PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2560

พบแล้ว..!!"ตัวการ"ลักลอบขายอาวุธสงคราม


พบแล้ว, พบแล้ว ตัวการลักลอบขายอาวุธสงคราม, ลักลอบขายอาวุธสงคราม, ผบทบชี้พบแล้วตัวการขายอาวุธสงคราม, ข่าวการเมือง คมชัดลึก, ตัวการ, ผบทบ, สอธนากรณ์, ชพัน1 รอ

"ผบ.ทบ."เผย“ส.อ.ธนากรณ์”ทหารช.พัน 1 รอ.เป็นตัวการ ลักลอบขายอาวุธ-ระเบิดกองทัพ

ผ่านไลน์และเฟซบุ๊ก เชื่อไม่เกี่ยวเหตุป่วนกรุง ลั่นพร้อมตัดคนไม่ดีออกจากกองทัพ ไ


          6  มิ.ย. 60 - พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก ว่า ตนได้เน้นย้ำในที่ประชุมเกี่ยวกับการดูแลตรวจสอบคลังอาวุธของหน่วยต่างๆ ส่วนกรณีการตรวจพบอาวุธสงครามในพื้นที่กทม. และจ.ตราดนั้นยืนยันว่าทั้งสองเหตุการณ์ไม่มีความเชื่อมโยงกัน ในส่วนของจ.ตราดนั้นทางผู้ต้องหาได้รับสารภาพว่าดำเนินการส่งให้ชนกลุ่มน้อยในพื้นที่ด้านตะวันตก โดยรูปลักษณ์ของอาวุธตนเชื่อมั่นว่าเป็นไปในลักษณะนั้น ถือเป็นกระบวนการลักลอบค้าอาวุธสงครามจากด้านตะวันออกไปด้านตะวันตก ในส่วนกรณีการส่งวัตถุระเบิดผ่านบริษัทขนส่งพัสดุเอกชนที่พบที่กทม.นั้น ฝ่ายความมั่นคงได้นำตัวผู้ที่เกี่ยวข้องมาควบคุมตัวไว้ 19 คน แบ่งเป็นทหาร 12 คน และพลเรือน 7 คน จากการสอบสวนเบื้องต้นพบว่า คือ ส.อ.ธนากรณ์ บุญกาญจน์ เจ้าหน้าที่คลังอาวุธของกองพันทหารช่างที่ 1 รักษาพระองค์ (ช.พัน1 รอ.)เป็นผู้เกี่ยวข้องหลัก ที่ผ่านมาส.อ.ธนากรณ์ร่วมกับพวกเปิดแอพพลิเคชั่นไลน์ และเฟซบุ๊กซื้อขายแลกเปลี่ยนอาวุธปืนทั้งแบบที่มีทะเบียนและไม่มีทะเบียน เมื่อเห็นว่าสามารถซื้อขายได้จึงลักลอบนำวัตถุระเบิดส่วนหนึ่งพร้อมกระสุนมาขายอีก ปัจจุบันเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบสวนรวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินคดีต่อไป
          “ขบวนการค้าอาวุธสงครามมีมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยที่มีเหตุการณ์บริเวณชายแดน บางคนมองว่าสามารถทำกำไรได้ง่าย และรู้ช่องทางในการซื้อขาย จึงใช้ความรู้ความสามารถของตนเองดำเนินการ ทั้งนี้ยืนยันว่าทั้งสองกรณีไม่เกี่ยวข้องกัน อีกคนดำเนินการในหน่วยของตนเองเนื่องจากรับผิดชอบดูแลคลังอาวุธ ซึ่งมีความรู้เรื่องนี้พอสมควรและทำงานอยู่มาเป็นเวลานาน แม้ว่าจะมีการตรวจสอบตามช่วงเวลาผ่านกรรมการของหน่วยและกรรมการส่วนกลางเขาก็หาช่องทางหลบเลี่ยงได้ ผมพยายามทุกวิถีทางที่จะคลี่คลายเรื่องนี้ พร้อมใช้โอกาสนี้กวาดล้างผู้ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธสงครามทั้งหมด อย่างไรก็ตามได้เน้นย้ำทุกหน่วยไปดำเนินการกวาดล้างอาวุธสงครามในพื้นที่ทุกพื้นที่ที่สงสัย” ผบ.ทบ. กล่าว
          พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวยืนยันว่า ในกรณีเหตุการณ์ที่จ.ตราดเป็นอาวุธที่มาจากต่างประเทศที่ต้องการที่จะส่งไปจากด้านตะวันออกไปด้านตะวันตก ไม่ได้มาจากคลังของทหาร เราเป็นเพียงทางผ่าน ซึ่งจะเห็นได้ว่าประเทศรอบด้านเรามีความขัดแย้ง โดยกลุ่มชนกลุ่มน้อยพยายามสร้างความเข้มแข็งให้กับตนเอง ไม่สามารถจัดหาอาวุธแบบถูกกฎหมายได้ จึงพยายามซื้ออาวุธที่มาถูกต้องจากพื้นที่ที่มีการค้าขาย ตนได้เข้มงวดมาโดยตลอด โดยเฉพาะอาวุธที่อยู่คลังที่ประจำการอยู่ภายในกองทัพบก เมื่อไม่สามารถนำในส่วนนี้ออกมาได้จึงต้องไปซื้อจากต่างประเทศนั้นเป็นเรื่องของคน ทั้งนี้กำลังพลของกองทัพบกมีจำนวนมากทั้งคนดีและไม่ดี เมื่อพบว่าคนใดไม่ดีก็ต้องดำเนินการ
          เมื่อถามว่าที่ผ่านมาทางชนกลุ่มน้อยได้มีการเจรจากับรัฐบาลของประเทศตนเอง แต่ยังสะสมอาวุธอยู่นั้น เกิดจากสาเหตุใด พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า ชนกลุ่มน้องทุกกลุ่มต้องการสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง ในอนาคตทุกกลุ่มต้องแข็งแรง และซื้อจากที่ไหนก็แล้วแต่ แต่ละกลุ่มมีวิธีการของตนเอง ในส่วนของเราก็ต้องป้องกันคนของเราเองที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการเหล่านี้
          เมื่อถามว่าอาวุธและระเบิดที่มีชื่อผู้รับอยู่ที่อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และจ.ปัตตานีนั้นจะมีความเชื่อมโยงกับการสร้างสถานการณ์ความรุนแรงหรือไม่ พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า ส่วนใหญ่เป็นกระสุนและวัตถุระเบิดเป็นหลัก ซึ่งมีกลุ่มที่สะสมอาวุธเหล่านี้ และเมื่อมีการนำไปใช้เราก็ตรวจจับกลุ่มเป้าหมายทั้งหมดทั้ง 19 คนที่มีรายชื่ออยู่และยืนยันว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับการก่อความวุ่นวายในช่วงเวลาที่ผ่านมา อาวุธที่ขายเป็นกระสุนที่ครบนัด ไม่เหมือนกับระเบิดแสวงเครื่องที่จัดทำขึ้นมาเองในเหตุการณ์ระเบิด 3 จุดในกทม. เรื่องนี้ถือเป็นความทุจริตของบุคคล ขณะนี้อยู่ระหว่างการขยายผลว่ามีอะไรนอกเหนือจากนี้หรือไม่ก่อนจะดำเนินการตามกฎหมาย
          ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่ามีการส่งอาวุธเข้าไปในหน่วยทหารจนตำรวจไม่สามารถตรวจสอบได้นั้น พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวตนไม่ทราบ แต่ตรงไหนที่มีหลักฐานก็จะต้องตามไปให้หมด บางส่วนไม่ได้มาจากที่ส่งไป แต่มีอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว ทั้งหมดยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องว่าเป็นทหารแล้วจะมาดูแลกัน หากคนไม่ดีตนก็พร้อมเอาออกจากกองทัพ ซึ่งเวลานี้ตำรวจกำลังสอบสวนและเราต้องทำคู่ขานกันไป ในส่วนของจ.ตราดที่มีความเป็นห่วงว่าจะกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับประเทศเพื่อนบ้านนั้น คิดว่าคงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเป็นเรื่องของทหารนอกแถวของประเทศเพื่อนบ้านมาเจอกับทหารนอกแถวของเราร่วมกันดำเนินการ คงไม่มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ ขอให้แยกเรื่องของบุคคลกับหน่วยงานหรือองค์กร 

“ดร.เจษฎา” โพสต์”หมุดหน้าใส หายไปแล้ว สงสัยเกิดอะไรขึ้น



ภาพจากเฟซบุ๊ก jessada denduangboripant
เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจาก “หมุดคณะราษฎร” บริเวณลานหน้าพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งเป็นหมุดที่ทำขึ้นเนื่องในเหตุการณ์การอภิวัฒน์สยาม 2475 ซึ่งพระยาพหลพลพยุหเสนา หนึ่งในแกนนำคณะราษฎร อ่านประกาศคณะฉบับที่ 1 เสร็จสิ้นในเวลาย่ำรุ่งของวันที่ 24 มิถุนายน 2475 โดยหมุดเดิมมีข้อความว่า “”ณ ที่นี้ 24 มิถุนายน 2475 เวลาย่ำรุ่ง คณะราษฎรได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญ เพื่อความเจริญของชาติ”ได้หายไปและได้มีการนำหมุดใหม่มาใส่ไว้แทน โดย มีข้อความรอบนอกว่า “ความนับถือรักใคร่ในพระรัตนตรัยก็ดี ในรัฐของตนก็ดี ในวงศ์ตระกูลของตนก็ดี มีจิตซื่อตรงในพระราชาของตนก็ดี ย่อมเป็นเครื่องทำให้รัฐของตนเจริญยิ่ง” “ขอประเทศสยามจงเจริญยั่งยืนตลอดไป ประชาชนสุขสันต์ หน้าใส เพื่อเป็นพลังของแผ่นดิน” จนกลายเป็นประเด็นตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา
ล่าสุดรศ. ดร. เจษฎา อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า “หมุดหน้าใส” หายไปแล้ว เกิดอะไรขึ้นเนี่ย

ธงนำของพรรคประชาธิปัตย์

ธงนำของพรรคประชาธิปัตย์
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวภายหลังการหรือร่วมกับอดีตส.ส.พรรค ที่ไปทำงานกับกลุ่มกปปส. ว่า
- กลุ่มคนเหล่านี้เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ คนที่มาพรรคในเวลานี้เพราะมีความชัดเจนในเรื่องของกฎหมายพรรคการเมือง และกฎหมายเลือกตั้งกำลังจะออกมาแล้ว จึงคิดว่าเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสมที่จะกลับมา โดยผมได้บอกว่าการมาอยู่กับพรรคต้องยึดอุดมการณ์และหลักการของพรรค ซึ่งเป้าหมายของคนเหล่านี้คือการปฏิรูปประเทศ และการต่อสู้กับระบอบทักษิณ ถือเป็นแนวทางที่พรรคฯยึดถือและเดินหน้าปฏิรูปประเทศอยู่แล้ว สิ่งที่รัฐบาลปัจจุบันทำได้ก็อยากให้ทำ แต่ถ้าทำไม่ได้พรรคฯพร้อมที่จะเดินหน้า เช่น การปฏิรูปตำรวจ การปฏิรูปสื่อ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองบนวิถีทางประชาธิปไตย โดยทุกคนที่มาวันนี้ก็สนับสนุนแนวทางของพรรค

ด้านแนวคิดของนายสุเทพ ที่ประกาศสนับสนุน พล.อ. ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอีก 5 ปีนั้น ได้คุยกับเกี่ยวกับความเห็นของนายสุเทพซึ่งอยู่ในส่วนการเมืองภาคประชาชน ไม่ใช่ในระบบพรรคการเมือง
ส่วนที่นายถาวร ระบุว่าหากหัวหน้าพรรคไม่ได้เป็นนายกฯก็ไม่ได้พูดชัดเจนว่าจะสนับสนุนคนอื่นหรือไม่นั้น เป็นเรื่องของอนาคตไม่มีใครตอบได้ แต่เมื่อเราเป็นพรรคการเมืองต้องเสนอตัวเป็นทางเลือกให้ประชาชน เคารพการตัดสินใจของประชาชน วันนี้ยังไม่ได้เลือกตั้ง ยังไม่รู้ว่าใครจะอาสาลงสมัครรับเลือกตั้งบ้าง จะพูดว่ารัฐบาลต้องเป็นอย่างนั้น นายกฯต้องเป็นอย่างนี้คงไม่ได้ หลังจากประชาชนตัดสินแล้วค่อยมาดูว่าเป็นอย่างไร 

พรรคยืนยันว่าใครที่รวบรวมเสียงข้างมากในสภาได้ก็สมควรจัดตั้งรัฐบาล และไม่ต้องการเห็นส.ว.ฝืนเจตนารมย์ประชาชน เพราะจะเป็นเงื่อนไขนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองในอนาคต แต่ถ้าไม่สามารถเลือกนายกฯในบัญชีได้ก็ต้องไปสู่ขั้นตอนการยกเว้นหลักเกณฑ์ แต่ไม่ควรสรุปล่วงหน้า ไม่เช่นนั้นก็เป็นการไม่ให้เกียรติประชาชน

ด้านกรณีที่นายวิทยา ระบุว่าคนที่ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญกระสันอยากเลือกตั้งนั้น ผมเห็นทุกคนก็บอกว่าจะลงสมัครรับเลือกตั้ง ไม่รู้ว่าอย่างนี้จะเรียกว่ากระสันหรือไม่ เพราะที่กลับมาอยู่พรรคการเมืองก็เพื่อกลับมาลงสมัครรับเลือกตั้ง
ซึ่งถือเป็นหน้าที่ของนักการเมือง และไม่มีใครในพรรคประชาธิปัตย์เรียกร้องว่าต้องเลือกตั้งพรุ่งนี้ แต่คสช.เป็นผู้วางโรดแมพก็อยากให้เดินตามนี้ ส่วนเห็นด้วยหรือไม่กับรัฐธรรมนูญเป็นคนละประเด็น แต่เข้าใจว่าเวลามีการพาดพิงอาจมีอารมณ์ตอบโต้ไปมา เมื่อมีโอกาสคุยกันก็เห็นว่ามีการยอมรับแนวคิดและอุดมการณ์พรรค และหลังจากนี้หากนายสุเทพมีความเห็นที่ไม่ตรงกับพรรคฯ คนกลุ่มนี้ก็ต้องยึดถือแนวทางของพรรคฯ ไม่ควรมีความเห็นที่สวนทางกับแนวทางของพรรค เพราะพรรคต้องมีเอกภาพ และมีจุดยืนที่ชัดเจนกับประชาชน
ส่วนที่มีข่าวมาตลอดว่านายสุเทพส่งอดีตส.ส.กลุ่มนี้กลับมาเพื่อยึดพรรคฯและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งหัวหน้าพรรคนั้น ทุกคนที่มายืนยันว่าไม่ใช่ และนายสุเทพก็ยืนยันกับผมว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์เพราะออกไปทำงานภาคประชาชนแล้ว จะไม่เข้ามาแทรกแซงการทำงานพรรคทั้งสิ้น
ที่นายเอกณัฏ ระบุว่ายังไม่สามารถพูดได้ว่าจะสนับสนุนนายอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรคในการเลือกผู้บริหารพรรคครั้งหน้านั้น ผมไม่มีสิทธิ์บังคับให้ใครมาสนับสนุน เพราะพรรคฯเป็นประชาธิปไตย ทุกคนมีสิทธิ์เลือกหัวหน้าพรรค แต่สิ่งสำคัญคือใครก็ตามที่จะเป็นหัวหน้าพรรคต้องยึดอุดมการณ์พรรค ซึ่งตอนนี้คนกลุ่มนี้ก็บอกแล้วว่าสนับสนุนคนที่มีรายชื่ออยู่ในพรรคเป็นนายกฯ สิ่งนี้สำคัญกว่า ผมจึงไม่กังวล (ผู้จัดการออนไลน์)

“บิ๊กตู่” ยันตั้งทหารนั่งบอร์ดรัฐวิสาหกิจ แค่สังเกตการณ์ ไม่ยกมือพูด

“บิ๊กตู่” ยันตั้งทหารนั่งบอร์ดรัฐวิสาหกิจ แค่สังเกตการณ์ ไม่ยกมือพูด


“บิ๊กตู่” ยันตั้งทหารนั่งบอร์ดรัฐวิสาหกิจแค่สังเกตการณ์ ไม่ยกมือแสดงความเห็น ยันไม่ตัดสัดส่วนอื่นออก
เมื่อ‪เวลา 14.30 น. วันที่ 6 มิถุนายน ที่ทำเนียบรัฐบาล พ.อ.หญิงทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงคำตอบของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เขียนตอบคำถามสื่อมวลชนกรณีที่มีทหารเข้าไปนั่งในบอร์ดรัฐวิสาหกิจหลายแห่งว่า ช่วงที่ผ่านมามีปัญหาภายในบอร์ดรัฐวิสาหกิจ จึงให้ทหารเข้าไปนั่งสังเกตการณ์ ไม่ใช่ไปนั่งยกมือแสดงความคิดเห็น หลายเรื่องรัฐบาลได้แก้ไขปัญหาไปแล้ว โดยได้รับข้อมูลเป็นสัดส่วนของกรรมการในบอร์ด ก็มีตามกฎหมายอยู่แล้ว ไม่ใช่เอาทหารไปนั่งมากและไปตัดสัดส่วนอื่นออก เป็นบอร์ดกรรมการทั่วไปไม่ได้เป็นกรรมการเฉพาะทาง‬

กาตาร์จะเป็นป้ายต่อไปหรือเปล่า

นักวิเคราะห์มองว่ากาตาร์จะเป็นป้ายต่อไปหรือเปล่านะ? ซาอุดิอาระเบียอดีตแก๊งโจรทะเลทรายกำลังถังแตกเตรียมออกปล้นเพื่อนบ้านรอบใหม่หลังล้มเหลวในเยเมนและซีเรีย ลุ้น!
--------------
มาติดตามสถานการณ์เกี่ยวกับกาตาร์กันต่อนะครับ อันนี้เป็นมุมมองจากกูรูทางการเมืองระหว่างประเทศนะครับ วันที่ 6 มิ.ย.60 Sputnik พาดหัวข่าวว่า "ก้าวต่อไป - คือการรุกรานหรือเปล่า? ค้นหาคำตอบว่าทำไมซาอุดิอาระเบียเคลื่อนไหวเพื่อตัดความสัมพันธ์กับกาตาร์" (Next Step - Invasion? Why Saudi Arabia Moved to Cut Ties With Qatar)
หัวหน้าสำนักคิดแห่งหนึ่งได้กล่าวกับสำนักข่าว Sputnik ของรัสเซียว่า ซาอุดิอาระเบียตัดความมันพันธ์ทางการทูตกับกาตาร์เพื่อเตรียมการรุกรานอย่างเต็มรูปแบบต่อเพื่อนบ้านของตนเอง
การตัดสินใจของซาอุดิอาระเบียเพื่อตัดความสัมพันธ์ทุกด้านกับประเทศกาตาร์หนึ่งในรัฐอ่าวเปอร์เซียอาจจะเป็นการเบิกโรงเพื่อรุกรานประเทศเล็กๆที่ร่ำรวยมั่งคั่งแห่งนี้และยึดครองความมั่งคั่งไว้เอง ศาสตราจารย์ Ali al-Ahmed ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการสถาบันอ่าวเปอร์เซียกล่าวกับ Sputnik
"ผมฉายภาพไปที่การรุกรานกาตาร์... ผมได้รับรายงานเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกองทัพซาอุดิอาระเบียใกล้ๆชายแดนกาตาร์" ศ. al-Ahmed กล่าวเมื่อวันจันทร์นี้ "พวกซาอุดิ: พวกเขากำลังเตรียมการ" (The Saudis: They are preparing.)
Al-Ahmed ได้เตือนว่าการรุกรานกาตาร์อย่างเต็มรูปแบบอาจจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่ใครๆคาดการณ์ไว้ก็ได้
"ให้เช็กดูความถี่ของการทิ้งระเบิดในเยเมน... (มันจะเป็น) สัญญาณที่สำคัญจะ ถ้าหากว่ามีการหยุดชะงักหรือลดจำนวนการโจมตีทางอากาศที่ปฏิบัติต่อกองทัพฝ่ายกบฏในเยเมนลงเป็นอย่างมาก นั่นจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าซาอุดิอาระเบียกำลังส่งข้อความถึงกองทัพของพวกเขาสำหรับการเคลื่อนไหวในทันทีเพื่อต่อต้านกาตาร์แทน" al-Ahmed กล่าว
นักวิเคราะห์กล่าวอีกว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และนายเร็กซ์ ทิลเลอร์สันซึ่งมีสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียตลอดช่วงเวลา 15 ปีในตำแหน่งประธานและ CEO ของ Exxon (บริษัทปิโตเลี่ยมยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ) ทั้งสองคนนี้อาจจะสนับสนุนทางกลยุทธต่อซาอุดิอาระเบียในการรุกรานกาตาร์ก็ได้
"ผมมีความมั่นใจว่าทรัมป์ได้บอกกับฝ่ายซาอุดิไปแล้วว่าเขาจะไม่คัดค้าน" al-Ahmed กล่าว
ถ้าซาอุดิอาระเบียรุกรานกาตาร์จริง พวกเขาก็จะได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากอียิปต์และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งราชอาณาจักรบาห์เรน ซึ่งเป็นเจ้าภาพให้กองเรือที่ห้าของสหรัฐอยู่ในอ่าวเปอร์เซีย al-Ahmed กล่าว "พวกซาอุดิโกรธพวกกาตาร์มาก... พวกซาอุดิจะไม่มีทางปล่อยให้เยเมนเป็นเอกราชได้เด็ดขาด... บาห์เรนก็เกลียดกาตาร์"
[แม่เจ้าโว๊ยยย... เพิ่งรู้นะนี่ว่าพวกนี้รักกันมากขนาดนี้ ในซีเรียแก๊งรัฐอ่าวอาหรับรวมทั้งกาตาร์ด้วยรวมหัวกันกินโต๊ะซีเรีย แต่ในเยเมน ซาอุดิอาระเบียร่วมมือกันถล่มเยเมน แต่ก็กัดกันเองเพราะแย่งพื้นที่กันกับยูเออี ฮ่าๆๆ "พี่น้องกัน เรือนร่างเดียวกัน" ไหมหละเมิงเอ๋ย ฮิ้วววว ก็เหมือนกับที่เคยลงข่าวให้อ่านในกรณีของซีเรียนั่นแหละครับ พวกกบฏท้องถิ่นในจังหวัดอิดลิบก็พูดว่า "พวกเราชาวมุสลิม พี่น้องกันเรือนร่างเดียวกัน" แต่พอพวกกบฏกลุ่มใหม่อพยพจากที่อื่นเพราะแพ้รบให้กับฝ่ายรัฐบาลอัสซาด เข้าไปในอิดลิบ พวกเจ้าถิ่นก็บอกว่าอย่าเข้ามาในหมู่บ้านของพวกเรานะ เดี๋ยวยิงไส้แตกเลย ฮ่าๆ อันนี้เรื่องจริงนะครับ ตอนที่พวกเขาทะเลาะกันแย่งพื้นที่กันหนะ - ผู้แปล]
นักวิเคราห์กล่าวอีกว่า พวกผู้นำซาอุดิอาระเบียมุ่งมั่นที่จะทำให้กาตาร์กลายเป็นดาวเทียมบริวารของกรุงริยาดห์ และลดการพึ่งพาแบบประจบประแจงเหมือนกับรัฐบาลชุดปัจจุบันของเยเมน (รัฐบาลของนายฮาดี้แห่งกรุง Aden ที่ทำตัวเป็นหุ้นเชิดของซาอุดิอาระเบีย)
"พวกซาอุดิมีเป้าหมายหลักสองประการ: อย่างแรกจำกาตาร์มาสู่ความสัมพันธ์แบบข้ารับใช้ (subservient) ซึ่งก็เปรียบเหมือนกับการเป็นแรงงานทาส (slave labor) นั่นแหละ ไม่มีมาตรการครึ่งเดียว อย่างที่สองพวกซาอุดิกำลังจ้องตาไปที่เงินสดสำรองจำนวนมหาศาลของกาตาร์ พวกเขาต้องการมัน"
ผู้นำคนปัจจุบันของซาอุดิอาระเบียกำลังถอยหลังกลับสู่หลักการปล้นและชิงทรัพย์ตามที่บิดาของประเทศนั้น กษัตริย์ Abdelaziz ibn Saud ได้ก่อตั้งราชอาณาจักรแห่งทะเลทรายขึ้นมาเมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ศ. al-Ahmed กล่าว
ศ. al-Ahmed กล่าวอีกว่า "ซาอุดิอาระเบียเป็นประเทศที่ก่อตั้งขึ้นมาบนหลักการของการปล้นสะดม นั่นคือสิ่งที่ al-Saud เป็นมาแต่ดั้งเดิม: พวกเขาเป็นโจรปล้นสะดมในทะเลทราย พวกเขาเป็นโจรสลัดทะเลทราย คราวนี้พวกเขาก็ต้องการเงินอย่างเห็นได้ชัด"
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้แสดงออกอย่างชัดเจนต่อฝ่ายซาอุดิอาระเบียว่าเขาคาดหวังให้พวกเขาจ่ายมากกว่าเดิมทั้งโดยตรงและโดยอ้อมต่อสหรัฐ เพื่อสนับสนุนด้านการเงินแก่กองทัพของพวกเขา ซึ่งเป็นการเพิ่มภาระทางงบประมาณประจำปีให้กับกรุงริยาดห์ ศ. al-Ahmed กล่าว
นักวิเคราะห์กล่าวอีกว่า "พวกซาอุดิต้องการเงินทั้งด้านขาวและด้านซ้าย คราวนี้ทรัมป์ได้แสดงความต้องการทางการเงินรอบใหม่ต่อพวกเขา: พวกเขาก็จะพากันวิ่งออกไปหาเงิน ด้วยพันธกรณีทั้งหลายเหล่านั้น พวกเขากำลังเข้าตาจนในการอัดฉีดเงินสด ซาอุดิอาระเบียยังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในกาตาร์ซึ่งยอมจำนนต่อพวกเขาหมดแล้ว"
[อย่างหลังนี้ไม่ใช่หละ จากพฤติกรรมของกาตาร์ มันไม่ได้บ่งบอกว่ากาตาร์ยอมเป็นบ่าวรับใช้ซาอุดิอาระเบียอย่างหมดหัวใจ กาตาร์พยายามถ่วงดุลอำนาจจากหลายๆจากมหาอำนาจในภูมิภาค เพื่อใม่ให้ตนเองถูกบีบเป็นข้ารับใช้ซาอุดิอาระเบียตลอดชีวิต
ดังนั้นกาตาร์จึงต้องหันไปคบกับอิหร่านด้วย แน่นอนกาตาร์เป็นมหาเศรษฐีรวยก๊าซธรรมชาติมาก ฝั่งตรงข้ามอ่าวเปอร์เซียซึ่งก็คืออิหร่านก็ครอบครองแหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่เช่นกัน สองประเทศนี้ต้องการที่จะร่วมมือกัน ซาอุดิอาระเบียไม่ชอบอิหร่าน แต่ไม่รังเกียจอิสราเอล
แก๊งเหล่านี้ (GCC) รวมหัวกันเพราะพันธุ์พวกปีศาจอัลเคด้าและไอซิสและกลุ่มหัวรุนแรงขึ้นมา เพื่อใช้ในการรุกรานและบ่อนทำลายเสถียรภาพของประเทศต่างๆทั่วโลก แน่นอนด้วยความรู้เห็นเป็นใจและสนับสนุนด้านเทคนิกจากสหรัฐด้วย แต่ละประเทศหรือแต่ละกลุ่มก็ไม่ได้ไว้ใจกัน ต่างฝ่ายต่างก็มีแก๊งหัวรุนแรงหรือแก๊งโจรทะเลทรายเป็นของตนเอง เอาไว้ก่อเหตุบื้มป่วนเมืองและรุกรานเพื่อนบ้าน
วันดีคืนดีขัดขากันเอง ก็หันมากัดกัน มิตรภาพบนคมดาบ เผลอไม่ได้ ไม่มีใครไว้ใจใครได้สนิทใจ บางครั้งก็ร่วมมือกันออกล่า บางครั้งก็ลอบกัดกันเอง มันเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ดูไปเรื่อยเราจะได้รู้ความจริงมากขึ้น เดี๋ยวพวกเขาก็แฉความชั่วของกันและกันให้โลกได้รับรู้
ศ. Atef Abdel Jawad จากมหาวิทยาลัย George Washington แสดงความคิดเห็นว่ากรุงวอชิงตันอาจจะกระโดดเข้าร่วมวงกับฝ่ายซาอุดิอาระเบีย หากกรุงโดฮาไม่ยอมทำตัวเป็นเด็กดี (ของพี่ใหญ่)
รายงานข่าวแจ้งว่า รัฐบาลอียิปต์ได้ตั้งคณะกรรมพิเศษขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อจับตาดูสถานการณ์รอบๆกาตาร์ ปัจจุบันนี้มีพลเมืองชาวอียิปต์ทำงานอยู่ในกาตาร์ประมาณ 250,000 คน ล่าสุดกระทรวงแรงงานของฟิลิปปินส์ประกาศระงับการส่งแรงงานฟิลิปปินส์ไปทำงานที่กาตาร์ หลังจากกลุ่มประเทศอาหรับนำโดยซาอุดิอาระเบียประกาศตัดสัมพันธ์กับกาตาร์ทุกด้าน ABS-CBN Nes รายงาน - ผู้แปล]
ท่าทีล่าสุดของกาตาร์... รายงานข่าวแจ้งว่า กาตาร์ประกาศว่าจะไม่ยอมตอบโต้กลุ่มประเทศพี่น้องกัน (Brotherly Nations) และได้เชิญให้คูเวตเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย "พวกเราจะไม่เริ่มมาตรการเพื่อขยายความขัดแย้งต่อชาติพี่น้องของพวกเรา ปัญหานี้จะต้องแก้ไขด้วยการปรึกษาหารือกันในวิถีทางที่โปร่งใสและยุติธรรม" Sheikh Mohammed Bin Abdulrahman Thani รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของกาตาร์กล่าวกับสำนักข่าว Al Jazeera ของรัฐบาลกาตาร์เมื่อวันอังคารนี้
ทางรัฐบาลกาตาร์ได้เตรียมการจะแถลงการณ์ต่อประชาชนของตนเอง แต่ทางคูเวตของให้ระงับเอาไว้ก่อน โดยบอกว่ากำลังหาทางช่วยแก้ไขวิกฤตนี้ Sputnik รายงาน
The Eyes
เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
https://www.facebook.com/fisont
https://vk.com/theeyesproject
06/06/2560

ไลน์ “หลุด” เจ้าชายสายฟ้า กระเตง “มาร์ค” นั่งหัวหน้า ถล่ม ปชป.ทำตัวขี้ข้า “บิ๊ก” : ในประเทศ


นับเป็นบทสนทนาที่ร้อนระอุในแอพพลิเคชั่นไลน์ ที่หลุดกันอย่างโจ่งแจ้ง
ระหว่าง “เสี่ยคึก” เทพไท เสนพงศ์ หรือเจ้าชายสายฟ้า อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กับ นายเถกิง สมทรัพย์ ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่องหนึ่ง
ในใจความของบทสนทนามีการพูดถึงแนวทางการทำงานของรัฐบาล “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่อยู่นานและทำท่าจะเสียของ
โดยเฉพาะกับการโค่นล้มระบบทักษิณ ซึ่งในบทสนทนามีการเกรงว่าหาก คสช. อยู่นานกว่านี้ คะแนนนิยมจะสะวิงกลับไปที่พรรคเพื่อไทย (พท.) แทนที่จะเทมาที่พรรคประชาธิปัตย์
พร้อมกันนี้ยังได้วิพากษ์ถึงอนาคตของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะเดินต่อไปข้างหน้าอย่างไรเพื่อไม่ให้ภาพลักษณ์ของพรรคออกไปในแนวทางที่ดูว่าสนับสนุนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มากเกินไป
เนื่องจากรัฐบาล คสช. เข้ามาโดยอำนาจพิเศษ แต่ก็ยังมีกลุ่มคนที่เคยร่วมเคลื่อนไหวชุมนุม เป่านกหวีดร่วมกับ กปปส. ที่ต้องยอมรับว่า มีมวลชนบางกลุ่มยังสนับสนุน “บิ๊กตู่” อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
งานนี้ “เทพไท” ถึงกับหลุดข้อความมาว่า “ปชป. บางคนทำตัวเป็นขี้ข้าประยุทธ์”
เมื่อข้อความดังกล่าวหลุดออกมาสู่สังคม งานนี้ทำเอาบรรดาแกนนำ กปปส. ถึงกับอยู่ไม่สุข
เทพไท เสนพงศ์
บางคนถึงกับของขึ้นลามไปถึงเรื่องอื่นๆ ที่มีต่อนายเทพไทด้วย
โดยเฉพาะกับอดีต ส.ส. กลุ่ม กปปส. ที่อยู่ในพื้นที่นครศรีธรรมราชด้วยกัน
ถึงกับมีข่าวแว่วมาว่า เคยมีประชาชนมาร้องเรียนปัญหากับ ส.ส. ท่านหนึ่งในนครศรีธรรมราช แต่อยู่คนละเขตจึงรับผิดชอบช่วยประชาชนแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่ได้ และเมื่อ ส.ส. คนดังกล่าวไปพูดคุยกับนายเทพไทอย่างตรงไปตรงมาว่า เหตุใดจึงไม่แก้ไขปัญหาดังกล่าว งานนี้จึงทำเอานายเทพไทหัวเสียที่ถูกเพื่อน ส.ส. ด้วยกันมาสอนมวย
ทั้งนี้ จากปรากฏการณ์ไลน์ร้อน ส่งผลให้ระดับแกนนำของ กปปส. ทั้ง 8 คน ส่งสัญญาณไม่พอใจอย่างยิ่ง
กระทั่งในวันที่ 30 พฤษภาคมที่ผ่านมา อดีตแกนนำ กปปส. ทั้ง 8 คน จึงได้แท็กทีมตบเท้าเข้าพบ “หัวหน้ามาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อปรับความเข้าใจในกรณีดังกล่าว
รวมทั้งประสานรอยร้าวก่อนหน้านี้ที่ “พิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล” อดีต ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาให้ข่าวว่า กลุ่ม กปปส. กำลังเดินเกมเพื่อทำการยึดพรรค และเลื่อยขาเก้าอี้หัวหน้าพรรค
พร้อมทั้งทวงคืนเก้าอี้เลขาธิการพรรค ซึ่งคนปัจจุบัน “เสี่ยไก่” นายจุติ ไกรฤกษ์ นั่งกุมบังเหียนอยู่
รวมไปถึงการที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เบอร์หนึ่งของ กปปส. ที่ออกมาสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ต่อไป แม้จะมีการเลือกตั้งแล้วก็ตาม
โดยการสนทนาระหว่างกลุ่ม กปปส. ในช่วงเช้าวันที่ 30 พฤษภาคม ที่ร้านกาแฟของพรรคประชาธิปัตย์ บรรยากาศเป็นไปด้วยความเป็นกันเอง
แต่เป็นที่น่าสังเกตอย่างยิ่งว่า นายเทพไท ผู้ที่เป็นตัวก่อประเด็นร้าวนี้ มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มประหนึ่งใจดีสู้เสือ มิหน้ำซ้ำยังออกหน้าทำหน้าที่เสิร์ฟกาแฟให้กับแกนนำ กปปส. ทุกคนอีกด้วย
ก่อนจะขึ้นไปเคลียร์ใจกันอย่างลับๆ ที่ห้องประชุมชั้น 2 อาคารควง อภัยวงศ์ โดยไม่ให้สื่อมวลชนเข้าฟังและบันทึกภาพแต่อย่างใด
การหารือในวันดังกล่าวระหว่างนายอภิสิทธิ์และแกนนำ กปปส. ในเวลากว่า 1 ชั่วโมงครึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่า ภายหลังการหารือ แกนนำ กปปส. ได้ออกจากห้องประชุมมาก่อนนายอภิสิทธิ์ ด้วยสีหน้าที่เห็นได้ชัดถึงความไม่โอเคอะไรในบางอย่าง
แม้ว่าในการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนต่อหน้ากล้องจะพยายามสร้างสถานการณ์ให้เหมือนการพูดคุยในห้องประชุมเป็นปกติที่สุดก็ตาม ทั้ง นายถาวร เสนเนียม อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปตย์ และ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ อดีต ส.ส.กทม.
อย่างไรก็ตาม นายถาวรระบุว่า ท่าทีของแกนนำ กปปส. ต่อกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส. สนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ อีก 5 ปีนั้น เป็นความคิดของแต่ละคนที่อาจจะต่างกันได้
ส่วนตัวนั้นจะสนับสนุนด้วยหรือไม่ ขออย่าเพิ่งอ่านใจกัน เพราะเป็นเรื่องของอนาคต
ส่วนแนวทางของพรรคประชาธิปัตย์หลังจากเลือกตั้งเสร็จ ถ้าหัวหน้าพรรคไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็อยู่ที่สมาชิกพรรค จะไปตัดสินใจล่วงหน้าไม่ได้
ขณะเดียวกันอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ คือสนับสนุนการเลือกตั้ง รวมถึงการหาเสียงชูนโยบาย สนับสนุนนายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี
พร้อมกับยืนยันว่าไม่มีแนวทางไหนของ กปปส. ที่ขัดกับพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะเรื่องการเสนอตัวบุคคลเป็นนายกฯ และขณะนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะนำแนวคิดของนายสุเทพกลับมาผลักดันในพรรค ตอนนี้คำตอบที่ชัดเจนของเรา คือการสนับสนุนนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ
ขณะที่ “เอกนัฏ” ยืนยันอีกหนึ่งเสียงว่า การเดินทางเข้าพบนายอภิสิทธิ์ไม่ใช่เป็นการเจรจาต่อรองว่าใครจะเป็นหัวหน้าพรรค แต่มาปรับความเข้าใจกัน จากนี้ไปก็จะร่วมมือปฏิรูปประเทศด้วยกัน
เพราะฉะนั้น เรื่องการกระทบกระทั่งเล็กๆ น้อยๆ จะไม่เอามาใส่ใจ
ก่อนหน้านี้ใครพูดอะไรไม่ดีก็ขออโหสิกันไป
หากพรรคมีมติเลือกให้นายอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรค เราก็ต้องยอมรับมติพรรค
แต่มติจะออกมาว่าเลือกนายอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรคหรือไม่นั้น ยังเป็นเรื่องของอนาคต
ส่วน “หัวหน้ามาร์ค” ย้ำจุดยืนว่า สมาชิกพรรคทุกคนจะต้องปฏิบัติตามมติพรรค
ส่วนแนวคิดของนายสุเทพ ที่ประกาศสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอีก 5 ปีนั้น พรรคประชาธิปัตย์ก็ได้คุยกับแกนนำ กปปส. ทั้ง 8 คน ที่ยังเป็นสมาชิกพรรคว่า ความเห็นของนายสุเทพซึ่งอยู่ในส่วนการเมืองภาคประชาชน ไม่ใช่ในระบบพรรคการเมือง
และหลังจากนี้หากนายสุเทพมีความเห็นที่ไม่ตรงกับพรรค คนกลุ่มนี้คือ กปปส. ทั้ง 8 คนก็ต้องยึดถือแนวทางของพรรคเท่านั้น
ไม่ควรมีความเห็นที่สวนทางกับแนวทางของพรรค เพราะพรรคต้องมีเอกภาพและมีจุดยืนที่ชัดเจนกับประชาชน
ทันทีที่วงสนทนาเคลียร์ใจกันระหว่างแกนนำพรรคกับอดีตแกนนำ กปปส. จบลง ที่เรียกว่าเกือบจะเรียบร้อยแฮปปี้เอ็นดิ้ง แต่ในช่วงเย็นย่ำวันเดียวกันนั้น กำนันสุเทพก็ได้ออกมาเผยแพร่ภาพไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ พร้อมกับยืนยันว่า ส่วนตัวยังคงสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปแม้จะมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ก็ตาม
ส่วนสมาชิก กปปส. ทั้ง 8 คน คือ นักการเมืองก็ต้องกลับไปทำหน้าที่เพื่อประชาชนต่อไป ส่วนตัวขอประกาศตัวเป็นอิสระไม่ยุ่งเกี่ยวและไม่แทรกแซงการทำงานของพรรคประชาธิปัตย์อีกต่อไป
ทว่า ตามนัยยะความเป็นจริงแล้ว จะเป็นไปได้หรือไม่ ที่อดีตแกนนำ กปปส. ทั้ง 8 คน ซึ่งร่วมหัวจมท้ายเป่านกหวีดกับกำนันสุเทพ จะมีแนวทางที่เป็นเอกภาพกับนายอภิสิทธิ์ได้จริงหรือไม่
ถามว่า นายสุเทพผู้เคยสนับสนุนให้นายอภิสิทธิ์ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในช่วงเหตุการณ์ปี 2552-2553 นั้น จะไม่สนับสนุนนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ อีกคำรบแล้วจริงๆ อย่างนั้นหรือ อาจเป็นเพราะคำที่ว่า “ใครจะว่าผมเชียร์ทหาร ผมก็ไม่สน” อย่างที่นายสุเทพได้พูดไว้
แต่สุดท้ายสาเหตุใดที่ทำให้นายสุเทพหันไปเชียร์ทหารมากกว่าที่จะสนับสนุนพรรคการเมืองที่ตัวเองอยู่มานานกว่า 40 ปี
เรื่องนี้จึงเป็นเกมที่ต้องติดตามกันต่อว่ารอยร้าวระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับ กปปส. ที่มีเลือดเนื้อเชื้อไข ก่อกำเนิดมาจากพรรคสีฟ้าเหมือนกัน จะจบลงอย่างไร
เพราะทันทีเมื่อกฎหมายลูกที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งประกาศใช้ และเมื่อพรรคการเมืองสามารถประชุมพรรคได้ ก็พร้อมที่จะเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ทันที
เมื่อนั้นก็จะได้เห็นหน้าค่าตากันเองว่า ใครจะมาวินในพรรคประชาธิปัตย์

ถามบ้าง4ข้อ ขวางโละกกต.

ถามบ้าง4ข้อ ขวางโละกกต.

สมชัยโพสต์แสบ ชทพ.ชี้เกมอยู่ยาว ส่งคนคุมเลือกตั้ง
“สมชัย” ข้องใจโละ กกต.ยกชุด โยน 4 คำถามซัด กมธ. สนช.ออก ก.ม.ขัดหลัก นิติธรรม อ้างแก้สภาพปลาสองน้ำขาดภูมิปัญญา ไร้ตรรกะเหตุผล “ตวง” เมินเสียงต้านเซ็ตซีโร่ 5 เสือ ลั่นคิดจะปฏิรูป แต่ไม่กล้าเปลี่ยนแปลงคงไม่ได้ โต้แค่เปลี่ยนคนบริหารจัดการไม่ทำให้งานสะดุด กมธ.เสียงข้างน้อยชี้ขัดเจตนารมณ์ รธน. “เสรี” ยกคำแปรญัตติไปอภิปรายกลางวง สนช. พท.ห่วงเปลี่ยนม้ากลางศึกกระทบเลือกตั้ง ดักคออำนาจอื่นจ้องแทรกแซง วางคนยึดองค์กรอิสระสืบทอดอำนาจ “สมศักดิ์” ฉายภาพชัด “เซ็ตซีโร่ กกต.-ปชป.จูบปาก กปปส.-นายกฯ ตั้ง 4 คำถามเลือกตั้ง” สะท้อนกระบวนการปูทางผู้มีอำนาจอยากอยู่ต่อ ปชป.จี้หากลไกสกัดโกงเลือกตั้งสำคัญกว่า เด็ก พท.เฉ่ง “วันชัย” พวกเสี้ยม “ประยุทธ์-สุเทพ-อภิสิทธิ์” 3 ประสานถล่มระบอบทักษิณ “นิพิฏฐ์” ตะเพิดลูกหาบ คสช.เลิกตอกลิ่มสุมไฟขัดแย้ง
กรณีที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติให้โละ กกต.ทั้งชุด กลายเป็นประเด็นร้อนล่าสุด ที่ฝ่ายการเมืองต่างวิพากษ์วิจารณ์นำไปเกี่ยวโยงกับความ พยายามของผู้มีอำนาจที่จะสืบทอดอำนาจ ขณะที่ กกต.ชุดปัจจุบันได้ตั้งคำถามเป็นข้อสังเกต ระบุเป็นการออกกฎหมายที่ขัดหลักนิติธรรม ขาดตรรกะในเชิงเหตุผล
“สมชัย” คาใจตั้งคำถาม 4 ข้อโละ กกต.
เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านบริหารกลาง ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวตั้งคำถาม 4 คำถามจาก กกต.เกี่ยวกับกรณีการเซ็ตซีโร่ กกต.ว่า 1.การออกกฎหมายให้มีผลย้อนหลังในเชิงที่เป็นโทษ เป็นไปตามหลักนิติธรรมหรือไม่ เคยมีมาในอดีตหรือไม่ จะเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับสังคมนิติรัฐหรือไม่ 2.การกล่าวอ้างถึงตำแหน่งที่รับผิดชอบสูง จำเป็นต้องใช้คนที่มีคุณสมบัติสูง เลยต้องให้ออกทั้งคณะ ถามว่าในเมื่อคนเดิมส่วนมากถึง 4 ใน 5 คน มีคุณสมบัติ สูงครบถ้วน ผ่านการสรรหามาอย่างถูกต้อง เหตุใดจึงต้องให้เขาออกด้วย 3.รัฐธรรมนูญปี 2550 กำหนดให้วาระการดำรงตำแหน่งของ กกต.เป็นไปแบบวาระเฉพาะตัว เช่นเดียวกับองค์กรอิสระอื่นๆ ดังนั้นตลอดเวลาการดำรงตำแหน่ง หากมี กกต.ออกด้วยเหตุต่างๆ เช่น ครบ 70 ปี ตาย ลาออก ถูกถอดถอน คนใหม่ที่เข้ามาก็อยู่ต่อ 7 ปี ไม่ใช่เท่าวาระของคนเดิม ดังนั้น สภาพปลาสองน้ำจึงเป็นสภาพที่เกิดขึ้นโดยข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว การอ้างว่าต้องรีเซ็ตยกชุด หลีกเลี่ยงสภาพปลาสองน้ำ ควรออกมาจากปากผู้ร่างกฎหมายเองหรือไม่
อัดออก ก.ม.ขัดนิติธรรมไร้ตรรกะ
นายสมชัยระบุอีกว่า 4.การกล่าวว่าการรีเซ็ต กกต.ไม่ได้เป็นบรรทัดฐานสำหรับองค์กรอิสระอื่นๆ ดังนั้น อาจจะออกกฎหมายให้กรรมการองค์กรอิสระอื่น และศาลรัฐธรรมนูญสามารถอยู่ต่อไปจนครบวาระ โดยไม่คำนึงถึงคุณสมบัติที่สูงขึ้นตามรัฐธรรมนูญใหม่ แปลว่าองค์กรเหล่านี้มีความสำคัญในการปฏิรูปการเมือง “น้อยกว่า” คณะกรรมการการเลือกตั้งใช่หรือไม่ จึงยกเว้นเรื่องคุณสมบัติสูงให้ หากกรรมการองค์กรอิสระใดขาดความสามารถ บกพร่องจริยธรรม ขาดผลงานเป็นที่ประจักษ์ ไม่มีความเป็นกลางทางการเมือง รัฐธรรมนูญมีช่องทางในการให้บุคคลดังกล่าวออกจากตำแหน่งโดยไม่ยากอยู่แล้ว การออกกฎหมายใหม่ที่ขัดหลักนิติธรรม ขาดตรรกะในเชิงเหตุผล กล่าวอ้างแบบขาดภูมิปัญญา และไม่เป็นบรรทัดฐานที่ดีสำหรับสังคมที่ปกครองโดยนิติรัฐ มิควรเกิดขึ้นในสังคมไทย
กมธ.เมินเสียงต้านเซ็ตซีโร่ 5 เสือ
ด้านนายตวง อันทะไชย ประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวถึงกรณีพรรคการเมืองไม่เห็นด้วยกับการปรับแก้เนื้อหาร่าง พ.ร.บ.คณะกรรมการการเลือกตั้งของ กมธ. ที่ให้เซ็ตซีโร่ กกต.ใหม่ทั้งหมดว่า เป็นปกติที่พรรคการเมืองไม่เห็นด้วย เหตุที่ต้องเซ็ตซีโร่ กกต.ทั้งหมด เนื่องจากรัฐธรรมนูญปี 2560 ให้อำนาจ กกต.สูงมาก ถึงขั้นใช้อำนาจสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) อายัดการทำธุรกรรมของพรรคการเมืองได้ ดังนั้น คุณสมบัติของ กกต.ต้องเข้มข้นขึ้นกว่าเดิม จึงให้สรรหาใหม่ทั้งหมด อย่างน้อยต้องสรรหาเพิ่ม 2 คนอยู่แล้วและยังมี กกต. เก่าอีก 2 คน มีปัญหาคุณสมบัติไม่ถูกต้อง แม้ กกต. ชุดเก่าบางคนคุณสมบัติถูกต้องตามรัฐธรรมนูญใหม่ แต่ถ้าคิดจะปฏิรูปประเทศ อย่าไปห่วงเรื่องตัวบุคคลหรือคิดเล็กคิดน้อยเกินไป ประเทศจะเดินไม่ได้ กมธ. ยึดผลประโยชน์ประเทศเป็นหลัก เรื่องนี้เห็นมีแต่นักการเมืองออกมาเดือดร้อน ขณะที่ประธาน กกต.บอกว่า พร้อมทำตามกฎหมาย เพราะไม่ยึดถึงประโยชน์ ของตัวเอง แต่ยึดประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก
เปลี่ยนคนบริหารไม่ทำให้งานสะดุด
นายตวงกล่าวว่า ส่วนที่พรรคการเมืองระบุว่า การให้ กกต.ชุดใหม่เข้ามาทำงานทั้งหมด เป็นการลองผิดลองถูก อาจทำให้งาน กกต.สะดุดนั้น ยืนยันว่าไม่สะดุดแน่นอน เพราะไม่ได้เปลี่ยนกลไกการทำงาน และไม่ได้ยุบสำนักงาน กกต. แต่เปลี่ยนแค่คนบริหารจัดการเท่านั้น เจ้าหน้าที่ กกต.ไม่ได้ถูกยุบ ทุกอย่างยังเดินหน้าต่อไปได้ไม่มีสะดุด หากคิดจะปฏิรูปประเทศ แต่ไม่กล้าเปลี่ยนแปลงคงไม่ได้ เชื่อมั่นว่า กกต.ใหม่มีเวลาเตรียมงานเพียงพอในการเลือกตั้งสมัยหน้าล้านเปอร์เซ็นต์ มั่นใจว่าจะชี้แจงหลักการกฎหมายลูกฉบับนี้ให้ที่ประชุม สนช.เข้าใจได้ในวันที่ 9 มิ.ย. กมธ.ทุกอย่างมีเหตุผล เชื่อว่า สนช.จะเข้าใจ ส่วนจะตั้ง กมธ.ร่วมมาทบทวนร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับ กรธ.และ กกต. ถ้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นว่า กมธ.ไปแก้ไขขัดต่อหลักการและเจตนารมณ์เสนอตั้ง กมธ.ร่วมได้ แต่สิ่งที่ กมธ.แก้ไขไม่ได้ขัดหลักการและเจตนารมณ์ เท่าที่ดูท่าทีของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. ไม่มีปัญหาอะไร ยังพูดว่า กมธ.เด็ดขาดมากกว่า กรธ. ส่วนประธาน กกต. บอกว่าพร้อมทำตามกฎหมาย
เสียงข้างน้อยซัดขัดเจตนารมณ์ รธน.
ขณะที่นายเสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกสภา ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ในฐานะ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งกล่าวว่า ในฐานะเป็น กมธ.เสียงข้างน้อยที่ไม่เห็นด้วยกับมติ กมธ.ที่ให้เซ็ตซีโร่ กกต.ทั้งชุดนั้น จะขอสงวนคำแปรญัตติเพื่ออภิปรายความเห็นในประเด็นดังกล่าวต่อที่ประชุม สนช. วันที่ 9 มิ.ย. เพราะเห็นว่าการให้เซ็ตซีโร่ กกต. ทุกคนน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ระบุให้ กกต.ที่มีคุณสมบัติถูกต้องเป็น กกต.ต่อไป ส่วนคนที่มีคุณสมบัติไม่ถูกต้องให้สรรหาใหม่ ซึ่ง กกต.ชุดปัจจุบันบางคนมีคุณสมบัติการเป็น กกต.ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญปี 2560 และได้รับการสรรหามาอย่างถูกต้อง จึงควรได้ทำหน้าที่ต่อไป ยิ่งขณะนี้ใกล้เลือกตั้งเข้ามา ควรมี กกต.เดิมที่รู้งาน มีประสบการณ์ทำหน้าที่จัดเลือกตั้งให้ราบรื่น มีประสิทธิภาพ ถ้ามีแต่คนใหม่ทั้งหมดเหมือนเป็นการเริ่มต้นใหม่ เกรงว่าการเลือกตั้งจะไม่ราบรื่นและไม่คล่องตัว ส่วนตัวจะเสนอให้เป็นไปตามร่างเดิมของ กรธ.คือ ให้สรรหาใหม่เฉพาะคนที่มีคุณสมบัติไม่ถูกต้องเท่านั้น ใครที่มีคุณสมบัติถูกต้องให้ทำหน้าที่ต่อไป ทั้งนี้อยากให้ กรธ.พูดถึงเจตนารมณ์เรื่องคุณสมบัติ กกต.ให้ชัดเจนว่า ต้องการให้เป็นแนวทางใดกันแน่ เพราะเท่าที่ดู กรธ.ก็ไม่ปฏิเสธแนวทางเซ็ตซีโร่ กกต.ตามที่ กมธ.เสนอมา
“ตือ” ฉายภาพผู้มีอำนาจปูทางอยู่ต่อ
นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนากล่าวถึงกรณีการเซ็ตซีโร่ กกต. การจับมือระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับ กปปส.และการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตั้งคำถามประชาชน 4 ข้อถึงการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ว่า ทั้งหมดนี้สะท้อนกระบวนการอยากอยู่ต่อของผู้มีอำนาจในปัจจุบัน ด้วยการปูทางอาศัยกลไกระบอบประชาธิปไตยเข้ามา ตั้งแต่ร่างรัฐธรรมนูญ และร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ เจตนาชัดเจน ต้องการสืบทอดอำนาจ เป็นการล็อกด้วยรัฐธรรมนูญและกำลังจะล็อกด้วย พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย พ.ร.บ.พรรคการเมือง พ.ร.บ.คณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ร.บ.การเลือกตั้ง อย่างการเซ็ตซีโร่ กกต.ไม่มีเหตุผลอะไรเลย นอกจากต้องการเอาคนของตัวเองมาสานต่อดูแลการเลือกตั้ง ชัดเจนเกินไป ทำให้มองเห็นได้ว่าอนาคตหลังการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร ต่อให้ประชาชนแข็งขืนก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะมี 250 เสียงวุฒิสภาเป็นต้นทุน มีพรรคการเมืองบาง พรรคได้ประกาศเจตนารมณ์ว่าเป็นอย่างไร พออยู่แล้ว
จี้สำนึกพรรคการเมืองหยุดเห็นแก่ตัว
นายสมศักดิ์กล่าวอีกว่า ถึงได้บอกว่าเห็นด้วยกับแนวคิดของนายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ชงโมเดล 4 พรรคใหญ่ผนึกกำลังสู้ทหาร แต่ไม่ได้หมายความว่าให้พรรคการเมืองร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ แต่หมายความว่าให้ทุกพรรคการเมืองมาร่วมกันทำให้การเมืองเป็นระบอบประชาธิปไตย และนำคนในระบอบประชาธิปไตยมาบริหารประเทศ อย่าเห็นแก่ตัวว่าเมื่อเขาเอาเราไปเป็นรัฐบาลเลยหนุนคนนอกเป็นนายกฯ ถ้าอย่างนี้อยู่ในวังวนการสืบทอดต่ออำนาจเผด็จการต่อไป เชื่อว่าวันนี้อารยประเทศมองออกว่าไทยกำลังเดินไปสู่การเมืองการปกครองแบบไหน ประชาธิปไตยเป็นเพียงเสื้อคลุมหรือเปล่า ฝ่ายการเมืองที่มาโดยระบอบประชาธิปไตยจะอยู่ในสภาพนี้หรือจะเปลี่ยนแปลง ท่ามกลางความโหยหาการปฏิรูปการเมือง การเปลี่ยนแปลงการเมืองไปสู่ระบอบใหม่ของสังคมไทย ทั้งหมดอยู่ที่จิตสำนึกนักการเมืองกับพรรคการเมืองว่า เจตนารมณ์ทำการเมืองเพื่ออะไร ถ้าทำเพื่อพัฒนาประชาธิปไตยจะอีกแบบหนึ่ง แต่ถ้าทำเพื่อพรรคกูจะมาก็เป็นอีกแบบหนึ่ง อยู่ที่จิตสำนึกแล้ว
พท.ชี้ไอ้โม่งวางคนสืบทอดอำนาจ
นายสามารถ แก้วมีชัย อดีต ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ให้มีการเซ็ตซีโร่ กกต.ใหม่ทั้งหมดว่า จะทำให้การทำงานของ กกต.มีปัญหา เพราะ กกต.ชุดใหม่ยังไม่มีประสบการณ์ อาจเรียนรู้งานไม่ทัน ควรให้ กกต.ชุดเดิมที่มีคุณสมบัติถูกต้องตามรัฐธรรมนูญปี 2560 อยู่ทำหน้าที่ต่อไป ส่วนคนที่มีคุณสมบัติไม่ถูกต้องให้พ้นตำแหน่งจะเหมาะสมกว่า ไม่ควรเปลี่ยนม้ากลางศึกมาดูแลในช่วงใกล้มีการเลือกตั้งทั่วประเทศ จะเกิดปัญหาในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะโครงสร้างใหม่ที่ไม่มี กกต.จังหวัด ต้องใช้ผู้ตรวจการเลือกตั้งที่ไม่คุ้นเคยและรู้สถานการณ์ในพื้นที่มาทำงานแทน จะยิ่งทำให้เกิดปัญหาการทำงานมากขึ้น ที่สำคัญการให้สรรหา กกต.ใหม่ทั้งหมด กังวลว่าจะมีอำนาจอื่นมาแทรกแซงการคัดเลือก กกต.ชุดใหม่ เพื่อวางคนของตัวเองมาทำหน้าที่หรือไม่ มีความเป็นไปได้ว่าหลังจากนี้อาจมีการเซ็ตซีโร่องค์กรอิสระทุกองค์กรใหม่ทั้งหมด เพื่อวางคนของตัวเองเข้ามาทำหน้าที่ ไม่ทราบว่ามีเจตนาวางคนเพื่อมาสืบทอดอำนาจต่อหรือไม่
ชิ่งไม่ได้เป็นศัตรูกับนายกฯ
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายวันชัย สอนศิริ สมาชิกสปท.เสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส. ผนึกกำลัง 3 ฝ่ายต่อสู้กับระบอบทักษิณว่า นายวันชัยจะชอบใครหรือระบอบใดเป็นสิทธิส่วนตัว แต่ไม่ควรกล่าวพาดพิงผู้อื่นให้เสียหาย การกล่าวหาระบอบทักษิณที่ไม่มีอยู่จริง เป็นส่วนหนึ่งของวาทกรรมสร้างความเกลียดชัง เป็นวาทกรรมลวง คนที่นำวาทกรรมนี้มาใช้ทำลายล้างผู้อื่นถูกปฏิเสธจากประชาชนมาครั้งแล้วครั้งเล่า ยืนยันว่าวันนี้พรรคเพื่อไทยไม่ได้ต่อสู้กับ พล.อ.ประยุทธ์ คสช. พรรคประชาธิปัตย์ กปปส. แต่พรรคเพื่อไทยต่อสู้กับตนเองอย่างมุ่งมั่นในการค้นหานโยบายที่นำไปสู่การแก้ปัญหาทุกมิติของประเทศ เพื่อความผาสุกของประชาชน ให้สังคมได้ก้าวข้ามความขัดแย้งไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์
สับพวกบ่างเสี้ยม 3 ฝ่ายรุมสกรัม
นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขอฝากเป็นข้อสังเกตไปยังภาคส่วนต่างๆให้เลิกคิดจับคู่ฟาดฟันทำลายล้างกัน เพราะพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่ม กปปส.หรือนายกฯไม่ได้เป็นศัตรูกับพรรคเพื่อไทย ที่ต้องต่อสู้กันให้วุ่นวายรู้ดำรู้แดง ที่ผ่านมาสิบปีเศษประชาชนเบื่อหน่ายความขัดแย้งอุปสรรคการแก้ปัญหาประเทศ ในสถานการณ์บ้านเมืองเศรษฐกิจกำลังตกต่ำอย่างมากขณะนี้ ควรร่วมหาทางออกให้ประเทศ อย่างน้อยควรร่วมกันเดินไปตามรัฐธรรมนูญ ให้ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล และ กกต.ที่จะบริหารจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความยุติธรรม ให้ประเทศได้รับความเชื่อมั่น รัฐบาลควรเป็นกลาง ไม่มีอคติต่อฝ่ายใด ไม่ควรสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมืองให้เกิดขึ้น หากนายกฯสละการใช้อำนาจตามมาตรา 44 จะเป็นสัญญาณบวกว่า ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย สร้างความเชื่อมั่นประเทศให้กลับคืนมา
ปชป.จี้หากลไกสกัดโกง ลต.สำคัญกว่า
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เรื่องเซ็ตซีโร่ กกต.หรือไม่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อการจัดการเลือกตั้ง ที่สำคัญกว่าคือทำอย่างไรให้การเลือกตั้งสุจริตและเที่ยงธรรมจริงมากกว่า ที่ผ่านมาการเลือกตั้งทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น ถูกครหาว่าทุจริตค่อนข้างมาก กลไกอำนาจรัฐในพื้นที่วางตัวไม่เป็นกลาง มีการใช้เงินเพื่อซื้อเสียงได้อำนาจก็เข้าไปทุจริตถอนทุน จากนั้นเอาเงินจากการทุจริตมาทุจริตเลือกตั้งเพื่อให้ได้อำนาจรัฐต่อไป กลายเป็นวงจรอุบาทว์ของการเมืองไทย ขอฝากให้ สนช.คำนึงถึงว่า 1.ควรเป็นกฎหมายที่ออกแบบป้องกันปัญหาการทุจริตเกี่ยวกับการเลือกตั้งโดยเฉพาะการซื้อสิทธิขายเสียง 2.โครงสร้างการทำงานของ กกต.ควรเอื้อต่อการป้องกันการทุจริตเลือกตั้ง ให้สืบสวนสอบสวนหาหลักฐานเอาผู้ทำผิดมาลงโทษให้ได้โดยเร็ว 3.มีวิธีคุ้มครองพยานให้ได้ผลจริงจัง 4.สร้างกลไกการทำงานของ กกต.ทุกระดับ รวมถึงผู้ตรวจการเลือกตั้งให้ทำงานมีเอกภาพ 5.เน้นทำงานเชิงรุก สร้างเครือข่ายสนับสนุน เพื่อช่วยขจัดพวกโกงเลือกตั้งเข้าสู่วงจรอุบาทว์อีก
“นิพิฏฐ์” ไล่ลูกหาบเลิกตอกลิ่มขัดแย้ง
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวกรณีคนในแม่น้ำ 5 สายแนะให้พรรคประชาธิปัตย์จับมือกับรัฐบาล คสช.ต่อสู้กับระบบทักษิณและพรรคเพื่อไทยว่า คนในแม่น้ำ 5 สาย มีหน้าที่หลักในการปฏิรูปประเทศ ยังต้องสร้างความสามัคคีปรองดองในบ้านเมือง องคาพยพของรัฐบาล คสช.อย่าพูดในลักษณะแบ่งแยกแบ่งฝักฝ่ายให้แตกแยกเพิ่มมากขึ้น ที่สำคัญอย่าทำตัวเป็นฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด รวมถึงการเสนอให้พรรคใดพรรคหนึ่งจับมือกับทหาร หรือจับมือกับพรรคการเมืองด้วยกันล่วงหน้าก่อนการเลือกตั้ง รังแต่จะสร้างความขัดแย้งไม่จบสิ้น เพราะการเมืองในอนาคตพรรคใดจะจับมือกับพรรคใดเป็นเรื่องยากจะคาดเดา ฉะนั้น สปท.สนช.อย่าสร้างประเด็นให้เกิดความแตกแยกในสังคมไปมากกว่านี้เลย
ชี้คำถาม “บิ๊กตู่” ตรงไปตรงมา
สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เผยผลสำรวจความคิดเห็น“ประชาชนคิดอย่างไร กรณีนายกฯ ตั้งประเด็นคำถาม 4 ข้อก่อนพาประเทศสู่การเลือกตั้ง” จากกลุ่มตัวอย่าง 1,282 คน ตั้งแต่วันที่ 30 พ.ค.-3 มิ.ย.พบว่าร้อยละ 77.38 มองว่าเป็นคำถามจากใจนายกฯ ถามอย่างตรงไปตรงมา ร้อยละ 72.85 ชี้เป็นสิทธิที่ถามได้ ร้อยละ 62.40 เห็นว่าอยากได้ข้อมูลไปใช้เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสม ร้อยละ 53.59 ระบุเป็นคำถามชี้นำอาจทำให้เกิดความแตกแยก ร้อยละ 52.65 ระบุว่าจะกลายเป็นประเด็นทางการเมือง ส่วนที่นักการเมืองออกมาต่อต้าน ร้อยละ 80.81 ระบุคิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกกีดกัน ร้อยละ 78.63 ระบุไม่เกิดผลดีกับนักการเมือง เสียประโยชน์ ร้อยละ 75.66 ระบุนักการเมืองรู้สึกไม่สบายใจเป็นกังวล ร้อยละ 68.56 เกรงว่าจะกระทบต่อการเลือกตั้ง ขณะที่ร้อยละ 66.80 ระบุผลดีเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม ร้อยละ 57.69 ทำให้รัฐบาลได้แนวทางไปสู่การปฏิบัติ และร้อยละ 43.16 ระบุเกิดความตื่นตัวทางการเมืองก่อนเข้าสู่การเลือกตั้ง ส่วนผลเสียร้อยละ 63.52 ระบุเปิดประเด็นทางการเมืองที่ร้อนแรง ร้อยละ 59.60 ระบุเกิดการต่อต้านจากนักการเมืองและร้อยละ 56.95 ระบุเป็นคำถามชี้นำ ไม่เป็นกลาง
วงเสวนาฉะ พ.ร.บ.คอมพ์ปิดปากสื่อ
เมื่อเวลา 10.00 น. สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดเวทีราชดำเนินเสวนา หัวข้อ “ถอดบทเรียนความไม่เป็นธรรมในการใช้กฎหมายปิดปากสื่อ” โดยหยิบกรณีนายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที นักจัดรายการสถานีโทรทัศน์ช่องนิวส์วัน ถูกจับกุมข้อหาหมิ่นประมาทและผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากการนำเสนอข้อร้องเรียนการทุจริตการส่งอาหารเข้าเรือนจำในจังหวัดแห่งหนึ่งเป็นกรณีศึกษา พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร อดีตที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการปฏิรูประบบตำรวจ สภาปฏิรูปแห่งชาติกล่าวว่า ประชาชนถูกกระทำเป็นความรู้สึกไม่ดีมานานมาก แต่ไม่มีใครพูดอะไร แต่มีคนเดือดร้อนจากกฎหมายและการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ตนแทบพูดอะไรไม่ออกกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญาขณะนี้ เพราะตำรวจกระบวนการยุติธรรมชั้นต้นของไทยไม่เป็นตัวของตัวเอง มีคนเจตนาใช้กฎหมายนี้ เป็นเครื่องมือเพื่อปิดปากกลั่นแกล้งกับสื่อ โดยยัดข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ทำให้ปัญหามาอยู่ที่พนักงานสอบสวน ใน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มีโทษจำคุกถึง 5 ปี จึงนิยมใช้เป็นเครื่องมือแทนความผิดหมิ่นประมาทในประมวลกฎหมายอาญา เพราะมีโทษสูงกว่า และขอศาลออกหมายจับได้เลยโดยไม่ต้องออกหมายเรียก นี่เป็นปัญหาของการใช้กฎหมายที่เกิดจากระบบและบุคคล
สัับใช้ ก.ม.ผิดวัตถุประสงค์
ด้านว่าที่ พ.ต.สมบัติ วงศ์กำแหง ผู้แทนจากสภาทนายความ กล่าวว่า การทำหน้าที่ของสื่อไม่มีเจตนาก็ไม่เข้าข่ายองค์ประกอบการกระทำความผิด หากอยู่ในขอบเขตที่ทำเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยใช้หลักสุจริตในการทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของสังคม แต่ใช้ใน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มีโทษถึง 5 ปี มาปิดปากสื่อมวลชนโดยใช้ขั้นตอนออกหมายจับได้เลย โดยไม่ต้องออกหมายเรียกนั้นถือว่าเป็นการใช้ไม่ตรงวัตถุประสงค์
นายณัชปกร นามเมือง จากโครงการอินเตอร์เน็ต เพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) กล่าวว่า ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีการใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มากทั้งภาครัฐและเอกชนปิดกั้นเสรีภาพการตรวจสอบและแสดงความคิดเห็น สื่อมวลชนควรต้องรณรงค์ให้สังคมได้รู้ว่า มีการใช้กฎหมายผิดวัตถุประสงค์จากการร่างกฎหมายนี้อย่างไร แต่กฎหมายปิดปากสื่อมีแค่ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์จริงหรือ ขณะนี้การจำกัดเสรีภาพการแสดงออกมีหลายรูปแบบ
แจง 6โฆษกรองนายกฯตีปี๊บผลงาน
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. สั่งการให้รองนายกรัฐมนตรี 6 คน แต่งตั้งโฆษกรองนายกรัฐมนตรี หรือคณะทำงานด้านการประชาสัมพันธ์ของรองนายกฯว่า นายกฯต้องการให้สื่อสารการทำงานแต่ละด้านที่รองนายกฯแต่ละคนกำกับดูแล ให้ประชาชนได้ทราบ หากเดินหน้าทำงานอย่างเดียว โดยขาดการสื่อสาร หรือไม่ได้ชี้แจงให้สังคมทราบ ประชาชนอาจไม่เข้าใจ และประชาชนจะได้ร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย ที่ผ่านมา รัฐบาลเดินหน้าทำงานแต่สังคมอาจไม่ทราบ เพราะไม่ได้ชี้แจงอย่างครอบคลุม บางเรื่องโฆษกกระทรวงให้ข่าว แต่อาจเป็นเพียงบางมุม ยังไม่ได้ประสานเชื่อมหน่วยงานอื่น นายกฯจึงอยากให้เชื่อมโยงข้อมูลให้รอบด้านและชี้แจงให้สังคมได้ทราบเป็นระยะ
นายกฯปลุกเปลี่ยนสู่ ปท.ศิวิไลซ์
พล.ท.สรรเสริญกล่าวต่อว่า นายกฯเห็นว่าเวลานี้เป็นช่วงสำคัญที่คนไทยควรใช้เป็นโอกาสสร้างบ้านแปงเมืองให้เป็นประเทศศิวิไลซ์ ด้วยการรับรู้และสร้างเป้าหมายเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น ก้าวผ่านวงจรปัญหาที่เกิดขึ้นมานับสิบปี โดยนำสุนทรพจน์ของนายมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก ที่ได้กล่าวในพิธีจบการศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดประจำปีนี้ไปปรับใช้คือการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ร่วมกัน มองไปข้างหน้า ร่วมกันปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและประเทศไทยก้าวขึ้นไปเป็นประเทศชั้นนำในเอเชีย โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทุกฝ่ายต้องหยุดความขัดแย้ง เปลี่ยนความคิดและคำพูดที่ติดลบเป็นความสร้างสรรค์ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ด้วยการสร้างความเข้มแข็งจากตนเอง โดยคนทุกระดับชั้นร่วมสร้างความยิ่งใหญ่ และรัฐบาลพร้อมรับฟังเสียงประชาชน
หนุน 77 จังหวัดปั้นสินค้าจีไอ
พล.ท.สรรเสริญ กล่าวอีกว่า รัฐบาลเดินหน้าผลักดันโครงการส่งเสริมหนึ่งจังหวัดหนึ่งสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์หรือจีไอ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนในแต่ละท้องถิ่นผลิตสินค้าที่มีคุณลักษณะพิเศษประจำถิ่น ช่วยเพิ่มมูลค่าและเป็นเครื่องมือการตลาดให้แก่ผู้ขาย ตั้งเป้าให้ทุกจังหวัดมีสินค้าจีไอของตนเอง ล่าสุดเตรียมขึ้นทะเบียนส้มบางมดและลิ้นจี่บางขุนเทียน เป็นสินค้าจีไอของ กทม. ถือเป็นการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญารูปแบบหนึ่ง ปัจจุบันมีสินค้าที่ขึ้นทะเบียนจีไอแล้ว 75 ชนิด จาก 70 จังหวัดทั่วประเทศ ส่วนการหาตลาดให้สินค้าจีไอ รัฐบาลนำร่องจัดมุม จีไอ คอนเนอร์ ในห้างสรรพสินค้า 2 สาขาที่เซ็นทรัลฟู้ด ฮอลล์ สาขาชิดลม และท็อปส์มาร์เก็ต เซ็นทรัลพลาซา สาขาแจ้งวัฒนะ คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีจีไอ คอนเนอร์ ครบ 100 สาขา
“วัฒนา” จวก รบ.แถโกหกกลบ ศก.แย่
นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พาณิชย์ โพสต์เฟซบุ๊ก “ร่วมด้วย ช่วยกัน...แถ ” ว่า หัวหน้าเผด็จการออกมายอมรับแล้วว่าเศรษฐกิจไม่ดี แก้ตัวว่ามาจากการปราบคอร์รัปชันหนักเลยทำเศรษฐกิจฝืดเคือง ทั้งที่ไม่เกี่ยวข้องกัน เมื่อไม่กี่วันก่อนเพิ่งออกมาบอกว่าเศรษฐกิจดีแล้วมีอัตราการเจริญเติบโตถึง 3.8% พร้อมประณามคนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นพวกไม่หวังดี ขณะที่องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติจัดอันดับความโปร่งใสของไทยในปี 59 ให้สอบตก ไทยอยู่ลำดับที่ 101 จาก 176 ประเทศ สรุปคือมีการโกงมากขึ้น และคดีทุจริตที่เกี่ยวกับกองทัพไม่มีความคืบหน้า ดังนั้นความจริงคือผลของการร่วมกับกลุ่มการเมืองข้างถนนยึดอำนาจ ทำให้เศรษฐกิจประเทศไทยเสียหายยับเยิน และแทนที่คนพวกนี้จะออกมาแสดงความรับผิดชอบ กลับโทษนโยบายรับจำนำข้าวของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯทำให้เศรษฐกิจถดถอย เป็นการแก้ตัวด้วยการโกหกจนเป็นนิสัยถาวร
“นิพิฏฐ์” ชูผลวิจัยทุจริตตอกหน้า คสช.
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กรณีองค์กร Transparency International วิจัยสถิติความโปร่งใสทั่วโลกออกรายงานพบว่า ในปี ค.ศ.2017 ประเทศไทยอยู่อันดับ 3 ของเอเชียที่มีอัตราคอร์รัปชันสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีอัตราคอร์รัปชันที่ 41% รองจากอินเดียและเวียดนามนั้นว่า ควรต้องรับฟังผลวิจัยสถิตินี้และตรงกับหลักการที่ว่า ระบบที่ปราศจากการตรวจสอบจะมีการทุจริตคอร์รัปชันมากที่สุด เพียงแต่คนที่เชื่อว่ารัฐบาล คสช.ไม่มีการทุจริต คนเหล่านี้เชื่อไว้ล่วงหน้าแล้ว มีผลกระทบทำให้ระบบบิดเบี้ยวได้ ส่วนที่รัฐบาลหรือผู้มีอำนาจจะยืนยันว่าสามารถปราบการทุจริตคอร์รัปชัน มีรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงเขาต้องพูด และเชื่อว่าระบบที่เขาสร้างขึ้นสามารถปราบได้ แต่พวกเราที่อยู่ในพื้นที่ พบปะประชาชนและข้าราชการในต่างจังหวัดรู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ยืนยันว่ายังมีการทุจริตในพื้นที่เหมือนเดิมไม่ลดลง หากรัฐบาลต้องการข้อมูลในทางลับถามมาได้ แต่จะให้ยกตัวอย่างในที่สาธารณะ จะมีการปฏิเสธโต้แย้ง ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ และจะกระทบต่อข้าราชการชั้นผู้น้อยด้วย
ร้องสอบ ธปท.ขาดทุนสูง 8 แสนล้าน
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า วันที่ 5 มิ.ย. จะไปยื่นเรื่องถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. ที่ทำเนียบรัฐบาล ให้ตรวจสอบกรณีผลการดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ณ วันที่ 31 ธ.ค.2559 ขาดทุนสูงถึง 139,533 ล้านบาท พบประเด็นน่าสงสัยว่าในงบแสดงฐานะการเงินด้านหนี้สินและทุน มีตัวเลขหนี้สินรวม 4,963,953 ล้านบาท โดยมีตัวเลขขาดทุนสะสมของ ธปท.สูงถึง 805,835 ล้านบาท ขณะที่ ธปท.มีทุนประเดิมเพียง 20 ล้านบาท หากเทียบสัดส่วนผลขาดทุนสะสมต่อทุนจะสูงถึง 40,921 เท่า น่ากังวลต่อฐานะการคลังของรัฐบาลเป็น ประเด็นที่รัฐบาลควรกังวล จึงจำเป็นต้องนำเรื่องไปร้องเรียนต่อนายกฯเพื่อพิจารณาแก้ไขต่อไป
แฉรวมสัญญารถไฟฟ้าสีน้ำเงิน
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายวิลาศ จันทรพิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงความไม่ ชอบมาพากลในโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (เฉลิมรัชมงคล) ช่วงหัวลำโพง-บางซื่อ ระยะทาง 20 กม.ว่า การรวมสัญญาส่วนต่อขยายกับสายรัชมงคลที่จะหมดสัญญาในปี 2572 ไว้ด้วยกัน ทำให้รัฐเสียประโยชน์ เพราะเมื่อสายรัชมงคลกลับมาเป็นของ รฟม.อาจจ้างบริหารคาดว่าน่าจะมีรายได้ค่าเดินรถและค่าโฆษณาไม่ต่ำกว่าสองแสนล้านบาทเมื่อถึงปี 2592 การระบุในสัญญาของส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงินว่า รฟม.จะได้รับส่วนแบ่งเมื่อบีอีเอ็มมีผลตอบแทนการลงทุนเกิน 9.75 เปอร์เซ็นต์ทำให้รัฐเสียหาย ในเอกสารประเมินการลงทุนระบุว่าบริษัทจะได้ผลตอบแทนการลงทุนที่ 9.75% ในปี 2592 เป็นช่วงเวลาสิ้นสุดสัญญาพอดี เท่ากับ รฟม.ไม่มีโอกาสจะได้ผลตอบแทนเลย แต่รัฐบาลยืนยันว่าไม่เสียประโยชน์ และไม่เคยพูดความจริง ทำไมจึงทำสัญญา ทั้งที่รู้ว่า รฟม.ไม่มีโอกาสจะได้ผลตอบแทนเลย และขอตั้งข้อสังเกต ครม.เห็นชอบโครงการเดินรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลือง ไปชนกับสายสีเขียว บริษัท บีทีเอส เดินรถต่อเนื่อง ไม่ต่างสายสีน้ำเงิน แต่รัฐบาลกลับให้ประกวดราคา สะท้อนว่าเลือกปฏิบัติหรือไม่
บี้ยกเลิกผลประเมินคุณธรรม กปภ.
นายวิลาศยังกล่าวถึงกรณีที่การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ได้รับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสจาก ป.ป.ช.ในอันดับที่ห้าว่า วิธีการประเมินไม่น่าจะถูกต้อง เพราะ กปภ.มีการทุจริตมากที่สุด เท่าที่เคยตรวจสอบมากว่า 100 หน่วยงาน ได้ยื่นให้ ป.ป.ช.สอบทุจริตแล้วถึง 39 เรื่อง การประเมินใช้วิธีให้ กปภ.และผู้รับจ้างเป็นคนตอบ ทำให้ไม่น่าเชื่อถือ ได้ตรวจสอบพบว่านายเสรี ศุภราทิตย์ ผู้ว่าการ กปภ. ทำหนังสือเวียนแจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาทำแบบสอบถามของ ป.ป.ช. แล้วใครจะกล้าบอกว่าผู้ว่าการ กปภ.โกง จึงแจ้งกับกรรมการ ป.ป.ช.ขอให้ยกเลิกผลการประเมินนี้ เพราะจะกลายเป็นการประทับตรายางให้ กปภ.
“วิทยา”ปูดทุ่ม 2 ล้านวิ่งขึ้น ผกก.ภาค 8
นายวิทยา แก้วภราดัย อดีต สปท. และอดีตแกนนำ กปปส.กล่าวว่า ในช่วงการโยกย้ายตำแหน่งข้าราชการตำรวจระดับสารวัตร รองผู้กำกับการ ผู้กำกับการ และรองผู้บังคับการ ที่กำลังพิจารณาในช่วงนี้ ขอให้ประชาชนจับตาดูว่าผลจะเป็นอย่างไร เพราะยังมีการพูดกันว่าในพื้นที่ภาค 8 มีการซื้อกันถึง 2 ล้าน เพราะปีนี้มีตำแหน่งผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธร (ผกก.) ว่าง 26 ตำแหน่ง ให้รอดูว่าจะมีรอง ผกก.ในพื้นที่ภาค 8 ได้ขึ้นเป็น ผกก. สักกี่คน เพราะตำแหน่งเหล่านี้จะขยับไล่เรียงว่างตามกันเป็นลำดับขั้น มีรองผู้บังคับการว่าง 12 ตำแหน่ง รอดูว่าจะมีนายตำรวจในภาค 8 ได้ตำแหน่งกี่คน หรือจะมีใครบินข้ามมาจากไหนมากินตำแหน่ง ถ้ามีการปฏิรูปแล้วตำรวจในแต่ละจังหวัดจะสามารถขึ้นครองตำแหน่งได้ตามความรู้ความสามารถและผลงาน ไม่ต้องวิ่งตำแหน่งที่ส่วนกลางแล้ววกกลับจังหวัด กลับภาค จึงเห็นด้วยกับแนวคิดที่นายกฯรำพึงรำพันว่า ให้ตำรวจขึ้นกับจังหวัด และขอให้นายกฯลองติดตามดูว่าคำสั่ง สตช.ที่จะออกจะเป็นอย่างไร ส่วนภาคอื่นราคาอาจสูงกว่านี้มากต้องไปดูกันเอง
กระตุ้น “ประยุทธ์” เร่งปฏิรูปตำรวจ
“ถ้าสภาพตำรวจยังต้องทำงานหาเงินไปวิ่งเต้นเอาตำแหน่ง แน่นอนว่าประชาชนฝากความหวังไม่ได้และนากยกฯควรเร่งผลักดันตามแนวความคิดคือการผลักดันโยกให้ตำรวจมาขึ้นกับจังหวัด เติบโตในจังหวัดของตัวเอง จะมีประชาชนในพื้นที่เป็นคนตรวจสอบเอง ถ้าปล่อยให้ตำรวจประเภทมือวิ่งเทวดา นักวิ่งเต้นจ่ายเงิน กระโดดข้ามหัวเพื่อนในแต่ละจังหวัดเป็นแบบนี้ได้ตำแหน่งแล้ววิ่งเต้นย้ายกลับไป กระโดดมาจากกรุงเทพฯมากินตำแหน่งในภาค 8 แล้ววิ่งเต้นกลับไป คนทำงานในพื้นที่จะไม่มีกำลังใจ จ่อจะขึ้นขยับตำแหน่งต้องรอจนเกษียณราชการ ฉะนั้นดีที่สุดคือการเร่งปฏิรูปตำรวจ” นายวิทยากล่าว

เซ็ตซีโร่องค์กรอิสระ ไม่ใช่สืบทอดอำนาจ

นายกรัฐมนตรี งดตอบคำถามสื่อวันที่ 8 ใช้วิธีเขียนลายมือ ให้ทีมโฆษกรัฐบาลตอบแทน ยืนยันเซ็ตซีโร่องค์กรอิสระ ไม่ใช่สืบทอดอำนาจ
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. งดให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในสัปดาห์ที่ 2 หลังประกาศงดให้สัมภาษณ์ 2-3 สัปดาห์ แต่ใช้วิธีตอบคำถามด้วยการเขียนลายมือที่สื่อถามล่วงหน้า 10 ข้อ ผ่านทีมโฆษกรัฐบาลให้ตอบแทนการชี้แจงผ่านแอฟพลิเคชั่นไลน์ เหมือนสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดย พ.อ หญิงทักษดา สังขจันทร์  และ พ.อ อธิสิทธิ์ ไชยนุวัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจง เรื่องการเซ็ตซีโร่ กกต. , ปปช. , องค์กรอิสระอื่นๆว่าไม่ใช่การสืบทอดอำนาจ เพราะการเลือกตั้งเรื่องที่ประชาชนมาใช้สิทธิ์ จะไปแก้คะแนนเสียงไม่ได้ ยืนยันกกต.สืบทอดอำนาจไม่ได้ 
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรี ยังได้ชี้แจงเรื่องปัญหาก่อการร้าย ว่าไม่ได้เชื่อมโยงกับองค์กรขนาดใหญ่ ทำให้ป้องกันยาก รัฐบาลจะให้ความมั่นใจอย่างไร ในการป้องกัน ว่ารัฐบาลไทยพร้อมรับมือ และผู้ถามรู้อยู่แล้วว่าไม่เชื่อมโยงเป็นคำตอบในตัว ว่าไม่เชื่อมโยง ซี่งรัฐบาลก็เฝ้าระวังอย่างเต็มที่ ไม่ให้เกิดเหตุ ดึงภาคประชาชนมีส่วนร่วม และมีการชื้ออาวุธ ยุทโธปกรณ์ เพื่อป้องกันภัยคุกคาม ในรูปแบบใหม่ ตามความเหมาะสม 
ส่วนความคืบหน้าทหารมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้าอาวุธ ตรวจสอบแล้วพบว่ามาจากต่างประเทศ ไม่ได้ขนจากไทย หากตรวจสอบพบจะลงโทษสถานหนัก ยืนยันรถที่นำไปใช้ขนอาวุธ ไม่ใช่รถของทางราชการ แต่มีการสวมทะเบียน ดังนั้นสั่งให้ตรวจสอบรถทุกคัน ไม่เว้นแม้แต่รถของทางราชการ และได้กำชับผบ.เหล่าทัพทุกเหล่า ตรวจสอบหากพบผู้ใต้บังคับบัญชาทำผิดจะต้องสอบสวนเอาผิดทั้งวินัยและอาญา ส่วนการคดีทหารส่งระเบิดทางไปรษณีย์ ได้สั่งการให้ตรวจสอบแล้ว และเร่งหาตัวผู้กระทำผิดโดยเร็ว 
ขณะที่ความคืบหน้าเหตุระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุล ยอมรับมีความกังวลเพราะเป็นเรื่องยากจะกำจัดให้หมด ยืนยัน ไม่ได้เป็นการสร้างสถานการณ์ของคสช. แต่อาจเป็นไปได้ที่เป็นฝีมือของตำรวจและทหาร ซึ่งเป็นคนไม่ดีที่อาจอยู่ในหรือนอกราชการ ล้วนมีสิทธิก่อเหตุได้ทั้งนั้น

เซ็ตซีโร่คณะกรรมการการเลือกตั้งไม่เกี่ยวสืบทอดอำนาจ

เซ็ตซีโร่คณะกรรมการการเลือกตั้งไม่เกี่ยวสืบทอดอำนาจ

           6 มิ.ย. 60 ที่ทำเนียบรัฐบาล พ.อ.หญิงทักษดา สังขจันทร์ ทีมโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงคำตอบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เขียนตอบคำถามสื่อมวลชน กรณีการเซ็ตซีโร่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ว่า เรื่องนี้ ไม่ทราบว่า มองในแง่ คสช. สืบทอดอำนาจได้อย่างไร เนื่องจาก กกต.มีหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้ง ประชาชนมาใช้สิทธิจะไปแก้ไขคะแนนเสียงได้อย่างไร แล้ว กกต. หรือใครก็ตามไม่สามารถทำให้ใครมีการสืบทอดอำนาจได้.

พรรคมีสิทธิ์เลือกนายกฯ

พรรคมีสิทธิ์เลือกนายกฯ

มีเสียงวิจารณ์ว่าการที่กลุ่มอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นแกนนำกลุ่ม กปปส.กลับคืนสู่พรรค อาจนำไปสู่ความแตกแยก ของพรรคอย่างในอดีต หรือมิฉะนั้นก็จะเกิดภาวะ 1 พรรค 2 แนวทาง แต่นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธาน สปท.และอดีตรองหัวหน้า พรรคประชาธิปัตย์ มองว่าสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของการปฏิรูปประเทศ และการสร้าง ความปรองดอง
เหตุที่มีเสียงวิจารณ์ลักษณะนี้ เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์กับ กปปส.มี แนวทางการเมืองต่างกัน แกนนำ กปปส.ประกาศชัดเจนจะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. และฟนายกรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรี ขณะที่อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์คนหนึ่งยืนยัน พรรคจะไม่สนับสนุน เผด็จการ แต่สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี
ส่วนหัวหน้าพรรคคือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นสถาบัน เป็นพรรคที่มีระบบ มีอุดมการณ์การทำงานต้องยึดแนวทาง จึงไม่เกิดภาวะ 1 พรรค 2 แนวทาง แนวทางของพรรคประชาธิปัตย์คือ พรรคที่รวบรวมเสียง ส.ส.ได้เกิน 250 เสียง เป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทน ราษฎร ต้องเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เรียกร้อง ส.ว. 250 คน ที่มาจากการแต่งตั้งของ คสช. ให้เคารพเจตนารมณ์ของประชาชน น่าจะหมายความว่าต้องยินยอมให้การเลือกนายกรัฐมนตรีตามเสียงข้างมากในสภาผู้แทน ราษฎร โดยไม่สนับสนุน “คนนอก” มาแข่งเป็นข้อเสนอที่อาจเป็นไปได้ยาก เพราะ ส.ว.ก็มีสิทธิ์ร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งยังอาจเป็นกลุ่มใหญ่สุดในสภา
การเมืองไทยหลังการเลือกตั้ง 2561 อาจคล้ายกับ “ยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ” ตามรัฐธรรมนูญ 2521 เมื่อ 40 ปีก่อน แต่มีบางอย่างที่ต่างกัน รัฐธรรมนูญ 2521 มี ส.ว. จากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหารทั้งสภา มีสิทธิ์ร่วมการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี พิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณและกฎหมายสำคัญๆร่วมกับ ส.ส.
จึงทำให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี และบริหารประเทศอยู่นานกว่า 8 ปี ด้วยการสนับสนุนจาก ส.ว.แต่งตั้ง และจากพรรคการเมืองหลายพรรค เพราะภายใต้รัฐธรรมนูญ 2521 ส.ว.แต่งตั้งกลายเป็น “พรรค” ใหญ่สุดในสภา และมีอำนาจเท่ากับ ส.ส. จึงไม่มีพรรคใดจัดตั้งรัฐบาลได้ ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนจากวุฒิสภา
แต่รัฐธรรมนูญ 2560 ฉบับปัจจุบัน แม้จะมีบทเฉพาะกาลให้มี ส.ว. แต่งตั้ง 250 คน ใน 5 ปีแรก แต่มีอำนาจเพียงร่วมเลือก นายกรัฐมนตรี ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือพิจารณาร่างกฎหมายสำคัญ ร่วมกับ ส.ส. พรรคการเมืองก็ยังมีสิทธิ์จับมือ กันตั้งรัฐบาลได้ ส่วน “นายกฯคนนอก” จะอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่ได้เสียงข้างมากของ ส.ส.

อ่าน การเมืองไทย อ่าน ‘ยืมหอก สนองคืน’ สนองคืน ‘ทหาร’



ไม่ว่าความเห็นอันมาจากนายอลงกรณ์ พลบุตร ไม่ว่าความเห็นอันมาจากนายวันชัย สอนศิริ 2 คนสำคัญจาก สปท.ถือได้ว่าเป็นไปในแบบ
ร่วมด้วย ช่วยกัน
ไม่เพียงแต่ทำให้ “ความฝัน” ของนายพิชัย รัตตกุล ที่อยากให้พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา จับมือกันเพื่อต่อกรกับสิ่งที่เรียกว่า “พรรคทหาร”
ต้องกลายเป็นความล้มเหลว
หากแต่ยังทำให้โฉมหน้าของสถานะแห่งความเป็น “พรรคทหาร” ซึ่งดำรงอยู่ในลักษณะแห่ง “อีแอบ” ได้เผยแสดงออกมา
ที่คิดและประเมินกันว่าเป็น “พรรคภูมิใจไทย” นั้นไม่น่าจะใช่
แม้ว่านายอนุทิน ชาญวีรกูล และนายเนวิน ชิดชอบ จะมีความแนบแน่นเป็นอย่างสูงกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ตาม
หากแต่ “ประชาธิปัตย์” ต่างหากที่ใกล้มากกว่า
ความน่าสนใจในสถานะและการดำรงอยู่ของพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะที่เป็น “ส่วนหนึ่ง” ในการเสริมความชอบธรรมให้กับ “พรรคทหาร”
มิใช่เพราะนายอลงกรณ์ พลบุตร ดำรงอยู่ในตำแหน่งรองประธาน สปท.
มิใช่เพราะพรรคประชาธิปัตย์เคยร่วมกับทหารมาตั้งแต่รัฐประหารเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2490 เท่านั้น
หากที่สำคัญขอให้ประเมินจากข้อเสนอของนายวันชัย สอนศิริ
“วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ต้องเป็นเอกภาพกว่านี้ ปัญหาภายในกับ กปปส.ต้องไม่ทะเลาะกันเอง และต้องไม่ทะเลาะกับทหาร ต้องแสวงหาจุดร่วม สงวนจุดต่าง ร่วมกันต่อสู้กับระบอบทักษิณให้ได้ ถ้า 3 ฝ่ายแตกคอกันเมื่อไหร่จะไม่มีใครคัดง้างเขาได้
“พรรคประชาธิปัตย์ต้องรวมเป็นหนึ่งให้ได้ก่อน
“โดย 1 นายอภิสิทธิ์และพวกเป็นแกนนำในสภาสูง 2 นายสุเทพสู้ภาคประชาชน 3 พล.อ.ประยุทธ์ ดูแลเรื่องความมั่นคง ถ้า 3 ส่วนจับมือเป็น 1 จะต่อสู้กับระบอบทักษิณในระยะเปลี่ยนผ่านได้
“ถ้าต่างคนต่างแยกกันเดิน แยกกันตี เชื่อว่าจะพ่ายแพ้”
จากนี้จึงเห็นได้ว่า ที่มีการส่ง 8 แกนนำ กปปส.หวนคืนสู่พรรคประชาธิปัตย์ด้วยการอ้าแขนรับอย่างอบอุ่นจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
เป็นไปตาม “ยุทธศาสตร์” อะไรในทางการเมือง
ขณะเดียวกัน การที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ยืนหยัดอยู่ที่มูลนิธิและวิทยาลัยอาชีวศึกษาภาวนาโพธิคุณบนเกาะสมุยนั้นมาจากการคาดการณ์อย่างไร
และความหวั่นไหวในเรื่อง “การเลือกตั้ง” ของ คสช.มีรากฐานมาจากปัจจัยใด
ตามแผนของ คสช.แล้วมิได้มีแต่เพียงพรรคภูมิใจไทยเท่านั้น หากแม้กระทั่งพรรคประชาธิปัตย์ก็อยู่ในจุดที่จำเป็นต้องเลือก
จึงต้องปล่อยข่าวให้ร้ายในเรื่อง “เทกโอเวอร์” พรรคชาติไทยพัฒนา
ข้อเสนออันมาจากนายพิชัย รัตตกุล จึงเท่ากับดำเนินตามหลักการ “ยืมหอกสนองคืน” ของท่านม่อย้งแห่งแคว้นกังหนำ
เพราะตระหนักในพิมพ์เขียวอันมาจาก “พรรคทหาร”
จึงยืมหอกจากพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย ให้ผนึกตัวรวมพลังกับพรรคเพื่อไทย พรรคชาติไทยพัฒนา สวนกลับ
รู้ทั้งรู้ว่า กลยุทธ์ “ยืมหอกสนองคืน” ต่อ 4 พรรคการเมืองต้านพรรคทหารจะล้มเหลว ทำไมจึงนำเสนอต่อสังคม
เด่นชัดว่า เป็นการเสนอเหมือนกับ “โลกสวย”
แต่ภายในโลกสวยนั้นก็สำแดงบทบาทในการขุดคุ้ย เปิดโปง สภาพความเป็นจริงที่ดำรงอยู่ในทางการเมือง
ล่อนจ้อนยิ่งกว่า น.ส.ม่วน ยาจำปา