PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2561

ปัญหา เด่นชัด “สนิม”เกิดแต่”เนื้อใน” ปัญหา”คสช.”

ปัญหา เด่นชัด “สนิม”เกิดแต่”เนื้อใน” ปัญหา”คสช.”


วิกฤตและปัญหาในทางการเมืองนับแต่เดือนพฤศจิกายน 2560 เป็นต้นมา กระทั่งเดือนมีนาคม 2561 เป็นปัญหาของใคร
ตอบได้เลยว่าเป็นปัญหาของ “คสช.”
ฟังเผินๆ เหมือนกับเป็นการกล่าวหาอย่างเลื่อนลอย เหมือนกับจะไม่ให้ความเป็นธรรมกับ คสช.และกับรัฐบาล
แต่หากลองนั่งนิ่งๆ ทำใจให้เป็นสมาธิ
ถามว่าการที่ต้องนำร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. และว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ส่งให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยทั้งๆ ที่ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมใหญ่ สนช.มาแล้วเป็นปัญหาของใคร
ตอบได้เลยว่า เป็นปัญหาของ สนช. เป็นปัญหาของ กรธ.
ถามต่อไปว่าแล้ว สนช.มาจากไหน แล้ว กรธ.มาจากไหน ก็จะได้คำตอบโดยอัตโนมัติว่าล้วนแต่มาจากการลงนามอนุมัติแต่งตั้งโดยหัวหน้า คสช.ทั้งสิ้น
ร่างกันเอง พิจารณากันเอง ผ่านความเห็นชอบกันเองแล้วก็ส่งตีความกันเอง
ทําไมจึงถือเอาเดือนพฤศจิกายน 2560 เป็นจุดเริ่มต้น ทำไมจึงถือเอาเดือนมีนาคม 2561 เป็นจุดเหมือนกับเป็นการให้คำตอบ
เพราะทั้งหมดล้วนมาจาก “คสช.”
ขอถามว่า เหตุปัจจัยอะไรทำให้ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ต้องยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2560
ตอบว่า เพราะ “มาตรา 44”
ที่จุดนี้เหมือนกับเป็นการเริ่มต้นเพราะเท่ากับนำไปสู่สถานการณ์อันทำให้ คสช.และรัฐบาลจำต้องปรับ ครม.อย่างขนานใหญ่
เกิดเสียงเรียกร้องให้พิจารณารัฐมนตรี “สายทหาร”

ขณะเดียวกัน แม้เมื่อปรับ ครม.แล้วเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังอย่างอึงคะนึงโดยเฉพาะเมื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ยกมือขึ้นบังแดดส่องตาระหว่างรอถ่ายรูปหน้าตึกไทยคู่ฟ้า เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2560
นั่นแหละคือที่มาแห่ง “นาฬิกา” หรู
บทสรุปจากปาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เหมือนกับเป็นการอวยพรปีใหม่เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เดินทางเข้าบ้านสี่เสาฯ
ว่าด้วย “กองหนุน”
จึงถือได้ว่าเป็นการชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์อัน คสช.และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประสบอย่างตรงเป้า
เป็นความหวังดีอย่างยิ่งยวดจาก “ผู้อาวุโส”
เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงเหตุปัจจัยและสภาวะรวบยอดอย่างเด่นชัดเป็นรูปธรรมที่สุด เพราะเมื่อ “กองหนุน” ถดถอยเหลือน้อย
ย่อมหมายถึง “ความล้มเหลว” มีมากกว่า “ความสำเร็จ”
แม้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ มิได้จำแนกแยกแยะว่าทำไม “กองหนุน” จึงเหลือน้อย แต่ก็ดำเนินไปตามภูมิปัญญาแต่โบราณ
อันเป็นไปตามกฎ “นกไร้ ไม้โหด”
สภาพความเป็นจริงในปัจจุบันจึงเท่ากับบ่งชี้ให้เห็นว่า ปัญหาและวิกฤตอันสุมรุมอยู่โดยรอบและตกอยู่บนบ่าของ คสช.และรัฐบาลนั้น
เป็นวิกฤตในแบบ “สนิม” เกิดแต่ “เนื้อใน”
เป็นเงาสะท้อนแห่งการสะสมปัญหาตลอด 4 ปี ภายหลังรัฐประหารว่าอยู่ในความรับผิดชอบของใคร เป็นของ “คนอื่น” หรือว่าเป็นของ “ตนเอง”
นี่เป็นเรื่องของ “เรา” มิใช่เรื่องของ “เขา”

ไม่มีความคิดเห็น: