PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2560

เปล่า กลั่นแกล้ง!!

เปล่า กลั่นแกล้ง!!
คสช. ยันคุมเข้ม บังคับใช้กม.ชี้ ช่วงนี้ มีความพยายามบิดเบือน ข้อมูล ยุยงปลุกปั่น ปัด"จัดฉาก" อาวุธสงคราม/โต้"หมวดเจี๊ยบ" ยัน ฟ้อง ม.116 ไม่ได้ใช้ความรู้สึก หรือกลั่นแกล้ง ยึดหลักฐาน ข้อเท็จจริง เปล่าเลือกปฏิบัติ /ยันคสช.ไม่เคยปิดกั้นแสดงความคิดเห็น /เผยให้โอกาส "เสธ.หยอย" ตท.10 เพื่อน"ทักษิณ"ประกันตัว
พลตรีปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 และ ทีมโฆษก คสช.กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ปรากฏข้อมูลข่าวสารที่น่าสนใจหลายๆเรื่อง เช่น การตรวจพบอาวุธสงคราม ในพื้นที่ จังหวัดฉะเชิงเทรา การชุมนุมเรียกร้องของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะต่างๆ รวมถึงการวิ่งเพื่อการกุศลของ ตูน บอดี้สแลม
ในห้วงเวลานี้ อาจจะมีบุคคลหลายคน เข้ามาเกี่ยวข้องในการให้ข้อมูลผ่านสื่อมวลชน รวมทั้งการเผยแพร่ ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ โดยมีการพาดพิงกล่าวร้าย กล่าวเท็จ บิดเบือน ก่อกระแสยุยงปลุกปั่น ให้สังคมและคนทั่วไปเข้าใจผิด
คณะทำงานฝ่ายกฎหมาย และศูนย์ติดตามประเมินผลวิเคราะห์ข้อมูล ของ คสช. ตรวจสอบพบว่า ในเรื่องของการตรวจพบอาวุธสงคราม มีการบิดเบือนข้อมูล ว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐได้สร้างเรื่องในลักษณะที่เรียกว่า การจัดฉาก และมีผู้ที่เกี่ยวข้อง ที่ได้รับการซัดทอด คสช. ได้ดำเนินการต่อกลุ่มขบวนการดังกล่าว กล่าวคือ นายวัฒนา ทรัพย์วิเชียร ได้ถูกเรียกตัวมาเพื่อสอบสวน ซักถาม ในห้วงเวลาตามอำนาจหน้าที่ของกรอบกฎหมาย เมื่อพบว่าไม่มีการเกี่ยวข้องหรือ เชื่อมโยง ก็ได้ส่งตัวกลับไป
สำหรับผู้ที่ถูกพาดพิง มีความเชื่อมโยงและมีหลักฐานพยาน ฝ่ายกฎหมายได้ดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษ ต่อพนักงานสอบสวน ปัจจุบันศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับจำนวน 5 คน
และหนึ่งในจำนวนนั้น คือ เสธ.หยอย พลโท มนัส เปาริก ได้เข้ามอบตัวและคสช. ได้ให้โอกาสในการประกันตัว เพื่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม
สำหรับในกรณีของ "หมวดเจี๊ยบ" ร้อยโทหญิง สุนิสา เลิศภควัต นั้น ฝ่ายกฎหมายได้ร้องทุกข์กล่าวโทษในข้อหากระทำความผิด พรบ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา116 จะเห็นได้ว่า คสช. ดำเนินการต่อผู้กระทำผิดกฎหมาย โดยผ่านกระบวนการยุติธรรม ไม่ได้ดำเนินการด้วยความรู้สึก หรือดำเนินการในลักษณะกลั่นแกล้ง ดำเนินการภายใต้หลักฐาน ข้อเท็จจริง และได้ให้ความเป็นธรรมต่อทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย โดยไม่ได้มีลักษณะของการเลือกปฏิบัติ หรือกลั่นแกล้ง รังแกใดๆทั้งสิ้น
และ คสช.ไม่เคยปิดกั้นในการแสดงความคิดเห็น แต่ผู้แสดงความคิดเห็นต้องรับผิดชอบตนเอง ถ้ากระทำความผิดกฎหมายก็ต้องดำเนินการ และจากนี้ไปอาจจะมีผู้กระทำผิดที่ต้องถูกร้องทุกข์กล่าวโทษอีกจำนวนหนึ่ง

"บิ๊กป้อม" (เปล่า) หายหน้า!! ....

"บิ๊กป้อม" (เปล่า) หายหน้า!! ....
โฆษกกห.ยันไม่ได้ไปไหน เมื่อเช้า ไปประชุม ที่สตช. เผย "บิ๊กป้อม" สั่งการ มาตรการ รปภ.ช่วงปีใหม่
"บิ๊กป้อม"สั่งหน่วยความมั่นคง เตรียมแผนดูแลรักษาความปลอดภัย และลดอุบัติเหตุ ช่วงปีใหม่ เรียกประชุม14ธค.นี้ ลั่น ต้องป้องกัน และแก้ปัญหา ที่เกิดขึ้นซ้ำๆให้ได้

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม หายตัว งดออกงาน เป็นวันที่2 หลังจากที่หายตัวไป ตั้งแต่เมื่อวันพฤหัสฯ โดย ยกเลิกงาน ทั้งที่ทำเนียบรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
โดยวันนี้ พลโท คงชีพ ตันตระวานิชย์ โฆษกกลาโหม ยันว่า ไม่ได้หายไปไหน เมื่อเช้าไปประชุม ที่ สตช. รวมทั้ง ยังมีสั่งการ
พลโท คงชีพ เผยว่า พลเอกประวิตร สั่งการให้หน่วยงานความมั่นคง ทั้งทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครองและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เตรียมข้อมูลสำหรับกำหนดมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยประชาชน และมาตรการลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ห้วงเทศกาลสิ้นปี ให้พร้อม
โดย พลเอกประวิตร เรียกประชุมใน 14 ธ.ค. 2560 นี้ที่ กระทรวงกลาโหม
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กลาโหม กล่าวว่า พลเอกประวิตร ให้เน้น การประสานข้อมูลร่วมกันในทุกส่วนราชการและพิจารณาใช้ข้อมูลสถิติที่ผ่านมา ทั้งด้านอาชญากรรม ข้อมูลเหตุการณ์ก่อความไม่สงบ ข้อมูลอุบัติเหตุและการเสียชีวิตบนท้องถนน ปัญหาการบังคับใช้กฎหมายและการอำนวยความสะดวกด้านการจราจร
รวมทั้งข้อมูลอื่นๆ ที่เคยได้รับแจ้งจากประชาชน เช่น การชำรุดของเส้นทางและแสงสว่างที่เป็นจุดเสี่ยงของอุบัติเหตุ ความไม่สมบูรณ์ของรถขนส่งสาธารณะ แหล่งมั่วสุมที่สร้างความเดือดร้อนกับประชาชนหรือมีผลกระทบกับความมั่นคง รวมทั้งข้อมูลด้านยาเสพติด เป็นต้น เพื่อบริหารจัดการ กำหนดมาตรการเชิงรุกในการดูแลรักษาความปลอดภัยและลดอุบัติเหตุบนท้องถนนที่เป็นรูปธรรม ช่วงเทศกาลสิ้นปี โดยมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์มากขึ้น
พร้อมกันนี้ ได้กำชับให้ทุกส่วนราชการ กวดขันและดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ในความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องดังกล่าว อย่างต่อเนื่องและจริงจัง ตั้งแต่ต้นเดือน ธ.ค. เป็นต้นไป โดยเฉพาะต้องป้องกันและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำๆให้ได้
พร้อมทั้งให้รณรงค์สร้างการรับรู้ในสำนึกและการมีส่วนร่วมรับผิดชอบของประชาชนควบคู่กันไป เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและลดการสูญเสียชีวิตประชาชนที่จะเกิดขึ้นให้ได้มากที่สุด

ผมรักคนใต้....คนใต้ น่ารัก คนขยันอดทน

"ผมรักคนใต้....คนใต้ น่ารัก คนขยันอดทน
...ผมไม่ได้เป็นคนขี้โมโห บางครั้งเป็นการหยอกล้อ แต่สัญญาว่าจะพยายามเก็บอารมณ์ ให้มากขึ้น"......ขอ อย่ามุ่งแต่จะเลือกตั้ง เพราะการเลือกตั้งเมื่อถึงเวลาจะเกิดขึ้นเอง ขอให้ประชาชนเลือกคนดีๆเข้ามาก็พอ"
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยพลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่จังหวัดตรังติดตามสถานการณ์น้ำท่วม ในพื้นที่ 3อำเภอ ได้แก่อำเภอเมือง อำเภอกันตัง และ อำเภอรัษฎา ซึ่งสถานการณ์น้ำในวันนี้เริ่มคลี่คลายแล้ว หลายอำเภอ
โดยนายกรัฐมนตรี ได้ตรวจสถานการณ์การระบายน้ำ ในแม่น้ำตรังบริเวณสะพานคลองช้าง สั่งกำชับเร่งรัดแผนการขุดคลองผันน้ำจาก แม่น้ำตรัง เพื่อให้ไหลลงสู่แม่น้ำปะเหลียน เพื่อระบายลงทะเลอันดามันให้เสร็จภายในปี61 จะให้การระบายน้ำทำได้รวดเร็วขึ้น รวมถึงต้องเร่งสร้างพนังกั้นน้ำทดแทนของเดิมที่เสียหายไป เนื่องจากมีอายุใช้งานมาหลายสิบปี โดยนายกรัฐมนตรีขอให้ประชาชนเข้าใจการแก้ปัญหา และอาจจะต้องเวนคืนพื้นที่บางพื้นที่เพื่อแก้ปัญหาระยะยาว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัญหาน้ำท่วมจังหวัดตรัง มีปัญหามากว่า70ปี รัฐบาลพยายามหาทางแก้ปัญหา แต่ปีนี้ไม่ใช่เฉพาะจังหวัดตรังจังหวัดเดียว ที่ประสบปัญหาน้ำท่วม เพราะถึง65 จังหวัดทั่วประเทศ
จึงขอให้ประชาชนเข้าใจและร่วมมือกับรัฐบาลในการแก้ไข ปัญหา พร้อมแสดงความเป็นห่วงสุขภาพประชาชน ไม่ต้องการให้เกิดโรคระบาดที่มากับน้ำ จึงขอให้ประชาชนระมัดระวัง
ส่วนปัญหาราคายางพารา สัญญาว่าจะเร่งเพิ่มกำลังการใช้งานยางพาราซึ่งต้องเพิ่มสัดส่วนเป็นล้านตัน เพื่อให้ราคาเพิ่มขึ้น แต่ยอมรับว่าทำได้อยากเพราะมีการปลูกยางพาราเป็นจำนวนมาก ดังนั้นขอให้ประชาชนช่วยกันคิด ว่าจะทำอย่างไร อาจจะช่วยกันปลูกพืชเสริมลดการปลูกยางพาราลง พร้อมกำชับให้หน่วยงานต่างๆร่วมมือกัน
"อย่ามุ่งแต่จะเลือกตั้ง เพราะการเลือกตั้งเมื่อถึงเวลาจะเกิดขึ้นเอง ขอให้ประชาชนเลือกคนดีๆเข้ามาก็พอ"
"ผมไม่ได้เป็นคนขี้โมโห บางครั้งเป็นการหยอกล้อ แต่สัญญาว่าจะพยายามเก็บอารมณ์ ให้มากขึ้น"
"ผมรักคนใต้....คนใต้ น่ารัก คนขยันอดทน "

มรสุม โลหิต ประวิตร วงษ์สุวรรณ หนักหนา สาหัส

มรสุม โลหิต ประวิตร วงษ์สุวรรณ หนักหนา สาหัส


ต้องยอมรับว่า สถานการณ์ก่อนปรับ ครม.ประยุทธ์ 5 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อยู่ในสภาพเป็นเหมือนกับ “ตำบลกระสุนตก”
ถูก “เขย่า” อย่างเป็น “ระบบ”
รุนแรงถึงขนาดอุปมาฉันใดว่าเป็น “ตัวอับเฉา” ติดมากับสำเภาจากเมืองจีน อันเท่ากับเป็นอุปไมยฉันนั้นว่าเป็น “ตัวถ่วง”
ตัวถ่วงต่อ “ภาพลักษณ์” ของ คสช.และของรัฐบาล
การรุกในประเด็นต้องตัดรัฐมนตรี “สายทหาร” ออกไป จึงมิได้หมายเพียง พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ เท่านั้น
หากเด่นชัดว่า เป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
การยืนหยัดคง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไว้ที่ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อาจสะท้อนความแน่วแน่ มั่นคงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ผลก็คือ แรงกระทบยิ่งหนักหนา
มีความแจ่มชัดมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับว่า ปัจจัยบ่อนเซาะต่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่กระหน่ำเข้ามา จากองค์ประกอบ 2 ส่วน
ส่วน 1 มาจาก “ภายนอก” แน่นอน
ขณะเดียวกัน ส่วน 1 อันหวาดเสียวเป็นอย่างมากมาจากปัจจัย “ภายใน” ซึ่งมากด้วยความละเอียดอ่อนอย่างเป็นพิเศษ
เพราะว่าตัว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็มี “ส่วน”
อย่างเช่นกรณีที่หลุดปากให้ความเห็นต่อกรณีการเสียชีวิตอย่างมากด้วยเงื่อนปมของ “น้องเมย” จะไปโทษใครก็ไม่ได้
ต้องโทษ “ปาก” ของตัวเอง

อย่างเช่นกรณีที่นำนาฬิกายี่ห้อหรู
ริชาร์ด มิลล์ ไปเผยแสดงระหว่างถ่ายรูป ครม. “ประยุทธ์ 5” เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม
เด่นชัดว่าต้องโทษ “คนที่บ้าน” ว่าไม่ติง-เตือน
ขณะเดียวกัน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็สะสมความรับรู้มาเป็นลำดับ ตั้งแต่ที่ปรากฏผ่านกรรมาธิการกิจการตำรวจของ สปช. กระทั่ง การใช้คำว่า “ตัวอับเฉา” เปรียบเปรย
รากที่มาของ “ปรากฏการณ์” นี้มาอย่างไร
แน่นอน มิได้มาจากพรรคเพื่อไทย มิได้มาจาก นปช.คนเสื้อแดง ตรงกันข้าม มาจากบางคนบางส่วนอันเคยเคลื่อนไหวตั้งแต่ก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 และต่อเนื่องมายังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
ไม่อย่างนั้นจะได้ไปนั่งอยู่ใน “สปช.” ละหรือ
คนเหล่านี้บางคนแนบแน่นอยู่กับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และบางคนก็แนบแน่นอยู่กับขบวนการชัตดาวน์ของ กปปส.
ก่อนนี้ก็เคยเป็น “คนใน” แต่ในวันนี้กลายเป็น “คนนอก”
คนนอกซึ่งมาจากคนในอย่างนี้แหละที่กำลังสาดน้ำร้อน น้ำเย็น เข้าใส่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ถามว่าเป้าหมายในการแซะ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อย่างเป็นระบบ อย่างเป็นกระบวนการ ต้องการอะไร
คำตอบ คือ ต้องการ “ด้อยค่า”
คำตอบ คือ ต้องการแยก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ออกไป โดดเดี่ยว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ออกจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เหมือนกับ “หวังดี” แต่ก็คลุมเครือ เลือนจาง

‘7 เสือ กกต.’ มารอก่อน

‘7 เสือ กกต.’ มารอก่อน


ไม่ฮือฮา ไม่เรียกเรตติ้งสักเท่าไหร่

กับว่าที่ “7 เสือ” กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) “สเปกเทพ” ในรัฐธรรมนูญฉบับ “ซือแป๋” มีชัย ฤชุพันธุ์
แยกเป็นในส่วนของคณะกรรมการสรรหา กกต. ประกอบด้วยนายเรืองวิทย์ เกษสุวรรณ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. นายอิสสรีย์ หรรษาจรูญโรจน์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ นางชมพรรณ์ พงษ์เจริญ สุธีรชาติ ทนายความ ที่ปรึกษากฎหมายบริษัทเอกชน และนายประชา เตรัตน์ อดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทย

คัดจากผู้สมัครทั้งหมด 41 คน และมีผู้ผ่านคุณสมบัติเพียง 15 คน

รวมกับผู้ที่ผ่านการคัดกรองจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีมติเลือกนายฉัตรไชย จันทร์พรายศรี ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา และนายปกรณ์ มหรรณพ ผู้พิพากษาศาลฎีกา ให้เป็นผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็น กกต.สายศาล จำนวน 2 คน

ครบ 7 คน ส่งต่อให้ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาให้ความเห็นชอบ

คำตอบสุดท้ายยังอยู่ที่ สนช.อีกด่าน

แต่เท่าที่เปิดโฉมหน้าออกมาเบื้องต้น ต้องยอมรับว่ามีแค่นายประชา เตรัตน์ กับนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ ที่ชื่อคุ้นหู จัดอยู่ในข่ายคนเด่นดังในวงการระดับประเทศ

มาตรฐานภารกิจหน้าที่เก่า พอขึ้นชั้นเป็นกรรมการการเลือกตั้งได้

กับโควตาของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาคือ นายฉัตรชัย จันทร์พรายศรี และนายปกรณ์ มหรรณพ ที่เชื่อมือได้ในเรื่องของมาตรฐานความเที่ยงธรรมทางข้อกฎหมาย

นอกนั้นจัดอยู่ในข่าย “โนเนม” ไม่ปรากฏประวัติเนื้องานระดับชาติ

ที่แน่ๆเชื่อได้เลยว่า โอกาสนี้นักการเมืองอาชีพ ป้อมค่ายต่างๆคงไล่เจาะข้อมูล วิ่งสืบหาเส้นทางเข้าถึงตัวว่าที่ กกต.ชุดใหม่กันให้ควั่กแล้ว

ตามแนวโน้มจะต้องเคลียร์ด่านเลือกตั้งล่วงหน้า

เผื่อสถานการณ์ต้องเจอใบเหลือง ใบแดง

เรื่องของเรื่อง แม้จะขัดๆกับเงื่อนไข “สเปกเทพ” ของยี่ห้อ “ซือแป๋มีชัย”

แต่ในสมัยหนึ่งก็มีการเปรียบ กกต. ไม่ว่าแมวขาว แมวเทา ขอให้จับหนูได้ก็พอแล้ว

และจริงๆมันก็ไม่มีอะไรชี้วัดมาตรฐานคำว่า “สเปกเทพ” เพราะบางทีคนไม่ดัง อาจเป็นคนดีก็ได้ ตรงกันข้ามคนดี เด่น ดัง แต่พฤติกรรมน่าผิดหวัง ก็มีให้เห็นมาแล้วใน กกต.ชุดที่ผ่านๆมา

ถ้าไม่เอาอารมณ์เบิ้ลบลัฟ อาการของพวกหมั่นไส้ยี่ห้อ “มีชัย” มาเป็นที่ตั้ง

มันก็ยังเร็วเกินไปที่จะติเรือทั้งโกลนกับโฉมหน้าว่าที่ “7 เสือ กกต.” ประเดิมรัฐธรรมนูญใหม่

ถึงเวลาจริงอาจเป็นชุด “ปราบเซียน” ก็ได้

ที่สำคัญมาถึงตรงนี้ ถือว่าเงื่อนไขสถานการณ์ในการเตรียมการเลือกตั้งคืบหน้าไปอีกขั้น จ่อมี กกต.ชุดใหม่เข้ามาประจำการแล้ว

รองรับกระบวนการตามโรดแม็ปที่ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ย้ำสัญญาประชาคม จะประกาศเลือกตั้งในเดือนมิถุนายนปี 2561 และเข้าคูหากาบัตรกันในเดือนพฤศจิกายนปลายปีเดียวกัน

หมดปัญหาลักลั่นในส่วนของคนจัดเลือกตั้ง

เหลือที่ยังต้องลุ้นก็คือ กระบวนการจัดทำกฎหมายลูก ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญที่อยู่ในการพิจารณาของ สนช. โดยเฉพาะโฟกัสไปที่ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. และร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ที่มีผลแปรผันโดยตรงต่อการจัดเลือกตั้ง

ถ้ามีจุดพลิกผัน ก็มีผลต่อเงื่อนเวลาที่ “บิ๊กตู่” ประกาศทันที

ตามเงื่อนไขสถานการณ์แบบที่แว่วๆฝ่ายคุมเกมอำนาจบางส่วนก็ยังเห็นว่า จะรีบเลือกตั้งเร็วไปทำไม ในเมื่อแรงเสียดทานจากต่างประเทศที่เป็นเงื่อนไขสำคัญก็เบาบางไปแล้ว แนวโน้ม “ลุงตู่” ก็ยังตีประคองได้ น่าจะจัดระเบียบประเทศให้เสร็จไปเลยทีเดียว

ดีกว่าเสี่ยงปล่อยเลือกตั้งแล้ววุ่นวาย วิกฤติการเมืองวนกลับไปจ่อปากเหวซ้ำ

ทหาร คสช.ก็กลัวเสียของ กลุ่มทุนก็แหยงเสียเงินฟรี นักเลือกตั้งเองก็เหนื่อยเปล่า

หนีไม้พ้นต้องแอ่นแอ๊นกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่เลิก.

ทีมข่าวการเมือง