยวโยงทั้งเป็นเพื่อน ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ และ “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” รมว.พาณิชย์ อดีตกัปตันมูลนิธิสัมมาชีพ ที่มีข่าวเตรียมทิ้งเก้าอี้ไปลุยพรรคใหม่
เครือข่าย “สมคิดกรุ๊ป” บวกด้วยผู้ร่วมก่อตั้งสายท็อปบูต เพื่อน ตท.12 ของ “ลุงตู่” แท็กทีมรอแล้ว
ล่าสุดมีกระแสข่าว “สุชาติ ตันเจริญ” บิ๊กกลุ่มการเมืองบ้านริมน้ำ นัดเพื่อนพ้องน้องพี่กลุ่ม 16 เก่ามาร่วมวงมื้อเที่ยง พูดคุยการเมือง และมีข่าว “ดร.สมคิด” จะไปร่วมวง
ถึงหัวหน้าทีมเศรษฐกิจจะบอกปัด แต่ก็ไม่แปลกใจ เพราะในวงก็มีหลายรายเป็น “อดีต รมต. ส.เสือ” อดีตสมาชิกก๊วนก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ในรัฐบาลไทยรักไทยเก่า
“เฟรนด์ออฟ ส.เสือ สมคิด” กันทั้งนั้น
อีกรายที่กำลังเร่งเครื่องอยู่เหมือนกัน แว่วว่า “บิ๊กฉัตร” พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ เพื่อน รัก ตท.12 ของ “บิ๊กลุงตู่” นอกจากเคยมีข่าวดีลเจ้าสัวธุรกิจประมงยักษ์ ทีมกุนซือสมัยกระทรวงเกษตรฯ
ในสาย “ธนพร ศรียากูล” ทายาททหาร ตั้งพรรค “คนธรรมดาแห่งประเทศไทย” สแตนด์บายนานแล้ว
ยังมีกระแสข่าวเพื่อนเลิฟ “ลุงตู่” รายนี้ กำลังเดินแผนใหญ่ในพื้นที่ภาคกลาง ล่าสุดมีข่าว “บุกกรุงศรีฯ” เตรียมตีแตกป้อมค่ายการเมืองเจ้าถิ่นใน จ.พระนครศรีอยุธยา ดึงไพร่พลเข้าพวก
ในบทบาทอีกแม่ทัพใหญ่ในคราศึกชิงแต้ม
ตามสูตรเก็บทุกเบี้ยใต้ถุนร้าน ปั้นร่างรัฐบาลผสม.
ทีมข่าวการเมือง

220มาจากไหน

"บิ๊กป้อม" เย้ย"ทักษิณ" พูดยังไงก็พูดได้ ว่าชนะเลือกตั้ง ไม่เชื่อ โพลล์ "เพื่อไทย"จะชนะ 220 ที่นั่ง

พลเอกประวิตร  กล่าวถึง การที่"ทักษิณ ชินวัตร" ให้สัมภาษณ์ เชื่อมั่น "พรรคเพื่อไทย" ว่า ชนะเลือกตั้งแน่ นั้น ว่า ก็ว่าไป พูดยังไง ก็พูดได้ ยันไม่หวั่นไหว

เมื่อถามว่า  ฝ่ายความมั่นคง ทำโพลล์ ระบุว่าพรรคเพื่อไทยจะได้ สส.220-230 เสียง พล.อ ประวิตร กล่าวอย่างอารมณ์ว่า คุณเชื่อเขา ก็เชื่อไป คุณจะมาถาม ผมทำไม ผม ไม่เชื่อ 

พล.อ.ประวิตร ถามสื่อกลับด้วยว่า ใครทำโพลล์ ผมไม่เห็น รู้เลยว่า หน่วยไหน ทำโพลล์ ไม่เห็นมีรายงานมาเลย และ ไม่เคยได้รับรายงานว่าคสช.ทำโพลล์เลือกตั้ง

ไม่สนทักษิณ

มา เกมไหน??

"บิ๊กป้อม" ไม่สน "ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์" โผล่โชว์ตัว ที่ ญี่ปุ่น จะส่งสัญญาณอะไรทางการเมือง. หรือจะเย้ยว่า จับไม่ได้....เผยไปดำเนินการด้านการเมือง แต่ไม่ใช่ดำเนินการ แบบ"ผู้ลี้ภัยทางการเมือง" แต่ในฐานะอดีตผู้นำประเทศ เผย แจงญี่ปุ่น ไม่เกี่ยวการเมือง ยันเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง กำลังติดตามตัวอยู่  

ร้อง"ปัดโธ่!" โดนถามว่า เป็นการเย้ย ว่า คสช.ตามจับตัวไม่ได้ หรือไม่  ชี้ จับเขาไม่ได้ยังไง  เรากำลังดำเนินการอยู่

พล.อ ประวิตร  วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี  และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงการประเมินสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของนาย ทักษิณ และ น.ส ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร  อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ ปรากฏตัวญี่ปุ่น อย่างไร ว่า จะให้ประเมินยังไง

เมื่อถามว่ามองว่าเป็นการเล่นเกมทางการเมือง หรือปรากฎตัวเพื่อแสดงให้เห็นว่าทางการไทยไม่สามารถจับกุมตัวได้หรือไม่  พล.อ ประวิตร ร้อง ปัดโธ่!!  พร้อม กล่าวว่า จะจับไม่ได้ ได้ยังไง เจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการในเรื่องนี้อยู่
 
ผู้สื่อข่าวถามว่า ไทยมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับญี่ปุ่นหรือไม่ พล.อ ประวิตร กล่าวว่า ต่างประเทศ เขาไปมองว่าเป็นการดำเนินการทางการเมือง ในลักษณะผู้หลบหนีเข้าเมือง ไม่ใช่"ผู้ลี้ภัยทางการเมือง" และที่เขายังดำเนินการอยู่ได้ เพราะเขาเป็นผู้นำประเทศ เเละคดีต่างๆไม่ได้เกี่ยวกับการเมือง เราต้องชี้แจงให้เขาทราบ

ถามว่าคสช.รู้สึกหวั่นไหวกับความเคลื่อนไหวของ2อดีตนายกฯหรือไม่ พล.อ ประวิตร กล่าวว่า ไม่หวั่นไหว

แหวนพ่อนาฬิการเพื่อน

"แหวนพ่อ-นาฬิกาเพื่อน"

"บิ๊กป้อม" ยันเอง "แหวนพ่อ-นาฬิกาเพื่อน" ชี้แจง ปปช.22 เรือน  ยัน ทุกอย่างเป็นความจริง เรื่องการชี้แจงกับ ปปช.จบแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว จากนี้ ก็เป็นเรื่องของ ปปช.จะว่าไป ก็เป็นของเพื่อน ก็จบไปแล้ว 
ส่วนแหวนก็เป็นของพ่อ

"โอ้ย ไม่มีอะไรแล้ว ชี้แจงปปช.แล้ว ก็เป็นเรื่องของ ปปช.จะว่าไป"

เมื่อถามว่า ทั้ง22 เรือน เป็นของเพื่อนคนเดียว ใช่หรือไม่ พลเอกประวิตร ยอมรับว่า ใช่ ก็เป็นของเพื่อน  จบไปแล้ว "

ทั้งนี้ ทีรายงานข่าว ว่า เพื่อนคนดังกล่าว คือ เสี่ยคราม นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ เพื่อนสนิท ที่เรียนเซนต์คาเบรียล มาด้วยกัน และคบหาสนิทสนมดูแลกันจน นายปัฐวาท เสียชีวิต เมื่อกพ.2560

ส่วนแหวน เป็นของ คุณพ่อ ที่เสียชีวิตแล้ว ให้คุณแม่ เก็บไว้ให้ลูก ใช่หรือไม่ พลเอกประวิตร บอกว่า ก็ใช่

เมื่อถามถึงความรู้สึก ที่ถูกตรวจสอบเรื่องนาฬิกา มาตลอด พลเอกประวิตร กล่าวว่า ก็ไม่เป็นไร เพราะที่ชี้แจงก็มันคือความจริง มีแค่พวกสิ่อขุดคุ้ยกันซะ

"ไม่มีอะไรแล้ว"!!!