PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ถามบ้าง4ข้อ ขวางโละกกต.

ถามบ้าง4ข้อ ขวางโละกกต.

สมชัยโพสต์แสบ ชทพ.ชี้เกมอยู่ยาว ส่งคนคุมเลือกตั้ง
“สมชัย” ข้องใจโละ กกต.ยกชุด โยน 4 คำถามซัด กมธ. สนช.ออก ก.ม.ขัดหลัก นิติธรรม อ้างแก้สภาพปลาสองน้ำขาดภูมิปัญญา ไร้ตรรกะเหตุผล “ตวง” เมินเสียงต้านเซ็ตซีโร่ 5 เสือ ลั่นคิดจะปฏิรูป แต่ไม่กล้าเปลี่ยนแปลงคงไม่ได้ โต้แค่เปลี่ยนคนบริหารจัดการไม่ทำให้งานสะดุด กมธ.เสียงข้างน้อยชี้ขัดเจตนารมณ์ รธน. “เสรี” ยกคำแปรญัตติไปอภิปรายกลางวง สนช. พท.ห่วงเปลี่ยนม้ากลางศึกกระทบเลือกตั้ง ดักคออำนาจอื่นจ้องแทรกแซง วางคนยึดองค์กรอิสระสืบทอดอำนาจ “สมศักดิ์” ฉายภาพชัด “เซ็ตซีโร่ กกต.-ปชป.จูบปาก กปปส.-นายกฯ ตั้ง 4 คำถามเลือกตั้ง” สะท้อนกระบวนการปูทางผู้มีอำนาจอยากอยู่ต่อ ปชป.จี้หากลไกสกัดโกงเลือกตั้งสำคัญกว่า เด็ก พท.เฉ่ง “วันชัย” พวกเสี้ยม “ประยุทธ์-สุเทพ-อภิสิทธิ์” 3 ประสานถล่มระบอบทักษิณ “นิพิฏฐ์” ตะเพิดลูกหาบ คสช.เลิกตอกลิ่มสุมไฟขัดแย้ง
กรณีที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติให้โละ กกต.ทั้งชุด กลายเป็นประเด็นร้อนล่าสุด ที่ฝ่ายการเมืองต่างวิพากษ์วิจารณ์นำไปเกี่ยวโยงกับความ พยายามของผู้มีอำนาจที่จะสืบทอดอำนาจ ขณะที่ กกต.ชุดปัจจุบันได้ตั้งคำถามเป็นข้อสังเกต ระบุเป็นการออกกฎหมายที่ขัดหลักนิติธรรม ขาดตรรกะในเชิงเหตุผล
“สมชัย” คาใจตั้งคำถาม 4 ข้อโละ กกต.
เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านบริหารกลาง ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวตั้งคำถาม 4 คำถามจาก กกต.เกี่ยวกับกรณีการเซ็ตซีโร่ กกต.ว่า 1.การออกกฎหมายให้มีผลย้อนหลังในเชิงที่เป็นโทษ เป็นไปตามหลักนิติธรรมหรือไม่ เคยมีมาในอดีตหรือไม่ จะเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับสังคมนิติรัฐหรือไม่ 2.การกล่าวอ้างถึงตำแหน่งที่รับผิดชอบสูง จำเป็นต้องใช้คนที่มีคุณสมบัติสูง เลยต้องให้ออกทั้งคณะ ถามว่าในเมื่อคนเดิมส่วนมากถึง 4 ใน 5 คน มีคุณสมบัติ สูงครบถ้วน ผ่านการสรรหามาอย่างถูกต้อง เหตุใดจึงต้องให้เขาออกด้วย 3.รัฐธรรมนูญปี 2550 กำหนดให้วาระการดำรงตำแหน่งของ กกต.เป็นไปแบบวาระเฉพาะตัว เช่นเดียวกับองค์กรอิสระอื่นๆ ดังนั้นตลอดเวลาการดำรงตำแหน่ง หากมี กกต.ออกด้วยเหตุต่างๆ เช่น ครบ 70 ปี ตาย ลาออก ถูกถอดถอน คนใหม่ที่เข้ามาก็อยู่ต่อ 7 ปี ไม่ใช่เท่าวาระของคนเดิม ดังนั้น สภาพปลาสองน้ำจึงเป็นสภาพที่เกิดขึ้นโดยข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว การอ้างว่าต้องรีเซ็ตยกชุด หลีกเลี่ยงสภาพปลาสองน้ำ ควรออกมาจากปากผู้ร่างกฎหมายเองหรือไม่
อัดออก ก.ม.ขัดนิติธรรมไร้ตรรกะ
นายสมชัยระบุอีกว่า 4.การกล่าวว่าการรีเซ็ต กกต.ไม่ได้เป็นบรรทัดฐานสำหรับองค์กรอิสระอื่นๆ ดังนั้น อาจจะออกกฎหมายให้กรรมการองค์กรอิสระอื่น และศาลรัฐธรรมนูญสามารถอยู่ต่อไปจนครบวาระ โดยไม่คำนึงถึงคุณสมบัติที่สูงขึ้นตามรัฐธรรมนูญใหม่ แปลว่าองค์กรเหล่านี้มีความสำคัญในการปฏิรูปการเมือง “น้อยกว่า” คณะกรรมการการเลือกตั้งใช่หรือไม่ จึงยกเว้นเรื่องคุณสมบัติสูงให้ หากกรรมการองค์กรอิสระใดขาดความสามารถ บกพร่องจริยธรรม ขาดผลงานเป็นที่ประจักษ์ ไม่มีความเป็นกลางทางการเมือง รัฐธรรมนูญมีช่องทางในการให้บุคคลดังกล่าวออกจากตำแหน่งโดยไม่ยากอยู่แล้ว การออกกฎหมายใหม่ที่ขัดหลักนิติธรรม ขาดตรรกะในเชิงเหตุผล กล่าวอ้างแบบขาดภูมิปัญญา และไม่เป็นบรรทัดฐานที่ดีสำหรับสังคมที่ปกครองโดยนิติรัฐ มิควรเกิดขึ้นในสังคมไทย
กมธ.เมินเสียงต้านเซ็ตซีโร่ 5 เสือ
ด้านนายตวง อันทะไชย ประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวถึงกรณีพรรคการเมืองไม่เห็นด้วยกับการปรับแก้เนื้อหาร่าง พ.ร.บ.คณะกรรมการการเลือกตั้งของ กมธ. ที่ให้เซ็ตซีโร่ กกต.ใหม่ทั้งหมดว่า เป็นปกติที่พรรคการเมืองไม่เห็นด้วย เหตุที่ต้องเซ็ตซีโร่ กกต.ทั้งหมด เนื่องจากรัฐธรรมนูญปี 2560 ให้อำนาจ กกต.สูงมาก ถึงขั้นใช้อำนาจสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) อายัดการทำธุรกรรมของพรรคการเมืองได้ ดังนั้น คุณสมบัติของ กกต.ต้องเข้มข้นขึ้นกว่าเดิม จึงให้สรรหาใหม่ทั้งหมด อย่างน้อยต้องสรรหาเพิ่ม 2 คนอยู่แล้วและยังมี กกต. เก่าอีก 2 คน มีปัญหาคุณสมบัติไม่ถูกต้อง แม้ กกต. ชุดเก่าบางคนคุณสมบัติถูกต้องตามรัฐธรรมนูญใหม่ แต่ถ้าคิดจะปฏิรูปประเทศ อย่าไปห่วงเรื่องตัวบุคคลหรือคิดเล็กคิดน้อยเกินไป ประเทศจะเดินไม่ได้ กมธ. ยึดผลประโยชน์ประเทศเป็นหลัก เรื่องนี้เห็นมีแต่นักการเมืองออกมาเดือดร้อน ขณะที่ประธาน กกต.บอกว่า พร้อมทำตามกฎหมาย เพราะไม่ยึดถึงประโยชน์ ของตัวเอง แต่ยึดประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก
เปลี่ยนคนบริหารไม่ทำให้งานสะดุด
นายตวงกล่าวว่า ส่วนที่พรรคการเมืองระบุว่า การให้ กกต.ชุดใหม่เข้ามาทำงานทั้งหมด เป็นการลองผิดลองถูก อาจทำให้งาน กกต.สะดุดนั้น ยืนยันว่าไม่สะดุดแน่นอน เพราะไม่ได้เปลี่ยนกลไกการทำงาน และไม่ได้ยุบสำนักงาน กกต. แต่เปลี่ยนแค่คนบริหารจัดการเท่านั้น เจ้าหน้าที่ กกต.ไม่ได้ถูกยุบ ทุกอย่างยังเดินหน้าต่อไปได้ไม่มีสะดุด หากคิดจะปฏิรูปประเทศ แต่ไม่กล้าเปลี่ยนแปลงคงไม่ได้ เชื่อมั่นว่า กกต.ใหม่มีเวลาเตรียมงานเพียงพอในการเลือกตั้งสมัยหน้าล้านเปอร์เซ็นต์ มั่นใจว่าจะชี้แจงหลักการกฎหมายลูกฉบับนี้ให้ที่ประชุม สนช.เข้าใจได้ในวันที่ 9 มิ.ย. กมธ.ทุกอย่างมีเหตุผล เชื่อว่า สนช.จะเข้าใจ ส่วนจะตั้ง กมธ.ร่วมมาทบทวนร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับ กรธ.และ กกต. ถ้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นว่า กมธ.ไปแก้ไขขัดต่อหลักการและเจตนารมณ์เสนอตั้ง กมธ.ร่วมได้ แต่สิ่งที่ กมธ.แก้ไขไม่ได้ขัดหลักการและเจตนารมณ์ เท่าที่ดูท่าทีของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. ไม่มีปัญหาอะไร ยังพูดว่า กมธ.เด็ดขาดมากกว่า กรธ. ส่วนประธาน กกต. บอกว่าพร้อมทำตามกฎหมาย
เสียงข้างน้อยซัดขัดเจตนารมณ์ รธน.
ขณะที่นายเสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกสภา ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ในฐานะ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งกล่าวว่า ในฐานะเป็น กมธ.เสียงข้างน้อยที่ไม่เห็นด้วยกับมติ กมธ.ที่ให้เซ็ตซีโร่ กกต.ทั้งชุดนั้น จะขอสงวนคำแปรญัตติเพื่ออภิปรายความเห็นในประเด็นดังกล่าวต่อที่ประชุม สนช. วันที่ 9 มิ.ย. เพราะเห็นว่าการให้เซ็ตซีโร่ กกต. ทุกคนน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ระบุให้ กกต.ที่มีคุณสมบัติถูกต้องเป็น กกต.ต่อไป ส่วนคนที่มีคุณสมบัติไม่ถูกต้องให้สรรหาใหม่ ซึ่ง กกต.ชุดปัจจุบันบางคนมีคุณสมบัติการเป็น กกต.ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญปี 2560 และได้รับการสรรหามาอย่างถูกต้อง จึงควรได้ทำหน้าที่ต่อไป ยิ่งขณะนี้ใกล้เลือกตั้งเข้ามา ควรมี กกต.เดิมที่รู้งาน มีประสบการณ์ทำหน้าที่จัดเลือกตั้งให้ราบรื่น มีประสิทธิภาพ ถ้ามีแต่คนใหม่ทั้งหมดเหมือนเป็นการเริ่มต้นใหม่ เกรงว่าการเลือกตั้งจะไม่ราบรื่นและไม่คล่องตัว ส่วนตัวจะเสนอให้เป็นไปตามร่างเดิมของ กรธ.คือ ให้สรรหาใหม่เฉพาะคนที่มีคุณสมบัติไม่ถูกต้องเท่านั้น ใครที่มีคุณสมบัติถูกต้องให้ทำหน้าที่ต่อไป ทั้งนี้อยากให้ กรธ.พูดถึงเจตนารมณ์เรื่องคุณสมบัติ กกต.ให้ชัดเจนว่า ต้องการให้เป็นแนวทางใดกันแน่ เพราะเท่าที่ดู กรธ.ก็ไม่ปฏิเสธแนวทางเซ็ตซีโร่ กกต.ตามที่ กมธ.เสนอมา
“ตือ” ฉายภาพผู้มีอำนาจปูทางอยู่ต่อ
นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนากล่าวถึงกรณีการเซ็ตซีโร่ กกต. การจับมือระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับ กปปส.และการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตั้งคำถามประชาชน 4 ข้อถึงการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ว่า ทั้งหมดนี้สะท้อนกระบวนการอยากอยู่ต่อของผู้มีอำนาจในปัจจุบัน ด้วยการปูทางอาศัยกลไกระบอบประชาธิปไตยเข้ามา ตั้งแต่ร่างรัฐธรรมนูญ และร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ เจตนาชัดเจน ต้องการสืบทอดอำนาจ เป็นการล็อกด้วยรัฐธรรมนูญและกำลังจะล็อกด้วย พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย พ.ร.บ.พรรคการเมือง พ.ร.บ.คณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ร.บ.การเลือกตั้ง อย่างการเซ็ตซีโร่ กกต.ไม่มีเหตุผลอะไรเลย นอกจากต้องการเอาคนของตัวเองมาสานต่อดูแลการเลือกตั้ง ชัดเจนเกินไป ทำให้มองเห็นได้ว่าอนาคตหลังการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร ต่อให้ประชาชนแข็งขืนก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะมี 250 เสียงวุฒิสภาเป็นต้นทุน มีพรรคการเมืองบาง พรรคได้ประกาศเจตนารมณ์ว่าเป็นอย่างไร พออยู่แล้ว
จี้สำนึกพรรคการเมืองหยุดเห็นแก่ตัว
นายสมศักดิ์กล่าวอีกว่า ถึงได้บอกว่าเห็นด้วยกับแนวคิดของนายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ชงโมเดล 4 พรรคใหญ่ผนึกกำลังสู้ทหาร แต่ไม่ได้หมายความว่าให้พรรคการเมืองร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ แต่หมายความว่าให้ทุกพรรคการเมืองมาร่วมกันทำให้การเมืองเป็นระบอบประชาธิปไตย และนำคนในระบอบประชาธิปไตยมาบริหารประเทศ อย่าเห็นแก่ตัวว่าเมื่อเขาเอาเราไปเป็นรัฐบาลเลยหนุนคนนอกเป็นนายกฯ ถ้าอย่างนี้อยู่ในวังวนการสืบทอดต่ออำนาจเผด็จการต่อไป เชื่อว่าวันนี้อารยประเทศมองออกว่าไทยกำลังเดินไปสู่การเมืองการปกครองแบบไหน ประชาธิปไตยเป็นเพียงเสื้อคลุมหรือเปล่า ฝ่ายการเมืองที่มาโดยระบอบประชาธิปไตยจะอยู่ในสภาพนี้หรือจะเปลี่ยนแปลง ท่ามกลางความโหยหาการปฏิรูปการเมือง การเปลี่ยนแปลงการเมืองไปสู่ระบอบใหม่ของสังคมไทย ทั้งหมดอยู่ที่จิตสำนึกนักการเมืองกับพรรคการเมืองว่า เจตนารมณ์ทำการเมืองเพื่ออะไร ถ้าทำเพื่อพัฒนาประชาธิปไตยจะอีกแบบหนึ่ง แต่ถ้าทำเพื่อพรรคกูจะมาก็เป็นอีกแบบหนึ่ง อยู่ที่จิตสำนึกแล้ว
พท.ชี้ไอ้โม่งวางคนสืบทอดอำนาจ
นายสามารถ แก้วมีชัย อดีต ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ให้มีการเซ็ตซีโร่ กกต.ใหม่ทั้งหมดว่า จะทำให้การทำงานของ กกต.มีปัญหา เพราะ กกต.ชุดใหม่ยังไม่มีประสบการณ์ อาจเรียนรู้งานไม่ทัน ควรให้ กกต.ชุดเดิมที่มีคุณสมบัติถูกต้องตามรัฐธรรมนูญปี 2560 อยู่ทำหน้าที่ต่อไป ส่วนคนที่มีคุณสมบัติไม่ถูกต้องให้พ้นตำแหน่งจะเหมาะสมกว่า ไม่ควรเปลี่ยนม้ากลางศึกมาดูแลในช่วงใกล้มีการเลือกตั้งทั่วประเทศ จะเกิดปัญหาในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะโครงสร้างใหม่ที่ไม่มี กกต.จังหวัด ต้องใช้ผู้ตรวจการเลือกตั้งที่ไม่คุ้นเคยและรู้สถานการณ์ในพื้นที่มาทำงานแทน จะยิ่งทำให้เกิดปัญหาการทำงานมากขึ้น ที่สำคัญการให้สรรหา กกต.ใหม่ทั้งหมด กังวลว่าจะมีอำนาจอื่นมาแทรกแซงการคัดเลือก กกต.ชุดใหม่ เพื่อวางคนของตัวเองมาทำหน้าที่หรือไม่ มีความเป็นไปได้ว่าหลังจากนี้อาจมีการเซ็ตซีโร่องค์กรอิสระทุกองค์กรใหม่ทั้งหมด เพื่อวางคนของตัวเองเข้ามาทำหน้าที่ ไม่ทราบว่ามีเจตนาวางคนเพื่อมาสืบทอดอำนาจต่อหรือไม่
ชิ่งไม่ได้เป็นศัตรูกับนายกฯ
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายวันชัย สอนศิริ สมาชิกสปท.เสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส. ผนึกกำลัง 3 ฝ่ายต่อสู้กับระบอบทักษิณว่า นายวันชัยจะชอบใครหรือระบอบใดเป็นสิทธิส่วนตัว แต่ไม่ควรกล่าวพาดพิงผู้อื่นให้เสียหาย การกล่าวหาระบอบทักษิณที่ไม่มีอยู่จริง เป็นส่วนหนึ่งของวาทกรรมสร้างความเกลียดชัง เป็นวาทกรรมลวง คนที่นำวาทกรรมนี้มาใช้ทำลายล้างผู้อื่นถูกปฏิเสธจากประชาชนมาครั้งแล้วครั้งเล่า ยืนยันว่าวันนี้พรรคเพื่อไทยไม่ได้ต่อสู้กับ พล.อ.ประยุทธ์ คสช. พรรคประชาธิปัตย์ กปปส. แต่พรรคเพื่อไทยต่อสู้กับตนเองอย่างมุ่งมั่นในการค้นหานโยบายที่นำไปสู่การแก้ปัญหาทุกมิติของประเทศ เพื่อความผาสุกของประชาชน ให้สังคมได้ก้าวข้ามความขัดแย้งไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์
สับพวกบ่างเสี้ยม 3 ฝ่ายรุมสกรัม
นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขอฝากเป็นข้อสังเกตไปยังภาคส่วนต่างๆให้เลิกคิดจับคู่ฟาดฟันทำลายล้างกัน เพราะพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่ม กปปส.หรือนายกฯไม่ได้เป็นศัตรูกับพรรคเพื่อไทย ที่ต้องต่อสู้กันให้วุ่นวายรู้ดำรู้แดง ที่ผ่านมาสิบปีเศษประชาชนเบื่อหน่ายความขัดแย้งอุปสรรคการแก้ปัญหาประเทศ ในสถานการณ์บ้านเมืองเศรษฐกิจกำลังตกต่ำอย่างมากขณะนี้ ควรร่วมหาทางออกให้ประเทศ อย่างน้อยควรร่วมกันเดินไปตามรัฐธรรมนูญ ให้ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล และ กกต.ที่จะบริหารจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความยุติธรรม ให้ประเทศได้รับความเชื่อมั่น รัฐบาลควรเป็นกลาง ไม่มีอคติต่อฝ่ายใด ไม่ควรสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมืองให้เกิดขึ้น หากนายกฯสละการใช้อำนาจตามมาตรา 44 จะเป็นสัญญาณบวกว่า ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย สร้างความเชื่อมั่นประเทศให้กลับคืนมา
ปชป.จี้หากลไกสกัดโกง ลต.สำคัญกว่า
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เรื่องเซ็ตซีโร่ กกต.หรือไม่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อการจัดการเลือกตั้ง ที่สำคัญกว่าคือทำอย่างไรให้การเลือกตั้งสุจริตและเที่ยงธรรมจริงมากกว่า ที่ผ่านมาการเลือกตั้งทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น ถูกครหาว่าทุจริตค่อนข้างมาก กลไกอำนาจรัฐในพื้นที่วางตัวไม่เป็นกลาง มีการใช้เงินเพื่อซื้อเสียงได้อำนาจก็เข้าไปทุจริตถอนทุน จากนั้นเอาเงินจากการทุจริตมาทุจริตเลือกตั้งเพื่อให้ได้อำนาจรัฐต่อไป กลายเป็นวงจรอุบาทว์ของการเมืองไทย ขอฝากให้ สนช.คำนึงถึงว่า 1.ควรเป็นกฎหมายที่ออกแบบป้องกันปัญหาการทุจริตเกี่ยวกับการเลือกตั้งโดยเฉพาะการซื้อสิทธิขายเสียง 2.โครงสร้างการทำงานของ กกต.ควรเอื้อต่อการป้องกันการทุจริตเลือกตั้ง ให้สืบสวนสอบสวนหาหลักฐานเอาผู้ทำผิดมาลงโทษให้ได้โดยเร็ว 3.มีวิธีคุ้มครองพยานให้ได้ผลจริงจัง 4.สร้างกลไกการทำงานของ กกต.ทุกระดับ รวมถึงผู้ตรวจการเลือกตั้งให้ทำงานมีเอกภาพ 5.เน้นทำงานเชิงรุก สร้างเครือข่ายสนับสนุน เพื่อช่วยขจัดพวกโกงเลือกตั้งเข้าสู่วงจรอุบาทว์อีก
“นิพิฏฐ์” ไล่ลูกหาบเลิกตอกลิ่มขัดแย้ง
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวกรณีคนในแม่น้ำ 5 สายแนะให้พรรคประชาธิปัตย์จับมือกับรัฐบาล คสช.ต่อสู้กับระบบทักษิณและพรรคเพื่อไทยว่า คนในแม่น้ำ 5 สาย มีหน้าที่หลักในการปฏิรูปประเทศ ยังต้องสร้างความสามัคคีปรองดองในบ้านเมือง องคาพยพของรัฐบาล คสช.อย่าพูดในลักษณะแบ่งแยกแบ่งฝักฝ่ายให้แตกแยกเพิ่มมากขึ้น ที่สำคัญอย่าทำตัวเป็นฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด รวมถึงการเสนอให้พรรคใดพรรคหนึ่งจับมือกับทหาร หรือจับมือกับพรรคการเมืองด้วยกันล่วงหน้าก่อนการเลือกตั้ง รังแต่จะสร้างความขัดแย้งไม่จบสิ้น เพราะการเมืองในอนาคตพรรคใดจะจับมือกับพรรคใดเป็นเรื่องยากจะคาดเดา ฉะนั้น สปท.สนช.อย่าสร้างประเด็นให้เกิดความแตกแยกในสังคมไปมากกว่านี้เลย
ชี้คำถาม “บิ๊กตู่” ตรงไปตรงมา
สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เผยผลสำรวจความคิดเห็น“ประชาชนคิดอย่างไร กรณีนายกฯ ตั้งประเด็นคำถาม 4 ข้อก่อนพาประเทศสู่การเลือกตั้ง” จากกลุ่มตัวอย่าง 1,282 คน ตั้งแต่วันที่ 30 พ.ค.-3 มิ.ย.พบว่าร้อยละ 77.38 มองว่าเป็นคำถามจากใจนายกฯ ถามอย่างตรงไปตรงมา ร้อยละ 72.85 ชี้เป็นสิทธิที่ถามได้ ร้อยละ 62.40 เห็นว่าอยากได้ข้อมูลไปใช้เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสม ร้อยละ 53.59 ระบุเป็นคำถามชี้นำอาจทำให้เกิดความแตกแยก ร้อยละ 52.65 ระบุว่าจะกลายเป็นประเด็นทางการเมือง ส่วนที่นักการเมืองออกมาต่อต้าน ร้อยละ 80.81 ระบุคิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกกีดกัน ร้อยละ 78.63 ระบุไม่เกิดผลดีกับนักการเมือง เสียประโยชน์ ร้อยละ 75.66 ระบุนักการเมืองรู้สึกไม่สบายใจเป็นกังวล ร้อยละ 68.56 เกรงว่าจะกระทบต่อการเลือกตั้ง ขณะที่ร้อยละ 66.80 ระบุผลดีเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม ร้อยละ 57.69 ทำให้รัฐบาลได้แนวทางไปสู่การปฏิบัติ และร้อยละ 43.16 ระบุเกิดความตื่นตัวทางการเมืองก่อนเข้าสู่การเลือกตั้ง ส่วนผลเสียร้อยละ 63.52 ระบุเปิดประเด็นทางการเมืองที่ร้อนแรง ร้อยละ 59.60 ระบุเกิดการต่อต้านจากนักการเมืองและร้อยละ 56.95 ระบุเป็นคำถามชี้นำ ไม่เป็นกลาง
วงเสวนาฉะ พ.ร.บ.คอมพ์ปิดปากสื่อ
เมื่อเวลา 10.00 น. สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดเวทีราชดำเนินเสวนา หัวข้อ “ถอดบทเรียนความไม่เป็นธรรมในการใช้กฎหมายปิดปากสื่อ” โดยหยิบกรณีนายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที นักจัดรายการสถานีโทรทัศน์ช่องนิวส์วัน ถูกจับกุมข้อหาหมิ่นประมาทและผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากการนำเสนอข้อร้องเรียนการทุจริตการส่งอาหารเข้าเรือนจำในจังหวัดแห่งหนึ่งเป็นกรณีศึกษา พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร อดีตที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการปฏิรูประบบตำรวจ สภาปฏิรูปแห่งชาติกล่าวว่า ประชาชนถูกกระทำเป็นความรู้สึกไม่ดีมานานมาก แต่ไม่มีใครพูดอะไร แต่มีคนเดือดร้อนจากกฎหมายและการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ตนแทบพูดอะไรไม่ออกกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญาขณะนี้ เพราะตำรวจกระบวนการยุติธรรมชั้นต้นของไทยไม่เป็นตัวของตัวเอง มีคนเจตนาใช้กฎหมายนี้ เป็นเครื่องมือเพื่อปิดปากกลั่นแกล้งกับสื่อ โดยยัดข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ทำให้ปัญหามาอยู่ที่พนักงานสอบสวน ใน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มีโทษจำคุกถึง 5 ปี จึงนิยมใช้เป็นเครื่องมือแทนความผิดหมิ่นประมาทในประมวลกฎหมายอาญา เพราะมีโทษสูงกว่า และขอศาลออกหมายจับได้เลยโดยไม่ต้องออกหมายเรียก นี่เป็นปัญหาของการใช้กฎหมายที่เกิดจากระบบและบุคคล
สัับใช้ ก.ม.ผิดวัตถุประสงค์
ด้านว่าที่ พ.ต.สมบัติ วงศ์กำแหง ผู้แทนจากสภาทนายความ กล่าวว่า การทำหน้าที่ของสื่อไม่มีเจตนาก็ไม่เข้าข่ายองค์ประกอบการกระทำความผิด หากอยู่ในขอบเขตที่ทำเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยใช้หลักสุจริตในการทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของสังคม แต่ใช้ใน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มีโทษถึง 5 ปี มาปิดปากสื่อมวลชนโดยใช้ขั้นตอนออกหมายจับได้เลย โดยไม่ต้องออกหมายเรียกนั้นถือว่าเป็นการใช้ไม่ตรงวัตถุประสงค์
นายณัชปกร นามเมือง จากโครงการอินเตอร์เน็ต เพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) กล่าวว่า ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีการใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มากทั้งภาครัฐและเอกชนปิดกั้นเสรีภาพการตรวจสอบและแสดงความคิดเห็น สื่อมวลชนควรต้องรณรงค์ให้สังคมได้รู้ว่า มีการใช้กฎหมายผิดวัตถุประสงค์จากการร่างกฎหมายนี้อย่างไร แต่กฎหมายปิดปากสื่อมีแค่ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์จริงหรือ ขณะนี้การจำกัดเสรีภาพการแสดงออกมีหลายรูปแบบ
แจง 6โฆษกรองนายกฯตีปี๊บผลงาน
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. สั่งการให้รองนายกรัฐมนตรี 6 คน แต่งตั้งโฆษกรองนายกรัฐมนตรี หรือคณะทำงานด้านการประชาสัมพันธ์ของรองนายกฯว่า นายกฯต้องการให้สื่อสารการทำงานแต่ละด้านที่รองนายกฯแต่ละคนกำกับดูแล ให้ประชาชนได้ทราบ หากเดินหน้าทำงานอย่างเดียว โดยขาดการสื่อสาร หรือไม่ได้ชี้แจงให้สังคมทราบ ประชาชนอาจไม่เข้าใจ และประชาชนจะได้ร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย ที่ผ่านมา รัฐบาลเดินหน้าทำงานแต่สังคมอาจไม่ทราบ เพราะไม่ได้ชี้แจงอย่างครอบคลุม บางเรื่องโฆษกกระทรวงให้ข่าว แต่อาจเป็นเพียงบางมุม ยังไม่ได้ประสานเชื่อมหน่วยงานอื่น นายกฯจึงอยากให้เชื่อมโยงข้อมูลให้รอบด้านและชี้แจงให้สังคมได้ทราบเป็นระยะ
นายกฯปลุกเปลี่ยนสู่ ปท.ศิวิไลซ์
พล.ท.สรรเสริญกล่าวต่อว่า นายกฯเห็นว่าเวลานี้เป็นช่วงสำคัญที่คนไทยควรใช้เป็นโอกาสสร้างบ้านแปงเมืองให้เป็นประเทศศิวิไลซ์ ด้วยการรับรู้และสร้างเป้าหมายเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น ก้าวผ่านวงจรปัญหาที่เกิดขึ้นมานับสิบปี โดยนำสุนทรพจน์ของนายมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก ที่ได้กล่าวในพิธีจบการศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดประจำปีนี้ไปปรับใช้คือการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ร่วมกัน มองไปข้างหน้า ร่วมกันปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและประเทศไทยก้าวขึ้นไปเป็นประเทศชั้นนำในเอเชีย โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทุกฝ่ายต้องหยุดความขัดแย้ง เปลี่ยนความคิดและคำพูดที่ติดลบเป็นความสร้างสรรค์ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ด้วยการสร้างความเข้มแข็งจากตนเอง โดยคนทุกระดับชั้นร่วมสร้างความยิ่งใหญ่ และรัฐบาลพร้อมรับฟังเสียงประชาชน
หนุน 77 จังหวัดปั้นสินค้าจีไอ
พล.ท.สรรเสริญ กล่าวอีกว่า รัฐบาลเดินหน้าผลักดันโครงการส่งเสริมหนึ่งจังหวัดหนึ่งสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์หรือจีไอ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนในแต่ละท้องถิ่นผลิตสินค้าที่มีคุณลักษณะพิเศษประจำถิ่น ช่วยเพิ่มมูลค่าและเป็นเครื่องมือการตลาดให้แก่ผู้ขาย ตั้งเป้าให้ทุกจังหวัดมีสินค้าจีไอของตนเอง ล่าสุดเตรียมขึ้นทะเบียนส้มบางมดและลิ้นจี่บางขุนเทียน เป็นสินค้าจีไอของ กทม. ถือเป็นการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญารูปแบบหนึ่ง ปัจจุบันมีสินค้าที่ขึ้นทะเบียนจีไอแล้ว 75 ชนิด จาก 70 จังหวัดทั่วประเทศ ส่วนการหาตลาดให้สินค้าจีไอ รัฐบาลนำร่องจัดมุม จีไอ คอนเนอร์ ในห้างสรรพสินค้า 2 สาขาที่เซ็นทรัลฟู้ด ฮอลล์ สาขาชิดลม และท็อปส์มาร์เก็ต เซ็นทรัลพลาซา สาขาแจ้งวัฒนะ คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีจีไอ คอนเนอร์ ครบ 100 สาขา
“วัฒนา” จวก รบ.แถโกหกกลบ ศก.แย่
นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พาณิชย์ โพสต์เฟซบุ๊ก “ร่วมด้วย ช่วยกัน...แถ ” ว่า หัวหน้าเผด็จการออกมายอมรับแล้วว่าเศรษฐกิจไม่ดี แก้ตัวว่ามาจากการปราบคอร์รัปชันหนักเลยทำเศรษฐกิจฝืดเคือง ทั้งที่ไม่เกี่ยวข้องกัน เมื่อไม่กี่วันก่อนเพิ่งออกมาบอกว่าเศรษฐกิจดีแล้วมีอัตราการเจริญเติบโตถึง 3.8% พร้อมประณามคนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นพวกไม่หวังดี ขณะที่องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติจัดอันดับความโปร่งใสของไทยในปี 59 ให้สอบตก ไทยอยู่ลำดับที่ 101 จาก 176 ประเทศ สรุปคือมีการโกงมากขึ้น และคดีทุจริตที่เกี่ยวกับกองทัพไม่มีความคืบหน้า ดังนั้นความจริงคือผลของการร่วมกับกลุ่มการเมืองข้างถนนยึดอำนาจ ทำให้เศรษฐกิจประเทศไทยเสียหายยับเยิน และแทนที่คนพวกนี้จะออกมาแสดงความรับผิดชอบ กลับโทษนโยบายรับจำนำข้าวของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯทำให้เศรษฐกิจถดถอย เป็นการแก้ตัวด้วยการโกหกจนเป็นนิสัยถาวร
“นิพิฏฐ์” ชูผลวิจัยทุจริตตอกหน้า คสช.
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กรณีองค์กร Transparency International วิจัยสถิติความโปร่งใสทั่วโลกออกรายงานพบว่า ในปี ค.ศ.2017 ประเทศไทยอยู่อันดับ 3 ของเอเชียที่มีอัตราคอร์รัปชันสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีอัตราคอร์รัปชันที่ 41% รองจากอินเดียและเวียดนามนั้นว่า ควรต้องรับฟังผลวิจัยสถิตินี้และตรงกับหลักการที่ว่า ระบบที่ปราศจากการตรวจสอบจะมีการทุจริตคอร์รัปชันมากที่สุด เพียงแต่คนที่เชื่อว่ารัฐบาล คสช.ไม่มีการทุจริต คนเหล่านี้เชื่อไว้ล่วงหน้าแล้ว มีผลกระทบทำให้ระบบบิดเบี้ยวได้ ส่วนที่รัฐบาลหรือผู้มีอำนาจจะยืนยันว่าสามารถปราบการทุจริตคอร์รัปชัน มีรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงเขาต้องพูด และเชื่อว่าระบบที่เขาสร้างขึ้นสามารถปราบได้ แต่พวกเราที่อยู่ในพื้นที่ พบปะประชาชนและข้าราชการในต่างจังหวัดรู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ยืนยันว่ายังมีการทุจริตในพื้นที่เหมือนเดิมไม่ลดลง หากรัฐบาลต้องการข้อมูลในทางลับถามมาได้ แต่จะให้ยกตัวอย่างในที่สาธารณะ จะมีการปฏิเสธโต้แย้ง ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ และจะกระทบต่อข้าราชการชั้นผู้น้อยด้วย
ร้องสอบ ธปท.ขาดทุนสูง 8 แสนล้าน
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า วันที่ 5 มิ.ย. จะไปยื่นเรื่องถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. ที่ทำเนียบรัฐบาล ให้ตรวจสอบกรณีผลการดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ณ วันที่ 31 ธ.ค.2559 ขาดทุนสูงถึง 139,533 ล้านบาท พบประเด็นน่าสงสัยว่าในงบแสดงฐานะการเงินด้านหนี้สินและทุน มีตัวเลขหนี้สินรวม 4,963,953 ล้านบาท โดยมีตัวเลขขาดทุนสะสมของ ธปท.สูงถึง 805,835 ล้านบาท ขณะที่ ธปท.มีทุนประเดิมเพียง 20 ล้านบาท หากเทียบสัดส่วนผลขาดทุนสะสมต่อทุนจะสูงถึง 40,921 เท่า น่ากังวลต่อฐานะการคลังของรัฐบาลเป็น ประเด็นที่รัฐบาลควรกังวล จึงจำเป็นต้องนำเรื่องไปร้องเรียนต่อนายกฯเพื่อพิจารณาแก้ไขต่อไป
แฉรวมสัญญารถไฟฟ้าสีน้ำเงิน
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายวิลาศ จันทรพิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงความไม่ ชอบมาพากลในโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (เฉลิมรัชมงคล) ช่วงหัวลำโพง-บางซื่อ ระยะทาง 20 กม.ว่า การรวมสัญญาส่วนต่อขยายกับสายรัชมงคลที่จะหมดสัญญาในปี 2572 ไว้ด้วยกัน ทำให้รัฐเสียประโยชน์ เพราะเมื่อสายรัชมงคลกลับมาเป็นของ รฟม.อาจจ้างบริหารคาดว่าน่าจะมีรายได้ค่าเดินรถและค่าโฆษณาไม่ต่ำกว่าสองแสนล้านบาทเมื่อถึงปี 2592 การระบุในสัญญาของส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงินว่า รฟม.จะได้รับส่วนแบ่งเมื่อบีอีเอ็มมีผลตอบแทนการลงทุนเกิน 9.75 เปอร์เซ็นต์ทำให้รัฐเสียหาย ในเอกสารประเมินการลงทุนระบุว่าบริษัทจะได้ผลตอบแทนการลงทุนที่ 9.75% ในปี 2592 เป็นช่วงเวลาสิ้นสุดสัญญาพอดี เท่ากับ รฟม.ไม่มีโอกาสจะได้ผลตอบแทนเลย แต่รัฐบาลยืนยันว่าไม่เสียประโยชน์ และไม่เคยพูดความจริง ทำไมจึงทำสัญญา ทั้งที่รู้ว่า รฟม.ไม่มีโอกาสจะได้ผลตอบแทนเลย และขอตั้งข้อสังเกต ครม.เห็นชอบโครงการเดินรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลือง ไปชนกับสายสีเขียว บริษัท บีทีเอส เดินรถต่อเนื่อง ไม่ต่างสายสีน้ำเงิน แต่รัฐบาลกลับให้ประกวดราคา สะท้อนว่าเลือกปฏิบัติหรือไม่
บี้ยกเลิกผลประเมินคุณธรรม กปภ.
นายวิลาศยังกล่าวถึงกรณีที่การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ได้รับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสจาก ป.ป.ช.ในอันดับที่ห้าว่า วิธีการประเมินไม่น่าจะถูกต้อง เพราะ กปภ.มีการทุจริตมากที่สุด เท่าที่เคยตรวจสอบมากว่า 100 หน่วยงาน ได้ยื่นให้ ป.ป.ช.สอบทุจริตแล้วถึง 39 เรื่อง การประเมินใช้วิธีให้ กปภ.และผู้รับจ้างเป็นคนตอบ ทำให้ไม่น่าเชื่อถือ ได้ตรวจสอบพบว่านายเสรี ศุภราทิตย์ ผู้ว่าการ กปภ. ทำหนังสือเวียนแจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาทำแบบสอบถามของ ป.ป.ช. แล้วใครจะกล้าบอกว่าผู้ว่าการ กปภ.โกง จึงแจ้งกับกรรมการ ป.ป.ช.ขอให้ยกเลิกผลการประเมินนี้ เพราะจะกลายเป็นการประทับตรายางให้ กปภ.
“วิทยา”ปูดทุ่ม 2 ล้านวิ่งขึ้น ผกก.ภาค 8
นายวิทยา แก้วภราดัย อดีต สปท. และอดีตแกนนำ กปปส.กล่าวว่า ในช่วงการโยกย้ายตำแหน่งข้าราชการตำรวจระดับสารวัตร รองผู้กำกับการ ผู้กำกับการ และรองผู้บังคับการ ที่กำลังพิจารณาในช่วงนี้ ขอให้ประชาชนจับตาดูว่าผลจะเป็นอย่างไร เพราะยังมีการพูดกันว่าในพื้นที่ภาค 8 มีการซื้อกันถึง 2 ล้าน เพราะปีนี้มีตำแหน่งผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธร (ผกก.) ว่าง 26 ตำแหน่ง ให้รอดูว่าจะมีรอง ผกก.ในพื้นที่ภาค 8 ได้ขึ้นเป็น ผกก. สักกี่คน เพราะตำแหน่งเหล่านี้จะขยับไล่เรียงว่างตามกันเป็นลำดับขั้น มีรองผู้บังคับการว่าง 12 ตำแหน่ง รอดูว่าจะมีนายตำรวจในภาค 8 ได้ตำแหน่งกี่คน หรือจะมีใครบินข้ามมาจากไหนมากินตำแหน่ง ถ้ามีการปฏิรูปแล้วตำรวจในแต่ละจังหวัดจะสามารถขึ้นครองตำแหน่งได้ตามความรู้ความสามารถและผลงาน ไม่ต้องวิ่งตำแหน่งที่ส่วนกลางแล้ววกกลับจังหวัด กลับภาค จึงเห็นด้วยกับแนวคิดที่นายกฯรำพึงรำพันว่า ให้ตำรวจขึ้นกับจังหวัด และขอให้นายกฯลองติดตามดูว่าคำสั่ง สตช.ที่จะออกจะเป็นอย่างไร ส่วนภาคอื่นราคาอาจสูงกว่านี้มากต้องไปดูกันเอง
กระตุ้น “ประยุทธ์” เร่งปฏิรูปตำรวจ
“ถ้าสภาพตำรวจยังต้องทำงานหาเงินไปวิ่งเต้นเอาตำแหน่ง แน่นอนว่าประชาชนฝากความหวังไม่ได้และนากยกฯควรเร่งผลักดันตามแนวความคิดคือการผลักดันโยกให้ตำรวจมาขึ้นกับจังหวัด เติบโตในจังหวัดของตัวเอง จะมีประชาชนในพื้นที่เป็นคนตรวจสอบเอง ถ้าปล่อยให้ตำรวจประเภทมือวิ่งเทวดา นักวิ่งเต้นจ่ายเงิน กระโดดข้ามหัวเพื่อนในแต่ละจังหวัดเป็นแบบนี้ได้ตำแหน่งแล้ววิ่งเต้นย้ายกลับไป กระโดดมาจากกรุงเทพฯมากินตำแหน่งในภาค 8 แล้ววิ่งเต้นกลับไป คนทำงานในพื้นที่จะไม่มีกำลังใจ จ่อจะขึ้นขยับตำแหน่งต้องรอจนเกษียณราชการ ฉะนั้นดีที่สุดคือการเร่งปฏิรูปตำรวจ” นายวิทยากล่าว

ไม่มีความคิดเห็น: