PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ทนายเตรียมยื่นประกัน๒นศ.หญิงที่แสดงละครและถูกจับความผิด ม.112

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานอ้างคำพูดของทนายความว่า อัยการได้สั่งฟ้องนักศึกษาสองคนที่ถูกคุมขังมาเป็นเวลาเกินกว่า 70 วัน ฐานหมิ่นเบื้องสูงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

น.ส.ภาวิณี ชุมศรี ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เปิดเผยกับเอเอฟพีว่า นายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม และ น.ส.พรทิพย์ มั่นคง ถูกฟ้องในข้อหาดังกล่าวสืบเนื่องจากการแสดงละครเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ขณะนี้คนทั้งสองขอใช้เวลาหารือแนวทางคดีกับทนายต่อไป
ทั้งนี้ นักศึกษาทั้งสองคนถูกจับกุมเมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเวลาหลายเดือนหลังการแสดงละครเรื่อง "เจ้าสาวหมาป่า" ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อฉลอง 40 ปี เหตุการณ์ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย 14 ตุลาคม
ด้านสำนักข่าวไทยรายงานว่าทนายความของนักศึกษาทั้งสองคน บอกว่าจะยื่นประกันตัวในวันที่ 28 ต.ค.โดยจะใช้ตำแหน่งทางวิชาการ ของอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเป็นหลักประกัน
ก่อนหน้านี้ นางสาวภาวิณี เคยยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสด 300,000 บาทเพื่อขอประกันตัวนายปติวัฒน์ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม และวันที่ 16 สิงหาคม ได้ยื่นหลักทรัพย์เพิ่มเป็นเงินสด 500,000 บาทประกันตัวนางสาวภรณ์ทิพย์ แต่ศาลมีคำสั่งไม่ให้ประกันตัวคนทั้งสอง
เอเอฟพียังรายงานด้วยว่า นายจรัญ ดิษฐาอภิชัย ถูกออกหมายจับในข้อหาเดียวกันฐานเป็นผู้ดูแลการจัดงานครั้งนั้น นายจรัญ ให้สัมภาษณ์เอเอฟพี มาจากกรุงปารีส ประเทศที่กำลังไปขอลี้ภัย เขาบอกว่าเมื่อถูกตั้งหาดังกล่าวก็ไม่สามารถเดินทางกลับไปประเทศไทยได้
(ภาพ น.ส.พรทิพย์)

โยกย้ายมหาดไทย

แย้มโผ'สิงห์คลองหลอด'หน้าใหม่ชิง18เก้าอี้ผู้ว่าฯ


แย้มโผ'สิงห์คลองหลอด'หน้าใหม่ ชิง18 เก้าอี้ผู้ว่าฯ 4 ผู้ตรวจราชการมท. : วัฒนา ค้ำชูรายงาน
                ในช่วงเดือนตุลาคมของทุกปี ถือเป็นฤดูกาลโยกย้ายข้าราชการ ทั้งการแต่งตั้งโยกย้ายทดแทนผู้ที่เกษียณอายุราชการ และการขยับไปสู่ตำแหน่งใหม่ของผู้ที่ยังรับราชการอยู่ เช่นเดียวกับที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) ในยุคที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา หรือ "บิ๊กป๊อก" เป็น รมว.มหาดไทย และเพื่อนร่วมรุ่นอำนวยศิลป์ พระนครรุ่นที่ 10 อย่าง สุธี มากบุญ เป็น รมช.มหาดไทย


          นโยบายการแต่งตั้งโยกย้ายภายในกระทรวงคลองหลอดในยุคนี้เป็นไปตามที่บิ๊กป๊อกเคยให้นโยบายไปก่อนหน้านี้ ว่า “นักปกครองต้องเป็นผู้รับใช้ประชาชน ไม่ใช่เจ้านายประชาชน” แม้ก่อนหน้านี้มีการโยกย้ายในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไปแล้วจำนวน 37 ราย แต่ในการแต่งตั้งโยกย้ายรอบใหม่จะมีการ "จัดแถว" ให้เข้าที่เข้าทางมากกว่าเดิมยิ่งขึ้น

          มีรายงานว่า ในการแต่งตั้งโยกย้ายระลอกสองนับตั้งแต่ คสช.เข้าควบคุมอำนาจการปกครอง กระทรวงมหาดไทยเตรียมชงคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาบัญชีรายชื่อเลื่อนขั้นข้าราชการระดับสูงเป็น "วาระจรทราบ"

          โดยเฉพาะการแต่งตั้งโยกข้าราชการสายงานปกครองระดับ 10 หรือซี 10 ที่ถือเป็นผู้บริหารระดับสูงในตำแหน่ง "ผู้ว่าราชการจังหวัด" เพื่อทดแทนผู้ว่าฯ และผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ที่เกษียณอำลาชีวิตข้าราชการไปหลังสิ้นเดือนกันยายน ที่ผ่านมา เบ็ดเสร็จแล้วจำนวน 22 อัตรา

          ทั้งนี้ อาจแถมท้ายโดยพ่วงการโยกสลับเอาผู้ตรวจฯ บางรายที่ถูกดองเค็มเข้ากรุกลับมานั่งเป็นผู้ว่าฯ และสลับเอาผู้ว่าฯ มาเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยแทน ซึ่งคาดว่ามีไม่เกิน 30 เก้าอี้

          ในจำนวนนี้เก้าอี้ที่ว่างเป็นผู้ว่าฯ 18 ตำแหน่ง และผู้ตรวจราชการ 4 ตำแหน่ง โดยมีชาวสิงห์สนใจลงสนามสอบคัดเลือกมีคุณสมบัติแล้วเข้าหลักเกณฑ์ในตำแหน่งรองอธิบดี จำนวน 6 ราย รองผู้ว่าฯ เข้าสอบเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด 60 ราย ขณะที่ผู้ตรวจราชการชาวสิงห์สนใจสมัครสอบจากรองอธิบดี 3 ราย รองผู้ว่าฯ 12 ราย รวม 15 ราย

          โดยมีบางรายเปิดตัวลงสอบเลื่อนขั้นเป็นผู้ตรวจฯ โดยในตำแหน่งผู้ว่าฯ และผู้ตรวจฯ ได้เปิดกว้างให้ผู้ที่มีคุณสมบัติที่เป็นรองอธิบดี และรองผู้ว่าฯ ดั้งเดิมในยุคเก่าที่รู้กันว่าเป็นข้าราชการซี 9 แต่ยุคใหม่เรียกกันเป็น “บริหารต้น”

          เคาะตัวเลขแล้วมีผู้บริหารต้นจำนวน 75 ราย ที่เสนอตัวเข้าชิงเก้าอี้เลื่อนชั้นในรอบนี้ !!

          ตรวจลิสต์ชื่อรองอธิบดี-รองผู้ว่าฯ อาวุโสสูงระดับซี 9 มี 15 ราย อาวุโสสูงสุด 6 ปี รองลงมา คือ 5 ปีครึ่ง และที่เหลือ 3-4 ปี ซึ่งรายชื่อเหล่านี้มีสิทธิ์โยกสนามแข่งใช้สิทธิ์เลือกสอบได้ 2 ตำแหน่ง โดยอาจได้รับพิจารณาเลือกไปนั่งในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง หากพลาดเก้าอี้ผู้ว่าฯ ก็ไปนั่งเป็นผู้ตรวจฯ ที่เป็นข้าราชการระดับ 10 ระนาบเดียวกันหรือบริหารสูงเท่ากับเก้าอี้อธิบดี รองปลัดกระทรวง

          สำหรับข้าราชการระดับรองอธิบดี-รองผู้ว่าฯ จำนวน 15 ราย จะต้องสอบคัดเลือกเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย จำนวน 4 เก้าอี้ ที่สามารถโยกย้ายสลับในตำแหน่งอธิบดี และรองปลัดกระทรวงได้

          ด้านโผบัญชีรายชื่อรองอธิบดี-รองผู้ว่าราชการจังหวัด 60 ราย ที่ลงสนามสอบเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดที่ว่างอยู่ 18 เก้าอี้ มีรายชื่อตัวเต็งในลำดับต้นๆ ดังนี้ 1.นายสมดี คชายั่งยืน รองอธิบดี สถ. 2.นายอนุสรณ์ แก้วกังวาล รองอธิบดี ปภ. 3.นายชยาวุธ จันทร รองผู้ว่าฯ นครราชสีมา 4.นายชาติชาย อุทัยพันธ์ รองผู้ว่าฯ ชุมพร 5.นายณรงค์ อ่อนสอาด รองผู้ว่าฯ สิงห์บุรี 6.นายทรงพล สวาสดิ์ธรรม รองผู้ว่าฯ นครศรีธรรมราช 7.นายประยูร รัตนเสนีย์ รองผู้ว่าฯ พังงา 8.นายปิติ แก้วสลับสี รองผู้ว่าฯ สุโขทัย 9.นายพงษ์ศักดิ์ ปรีชาวิทย์ รองผู้ว่าฯ ชลบุรี 10.นายพินิจ บุญเลิศ รองผู้ว่าฯ ระนอง11.นายยิ่งยศ ธนะจันทร์ รองผู้ว่าฯ เลย 12.นายวินัย วิทยานุกูล รองผู้ว่าฯ นครราชสีมา 13.นายสามารถ วราดิศัย รองผู้ว่าฯ ยะลา 14.นายสายัณห์ อินทรภักดิ์ รองผู้ว่าฯ ยะลา 15.นายสุชาติ นพวรรณ รองผู้ว่าฯ หนองคาย 16.นายบัณฑิต เทวีทิวารักษ์ รองผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา 17.นายสาธร นราวิสุทธิ์ รองผู้ว่าฯ ตรัง 18.นางพรรณี งามขำ รองผู้ว่าฯ ชัยนาท 19.นายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา รองผู้ว่าฯ ภูเก็ต 20.นายเจน รัตนพิเชฏฐชัย รองผู้ว่าฯ สมุทรสงคราม 21.นายนาวิน สินธุสอาด รองผู้ว่าฯ เชียงใหม่ 22.นายสุทธินันท์ บุญมี รองผู้ว่าฯ อุดรธานี

          ทั้งนี้ เป็นที่คาดการณ์ว่า นายทรงพล สวาสดิ์ธรรม รองผู้ว่าฯ นครศรีธรรมราช จะโยกไปเป็นผู้ว่าฯ กระบี่ นายสามารถ วราดิศัย รองผู้ว่าฯ ยะลา จะสลับไปเป็นผู้ว่าฯ ยะลา นายสายัณห์ อินทรภักดิ์ รองผู้ว่าฯ ยะลา จะไปเป็นผู้ว่าฯ ปัตตานี นายชาติชาย อุทัยพันธ์ รองผู้ว่าฯ ชุมพร จะไปเป็นผู้ว่าฯ นครปฐม นายปิติ แก้วสลับสี รองผู้ว่าฯ สุโขทัย จะขึ้นเป็นผู้ว่าฯ สุโขทัย เป็นต้น

          รายชื่อทั้งหมดจะถูกส่งผ่าน นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผ่านการตรวจสอบเห็นชอบจากคณะทำงานที่ปรึกษา และส่งให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย โดยคาดว่าในการประชุม ครม.วันอังคารที่ 28 ตุลาคมนี้ รายชื่อที่จะถูกเสนอขึ้นเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้ตรวจราชการมหาดไทย จะถูกเข้า ครม.เพื่อจัดระเบียบมท. ให้เป็นไปตามนโยบายของ คสช.ต่อไป
 หนังสือพิมพ์คมชัดลึก 27 ตค.2557

"เรื่องที่ควรทำไม่ทำ เรื่องที่ไม่ควรทำกลับเร่งรีบทำ"

"เรื่องที่ควรทำไม่ทำ เรื่องที่ไม่ควรทำกลับเร่งรีบทำ"
นกไม่มีขน คนไม่มีเพื่อน
คนทำงานยิ่งนานประสบการณ์ยิ่งมาก
คุณค่าที่ประเมินยากคือประสบการณ์
ทุกวันที่ผ่านคือประสบการณ์ที่สร้างสม
บางคนได้ประสบการณ์ที่ดี
บางคนก็ได้ประสบการณ์ที่เลว

ผลของงานที่เกิดขึ้นจะดีเลวมากน้อยแค่ไหนนั้น ไม่ใช่เพียงแค่ความรู้ที่มีเท่านั้น หากแต่อยู่ที่ประสบการณ์เป็นส่วนประกอบสำคัญด้วยเสมอ เพราะจะมีความรู้เพียงอย่างเดียวคงช่วยอะไรไม่ได้มาก กับความสำเร็จของงานที่ต้องการบรรลุถึง

บ้านเมืองของเราขณะนี้แม้จะใช้กำลังอำนาจทางทหาร ทำการขับไล่นักการเมืองเลวๆออกไปได้ก็ตาม ก็ใช่ว่าความวิกฤตต่างๆที่เกิดขึ้นกับบ้านเมืองจะหมดไปด้วย เพราะสารพิษตกค้างทั้งหลายยังคงมีอยู่ ไม่ผิดอะไรกับคนป่วยที่ต้องได้รับการรักษาพยาบาลจากแพทย์ผู้ชำนาญและเชี่ยวชาญในโรคนั้นๆเป็นผู้รักษา ถ้าได้แพทย์ดีที่มีความรู้และมีประสบการณ์ในการรักษาโรคดังกล่าว โอกาสที่คนป่วยจะหายจากโรคภัยไข้เจ็บดังกล่าวจึงเป็นไปได้สูง ไม่ทรุดหนักลงไปกว่าเดิม

เปรียบได้กับการบริหารบ้านเมืองในขณะนี้ที่กำลังดำเนินการโดยรัฐบาลเฉพาะกาลของทหาร อำนาจกับประสบการณ์ต้องเป็นของคู่กัน เพราะประสบการณ์จะบอกให้รู้จักการใช้อำนาจที่ถูกต้อง ประสบการณ์จะบอกให้รู้จักการตัดสินใจและประสบการณ์จะบอกให้รู้จักหยั่งรู้ หรือคาดการณ์ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปข้างหน้า

รัฐบาลเฉพาะกาลชุดนี้ซึ่งประกอบไปด้วยทหารเป็นส่วนใหญ่ ความรู้และประสบการณ์ที่มีอยู่นั้นอยู่ที่เรื่องของการทหารเป็นหลัก เอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยกำลัง ทั้งกำลังคนและกำลังอาวุธด้วยยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่เรียนมาสั่งสมกันมาตามแบบฉบับของทหาร ส่วนเรื่องทางการเมืองนั้นถ้าจะว่าไปแล้วแทบจะไม่มีเลย หรือถ้าจะรู้ก็รู้แบบงูๆปลาๆไม่ลึกซึ้งอะไร ยิ่งประสบการณ์ทางการเมืองด้วยแล้วยิ่งไม่ค่อยจะมีเพราะไม่ใช่นักการเมืองและไม่เคยขึ้นไปอยู่บนเวทีการเมือง ที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมต่างๆ

รัฐบาลเฉพาะกาลชุดนี้ถ้าจะต้องเป็นแพทย์เข้ามารักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคร้ายสารพัดอย่าง ทั้งๆที่ตัวเองไม่ใช่แพทย์อาชีพ ความรู้และประสบการณ์แทบไม่มี โอกาสที่คนป่วยจะหายจากโรคร้ายนั้นคงยากแสนยาก การทำงานของรัฐบาลเฉพาะกาลชุดนี้จึงเป็นการทำงานที่ไม่ผิดอะไรกับการปอกหัวหอมกิน จะซุ่มซ่ามหรือรีบร้อนปอกเพราะอยากกินเร็วๆตามใจชอบไม่ได้ เพราะหัวหอมนั้นมีทั้งความหวานและความเผ็ด มีความแสบในตัวของมันเอง ปรุงแต่งอาหารให้มีรสชาติมากขึ้น ผู้คนส่วนใหญ่จึงชอบกินหัวหอม การปอกกินเองจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

คนที่เคยโลดแล่นอยู่บนเวทีการเมืองต่างรู้ดีว่า การเมืองนั้นก็เหมือนหัวหอม เวลาจะกินต้องปอกเปลือกออกที่ละขั้น จะรีบร้อนซุ่มซ่ามปอกกินไม่ได้ น้ำตาจะไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะการใช้ดาบปลายปืนมาปอกหัวหอมกินนั้น ปกติแล้วไม่มีใครเขาทำกัน เสียงเตือนให้ระมัดระวังเป็นเสียงเตือนที่ต้องรับฟังไม่ใช่ใครเตือนแล้วเกิดอาการ “เม้งแตก” ขึ้นมาทันที ตวาดด่าว่ากลับไปด้วยความโกรธทุกครั้งนั้น ไม่ใช่คุณสมบัติที่ดีและถูกต้องของผู้อยากกินหัวหอม

และจะตกอยู่ในสภาพของ “นกไม่มีขน คนไม่มีเพื่อน” ไปได้ง่ายๆตามภาษิตไทยที่สอนให้รู้จักการวางตัว

นกไม่มีขนย่อมบินไปไหนมาไหนไม่ได้

คนไม่มีเพื่อนย่อมจะอยู่อย่างเดียวดาย

การเข้ามาทำงานบริหารบ้านเมืองนั้นก็เหมือนอาสาเข้ามาปอกหัวหอมให้ชาวบ้านกิน อย่าทำให้ชาวบ้านต้องน้ำตาไหลไปด้วยจากการปอกหัวหอมที่ไม่เข้าท่าเข้าทางจนน้ำหัวหอมกระเด็นเข้าตาชาวบ้านไปด้วย ชาวบ้านจะพากันออกห่าง ยิ่งมีชาวบ้านออกห่างมากเท่าไร ก็จะกลายเป็น “นกไม่มีขน คนไม่มีเพื่อน” ยิ่งขึ้น

มีอำนาจอยู่ในมือจึงต้องระมัดระวังในการใช้อำนาจให้ดีและถูกต้อง ใครใช้อำนาจไปในทางที่เป็นประโยชน์ตนและพรรคพวก ไม่ใช่ประโยชน์ของส่วนรวม ผู้คนย่อมเดือดร้อน บ้านเมืองก็เสียหายตามไปด้วย ยิ่งการได้มาซึ่งอำนาจในการบริหารปกครองด้วยวิธีที่ไม่ได้มาตามช่องทางของการเมืองการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยตามปกติอย่างที่กำลังมีอำนาจกันอยู่ในขณะนี้แล้ว ยิ่งต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษในการใช้อำนาจนั้น เพราะอำนาจในโลกนี้มีอยู่ 2 ประเภทเท่านั้น คือ อำนาจพาล กับ อำนาจบัณฑิต

อำนาจพาลหมายถึงคนที่ตั้งตัวเป็นใหญ่ เป็นคนที่ทำอะไรตามใจชอบ เพียงเพื่อบรรลุประโยชน์หรือความต้องการของตนเท่านั้น ไม่คำนึงถึงความผิดถูก กำหนดกฎหมายหรือกฎระเบียบตามใจชอบเพื่อรักษาอำนาจของตนไว้

ส่วนอำนาจบัณฑิตนั้น หมายถึงอำนาจแห่งคุณงามความดี ผู้ใดมีหรือใช้อำนาจไปในลักษณะดังกล่าวย่อมมีคนรักและเกรงใจ เพราะเป็นผู้ที่มีคุณธรรมศีลธรรมอันดีอยู่ในตัว แม้จะใช้อำนาจก็ใช้อำนาจนั้นอย่างบัณฑิต ไม่ใช้อำนาจอย่างคนพาล

การรู้จักแยกแยะในการในใช้อำนาจจึงสำคัญมาก โดยเฉพาะคนที่ได้อำนาจมาด้วยวิธีการนอกระบบ มิฉะนั้นจะกลายเป็น “นกไม่มีขน คนไม่มีเพื่อน” ไปได้ง่ายๆ ไปไหนมาไหนจะมีแต่คนถ่มน้ำลายรด

น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ

มือคาร์บอมบ์อินเดียวซุก3จว.ใต้ 'กอ.รมน.ภาค4'สั่งเฝ้าระวังเต็มที่


เป็นหูเป็นตาช่วยๆกัน..ขอรับ
มือคาร์บอมบ์อินเดียวซุก3จว.ใต้ 'กอ.รมน.ภาค4'สั่งเฝ้าระวังเต็มที่
27 ต.ค.57 กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ส่งข้อมูลผู้ก่อการร้ายชาวอินเดีย ชื่อ “Mr.Jaktar Singh Tara” เป็นชาวอินเดีย ซึ่งมีหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งทำคาร์บอมบ์รัฐมนตรีอินเดีย และถูกจับติดคุกเรือนจำความมั่นคงสูงในอินเดีย ก่อนที่จะลักลอบขุดอุโมงค์หลบหนีออกมาได้ เพราะ ISI ปากีสถานหนุนหลังอยู่ ได้หลบหนีเข้ามาหลบซ่อนอยู่ในประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
รายงานระบุว่า กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ขอให้ทุกหน่วยเฝ้าระวังและติดตามบุคคลสำคัญรายนี้ เพื่อเป็นข้อมูลให้ทางหน่วย โดยเฉพาะในพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ให้ทุกหน่วยวางกำลังเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังอย่างเข้มงวด เนื่องจากทราบว่ากำลังจะหลบหนีเข้าไปยังประเทศมาเลเซีย เพื่อจะบินกลับไปประเทศปากีสถาน โดยหน่วยใดที่พบบุคคลดังกล่าว ให้ดำเนินการควบคุมตัวทันที มีหมายศาลไทย ล่าสุดรัฐบาลอินเดียได้เดินทางมาพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทยแล้ว

เสธน้ำเงิน : แฉ..ความบังเอิญไม่มีจริงในโลก และแล้วแผลก็ปริ จนน้ำเหลืองออก

วันที่ 25 ต.ค. 57 แฉ..ความบังเอิญไม่มีจริงในโลก และแล้วแผลก็ปริ จนน้ำเหลืองออก

ตามที่เคยบอกไว้เสมอว่าความบังเอิญไม่มีจริงในโลก ทุกอย่างล้วนมีคนเจตนา เพียงแต่เราจะรู้หรือไม่เท่านั้น และหลักอาชญวิทยา ผู้ร้ายจะต้องทิ้งร่องรอย และข้อพิรุธใดๆ ไว้เสมอ เป็นหลักคิดปรัชญาสากล ที่ใช้ได้เสมอมาตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบันที่เพจนี้เคยบอกมานานกว่า 2 เดือน แล้วว่ามีแก็งค์ "แบ่งงานกันทำ ความเหมือนที่แตกต่าง" เนื่องจากการข่าวสายลับที่แฝงตัวเข้าไปพบว่า แกนนำอย่างน้อย 4 แก็งค์ มีการนัดหารือลับกัน ในสถานที่แห่งหนึ่ง ในกรุงเทพฯ

ในบรรดาแกนนำขาใหญ่เหล่านั้น ประกอบด้วย แก็งค์ติดอาวุธแดง นปช. , แก็งค์เคลื่อนไหวพลังงาน , แก็งค์สภาท่าพระจันทร์ , แก็งค์พิราบกระป๋อง , สื่อมวลชินแดง และมีตัวเชื่อมกลางเป็นกลุ่มทุนสายอำนาจเก่า และหวั่นเกรงเรื่องภาษีมรดก ที่จะเก็บคนรวยเอามาให้คนจน โดยทั้งหมดได้บรรลุพันธกิจหลักๆ โดยย่อ คือ

1. หยุดพักรบ ระหว่างแก็งค์ชั่วคราว ปรองดองเฉพาะกิจ เพราะพลังแต่ละแก็งค์แยกเดี่ยวๆ ไม่พอ เนื่องจากมีประชาชนสนับสนุนรัฐบาลจำนวนมาก

2. ร่วมกันขย่มรัฐบาลชุดนี้ ให้สั่นคลอน ตามความถนัดของแต่ละแก็งค์ โดย
- กำหนด Agenda ให้สังคมคล้อยตามโหมกระแสให้เกินปกติ เช่น คดีเกาะเต่า , พลังงาน
- ดิสเครดิสรัฐบาล และ คสช.ต่อสายตาชาวโลก เช่น แฝงม็อบอื่น ตีเนียนชูป้ายต้านบิ๊กตู่ ที่อิตาลี , เข้าชื่อให้ต่างชาติมาแทรกแซงไทยคดีเกาะเต่า
- ดิสเครดิสเป้าหมายพร้อมๆ กันในประเทศ เป้าหมายหลัก คือ รัฐบาล คสช. พระสุเทพ หลวงปู่

3. ปลุกระดมมวลชน ใช้หลักการโฆษณาชวนเชื่อ 7 วิธี คือ
3.1 โจมตีตัวบุคคล..สร้างบุคคลขึ้นมาเป็นหุ่นรับการโจมตี แล้วจับผิดทุกอย่าง โจมตี ด่าทอ ต่อว่า ทั้งเรื่องส่วนตัว และคำพูดทุกคำพูดของคนๆ นั้น รวมถึงการสร้างภาพให้ฝ่ายศัตรูที่ตั้งขึ้นมาโจมตีน่ากลัว

จึงเกิดลัทธิ “ ด่ากราดใครก็ได้เอามันปากไว้ก่อน “ และพุ่งเป้าโจมตี บิ๊กตู่ พระสุเทพ หลวงปู่ จับผิดทุกอย่าง ด่าทอ ต่อว่า ทุกคำพูด ไม่ว่าจะอธิบายข่าวสารทางสื่อต่างๆ สักเท่าใด แต่กลุ่มสิ่งคล้ายคนพวกนี้ ก็จะตีมึน บื้อ ไม่ฟัง เพราะตั้งธงในใจไว้แล้ว ว่าจะต้องโจมตี การอธิบายกับคนพวกนี้ ก็เสมือนสีซอให้ทุยฟังนั่นเอง

จำเรืองไกร , นิติภูมิ , โหวงเหวง ได้ไหม เขาเคยขึ้นเวทีไหนมาก่อนสมัยขับไล่คนแดนไกล แล้วตอนนี้เขาเป็นอย่างไร เริ่มปะติดปะต่อเรื่องได้แล้วใช่ไหม ?? เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมเขาต้องพุ่งเป้าใส่พระกำนันแก่ๆ จากสุราษธานี , ราชสีห์จากวัดอ้อน้อย และบิ๊กตู่ที่จงรักภักดีมาทั้งชีวิต

3.2. พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก...เข้าทำนอง "น้ำหยดลงหินทุกวัน หินยังกร่อน แล้วใจคนอ่อนๆ จะทนได้อย่างไร” พวกแกนนำแดงนี้ จะพูดกรอกหูเข้าทุกวัน แปรคนดี เป็นคนร้ายไปได้ เพราะความเป็นคนหูเบา

จำได้ไหมตอนสมัคร สปช.กัน มีการวางแผนก่อม็อบพลังงาน โดยโจมตี คสช.เรื่องพลังงาน ทางสื่อสังคมออนไลน์ทุกนาที เกลื่อนไปหมด ทั้งๆ ที่ตอนนั้นไม่มีประเด็นอะไรเลยสักนิด จนหลวงปู่ฯ ต้องออกมาวางกับดัก เพราะเริ่มรู้ทันกลุ่มนี้ว่ากำลังจะก่อความวุ่นวาย โดยการอ้างว่าเดินให้ความรู้ประชาชน

แล้วก็เป็นจริง เมื่อมีการรับไม้ต่อการชุมนุมจากกลุ่มนกพิราบกระป๋อง ที่พักภารกิจนี้ไปแล้ว ส่งไม้ต่อให้กลุ่มเคลื่อนไหวพลังงานทำแบบเดียวกันเป๊ะ แต่เป้าจริงๆ คือ การต่อรองเอาตำแหน่งเพื่อเข้าไปอยู่ใน สปช. จากนั้นเมื่อได้สมใจแล้ว การโจมตีเรื่องพลังงานนั้นก็หยุดหายไปเป็นปลิดทิ้งทันที..คิดตามๆ ว่าจริงหรือไม่ ??

ส่วนแก็งค์สภาท่าพระจันทร์ ก็สวมสอดคล้องเลย รับลูกกันอย่างเป็นระบบ เหมือนนัดกันไว้ อาศัยมีสื่อในมือ ก็มีขึ้นภาพบิ๊กตู่บ้าง ส่อเสียด ให้ร้าย เต้าข่าว อ้างว่า “แหล่งข่าว” มันลูกเดียว เพราะหมอนี้มันนิรนามไร้ตัวตน ใช่มันนี่แหละอ้าง เพื่อให้ดูเสมือนว่าข้อมูลมีที่มานะ

ตอนนี้ถ้าใครจะสังเกต ในสื่อสังคมออนไลน์ แก็งค์เคลื่อนไหวพลังงาน ก็จะใช้มุกเดิมอีกแล้ว คือ โจมตีเรื่องพลังงาน โจมตีรัฐบาล โจมตีหลวงปู่ ตลอดวันตลอดคืน พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก เสี้ยมยุยงประชาชนเหมือนเคย สังเกตง่ายๆ ประเด็นจะเหมือนเดิม ข้อความเดิม ข้อมูลเดิมกรอกหู แต่เปลี่ยนคนโพส เปลี่ยนแค่ฉากเวลาทำซ้ำๆ เท่านั้น

3.3. โกหกคำโต...หลักการ คือ “ ยิ่งโกหกคำโตเท่าไร, มันยิ่งน่าเชื่อไปเท่านั้น , ฝูงชนมหาศาลถูกหลอกด้วยการโกหกเรื่องใหญ่ ง่ายกว่าโกหกเรื่องเล็กๆ “ การ โกหกเรื่องเล็กๆที่มีรายละเอียดปลีกย่อย อาจมีผู้จับโกหกได้ง่าย แต่การโกหกเรื่องใหญ่ๆ เพื่อหลอกให้เชื่อ มันย่อมครอบคลุมเรื่องต่างๆ หลากหลาย

อย่างน้อยต้องมีข้อใดข้อหนึ่งที่ถูกจริตผู้ฟังที่ขาดเฉลียว และเมื่อผู้พูดๆ ในสิ่งที่คนฟังอยากจะเชื่ออยู่แล้ว เขาก็พร้อมจะยอมเชื่อโดยดี แม้ว่าคำโกหกเรื่องใหญ่นั้น จะเท็จครึ่ง จริงครึ่ง หรือไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความจริงอยู่เลย

หน้าที่นี้จึงตกกับแก๊งค์พิราบกระป๋อง ลูกทีมเป็นพิน็อคคิโอ โดยเต้าข้อมูล ข้อสงสัย เขาว่ามา มันน่าจะ เรื่องคดีเกาะเต่า โดยจะไม่พุ่งไปที่ DNA เพราะคือจุดตายของคดีนี้ แต่หักเหพุ่งไปที่อาวุธไม่ใช่จอบ , กล้องวงจรปิด , ใส่ความว่ามีผู้อิทธิพล หรือ กู้ภัย ร่วมกระทำผิดด้วย พยายามจะโยงถึงพระสุเทพให้ได้ โดยนำรูปถ่ายกู้ภัยกับพระตอนทอดกฐิน

สร้างความน่าสงสาร มีพ่อ-แม่ ผู้ต้องหาพม่ามาเยี่ยม ตอนลงสนามบินมีคนเตรียมภาพพระฉายาลักษณ์เบื้องสูงไว้ให้ญาติถือ ให้เป็นข่าวเสร็จสรรพ , ทนายสายแดง นปช.ก็หว่านล้อมพม่าให้กลับคำสารภาพ เพื่อดึงระยะเวลาในคดี ได้โจมตีทางการไทยไปอีกนาน ลงทุนราคาถูกกว่าจ้างม็อบตั้งเยอะ

แก็งค์สภาท่าพระจันทร์ ก็ประโคมสอดรับกับพิน็อคคิโอ โดยแต่ละฝ่ายต่างอ้างอิงซึ่งกันและกัน คือ แก็งค์สภาท่าพระจันทร์ อ้างอิงพิน็อคคิโอ และ พิน็อคคิโอ ก็อ้างอิงสภาท่าพระจันทร์ ง่ายสุดๆ ..ทั้งที่คดีไม่มีอะไรซับซ้อนเลย ยึด DNA เป็นหลักฐานสำคัญทางวิทยาศาสตร์ และความยุติธรรมก็ไปว่ากันศาล ไม่ใช่ตัดสินกันทางอินเตอร์เน็ต เพราะ DNA จะให้ความยุติธรรมกับทั้ง 2 ฝ่ายเอง ไม่เห็นมีอะไรต้องไขว้เขว

ตอนนี้แก็งค์เคลื่อนไหวพลังงาน ก็หันมาโกหกคำโต เคลื่อนไหวพลังงานอีก โดยสร้างวาทะกรรมว่าไทยจะเสียหายถ้าให้สัมปทานบ้าง ขายสมบัติชาติบ้าง คุ้นๆ ไหม?? แล้วโจมตี ปตท.ที่เป็นรัฐวิสาหกิจไทย ส่งผลให้บริษัทคู่แข่งต่างชาติ ที่ไม่ต้องส่งผลกำไรเข้ากระทรวงการคลัง ได้ประโยชน์ไปเต็มๆ ตามสุภาษิต “ เตะหมูเข้าปากหมา “

ใครที่ถูกเป่าหูมาตลอดเวลาประเทศไทยใช้ระบบสัมปทานอย่างเดียว นั่นหมายถึงท่านถูกต้มจนเปื่อยยุ่ยเลย เพราะความจริงขณะนี้ประเทศไทยใช้ทั้ง 2 แบบ โดยลองใช้ระบบแบ่งปันผลผลิต ในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (MTJDA) ส่วนจุดอื่นใช้ระบบสัมปทาน เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว “ยังไม่สามารถยืนยันได้ “ ว่าถ้าใช้ระบบแบ่งปันผลผลิต ภาครัฐจะได้ผลตอบแทนมากกว่า ระบบสัมปทาน...นี่คือข้อเท็จจริง

** ดูเรื่องเดิมที่https://www.facebook.com/topsecretthai/posts/281032438753457

เพราะพวกนี้จะรู้ว่าคนฟังอยากจะเชื่ออยู่แล้ว ว่ามันเป็นเช่นนั้น แค่เสี้ยมนิดเดียวก็มีคนยอมกินฟางบุฟเฟ่แบบสบายๆ เคี้ยวเอื้องให้รับแนวคิดไปต่อได้ทันที

3.4. สร้างสมญานาม...การสร้างชื่อแทนใช้เรียกย่อๆ ง่ายๆ และตีความได้เข้าข้างตัวเอง หรือสร้างภาพดีเลิศ หรือ เสียหาย ที่ผ่านมาแดง นปช. และขบวนการล้มเจ้า จึงใช้หลักวิธีนี้ เช่น วาทะกรรม อำมาตย์ , วีระบุรุษประชาธิปไตย , ท่านผู้นำ , พ่อทุกสถาบัน

แก็งค์ติดอาวุธแดง นปช. ก็เล่นคำอำมาตย์ อีกที และ แก็งค์สภาท่าพระจันทร์ ก็เอาบ้าง ใช้คำอำมาตย์โจมตีกะเขาด้วย , แล้วแดงไปหากินกับศพรองโรมานอฟ สร้างสมญานามว่าเป็นวีระบุรุษประชาธิปไตย มีการขี้โม้ว่าระดมเสื้อแดงมางานเผาศพรองโรมานอฟ 50,000 คน

พอวันจริงขาด 50,000 คนไปแค่ 49,000 คน มาแค่ 1,000 คน เท่านั้น แค่นี้ก็ต้องจ้าง เกณฑ์ กันขนานหนัก ถึงขนาดมีมนุษย์ป้า 500 บาท หน้าเดิมมารับงานกันเกร่อ

แก็งค์ติดอาวุธแดง นปช.ที่อิตาลีอีก 3 คน ก็รับคำสั่งคนแดนไกลทางโทร ให้สร้างสมญานามบิ๊กตู่ ที่ไปเยือนอิตาลี ให้น่ากลัวหน่อย จากนั้นก็ร่วมมือกับ ส.ส.อิตาลี เพื่อนคนแดนไกล ที่ขุนน้ำข้าวไว้ กับนางจรรยา ล้มเจ้า อาศัยช่วงนั้นที่อิตาลี นักศึกษาเขามีก่อม็อบเรื่องเหยียดผิว และเรื่องแข่งรถกัน

แก็งค์นี้เลยทำป้ายไปตีเนียน ยืนที่หน้าม็อบ แล้วให้นักศึกษาอิตาลีช่วยถือ จากนั้นก็ถ่ายภาพกันใหญ่ ให้นักข่าวไซออนิสต์ประโคมว่ามีม็อบต้าน สุดท้ายถูกจับได้ แก็งค์ติดอาวุธแดง นปช. ก็อายจนแทบแทรกแผ่นดิน แต่พวกนี่ถือคติด้านได้ อายอด

3.5. สร้างภาพ แบบขาว-ดำ โดย สร้างภาพการแบ่งแยก ฝ่ายถูกผิดชัดเจนเป็นสีขาว-ดำ ใครเข้าข้างตนจะเป็นฝ่ายถูก ส่วนใครไม่เห็นด้วยก็จะถูกผลักไปเป็นฝ่ายผิดทันที พวกนี้จะตั้งธงบังคับให้ คนหลงเชื่อในสิ่งที่เขากล่าวอย่างง่ายดาย เข้าร่วมและคนรู้ไม่เท่าทันอาจไม่ฉุกคิดเลยว่า สิ่งที่เขาพูดไม่ตรงกับการกระทำอย่างใดเลย

แก็งค์ติดอาวุธแดง นปช. สายเสรีเทย ขบวนการล้มเจ้า จะอ้างแบบพิลึกว่า เป็นฝ่ายประชาธิปไตย ว่าคนอื่นคลั่งเจ้าบ้าง ตามืดบอดบ้าง ยิ่งเป็นข้อมูลที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้หรือเห็นชัดเจน คนที่ได้รับข้อมูลเข้าไปก็จะยิ่งเชื่อ ใครไม่มาร่วมด้วยเป็นฝ่ายอำมาตย์

และพวกเขาถูกกดขี่ ไม่มีความเท่าเทียม อ้างว่ายุคนี้เผด็จการ ทั้งที่ความจริงๆ แล้วแกนนำแดงกลับเป็นผู้หลอกใช้ กดขี่คนเสื้อแดงเสียเอง และยุคนี้มีเสรีภาพมากกว่าสมัยยุคเผาไทยเป็นรัฐบาล หลายร้อยเท่า เพราะสมัยนั้นแค่คิดต่างก็เจอประเคน M79 และระเบิด RGD-5 ใส่ไม่ยั้งแล้ว แต่สมัยรัฐประหารนี้ คนไทยกลับมีเสรีภาพมากกว่าอเมริกาเสียอีก

แก็งค์สภาท่าพระจันทร์ ก็ดูหมิ่นนักบวชที่ประพฤติดีประพฤติชอบในศาสนา โดยการโจมตีสร้างภาพพระสุเทพ ไว้หน้าปกนิตยสาร เป็นการเหยียดหยามน้ำใจชาวพุทธและมวลชน กปปส. และผู้ที่เคารพอย่างมาก ไม่น่าเชื่อว่าแก็งค์นี้จะเพี้ยนสมองกลับทำได้ถึงเพียงนี้ ช่างตลกร้ายนัก

แก็งค์เคลื่อนไหวพลังงาน ก็เร่งเร้ามวลชนในสังกัดอย่างหนัก สร้างภาพว่าบิ๊กตู่ ทำความเสียหายให้ชาติ ในการเปิดสำรวจปิโตรเลียมรอบที่ 21 ทั้งๆ ที่เป็นสิ่งที่ชาติควรจะได้รับ แล้วการสำรวจฯ พลังงาน มันไม่ดีตรงไหน ?? แค่เปิด “สำรวจ” ประเทศชาติยังได้รับค่าธรรมเนียมว่าเข้าคลัง 5,000 บาท มาเป็นสวัสดิการสังคม ค่ายาคนป่วย ค่าเรียนฟรีของเด็กๆ

จากนั้นแก็งค์เคลื่อนไหวพลังงาน ก็อัดด่าทอหลวงปู่พระที่ดี อย่างหนัก เหตุเพราะหลวงปู่ไล่ตะเพิดคราวก่อน ที่มาป่วนเวทีเสวนาปฏิรูปพลังงาน โดยไม่เคารพกติกาอะไรทั้งสิ้น จะป่วนมันลูกเดียว วันนี้แก๊งค์นี้ ผสมกับเสื้อแดงแฝงกาย เลยด่าทอ หลวงปู่ ด้วยคำหยาบคายไปทั่วโซเชียลเน็ตเวิร์คเต็มไปหมด ไม่เชื่อลองไปหาดูได้ว่าจริงหรือไม่

แท็กทีม แก็งค์สภาท่าพระจันทร์ โจมตีพระสุเทพ และบิ๊กตู่ , แก็งค์เคลื่อนไหวพลังงาน โจมตีหลวงปู่ และบิ๊กตู่ , กองกำลังแดงในโซเชียลเน็ตเวิร์ค ทำตัวเป็นแดงแฝงกาย ผสมโรงด่าทอเมามัน..ถ้าใครคิดว่าสิ่งนี้มันเป็นไปตามธรรมชาติก็ผิดแล้ว..ขอบอกว่าเขานัดกันมา !!

3.6. ชูธงสูงส่ง...อ้างสิ่งสวยงาม ตามหลักมหาบุรุษ อ้างตนเองและกลุ่ม แนวคิดของตน ให้ดูยิ่งใหญ่ สูงส่ง อลังการ มีคุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม ด้วยคำพูด และป้าย ใช้ข้อความที่ดูดี อ้างอิงสิ่งเหนือธรรมชาติ หรือนามธรรมที่คนยอมรับ เช่น เทพเจ้า พระเจ้า เทพยดา อ้างแนวทางของบุคคลในประวัติศาสตร์

แก็งค์ติดอาวุธแดง นปช. ก็จะสร้างอีเว้นท์ ชูภาพเจ้าหญิงล้านนาปูข้าวเน่า เป็นอองซานซูจี , ชูภาพให้นั่งเว่อร์ๆ ในการเป็นประธานเผาซากศพพวกหมิ่นเจ้า , ชูภาพคนแดนไกล เจ้ามูลเมือง เป็นคานธี ทำให้รู้สึกเหมือนเก่ง คิดไม่เหมือนคนอื่น เหล่านี้ชาวบ้านจะถูกล้างสมองให้เชื่อทั้งสิ้น

คางคกตู่ ก็ออกมาอัดกับเป็ดเหลิม แฉ กันใหญ่ เพื่อเลี้ยงกระแสมวลชนไว้ และชูธงสูงส่งว่ากินอุดมการณ์ (แต่จริงๆ กินหัวคิว) และวิเคราะห์ว่าหลังรัฐธรรมนูญใหม่ กรรมการบริหารแก็งค์เผาไทย 220 คน และอดีต ส.ส. , อดีต ส.ว.เด็กในคอนโทรล อีก 308 คน คงถูกคุมกำเนิดยกเข่ง ไม่ได้ผุดได้เกิด เกลี้ยงสนามการเมือง

ตอนนี้แดง นปช.ถูกทำลายด้วยพวกเดียวกันเอง ตลอด 3 ปี จนพ่ายแพ้ ไม่ใช่มือที่มองไม่เห็น ตอนนี้จึงถึงเวลาแล้วที่แดง นปช.จะต้องปฏิรูปตัวเองบ้าง เพื่อเตรียมลงสนามเลือกตั้ง..น่าน โหนกระแสปฏิรูปเสร็จสรรพ

แหม แค่การสร้างรถไฟฟ้าสายใหม่ของไทย ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่จะเริ่มก่อสร้าง ก็จะใช้งานได้ในไม่เกินปี 2564 หรืออีก 7 ปีข้างหน้า และบิ๊กตู่ บอกจะต้องคอยอยู่ควบคุมกำกับให้เสร็จทันกำหนดให้ได้ แค่นี้ทำเป็นดิ้น..เอ๊ะ..ยังไง คริคริ (^_^)

ส่วนแก็งค์สภาท่าพระจันทร์ ก็ชูภาพผู้นำกลุ่ม ว่าอุดมการณ์สวยหรู เสียสละเพื่อชาติอีกสักรอบ ไม่สนใจเรื่องทวงคืนพระวิหาร –ทุจริตจำนำข้าว อะไรอีกแล้ว เพราะเริ่มรู้ว่าอย่างไรเสียแม้อัยการจะยังไม่ฟ้องศาล เดือน พ.ย.57 นี้ ปปช.ก็ฟ้องเองแน่ๆ

แล้วคดีก็จะขึ้นสู่ศาล ใช้บรรทัดฐานเดียวกับคนแดนไกล ที่ถูกยึดทรัพย์ไป 4.6 หมื่นล้านบาท สมัยนั้นระยะเวลาก็ประมาณ 5 ปี คดีนี้กฎหมายเทียบเคียงกัน ระยะเวลาคงไม่ต่างจากกันมากนัก เมื่อศาลตัดสินแล้ว จะให้ยึดทรัพย์เท่าไร ก็ตามคำพิพากษานั้นแหละ

ตอนนี้ แก็งค์สภาท่าพระจันทร์ แก็งค์เคลื่อนไหวพลังงาน แก็งค์ติดอาวุธแดง นปช. จึงจับมือกันหันมาเล่นงานทหาร หวดเรื่องพลังงานลูกเดียว ทำกันเป็นขบวนการอย่างเนียน..เริ่มปะติดปะต่อเรื่องได้หรือยัง ??

3.7. ควบคุมข้อมูลผ่านสื่อสารมวลชน บอกข้อมูลไม่ครบ บอกความจริงไม่หมด เลือกแต่เฉพาะข้อมูลหรือข่าวที่ส่งผลดีต่อฝ่ายตนเอง ใช้การอ้างนอกเรื่องเบี่ยงเบนประเด็น หรือนำคำพูดที่ไม่เกี่ยวข้องกันมาแต่งเติมเสริมเข้าไปให้ดูดี ใช้สื่อมวลชนที่เข้าถึงคนหมู่มาก บอกผ่านกันไปปากต่อปาก จะยิ่งดูน่าเชื่อถือ พอตั้งข้อสงสัย ก็ถูกตอบว่า "ก็ทีวีว่ามาอย่างนี้"

ปกติ หน้าที่ของสื่อข้อหนึ่ง คือ คัดกรองข่าวสาร เลือกข่าวสารที่มีประโยชน์ เป็นจริง และกำจัดข้อมูล ข่าว ภาพ ขยะที่เป็นเท็จ และไม่เป็นประโยชน์ทิ้งไป เมื่อสื่อมาโฆษณาชวนเชื่อเสียเอง การคัดกรองข่าวสารก็จะบิดเบี้ยว กลายเป็นว่า คัดเฉพาะข้อมูลที่เข้าข้างฝ่ายตน มีประโยชน์ต่อตนเอง หรือหากข้อมูลเป็นกลางที่ชี้แจงแล้ว ก็จะนำมาตัดแต่งเติมต่อตีความให้เข้ากับแนวคิดของตนเอง

รวมทั้งการเรียบเรียง ตัดทอน และละเลยข้อเท็จจริงไป แล้วนำเรื่องยากซับซ้อนต้องใช้ความรู้ความเข้าใจสูงมาพูดเป็นเรื่องพื้นๆ ให้คนเชื่อตาม นอกจากจะเป็นกระบอกเสียงสร้างความนิยมให้กับแก็งค์แล้ว เมื่อมีโอกาสก็จะฉวยจังหวะเปิดโอกาสให้ กล่าวหาอย่างผิดปกติธรรมชาติ พิลึกพิลั่น แบบหน้าไม่อาย เช่น เจ้ยุแยง โพสวันนี้ มติชิน ข่าวแห้ง สรย้วย ฯลฯ

สมัยหล่อใหญ่ แก็งค์สภาท่าพระจันทร์ ใช้การปั้นเรื่องว่ามีคนหลอกวีรบุรุษไปให้เขมรจับ แยกคนไทยผู้รักชาติ ออกจากกัน ด้วยความเกลียดชัง ก่อม็อบยาวนานกว่าปี , ส่วนสื่อแดงทั้งหลาย ก็จะเล่นข่าวตามกระแสแบบเกินจริง ที่กำหนด Agenda ไว้ เช่น ข่าวชาวต่างชาติตาย หรือ ถูกทำร้ายในไทย

สื่อแดงจะโหมกระแสบิดเบือนต้านเรื่อง “สำรวจ” แหล่งพลังงาน แต่จะอ้างโดยยึดข้อมูลกลุ่มเคลื่อนไหวพลังงาน เพื่อไม่ยอมหรือขัดขวางให้รัฐบาลทำโครงการสำเร็จ เพราะถ้ารัฐบาลทำสำเร็จ ราคาน้ำมันลดลงได้ มันจะส่งผลร้ายต่อทุกแก็งค์ ให้ไม่มีที่ยืนในสังคมทันที

แก็งค์ทั้งหลายจึงดึงดัน คือ "ทำได้ทุกอย่างไม่ให้แพ้" หรือ "แถได้เรื่อยๆ จนกว่าพวกจะชนะ" แนวรบจากชาติมหาอำนาจเปลี่ยนไป แต่แนวรบด้านสื่อ และกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ได้รับเงินจากระบอบทุน ยังคงดำเนินไปอย่างเข้มข้น จากทั้งในและนอกประเทศ

ดังนั้นช่วงระยะต่อจากนี้ ฟันธงว่า แก็งค์แบ่งงานกันทำ ความเหมือนที่แตกต่าง จะขยายข้อขัดแย้งปัญหาพลังงาน ให้กลายเป็น ความแตกแยกของประชาชนในสังคม โดยให้ความเชื่อที่ผิดๆ ถ้าใครศึกษาแนวคิดจิตวิทยา ก็จะรู้ว่า “ นี่คือระบอบลัทธิ” ไม่ใช่ธรรมชาติความเชื่อปกติ

จากนั้นก็จะต่อต้านการพัฒนารางรถไฟ ที่ประเทศไทยไม่ได้พัฒนามาตั้งแต่รัชกาลที่ 5 แล้ว พอรัฐบาลนี้จะทำเพื่อประเทศ โดย “ไม่ต้องกู้ใดๆ ทั้งสิ้น” ใช้งบประมาณปกติ แค่ไม่ถึง 2 หมื่นล้านบาท ตามกำลังเงินที่ประเทศเรามี แต่ค่อยๆ ทำแบบพอเพียง คอยดูจะมีกลุ่มมาให้ข้อมูลบิดเบือนต่อต้านอีก..ฟันธง

เพราะมีคน “ หูเบา โลกสวย ข้อมูลน้อย แล้วคล้อยตาม “ ก็จะตกเป็นเหยื่อให้เขาหลอกใช้ปั่นหัว สร้างความวุ่นวายให้กับสังคมต่อไป ไม่ยอมให้ประเทศไทย ได้พักฟื้นจากความบอบช้ำ พอใกล้เลือกตั้งปีหน้า ก็จะชูเรื่องนี้เป็น ประเด็นโหวตโน ใครอยากได้ใช้พลังงานราคาถูก ให้โหวตโน !!

แต่หาความคิดของกลุ่มตนพลาด ทำให้ราคาพลังงานยิ่งแพงขึ้นไปอีก ก็จะใช้ประเด็นนี้ ชวนคนลงถนน เพื่อไปก่อม็อบ เป็นผู้นำมวลชนบนถนน มีอำนาจการต่อรองทางการเมือง สูตรแบบนี้ไม่เปลี่ยนไปมากหรอก

มีการอ้างฉากบังหน้าว่าไม่แบ่งสี ทำเนียนๆ แต่เบื้องหลังระดมคน และพยายามหาเหตุต่างๆ นาๆ ป้ายสีดิสเครดิส ทำลายชื่อเสียงของรัฐบาล ขณะเดียวกันก็เดินตามแผนแบ่งแยกประชาชนออกจากกัน เพจนี้เคยเตือนประชาชนไปแล้ว แต่หลายคนก็พลาดเสียทีเขาจนได้

เพราะมองโลกสวย มองคนที่เปลือกนอกเกินไป คิดว่าเขาคงหวังดีจริงๆ ประวัติเขาดีนะ คนที่คิดทันก็จะได้บทเรียนชีวิตอีกหนึ่งบท ว่าน้ำดีกับน้ำเสีย มันกวนเข้ากันไม่ได้ง่าย มันต้องแกว่งสารส้ม ให้ตะกอนน้ำเสียแยกออกมาเสียก่อน เมื่อนั้นน้ำจึงจะเป็นเนื้อเดียวกัน และเป็นน้ำสะอาดได้

พยัคฆ์นิ่ง ใช่ว่าไม่รู้และหลับ แต่กลยุทธ์ ลับลวงพราง จริงคือเท็จ เท็จคือจริง จริงคือจริง เท็จคือเท็จ แบบนี้จะแยกมิตรแท้ ออกจากมิตรเทียม ปล่อยให้เขาเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาเรื่อยๆ ให้ประชาชนเห็น ให้ความรู้ประชาชน รู้จัดแกว่งสารส้ม แยกน้ำดีกับน้ำเน่า ออกจากกันได้ง่าย

ไม่อย่างนั้น ประชาชนขืนกินน้ำพิษนี้เข้าไป ตกหลุมพลางแก๊งค์แบ่งงานกันทำ ที่เขายุให้แตกกันเอง แล้วมาก่อม็อบมาไล่ทหารที่กำลังแก้ปัญหาความขัดแย้งของชาติ ที่บรรดาสารพัดแก็งค์เล่นละครตบตามากว่า 10 ปี

ก็จะส่งผลให้ การต่อสู้ของมวลมหาประชาชน ที่ยาวนานมา 7 เดือนที่แล้ว เพื่อขับไล่แก็งค์เผาไทยขี้โกงออกไป ก็เท่ากับสูญเปล่า นั่นเพราะประชาชนไม่รู้คุณค่าว่า สิ่งที่ได้มากแสนยากนั้น กลับไม่รักษาไว้ และทำลายความฝันของตัวเองด้วยมือ

ขงจื้อบอกว่า “ ถ้าวางแผน 1 ปีให้ปลูกข้าว..ถ้าวางแผน 10 ปีให้ปลูกต้นไม้..ถ้าวางแผน 100 ปี ให้การศึกษากับคน” เสธ รู้ว่ามีคนที่ฝังหัวอยู่มากกับตัวบุคคลที่รัก และชื่นชอบสิ่งที่เขาทำในอดีต แนะนำว่า อย่าได้ปักใจเสีย 100% ให้ถอยออกมาเงียบๆ สักพัก แล้วทำใจให้ว่างๆ

การเสพข้อมูลจากด้านใดด้านเดียวตลอดเวลา ทำให้ท่านถูกล้างสมองจากโฆษณาชวนเชื่อ แล้วท่านก็จะเห็นข้อมูลในมุมมองอื่นผิดไปหมด นั่นเพราะท่านได้ปักใจไปแล้ว ว่าข้อมูลที่เสพมามันต้องใช่แน่ๆ เพราะเชื่อใจเขาๆ คงไม่โกหกเราหรอก

แต่ท่านก็ไม่เปิดใจศึกษาข้อมูลอีกด้านอย่างลึกซึ้ง ซึ่งอาจจะเป็นข้อมูลที่ถูกต้องกว่าก็ได้ ทำไมท่านไม่ลองให้รัฐบาลนี้ เขาทำอะไรเพื่อประเทศตามแนวคิดของเขาบ้าง ถ้าอีกสัก 2 ปีมันไม่ดีขึ้นก็มาประท้วงอีกที ถึงตอนนั้นท่านก็คงจะมีแนวร่วมมาก

แต่ตอนนี้ คสช.ทำงานได้ 5 เดือน รัฐบาลทำงานได้ 2 เดือน น้ำมันก็ลดราคาฮวบๆ กว่ารัฐรัฐบาลที่แล้ว แก๊สเมื่อเทียบกับรัฐบาลก่อนก็ถูกกว่าอยู่ดี ถ้าจะเอาราคาพลังงานถูกกว่านี้ ก็ต้องปล่อยให้รัฐบาลเขาทำงาน ไม่งั้นราคามันจะลดลงได้อย่างไร ถ้าท่านไปขัดขวางเขา

ขาข้างหนึ่งก็ปฏิรูปไป ขาอีกข้างก็ต้องเดินหน้าพลังงาน จะมัวเดินขาเดียวเป็นคนขาเป๋ อยู่ได้อย่างไร พัฒนา กับปฏิรูป มันก็ต้องทำไปด้วยกัน จะมาหยุดรอถ่วงเวลาไปเพื่ออะไร เกิดผลเสียขึ้นมา กลุ่มเคลื่อนไหวก็ไม่เคยรับผิดชอบชีวิตของท่านอยู่แล้ว

ต้องขอยกขึ้นมาอีกครั้ง ตอกย้ำให้เจ็บแล้วจำ กรณีมีกลุ่มเคลื่อนไหวรับเงินจากนายทุน ก่อม็อบต้านเหมืองแร่โปแตส จนต้องปิดเหมือง และโรงไนเตรต จนเป็นผลให้ “โครงการปุ๋ยแห่งชาติ” ล้มพังครืนลง ดับฝันชาวนาชาวไร่หลายสืบล้านคน จนถึงปัจจุบัน ชาวนา ชาวสวน ต้องซื้อปุ๋ยแพงแบบผูกขาดจากพ่อค้าไม่กี่เจ้าจนถึงทุกวันนี้

ถึงนาทีนี้พวกที่ออกมาก่อม็อบแย้วๆ ครั้งนั้น ก็รับเงินนายทุนรวยอื้อไปแล้ว แต่ไม่เคยออกมาช่วยค่าปุ๋ยแพงให้ชาวนา ชาวสวน เลยสักบาท เสวยสุขอยู่บนหยาดเคลื่อไคลของคนยากจน...นี่คือบทเรียนของจริง คนไทยเสียโอกาส และเจ็บปวดกี่ครั้ง กับกลุ่มที่ต้านทุกเรื่อง

กลุ่มต่อต้านก็ดื้อจะเอาแต่แนวคิดของตนว่าถูกลูกเดียว โดยไม่เคยยอมรับแนวคิดคนอื่น เช่น แนวทางของหลวงปู่ ใครจะทำอะไรก็ไม่ถูกใจสักอย่าง ประเภท “กบเลือกนาย“ โบราณเคยเตือนและสอนไว้ ระวังท่านจะเจอนายหลอกไปจิกกินอย่างโอชะ

จริงๆ กลุ่มเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะนิยามชื่อตนเองอย่างไร ความจริงตามสภาพก็ “กลุ่มการเมือง” นั่นแหละ ถ้าประชาชนอยากได้ปลา กลุ่มเคลื่อนไหว ก็จะเอาปลาทั้งตัวมาให้แค่ตัวเดียว เพื่อให้ท่านพึงพอใจเฉพาะหน้า มันสะใจดี

แต่สำนักคิดทหาร ยึดแนวเศรษฐกิจพอเพียง จะเอาอุปกรณ์จับปลามาให้ท่าน แล้วประชาชนก็ไปเลือกจับปลากินเองได้ในอนาคต จะจับกี่ตัวก็ได้ เลี้ยงชีพตลอดไปจนตาย วิธีนี้อาจไม่ทันใจปุบปับนัก แต่ส่งผลดีเป็นธรรม ต่อประเทศของเราในระยะยาว

ขออัญเชิญ พระบรมราโชวาทในพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ จังหวัดชลบุรี 11 ธันวาคม 2512

“ ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุข เรียบร้อย จึงมิใช้การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมความดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้ “

ตอนนี้หากอยากไล่รัฐบาลทหารอนุรักษ์นิยม เพราะเขามีแนวทางและวิธีคิดไม่ตรงกับท่าน แล้วถามว่าตอนนี้ท่านมีทางเลือกที่ดีกว่าทหาร และเขามีศักยภาพคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้ไหม ??

ถ้าคำตอบคือยังไม่มี ก็ควรแยกย้ายกันไปทำมาหากินตามปกติ เพราะออกมาก่อม็อบเกิน 5 คน ก็ต้องถูกจับ และคุมขัง เจ้าหน้าที่เขาไม่ทำก็ต้องทำ เพราะมันผิดกฎหมาย มันทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย เศรษฐกิจไม่ดี , ดูกรณีศึกษาฮ่องกงนั่นไง ร่ำรวยอู้ฟู่เพราะจีนอยู่ดีๆ แต่เลือกนายมาก อยากได้ฝรั่งเป็นนาย ก่อม็อบดื้อดึง จนเศรษฐกิจฮ่องกงพินาศอย่างที่เห็นนี่แหละ

คอยดู วันที่ 27 ต.ค.57 ก่อนเที่ยง จะมีแก็งค์แบ่งงานกันทำศรีสุวรรณ ที่เคยต่อต้านบิ๊กตู่เป็นนายกฯ จะรับจ็อบไปเคลื่อนไหวที่ศาลปกครอง , วันที่ 29 ต.ค.57 ช่วงสาย ก็มีอีกม็อบ ยกพวกไปป่วนที่กองทัพบก พอตกช่วงบ่าย ก็เคลื่อนย้ายม็อบ ไปป่วนที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ให้คอยดูตามนี้

โดยทั้ง 3 เหตุการณ์จะมีสื่อแดง และสารพัดแก็งค์ จะแท็กทีมกันผิดปกติ ดิ้นโหมประโคมข่าวใหญ่โต ปานว่าบ้านเมืองจะล่มสลายแล้ว อยู่กันไม่ได้แล้ว จะต้องตายแน่ๆ ถ้าชาติไทยจะเจริญเพราะทหาร และประชาชนอยู่ดีกินดี เพราะน้ำมันจะถูกลงเพราะทหาร

บ้านเมืองเราบอบช้ำหนักมามากนานพอแล้ว ปล่อยให้ประเทศไทยได้พักบ้าง ปล่อยให้ประชาชนที่เขารักความสงบ เขาได้อยู่อย่างสบายใจบ้าง หยุดเอาแต่ใจตนเอง และใส่ใจความรู้สึกคนอื่นบ้าง สังคมเราจะได้น่าอยู่ขึ้น

@ เสธ น้ำเงิน2
https://www.facebook.com/topsecretthai

"กติกา" โปรดงดออกความเห็นในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในตอนนี้ /นำข่าวลือเขาว่ามาโพส / ลิ้งใดๆ ทุกชนิด / คำหยาบ / ข้อความจากแหล่งอื่นที่ทำให้เกิดความสับสนในเนื้อหา / ภาพ / การให้ร้ายดูหมิ่นรัฐ และ คสช. ฯลฯ ผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกพิจารณาบล็อกเข้าเพจนี้
 — กับ หนึ่ง อำนักมณี และ 9 อื่นๆ (รูปภาพ 23 รูป)

ผบ.ทร. เชื่อกำลังพลไม่มีเจตนา พกอาวุธไปขู่ศาล เพราะไม่ได้เป็นจำเลยในคดี


ผบ.ทร. เชื่อกำลังพลไม่มีเจตนา พกอาวุธไปขู่ศาล เพราะไม่ได้เป็นจำเลยในคดี แต่คงไม่รอบคอบ พกอาวุธไปหลบแดดในเขตศาล อาจเพราะไม่มีรั้วชัดเจน แต่ก็ต้อง ถูกสอบสวนฯ วอนสังคมให้ความเป็นธรรมทหารด้วย ระบุทำหน้าที่จัดระเบียบฯ ก็อาจมีผลกระทบบ้าง
พลเรือเอก ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผบ.ทร. กล่าวถึงกรณีคลิป หน.ศาลภูเก็ต ตำหนิทหารเรือพกอาวุธเข้าเขตศาล จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ นั้นว่า ให้เป็นเรื่องของ ทัพเรือภาค3 ในการพิจารณาตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ตามระเบียบ แต่ตัองใหัความเป็นธรรม ต่อกำลังพลของ ทร. โดยเฉพาะ ตัว นาวาโท พรพรหม สกุลเต็ม นั้น เขาอยู่ในศาล ให้ปากคำอยู่ แต่ลูกน้อง ทำงานเสร็จแล้วมารอ ก็ไม่ควรพกอาวุธ แต่ก็เข้าใจได้ว่า ทหารเองก็รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่รอบคอบ เพราะคิดว่า มาหลบแดดใต้ต้นไม้รอ อาจเพราะในพื้นที่นั้นมีหลายส่วนราชการ และไม่มีรั้วเขต ทหารก็เลยเขัาไปรอ
อีกทั้งใน คลิป น.ท.พรพรหม ก็ไม่ได้แสดงท่าทีตอบโต้ใดๆเลย แม้จะถูกตำหนิอย่างนั้น ก็ตาม
"ทหาร ไม่น่าจะมีเจตนาไป ข่มขู่ใดๆ เพราะทห่าร ไม่ได้เป็นจำเลยในคดี รุกชายหาด แต่ไปให้ปากคำในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ จัดระเบียบชายหาด จึงไม่ตัองนำอาวุธไปข่มขู่ใคร" ผบ.ทร.กล่าว
แต่อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่ น.ท.พรพรหม เป็นผบ.หน่วย เมื่อลูกน้อง ทำผิดพลาด ไม่รอบคอบ แม้จะไม่เจตนา ก็ต้องถูกตั้งกรรมการสอบสวนฯ ทั้งตัว นาวาโท และ ลูกนัอง. ส่วน ผลจะเป็นอย่างไร ให้เป็น เรื่องของ ทัพเรือภาค 3
"ผมเข้าใจดีว่า กำลังพลของ ทร.เรา เมื่อไปทำหน้าที่ ในเรื่องจัดระเบียบ ก็อาจมีปัญหา และได้รับผลกระทบในการทำงานบ้าง" พล.ร.อ.ไกรสร กล่าว

ASTV:หลวงลุงกำนัน เดินสายเทศน์มโน กู้วิกฤตศรัทธา คสช.

หลวงลุงกำนัน เดินสายเทศน์มโน กู้วิกฤตศรัทธา คสช.

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน25 ตุลาคม 2557 07:02 น.
หลวงลุงกำนัน เดินสายเทศน์มโน กู้วิกฤตศรัทธา คสช.
        ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ต้องยอมรับว่า ในขณะนี้สังคมกำลังตั้งคำถามเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินของ “พล..ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ดังขึ้น และยิ่งปล่อยให้เวลาผ่านไป คำถามก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
        แน่นอน เหตุที่เกิดคำถามก็เพราะนับตั้งแต่รัฐประหารจนถึงการจัดตั้งรัฐบาล ประชาชนยังไม่ได้สัมผัสถึง “ผลงาน” อันเป็น “รูปธรรม” ที่เป็นชิ้นเป็นอันพอจะจับต้องได้
      
        ทางด้านเศรษฐกิจ ผลงานที่เห็นได้ชัดที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้นการที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ซึ่ง พล..ประยุทธ์เป็นประธานมีมติให้เปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ไปสดๆ ร้อนๆ เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2557 ที่ผ่านมา เป็นการเปิดให้สัมปทานทั้งๆ ที่อยู่ระหว่างการถกเถียงว่าเป็นระบบที่ประเทศชาติและประชาชนไม่ได้ประโยชน์เต็มที่ แถมสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ที่ คสช.ตั้งขึ้นมายังไม่ได้ทำงานเสียด้วยซ้ำไป
      
        นั่นแสดงว่า รัฐบาลและคสช.มีธงในเรื่องการปฏิรูปพลังงานอยู่แล้วใช่หรือไม่
      
        ขณะที่ภาคประชาชนนำเสนอเรื่องระบบแบ่งปันผลผลิตหรือการรับจ้างผลิต รัฐบาลพล..ประยุทธ์กลับไม่สนใจ และตัดสินใจเดินหน้าเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 โดยคณะกรรมการนโนบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ที่ พล..ประยุทธ์นั่งเป็นประธานได้มีมติเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2557 ที่ผ่านมา
      
        ด้วยเหตุดังกล่าวจึงไม่ต้องแปลกใจที่ก่อนหน้านี้ “นายปิยะสวัสดิ์ อัมระนันทน์” ซึ่งปรากฏตัวอยู่หลังเวที กปปส.อยู่เป็นประจำ ได้รับเลือกจากรัฐบาล พล..ประยุทธ์ให้เป็นประธานบอร์ด ปตทพร้อมกับปรากฏคนในสายทุนพลังงานหน้าตาเดิมๆ เข้ามาเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติสายพลังงานเป็นจำนวนมาก โดยที่มิได้สนใจความคิดเห็นหรือความเคลื่อนไหวของภาคประชาชนเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องซึ่งกระทบกับเศรษฐกิจและค่าครองชีพของประชาชนโดยตรง
      
        ในเมื่อรัฐบาล พล..ประยุทธ์เปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 โดยที่ไม่ต้องรอ “พิมพ์เขียว” จาก สปช.สายพลังงาน คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ แล้วจะมี สปช.เอาไว้ทำอะไร และการเดินหน้าเปิดสัมปทานเป็นนโยบายที่มีความแตกต่างจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรตรงไหน
      
        และในเมื่อการปฏิรูประบบพลังงานเป็นอย่างนี้ การปฏิรูปในด้านอื่นๆ จะแตกต่างกันเช่นนั้นหรือ
      
        นอกจากเรื่องน้ำมันแล้ว สิ่งที่ประชาชนสัมผัสได้ก็คือนโยบายการแก้ไข ปัญหาราคาข้าวให้กับชาวนา ตลอดรวมถึงการแก้ปัญหาราคายางตกต่ำที่กำลัง มะงุมมะงาหราซึ่งทำเอา พล..ประยุทธ์หัวเสีย
      
        “อย่าเรียกร้องกันมาก แล้วจะเอาเงินที่ไหน งบประมาณแผ่นดินมีเท่าไร เก็บภาษีรายได้รัฐเก็บได้เท่าไร ขาดทุนเท่าไรแล้ว ปีหน้าจะเก็บได้หรือไม่ก็ไม่รู้ พอบอกจะขึ้นภาษีก็ร้องโอ๊ยว่าไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ แต่ไอ้นี่จะเอาเยอะ แล้วจะเอาเงินจากตรงไหนวะ แจกคูปองได้มั้ย อีกหน่อยก็แจกคูปองให้หมดแล้วกัน”พล..ประยุทธ์กล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน
      
        ไหนจะเรื่องค่าครองชีพของประชาชนที่สูงขึ้นทุกวันๆ อันเป็นผลพวงจากต้นทุนพลังงานที่ปรับเพิ่มขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล พล..ประยุทธ์ และไม่ต้องนับเรื่องการแก้ปัญหาสลากกินแบ่งรัฐบาลราคาแพงที่เวลานี้ยังมะงุมมะงาหราและไม่มีทีท่าว่าจะทำสำเร็จเลยแม้แต่น้อย
      
        ขณะที่ปัญหาทางด้านสังคมก็ต้องยอมรับว่า คดีฆาตกรรม นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่เกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานีได้ทำลายความน่าเชื่อของประเทศไทย โดยเฉพาะรัฐบาล-คสช.ไปจนถึงจุดต่ำสุด เพราะจนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครเชื่อ ว่า ชาวพม่าที่จับกุมได้เป็นฆาตกรตัวจริง กระทั่งผู้นำพม่าต้องเอ่ยปากต่อหน้า พล..ประยุทธ์เมื่อคราวไปเยือนพม่าว่าขอให้การสืบสวนดำเนินไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมและรัฐบาลอังกฤษถึงกับเรียกอุปทูตไทยเข้าพบ รวมทั้งส่งเจ้าหน้าที่เข้าร่วมคลี่คลายคดีอีกต่างหาก
      
        แถมล่าสุด ผู้ต้องหาชาวพม่าทั้ง คนได้กลับคำให้การเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
      
        คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ พล..ประยุทธ์และพล..ประวิตรที่แอ่นอกรับประกันมาตั้งแต่เริ่มต้นจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เพราะถ้าผู้นำสูงสุดไม่เห็นแก่เพื่อนพ้องน้องพี่และคนของตนเองจนเกินไป การกลัดกระดุมเม็ดแรกในคดีก็จะไม่ผิดเพี้ยนจนโลกทั้งโลกไม่ให้ความเชื่อถือเช่นนี้
      
        ไม่นับรวมเรื่องการปฏิรูปตำรวจที่ยังไม่ได้เริ่มตั้งไข่ หากแต่ยังวนเวียนอยู่รับระบบเดิมด้วยการการแต่งตั้งคนของตนเองเข้าไปทดแทน ซึ่งก็มิได้ต่างอะไรกับรัฐตำรวจในยุคระบอบทักษิณเรืองอำนาจเสียด้วยซ้ำไป
      
        สำหรับการปฏิรูปการเมืองก็ตกอยู่ในภาวะที่น่าปริวิตกเกี่ยวกับนโยบายเรื่องการปรองดองของรัฐบาลว่าจะดำเนินการไปถึงขนาดไหน เพราะแม้แต่เรื่องง่ายๆ อย่างกรณีการถอดถอนนายนิคม ไวยรัชพานิชและนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ สนช.สายทหารก็เล่นเกมเตะถ่วงจนผู้คนสงสัยกันทั้งบ้านทั้งเมืองว่ามีอะไรในก่อไผ่
      
        กรณีการถอดถอนนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรจากคดีจำนำข้าวก็ไม่คืบหน้า แถมรัฐบาลยังหาช่องทางกู้เงิน แสนล้านบาทจากการออกพันธบัตรกู้เงินจากประชาชนมาล้างภาระให้สิ้นภายใน 30 ปี แทนรัฐบาลยิ่งลักษณ์
      
       เผลอๆ สุดท้ายจะไม่มีใครต้องรับผิดจากอภิมหาโครงการทุจริตมูลค่าหลายแสนล้านบาทนี้เลยก็ว่าได้ เพราะมีเสียงแบะท่าออกมาจาก “ขาใหญ่ด้านกฎหมาย” ของผู้มากบารมีอยู่แล้วว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญ
      
        ขณะที่ในฟากของคนเสื้อแดงก็ดูจะมีความสุขจากรัฐบาล พล..ประยุทธ์กันอย่างทั่วหน้า ดังจะเห็นได้จากการที่ ร...ดร.เฉลิม อยู่บำรุงได้วิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองให้กลุ่มอดีต ส..ที่ใกล้ชิด โดยเฉพาะอดีต ส..ภาคอีสานพรรคเพื่อไทยฟังว่า คนที่ได้กำไรจากการปฏิวัติที่สุดไม่ใช่ กปปสหรือพรรคประชาธิปัตย์ หากแต่เป็นพรรคเพื่อไทย และ พ...ทักษิณ ชินวัตร เพราะช่วยแก้ปัญหาการเมืองในพรรคเพื่อไทยให้หลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นภาวะที่แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงกำลังเคลื่อนไหวจนกระทบกระทั่งกับรัฐบาลเองในตอนนั้น ปัญหาความวุ่นวายหลายอย่างในปลายรัฐบาล 
      
        ที่สำคัญคือ ร...เฉลิมระบุว่า เมื่อประเทศคืนสู่ภาวะปกติ เปิดให้มีการเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยยังจะชนะเลือกตั้งได้กลับมาเป็นรัฐบาลเหมือนเดิม เพราะชื่อ พ...ทักษิณทางเหนือ อีสาน ยังขายได้
      
        บทวิเคราะห์ของเป็ดเหลิมคือความจริงที่สร้างความสั่นสะเทือนทางการเมืองต่อเสถียรภาพและความมั่นคงของรัฐบาล-คสช.เป็นอย่างยิ่ง เพราะเมื่อย้อนกลับไปดูท่าทีที่ผ่านมาก็สอดคล้องกันอย่างไม่น่าเชื่อ เนื่องจากรัฐบาลไม่เคยระบุถึงความผิดของระบอบทักษิณ ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็คงว่ากล่าวอะไรไม่ได้เช่นกัน เพราะ คสช.ระบุชุดเจนถึงเหตุผลในการทำรัฐประหารว่า เพื่อต้องการทำให้ประเทศเดินหน้า มิใช่เพื่อถอนรากถอนโคนระบอบทักษิณหรือแสดงให้ประชาชนคนไทยเห็นถึงความน่ากลัวของระบอบนี้
      
        ดังนั้น จงอย่าแปลกใจที่จะมีคำสั่งห้ามมิให้สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมพูดให้ร้ายระบอบทักษิณ เพราะถือว่าจะทำไม่ให้เกิดการปรองดอง
      
        ทว่า สิ่งที่ประชาชนสัมผัสได้เป็นรูปธรรมก็คือ การแต่งตั้งคนของตนเองจำนวนมากเข้ามาในองค์กรหลักๆ ในการขับเคลื่อนประเทศ ทั้งรัฐบาล หน่วยงานราชการต่างๆ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ไม่ว่าจะเป็นจาก “ประวิตรคอนเนกชั่น” หรือ “ประยุทธ์คอนเนกชั่น” ก็ตาม
      
        ด้วยเหตุดังกล่าว เมื่อเวลาผ่านไปจึงเกิดคำถามขึ้นในใจของคนที่สนับสนุน คสชโดยเฉพาะมวลมหาประชาชนนับล้านๆ คนที่พร้อมใจกันออกมาบนท้องถนนเพื่อขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และส่งเสียงยินดีปรีดาเมื่อ คสช.ตัดสินใจทำรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองประเทศว่า สุดท้ายแล้ว ประเทศชาติและประชาชนจะได้อะไร การปฏิรูปประเทศไทยจะสัมฤทธิผลได้จริงๆ หรือ เพราะเมื่อตรวจการบ้านดูแล้วมิได้เห็นความแตกต่างเกิดขึ้น
       
        และแน่นอน เมื่อกล่าวถึงมวลมหาประชาชนก็ต้องตรวจสอบไปที่ท่าทีของ “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” อดีตเลขาธิการ กปปส.ที่เวลานี้ตัดสินใจเข้าสู่ร่มกาสาวพัตรและจำพรรษาอยู่ที่สวนโมกขพลาราม โดยมีชื่อในทางธรรมว่า “ปภากโรภิกขุ” เพราะไม่ว่าจะอย่างไร “หลวงลุงกำนัน” คือผู้ที่ต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นกับบ้านเมืองหลัง คสช.ทำรัฐประหาร
      
        เมื่อครั้งนายสุเทพตัดสินใจบรรพชาอุปสมบท เขาให้เหตุผลว่า เพื่อความสงบ และเหน็ดเหนื่อยจากการต่อสู้มายาวนาน
        แต่ความจริงวันนี้ ดูเหมือนว่า หลวงลุงกำนันจะไม่ได้ปรารถนาความสงบจากการบวชอย่างแท้จริง เพราะหลวงลุงกำนันยังคงเคลื่อนไหวทางการเมืองให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ ผ่านกิจกรรมและคำให้สัมภาษณ์อย่างต่อเนื่อง
      
        ยิ่งการปรากฏตัวบนปกนิตยสารชื่อดังอย่าง LIPS ด้วยแล้ว ยิ่งงวยงงสงสัยว่า มีเป้าประสงค์อะไร 
      
        แทนที่หลวงลุงกำนันจะอาศัยผ้าเหลืองซึ่งผู้คนเลื่อมใสศรัทธาเตือนสติรัฐบาลเมื่อกระทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือมิได้เป็นไปตามแนวทางที่ กปปส.เคยตั้งธงเอาไว้ หลวงลุงกำนันกลับคอยปกป้องรัฐบาล พล..ประยุทธ์ในแทบจะทุกเรื่อง ต่างกันก็เพียงเปลี่ยนจากการทำให้คน “มโน” ในภาพของลุงกำนันเป็น “มโน” ในบทบาทของ พระสุเทพ ปภากโรเท่านั้น
      
        บัดนี้คงไม่ต้องสงสัยแล้วว่า หลวงลุงกำนันมีความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับคณะรัฐประหารแค่ไหน และเป็นกลุ่มก้อนเดียวกันหรือไม่
        
      
       กรณี “เกาะเต่า” คือตัวอย่างที่ประทับรับรองภาพลักษณ์ของ คสช.โดยตรง เพราะยังไม่ทันทีเรื่องจะดำเนินไปถึงขั้นตอนไหน พล..ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสชตลอดรวมถึงพล..ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็ออกมารับประกันการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งแต่ไก่โห่ จนเกิดคำถามว่า เป็นเพราะเชื่ออย่างนั้นจริงๆ หรือเป็นเพราะเชื่อในคนของตนเองที่ถูกส่งเข้ามาเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติชื่อ “พล...สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” กันแน่ นอกจากนี้ ภายหลังจากมีกระแสความไม่น่าเชื่อถือในการจับกุม ผู้ต้องสงสัยชาวพม่าในคดีฆาตกรรม นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษดังขึ้นจากการตั้งข้อสังเกตของ “เพจ CSI LA สิ่งที่สังคมได้เห็นคือการที่ “เจ๊ปอง-อัญชะลี ไพรีรัก” แกนนำคนสำคัญของ กปปส.ออกมาทำให้เรื่องที่มีคนตั้งข้อสงสัยกลายเป็นเรื่องของ “สงครามสีเสื้อ” หน้าตาเฉย
      
        และสิ่งที่สังคมได้เห็นในเวลาต่อมาก็คือ การที่หลวงลุงกำนันออกหน้าด้วยตัวเองโดยการนำพุทธศาสนิกชนไปทำบุญทอดกฐินที่วัดเกาะเต่า แถมยังให้สัมภาษณ์แสดงความเชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจ ทั้งๆ ที่คนไทยแทบจะทั้งประเทศและชาวต่างชาติพากันคลางแคลงใจจนกระทั่งรัฐบาลพม่าและอังกฤษ ได้ขอเข้ามามีส่วนร่วมอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
      
        ถ้ายังจำกันได้ การทำงานของตำรวจในครั้งนี้และการแต่งตั้งนายตำรวจทั่วฟ้าเมืองไทยในครั้งนี้ ก็ถือเป็นหนังคนละม้วนกับการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปตำรวจที่ผ่านมาสมัยที่ยังเป็นลุงกำนัน
      
        
หลวงลุงกำนัน เดินสายเทศน์มโน กู้วิกฤตศรัทธา คสช.
       
หลวงลุงกำนัน เดินสายเทศน์มโน กู้วิกฤตศรัทธา คสช.
        คำพูดของพระสุเทพเท่ากับเป็นการเรียกวิกฤตศรัทธาของ พล..ประยุทธ์และพล..ประวิตรที่กำลังตกต่ำให้กลับคืนมา
      
        เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบุคคลที่ไม่รู้เรื่องได้ประณามชาวเกาะเต่า อาตมาขึงเขียนลงเฟซบุ๊กส่วนตัว ชี้แจงความจริงว่าตำรวจได้สืบสวนจนได้พยานหลักฐานชัดเจน ทั้งพยานบุคคล พยานวัตถุ และดีเอ็นเอ ซึ่งตามปกติอาตมาเองไม่เข้าข้างตำรวจ แต่ครั้งนี้เห็นว่าคนจำนวนมากเข้าใจคนบนเกาะเต่าไปในทางที่ผิด ประกอบกับคิดว่าอาจมีคนติดตามเฟซบุ๊กของอาตมาบ้างจึงเขียนชี้แจงลงไป ไม่หวังจะไปทะเลาะเบาะแว้งกับใคร จึงใคร่จะบอกว่าอาตมาน่ะหยุดแล้ว คนทั้งหลายควรจะหยุดด้วย”นั่นคือคำพูดที่พระสุเทพกล่าวกับชาวเกาะเต่า
       
        ถึงตรงนี้ สังคมพึงสงสัยว่า ทำไมหลวงหลวงลุงกำนันถึงมั่นใจในการทำงานของตำรวจทั้งๆ ที่มีข้อพิรุธมากมายและยิ่งนานวัน ข้อสงสัยก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นดังจะเห็นได้จากการที่รัฐบาลอังกฤษถึงกับต้องส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจของตนเองลงมาในพื้นที่
      
        แน่นอน สิ่งสำคัญที่ต้องไม่ลืมก็คือพื้นที่เกาะเต่านั้นอยู่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีซึ่งเป็นฐานเสียงของลุงกำนันในทางการเมืองมาอย่างยาวนาน ดังนั้น ทั้งตำรวจ ข้าราชการฝ่ายปกครอง รวมถึงผู้มีอิทธิพลต่างๆ ในพื้นที่ก็ล้วนแล้วแต่มีความสัมพันธ์กับหลวงลุงกำนันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
      
        หลวงลุงกำนันกำลังปกป้องคนของตนเองเช่นนั้นหรือ ?
      
        หลวงลุงกำนันกำลังจะบอกมวลมหาประชาชน กปปส.ให้เชื่อมั่นในตำรวจร้อยเปอร์เซ็นต์เช่นนั้นหรือ?
      
        หลวงลุงกำนันกำลังทำให้สังคมเข้าใจว่า คนของหลวงลุงกำนัน คนของ กปปปส.ทำอะไรก็ไม่ผิดเช่นนั้นหรือ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น ก็มิต่างอะไรจากคนเสื้อแดงเลยแม้แต่น้อย
      
        ส่วนเรื่องปัญหายางพาราที่ทำท่าว่าจะลุกลามบานปลายออกไป หลวงลุงกำนันก็ตากหน้าออกมาขอร้องมวลมหาประชาชน กปปส.เช่นเคย โดยขอให้ มวลชน กปปส.ให้โอกาส พล..ประยุทธ์ และล้มแผนทำม็อบเพราะเชื่อว่ารัฐบาลจะแก้ไขปัญหาได้แต่ต้องอาศัยเวลา โดยทิ้งประโยคเด็ดเอาไว้ว่า “คสช.เป็นพวกเดียวกับเรา” จึงต้องให้กำลังใจ
      
        และในที่สุดภาพความชัดเจนในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหลวงลุงกำนันกับพล..ประยุทธ์ก็แจ่มแจ้งแดงแจ๋โดยไม่ต้องอาศัยคำอธิบายใดๆ เพิ่มเติมผ่านบทสัมภาษณ์พิเศษล่าสุดในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันอังคารที่ 21 ตุลาคม 2557 ที่ผ่านมา
      
        ทั้งนี้ นอกจากหลวงลุงกำนันจะได้เอ่ยปากรับประกัน พล..ประยุทธ์อย่างออกหน้าออกตาแล้ว หลวงลุงกำนันยังไม่ให้มวลมหาประชาชน กปปส.เข้าไปแทรกแซงการทำงานของรัฐบาล พล..ประยุทธ์ อีกต่างหาก
      
        ในใจเรามวลมหาประชาชนก็ฝากความหวังไว้ที่ พล..ประยุทธ์มาก เพราะ พล..ประยุทธ์เราเห็นว่าเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต เป็นคนจงรักภักดีต่อแผ่นดิน และเราชื่อว่า พล..ประยุทธ์เป็นคนจริง ทำจริง ยังไงก็ต้องผลักดันการปฏิรูปประเทศไปในทิศทางที่ประชาชนเขาตั้งความหวังไว้ เพราะฉะนั้น เรา กปปส.มวลมหาประชาชนก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรในขณะนี้ อยู่เฉย เข้าวัดเข้าวา ศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมะไป ปล่อยให้ พล..ประยุทธ์ได้บริหารบ้านเมืองไปโดยไม่มีแรงกดดันจากฝ่ายเราใดๆ ทั้งสิ้น”
       
        ชัดเจนโดยไม่ต้องการคำอธิบายใดๆ เพิ่มเติมว่า นับจากนี้ไม่ มวลมหาประชาชน กปปส.มีหน้าที่สนับสนุนการทำงานของรัฐบาลเพียงสถานเดียว โดยไม่ต้องมีคำถามและข้อสงสัยใดๆ เกิดขึ้น เพราะหลวงลุงกำนันมั่นใจในตัวนายกรัฐมนตรีผู้นี้เป็นอย่างมาก และไม่ใช่ครั้งเดียวที่หลวงลุงกำนันเอ่ยปากรับประกันความดีของ พล..ประยุทธ์ หากแต่ปรากฏในบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้หลายต่อหลายครั้ง
      
        อาตมาไว้วางใจ พล..ประยุทธ์ อาตมาเชื่อมั่นว่า พล..ประยุทธ์เป็นผู้นำที่เหมาะสมในสถานการณ์เช่นนี้ ที่จะพาประเทศไปหาแสงสว่างได้ตามเจตนารมณ์ของประชาชน พล..ประยุทธ์ที่อาตมารู้จักเป็นคนที่ซื่อสัตย์สุจริต เป็นคนที่จงรักภักดีต่อแผ่นดิน ไม่มีข้อสงสัย ดังนั้น อาตมามั่นใจ ไว้ว่างใจและอาตมาก็ได้บอกสมาชิก กปปส.ของอาตมาว่าให้ไว้วางใจ พล..ประยุทธ์ ให้เอาใจช่วย อย่าไปสร้างแรงกดดัน ทำให้เขาเสียกำลังใจ ช่วยเขา มีความคิดความอ่านอะไรก็บอกเขา”(ย้ำเสียงหนักแน่น)
       
        คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ หลวงลุงกำนันบวชเพื่อแสวงหาความสงบ แล้วทำไมบัดนี้ถึงไปยุ่งเกี่ยวกับทางโลกด้วยการทำประชาสัมพันธ์ให้ คสช.อย่างออกนอกหน้าเช่นนี้ ถ้าจะเป็นการโปรดสัตว์เหมือนหลวงปู่พุทธะอิสระน่าจะเป็นการใช้ความเป็นพระออกมาเตือนสติการบริหารบ้านเมืองของผู้หลักผู้ใหญ่ใน คสช.ให้เข้ารูปเข้ารอย ให้สมกับที่มวลมหาประชาชนตั้งความหวังเอาไว้ จะถูกต้องกว่าหรือไม่
        ไม่ใช่พอคะแนนนิยมของ คสช.ตกต่ำ แล้วประชาชนที่พากันมองเห็น ปัญหาพากันผิดหวังก็ออกมาเดินสายบิณฑบาตขอประชาชน เนื่องจากแกนนำ กปปส.ชักจะเอาไม่อยู่
      
        ไหนๆ หลวงลุงกำนันก็ยังมีเวลาในผ้าเหลืองอีกพักใหญ่ ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ หลวงลุงกำนันคงต้องกลับไปทบทวนตัวเองเริ่มต้นท่องคำว่า “นะโม” ให้ถูก ไม่ใช่มามัวกล่อมคนให้ “มโน” หลงทิศหลงทางเหมือนเช่นที่เป็นอยู่ในขณะนี้
      
        ส่วน คสช.และรัฐบาล พล..ประยุทธ์ต้องบอกว่า สิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่หลวงลุงกำนันพยายามสร้างให้สาวกมโนอย่างสิ้นเชิง 
       
        ตัวอย่างที่ชัดเจนซึ่งสร้างความเดือดร้อนไปทุกสีเสื้อ ทุกชนชั้นก็คือ เรื่องการแปรรูปและขึ้นราคาพลังงานทั้งระบบ ซึ่งประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ทั้งยังตกเป็นเครื่องมือจากวัตรปฏิบัติของหลวงลุงกำนันในลักษณะนี้ ซ้ำร้าย ประเทศชาติก็เสียประโยชน์อีกต่างหาก