PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ศาลฎีกาแพร่คำตัดสินองค์คณะฯ คดี‘ยิ่งลักษณ์’จำนำข้าว ย้ำชัดทุจริตต่อหน้าที่

ศาลฎีกาแพร่คำตัดสินองค์คณะฯ คดี‘ยิ่งลักษณ์’จำนำข้าว ย้ำชัดทุจริตต่อหน้าที่

เขียนวันที่
วันอังคาร ที่ 07 พฤศจิกายน 2560 เวลา 17:05 น.
เขียนโดย
isranews

เผยแพร่ทางการ คำตัดสินศาลฎีกาฯคดี ‘ยิ่งลักษณ์’ละเว้นระงับความเสียหายโครงการจำนำข้าว ยาว 95 หน้ากระดาษ พร้อมคำวินิจฉัยส่วนตัวองค์คณะผู้พิพากษา 9 คน  ย้ำชัดทุจริตต่อหน้าที่ เอื้อประโยชน์ให้ ‘บุญทรง’กับพวกแสวงหาผลประโยชน์
 071117 yingluck1
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่าเมื่อวันที่  6 พ.ย.2560  ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้เผยแพร่ คำวินิจฉัยกลางและคำวินิจฉัยส่วนตัวขององค์คณะผู้พิพากษา 9 คน คดีระหว่างอัยการสูงสุด โจทก์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จำเลย เรื่องความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการความผิดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต กรณี ละเว้นระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว โดยมีคำพิพากษาให้จำคุก 5 ปี เมื่อวันที่ 27 ก.ย.2560  
สำนักข่าวอิศรารายงานว่า สาระสำคัญในตอนท้ายของคำพิพากษาระบุว่า สำหรับความเสียหายอันเกิดขึ้นจากการทุจริตในขั้นตอนระบายข้าว โดยการแอบอ้างทำสัญญาขายแบบรัฐต่อรัฐดังวินิจฉัยข้างต้น ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยรับรู้การแจ้งเตือนจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง การตั้งกระทู้ถามสด กระทู้ทั่วไป การอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายข้าราชการการเมือง และข่าวสารจากสื่อมวลชน ยิ่งกว่านี้ก่อนเริ่มโครงการรับจำนำข้าว ทั้งสำนักงานการตรวจการแผ่นดิน สำนักงาน ป.ป.ช. ได้มีหนังสือแจ้งเตือนและให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการนำเอานโยบายรับจำนำข้าวไปดำเนินการปฏิบัตินั้นจะมีผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดิน และการทุจริตในขั้นตอนต่างๆ ให้จำเลยทราบเป็นระยะๆ แต่จำเลยกลับไม่ได้ติดตามกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด ดังจะเห็นจากจำเลยในฐานะประธาน กขช. ได้เข้าร่วมประชุม กขช. เพียงวันที่ 9 ก.ย. 2554 ซึ่งเป็นการประชุมครั้งแรกครั้งเดียวเท่านั้น การประชุม กขช. อีก 22 ครั้ง จำเลยหาได้เข้าร่วมประชุมเพื่อติดตามการกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้มีประสิทธิภาพตามที่จำเลยได้ให้นโยบายไว้แต่อย่างใดไม่ โดยเฉพาะขั้นตอนการระบายข้าวนั้น จำเลยในฐานะประธาน กขช. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้พันตรี วีระวุฒิหรือหมอโด่ง ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และดำรงเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในเวลาต่อมา ซึ่งภายหลังถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อม.25/2558 และหลบหนีในระหว่างพิจารณาคดีดังกล่าว เป็นอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว อนุกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติด้านการตลาด อนุกรรมการกำกับดูแลการรับจำนำข้าว และอนุกรรมการตรวจสอบและติดตามการรับจำนำข้าว ซึ่งคำสั่งแต่งตั้งให้พันตรี วีระวุฒิ หรือหมอโด่ง เป็นอนุกรรมการชุดต่างๆ ล้วนมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับการระบายข้าวทั้งสิ้น ทั้งหลังจากวันที่ 26 พฤศจิกายน 2555 ที่นายวรงค์ (เดชกิจวิกรม) อภิปรายเรื่องการทุจริตการระบายข้าว นายสุพจน์เบิกความยืนยันข้อเจจริงในการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่าข้าวตามสัญญา 4 ฉบับนั้น ในขณะนั้นยังคงมีการส่งมอบข้าวตามสัญญาขายข้าว 4 สัญญาแรกต่อไปอีกถึงปลายเดือน ก.พ. 2556 และมีการชำระเงินเพื่อรับมอบข้าวในสัญญาที่ 1 ระหว่างวันที่ 18 ต.ค. 2554 ถึงวันที่ 28 ม.ค. 2556 รับมอบข้าว 1,820,815.66 ตัน   ชำระเงินเพื่อรับมอบข้าวในสัญญาที่  ระหว่างวันที่ 22 มีนาคม 2555 ถึงวันที่ 22 กพ. 2556 รับมอบข้าว 1,402,537.86 ตัน ชำระเงินเพื่อรับมอบข้าวในสัญญาที่ 3 ระหว่างวันที่ 1 ส.ค. 2555 ถึง วันที่ 22 ม.ค. 2556 รับมอบข้าว 1,654,453.13 ตัน
หากนับระยะเวลาตั้งแต่วันที่นายวรงค์อภิปรายเป็นต้นมา ยังมีระยะเวลาเพียงพอแก่การตรวจสอบให้ได้ข้อเท็จจริงตามข้ออภิปรายของนายวรงค์ และหากจำเลยดำเนินการตรวจสอบการทุจริตการระบายข้าวตามสัญญาซื้อขาย 4 ฉบับแรกอย่างจริงจัง ดังเช่นจำเลยได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องโครงการข้าวถุงราคาถูก เพื่อวางมาตรการป้องกันมิให้เกิดการทุจริตขึ้นอีก ซึ่งในเรื่องโครงการข้าวถุงราคาถูก จะเห็นได้ว่าจำเลยใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายสั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบอย่างเอาจริงเอาจัง และในวันที่ 10 ก.ค. 2556 คณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวดำเนินการประชุมแล้วมีมติให้ระงับโครงการข้าวถุงราคาถูก ดังนั้นในส่วนการระบายข้าวที่แอบอ้างว่าเป็นการขายแบบรัฐต่อรัฐก็เช่นเดียวกัน จำเลยมีเวลาเพียงพอที่จะระงับยับยั้งการส่งมอบข้าวตามสัญญาที่ยังไม่ได้ส่งมอบไว้ก่อนก็ย่อมกระทำได้ตามอำนาจหน้าที่
แต่จำเลยในฐานะนายกรัฐมนตรีเป็นหน้ารัฐบาลและประธาน กขช. ซึ่งมีอำนานหน้าที่โดยตรงในการควบคุมตรวจสอบกำกับดูแลการปฏิบัติตามนโยบาย วางมาตรการโครงการที่อนุมัติไปแล้ว ทั้งมีอำนาจสั่งการข้าราชการทุกกระทรวงทบวง กรมในการกำกับ การระงับยับยั้ง หรือการแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าว แต่จำเลยกลับมีพฤติกรรมละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายส่อแสดงเจตนาโดยชัดแจ้ง อันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่นายบุญทรงกับพวกแสวงหาผลประโยชน์จากโครงการรับจำนำข้าว โดยการแอบอ้างนำบริษัท GSSG  และบริษัท HAINAN GRAIN เข้ามาทำสัญญาซื้อข้าวในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาด ตามประกาศของกรมการค้าภายใน แล้วมีการหาประโยชน์ที่ทับซ้อนโดยทุจริต ได้ข้าวส่วนต่างจากราคาข้าวตามสัญญาซื้อขาย 4 ฉบับ อันเป็นการแสวงหาระโยชน์ที่มิควรโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบการเงินการคลังของประเทศ และเกิดผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดินโดยตรงถือได้ว่าเป็นการกระทุจริตต่อหน้าที่ในความหมายตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4 ซึ่งบัญญัติให้ความหมายคำว่า “ทุจริตต่อหน้าที่”คือ การปฏบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือการปฏบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในพฤติกรรมที่อาจทำให้ผู้อื่นเชื่อว่า มีตำแหน่งหรือหน้าที่ทั้งที่ตนมิได้มีตำแหน่งหรือหน้าที่นั้น  หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่ทั้งนี้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้ โดยชอบสำหรับตนเองหรือผู้อื่น
ดังนั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ในตำแหน่งโดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่กระทรวงการคลัง ประเทศชาติ หรือผู้ใดผู้หนึ่ง อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1
พิพากษาว่าจำเลย มีความผิด (เดิม) ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 อันเป็นกฎหมายที่มีบทลงโทษหนักสุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ให้จำคุก 5 ปีhttp://www.supremecourt.or.th/webportal/maincode/content.php?content=component/library/libview.php&id=722&base=24
 om211 60 Page 01 Copy
om211 60 Page 75
om211 60 Page 91
om211 60 Page 92
om211 60 Page 95

ไม่เคยคิดอยากพัก !!!

ไม่เคยคิดอยากพัก !!!
บิ๊กฉัตร พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรฯ เพื่อนรัก ตท.12 ของนายกฯ
ยันไม่เคยคิดอยากพัก พร้อมทำงาน แต่หากถูกปรับออกจาก ครม.ก็ไปพัก ตัดพ้อ โดนโจมตีตลอด เปรย ก็รู้นี่ว่า กลุ่มไหน
พลเอกฉัตรชัย กล่าวว่า เขียนข่าวไปแบบนั้น ความจริงผมก็ดังอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งดังหนักขึ้น ข่าวที่ลงไปไม่เกี่ยวเลย ผมไม่ได้พูด คือถ้านายกฯให้ทำงานเราก็ทำ ถ้านายกฯให้หยุด เราก็หยุดก็แค่นั้น
"ให้นายกฯตัดสินใจ คนอื่นไม่มีสิทธิ์ไปยุ่งเกี่ยว "
แล้วนายกฯ ก็ไม่ต้องมาบอกหรอว่า จะปรับใครอย่างไร เพราะเป็นสิทธิ์ของนายก ต้องไปถามนายกฯดู
นักข่าวจะมาถามผม หรือถามใคร ก็ไม่มีใครตอบได้สักคน เพราะเรื่องนี้เป็นอำนาจหน้าที่ของนายกฯ แล้วนายกฯก็ไม่จำเป็นต้องถามใคร
"นายกฯ เวลาทำงานท่านไม่มีเพื่อน นอกเวลางาน จึงเป็นเพื่อนกัน แต่เวลาทำงานตั้งแต่อยู่กองทัพ. นายกฯก็เป็นแบบนี้" พลเอกฉัตรชัย กล่าว เมื่อถูกถาม ถึงการที่มองว่า เพราะเป็นเพื่อนนายกฯ
"ผมรู้มานานแล้วว่า ยังไงผมก็เป็นเป้า สื่อรู้ดีกว่าผม สื่อก็รู้กันอยู่"

"ป๊อก"เป็นหมัน

"บิ๊กป๊อก" ลงทุน เผยลับ "ผมทำหมัน มา 20ปี มีลูกเล็กไม่ได้" หลัง ถูกแฉ มีเมียน้อย และลูกเล็ก ซัดเล่นไม่แฟร์ กับทั้งผม.และผู้หญิงเสียหาย สงสารเด็ก

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ ถึงการ กล่าวหาว่า มีเมียน้อยและมีลูกเล็กว่า ผมเห็นแล้ว ที่ออกมากล่าวหาว่ามีสุภาพสตรีท่านหนึ่ง มีความสัมพันธ์ลับกับผมจนมีบุตร ซึ่งผมขอชี้แจงว่าผมไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยว กับสุภาพสตรีคนนั้น ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกัน
"จำเป็นต้องชี้แจง ไม่เช่นนั้นทั้ง ผมและสุภาพสตรี จะเสียหาย "
และผม ก็ไม่ทราบว่าสุภาพสตรีท่านนั้นเป็นภรรยาใคร เขาจะเสียหายไปด้วย และที่ว่าเขามีบุตรหรือไม่มีบุตร ผมก็ไม่ทราบ
"ผมทำหมันมา 20 ปีแล้ว จะบอกว่ามีลูก 3-4 ขวบ คงเป็นไปไม่ได้ ผมยืนยันว่าไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยว ผมไม่อยากจะมองว่าเป็นขบวนการอะไร ขอให้สังคมว่ากันเอง ผมเพียงแต่ชี้แจงความเป็นจริงให้ฟัง
น่าสงสารเด็ก หากเขาโตมาไม่รู้จะยังไง หากเป็นญาติท่านแล้วโดนกล่าวหาว่าเป็นลูกใคร เมียใคร มันก็ไม่แฟร์กับสุภาพสตรี เขามีฐานะทางครอบครัวอย่างไรกับใคร เด็กก็ต้องโต แล้วบอกว่า เป็นลูกคนโน้น คนนี้ มันไม่น่าจะแฟร์” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว

พรรคทหาร 'การเมืองหลงทิศ'

มีการพูดกันถึงเรื่อง "ทหารจะตั้งพรรค"!
ในความหมายนี้..........
ถ้าตั้งเพื่อรองรับ "นายกฯ ประยุทธ์" สู่นายกฯ ระบบรัฐสภา เพื่อสานงาน "สร้างบ้าน-สร้างเมือง" ต่อจากที่ค้างไว้
ขอบอกว่า...ไม่จำเป็น!
แต่ถ้าตั้งในความหมาย รองรับคณะทหารและพรรคพวกเครือข่าย "ประวิตร" เพื่อสืบต่องาน "ธุรกิจการเมือง" ละก็
เอาตามที่ชอบเถอะ!
เคยได้ยินคำว่า "นักเลงผิดซอย" กันใช่มั้ย?
คือแต่ละสนาม มี "เจ้าถิ่น" ครองทั้งนั้น ตัวเองใหญ่อยู่สนามหนึ่ง ขืนพกความใหญ่ไปเบ่งในสนามคนอื่น
เดี๋ยวก็เจ็บ!
เช่น ทหาร ใหญ่ในเขตกองทัพ ไปกร่างในสนามเลือกตั้ง โอกาส "เสียทหาร" มีสูงมาก
นักการเมืองเหมือนกัน ใหญ่ในสนามเลือกตั้ง ไปซ่าใน "เขตทหารห้ามเข้า" จะเป็นหมันเอาได้ง่ายๆ
เขาจึงว่า "มังกรพลัดถิ่นหรือจะสู้งูดินเจ้าที่"!
แต่ทหาร เรียนประวัติศาสตร์กันอยู่แล้ว ย่อมรู้ การเมืองในสนามเลือกตั้ง นั้น
รัฐบาลด้วย "พรรคทหาร" ค้ำ เจ๊งทั้งนั้น
เพราะทหารจะไปใหญ่ใน "รัฐสภา" อันเป็นถิ่นของ "นักเลือกตั้ง" ไม่ได้หรอก
ในทางกลับกัน นักเลือกตั้ง ก็จะซ่าไม่ออก เมื่อสนามรัฐสภาถูกเปลี่ยนเป็น "สนามนิติบัญญัติเบ็ดเสร็จ"!
ฉะนั้น ฟันธงได้เลย..........
นายกฯ ประยุทธ์น่ะ "อนาคต" ถ้าไม่ขึ้นไปอยู่ในสถานภาพที่สูงกว่าเสียก่อนละก็
ด้วยเส้นทางที่ "จักรวาลกำหนด" มาแต่เกิด
ท่านจะเล่น-ไม่เล่น ก็แล้วแต่ แต่ท่านต้องถูก "การเมืองเล่น" แน่!
เพราะอย่างนั้น จึงเป็น "ภาคบังคับ" ให้ท่านต้อง "หันหน้ารับ" กับการเมืองที่จู่โจมเข้ามารอบทิศทาง
แต่ฟันธงได้เลย...........
การจะเข้าไปอยู่ในวังวนการเมืองระบบรัฐสภาของนายกฯ ประยุทธ์นั้น
ท่านไม่พึ่งบริการ "ทหารตั้งพรรค" พันเปอร์เซ็นต์!
ส่วนใครจะตั้งเพื่อท่าน หรือเพื่อตัวเองแล้วอ้าง "เพื่อท่าน" ด้วย นั่นอีกกรณีหนึ่ง
เคลียร์กันชัดๆ การเมืองสู่ศตวรรษใหม่นั้น
ใครจะเป็นนายกฯ..........
"พรรคการเมือง โดยนายทุนพรรค" จะเป็นผู้ชี้ขาดอย่างตะก่อน ไม่ใช่แล้ว
ด้วยทิศทางโลก อันมีทัศนคติต่อสังคมบริหารและปกครองที่คำว่า "ประชาธิปไตย-เผด็จการ" รวมกรอบ
"ประชาชน" ทั้งในระบบและนอกระบบนี่แหละ จะเป็นผู้กำหนด "แต่ละพรรค" มิสามารถปฏิเสธ!
ที่โพลบอก คะแนนนิยมนายกฯ ประยุทธ์ตกนั้น นั่นเหมือนกินมังคุดทั้งเปลือก
ลำพังตัวประยุทธ์ ไม่มีตก
ที่ตกนั่น มาจาก พี่-เพื่อน-พวก และที่ "ผู้จัดการรัฐบาล" ขนเข้ามาในวงจรอำนาจตะหาก
ก็ดูซี.........
ทั้งในรัฐบาล ใน สนช. ในคณะกรรมการต่างๆ ที่ตั้ง ตำรวจ-ผู้ว่าฯ แต่ละตำแหน่ง มันต่างกับยุคสมัย "การเมืองกินเมือง" ซะที่ไหน?
ที่เมืองชลฯ "คนหนังเหนียว"..........
เหนียวเพราะอะไร เหนียวเพราะ "ตู้เย็น" วิเศษใช่หรือไม่ เขานินทากันหึ่ง!
เนี่ย การตั้งพรรคทหาร ถ้าตั้งจริง ก็บังหน้า "เพื่อประยุทธ์" แต่ที่บังหลัง เพื่อฐานอำนาจ "ของใคร" อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่แดงแจ๋
พลเอกประยุทธ์ ตอนเรียนสอบได้ที่ ๑...........
แต่ในหลักสูตรมีการสอนปรัชญานิพนธ์เหมาหรือไม่ ผมไม่ทราบ แต่มั่นใจ ท่านต้องผ่านตา "ปรัชญาเติ้ง" แน่นอน ที่ว่า
"อย่าตอบแทนบุญคุณส่วนตัวด้วยผลประโยชน์ชาติ"
ดังนั้น ใครจะตั้ง ก็เรื่องคนนั้น
ส่วนนายกฯ ลุงตู่ไม่ตั้ง ไม่เข้าไปเกี่ยวเรื่อง "พรรคทหาร" ผมอ่านทางอย่างนั้น
ประชาชนต้องการความเป็น "ประยุทธ์" คนที่จงรักและตั้งใจทำงานให้บ้านเมือง โดยไม่กินเมือง
ไม่ได้ต้องการ "ความเป็นทหาร" ในตัวประยุทธ์ แล้วขนพี่ใหญ่-พี่รอง-ผองเพื่อน มารับบัตรสมนาคุณ
เหตุนั้น นายกฯ ประยุทธ์ "ตัวเบา" จากพวกอับเฉามากเท่าไหร่ ง่ายต่อประชาชนแบก!
ประวัติศาสตร์การเมืองไทยน่ะ มันมีไม่กี่หน้าหรอก อ่านปรื๊ดเดียวก็จบ ซึ่งมันย่ำวนอยู่อย่างนั้น
ยุค "จอมพล ป. พิบูลสงคราม" เป็นนายกฯ
เปิดให้จดทะเบียนพรรคเป็นครั้งแรก อยากสืบต่ออำนาจก็ตั้ง "พรรคเสรีมนังคศิลา"
เป็นหัวหน้าพรรคเอง เผ่า เป็นเลขาฯ สฤษดิ์-ประภาส เป็นรองหัวหน้าพรรค
เลือกตั้ง ๒๖ กุมภา ๒๕๐๐ ด้วยความเป็น "นักเลงผิดซอย" การชนะในสนามเลือกตั้งครั้งนั้น ถูกบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ถึงวันนี้ว่า
"เป็นการเลือกตั้งที่สกปรกที่สุด"!
นำไปสู่การเดินขบวนของนิสิต-นักศึกษา แล้วรัฐบาลเลือกตั้งจอมพล ป.ต้องจบด้วยการรัฐประหาร
โดยจอมพลสฤษดิ์ ผู้เป็นรองหัวหน้าพรรคนั่นแหละ หลังเป็นรัฐบาลได้ ๖-๗ เดือน
ยุค "จอมพลถนอม กิตติขจร" ก็ตั้งพรรคอีก คือ "พรรคสหประชาไทย"
รวมพรรคโน้น-นี้ตั้งรัฐบาล ก็ถูกพวก ส.ส.พวกนักการเมืองร่วมพรรค-ร่วมรัฐบาล ต่อรองเอานั่น-เอานี่แลกเสียงสนับสนุน
จอมพลถนอมต้องแก้ปัญหาด้วยการ "ยึดอำนาจ" รัฐบาลตัวเอง ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง เมื่อพฤศจิกา ๒๕๑๔
และตรงนี้แหละ........
นำไปสู่ "วันมหาวิปโยค" ๑๔ ตุลา ๑๖!
จนมาถึงปี พศ.๒๕๓๕ ด้วย "ทหารตั้งพรรค" เป็นฐานรองรับการสืบต่ออำนาจ
คือ "พรรคสามัคคีธรรม" ที่ดัน "พลเอกสุจินดา" ขึ้นเป็นนายกฯ รัฐบาลเลือกตั้ง
เหตุการณ์ "พฤษภาทมิฬ" จึงเกิด!
เหล่านี้คือกรณีศึกษาสำหรับทหารที่คิดจะตั้งพรรคเพื่อสืบต่ออำนาจจากเผด็จการสู่ประชาธิปไตย
ทหาร-เก่งในสนามแต่งตั้ง จะไป (อวด) เก่งในสนามเลือกตั้งและในการเมืองระบบรัฐสภา
ไม่ง่ายอย่างที่ฝัน!
แต่ใช่ว่าจะยากเสียเลย ถ้าศึกษาโดยวิจัยแยกส่วน "พรรคทหาร" แต่ละพรรคที่ผ่าน
ว่า "จอมพล ป.-จอมพลถนอม-พลเอกสุจินดา" พรรคทหารไม่อำนวยในการคงอยู่ของอำนาจเพราะอะไร?
เพราะทั้ง ๓ ท่าน นอกจาก "ถือมั่น" ในอำนาจทหารค้ำชูแล้ว
ยัง "ถือดี" ในตัวเอง.........
โดยที่ประชาชนมองไม่เห็น "ดี" ที่จะต้องถนอมรักษาตัวท่านไว้ เพื่อให้ทำหน้าที่ต่อ!
ในทางเดียวกัน เผด็จการสฤษดิ์ ก็มีฝ่ายต่อต้าน แต่สฤษดิ์ใช้อำนาจเผด็จการนั้น "พัฒนาประเทศ-พิทักษ์สถาบัน"
ประชาชนเห็น "ดี" และยอมรับความ "ดี" จอมพลสฤษดิ์ จึงอยู่ได้ยาว
พลเอกเปรม ไม่ตั้งพรรค ไม่มีพรรคทหารหนุน ไม่ลงเลือกตั้ง แต่ท่านเป็นนายกฯ กึ่งเผด็จการ-กึ่งประชาธิปไตย ยาวนานถึง ๘ ปี ยาวนานกว่านายกฯ ทุกคน-ทุกระบบ!
นั่นเพราะ ประชาชนมองเห็น "ดี" ที่พลเอกเปรมทำ "ดี" ให้แก่สังคมชาติบ้านเมือง
จากจอมพลสฤษดิ์ แล้วก็พลเอกเปรมนี่แหละ........
เป็นผู้นำแล้ว "สร้างบ้าน-แปงเมือง" เป็นรูปธรรมจับต้องได้
แล้วก็มาถึง "พลเอกประยุทธ์"...........
ดูไปแล้ว เหมือนทั้งสฤษดิ์และป๋าเปรมรวมอยู่ในตัวนายกฯ ประยุทธ์
เป็นนายกฯ เผด็จการโดยชื่อ แต่ประชาธิปไตยโดยกระทำ ประชาชนมองเห็น "ดี" ในสิ่งที่ประยุทธ์ชำระสะสางและสร้างทางใหม่ให้สังคมชาติ
รัฐบาลเลือกตั้ง ยังยากที่จะอยู่ครบเทอม แต่นี่..รัฐบาลเผด็จการ นายกฯ ประยุทธ์กำลังเข้าปีที่ ๔
ประชาชนไม่ปฏิเสธประยุทธ์
แต่รังเกียจและเบื่อหน่าย "นาย-พี่-เพื่อน" และพวกพ้อง ที่ขนกันเข้ามาเต็ม
ถ้าดี ใครจะไปว่า
แต่นี่...แต่ละคน "สังคมยี้" เป็นส่วนใหญ่ และหลายราย "ลายพร้อย" ด้วยมลทินจากทั้งกฎหมายและใจสังคม
ที่เด่นกว่าสฤษดิ์อยู่เรื่อง...........
คือสฤษดิ์ตัดไม่ขาดเรื่องคอร์รัปชัน แต่ประยุทธ์ เข้าพรรษาที่ ๔ ยังบริสุทธิ์ ไม่ต้องปลงอาบัติเรื่องแตะต้องปัจจัยอันมิใช่ของตน
แยกส่วนดูอย่างนี้แล้ว จะเห็นว่า
"คนดี-คนไม่ดี" ตะหาก คือ "ประชาธิปไตย โดยประชาชน" ยึดเป็นคุณสมบัติชี้ขาด
ไม่ใช่ "ยึดพรรค-ยึดระบบ-ยึดอามิสสินจ้าง" เป็นเกณฑ์
แต่จะยึด เมื่อไม่มีคนดีที่เห็นชัดให้สนับสนุน ชาวบ้านก็จำเป็นเลือกแบบ "หนุบๆ หนับๆ"
ที่เห็นข้าทาสสังกัดเพื่อไทย "ยกคอก" ถล่มนายกฯ ประยุทธ์ให้เลือกตั้งนั้น ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ เพราะ
๑.เพื่อไทย เขาสำรวจอีสาน-เหนือ ผลออกมา "ไม่เอาประยุทธ์-เอาเพื่อไทย"
๒.จะพ้นสภาพหมาตายซากได้ มีทางเดียวคือ "เลือกตั้ง" และ
๓.มีแต่ "อำนาจเก่า" กลับคืนมาเท่านั้น ทั้งหมา-ทั้งเห็บ จะพ้นสภาพ "ตายยกรัง"
สรุป ประยุทธ์จะขึ้น-จะลง อยู่ที่ตัวเขาเอง ส่วนเสียงหมาหอน-หมาเห่า ก็ตามประสา "หมาหิวน้ำข้าว"
รู้ไว้อย่างเดียวก็พอ บ้านเมืองต่อจากนี้ ไม่ว่าฝ่ายไหน ถ้ายังใฝ่หาระบบ "กินแล้วแบ่งกัน"
ไม่มีที่ให้อยู่-ให้ยืน....บอกสั้นๆ ได้แค่นี้!
---
ที่มา : http://www.thaipost.net/?q=node/37756

ว่าด้วยคสช.ตั้งพรรค

‘นิพิฏฐ์’ไม่แปลกใจ’บิ๊กป้อม’แบไต๋ตั้งพรรค ปูดพรรคทหารเริ่มเดินหาเสียงปักษ์ใต้แล้ว







นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ
“นิพิฏฐ์” ไม่แปลกใจ “บิ๊กป้อม” แบไต๋ตั้งพรรคการเมือง ชี้รู้นานแล้ว ปูดพรรคทหารเริ่มเดินหาเสียงพื้นที่ปักษ์ใต้ เย้ยไม่ต้องอายหากทำเพื่อชาติ
เมื่อวันที่ 7 พ.ย.นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่าหากมีความจำเป็นคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะตั้งพรรคการเมือง ว่า ในพื้นที่มีคนอ้างว่าเป็นพรรคทหาร รวมถึงอ้างชื่อ พล.ต.ทรงกลด ทิพย์รัตน์ อดีตคณะทำงานเตรียมการปฏิรูปเพื่อคืนความสุขให้คนในชาติด้วย ซึ่งก็ตรงกัน เพราะในพื้นที่ปักษ์ใต้อดีต ส.ส.หลายคนก็บอกกับตนว่าพรรคทหารเดินหาเสียง มีการเปิดตัวอย่างเปิดเผยกันแล้ว ส่วนใหญ่เป็นอดีตนักการเมืองท้องถิ่นเป็นหลัก และข้าราชการเกษียณอายุราชการ ซึ่งก็ตรงกับข้อเท็จจริงที่ตนเคยให้ข่าวไปก่อนหน้านี้ เราจึงไม่แปลกใจ เพราะเรารู้มานานอยู่แล้ว

“ข่าวที่ออกมาวันนี้ไม่แปลกใจ เพราะเขามีสิทธิที่จะทำได้ และปรากฎการณ์แบบนี้เราเคยเห็นมาแล้วในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตนายกรัฐมนตรีเคยตั้งพรรคการเมือง หลังยึดอำนาจมาแล้ว จะแปลกอะไรถ้าในยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ที่มาจากการยึดอำนาจจะไม่ตั้งพรรค หรืออาจจะมีคนตั้งพรรคให้ ผมไม่ได้รังเกียจถ้าจะลงสมัคร ส.ส ในพื้นที่การแข่งกันทำความดี ทำเพื่อชาติ บ้านเมือง ไม่ต้องแอบ ขอให้ประกาศตัวเลยว่าจะลงแข่ง อย่าอาย ผมไม่มีปัญหาอะไรถ้าจะลงสมัคร ส.ส.” นายนิพิฏฐ์กล่าว
///

“เพื่อไทย” ไม่หวั่น คสช.ตั้งพรรค ชี้ ดีกว่ายึดอำนาจเข้ามาบริหารประเทศ



เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุ หากจำเป็น คสช.อาจต้องตั้งพรรคการเมืองว่า ถ้า คสช.ตั้งพรรคการเมืองจริง ก็แสดงว่าแนวความคิดในการจัดตั้งพรรคการเมืองอยู่ในใจของ คสช.มาเป็นระยะเวลานานหรือไม่ คนไทยเลยรู้ถึงสาเหตุที่ต้องมี ส.ว.สรรหา 250 คน ต้องมียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี หรือการส่งคนมาเขียนรัฐธรรมนูญ กติกาการเลือกตั้ง เพื่อจะมาเล่นการเมืองเองจริงหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม การตั้งพรรคการเมืองของ คสช.เพื่อส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้ง ก็ย่อมดีกว่าการยึดอำนาจแล้วเข้ามาบริหารประเทศโดยไม่ผ่านการเลือกตั้ง ไม่ยึดโยงกับประชาชน การลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นการเคารพประชาชน เป็นไปตามครรลองประชาธิปไตย ถ้าตั้งพรรคจริงก็จะได้เรียนรู้ถึงเนื้อหาสาระของประชาธิปไตย จะได้รู้ว่าการเสนอตัวเพื่อให้ประชาชนเลือกนั้นยากหรือง่ายกว่าการยึดอำนาจเข้ามาบริหารประเทศ พรรคเพื่อไทยรู้สึกเฉยๆ กับการตั้งพรรคหรือไม่ตั้งพรรคของ คสช. ไม่ว่าจะตั้งเอง หรือนอมินีของ คสช. เพราะการตั้งพรรคเป็นสิทธิของคนไทย ถามว่าการคงอำนาจตามมาตรา 44 จนถึงวันเลือกตั้ง เป็นธรรมต่อพรรคการเมืองอื่นหรือไม่ การลงพื้นที่เพื่อแจกบัตรสวัสดิคนจน การออกมาตรการช้อปช่วยชาติเป็นยุทธศาสตร์ในการหาเสียงล่วงหน้าหรือไม่ เป็นธรรมต่อพรรคการเมืองอื่นหรือไม่
///

มีชัยปัดเอี่ยว คสช.ตั้งพรรค แจงทำงานเสร็จก็กลับบ้าน จ่อชงกม.สส.-สว. 28 พ.ย.นี้



“มีชัย” ปัดเอี่ยว คสช.ตั้งพรรค แจง ทำงานเสร็จกลับบ้านได้ ปรับแผน ชงกฎหมายส.ว.พร้อมส.ส. 28 พ.ย.นี้ เตรียมหารือ สนช.ตั้งกมธ.ชุดเดียวถก 2 ฉบับลื่นกว่า

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 7 พฤศจิกายน ที่รัฐสภา นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวถึงกระแสข่าวคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เตรียมตั้งพรรคการเมือง ว่า ตนไม่ได้รับมอบหมายจากใครเพื่อทำหน้าที่ประสานกับอดีตนักการเมืองเพื่อตั้งพรรค เพราะตนไม่มีความรู้ กลุ่มที่ไปเที่ยวเมืองจีนกันก็ไปเที่ยวกันปกติ ตนไม่รู้เรื่อง ไม่ได้คุยเรื่องการเมืองกัน บางคนก็เลิกเล่นการเมืองไปแล้ว เป็นข่าวลือ คิดกันไปเองที่เกิดขึ้นหลังจากตนกลับจากเมืองจีนแล้ว ไปอุปโลกใครขึ้นมา พลตรีอะไรนั่น ซึ่งเขาก็ปฏิเสธแล้ว ส่วนการตั้งพรรคการเมือง สำหรับคนที่เป็นรัฐมนตรีตอนนี้ สามารถทำได้ ไม่มีอะไรห้าม แต่ถ้าจะลงส.ส.นั้น ตามรัฐธรรมนูญ บทเฉพาะกาลกำหนดให้ คนที่ดำรงตำแหน่งใน คสช. ครม. และสนช. ต้องลาออกภายใน 90 วัน นับจากรัฐธรรมนูญประกาศใช้ ซึ่งตอนนี้มันเลยกำหนดมาแล้ว ส่วนกรธ.ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง 2 ปี ส่วนที่มองว่า หลังรัฐประหารต้องตั้งพรรคการเมือง เพื่อระวังเมื่อลงจากหลังเสือนั้น เป็นเพียงความคิดเห็น จะให้บอกว่า ควรหรือไม่ควรคงตอบไม่ได้ เพราะไม่เคยทำ ซึ่งก็ไม่จำเป็น เมื่อทำงานเสร็จก็กลับบ้านได้


ส่วนความคืบหน้าการจัดทำร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว. และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. นั้น นายมีชัย กล่าวว่า เบื้องต้นกฎหมายส.ว.เสร็จแล้ว กำลังดูกฎหมายเลือกตั้งส.ส.อยู่ ซึ่งพบว่า จะปล่อยกฎหมายส.ว.ไปก่อนไม่ได้ หลายส่วนมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน เช่น กลไกจัดการเลือกตั้ง บทลงโทษสำหรับคนทำผิด ที่แม้ส.ว.จะให้เลือกไขว้ และส.ส.ให้เลือกตรง ซึ่งต่างกัน แต่กลโกงอาจมีความใกล้เคียงทับซ้อนกัน จึงคาดว่า จะส่งกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณา พร้อมกันในวันที่ 28 พฤศจิกายนนี้ เผื่อมีการแก้ไขจะได้ไม่ขัดแย้งกัน พร้อมทั้งมีแนวคิดจะหารือกับสนช.ถึงความเป็นไปได้ในการตั้งกมธ.ชุดเดียวเพื่อพิจารณากฎหมายทั้ง 2 ฉบับไปเลย แล้วใช้การตั้งอนุกมธ.ช่วยดู จะได้คุยกันง่ายขึ้น
///

สมชัย ค้านแนวคิดห้ามทำโพลเลือกตั้ง ส.ส. ชี้ โลกประชาธิปไตย ไม่มีใครเขาห้ามกัน


“สมชัย” ชำแหละร่างกฎหมายลูกเลือกตั้ง ส.ส. ค้านแนวคิดห้ามทำโพลเลือกตั้ง ส.ส. ชี้เป็นงานวิชาการที่สะท้อนสังคม

เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าววิจารณ์ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ของกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ว่า การที่ กรธ.ห้ามทำโพลที่มีลักษณะชี้นำ หรือมีผลต่อการตัดสินใจต่อการลงคะแนน หากมีการดำเนินการมีโทษทั้งจำ ทั้งปรับนั้น ในประเทศตะวันตกที่เป็นต้นแบบประชาธิปไตย การทำโพลไม่เป็นเรื่องต้องห้าม สื่อมวลชนหรือสถาบันวิชาการต่างๆ มีการทำโพลกันหลายสิบครั้งก่อนการเลือกตั้ง ไม่มีการห้ามการเผยแพร่ผล เพราะเป็นวิจารณญาณของผู้อ่านผลโพลเองว่า สมควรเชื่อหรือไม่ โพลมีทั้งผิดและถูก และครั้งใหญ่ๆ หลายครั้งโพลที่ออกมากับผลก็แตกต่างกัน เช่น กรณีทรัมป์ กับฮิลลารี โพลทุกโพลแทบจะประเคนชัยชนะให้กับฮิลลารีด้วยซ้ำ แต่ผลเป็นเชิงตรงกันข้าม อย่างไรก็ตาม การทำโพลมีข้อดีในด้านที่ทำให้ผู้สมัครได้ทราบถึงคะแนนเสียงและจุดอ่อนของตน และนำไปสู่การปรับปรุงนโยบายและกลยุทธ์ในการหาเสียง ในขณะเดียวกัน โพลอาจมีส่วนช่วยป้องกันการทุจริตเลือกตั้งได้ ยกตัวอย่างเช่น หากโพลออกมาตรงกันว่าในพื้นที่นี้ใครชนะอย่างถล่มทลาย แต่หากผลกลับเป็นตรงข้าม อาจเป็นข้อสังเกตได้ว่า อาจจะมีการกระทำที่ไม่ถูกต้องบางอย่างให้ผลการเลือกตั้งเปลี่ยนไป

“ไม่มีโพลใดที่ไม่มีอิทธิพล หรือไม่มีผลต่อการตัดสินใจในการลงคะแนน ในทางวิชาการเราเรียกสิ่งนี้ว่า ผลของสมัยนิยม หรือ Bandwagon effect คล้ายว่า หากกระแสนิยมส่วนใหญ่ในสังคมไปในทิศทางใด ก็มีแนวโน้มที่จะจูงใจให้คนเลือกตาม ดังนั้น หากกำหนดถึงขั้นว่าห้ามทำโพลที่มีผลต่อการตัดสินใจในการลงคะแนน นั่นแปลว่า คงไม่มีสำนักโพลใดกล้าทำโพลอีกแล้ว เพราะเสี่ยงที่จะถูกกฎหมายเล่นงานว่ามีผลต่อการตัดสินใจ คำถามของโพลที่อาจจะเกิดขึ้น คงตอบได้แค่ไป ไม่ไปเลือกตั้ง หรือได้คำตอบแล้วต้องมีใส่รหัสปริศนาให้คนตีความ เช่น พรรคที่มีสัญลักษณ์เป็นวัตถุสิ่งของ มีคะแนนนำพรรคที่มีสัญลักษณ์เป็นสิ่งมีชีวิต” นายสมชัยกล่าว

ครม.พลิกคำสั่งมท. เด้งผู้ว่าฯชลบุรี-นนทบุรี เข้ากรุสำนักนายกฯ ให้รองผู้ว่าฯรักษาการ

ครม.พลิกคำสั่งมท. เด้งผู้ว่าฯชลบุรี-นนทบุรี เข้ากรุสำนักนายกฯ ให้รองผู้ว่าฯรักษาการ


“บิ๊กป๊อก” เผย ครม.พลิกคำสั่ง เด้งพ่อเมืองชลบุรี-นนทบุรี” เข้ากรุสำนักนายกฯ ” อยู่โดยไม่มีกำหนดเวลา ระบุให้รองอาวุโสทั้ง 2 จังหวัดรักษาการแทนผวจ.ก่อน

เมื่อเวลา 14.45 น. วันที่ 7 พฤศจิกายน ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายผวจ.ชลบุรี ไปดำรงตำแหน่งผวจ.สมุทรปราการ และผวจ.นนทบุรีไปดำรงตำแหน่งผวจ.นครสวรรค์ ที่เสนอเข้าคณะรัฐมนตรี(ครม.)จากกรณีปมปัญหาความไม่เรียบร้อยในงานพระราชพิธีฯว่า ในที่ประชุมครม.ได้มีการเปลี่ยนแปลงคำสั่ง โดยตนได้ขอเรื่องคืนมาและได้ขออำนาจนายกรัฐมนตรีให้ผวจ.ชลบุรี และผวจ.นนทบุรีมาช่วยราชการปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักนายกรัฐมนตรี โดยไม่ขาดจากตำแหน่ง ซึ่งจะเป็นไปตามกฎหมายโดยรองผวจ.ทั้งสองจังหวัดที่มีอาวุโสถัดไปต้องมารักษาราชการแทน

เมื่อถามว่าในการโยกย้ายสลับครั้งนี้ติดปัญหาอะไรหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า น่าจะเป็นเรื่องของความเหมาะสม และให้ดีที่สุดคือการนำผวจ.ชลบุรี และผวจ.นนทบุรี เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักนายกฯครั้งนี้ โดยยังไม่มีกำหนดเวลาว่าจะต้องปฏิบัติหน้าที่ไปถึงเมื่อไร

“หากมีมาตรการแบบนี้ แล้วจะเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ หรือไม่ ผมคิดว่าไม่มีอะไรที่จะเป็นอย่างนั้น สังคมต้องอยู่ด้วยความเป็นจริง แล้วเราก็รับฟังเสียงของพี่น้องประชาชน หน้าที่ของข้าราชการก็คือปฏิบัติหน้าที่ให้ประชาชน หรือสังคมเกิดความเข้าใจ จากการสอบสวนผู้ว่าฯทั้ง 2 คนพบว่าไม่มีความผิด แต่เพื่อให้การทำงานเดินไปอย่างราบรื่น วิธีนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด”รมว.มหาดไทย กล่าว

แก้ให้ยุ่ง

แก้ให้ยุ่ง

ลำพัง พ.ร.บ.พรรคการเมืองฉบับใหม่ที่คลอดออกมาบังคับใช้ก็ยุ่งยากจะแย่อยู่แล้ว

ร่าง พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส. ที่ กรธ.ของ อจ.มีชัย ฤชุพันธุ์ ภูมิใจนำเสนอในลำดับต่อไปจะเพิ่มความยุ่งหยอยเป็นฝอยขัดหม้อยิ่งขึ้นเป็น 2 เท่า

ยุ่งอย่างไร? ยุ่งตรงไหน? ทำไมถึงยุ่ง?

คนที่จะตอบคำถามเหล่านี้ได้ชัดที่สุดตรงเป้าที่สุด คือคณะกรรมการ กกต.ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบจัดการเลือกตั้ง

และ กกต.ที่จะวิจารณ์ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ได้แซ่บอีหลีที่สุดก็ต้องเป็นคนนี้เท่านั้น

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ฝ่ายจัดเลือกตั้ง (ซึ่งกำลังจะโดนเซ็ตซีโร่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า)

“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่า ท่าน กกต.สมชัย ได้ชี้ให้เห็นว่าร่าง พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.ฉบับใหม่ แทนที่จะทำให้การเลือกตั้ง ส.ส.มีความโปร่งใสสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

แต่ กรธ.ของ อจ.มีชัย ไปแก้ไขกติกาการเลือกตั้ง ส.ส.ให้ยุ่งยาก และไม่สะดวกมากขึ้น

ตัวอย่างเช่น...แทนที่จะกำหนดให้ผู้สมัคร ส.ส.พรรคเดียวกัน ใช้เบอร์เดียวกันทุกเขตเลือกตั้งอย่างเดิม
พระคุณท่านไปแก้ไขให้ผู้สมัคร ส.ส.พรรคเดียวกันแต่คนละเขต ต้องใช้หมายเลขต่างกัน

เมื่อผู้สมัคร ส.ส.พรรคเดียวกัน ใช้หมายเลขไม่เหมือนกัน ชาวบ้านจะสับสนเพราะจำเบอร์ผู้สมัครพรรคที่ต้องการเลือกไม่ได้

กกต.เองก็สับสน เพราะต้องพิมพ์บัตรเลือกตั้ง ส.ส.เขต 350 เขต แตกต่างกันถึง 350 แบบ

การพิมพ์บัตรเลือกตั้งจะยุ่งยากขึ้น และแพงขึ้น

ถ้าหาก กกต.เกิดส่งบัตรเลือกตั้งสลับเขตแม้เพียงหน่วยเดียว จะเกิดปัญหาวุ่นวายจนประกาศผลเลือกตั้งไม่ได้

ยิ่งกว่านั้น การที่ ส.ส.ระบบเขตพรรคเดียวกัน มีหมายเลขแตกต่างกันยังทำให้การรวมคะแนนเลือกตั้ง ส.ส.เขต มีโอกาสผิดพลาดง่ายขึ้น

และต้องใช้เวลาตรวจสอบก่อนประกาศผลเลือกตั้งยาวนานขึ้น

สรุปว่าร่าง พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.ฉบับใหม่ทำให้เรื่องสั้นกลายเป็นเรื่องยาว ทำเรื่องง่ายให้กลายเป็นเรื่องยาก

“แม่ลูกจันทร์” เห็นด้วยว่าการแก้ไขกติกาให้ผู้สมัคร ส.ส.เขตพรรคเดียวกัน ต้องใช้หมายเลขต่างกัน จะสร้างปัญหาตามมาอีกบานแห้ว

ยัง...ยังไม่จบ กกต.สมชัย ยังวิจารณ์ร่าง พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.ฉบับใหม่ที่กำหนดให้หน่วยเลือกตั้งต้องรองรับผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งจำนวนมากขึ้น

โดยปกติหน่วยเลือกตั้ง 1 หน่วยจะรองรับผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้ง 600 คน หรืออย่างมากไม่เกิน 800 คน

แต่ร่าง พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.ฉบับใหม่ ไปเพิ่มสัดส่วนผู้ใช้สิทธิ 1,000 คน ต่อหนึ่งหน่วยเลือกตั้ง

ทำให้หน่วยเลือกตั้งทั่วประเทศ ซึ่งเคยมีถึง 95,000 หน่วย จะเหลือเพียง 60,000 หน่วยเลือกตั้ง

ประชาชนจึงต้องเดินทางไปใช้สิทธิเลือกตั้งไกลขึ้น

ต้องเข้าคิวต่อแถวเพื่อหย่อนบัตรนานขึ้น

แทนที่จะช่วยให้ประชาชนไปเลือกตั้งสะดวกขึ้น

กลับเพิ่มความไม่สะดวกให้ประชาชนมากขึ้น

แถมการลดกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งจาก 9 คน เหลือ 5 คน ก็ไม่รู้จะลดทำไมในเมื่อต้องดูแล
ประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งเพิ่มขึ้น

เออแน่ะ...มันแปลกดีมั้ยล่ะ.

"แม่ลูกจันทร์"

ปรับ ครม.ต้องทำเร็ว

ปรับ ครม.ต้องทำเร็ว

ถ้าสิ้นปีนี้มีการจัดอันดับผู้ทรงอิทธิพลในประเทศไทย ต้องมีชื่อของนายอาทิวราห์ คงมาลัย หรือ “ตูน บอดี้สแลม” นักร้องคนดังติดอยู่ในลำดับต้นๆแน่นอน

เพราะถึงตอนนี้ “ตูน บอดี้สแลม” ได้กลายเป็นจุดโฟกัสของเมืองไทย

ในอารมณ์ของคนรุ่นใหม่ที่ได้ก้าวข้ามเงื่อนไขความขัดแย้งทั้งหมดทั้งปวงในบ้านเมืองไปแล้ว จากแนวโน้มก่อนหน้าที่มีเสียงเจี๊ยวจ๊าวจากฝ่ายที่เห็นด้วยและฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย

ลากเอามาเป็นปมขัดแย้ง แฝงความแตกแยกทางการเมืองจนได้

แต่ก็อย่างที่เห็น ภาพของนักร้องดังที่ไม่ต่อล้อต่อเถียงกับใคร มุ่งหน้าทำในสิ่งที่ตั้งใจ และเขาก็ทำให้เห็นจากภาพข่าวในการทำให้บรรยากาศใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่อึมครึม จากเบตง จังหวัดยะลา ผ่านโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี เข้าจังหวัดสงขลา ล้างภาพ “ดินแดนอันตราย”

ตลอดสองข้างทางมีพี่น้องชาวมุสลิมมาคอยให้กำลังใจ ร่วมบริจาคสมทบทุนโครงการ

โดยไม่มีอาการตั้งแง่ “แบ่งแยก” แต่อย่างใด

เรื่องยากๆแต่นักร้องดังสามารถสร้างปรากฏการณ์ใหม่ได้ มันก็ไม่แปลกกับมุกที่ชื่อ “ตูน บอดี้สแลม” มีลุ้นติดโผปรับ ครม. คั่วเก้าอี้รัฐมนตรีสาธารณสุข จากความสามารถในการระดมเงินช่วยโรงพยาบาล

ข่าวขำๆอำกันเล่นๆ แทรกบรรยากาศซีเรียส

สถานการณ์เครียดๆในการปรับคณะรัฐมนตรี ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์กดดันภาวะผู้นำของ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช.

ส่อเค้าต้องยกเครื่องใหญ่ ลดสัดส่วนโควตาทหาร

ไหนจะอาการโคม่าของเพื่อนพ้องน้องพี่ที่กระเตงอยู่รอบเอว ยากจะลากถูลู่ถูกัง

ตามรูปการณ์ที่ต้องดำเนินการปรับ ครม.โดยเร็ววันนี้ เพราะมันยังมีปัญหาที่โยงกับปมรัฐมนตรีหลายคนอยู่ในข่ายโดนร้องถือหุ้นสัมปทานรัฐเกิน 5 เปอร์เซ็นต์

เป็นจังหวะ “อำนาจ” กระเพื่อม ที่ต้องจำกัดวงลุกลามโดยเร็ว

ที่สำคัญ “บิ๊กตู่” จำเป็นต้องใช้เกมปรับ ครม.ในการผ่อนแรงเสียดทาน

เคลียร์ 2 สภาวการณ์ที่จ่ออยู่ตรงหน้า

ด้านหนึ่งก็เสียงร้องให้ปลดล็อกกฎเหล็กพรรคการเมือง ตามสถานการณ์ที่โพลทุกสำนัก ทั้งสวนดุสิตโพล กรุงเทพโพล สะท้อนตัวเลขตรงกัน ชาวบ้านเชียร์ให้ คสช.คลายกฎเหล็ก

เพื่อสร้างบรรยากาศเลือกตั้ง ตามสไตล์คนไทยที่หวังน้ำบ่อหน้า

แต่ก็อย่างที่เห็นกัน ขนาดยังไม่มีการปลดล็อกให้เป็นทางการ ทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ ต่างปล่อยแถวทหารเลียบค่ายออกมาถล่มรัฐบาล คสช. บ้อท่าในการบริหาร โดยเฉพาะการมุ่ง ทุบจุดแข็งที่แฝงความเปราะบาง นั่นคือทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล

ผลิตข่าวซ้ำๆ ตอกย้ำกรอกหูชาวบ้าน

ลำพังแค่พวกเหรียญสลึง เหรียญบาท หน้าเดิมๆ ชื่อซ้ำๆ ยังทำเอารัฐบาลเซแซดๆ ถ้าปลดล็อกให้พวก “ขาใหญ่” ออกมาอาละวาดกันเต็มรูปแบบ มีหวังป่าช้าแตกแน่

“บิ๊กตู่” คงต้องยื้อปลดล็อกการเมือง เท่าที่โอกาสจะเอื้อให้ยื้อได้

และอีกจุดที่จะหนีไม่ออก ก็คือแรงกดดันเลือกตั้ง ยึดเอาตามที่ “บิ๊กตู่” ประกาศมัดคอตัวเอง จะประกาศเลือกตั้งในเดือนมิถุนายน 2561 และหย่อนบัตรกันช่วงปลายปี

จากนี้ไปมีหวังโดนนักการเมืองจี้คอหอยถามไม่เลิกแน่

แต่โดยสภาพการณ์แบบที่เห็นและเป็นไป ภายใต้เงื่อนไขที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม เบอร์หนึ่งความมั่นคง ล็อกไว้ จะเลือกตั้งได้ก็ต้องให้กฎหมายลูกประกอบรัฐธรรมนูญเสร็จเรียบร้อยก่อนทุกฉบับ

และเท่าที่จับอาการได้ จุดของความยุ่งเหยิง ความขัดแย้ง ไม่ลงรอยกันในหมู่ทีมงานผู้ออกแบบคือกรรมการร่างรัฐธรรมนูญกับฝ่ายที่ต้องอนุมัติแบบคือสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)

ต่อล้อต่อเถียงกันแบบไม่มีใครยอมใคร ทั้งในส่วนของร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และโดยเฉพาะร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

โอกาสปัจจัยแทรกซ้อนทำให้กฎหมายลูกเสร็จไม่ทัน เกิดขึ้นแน่ๆ ยังไงก็หนีไม่พ้น

ไม่ว่าจะด้วยความ “จงใจ” หรืออุบัติเหตุตามเทคนิคกฎหมายที่จะทำให้เลือกตั้งไม่ได้

มันไม่ได้อยู่ในวิสัยที่ “นายกฯลุงตู่” จะควบคุมได้เลย.

ทีมข่าวการเมือง