PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2560

คิว แน่น!!

คิว แน่น!!
"นายกฯบิ๊กตู่"เตรียมลงพื้นที่ พบปะประชาชน เยี่ยมเยียน ช่วยเหลือ คนถูกน้ำท่วม ตลอดเดือน ธค.นี้ ......เตรียมบิน ตรัง 8ธค. นี้. จากนั้น 13 ธค. ไปกาฬสินธุ์ และ 25-26 ครม.สัญจร ที่พิษณุโลก รวมหัวหน้าส่วนราชการ และผู้ว่าฯภาคเหนือ ทั้งหมด

มติคกก.สรรหาเคาะกกต.ครบ5คนคาดชงสนช.ในสัปดาห์นี้

มติคกก.สรรหาเคาะกกต.ครบ5คนคาดชงสนช.ในสัปดาห์นี้
ข่าวการเมือง วันอังคารที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2560 15:30 น.
827453
คณะกรรมการสรรหา เคาะ 5ชื่อกกต. ใหม่แล้ว มี"เรืองวิทย์-ฐากร-ประชา-อิสสรีย์-ชมพรรณ" ด้าน "พรเพชร" ระบุ คกก.สรรหาเตรียมประชุมสรุป เพื่อรับรองผลชื่อ อีกครั้งก่อนส่ง สนช. คาดภายในสัปดาห์นี้
คณะกรรมการสรรหาคณะกรรมการหารเลือกตั้ง (กกต.) ที่มีนายชีพ จุลมนต์ ประธานศาลฎีกา เป็นประธานการประชุม ใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมง ในการสัมภาษณ์ และฟังวิสัยทัศน์ ของผู้สมัครที่ผ่านการคัดเลือกรอบแรก จำนวน 15 คนในเรื่องเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง จากนั้นจึงมีการประชุมลับ และลงมติ เปิดเผย โดยมีผู้ได้รับการคัดเลือกในรอบแรกด้วยคะแนน 2 ใน 3 มีจำนวน 4 คน ได้แก่ 1.ศาสตราจารย์ ดร.เรืองวิทย์ เกษสุวรรณ 2.นายฐากร ตัณฑสิทธิ์  3.รองศาสตราจารย์ ดร. อิสสรีย์ หรรษาจรูญโรจน์  4.นางชมพรรณ์ พงษ์เจริญ สุธีรชัย จากนั้นคณะกรรมการได้ลงคะแนนคัดเลือกจากผู้สมัครที่ได้รับคะแนนไม่ถึง 2 ใน 3  โดยเลือกนายประชา  เตรัตน์ ทั้งนี้ ขั้นตอนหลังจากนี้ คกก.สรรหา ก็จะเสนอชื่อเพื่อให้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้ความเห็นชอบต่อไป 

โดย นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในฐานะกรรมการสรรหา กกต. กล่าวภายหลังที่ประชุมคณะกรรมการสรรหา ที่ประชุมมีมติเลือกว่าที่ กกต. ครบ 5 คน ว่า ภายในสัปดาห์นี้ คณะกรรมการสรรหาฯ จะมีการประชุมเพื่อรับรองผลการประชุมก่อนเสนอให้ที่ประชุมใหญ่ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) พิจารณาให้ความเห็นชอบอีกครั้ง ภายในวันที่ 12 ธันวาคม ตามกรอบเวลา ขณะเดียวกันในที่ประชุมวันนี้คณะกรรมการสรรหาได้พิจารณาคำร้องของผู้สมัครที่ไม่ผ่านการคัดเลือกในรอบแรก ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับลักษณะต้องห้ามทั้งหมด โดยที่ประชุมเห็นว่า ทั้งหมดขาดคุณสมบัติจริงตามที่กฎหมายกำหนด
อย่างไรก็ตาม ตามกฎหมายลูกว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดให้ มี กกต. 7 คน โดยคณะกรรมการสรรหาจะเป็นผู้สรรหาจากผู้ที่คุณสมบัติครบถ้วนตามที่กฏหมายกำหนด 5 คน ส่วนอีก 2คนจะจากมติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาคัดเลือก ซึ่งในวันพรุ่งนี้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจะมีการประชุมเพื่อลงมติเลือกอีก 1 คนที่ยังเลือกไม่ได้ในการประชุมครั้งก่อน

ถก ครม."ประยุทธ์5” เสร็จเร็ว ...แถม"บิ๊กตู่" มาแปลก แถลง แค่3 นาที 20วินาที

ถก ครม."ประยุทธ์5” เสร็จเร็ว ...แถม"บิ๊กตู่" มาแปลก แถลง แค่3 นาที 20วินาที
วันนี้(4ธ.ค.) ประชุม ครม.ประยุทธ์5 ครั้งแรก.....มาแปลก 12.45 น.เลิกประขุมแล้ว... จากเดิมที่เคยประชุมถึง บ่าย2-3 แถม นายกฯแถลงข่าวหลังประชุม ครม. แค่ 3นาที20 วินาที
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ยืนบนโพเดี้ย
มตอบคำถามสื่อทุกประเด็นที่ได้ส่งคำถามไป
แต่เป็นการตอบสั้นๆ ไม่ลงในรายละเอียด จากนั้นได้เดินลงจากโพเดี้ยม เดินออกไป สีหน้าเรียบเฉย
ทำเอา งงง!!

คนสะสมนาฬิกา !!

คนสะสมนาฬิกา !!
ปกติ บิ๊กป้อม จะอารมณ์ดี ยิ้มแย้ม !!!...แต่วันนี้ หน้าตา ไม่ สเบย
คาดเพราะถูกโลกโซเชี่ยลฯ จับผิด เรื่อง ใส่แหวนเพชร ใส่นาฬิกา เรือนหรู ถ่ายภาพหมู่"ครม.ประยุทธ์5" วานนี้ นั่งกลางแดด แสงเพชรสะท้อนวาววับ
วันนี้ บิ๊กป้อม เลยใส่นาฬิกา ลายพรางเขียวทหาร และแหวนทอง แหวนพระ มา แต่ปกติ บิ๊กป้อม จะสลับใส่แหวน ใส่นาฬิกา ทุกวันอยู่แล้ว และเป็นคนที่สะสมนาฬิกา
บิ๊กป้อม เผย แหวนทองคำขาว หัวเพชร1 กะรัต นั้น ของเดิม เคยใส่มาอยู่แล้ว นาฬิกา ก็ของเดิม
เซ็ง!! โดนตลอด !!

พูดน้อย จน ไม่พูดเลย !!

พูดน้อย จน ไม่พูดเลย !!
"บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม" ปัดตอบ ออกหมายจับ แกนนำเสื้อแดง โยงอาวุธสงคราม ก่อเหตุ ปี2557 รวมทั้ง บิ๊กหยอย พลโท มนัส เปาริก อดีตรองแม่ทัพภาค 3 เพิ่อนตท.10 ของ "ทักษิณ ชินวัตร" และ "จักรภพ เพ็ญแข" สะท้อน สถานการณ์ ยังไม่สงบ หรือไม่
ทั้งนี้ ทั้ง พลเอกประยุทธ์ นายกฯ พูดน้อย เมื่อวาน ให้สัมภาษณ์3 นาที ส่วน พล.อ.ประวิตร ก็พูดน้อย แต่วันนี้ ทั้งคู่ งดสัมภาษณ์

เมื่อชินวัตรเลิกยุ่งการเมือง

เอาให้ชัดนะ....
เรื่องของบ้านเมืองเป็นเรื่องใหญ่ การจะส่งสัญญาณอะไร คนที่อยู่ในอำนาจต้องพูดออกมาให้ชัดถ้อยชัดคำ
จะมายึกยักชักเข้าชักออกไม่ดีแน่
มันรวน!
เหตุเกิดจาก "บิ๊กป้อม" เจ้าเก่า พูดง่ายฟังยาก
"ขณะนี้มีงานด้านการข่าวแจ้งว่ามีกลุ่มคนเริ่มเคลื่อนไหว และถ้าเหตุการณ์ยังเป็นแบบนี้อยู่ก็คงปลดล็อกการเมืองยาก
แต่ถ้าไม่ปลดล็อกการเมืองก็ไม่ได้ ต่อจากนี้หน่วยงานความมั่นคงก็ต้องทำงานหนักขึ้น ซึ่งอาจจะต้องปลดล็อกการเมืองในช่วงที่ใกล้เลือกตั้ง"
ต้นตอของเรื่องมาจากการพบเครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิดจำนวนหลายรายการ ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา และตำรวจเชื่อมโยงไปถึงนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ แกนนำคนเสื้อแดง ที่มีข่าวก่อนนี้ว่าเสียชีวิตไปแล้ว
ประเด็นคือเป็นอาวุธเก่าที่ถูกนำไปทิ้ง
สาเหตุการนำไปทิ้ง และใครเป็นผู้เอาไปทิ้ง ไม่มีอะไรแน่ชัด
แต่การทิ้ง ก็คือไม่เอา
เมื่อไม่เอา จะไปบอกว่ามีการเคลื่อนไหว โดยใช้อาวุธสงคราม มันก็ฟังดูทะแม่งๆ
ต่อให้มีกลุ่มจ้องจะเคลื่อนไหวอยู่จริงๆ สิ่งแรกที่ "บิ๊กป้อม" ต้องจัดการคือ
สืบหาต้นตอ กระชากหน้ากากมันออกมา
ก็อย่างที่หลายๆ คนพูดกัน "บิ๊กป้อม" คุมงานด้านความมั่นคงมา ๓ ปีกว่า กลับอ้างปัญหาด้านความมั่นคงอยู่เรื่อยๆ ว่ายังมีปัญหา
มันสะท้อนถึงการทำงานของคนพูดเช่นกัน
ถ้าวันนี้ความมั่นคงยังเป็นปัญหาให้ไม่สามารถปล่อยกิจกรรมอื่นๆ ดำเนินไปได้
จะถือว่าสอบตกได้หรือไม่
ฉะนั้นเร็วไปที่จะรวบรัดเอาประเด็นด้านความมั่นคงมาเป็นเงื่อนไขการปลดล็อกพรรคการเมือง ทั้งๆ ที่ยังไม่มีอะไรแน่ชัด
ขณะนี้ คสช.กำลังเดินไปได้สวย ทุกอย่างเป็นไปตามโรดแมป
และโรดแมปยังกินความหมายมากกว่ากรอบเวลาที่ คสช.วางไว้
เพราะมันคือสัญญาลูกผู้ชายที่ให้ไว้ต่อสาธารณะ
จะถูกใจหรือไม่ถูกใจ บางครั้งคำสัญญา เมื่อให้ไว้แล้ว ต้องปฏิบัติตาม
คนรักลุงตู่ ไม่ต้องการให้มีการเลือกตั้งในเร็วๆ นี้ แต่อยากให้ปฏิรูปประเทศให้เสร็จสิ้นเสียก่อน ต้องยอมรับว่ามีอยู่ไม่น้อย
จริงอยู่ที่บรรดาแฟนๆ ลุงตู่ ซึ่งเกลียดนักการเมืองเข้าไส้ อยากให้ลุงตู่อยู่เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ แต่ทำเช่นนั้นได้แน่หรือ
และต้องทำอย่างไร? ในขณะที่บ้านเมืองมีกติกาใหม่แล้ว และกติกานั้น คสช.เองเป็นผู้ผลักดันให้ออกมา
การทำให้ลุงอยู่ต่อโดยไม่มีการเลือกตั้งในทางทฤษฎีพอมองเห็น
แต่ทางปฏิบัติ แทบเป็นไปไม่ได้
อย่างน้อยต้องมีเหตุผลที่ทุกฝ่ายรับได้เพื่อให้ คสช.อยู่ต่อ
แต่นึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะหาเหตุผลอะไรมารองรับ
สุดท้ายงานเลี้ยงต้องเลิกรา แต่จะเลิกแบบไหน? นั่นคือสิ่งที่จะเกิดต่อไป
อยากให้ลุงตู่อยู่ต่ออีก ๕ ปี ๑๐ ปี ทำได้
จะใช้ ม.๔๔ หรือแก้ไขบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญ ขยายเวลาออกไป ทำได้ทั้งนั้น
นั่นในทางทฤษฎีอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น
ในทางปฏิบัติ ยากมาก
เพราะต้องมีเหตุผลที่ทุกฝ่ายยอมรับได้
ประเทศนี้มีทั้งคนชอบลุงตู่ คนเกลียดลุงตู่ และคนไม่เทไปข้างไหน ไม่เชียร์ใคร แต่เฝ้าดูการทำงานของลุงตู่
ฉะนั้น ลุงตู่ จะอยู่ต่อ ๔ ปีตามเทอมเลือกตั้ง ส.ส.ได้อย่างสง่างาม ต้องผ่านกระบวนการของรัฐธรรมนูญเท่านั้น
และต้องเดินตามโรดแมป
ก็ต้องย้อนกลับไปอีกครั้งว่าโรดแมปต้องเดินอย่างไร
พ.ร.ป.พรรคการเมืองประกาศใช้มาตั้งแต่วันที่ ๘ ตุลาคมที่ผ่านมา
บทเฉพาะกาล มาตรา ๑๔๑ ได้กำหนดสาระสำคัญให้พรรคการเมืองดำเนินการต่างๆ เช่น ภายใน ๙๐ วัน หรือไม่เกินวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๖๑ พรรคการเมืองต้องแจ้งการเปลี่ยนแปลงสมาชิกพรรคให้นายทะเบียนพรรคการเมืองทราบ
ภายใน ๑๘๐ วัน บรรดาพรรคการเมืองต้องหาสมาชิกให้ได้อย่างน้อย ๕๐๐ คน
ต้องจัดให้มีทุนประเดิมพรรค ๑ ล้านบาท
จัดประชุมแก้ข้อบังคับพรรค
จัดทำคำประกาศอุดมการณ์พรรค
เลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคและดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งสาขาพรรคและผู้แทนพรรคประจำทุกจังหวัด
ดำเนินการชำระค่าสมาชิกพรรค
ทั้งหมดต้องเสร็จไม่เกิน ๑๘๐ วัน
หรือวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๑
หากพรรคการเมืองใดดำเนินการไม่ทันก็จะสิ้นสภาพความเป็นพรรคทันที
แต่ก็มีรูให้พรรคการเมืองได้ระบายกรณีที่ คสช.ปลดล็อกช้า
วันที่ ๕ มกราคม ๒๕๖๑ หากพรรคการเมืองแจ้งการเปลี่ยนแปลงสมาชิกพรรคให้นายทะเบียนพรรคการเมืองไม่ทันตามกำหนด พรรคการเมืองก็สามารถยื่นเรื่องขอขยายเวลาต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้
แต่นั่นอาจเกิดผลกระทบตามมาเป็นลูกโซ่
การเลือกตั้งอาจต้องขยับออกไป
อาจเป็นต้นปี ๒๕๖๒
แม้จะช้า แต่มีความชัดเจนว่าไม่เกินนั้น และถือเป็นความคลาดเคลื่อนของโรดแมปที่พอยอมรับได้
แต่การที่ "บิ๊กป้อม" พูดลักษณะว่าอาจจะต้องปลดล็อกการเมืองในช่วงที่ใกล้เลือกตั้ง หมายความว่าอย่างไร?
รอจนใกล้สิ้นปี ๒๕๖๑ ถึงจะปลดล็อกใช่หรือไม่?
นี่คือปัญหา
เพราะโดยกฎหมายจะทำเช่นนั้นไม่ได้
เว้นเสียว่าจะมีการแก้ไขกฎหมายกันอีกรอบ
ประเด็นอาวุธสงคราม หากนำมาเป็นเหตุต้องเลื่อนการเลือกตั้ง อย่างเช่นล่าสุดที่ พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า
"ในเมื่อตรวจพบอาวุธก็คิดว่ายังมีที่อื่นอยู่ด้วย และทางเจ้าหน้าที่ระบุแล้วอาวุธที่พบเป็นลอตเดียวกัน ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวในอดีต เพราะฉะนั้นเมื่ออาวุธยังอยู่ จึงยังมั่นใจไม่ได้ ไม่รู้ว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นได้ในตอนไหน ก็ต้องสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติม"
แม้จะเป็นความวิตกที่ควรรับฟัง
แต่ถ้าพบอาวุธลอตหนึ่งก็เลื่อนโรดแมปกันทีหนึ่ง
มันจะกลายเป็นการเล่นขายของ
หาความชัดเจนอะไรไม่ได้
กระนั้นก็ตามใช่ว่าจะเสียหายไปทั้ง คสช. เพราะนั่นแค่ "บิ๊กป้อม" พูดคนเดียว ก็ใช่ว่า ลุงตู่ จะเอาตามนั้น
จึงจำเป็นต้องมีความชัดเจนจากลุงตู่ว่า การปลดล็อกพรรคการเมือง อย่างน้อยต้องไม่เกินช่วงปีใหม่นี้ หรือถ้าเกิน ก็ขอให้อยู่ในช่วงเวลาที่กฎหมายเปิดช่องเอาไว้
ไม่ควรลากยาวอย่างที่ บิ๊กป้อม พูด
ในส่วนของประชาชนทั้งที่รักและเกลียดลุงตู่ ต้องตระหนักว่า ประเทศจะเดินหน้าไปได้ ไม่ใช่เพราะใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของคนทั้งชาติที่ต้องขับเคลื่อนไปด้วยกัน
เราผ่านยุค อัศวินขี่ม้าขาว ยุคเชื่อในผู้นำ ยุคอัศวินควายดำ ยุคนารีขี่ม้าขาว มาแล้ว และต้องเรียนรู้ว่า นั่นไม่ใช่วิธีการแก้ไขปัญหาของประเทศอย่างแท้จริง
เพราะหลังผ่านยุคเชื่อในผู้นำ ล้วนมีปัญหาความขัดแย้งในชาติให้ต้องแก้ไขทั้งสิ้น...
ไม่รู้ว่าควรดีใจ หรือเศร้าใจดี เมื่อ โอ๊ค พานทองแท้ ชินวัตร เป็นตัวแทนของตระกูลชินวัตร ประกาศว่า
"ผมและทุกคนในครอบครัว ยังยืนยันคำเดิมว่า เราเพียงแต่ต้องการชีวิตครอบครัวที่อบอุ่นกลับคืนมา โดยที่ไม่มีคนหนึ่งคนใดในครอบครัว ต้องการที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกเลย..แม้แต่นิดเดียว
ถ้าเป็นไปได้จริง จะเป็นของขวัญที่มีคุณค่ามากที่สุด สำหรับผมและครอบครัวครับ"
ที่ว่าดีใจคือถ้า ตระกูลชินวัตร เลิกยุ่งการเมือง ประเทศคงสงบสุขกว่านี้
แต่ก็อาจเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ พานทองแท้ ลับลวงพราง เพื่อไม่ให้ตระกูลชินวัตรถูกจับตามอง อย่างน้อยก็ช่วงก่อนการเลือกตั้ง
ทว่า ลูกโอ๊ค ลืมบางอย่างไป!
ที่ครอบครัวชินวัตรเหมือนคนบ้านแตกสาแหรกขาด พ่อไปทาง แม่ไปทาง อาไปอีกประเทศ ล้วนเพราะสิ่งที่ครอบครัวชินวัตรทำเองกับมือทั้งสิ้น
ถามว่าถ้าทักษิณไม่โลภ วันนี้ต้องหนีหัวซุกหัวซุนหรือเปล่า
ถ้ายิ่งลักษณ์ไม่ดื้อดึง ประเทศไม่เสียหาย วันนี้ ยิ่งลักษณ์ อาจนั่งเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยสองอยู่ หรือแม้แต่ ลูกโอ๊ค เอง ถ้าไม่มีชื่อพัวพันการฟอกเงินในคดีปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย วันนี้ก็ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัวอย่างอบอุ่น
ถ้าจะเอาครอบครัวกลับคืนมา มีทางเดียว คนในครอบครัวชินวัตรต้องสำนึกผิด กลับมาต่อสู้คดี ถ้าสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้ เมื่อนั้น ครอบครัวชินวัตรจะอบอุ่นไปด้วยไอรัก
แต่ถ้าไม่ ก็ถือว่า...ชดใช้กรรม.
ผักกาดหอม

ฮือฮา แหวนเพชร-นาฬิกาหรู ไม่อยู่ในบัญชีทรัพย์สินยื่นต่อ ป.ป.ช. บิ๊กป้อมแจง’เป็นของเดิม’

ฮือฮา แหวนเพชร-นาฬิกาหรู ไม่อยู่ในบัญชีทรัพย์สินยื่นต่อ ป.ป.ช. บิ๊กป้อมแจง’เป็นของเดิม’


เรียกเสียงฮือฮาไม่น้อย กรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ใส่นาฬิการิชาร์ด มิลล์ ที่มีราคา 7-8 หลัก รวมถึงใส่แหวนเพชรจนแสงส่องประกายเข้าตา
สื่อมวลชนจำนวนมาก ขณะที่ร่วมถ่ายภาพในคณะรัฐมนตรีรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล จนโลกโซเชียลตั้งคำถาม รวมถึงไปสืบค้นยี่ห้อนาฬิกาดังกล่าว

ล่าสุดเพจดังอย่าง CSI LA ที่มีผู้ติดตามกว่า 7 แสนคน โพสต์ข้อความตั้งข้อสังเกต ระบุว่าที่อเมริกาคนที่มีปัญญาซื้อนาฬิกายี่ห้อ Richard Mille ใส่ ต้องเป็นพวกดารา Hollywood หรือนักร้องดังๆ เท่านั้น เพราะนาฬิกาข้อมือเรือนนี้ราคาเเพงเรือนละอย่างน้อย 10 ล้านบาท เเต่ที่เมืองไทย ถ้ามีอาชีพเป็นนายพลคุณก็สามารถซื้อได้ คำถามคือว่า คุณต้องมีรายได้ต่อปีเท่าไหร่ ถึงกล้าซื้อนาฬิกาเรือนละ 10 ล้านบาท? เข้าไปสืบราคากันเองได้เลยครับที่ web นี้

ทั้งนี้ โลกออนไลน์ยังเผยแพร่บัญชีทรัพย์สินที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้แจ้งรายการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2557 โดยมีการตั้งข้อสังเกต เพราะไม่ปรากฏว่ามีนาฬิกายี่ห้อดังกล่าวแต่อย่างใด

การปรองดองกลับมาอีกแล้ว โดย พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์

การปรองดองกลับมาอีกแล้ว โดย พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์



เรื่องของความปรองดองกลายเป็นเรื่องที่กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง แม้ว่าความปรองดองรอบนี้จะไม่ได้เป็นเรื่องของความเห็นด้วย หรือขานรับมากนัก จากกรณีของข้อสงสัยที่มีต่อเจ้าตัวตุ๊กตานำโชคที่เรียกว่า “น้องเกี่ยวก้อย”

อธิบายง่ายๆ ก็คือ เรื่องของการปรองดอง ที่เท่ากับ (น้อง/การ) เกี่ยวก้อย นั้นอาจไม่ง่ายอย่างที่คิด

ฟันธงหรือเรียนตรงๆ ก็คือ “ฐานคติ” ที่เกี่ยวกับความปรองดองของรัฐ หรือคณะทหาร หรือคณะ
รัฐประหารที่มีต่อความปรองดองก็คือเชื่อว่า ฝ่ายต่างๆ ที่สร้างปัญหาให้กับบ้านเมืองนั้น เป็นปัญหาในตัวเอง

คือเป็นพวกที่ไม่ยอม (มีความ) เข้าใจที่ถูกต้องในการอยู่ร่วมกัน

การไม่เข้าใจว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างไร อาจแบ่งเป็นสี่ด้าน

หนึ่ง คือพวกที่เป็นคนไม่ดี มีผลประโยชน์แอบแฝง

สอง คือพวกที่เชื่อตามคนอื่น ถูกชักจูงได้ง่าย โดยเฉพาะพวกที่ถูกชักจูงในแบบแรก

สาม คือพวกที่มีความเชื่อที่ผิดพลาด แบบที่ใช้สิทธิเสรีภาพเกินขอบเขต

สี่ คือพวกที่ไม่รักชาติบ้านเมือง ขาดจิตสำนึกของความเป็นชาติ

ผมไม่ได้บอกว่าเรื่องทั้งสี่เรื่องนี้ไม่จริง แต่ยังมีอีกด้านหนึ่งที่คนไม่ค่อยพูดกัน

นั่นคือฐานคติของรัฐเองนั้นก็เป็นปัญหา นั่นคือไม่ใช่ผู้ที่สร้างความขัดแย้งคือประชาชนแต่ละฝ่ายเท่านั้น
แต่ตัวรัฐเองที่พยายามสถาปนาตัวเองเป็น “คนกลาง” ก็เป็นปัญหา มีวิธีคิดที่เป็นปัญหา

ความปรองดองนั้นไม่ควรจะถูกคิดง่ายๆ แค่เป็นสิ่งที่ถูกสั่งการลงมาได้

นั่นหมายความว่า ความปรองดองนั้นสั่งไม่ได้จากคนนอก แต่ต้องมาจากความเข้าใจระหว่างกันของแต่ละฝ่ายมากกว่า

ดังนั้นถ้าฝ่ายที่พยายามเดินหน้าปรองดองไม่รู้จักฟังและเข้าใจทั้งสองฝ่าย โอกาสที่จะปรองดองนั้นก็จะยากอยู่สักหน่อย

คนกลางจึงต้องทำตัวให้เป็นกลาง ความเป็นกลางที่สำคัญคือการทำให้ทุกฝ่ายยอมรับอำนาจนำของตนเองจากความเข้าใจ และความเข้าใจไม่ใช่เรื่องของคำสั่ง

ความเข้าใจควรมาจากความสามารถที่จะไปนั่งอยู่ในใจของแต่ละฝ่าย ไม่ใช่การทำให้ฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่าฉันเข้าข้างอีกฝ่ายหนึ่งมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง

นอกจากนั้นความปรองดองนั้นอาจไม่ได้มีลักษณะที่เป็นขั้นตอนและเดินไปข้างหน้าอย่างเป็นระบบระเบียบ

แต่อาจมีลักษณะที่หมุนวน มีก้าวหน้า มีถดถอย มีขึ้น มีลง

ความสำคัญของการปรองดองไม่ใช่แค่การยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น และจะเกิดขึ้น (เช่น หมายถึงว่าจะได้รับความยุติธรรมแค่ไหน) แต่หมายถึงการยอมรับในลักษณะของการ “ปลดปล่อย” ทุกข์ที่ตัวเองแบกไว้อย่างยาวนาน

สถานะ เกียรติภูมิ ของ คสช. และรัฐบาล หลัง ครม.สัญจร

สถานะ เกียรติภูมิ ของ คสช. และรัฐบาล หลัง ครม.สัญจร


แม้พรรคประชาชนปฏิรูปที่นำโดย นายไพบูลย์ นิติตะวัน และ นพ.มโน เลาหวณิช จะมากด้วยความคึกคักกับ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง

แต่ดูเหมือนว่า “พรรคการเมือง” อื่นจะไม่คึกคักไปด้วย

ไม่ว่าจะมองเข้าไปในพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะมองเข้าไปในพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะมองเข้าไปในพรรคภูมิใจไทย

พลันที่เห็นการจับ “อาวุธสงคราม” กลาง “ทุ่งนา”

พลันที่เห็น “เพจไทยคู่ฟ้า” เผยแพร่บทสรุปคำตอบประชาชนต่อ 4 คำถามจากหัวหน้า คสช.และหัวหน้ารัฐบาลโดยเน้นน้ำหนักไปยัง

“ปฏิรูป” ก่อน “เลือกตั้ง”

ทุกคนก็มองออกว่า การดำรงอยู่ของ “ฤดูหนาว” จะยาวนานเป็นอย่างยิ่ง ยาวนานกระทั่งไม่มีโอกาสได้เห็น “ฤดูใบไม้ผลิ” มาเยือน

นั่นคือ เครื่องหมายแห่งการยื้อ “เลือกตั้ง”

อย่าลืมเป็นอันขาดว่าบทสรุปที่นำเสนอผ่าน “เพจไทยคู่ฟ้า” นั้นเสมอเป็นเพียง 4 คำถาม หากเมื่อใดบทสรุปจาก 6 คำถามเรียบร้อย

ก็แทบไม่จำเป็นต้องมี “อาวุธสงคราม”

ที่ นายอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เคยระบุว่าหากภายในปี 2562 ไม่มีการเลือกตั้งตามคำประกาศ

ก็ “ตัวใครตัวมัน”

ความหมายอาจมิได้หมายความถึง คสช.และรัฐบาล หากแต่น่าจะเป็นทางด้านของพรรคการเมืองและนักการเมืองมากกว่า

คล้ายว่าเป้าหมายในการทำหมันจะเป็น “เพื่อไทย”

แต่หากประเมินผ่านคำถาม ประเมินผ่านบทสรุปจากคำตอบอันสำแดงผ่าน “เพจไทยคู่ฟ้า” มีความเด่นชัดเป็นลำดับว่า


แม้กระทั่ง “ภูมิใจไทย” ก็ “ตัวใครตัวมัน”

ตราบใดที่ยังไม่มีการ “ปลดล็อก” พรรคการเมืองจากประกาศและคำสั่งหัวหน้า คสช.ก็หมายความว่ามีแต่เพียง คสช.และรัฐบาลของ คสช.เท่านั้นที่เคลื่อนไหวได้

เคลื่อนไหวเหมือนกับไป ครม.สัญจรที่สงขลา

เคลื่อนไหวเหมือนกับที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถตรวจจับอาวุธสงครามและวัตถุระเบิดได้แม้กระทั่งกลางทุ่งนาที่ฉะเชิงเทรา

เคลื่อนไหวเหมือนกับบทบาท กอ.รมน.ทั่วประเทศ

ความหมายอย่างสำคัญก็คือ ครม. “ประยุทธ์ 5” สามารถนำเสนอแผนยกระดับราคาสินค้าเกษตรไม่ว่า ข้าว ยางพารา ปาล์ม มันสำปะหลัง เป็นต้น

ให้เป็นไปตามความต้องการของ “เกษตรกร”

ความหมายอย่างสำคัญก็คือ ครม. “ประยุทธ์ 5” สามารถขับเคลื่อน EEC และนำเอา “ประชารัฐ” เข้าแทนที่ “ประชานิยม” ได้อย่างสมบูรณ์

นั่นหมายถึง ความชอบธรรมในทางการเมือง

เป็นความชอบธรรมที่ คสช.จะสามารถดำรงอยู่อย่างองอาจ สง่างาม ตามแผนยุทธศาสตร์ 20 ปีที่กำหนดไว้ตามรัฐธรรมนูญ

ความคึกคักอันสำแดงผ่าน นายไพบูลย์ นิติตะวัน และ นพ.มโน เลาหวณิช เสมอเป็นเพียงสีสัน แต่งแต้มให้กับบรรยากาศ “ปฏิรูป” ก่อน “การเลือกตั้ง”

ความหมาย 1 คือ ยังจำเป็นต้อง “ปฏิรูป”

ขณะเดียวกัน ความหมาย 1 คือ ตราบใดที่ยังจำเป็นต้อง “ปฏิรูป” หมายความว่า “การเลือกตั้ง” ยังต้องยื้อ ยาวออกไป

ไม่ใช่ปี 2561 แน่นอน ปี 2562 ก็ไม่แน่ว่าจะมี

ร้อนใจทำไงดี

ร้อนใจทำไงดี


อจ.มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ.ออกมารำพึงรำพันว่ารู้สึกร้อนใจกับพรรคการเมือง ที่ คสช.ยังไม่ยอมปลดล็อกให้พรรคการเมืองเสียที

ทั้งๆที่ พ.ร.บ.พรรคการเมือง ประกาศบังคับใช้ไปแล้ว 2 เดือน

ที่ร้อนใจเป็นไฟลนก้นคือ พ.ร.บ.พรรคการเมืองฉบับใหม่ กำหนดให้พรรคการเมืองทุกพรรคต้องตรวจสอบรายชื่อสมาชิกพรรคทุกคนรายงานให้ กกต.พิจารณาภายใน 90 วัน

ซึ่งจะครบ 90 วัน ในวันที่ 5 มกราคม หรืออีก 1 เดือนจากนี้ไป

อจ.มีชัย ยังให้ความเห็นเพิ่มเติมว่าเมื่อ ก.ม.ลูกฉบับใดประกาศใช้ย่อมเกิดผลบังคับทันที

ยกเว้นจะมีเหตุจำเป็นจริงๆก็สามารถแก้ไข ก.ม.ได้ไม่มีอะไรตายตัว

ส่วนจะทำอย่างไรต่อไป คงต้องไปถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.เอาเอง

“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่า การที่ “อจ.มีชัย” ยอมรับตรงๆว่าร้อนใจ ที่ คสช.ยังไม่ปลดล็อกพรรคการเมือง

แสดงว่า อจ.มีชัยเกาถูกที่คัน

แต่การพูดอย่างเดียวช่วยให้หายคันไปแค่ชั่วคราว

ถ้าต้องการให้หายคันอย่างถาวร อจ.มีชัย ในฐานะกรรมการ คสช.เป็นผู้มีหน้าที่ชี้แนะด้านกฎหมายให้กับ คสช.โดยตรง

ทำไม อจ.มีชัยไม่ช่วยชี้แนะแนวทางให้ คสช.ดำเนินการอย่างที่ชอบที่ควร??

ในเมื่อ พ.ร.บ.พรรคการเมืองประกาศใช้บังคับแล้ว คสช.ต้องรีบปลดล็อกให้พรรคการเมืองได้ดำเนินการต่างๆตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.พรรค การเมือง

เช่น...ให้พรรคการเมืองต้องปรับปรุงรายชื่อสมาชิกพรรคเสนอให้ กกต.ตรวจสอบความถูกต้องภายใน 90 วัน

ซึ่งเหลือเวลาดำเนินการอีกเพียง 30 วันเท่านั้นเอง

หรือ...ถ้า คสช.ยังไม่ต้องการปลดล็อกพรรคการเมือง ไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม

อจ.มีชัย ควรเสนอ หน.คสช.ให้ใช้อำนาจ ม.44 แก้ไข พ.ร.บ.พรรค การเมือง “เลื่อนกรอบเวลาออกไป” ให้เกิดความชัดเจน

ไม่ใช่ปล่อยให้อึมครึมเป็นราหูอมจันทร์อย่างที่ผ่านมา

“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าเหตุที่ คสช.พยายามยื้อเวลายังไม่ปลดล็อกเสียที เพราะเกรงว่านักการเมืองจะฉวยโอกาสโจมตี คสช.

แต่หารู้ไม่ว่าการที่ คสช.ไม่ยอมปลดล็อกนี่แหละคือการสร้างเงื่อนไขให้นักการเมืองรุมขย่ม คสช.หนักยิ่งกว่าเดิม

ความจริง คสช.ไม่ต้องปลดล็อก 100 เปอร์เซ็นต์ ก็ยังได้

แค่ปลดล็อกให้พรรคการเมือง เฉพาะเรื่องเร่งด่วนก่อนก็ยังดี

ดีกว่าปล่อยให้ปัญหาคาราคาซัง

อ้อ...ยังมีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง...อีกหนึ่งคน

ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายเนติบริกร

“แม่ลูกจันทร์” เชื่อว่า ดร.วิษณุ ย่อมเห็นพ้องกับ อจ.มีชัย ว่าการไม่ปลดล็อกให้พรรคการเมืองปฏิบัติตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง จะทำให้รัฐบาล คสช.จะถูกกระแสโจมตีว่าเจตนาฝ่าฝืน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองเสียเอง

สรุปว่า ถ้า 2 เซียนกฎหมายระดับอ๋อง “วิษณุ-มีชัย” เสนอความเห็นให้ พล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจอย่างตรงไปตรงมา

ปัญหาปลดล็อกที่ยักตื้นติดกึกมา 2 เดือนจะมีทางออกอย่างสวยงาม

ถึงช้าไปตั้ง 2 เดือน...ก็ยังไม่สายเกินเพล.

“แม่ลูกจันทร์”

ความหวังโหมดปฏิรูป

ความหวังโหมดปฏิรูป


“วันนี้ถือว่าตูนเป็นขวัญใจของคนไทยทั้งประเทศไปแล้ว”

ตามการประกาศอย่างเป็นทางการโดย “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ที่เปิดทำเนียบรัฐบาลต้อนรับ พร้อมควักเงินส่วนตัวร่วมบริจาคกับนายอาทิวราห์ คงมาลัย “ตูน บอดี้สแลม” ศิลปินนักร้องดัง ประธานโครงการ “ก้าวคนละก้าวเพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ”

ภายใต้เหตุการณ์ที่เรียกว่า ทำเนียบฯแตก

กับภาพและเสียงคนที่รอกรี๊ด “ขวัญใจ” ทั้งข้าราชการ เจ้าหน้าที่ สื่อมวลชน ไม่เว้นแม้แต่คนระดับ “ซือแป๋” มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ที่มาร่วมประชุมกรรมการ คสช. ที่ทำเนียบรัฐบาล ยังดักรอบริจาคเงินให้ “ตูน” เป็นรายแรกหลังลงรถตู้ พร้อมแสดงความขอบคุณที่ทำเพื่อประเทศชาติ

ขึ้นชั้นบุคคลทางประวัติศาสตร์ที่ต้องบันทึกไว้

ถึงตรงนี้ชื่อของ “อาทิวราห์ คงมาลัย” เป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศไทย ไม่ใช่แค่ความเป็นศิลปินดัง แต่เป็นบุคคลตัวอย่างในฐานะพลเมืองที่มีความมุ่งมั่นทำเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชน

เป็นจุดศูนย์รวมกระแส เป็นแรงบันดาลใจ กระตุกพลังสังคมไทยให้รู้จักการเสียสละเพื่อส่วนรวม

“ตูน บอดี้สแลม” ยึดตำแหน่งบุคคลแห่งปี 2560 ไปแล้วตามผลโพลหลายสำนัก

และหากมาประกอบกับโปรไฟล์ด้านการศึกษา จบจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เกียรตินิยมนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย

บุคลิกอ่อนน้อมถ่อมตน ให้เกียรติคนอื่น ก้าวข้ามความขัดแย้งทั้งหลายทั้งปวง

นี่แหละ “สเปก” นักการเมืองรุ่นใหม่ คุณสมบัติตรงเป๊ะกับยุค “ปฏิรูป”

มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าวันข้างหน้าจะมีชื่อของ “อาทิวราห์ คงมาลัย” ก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในตัวเลือกทางการเมืองของประชาชนคนไทย

ลุ้นเทคะแนนให้เป็น “ผู้นำ” ประเทศได้เลย

ยิ่งภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์การเมืองที่อยู่ห้วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ตามปรากฏการณ์ล่าสุดที่กำลังถูกจับตา “จุดเปลี่ยน” สำคัญ ภายหลัง “โอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร
โพสต์โซเชียลฯแสดงความรู้สึกลึกๆในวันคล้ายวันเกิด เป็นนัยว่า ถ้าเลือกได้ คนในครอบครัวอยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมากกว่าจะยุ่งกับการเมือง

แปรสัญญาณได้ว่า “ตระกูลชิน” กำลังถอยก้าวสำคัญ

ตามท้องเรื่องที่ลูกข่ายพรรคเพื่อไทย รีบตีปี๊บชื่อของ “เจ๊แดง” นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ยังเป็นตัวตายตัวแทนหากตระกูลชินฯถอย ก็พร้อมจะดันหลังสามีคือนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ขึ้นแท่นแม่ทัพนำสู้ศึกเลือกตั้ง

ตอกย้ำเบื้องหลังการวัดพลังระหว่าง “เจ๊แดง” กับ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เจ้าแม่เมืองกรุงฯ พรรคเพื่อไทย ที่กำลังลุ้นตั๋วจากดูไบ เปิดยุทธศาสตร์การเมืองแบบ “ก้มหลบต่ำ”

ไม่ปะทะแบบแตกหัก ทำ “ทักษิณ” พ่ายยับกันทั้งค่ายแบบที่ผ่านมา

ลูกทีม “นายใหญ่” กำลังอยู่บนทาง 3 แพร่ง

ขณะที่ฝั่งประชาธิปัตย์ก็อยู่ในสถานการณ์รอการ “ระเบิดภายใน” จากเงื่อนไขสถานการณ์ที่รอจังหวะหักดิบ ระหว่างฝ่ายอุ้ม “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” กับพวกที่ถือหาง “ลุงกำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ

หนีไม่พ้นกงล้อวันประวัติศาสตร์ “ค่ายแตก” จาก “กลุ่ม 10 มกรา” ที่กำลังวนมาครบรอบ 30 ปี

การเมืองเก่ายังวน สลัดไม่พ้นภาวะทางตัน

นั่นก็ทำให้ประชาชนยังเข็ดกับนักการเมือง ไม่มีความหวังกับคนหน้าเดิมๆ

คำตอบสุดท้าย ส่วนใหญ่รอความหวังหลังการปฏิรูป

ตามเงื่อนสถานการณ์ก็ยังเปิดให้ “นายกฯลุงตู่” อยู่ในสถานะเป็นต่อ โอกาสสูงที่จะนั่งแท่นผู้นำช่วงเปลี่ยนผ่าน ตามเงื่อนไขทางอำนาจที่ล็อกไว้ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ

โดยมี “จอมยุทธ์กวง” “นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ เป็น “ตัวช่วย” ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ประคองปัญหาปากท้องของชาวบ้าน พร้อมๆกับเดินหน้าวางโครงสร้าง พื้นฐานของประเทศไว้รองรับความเจริญตามเทรนด์โลกยุคใหม่

และตามเงื่อนไขเวลาประกอบกับเงื่อนปมทางกฎหมายที่ล็อกพวกมีปัญหาไม่ให้ลงสนามเลือกตั้ง

นักการเมืองพันธุ์เก่าคงค่อยๆแห้งเฉาตายไปเอง.

ทีมข่าวการเมือง