PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

เกมเหนือเกมของประยุทธ์



แล้วจะตั้งได้มั้ยเนี่ย

                รัฐบาลน่ะ!

                เห็นคณะสามมิตร "สุริยะ-สมศักดิ์-อนุชา" ประทับทรงวิญญาณนักเลือกตั้ง "ยุคทักษิณ" ตวัดลิ้น ฟาดหาง 

                น่ากลั๊ว..น่ากลัว

                โกรธที่สุริยะอดนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีพลังงานตามต้องการ แถมอนุชาหลุดโผ ครม.ไปอีกคน

                จึงใช้ ๓๑ ส.ส. "คณะสามมิตร" เป็นอาวุธ "ไฮแจ็กพรรค"

                ให้เอา ๑ สนธิรัตน์ มาแลก ๓๑ มือ ส.ส.!

                พลังประชารัฐ เลือกเอา.....

                จะเอา ๑ สนธิรัตน์ "เลขาฯ พรรค" ไว้ หรือจะเอา ๓๑ ส.ส.ไว้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก ก็จงเร่งตัดสินใจ

                นี่ถ้าเป็นหนัง-ละคร ก็ต้องบอกว่า พล็อตเรื่อง "เน่า" สุดๆ

                แล้วท่าน "รองนายกฯ สมคิด" ล่ะ ว่าไง?

                ในเมื่อ หัวใจมี ๔ ห้อง ห้องหนึ่งก็สนธิรัตน์ อีก ๓ ห้อง ก็ "สุริยะ-สมศักดิ์-อนุชา"

                เอ๊ะ..หรือว่า ปัญหานี้ มาจากหัวใจ "เต้นผิดจังหวะ" ของท่านรองฯ สมคิดเอง?

                ดูๆ แล้วก็งงเต็ก....... 

                เก้าอี้ "พลังงาน" ตัวเดียวแท้ๆ ทำให้ "เทพ" คืนร่าง "มาร" ได้ฉับพลัน น่าเสียดายกว่า ซื้อ ๖๘ ดันออก ๘๖ ซะอีก

                 "กระทรวงพลังงาน" เป็นถ้ำลิเจีย "ขุมทองโกโบริ" หรือไฉน สามมิตรจึงตัดตาย-ขายขาดพร้อม "คืนอเวจี" ถ้าไม่ได้เก้าอี้พลังงาน?     

                ดูแล้ว แฟนๆ นายกฯ ลุงตู่ "ใจหาย-ใจคว่ำ" แทน 

                กลัวรัฐบาลพลังประชารัฐ เกยหินน้อยๆ แล้วพลอยล่มปากอ่าว

                ก็อยากจะบอกแฟนคลับนายกฯ ว่า 

                ลุ้นได้ แต่ไม่ต้องห่วง

                นายกฯ ลุงตู่ซะอย่าง สบายไป ๘ อย่าง ถึงบอกไม่เชื่อ ก็ต้องเชื่อ!

                ทุกอย่าง เป็นอย่างที่นายกฯ พูดวันก่อนนั่นแหละ........

                "คณะรัฐมนตรีเป็นของคนทั้งประเทศ ไม่ใช่ของจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง ทั้งหมดต้องตอบความต้องการของประชาชนได้ และต้องเป็นรัฐบาลของคนทั้งประเทศให้ได้" 

                แต่ถ้าถามว่า.......

                แล้วนายกฯ ประยุทธ์จะแก้ปัญหานี้อย่างไร โดยพรรคไม่แตก รัฐบาลพลังประชารัฐไม่แท้งคามดลูก?

                ตอบง่ายมาก...........

                สมมุติรัฐบาลเลือกตั้ง "พลังประชารัฐและพรรคร่วม" รวมถึง ส.ส. "ตาย"

                แต่นายกฯ ประยุทธ์ "ไม่ตาย" 

                ยังคงเป็นผู้นำ "รัฐบาล คสช." บริหารประเทศต่อไปด้วย "อำนาจเต็ม" ตามรัฐธรรมนูญเหมือนเดิม!

                ฉะนั้น จึงไม่ต้องห่วง ห่วงแต่ท่าน ส.ส.ผู้ทรงฤทธิ์-ทรงเดชคณะสามมิตรนั่นเถอะ 

                ในเมื่อ พรรคพลังประชารัฐเป็นเหมือน "บ่อทิพย์" ให้การเมืองมารแต่หนหลัง "ชุบร่าง" เปล่งปลั่งเป็นทองเทพเช่นนี้แล้ว

                การผลีผลามตามแต่ใจตนเอง มันก็มีแต่เสียกับเสีย มิสู้อดออมไว้ สมหวังบ้าง ผิดหวังบ้าง แล้วซื้อทางอนาคต รักษาบทเทพ มันจะไม่ดีกว่าหรือ?

                เรื่องง่ายๆ อย่างนี้ คนระดับสุริยะ "คิดไม่ได้" มันก็น่าแปลกใจ 

                ที่รอดตายจนสามารถอยู่ดูโลกการเมืองอันโศภินได้ถึงวันนี้-นาทีนี้ มันไม่มีอะไรเป็นบทเรียนที่ทำให้คุณสุริยะใช้ "ชั่งใจ" บ้างเลยเชียวหรือ?

                ที่ทำอยู่ตอนนี้ มันเหวนะ........

                "กลับใจ" คือ "ฟากฝั่ง" เพราะรักในคำพูดวันแรกๆ ที่เข้ามาหรอกนะ จึงฝากคุณสุริยะคิด ด้วยหวังดี

                ตำแหน่ง-ยศ-เงินทอง มันหาได้

                "โอกาส" ที่จะกลับตัว-กลับใจตะหาก ที่หายาก เมื่อมันมีมาถึงแล้ว ให้โมหะบังเช่นนี้ เสียดาย..เสียดาย!

                ขณะนี้ คณะสามมิตร ยืนอยู่ปากทาง ๓ แพร่ง ก็อยู่ที่บุญวาสนาและชะตาโชคของคุณ "สุริยะ-สมศักดิ์-อนุชา" นั่นแหละว่า

                จะตัดสินใจพาชาวคณะ ๓๑ ส.ส.ก้าวเดินไปทางแพร่งไหน ก็ขอให้โชคคคค...ดี!

                พูดถึงคำว่า "การเมือง" ต้องบอกว่า พลเอกประยุทธ์ อดีตผู้นำ "เผด็จการทหาร"

                เมื่อสู่ระบบประชาธิปไตยเลือกตั้ง เหมือน "ปลาลงน้ำ-เสือเข้าป่า"

                นะโม ของนายกฯ ประยุทธ์วันนี้ คือ "ประชาชน"

                ก็ดูซี....

                เป็นรัฐบาลต้อง "ยึดเสียง" พรรคร่วมและ ส.ส.

                แต่ประยุทธ์ ไม่แคร์ทั้งพรรค ทั้งก๊วน ส.ส.

                กลับแคร์ "ประชาชน" ยึดเสียง "ประชาชน" เป็นที่ตั้งในการคัดสรรคนขึ้นเป็นรัฐมนตรี!

                เห็นชัดในการเป็น "นายกฯ ของประชาชน" จากสารพลเอกประยุทธ์ถึงประชาชน เมื่อวาน (๑  ก.ค.๖๒)

                ปรารภเหตุจาก "คณะสามมิตร" เล่นบท "ถอนเสา-เผาหลังคา" พรรคตัวเอง แล้วนายกฯ ก็ออกมาขอโทษ-ขอโพยอ่านกันเองละกัน

                                                สารจากนายกรัฐมนตรี

                                                --------------------------

                “นายกรัฐมนตรีมีความรู้สึกไม่สบายใจ และต้องขอโทษพี่น้องประชาชนแทนพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะเป็นบุคคลที่พรรคเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี 

                เนื่องจากในห้วงเวลานี้ มีข่าวสารความขัดแย้งภายในพรรคปรากฏตามสื่อต่างๆ มากมาย           

                อย่างไรก็ตาม​ นายกรัฐมนตรีจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ถึงแม้จะมีปัญหาอยู่บ้างในการบริหารภายในพรรค 

                เนื่องจากเป็นพรรคที่จัดตั้งขึ้นใหม่​ สมาชิกมาจากหลายกลุ่มหลายสาขาที่มีความมุ่งมั่นจะทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและหน้าที่บริหารในคณะรัฐมนตรีให้ดีที่สุด

                การบริหารบุคลากรเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ทุกคนพึงพอใจ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ทำอย่างไรประชาชนจะมีความเชื่อมั่นในรัฐบาล และทุกพรรคการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านให้มากที่สุด 

                โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกอย่างจะเดินหน้าต่อไปเพื่อตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชน ในฐานะรัฐบาลของคนไทยทั้งประเทศ 

                ซึ่งจะถือเป็นการเริ่มต้นปฏิรูปทางการเมืองของรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาล

กลับไปเป็นปัญหาเช่นเดิม จนต้องเกิดการแก้ไขปัญหาแบบเดิมๆ ที่ทุกคนไม่ต้องการขึ้นมาอีก

                นายกรัฐมนตรีไม่ได้ต้องการตำหนิใคร หรือสร้างความขัดแย้งใดๆ ขึ้นมาอีก 

                อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี​ คณะรัฐมนตรีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคน ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านก็ต้องทำงานให้ได้ เพราะทุกคนคือคนไทย 

                แผ่นดินไทยทุกตารางนิ้ว ต้องได้รับการดูแลจากรัฐบาลประชาธิปไตยอย่างทั่วถึงเท่าเทียมและเป็นธรรม ขอบคุณครับ”

                ลึกกว่าที่คิด วิจิตรบรรจงกว่าอาจารย์เฉลิมชัยปั้นจ่าแซม แบบนี้ เขาเรียก "แทงทางยาว" ทะลุไปถึงขั้น

                "หัวหน้าพรรค" ในสเตปต่อไป!

                หลายคนห่วง อย่างที่ว่า จะตั้งรัฐบาลไม่ได้ หรือได้ แต่ที่ปริ่มน้ำอยู่แล้ว พอถึงสภา แค่วันแรกก็...จมเลย

                ตอนนี้ ฝ่ายค้าน ออกแคมเปญใหม่ เป็นว่า เลือกตั้งมา ๓ เดือนแล้ว แต่ตั้งรัฐบาลไม่ได้สักที

                ความจริง ไม่ใช่ ๓ เดือน เพิ่งขยับเขยื้อนกันหลังวันที่ ๙ พฤษภานี่เอง แต่ก็ช่างเหอะ

                เบลเยียม เคยใช้เวลา ๑๘ เดือน คือ ปีครึ่ง กว่าจะตั้งรัฐบาลได้

                เยอรมนี นางแมร์เคิล กว่าจะตั้งรัฐบาลได้ เมื่อปีที่แล้ว ใช้เวลากว่า ๔ เดือน

                เนเธอร์แลนด์ เคยใช้เวลาถึง ๗ เดือน กว่าจะได้รัฐบาลบริหารประเทศ

                แล้วของเรา เพิ่งเดือนกว่า ทำเป็นสะดิ้งประชาธิปไตย ๒๔๗๕ กันไปได้!

                แต่ก็อย่างที่บอก ถึงรัฐบาลเลือกตั้งยังไม่คลอด ก็มีรัฐบาล คสช.บริหารบ้านเมืองแน่นปึ้กอยู่แล้ว

                รัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๖๔ บอก ให้คณะรัฐมนตรี คสช.อยู่ไปจนกว่า คณะรัฐมนตรีที่ตั้งใหม่จากเลือกตั้งครั้งแรกมารับหน้าที่

                "รับหน้าที่" ก็หมายถึงว่า ครม.ชุดเลือกตั้งเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณต่อ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" แล้วนั่นแหละ รัฐบาล คสช.จึงจะพ้นไป

                ชัดๆ ก็คือ ตราบใด ที่ยังไม่มีรัฐบาลใหม่มาแตะมือ รัฐบาล คสช.และคณะ คสช.ก็ยังคงบริหารประเทศอยู่ตามเดิม

                "แตะมือ" หมายถึง นายกฯ เลือกตั้งวันนี้ คือ "พลเอกประยุทธ์" ยังไม่นำคณะรัฐมนตรีเข้าถวายสัตย์ฯ

ตราบนั้น ประเทศไทย ยังคงมี "รัฐบาล คสช." โดย "พลเอกประยุทธ์" เป็นหัวหน้ารัฐบาลบริหารประเทศเหมือนเดิม

                ตรงนี้ไง นายกฯ ประยุทธ์จึงบอก ใครยึดตัวเอง ไม่อยากอยู่..ก็ไป 

                แต่ตัวท่าน ยึดประชาชน การเลือกคนเป็นรัฐมนตรี จึงยึด "มาตรฐานประชาชน" 

                เพื่อให้ประชาชนพอใจ สมกับความเป็นรัฐบาล "ของประชาชน-โดยประชาชน-เพื่อประชาชน"

                เมื่อทราบ "เหตุผล-เงื่อนไข" อย่างนี้แล้ว รัฐบาลจะคว่ำ-จะหงาย ก็ให้มันเป็นไปตามเจตนารมณ์ "ประชาธิปไตย" เลือกตั้งเหอะ

                "รัฐบาลแท้ง" เพราะนายกฯ "แคร์ประชาชน" 

                เก๋กว่า...

                 คลอดออกมา "พ่อเป็นเทพ-ลูกเป็นมาร"! 


เกิดอะไรขึ้นในพลังประชารัฐ

สนิมเกิดแต่เนื้อในตน...

คงจะมาอีหรอบนี้แหละครับ...ปัญหาขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐ แต่คงไม่ถึงขั้นที่จะแยกตัวออกไปจากพรรค

เพราะคงไม่คิดสั้นถึงขนาดไม่ร่วมรัฐบาล

จะไปทางไหนจะไปเป็นฝ่ายค้านก็คงจะเสียค่าโง่หนักเข้าไปอีก เนื่องจากจะไปร่วมงานกับเพื่อไทย อนาคตใหม่นั้นคงจะเข้ากันไม่ได้

การต่อสู้ทางการเมืองที่ผ่านมานั้น โดยเฉพาะการเลือกตั้งที่ผ่านมาห้ำหั่นกันแบบเอาเป็นเอาตายมาแล้ว

แต่คงเป็นปัญหาขัดแย้งภายในมากกว่ายิ่งฟังเสียงนายอนุชา นาคาศัย กรรมการบริหารพรรค ที่มีข่าวว่าจะหลุดจากเก้าอี้รัฐมนตรี

มันบ่งบอกหรือชี้เบาะแสว่าเกิดอะไรขึ้น

“มีกลุ่มการเมืองบางกลุ่มในพรรคคอยรังแกพวกตนอยู่ตลอดเวลาที่เรียกพวกตนว่ากลุ่มสามมิตร ทั้งๆที่เป็นคนของพรรคและเป็นลูกน้องของนายกฯเหมือนพวกเขา ยังคอยรับใช้พวกคุณทำงานให้ทุกเรื่องที่พวกคุณต้องการ ยังคอยรับใช้ให้ทุกเรื่องที่พวกคุณต้องการ”

“จนประสบความสำเร็จให้พวกคุณทุกเรื่อง”

“แต่ก็ยังรังแกให้ร้ายโจมตีต่อผู้ใหญ่ ใช้สื่อโจมตีเสนอแต่เรื่องไม่ดีไม่จริงให้นายกฯและผู้ใหญ่ที่น่านับถือฟังเสียจนพวกตนเป็นคนที่น่ารังเกียจ คิดว่าถ้าพวกคุณรักนายกฯ หรือผู้ใหญ่ที่น่านับถือจริง ขอได้โปรดหยุดการกระทำเหล่านั้นนับแต่บัดนี้”

“พวกคุณอาจลืมว่าเคยใช้อะไรผมไว้บ้าง ทิ้งอะไรไว้ที่ผมบ้าง ถ้าผมโดนรังแกจนทนไม่ได้พวกผมจะให้พวกคุณมีข่าวดังระดับชาติเป็นแน่แท้ ผมเอาแน่ถ้ายังรังแกพวกผมอีก”

“พวกผมจะไม่ทน และตอนนี้...จะทนไม่ไหวแล้ว”

แม้นายอนุชาจะเปิดอกเปิดใจอีกหลายเรื่องหลายประเด็น แต่ที่ยกตัวอย่างแค่นี้ก็พอจะมองเห็นภาพปัญหาขัดแย้งภายในพรรคได้อย่างแจ่มชัด

ว่าที่จริงแล้วเท่าที่ติดตามความเคลื่อนไหวต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นมีปัญหามาตลอด เพียงแต่ยังไม่มีใครนำมาพูดถึง

จนกระทั่งมาถึงเหตุการณ์การถูกเปลี่ยนกระทรวง หลุดโผรัฐมนตรี นั่นแหละคงไม่ทนเก็บเอาไว้ได้แล้ว

นี่จึงเป็นเรื่องที่ “นายคนเดียวกัน” คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และในฐานะผู้นำพรรคโดยปริยายที่จะต้องเร่งสะสางก่อนที่ความเป็น “เอกภาพ” จะล้มละลายไปเสียก่อน

ก็ด้วยความเป็นมาของพรรคพลังประชารัฐนั้นด้วยวัตถุประสงค์และเป้าหมายเพื่อเอาชนะเลือกตั้ง

ลงลึกมากไปกว่านั้นก็คือล้มล้าง “ระบอบทักษิณ” ให้ได้

การระดมนักการเมืองทั้งจากรุ่นเก่า รุ่นใหม่จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง หรือแม้แต่ศิษย์เก่าจากฝ่ายตรงข้ามก็ยังจำเป็น ต้องกระทำ

เพื่อให้ตั้งพรรคได้ผลก็เลยกลายเป็นว่าแมวขาว แมวดำ แมวเทา ก็เอาทั้งนั้น เพราะมิฉะนั้นไม่มีทางชนะเลือกตั้งได้

เมื่อมารวมกันในลักษณะนี้จึงเกิดปัญหาอย่างเลี่ยงไม่พ้น

ระดับแกนนำในระดับหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค จากกลุ่ม 4 รัฐมนตรีนั้นก็เป็นเพียงเพื่อก่อให้เกิดพรรคเท่านั้น

แต่ไม่มีอำนาจตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด เพราะผู้ตัดสินใจได้ก็มีเพียงแค่ พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เท่านั้น

เป็นความจริงทางการเมืองในพลังประชารัฐแกนนำรัฐบาล.

“สายล่อฟ้า”

กระสุนตกที่4กุมาร

จับอาการยามนี้ไม่รู้ “จ่านิว” กับ “สามมิตร” ใครกระอัก “ช้ำใน” กว่ากัน

ตามอารมณ์แบบที่ “เสี่ยแฮงค์” นายอนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท พรรคพลังประชารัฐ ถึง ขั้นยอม “กราบแทบเท้า” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยอมสละตัวเองหลุดโพยรมช.คลังไม่เป็นไร

แต่ขอให้ “เดอะซัน” นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ หัวขบวนกลุ่มสามมิตร ได้นั่ง รมว.พลังงาน

สะท้อนสถานการณ์ “ถอยจนสุดกระดาน”

โดยปรากฏการณ์ที่คนนอกก็เห็นๆกัน “กลุ่มสามมิตร” โดน “ผู้มีอำนาจนอกพรรค” เลือกที่รักมักที่ชังมาตั้งแต่คิวจัดโผปาร์ตี้ลิสต์พรรคพลังประชารัฐที่มีการเปลี่ยนลำดับให้มวยเบอร์รองของประชาธิปัตย์อย่างนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ หัวหอกทีม กปปส.เบียดขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งแทนที่มวยใหญ่อย่างนายสุริยะ

ดอกที่สองแสบกว่า สามมิตรเจอดัดหลัง “ผู้มีอำนาจนอกพรรค” แอบเอากระทรวงเกรดเอที่ตีตราจองไว้ ทั้งคมนาคมและเกษตรฯไปประเคนให้พรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาธิปัตย์

แจกไพ่ ตีโง่ เหยียบตีนกันเล่นกับคนนอกพรรคหน้าตาเฉย

แล้วยังไม่วายมาเจอดอกที่สาม ชื่อ “สุริยะ” ที่ยอมลดชั้นมาปักหลักที่กระทรวงพลังงาน แต่ส่อวืดนาทีสุดท้าย เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ใช้อำนาจสลับโผ เปลี่ยนเก้าอี้ให้ “เดอะซัน” ไปนั่ง รมว.อุตสาหกรรม

นั่นเลยทำให้ “นอตหลุด” ต้องปักหลักสู้จนตรอก

และไฮไลต์มันอยู่ตรงปมที่ “เสี่ยแฮงค์” พูดชัด โดนคนกันเองในพรรค “ข่มเหง” กันมาก เกินไป

และก็เฉลยปริศนาแรก ล่าสุดทีมสามมิตรประกาศกร้าว ส.ส.ในกลุ่ม 30 คนจะยื่นขับไล่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค ที่มีชื่อจ่อเสียบ รมว.พลังงาน แทนนายสุริยะ

“สนธิรัตน์” 1 ใน 4 กุมาร คือโจทก์แรกที่โดนระเบิด

ซึ่งนั่นก็หักมุมกับสถานะทีมสามมิตรที่ปึ้กกับยี่ห้อ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ผู้ปกครองทีม “4 กุมาร”

หรือคิวนี้จะมีรายการหมั่นไส้ ระแวงพวกฉวยคิว “ตามน้ำ”

แต่ที่ลึกไปกว่านั้น เช็กข้อมูลวงในที่ทีมสามมิตรตามแกะรอยได้ ณ “คอนโดโคตรหรู” ย่านถนนวิทยุ ปรากฏคนหน้าเหมือน “เสธ.ตึกไทยฯ” คนดัง ไปนั่งกินข้าวกับบอสใหญ่กลุ่มทุน “พลังงานค่ายดาวรุ่ง” ที่ว่ากันว่าอยู่เบื้องหลังการล็อกตั๋วเก้าอี้ รมว.พลังงานให้ทีม กปปส. เพราะกลัว “สุริยะ” จะทุบหม้อข้าวโปรเจกต์ที่ล็อกไว้

ก่อนจะเกิดเหตุพลิกโผ “เดอะซัน” ส่อโดนชักชื่อออกจาก รมว.พลังงาน โดยรูปการณ์ พล.อ.ประยุทธ์เลือกเชื่อฝ่าย เสธ.เทน้ำหนักให้กับนายทุน กปปส.ที่พันเอวอยู่รอบตัว มากกว่าซื้อใจ “สุริยะ-สมศักดิ์” ทีมสามมิตร ที่ล้วนแต่เป็นขุนศึกในสนามรบ

หน่วยกล้าตายฟาดฟันกับกองทัพของ “นายใหญ่” ดูไบ

จากสงครามภาคแรกในสนามเลือกตั้งกำชัยชนะมาได้ ยังไม่ทันเริ่มสงครามภาคสองในสภา พล.อ.ประยุทธ์ก็ตัดคอฆ่าแม่ทัพ ทำลายขวัญขุนศึกที่จะลุยกับทีมฝ่ายค้าน

โดยสถานการณ์ ใครจะกล้าออกรบตายแทน

ล่าสุดอ่านรูปเกม พล.อ.ประยุทธ์แค่ออกสารนายกฯพูดหล่อๆขอโทษสังคมแทนพรรคพลังประชารัฐ ที่มีข่าวขัดแย้งกันภายใน ขอออกแบบ ครม.เรียกศรัทธาสังคม ส่อ “ปิดกล่อง” ไม่กลับลำตามเสียงขู่เดี๋ยวเสียฟอร์ม ขณะที่ “สุริยะ” กับทีมสามมิตรก็ออกสารล้อทันควัน พร้อมทบทวนท่าทีหนุนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ หากการแต่งตั้งรัฐมนตรีไม่ตรงกับที่ตกลงกัน ณ วันที่ 11 มิถุนายน

เปิดหน้า ท้าวัดดวง วัดใจในห้วงสุกดิบ

แต่ที่จะมันกว่าก็คือตัวละครตามท้องเรื่อง บอสใหญ่ “ค่ายพลังงานดาวรุ่ง” ก็รอเผชิญเกมโหดได้ เพราะทุนใหญ่เปิดหน้าเล่นเองแบบนี้ หนีไม่พ้นธุรกิจโดนเกมการเมืองลากมาขึงพืดสกรัมเละแน่

เดิมพันหักกันแรงๆ หนีไม่พ้นต้องจบแบบพังกันไปข้าง

หันไปอีกทาง อีก 1 ในทีม 4 กุมารก็กำลังโดนล็อกเป้า ตามสภาพคน “คุมเงินประเทศ”

โฟกัส “อุลตร้าอุตตม” นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ว่าที่ “ขุนคลัง” ที่โดนรุม ไล่เตะเจาะยางตั้งแต่หัววัน ทั้ง “เสี่ยแดง” นายพิชัย นริพทะพันธุ์ สายตรงนายใหญ่ดูไบ แซะปม “อุตตม” มีเอี่ยวคดีทุจริตปล่อยกู้กรุงไทย ที่ “นายน้อย” อย่าง “เสี่ยโอ๊ค” นายพานทองแท้ ชินวัตร ส่อติดบ่วงดิ้นไม่หลุด

ต่อเนื่องกับนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตขุนคลังรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” แต่ฝักใฝ่พันธมิตรฯ ก็ออกมาตั้งป้อมคัดค้านการตั้ง “อุตตม” อ้างขัดกฎหมาย ทำลายจริยธรรม

ย้ำปมเก่า เล่นมุกเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งๆที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาชัดเจนแล้ว นายอุตตมถูกกันเป็นพยาน ในฐานะบอร์ดกรุงไทยที่ยืนยันมีคำสั่งจากซุปเปอร์บอสอยู่เบื้องหลัง ตั้งแต่ตอน “ทักษิณ” เรืองอำนาจ

นั่นแสดงว่า “อุตตม” อาจหาญฝืนคำสั่ง “นายใหญ่” ไม่ได้เอี่ยวตั้งแต่ต้น

แต่ก็ยังมีคนหมั่นไส้ลากเอามาทิ่มกัน นั่นเป็นเพราะ “อุตตม” คือหนึ่งในทีมเศรษฐกิจของกัปตัน “สมคิด” เป็นจุดแข็งเบอร์ต้นๆของ ครม. “ประยุทธ์ ภาค 2” ทั้งภาพมือบริหารและความโปร่งใส

อีกมุมก็แฝงจุดเปราะบาง เป็นเทคโนแครตไม่เชี่ยวเชิงการเมือง ไม่ค่อยมีปากมีเสียง

ไม่ทนกับเกมสกปรก โดน “ขู่กรรโชก” ตกใจง่าย.

ทีมข่าวการเมือง

"สุริยะ" ต้องได้พลังงาน สามมิตรบู๊ แฮงค์ รมช. คลัง!

ถ้าไม่ได้-มีปัญหา ตะเพิดเลขาพรรค "สนธิรัตน์" รีบคาย บิ๊กตู่ขอโทษปชช.

สามมิตรเล่นแรง กดดัน “บิ๊กตู่” อย่าเปลี่ยน โผ “เสี่ยแฮงค์” ย้ำให้ยึดดีลเดิมตัวเอง รมช. คลัง “สุริยะ” ต้องนั่ง รมว.พลังงาน ยกงานในสภาฯขึ้นข่ม ลั่นถ้าไม่ได้ตามนี้ทบทวนจุดยืนอีกครั้ง “สิระ” รุกฆาตยื่นขับไล่ “สนธิรัตน์” พ้นเลขาพรรค ซัดบริหารงานผิดพลาด-ทำพรรคแตกแยก-ไร้ภาวะผู้นำ-เข้าถึงยาก-ไม่เห็นหัว ส.ส. “สนธิรัตน์” ทนแรงบีบไม่ไหวยอมคายพลังงาน ยันไม่ได้จิ้มเลือกกระทรวงเอง “บิ๊กตู่” ไม่สบายใจ ศึกแย่งชามข้าวใน พปชร. ร่อนสารขอโทษประชาชน ยังหวังจะเดินหน้าต่อไปได้ “บิ๊กป้อม” เชื่อมั่นความเด็ดขาดเอาอยู่ พท.ปราม “พี่ใหญ่-พี่รอง-น้องๆกุมาร” เพลาๆลงหน่อย 7 พรรคผุดแคมเปญฝ่ายค้านเพื่อประชาชน “เจ๊หน่อย” โวยวุ่นในรัฐบาลไม่พอยังป่วนมาถึงฝ่ายค้าน

ปัญหาการจัดโผ ครม.รัฐบาลประยุทธ์ 2 หุบไม่ลง แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. จะออกมาปรามให้หยุดเคลื่อนไหว แต่ล่าสุดกลุ่มสามมิตรยังคงยืนยันตามข้อตกลงเดิม และเตรียมยกระดับการกดดันขับไล่ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ พ้นจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ


“บิ๊กตู่” ปิดปาก พปชร.ฟัดกันนัว

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 1 ก.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 7/2562 ก่อนเข้าประชุมผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการทบทวนรายชื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใหม่อีกหรือไม่ หลังในพรรค พลังประชารัฐมีปัญหาความขัดแย้ง พล.อ.ประยุทธ์ได้แต่ยิ้มโดยไม่ตอบคำถามใดๆ เมื่อถามย้ำว่าได้นำรายชื่อ ครม.ชุดใหม่ขึ้นทูลเกล้าฯแล้วหรือยัง พล.อ.ประยุทธ์หันมาตอบว่า “ถามกันแต่โผยันแหละ”


ขอโทษประชาชนศึกแย่งชามข้าว

ต่อมาเวลา 11.30 น. หลังการประชุม กพอ. ทีมงานนำสารนายกฯที่อ้างว่าเป็นของ พล.อ.ประยุทธ์มาแจกผู้สื่อข่าว มีเนื้อหาชี้แจงปัญหาความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐจากการจัดตั้ง ครม.ว่า นายกฯมีความรู้สึกไม่สบายใจ และต้องขอโทษพี่น้องประชาชนแทนพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะเป็นบุคคลที่พรรคเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากในห้วงเวลานี้มีข่าวสารความขัดแย้งภายในพรรคปรากฏตามสื่อต่างๆมากมาย อย่างไรก็ตาม จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ถึงแม้จะมีปัญหาอยู่บ้างในการบริหารภายในพรรค เนื่องจากเป็นพรรคที่จัดตั้งขึ้นใหม่ สมาชิกมาจากหลายกลุ่มหลายสาขาที่มีความมุ่งมั่นจะทำหน้าที่ ส.ส.และหน้าที่บริหารในคณะรัฐมนตรีให้ดีที่สุด

ยังหวังจะเดินหน้าต่อไปได้

พล.อ.ประยุทธ์ยังระบุอีกว่า การบริหารบุคลากรเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ทุกคนพึงพอใจ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือทำอย่างไร ประชาชนจะมีความเชื่อมั่นในรัฐบาล และทุกพรรคการเมือง ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านให้มากที่สุด โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกอย่างจะเดินหน้าต่อไป เพื่อตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชนในฐานะรัฐบาลของคนไทยทั้งประเทศ ซึ่งจะถือเป็นการเริ่มต้นปฏิรูปทางการเมืองของรัฐบาล และพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อมิให้การดำเนินการทางการเมืองกลับไปเป็นปัญหาเช่นเดิม จนต้องเกิดการแก้ไขปัญหาแบบเดิมๆที่ทุกคนไม่ต้องการขึ้นมาอีก ทั้งนี้ ไม่ได้ต้องการตำหนิใครหรือสร้างความขัดแย้งใดๆขึ้นมาอีก อย่างไรก็ตามนายกฯ ครม. และ ส.ส.ทุกคน ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ้ายค้านก็ต้องทำงานให้ได้ เพราะทุกคนคือคนไทย แผ่นดินไทยทุกตารางนิ้วต้องได้รับการดูแลจากรัฐบาลประชาธิปไตยอย่างทั่วถึง เท่าเทียม และเป็นธรรม ขอบคุณครับ


“พี่ใหญ่” เชื่อความเด็ดขาดเอาอยู่

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ยังมีการต่อรองตำแหน่งภายในพรรคพลังประชารัฐ ว่า ไม่ได้อยู่ในพรรคพลังประชารัฐจะไปรู้ได้อย่างไร เมื่อถามว่าเป็นห่วง พล.อ.ประยุทธ์หรือไม่ พล.อ.ประวิตรตอบว่า ไม่ห่วงเลยนายกฯรับไหว เชื่อว่าสามารถเคลียร์ได้ ขึ้นอยู่กับนายกฯท่านเป็นคนเด็ดขาดอยู่แล้ว ไม่เป็นไรหรอก ผู้สื่อข่าวถามว่าคิดว่าเรื่องนี้จะเป็นปัญหาบานปลายหรือไม่ พล.อ.ประวิตรตอบว่า ไม่บานปลาย และไม่หวั่น เมื่อถามว่าถึงขณะนี้โผ ครม.นิ่งแล้วใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตรตอบสั้นๆว่า นิ่งแล้ว

สามมิตรยกทีมถกผู้ใหญ่พรรค

เวลา 10.30 น. ที่พรรคพลังประชารัฐ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายอนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พร้อม ส.ส.ในกลุ่มสามมิตรกว่า 30 คน รวมทั้ง ส.ส.กลุ่มกำแพงเพชร อาทิ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรรัตน์ ส.ส.กำแพงเพชร เข้าประชุมที่พรรคเพื่อให้กำลังใจกลุ่มสามมิตร หลังมีกระแสข่าวเกิดปัญหาความขัดแย้งเกี่ยวกับการจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรี ตัดโควตากลุ่มสามมิตรออก เพื่อเปิดทางให้พรรคชาติพัฒนาเข้าร่วม ครม. นายสมศักดิ์กล่าวว่า วันนี้มาประชุม มีหลายเรื่องที่ต้องพูดคุยหารือกัน ไม่ได้เป็นการส่งสัญญาณอะไร เมื่อถามว่าจะมีการพูดถึงการหลุดจากตำแหน่ง รมช.คลังของนายอนุชา นาคาศัย แกนนำกลุ่มสามมิตรหรือไม่ นายสมศักดิ์ตอบว่า ไม่ทราบ แต่มีหลายประเด็นที่ต้องคุยกัน ยืนยันว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจะคลี่คลายไปได้

กดดันขอนายกฯอย่าเปลี่ยนโผ

ต่อมาเวลา 13.30 น. นายอนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท พรรคพลังประชารัฐ แถลงภายหลังการหารือว่า เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. มีโผ ครม.ออกมา โดยในกลุ่มสามมิตร นายสมศักดิ์ เทพสุทิน จะได้เป็น รมว.ยุติธรรม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ได้เป็น รมว.พลังงาน และตนได้นั่ง รมช.คลัง คนทั้งประเทศทราบข่าว รวมถึงสมาชิกและ ส.ส.ต่างแสดงความยินดี ทางกลุ่มขอบคุณนายกฯที่สนับสนุนให้มีตำแหน่ง แต่มาในวันนี้ทุกคนกลับรู้สึกผิดหวัง เมื่อทราบว่ามีการสลับชื่อโผ ครม. แต่เรายังเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์จะยังรักษาคำพูด โดยไม่ปรับเปลี่ยนตำแหน่งใดๆตามที่แจ้งไว้เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.

ย้ำ “สุริยะ” เหมาะนั่ง รมว.พลังงาน

นายอนุชากล่าวว่า ทางกลุ่มขอแสดงจุดยืน 5 ข้อ ดังนี้ 1.นายสุริยะมีความเหมาะสมในตำแหน่ง รมว.พลังงาน มากกว่า รมว.อุตสาหกรรม เพราะหากไปเป็น รมว.อุตสาหกรรมอาจถูกวิจารณ์ได้ เนื่องจากตระกูลของนายสุริยะมีธุรกิจขนาดใหญ่ด้านอุตสาหกรรม อีกทั้งนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค เสนอชื่อนายสุริยะเป็น รมว.พลังงานต่อนายกฯไปแล้ว และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคก็เห็นชอบ ไม่ขัดข้องแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังไม่ปรากฏว่ามีคนอื่นในพรรคเรียกร้องตำแหน่งดังกล่าว ยังไม่พบว่าหากนายสุริยะได้เป็น รมว.พลังงานแล้วจะมีปัญหาแต่อย่างใด การสลับตำแหน่งย่อมทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาโดยไม่จำเป็น

ถ้าไม่ได้ตามนี้ถกจุดยืนอีกครั้ง

นายอนุชากล่าวอีกว่า ในส่วนของตนขอให้ยึดตามโผที่มีชื่อเป็น รมช.คลัง เชื่อว่าหากเป็นไปตามเดิมจะไม่มีปัญหาความยุ่งยากอย่างที่เป็นอยู่ แม้การแต่งตั้ง ครม.จะเป็นอำนาจโดยตรงของนายกฯ แต่เมื่อพรรคเสนอบุคคลที่มีความเหมาะสมกับตำแหน่งต่างๆ ไปให้พิจารณาแล้ว หากไม่มีปัญหาอะไรสมควรให้เป็นไปตามที่เสนอ เช่นเดียวกับที่ปฏิบัติกับพรรคร่วมรัฐบาล 2.เราเชื่อมั่นว่าทั้งนายสมศักดิ์ นายสุริยะ และตน จะทำงานร่วมกับนายกฯและรัฐบาล เพื่อผลักดันขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรวดเร็ว 3.กลุ่มเราเชื่อมั่นว่า นอกจากงานด้านบริหารแล้ว ทั้ง 3 คนในกลุ่มสามมิตรที่มีชื่อเป็นรัฐมนตรี จะช่วยงานนายกฯขับเคลื่อนงานในสภาฯได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4.หากมีการเปลี่ยนแปลงและสลับตำแหน่งจากเดิม ทางกลุ่มมีความเห็นตรงกันว่ารัฐบาลจะขาดบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ เข้าไปทำหน้าที่ในตำแหน่งที่เหมาะสม จะทำให้การบริหารงานไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลต่อการยอมรับและศรัทธาของประชาชนที่มีต่อพรรคแน่นอน 5.หลังมีประกาศรายชื่อ ครม.อย่างเป็นทางการแล้ว หากไม่ตรงกับความเห็นของกลุ่ม ทางกลุ่มจะหารือเพื่อแสดงจุดยืนอีกครั้ง

รุกฆาตยื่นขับไล่ “สนธิรัตน์”

นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ กลุ่มสามมิตร กล่าวว่า การประชุม ส.ส.พรรคประจำสัปดาห์ วันที่ 2 ก.ค.นี้ ตนจะเสนอญัตติขับไล่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ออกจากตำแหน่ง เลขาธิการพรรค เพราะเห็นว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของพรรคและรัฐบาลเป็นอย่างสูง ถ้าปล่อยให้เป็นเลขาธิการพรรคต่อไปจะเป็นอันตรายต่อพรรคมาก เพราะนายสนธิรัตน์บริหารงานผิดพลาดหลายเรื่อง และไม่มีภาวะความเป็นผู้นำ เวลาต้องการจะปรึกษาปัญหาไม่สามารถเข้าถึงตัวได้ ไม่เคยได้รับการแก้ไขปัญหา ทำงานไม่ยึดโยงแลไม่เห็นหัว ส.ส.ในพรรคแม้แต่คนเดียว หน้าที่เลขาธิการพรรคคือแม่บ้านที่ต้องดูแลทุกอย่าง ทั้งความเป็นอยู่และความสัมพันธ์ แต่นายสนธิรัตน์กลับทำให้พรรคแตกแยก ปัญหาเหล่านี้อยู่ที่ตัวนายสนธิรัตน์ ปัจจุบันพรรคมีปัญหาขั้นวิกฤติ แต่นายสนธิรัตน์ก็ยังไม่อยู่ให้พวกเราปรึกษา เห็นว่านายสนธิรัตน์ต้องแสดงความรับผิดชอบ ด้วยการเสียสละลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค และแสดงความรับผิดชอบไม่รับตำแหน่งรัฐมนตรีใน ครม.ชุดใหม่

ต้องรับผิดชอบความแตกแยก

เมื่อถามว่า ให้ออกจากเลขาธิการพรรคหรือให้ออกจากพรรคเลย นายสิระตอบว่า ออกจากเลขาธิการพรรคก่อน เพราะเป็นความรับผิดชอบ ยังไม่ถึงให้ออกจากสมาชิกพรรค ท่านต้องรับผิดชอบในฐานะแม่บ้าน ท่านต้องเสียสละให้กับพรรคโดยไม่รับตำแหน่งรัฐมนตรี ท่านบอกทำงานเพื่อพรรค เพื่อประชาชน เพื่อประเทศ ท่านต้องเสียสละไม่รับตำแหน่งใดๆทั้งสิ้น เมื่อถามว่า หยั่งเสียงแล้วพอจะขับไล่ได้หรือไม่ นายสิระตอบว่า เสียงเป็นสิ่งที่สะท้อนรอยร้าวของพรรค ที่อย่างน้อยมี 1 ใน 3 แล้ว และยังมีอีกหลายคนที่ไม่ได้มา ถือว่าท่านต้องรับผิดชอบ เพราะความแตกแยกของคนในพรรครุนแรงขนาดนี้ ท่านต้องพิจารณาตัวเอง ย้ำว่าต้องเสียสละแล้วไม่รับตำแหน่งใดๆใน ครม. เมื่อถามว่า จุดแตกหักคืออะไร นายสิระตอบว่า ต้องทบทวนกันอีกที เบื้องต้นมี ส.ส.กว่า 30 คนที่จะเข้าชื่อขับไล่

แฉเตะสกัดเพื่อนล็อบบี้ขอนั่งเอง

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า กลุ่มสามมิตรทราบความเคลื่อนไหวของนายสนธิรัตน์ ที่พยายามล็อบบี้ผ่าน “เสธ.คนดัง” ไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ ขอสลับ รมว.พลังงาน จากนายสุริยะมาเป็นนายสนธิรัตน์ที่ถูกวางตัวเป็น รมว.อุตสาหกรรม โดยอ้างว่ากลุ่มทุนพลังงานขนาดใหญ่ไม่ยอมรับนายสุริยะ และพยายามกล่าวหาว่านายสุริยะมีภาพลักษณ์เกี่ยวข้องกับเรื่องทุจริตหลายโครงการสมัยร่วมรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร อาจส่งผลให้การบริหารงานของกระทรวงพลังงานมีปัญหาได้ ก่อนหน้านี้มีความพยายามสกัดนายสุริยะอย่างหนักมาแล้ว โดยเสี่ยเจ้าของบริษัทด้านพลังงานชั้นนำ ที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิด พล.อ.ประยุทธ์ ผ่าน เสธ.คนดังกล่าว เพราะกังวลว่าหากนายสุริยะเข้ามากำกับกระทรวงพลังงาน อาจส่งผลกระทบต่อใบอนุญาตด้านพลังงานที่มีมูลค่ามหาศาล จึงเสนอชื่อบุคคลอื่น


ทนแรงบีบไม่ไหวต้องยอมคาย

ต่อมาเวลา 18.00 น. นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ชี้แจงผ่านทางไลน์กลุ่มสื่อพรรคพลังประชารัฐว่า จากที่จะมีการขับตนออกจากเลขาธิการพรรค ขณะที่เข้ามาทำงานการเมืองในทุกตำแหน่ง ตนทุ่มเทตั้งใจรับใช้ชาติบ้านเมือง ส่วนประเด็นปัญหาความขัดแย้งการเข้าดำรงตำแหน่งในกระทรวงขณะนี้ ตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องที่จะเลือกกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งทำงาน เช่น ตอนแรกที่มีข่าวได้รับมอบหมายให้ดูแลกระทรวงอุตสาหกรรม ก็ได้เตรียมงานและเตรียมนโยบายบริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ส่วนกรณีกระแสข่าวที่จะไปดำรงตำแหน่ง รมว.พลังงาน ตนรู้สึกเสียใจในปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ได้เข้าไปมีส่วนรับรู้ ดังนั้นขอแสดงเจตนารมณ์ไม่ขอรับ รมว.พลังงาน และหวังว่าทุกสิ่งจะคลี่คลายไปในทางที่ดี

“สุรพร” อ้อนมีปัญหาคุยในพรรค

นายสุรพร ดนัยตั้งตระกูล กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ทุกคนล้วนเชื่อมั่นในอุดมการณ์ของพรรคพาประเทศก้าวข้ามความขัดแย้ง รวมทั้งอดีตกลุ่มสามมิตร นำโดยนายสุริยะ นายสมศักดิ์ และนายอนุชา ที่มาร่วมฟันฝ่าอุปสรรคทางการเมืองจนวันนี้ การพิจารณาตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นอำนาจโดยตรงของนายกฯ สารของนายกฯได้แสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อบ้านเมืองอย่างเต็มที่ ห่วงต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จึงขอเรียกร้องให้ทุกคนที่ยังมีคำถามต่างๆ ให้นำมาพูดคุยในพรรค เพราะกระแสข่าวความขัดแย้งที่เกิดขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อแนวทางที่นายกฯกำลังทำงาน เชื่อว่าทุกคนรักพรรคและต้องการเดินไปข้างหน้า ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีตำแหน่งการเมือง


“วิษณุ” รับนายกฯทาบทามแล้ว

ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกฯได้พูดคุยกับตนเกี่ยวกับการเข้ารับตำแหน่งใน ครม.ใหม่แล้ว แต่ไม่ขอลงรายละเอียด สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ประสานมาแล้วจะนำแบบฟอร์มกรอกประวัติมาให้ เมื่อถามว่า การ จัดตั้ง ครม.ล่าช้า จะกระทบการทำงานของสภาฯหรือไม่ นายวิษณุตอบว่า ไม่กระทบ เขาตั้งกระทู้ยื่นญัตติทุกวันไม่มีปัญหาอะไร

ผุดแคมเปญฝ่ายค้านเพื่อ ปชช.

ช่วงบ่ายที่พรรคเพื่อไทย ตัวแทนพรรคการเมืองฝ่ายค้าน 7 พรรค ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย อนาคตใหม่ เพื่อชาติ ประชาชาติ เศรษฐกิจใหม่ เสรีรวมไทย และพลังปวงชนไทย ประชุมร่วมกัน ต่อมานายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน แถลงว่า คณะทำงานเห็นชอบจัดทำแคมเปญ “ฝ่ายค้านเพื่อประชาชน” โดยจะชวนรัฐบาลมาทำงานเพื่อประชาชน เราจะลงไปพบปะประชาชน และออกข่าวตามช่องทางต่างๆ พร้อมเสนอตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน และการกระทำที่เป็นการประทุษร้ายต่อผู้ใช้สิทธิโดยชอบตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมีผู้เห็นต่างทางการเมืองถูกทำร้ายหลายครั้ง และยังคงเดินหน้าตรวจสอบกระบวนการสรรหา ส.ว.ต่อไป และตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการเลือกตั้งที่ไม่เที่ยงธรรมด้วย

“เจ๊หน่อย” โวยป่วนมาถึงฝ่ายค้าน

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ปัญหาการแย่งเก้าอี้รัฐมนตรีเป็นปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐ แม้นายกฯจะส่งสารขอโทษประชาชน แต่การพูดโดยที่ไม่ลงมือแก้ไขทำให้ถูกต้อง ไม่เกิดประโยชน์อะไร เป็นครั้งแรกที่ผ่านการเลือกตั้งมากว่า 3 เดือนแล้วยังจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ ตอนนี้ยังไม่เห็นพูดถึงปัญหาประชาชน มีแต่ข่าวคนนั้นกลุ่มนั้นจะเอากระทรวงนั้นกระทรวงนี้ มีแต่การแก่งแย่งผลประโยชน์ ในสภาวะที่ประชาชนกำลังเดือดร้อน เมื่อตั้งรัฐบาลยังไม่ได้ทำให้ฝ่ายค้านทำงานไม่ได้ด้วย จะตั้งกระทู้ถามความเดือดร้อนให้ประชาชนก็ไม่มีใครมาตอบ สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ควรทำคือเร่งแก้ไขและจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็ว ใช้ภาวะผู้นำจัดการแก้ปัญหาให้จบ ทุกวันนี้ประชาชนเสียโอกาสมามาก ชาวบ้านกำลังเดือดร้อน รอให้มีรัฐบาลมาเร่งแก้ไข


“พี่ใหญ่-พี่รอง” เพลาๆลงได้แล้ว

นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงปัญหาการจัดโผ ครม.ของพรรคพลังประชารัฐ ที่ยังไม่นิ่งว่า ติดตามการจัด ครม.ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ปรากฏตามหน้าสื่อ พบว่าหลายคนเป็นคนหน้าเดิมๆจากรัฐบาลประยุทธ์ 1 จึงมีคำถามว่าจะแก้ปัญหาปากท้องประชาชนที่สะสมมานานมากกว่า 5 ปีได้จริงหรือไม่ ที่ผ่านมาพิสูจน์เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นอย่างไร และ ครม.ที่ผ่านมาไม่ได้มาจากประชาชน ทำให้ไม่เข้าใจปัญหาประชาชน ขณะที่ประชาชนคาดหวังสูงว่าหลังเลือกตั้งจะได้รัฐบาลที่เขาสัมผัสได้ เข้าใจ เข้าถึงและแก้ปัญหาให้อย่างจริงจัง “ขอฝากว่า พี่ใหญ่ พี่รอง และคณะน้องๆกุมาร เที่ยวนี้ต้องชะลอไว้ก่อน ให้เป็นคณะทำงานของท่านนายกฯก็พอ เพราะวันนี้ประเทศต้องมาก่อน ไม่ใช่พรรคพวกต้องมาก่อน”


ฉะผู้นำหลงไหลเกมยึดอำนาจ

ร.ท.หญิงสุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากสารนายกฯที่ระบุถึงวิธีแก้ปัญหาการเมืองแบบเดิมๆนั้น หมายถึงอะไร ท่านกำลังข่มขู่ประชาชนว่า ถ้าทนความวุ่นวายทางการเมืองไม่ไหว จะสั่งให้กองทัพออกมายึดอำนาจใช่หรือไม่ การพูดเช่นนี้เป็นเรื่องไม่เหมาะสม ไม่สร้างสรรค์ มีความคิดล้มล้างรัฐธรรมนูญและการปกครอง ยิ่งตอกฝาโลงทางเศรษฐกิจ ทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซ้ำเติมสถานการณ์ทางเศรษฐกิจให้เลวร้าย หนักกว่าเดิม ที่สำคัญ พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้หลักผู้ใหญ่แล้ว ควรวางตัวให้เหมาะสม น่าจะรู้ว่าอะไรสมควรพูดอะไรไม่สมควรพูด อย่าอ้างว่าพูดเพื่อปรามพรรคร่วมรัฐบาลไม่ให้แย่งเก้าอี้รัฐมนตรี เพราะการเลือกคนมาเป็นรัฐมนตรีควรยึดหลักความรู้ความสามารถ สะท้อนว่า พล.อ.ประยุทธ์ไร้ความสามารถในการเป็นผู้นำประเทศอย่างสิ้นเชิง ทั้งยังฝักใฝ่ระบอบเผด็จการ และอำนาจนิยม รวมทั้งหลงใหลการยึดอำนาจจนเข้ากระดูกดำ

ส.ว.จ่อรุมฟ้องกลับ “เรืองไกร”

ช่วงเช้าที่หอประชุมใหญ่บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) นายวันชัย สอนศิริ ส.ว. กล่าวถึงการฟ้องดำเนินคดีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ ที่ยื่นเรื่องให้ กกต.ตรวจสอบคุณสมบัติ ส.ว. 21 คน เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญกรณีถือหุ้นกิจการสื่อสารมวลชน ว่า ขณะนี้ ส.ว.ที่ถูกร้องได้หารือโดยดูแนวทางคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่รับคำร้องของพรรคอนาคตใหม่ตรวจสอบ ส.ส. 32 คน หาก ส.ว.คนใดจดวัตถุประสงค์ในกิจการสื่อ แต่ไม่ได้ประกอบกิจการจริง ให้รวบรวมพยานหลักฐานไว้ชี้แจง กกต. ที่ผ่านมา คสช.ได้แจ้งผู้ผ่านการคัดเลือกเป็น ส.ว.ว่าให้ตรวจสอบคุณสมบัติให้ถูกต้องครบถ้วน ก่อนวันที่ 8 พ.ค. ส่วนตัวยืนยันว่ามีคุณสมบัติครบถ้วน มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ บริษัท แคนนู ไฮเรอร์ จำกัด ที่ตนตั้งขึ้นไม่ได้ประกอบกิจการสื่อสารมวลชน และยืนยันว่าตนรวมถึง ส.ว.คนอื่นที่มั่นใจในคุณสมบัติตัวเอง จะดำเนินคดีกับนายเรืองไกรแน่นอน

8 ส.ส.ปชป.พร้อมสู้คดีหุ้นสื่อ

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ และหัวหน้าคณะทนายความผู้รับผิดชอบคดี 8 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ถือหุ้นสื่อ กล่าวว่า ช่วงเช้าวันที่ 2 ก.ค.จะเรียกประชุมทีมทนายความที่ดูแลคดี เตรียมข้อต่อสู้ 7-8 ประเด็น อาทิ คุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) เกี่ยวกับการถือหุ้นสื่อ บริษัทที่เปิดทำกิจการสื่อมวลชนจริงหรือไม่ ที่มารายได้ รายการเสียภาษี บัญชีงบดุลของบริษัท รวมถึงภาพถ่ายกิจการหลักฐานต่างๆ เพื่อยืนยันว่าไม่ได้ทำกิจการสื่อ เมื่อถามว่าศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งที่เคยวินิจฉัยตัดสิทธิผู้สมัคร ส.ส.บางคนไปแล้วที่ระบุวัตถุประสงค์ของบริษัทไว้เพื่อประกอบกิจการสื่อจะมีผลหรือไม่ นายราเมศตอบว่า ในชั้นศาลรัฐธรรมนูญเป็นการตั้งต้นใหม่หมด ใช้ระบบไต่สวน โดยวางหลักการไว้ว่าผู้สมัคร ส.ส.ทุกคนต้องไม่ทำกิจการสื่อมวลชนจริง และย้ำถึงเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญที่ห้าม ส.ส.ถือหุ้นสื่อ เพื่อความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมือง

ประชาธรรมไทยขับสมาชิกพรรค

นายอนิรุทธิ์ สมุทรโคจร โฆษกพรรคประชาธรรมไทย กล่าวว่า ตามที่คณะกรรมการบริหารพรรคมีมติขับไล่นายชัยวุฑ ตรึกตรอง พ้นจากสมาชิกพรรค เนื่องจากไม่นำเอกสารและหลักฐานบัญชีรายรับรายจ่ายของผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ส่ง กกต. ตามที่กฎหมายกำหนด และพรรคได้ดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว และแจ้งให้ กกต.ทราบแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ขัดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 155 และขอให้นายชัยวุฑส่งเอกสารและหลักฐานทางบัญชีมายังที่ทำการพรรค ภายในวันที่ 15 ก.ค.นี้

“จุรินทร์” ลุยพบชาวไร่มันอีสาน

วันเดียวกัน ที่สำนักงานเทศบาลตำบลไชยมงคล อ.เมืองนครราชสีมา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และคณะ เดินทางมาติดตามสถานการณ์ราคามันสำปะหลังในพื้นที่ จ.นครราชสีมา โดยมีนายสมโภชน์ นามประสิทธิ์ นายกเทศมนตรีตำบลไชยมงคล สมาคมมันโรงงานสำปะหลังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้ประกอบการ เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังในพื้นที่กว่า 300 คน ร่วมประชุม นายจุรินทร์กล่าวว่า มารับทราบข้อมูล และแลกเปลี่ยนความเห็นกับชาวไร่มันสำปะหลัง ลานมันฯ โรงมันฯ และผู้ส่งออก มุ่งเน้นการประกันรายได้เกษตรกรเพื่อให้ผลผลิตมีคุณภาพส่งให้ผู้ประกอบการ

ไม่มีอะไรจะฝากถึงนายกฯ

ผู้สื่อข่าวถามเรื่องฝ่ายค้านเตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯและรัฐมนตรี นายจุรินทร์ตอบว่า ตอนนี้มีแค่นายกรัฐมนตรี ส่วนรัฐบาลต้องรอให้มีการโปรดเกล้าฯ ครม.ก่อน ส่วนระบบการตรวจสอบของฝ่ายค้านเป็นเรื่องปกติ สามารถทำได้ ในฐานะหัวหน้าพรรคไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน เราต้องรับการตรวจสอบและสนับสนุนให้มีการตรวจสอบ ส่วนการตีรวนกันในพรรคพลังประชารัฐ ตนไม่มีอะไรให้ข้อคิดกับนายกฯ เพราะท่านพอจะทราบอยู่แล้วว่าต้องทำอย่างไร

อนค.ยันไม่มีนโยบายขวางอีอีซี

ที่พรรคอนาคตใหม่ น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ แถลงว่า พรรคมุ่งเน้นการจัดเวทีเพื่อรวบรวมปัญหาและความเห็นของประชาชน สัปดาห์ที่ผ่านมาจัดงานเปิดตัวโครงการ Eastern Life Corridor (ELC) พรรคเราไม่มีนโยบายขัดขวางการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่ไม่เห็นว่าการพัฒนาเศรษฐกิจต้องตั้งอยู่บนผลประโยชน์และคุณภาพชีวิตของประชาชนเข้าแลก จึงเสนอแนวคิดคู่ขนานระเบียงชีวิตภาคตะวันออก ให้เห็นว่าการพัฒนาเศรษฐกิจสามารถทำโดยการพัฒนาคุณภาพชีวิตไปด้วยกันได้ ทั้งเรื่องประมง การจัดการน้ำ การจัดการขยะ ปัญหาสินค้าเกษตรราคาตกต่ำ ผลตอบรับถือว่าน่าพอใจอย่างมาก สิ่งที่เรารวบรวมได้จะถูกนำไปขับเคลื่อนเป็นนโยบายพรรค ทั้งในระดับชาติผ่าน ส.ส. และระดับท้องถิ่น

ต่อสัมปทานทางด่วนหวั่นหมกเม็ด

นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลมีความพยายามจะขยายสัมปทานสัญญาทางด่วน โดยจะผลักดันเข้า ครม.ในวันที่ 2 ก.ค. เรื่องนี้มีเงื่อนงำ และมีผลกระทบต่อประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง เกิดมาจากค่าโง่ 4,300 ล้านบาท โดยพยายามพ่วงด้วยการขยายสัมปทานทางด่วนใหม่มูลค่า 430,000 ล้านบาท ระยะเวลา 30 ปี ขอให้หยุดการดำเนินการ และขอให้ ส.ส.และประชาชนตรวจสอบก่อนจะ มีการดำเนินการใดๆ อยากให้สังเกตท่าทีแต่ละพรรคต่อกรณีดังกล่าว จุดยืนของพรรคอนาคตใหม่ชัดเจน คือจำเป็นต้องตรวจสอบสัญญาก่อน เราจะผลักดันให้มีการตั้งคณะกรรมการวิสามัญตรวจสอบกรณีดังกล่าว เพื่อให้มีความชัดเจน โดยเฉพาะการตรวจสอบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกฯที่เป็นหัวหน้า คสช. คาดว่าญัตตินี้ผ่านแน่นอน หากไม่มีการกลับลำ และเป็นการแสดงให้เห็นว่าฝ่ายค้านไม่ได้ค้านทุกเรื่อง แต่สนับสนุนให้ตรวจสอบการทำงานของรัฐอย่างเข้มข้น

พลังธรรมใหม่เบรกสัมปทานค่าโง่

ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายจาตุรันต์ บุญเบ็ญจรัตน์ โฆษกพรรคพลังธรรมใหม่ เป็นตัวแทน นพ.ระวี มาศฉมาดล หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ ยื่นเรื่องร้องให้ผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจสอบมติของคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (บอร์ด กทพ.) ที่อนุมัติต่อสัญญาสัมปทานหรือค่าโง่ทางด่วนให้กับบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ออกไปอีก 30 ปี โดยนายปิยะ ลือเดชกุล ผอ.การสำนักตรวจสอบเรื่องร้องเรียน สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นผู้รับเรื่อง นายจาตุรันต์กล่าวว่า พรรคพลังธรรมใหม่เห็นว่าการพิจารณาต่ออายุสัมปทานซึ่งมีมูลค่า 8.5 แสนล้านบาท ควรรอให้รัฐบาลชุดใหม่ทำหน้าที่อนุมัติ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสเป็นธรรม ขณะนี้ทราบว่า กทพ.ส่งเรื่องให้กระทรวงคมนาคมเสนอเข้าที่ประชุม ครม.ในวันที่ 2 ก.ค. จึงขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินแจ้งเรื่องให้ ครม.ชะลอพิจารณาอนุมัติการต่อสัญญาสัมปทานดังกล่าว

สรส.ออกโรงจี้นายกฯ ทบทวน

ที่ศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (ฝั่ง ก.พ.) นายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. คัดค้านและขอให้ทบทวนการขยายระยะเวลาสัมปทานโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 และสัญญาโครงการทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด นายสาวิทย์กล่าวว่า ที่มาของข้อมูลที่ใช้ในการเจรจาไม่มีความชัดเจน ไม่น่าเชื่อถือไม่ผ่านการตรวจสอบ ไม่สามารถอธิบายได้ว่าผลการเจรจาเป็นการบรรเทาความเสียหายของรัฐอย่างไร มีการนำข้อพิพาท รวมเงินต้นและดอกเบี้ย มาเป็นต้นเหตุในการต่อสัญญาสัมปทาน เหตุใดจึงไม่ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายให้ชัดเจน หรือเปิดให้มีการแข่งขันของนักลงทุน สมาพันธ์ฯ ขอเรียกร้องให้นายกฯ ทบทวนเรื่องดังกล่าว พร้อมสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามอย่างเข้มงวดด้วย

โวยบัวแก้วประมูลอีพาสปอร์ต

เมื่อเวลา 14.00 น. ที่โรงแรมโนโวเทล สยามสแควร์ นายมานพ กุลประกอบลาภ และนายธิติพงศ์ บุพโพดม ผู้แทนกิจการร่วมค้า WIN ประกอบด้วย บริษัท ศิริวัฒนาซีเคียวริตี้พริ้นท์, บริษัท MSCS สิทธิผล จำกัด และเดอร์มาล็อก โอเดนติฟิเคชั่น ซิสเต็มส์ จีเอ็มบีเอช (เยอรมัน) นายณฐพงศ์ พินิตพงศ์กุล กับนายปิยะ ยืนยงสุวรรณ ผู้แทนกิจการร่วมค้า TIM ประกอบด้วยบริษัท ที.เค.เอส.เทคโนโลยี จำกัด, IDEMIA (ฝรั่งเศส) MSC และ ซีพี และนายไพรัชต์ สิทธิรัตนยืนยง กับนายธนัญญชัย แซ่ฉั่ว ผู้แทน กิจการร่วมค้า จันวาณิชย์ ประกอบด้วยบริษัท จันวาณิชย์ จำกัด และบริษัท จันวาณิชย์ ซีเคียวริตี้ พริ้นท์ติ้ง จำกัด ร่วมกันแถลงข่าวเรียกร้องให้กระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยข้อมูลด้านเทคนิคที่ตัดสินให้กิจการร่วมค้าดาต้าโปรดักส์ ทอปปัง เป็นคู่สัญญาทำบัตรประจำตัวประชาชน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และ Gemalto ชนะการประกวดราคาจ้างผลิต และให้บริการจัดทำหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ระยะที่ 3 ด้วยวิธีประกวด ราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ครั้งที่ 2 วงเงิน 7,463,250,000 บาท

อาจพึ่งศาลปกครองขอดูทีโออาร์

นายธนัญญชัย แซ่ฉั่ว ผู้แทนกิจการร่วมค้า จันวาณิชย์ กล่าวว่า หนังสือเดินทางไทย ปัจจุบันจะ ใช้เทคโนโลยีความปลอดภัย 2 ชุด คือ สร้างภาพ เสมือนจริงด้วยเลเซอร์เป็นรูปใบหน้าคน (Laser Engraving) และปรุภาพเสมือนจริงด้วยเลเซอร์ (Image Perforation using laser) แต่การที่กระทรวงการต่างประเทศแก้ไขทีโออาร์แล้วบอกว่า เทคนิคความปลอดภัยจากการปลอมแปลงที่กิจการร่วมค้าดาต้าโปรดักส์ ทอปปัง ชนะประกวดราคาสูงกว่ามาตรฐานองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ และดีกว่ามาตรฐานเดิมนั้น เราอยากรู้รายละเอียด ถ้าดีกว่าจริงพวกเรายอมรับและไม่ติดใจ ขณะที่นายณฐพงศ์ พินิตพงศ์กุล ผู้แทนกิจการร่วมค้า TIM กล่าวว่า อยากให้กระทรวงฯ เปิดเผยรายละเอียดให้สังคมทราบ ถ้าผลออกมาเป็นเทคโนโลยีที่ดีกว่าของพวกเราทั้ง 3 กิจการค้า เรายอมรับ ไม่เช่นนั้นอาจต้องพึ่งศาลปกครองต่อไป

“ธานี” ยันโปร่งใสทุกขั้นตอน

ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายธานี ทองภักดี รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า ยืนยันกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างโครงการผลิตและให้บริการจัดทำหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์โปร่งใส ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้าง มีผู้สังเกตการณ์อิสระจากองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันเข้าร่วมทุกขั้นตอน มีเกณฑ์การประเมินกำหนดสัดส่วนด้านราคาที่ร้อยละ 40 และด้านประสิทธิภาพที่ร้อยละ 60 ผู้ชนะการประมูล คือผู้ที่ได้คะแนนรวมสูงสุด อาจไม่ใช่ผู้เสนอราคาต่ำสุด โดยผู้ยื่นประกวด ราคาในระบบ e-bidding สามารถยื่นราคาได้เพียงครั้งเดียวตามระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ของกระทรวงการคลัง