PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2561

"บิ๊กป้อม" ให้ ปปช.ทำตามกม. ตรวจสอบ นาฬิกาหรู ..ลั่น ไม่สน โซเชี่ยลฯ"

"บิ๊กป้อม" ให้ ปปช.ทำตามกม. ตรวจสอบ นาฬิกาหรู ..ลั่น ไม่สน โซเชี่ยลฯ"
โวย จะไปฟังทำไม
พลเอกประวิตร ตอบ เรื่องนาฬิกา เป็นครั้งแรก หลัง ปิดปากเงียบมานาน ....ยัน ให้ เขาทำตามกฏหมายไป ปัดตอบ พาดพิง4 บุคคล เรื่องนาฬิกา ต่อ ปปช. โวย จะไปฟังโซเชี่ยลฯ ทำไม เริ่องของคนคิด มาถามได้ยังไง หลังมีเสียงวิจารณ์อย่างหนัก และมีการตรวจสอบในโซเชี่ยล ฯ...ปัดตอบ ว่า ชี้แจง นาฬิกา ไปกี่เรือน และไม่ตอบว่า ส่งหนังสือชี้แจง ปปช.รอบ2 หรือยัง ก่อนเดินออกจาก โพเดี้ยม เมื่อถูกรุมซักหนักเข้า
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีป.ป.ช.ตรวจสอบนาฬิกาหรูกว่า10 เรือนว่า "เรื่องนี้ให้ เขา ดำเนินการตามกฎหมาย
ส่วนที่โซเชียลมีเดีย วิพากษ์วิจารณ์นั้น พลเอกประวิตร กล่าวสวนทันทีว่า จะไปฟังโซเชี่ยลฯ ทำไม เริ่องของคนคิด มาถามได้ยังไง
เมื่อถามว่าได้ชี้แจง ป.ป.ช.นาฬิกาทุกเรือนใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "ผมไม่รู้"
เมื่อถามย้ำว่าได้ส่งหนังสือชี้แจงต่อ ป.ป.ช.รอบสองแล้วหรือยัง พล.อ.ประวิตร กล่าวเสียงสูงว่า "ไม่รู้"
จากนั้นพล.อ.ประวิตรได้เดินออกจากวงสัมภาษณ์ของสื่อมวลชนทันที

นี่ทหารของแท้!!‬ ไม่คิดเป็น "นักการเมือง"

นี่ทหารของแท้!!‬ ไม่คิดเป็น "นักการเมือง"
‪"บิ๊กป้อม" ยันไม่ใช่นักการเมือง แค่มาทำงานการเมือง ผมไม่ได้เลือกตั้งมา ไม่ได้อะไรมา แล้วก็ไม่คิดที่จะเลือกตั้ง ด้วย ยันแม้บิ๊กตู่ บอกเป็นนักการเมืองแล้ว ก็ยังจะสนับสนุนตลอด ทำไม สนับสนุนไม่ได้หรือ ยันตนเองไม่คิดจะเปลี่ยน ก็เป็นแบบนี้ แต่ไม่รู้ทำไมนายกฯบอกเป็นนักการเมือง เพราะไม่ได้คุยกันเรื่องนี้ ยันไม่ตกใจ‬ ที่นายกฯพูดแบบนั้น สื่อไปคิดเอง

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.ประกาศตัวว่า เป็นนักการเมืองว่า ไม่รู้ แต่ในส่วนของผมยืนยันว่าไม่ใช่นักการเมือง แต่เข้ามาทำงานการเมือง และไม่ใช่นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง และไม่คิดว่าจะลงเลือกตั้ง

เมื่อถามว่า หากนายกรัฐมนตรีเป็นนักการเมืองจะสนับสนุนหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "ผมก็จะสนับสนุนตลอด ทำไมล่ะ ผมจะสนับสนุนไม่ได้เหรอ
เมื่อถามว่า ในอนาคตจะเปลี่ยนสถานะเป็นนักการเมือง หรือไม่ พลเอกประวิตร กล่าวว่า ไม่เปลี่ยน ผมก็เป็นแบบนี้

เมื่อถามต่อว่า ทำไมนายกรัฐมนตรีถึงประกาศเป็นนักการเมือง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ต้องไปถามนายกรัฐมนตรี อย่ามาถามผม และผมก็ไม่ได้พูดคุยกับนายกรัฐมนตรีในเรื่องนี้ด้วย
เมื่อถามว่า ตกใจหรือไม่ ที่นายกฯประกาศตัวเป็นนักการเมือง พลเอกประวิตร กล่าวว่า มีแต่สื่อนั่นแหล่ะ

"บิ๊กป้อม" เชื่อ“ยิ่งลักษณ์” อยู่อังกฤษ

"บิ๊กป้อม" เชื่อ“ยิ่งลักษณ์” อยู่อังกฤษ ดูจากภาพและข่าวจากสื่อ ชี้ การติดตามตัว กลับมา ต้องดำเนินการตามระเบียบและกฎหมาย ไม่ห่วง ยิ่งลักษณ์ เคลื่อนไหว ขอให้เชื่อ "ผมอยู่อย่างนี้ จะมีอะไร"
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยื่นคำขอลี้ภัยกับทางการอังกฤษ ตั้งแต่ต้นเดือนพ.ย.60 และอยู่ระหว่างรอให้ทางการอังกฤษรับรองสถานะพาสปอร์ตเป็นผู้ลี้ภัยว่า ยังไม่ได้ตรวจสอบรายละเอียด ซึ่งดูจากภาพและก็ทราบจากสื่อมวลชนว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ อยู่ที่ประเทศอังกฤษ
แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและกระทรวงการต่างประเทศ ก็จะต้องดำเนินการตรวจสอบต่อไป
เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร.จะเชิญนายศุภเสกข์ อมรฉัตร หรือน้องไปป์ บุตรชายน.ส.ยิ่งลักษณ์มาให้ข้อมูล พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ทราบ อย่านำเรื่องของคนอื่นมาถามผม
ส่วนนักการเมืองที่จะเดินทางไป พบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ประเทศอังกฤษนั้น ยังไม่ทราบว่าเป็นใครบ้าง และฝ่ายความมั่นคง ยังไม่ได้รายงานมา
ส่วนการที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ออกมาปรากฏตัวนั้น เป็นการแสดงสัญลักษณ์หรือไม่ พลเอกประวิตร กล่าวว่า ไม่ทราบ
ส่วนอำนาจในการติดตามตัว ก็ต้องดำเนินการตามระเบียบและกฎหมาย
เมื่อถามว่า หากทางการอังกฤษให้สถานะผู้ลี้ภัยกับน.ส.ยิ่งลักษณ์แล้ว ทางการไทยจะแสดงจุดยืนอย่างไร พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เรื่องยังไม่ถึงตอนนั้น ก็ขอไว้ก่อน คิดว่าไม่เป็นอะไร เพราะเราก็ดำเนินการตามขั้นตอนของเรา อย่าเพิ่งถามล่วงหน้า
เมื่อถามว่า คสช. เชื่อใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์หรือไม่ว่าจะไม่เคลื่อนไหวให้เกิดความขัดแย้ง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า คิดว่าไม่มีอะไร ก็ผมอยู่อย่างนี้จะมีอะไร

"บิ๊กป้อม" อนุมัติ "แผนปรองดอง ปี 61"สร้างการรับรู้ "สัญญาประชาคม"

"บิ๊กป้อม" อนุมัติ "แผนปรองดอง ปี 61"สร้างการรับรู้ "สัญญาประชาคม" เน้นลดเหลื่อมล้ำ-สร้างความเป็นธรรม ตามยุทธศาสตร์ชาติ ส่ง กอ.รมน.-จนท.ลงพื้นที่ ยัน ความขัดแย้งการเมือง มีอยู่ แต่ให้แก้ปัญหา ด้วยระบอบรัฐสภา-วิถี ปชต./หวังสร้างบรรยากาศ ปรองดอง สลายสีเสื้อ ก่อนเลือกตั้ง

พล.ท.คงชีพ ตันตระวานิชย์ โฆษกกลาโหม ในฐานะประธานอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ฯแถลงผลการประชุม คณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินงาน 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่ง"แผนเดินหน้าปรองดองสู่ ความรู้รักสามัคคี"
โดยเน้นที่ประชาชนที่จะบูรณาการทำงานร่วมกัน ระหว่างส่วนราชการในการสร้างความรับรู้ และความเข้าใจอยู่ร่วมกันของประชาชน ร่วมสร้างบรรยากาศความรักความสามัคคีพร้อมกัน
พล.ท.คงชีพ กล่าวว่า สำหรับแผนนี้เป็นการกำหนดเป้าหมายที่จะสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน เพื่อนำไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสงบและสันติสุขเป็นรูปธรรม โดยยึดมั่นกรอบกฎหมาย โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในสังคมตามยุทธศาสตร์ชาติ
โดยกำหนดเป็น 3 ขั้นตอน 1.การบูรณาการการรับรู้ 2. การดำรงความต่อเนื่องในเรื่องของการสร้างความรับรู้และ 3. การขยายผลและประเมินผลโดยจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่มกราคม 2561 ถึงกันยายน 2561
โดยการทำงานจะลงไปในระดับพื้นที่และมีความชัดเจนมากขึ้น เช่นกระทรวงมหาดไทย จะจัดชุดวิทยากร ลงไปให้ความรู้เกี่ยวกับสัญญาประชาคม ควบคู่กับความเข้าใจเกี่ยวกับประชาธิปไตยและหลักเศรษฐกิจพอเพียง โดยจะใช้กลไกของ กอ.รมน. ในการขับเคลื่อนระดับจังหวัด เพื่อสร้างความรับรู้และการสร้างความมีส่วนร่วมโดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้บูรณาการแผนงาน
นอกจากนี้จะนำสาระใน"สัญญาประชาคม"ที่เกี่ยวข้อง สอดแทรกแผนงานของแต่ละกระทรวง ร่วมขับเคลื่อนทั้งในปี 2561 รวมถึงกิจกรรมต่างๆเพื่อการมีส่วนร่วม
สำหรับปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม ที่เกิดจากความเดือดร้อนของประชาชนในแต่ละภูมิภาค ซึ่งทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องจะบรรจุเข้าไปอยู่ในแผนงานเพื่อบริหารการจัดความขัดแย้งในการบริหารความเหลื่อมล้ำของในแต่ละพื้นที่
ทั้งนี้ยืนยันว่ารัฐบาลและทุกภาคส่วนกำลังใช้ความพยายามร่วมกันในการสร้างความรักความสามัคคีในสังคมในภาพรวมโดยเน้นไปที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศและยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางโดยเฉพาะการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขภายใต้กรอบกติกาทางสังคมและกฎหมายซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ต้องการสร้างความมั่นคงความสงบความปลอดภัยและเชื่อมั่นในระบบกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม

พล.ท.คงชีพ กล่าวว่า แนวทางการแก้ไขปัญหาถือเป็นเรื่องสำคัญ "ความขัดแย้งทางสังคมถือเป็นเรื่องปกติ และการปรองดองก็ไม่ใช่เรื่องใหม่"
"ความขัดแย้งทางการเมืองยังคงดำรงอยู่ แต่จะต้องอยู่ในวิถีทางประชาธิปไตยที่ใช้ระบบรัฐสภาและยอมรับด้วยกติกาและเสียงข้างมากในสภา ซึ่งบทเรียนการทำงานทางการเมืองที่ผ่านมา ที่ไม่มีการยอมรับกติกา และมีการบิดเบือนข้อเท็จจริงมีการทุจริต หรือใช้วาทกรรมมีการสร้างความโกรธเกลียด ปลุกเร้าประชาชน ต้องไม่เกิดขึ้นอีก
และเชื่อมั่นว่าประชาชนยอมรับไม่ได้ดังนั้นทุกฝ่ายจะต้องให้ความร่วมมือหรือปรับความเคยชินหรือลดทอนอำนาจส่วนตนและยึดมั่นในผลประโยชน์ส่วนรวมให้มากขึ้นย้ำว่าแนวทางดังกล่าวเป็นแนวทางในการที่จะลดความขัดแย้งและไม่ไปสร้างเงื่อนไขความขัดแย้ง" พล.ท.คงชีพ กล่าว
ส่วนจะเป็นการสร้างบรรยากาศความปรองดองเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้ง หรือไม่นั้น พลโทคงชีพ กล่าวว่า. เราจะแยกกระบวนการปองดอง และการเลือกตั้ง. แต่หากเราทำความปรองดองได้สำเร็จก็จะเป็นการสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น เพราะ1ใน 10 ข้อของสัญญาประชาคม ก็มีเรื่องเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรมและเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย

กระบวนท่า ‘ป๋า’ ล่อพยัคฆ์ ออกจากถ้ำ ขิงแก่ ย่อม ‘เผ็ด’

กระบวนท่า ‘ป๋า’ ล่อพยัคฆ์ ออกจากถ้ำ ขิงแก่ ย่อม ‘เผ็ด’


วิธีวิทยาการส่ง ส.ค.ส.ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ผ่านประโยคเด็ด

“ตู่ใช้กองหนุนไปเกือบหมดแล้ว แทบจะไม่มีกองหนุนเหลืออยู่แล้ว”

ถือได้ว่าเป็น “สุดยอด” ของ “กระบวนท่า”

เพราะไม่เพียงแต่นำไปสู่การวิเคราะห์และ “ตีความ” ได้อย่างกว้างขวาง หากยังส่งผลสะเทือนอย่างลึกซึ้งในทางการเมือง

นี่ย่อมต่างไปจากกรณี “จ๊อกกี้”

กรณี “จ๊อกกี้” เมื่อเดือนสิงหาคม 2549 มีความแจ่มชัดว่าต้องการสื่ออะไรและเป้าหมายโดยตรงเป็นใคร ดำรงอยู่อย่างไร

แต่ในเดือนธันวาคม 2560 ดำเนินไปเหมือนกับ “คลุมเครือ”

กระนั้น ภายในความคลุมเครือ สลัวรางๆ นั้นก็ขึ้นอยู่กับกระบวนการตีความและความเชื่ออันเป็นวาระอยู่ภายในกมลสันดาน

การนำเอายอดคำเท่ว่าด้วย “กองหนุน” ไปขยายผลในทางการเมืองจึงแตกต่างกัน ตัวอย่างเห็นได้ชัดจาก คสช.และจากพรรคประชาธิปัตย์

คสช.ถือว่าเป็น “คำชม”

พรรคประชาธิปัตย์เห็นว่า เป็นการเตือนเพื่อให้สำเหนียกรู้ว่า “กองหนุน” ที่เคยแวดล้อมเริ่มถอยห่างและหมดสิ้นลงเป็นลำดับ

ไม่มีใครตำหนิ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์

ตรงกันข้าม หลังจาก ส.ค.ส. พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ปรากฏต่อสาธารณะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ออกมายอมรับว่า

“ผมเป็นนักการเมือง”

ขณะเดียวกัน ก็วิเคราะห์ออกมาว่า แนวทาง “ประชารัฐ” คือ แนวทางเพาะสร้างและเพิ่มปริมาณของ “กองหนุน” ให้มีมากยิ่งขึ้น


ที่มีการตีปลาหน้าไซเรื่อง “พรรคประชารัฐ” จึงเริ่มมีเค้า

ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะตีความคำว่า “กองหนุน” ออกมาอย่างไร ไม่ว่า คสช.จะประเมินบทบาทของคำว่า “กองหนุน” มากน้อยเพียงใด

ปัจจัยชี้ขาดอย่างแท้จริง อยู่ที่ “การปฏิบัติ”

บทบาทของพรรคประชาธิปัตย์เสมอเป็นเพียงขยายผลจาก ส.ค.ส.ว่าด้วย “กองหนุน” เป็นเหมือนสัญญาณเตือนจาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์

ขณะที่ คสช.ถือว่าเป็นการชี้ทางสว่างให้

การลงมือปฏิบัติของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงประสานกันไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อขยายผลคำชมและการให้กำลังใจ

เห็นได้จากการชู “ประชารัฐ”

เห็นได้จากการออกมายอมรับว่า

“ผมเป็นนักการเมือง” พร้อมกับขยายว่าเป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหารมาก่อน

และแสดงความพร้อมต่อการเป็นนายกรัฐมนตรี “คนนอก”

บทบาทจาก ส.ค.ส.ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ จึงเท่ากับเป็นการสร้างความกระจ่างและทำให้สังคมได้คำตอบอันแจ่มชัดจาก คสช.

กัปปิยโวหารจาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ จึงสะท้อนวุฒิภาวะและความลุ่มลึกอย่างยิ่งในทางการเมือง เข้าทำนองบทสรุปจากโบราณที่ว่า

ขิงแก่ย่อม “เผ็ด”

ไม่ว่าจะมองคำว่า “กองหนุน” เป็นเสมือนความเตือน ไม่ว่าจะมองคำว่า “กองหนุน” เป็นเสมือนชี้ให้เห็นภาวะถดถอย

แต่ผลก็คือ คสช.เริ่มเปิดโฉมออกมา

ไม่แปลกใจ

ไม่แปลกใจ


ไม่มีอะไรต้องแปลกใจ
กรณี 3 เซียนกฎหมายขั้นเทพของ คสช.ได้แก่ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายเนติบริกร, อจ.มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. และ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธาน กรธ. นัดบินไปเที่ยวญี่ปุ่นฉลองปีใหม่ที่ผ่านมา

แต่ที่น่าแปลกใจคือ ทั้ง 3 เซียนซามูไร ยืนยันว่าระหว่างไปนอนกินเที่ยวญี่ปุ่น ไม่มีการพูดคุยประเด็นการเมืองเลยแม้แต่นิดเดียว

มันเป็นไปได้ยังไง? ไปกินไปนอนไปเที่ยวด้วยกันหลายวัน จะไม่คุยเรื่องการเมืองกันบ้างเลย??

“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่า เมื่อ 3 เซียนเหยียบหิมะไร้รอยไปชุมนุมกันพร้อมหน้าพร้อมตา ถ้าไม่พูดคุยพาดพิงถึงร่าง ก.ม.ลูกรัฐธรรมนูญอีก 2 ฉบับ (พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส. และ พ.ร.บ.ลากตั้ง ส.ว.) น่าจะผิดธรรมชาติเกินควร??

เพราะมีบางประเด็นในร่าง ก.ม.เลือกตั้ง ส.ส.ที่กำลังจะต้องแก้ไขช่วงก่อนประกาศใช้อย่างเป็นทางการ
(เช่น เปิดช่องให้พรรคการเมืองใหม่ดึงอดีต ส.ส.จากพรรคอื่นเข้าคอกได้สะดวกโยธิน)

เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอยกรณีใช้อำนาจ ม.44 แก้ไข พ.ร.บ.พรรคการเมืองย้อนหลังจนเกิดปัญหาบานปลาย

จนพรรคการเมืองออกมาโวยวายจะไปยื่นคำร้องศาลรัฐธรรมนูญ

“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่า ร่าง พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.และร่าง พ.ร.บ.ลากตั้ง ส.ว.เป็น ก.ม.ลูก 2 ฉบับสุดท้ายที่มีความสำคัญต่อการสืบทอดอำนาจ คสช.ในช็อตต่อไป

นอกจากนี้ ยังมี ก.ม.ลูกอีกฉบับที่กำลังเจอกระแสคัดค้านกันอึกทึกครึกโครม

พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ป.ป.ช.ซึ่งเพิ่งมีการแก้ไขให้ประธาน ป.ป.ช.และกรรมการ ป.ป.ช. 7 คน จาก 9 คน ซึ่งมีคุณสมบัติต้องห้ามตาม รัฐธรรมนูญ แผ่พังพานทำหน้าที่ ป.ป.ช.ต่อไปจนครบ 9 ปี

ล่าสุด ยังมีประเด็นร้อนๆเกี่ยวกับ ป.ป.ช.ชุดปัจจุบันที่กำลังเจอกระแสต่อต้านกันระเบิดเถิดเทิง

กรณี ดร.วิษณุ รองนายกฯฝ่ายเนติบริกร เปิดไต๋ว่าจะมีการแก้ไขกฎเหล็ก ป.ป.ช.ที่ “ห้าม” เจ้าหน้าที่รัฐรับของขวัญ หรือรับทรัพย์สินที่มูลค่าเกิน 3,000 บาททุกรณี

ดร.วิษณุ อ้างเหตุผลที่ต้องแก้ไขระเบียบ ป.ป.ช.เพื่อเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่รัฐสามารถรับของขวัญของ กำนัลมูลค่าเกิน 3,000 บาทขึ้นไป

เนื่องจากระเบียบ ป.ป.ช.เรื่องนี้ใช้บังคับมาตั้งแต่ปี 2542 จึงไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน
พูดง่ายๆคือ มูลค่าเงิน 3,000 บาท เมื่อ 18 ปีก่อน กับเงิน 3,000 บาทตอนนี้มันลดลง

“แม่ลูกจันทร์” ไม่แปลกใจที่เหตุผลของรองนายกฯ ดร.วิษณุ เจอกระแสคัดค้านจากทุกทิศทุกทาง

เพราะมันขัดแย้งกับนโยบายปราบทุจริตคอร์รัปชันของรัฐบาลนายกฯบิ๊กตู่เต็มเปา

แถมยังสวนทางกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ตีปี๊บโฆษณาเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง

นอกจากไม่ควรเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่รัฐรับของขวัญของกำนัลเกิน 3,000 บาทแล้ว

ควรออกระเบียบห้ามเจ้าหน้าที่รัฐไม่ให้รับของขวัญเสียเลย!!

เพราะการรับของขวัญคือบ่อเกิดคอร์รัปชันตามมา

ถือว่างานนี้ ดร.วิษณุ เสียรังวัดอย่างแรง

เข้าตำรากิ้งกือตกท่อซะแล้วโยม.

"แม่ลูกจันทร์"

ปิดฉาก คสช.โค้งสุดท้ายท้าทายอำนาจ คสช. : ปลุกพลังประชาธิปไตย

ปิดฉาก คสช.โค้งสุดท้ายท้าทายอำนาจ คสช. : ปลุกพลังประชาธิปไตย


จากลูกชาวบ้านไต่เต้าถึงจุดสูงสุดในตำแหน่งทางการเมือง ขณะนี้ยังโลดแล่นอยู่ในวงการเมือง

บุคคลคนนั้นคือ นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี 2 สมัยและประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ เปิดใจให้สัมภาษณ์ ทีมข่าวการเมือง

โดยสะท้อนถึงการพิทักษ์ผลประโยชน์ของประชาชนในภาพรวม เริ่มตั้งแต่โครงการถนนสี่ช่องเจราจรทั่วประเทศที่เริ่มในสมัยผม แต่รัฐบาลบางยุคมีนโยบายพัฒนาเฉพาะจังหวัดที่เลือกพรรคการเมืองนั้นๆ
จังหวัดที่ไม่เลือกเอาไว้ทีหลัง ในที่สุดสภาพถนนสี่ช่องจราจรภาคใต้มันก็เลวร้ายที่สุดในอาเซียน เพราะในสมัยนั้นใครจัดสรรงบประมาณไปที่ภาคใต้จะถูกย้าย ทำให้ข้าราชการกลัว

ผมก็ขอร้องข้าราชการระดับสำนักนายกรัฐมนตรีช่วยค้นข้อมูลย้อนหลังว่า งบประมาณที่ซ่อมถนนในแต่ละพื้นที่ได้เท่าไหร่ ปรากฏว่าถนนทั่วประเทศยาวประมาณ 66,000 กิโลเมตร ส่วนใหญ่แต่ละภาคถูกจัดงบประมาณลงไปตามความยาวของถนน ยกเว้นภาคใต้

เป็นที่มาของการทำจดหมายถึงรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและผู้บริหารกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ทำให้เขาตื่นตัว แต่จดหมายฉบับหลังมันเป็นเหตุการณ์ที่เราติดตามประชาชนที่ลำบากทุกภาค โดยเฉพาะภาคใต้ เห็นชัดเมื่อยางพาราราคาตกต่ำ และรัฐบาลประกาศจะเพิ่มรายได้เพื่อข้ามให้พ้นประเทศที่มีรายได้ปานกลาง
แต่รายได้ต่อครัวเรือนดูแล้วลดลงและยังเจาะลึกตัวเลขลงเป็นรายจังหวัด ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลที่หนักใจอยู่แล้วจะรู้ตัวเลขลึกอย่างที่เราเห็นหรือไม่ จะมีเวลาดูไหม เชื่อว่าไม่มีเวลาดู เห็นได้จากที่คุณสมคิด (จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ) พูด ผมยังรู้สึกว่าพูดเหมารวม ไม่ได้ดูตัวเลขรายละเอียด
รวมถึงแก้ปัญหาราคายางตกต่ำ รัฐบาลไม่มีคนมีความรู้เรื่องนี้เท่าที่ควร รัฐบาลมีมาตรการอะไรออกมาไม่ควรไปบอกว่าราคายางจะขึ้นเท่านั้นเท่านี้ เพราะขณะนี้ 67 จังหวัดของไทย ประเทศในอาเซียนและจีนล้วนปลูกยาง

ชาวสวนยางต้องยอมรับสภาพการเปลี่ยนแปลง ต้องปรับตัว อย่าไปหวังให้ราคาขึ้นอย่างเดียว ขอสนับสนุนปรับโครงสร้างอาชีพเสริมด้านอื่นตามที่รัฐบาลเสนอตั้งแต่เข้ามา

และเราคิดเพื่อชาวบ้าน ถ้าชาวบ้านอยู่ไม่ได้นักการเมืองก็ถูกวิจารณ์ ต้องเป็นปากเสียงแทน จะไปหวังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ส่วนใหญ่เป็นคนดี แต่ไม่รู้ปัญหา ก็พูดได้ไม่เต็มคำ

เราอยู่กับชาวบ้านต้องสะท้อนปัญหาผ่านจดหมายส่งต่อถึงฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาโดยตลอด ไม่เคยหยุดนิ่ง บ้านเมืองยามนี้ชาวบ้านหวังพึ่งพา จะมาเดินขบวนก็ถูกรัฐบาลเล่นงาน

ฉะนั้น ขอให้รัฐบาลใจกว้าง อย่ามองข้อเสนอนี้เป็นเรื่องการเมือง รัฐบาลเหมือนได้เครื่องมือในการหาข้อมูล ข้อมูลบางอย่างอาจจะดีกว่าข้อมูลทางราชการด้วยซ้ำไป

ขอให้เอาข้อมูลเหล่านี้ไปเป็นประโยชน์ เชื่อว่าจะลดช่องว่างระหว่างชาวบ้านกับรัฐบาลได้

เราจะเป็นตัวเชื่อมระหว่างชาวบ้านกับรัฐบาลได้ระดับหนึ่ง ไม่ให้ชาวบ้านเป็นปฏิปักษ์

ปัญหามีอยู่ทุกภาคทั้งภาค ขอให้รัฐบาลรับรู้ลงไปช่วยพัฒนา ไม่เช่นนั้นนโยบายของรัฐบาลจะไม่เกิดผล
สุดท้ายจะก้าวข้ามประเทศรายได้ปานกลางไม่ได้ และยังสะดุดล้มลงอีก

อยากเรียนรัฐบาลว่า รัฐบาลทุกชุดใครทำดีไม่ดี ใครโกงไม่โกง วันข้างหน้าก็จะออกมา

เช่นเดียวกัน รัฐบาลนี้ในวันข้างหน้าจะได้พิสูจน์เมื่อพ้นจากตำแหน่ง จะถูกตรวจสอบเข้มข้นขึ้น ถึงแม้มี สนช. แต่ไม่มีการตรวจสอบ เหมือนเป็นพวกเดียวกัน ไม่เหมือนรัฐบาลจากการเลือกตั้งจะเหนื่อยและหนัก เพราะถูกตรวจสอบทุกขั้นตอน

ขณะเดียวกัน ทหารเข้ามาสามปีเศษ คนทำผิดเริ่มติดคุก กฎหมายต้องศักดิ์สิทธิ์ อันนี้เป็นผลงานของกระบวนการยุติธรรม ผิดต้องว่ากันไปตามผิด ถูกต้อง ถูกวิธี

ชาตินี้ปรองดองนั้นมันไม่ได้ทำให้ผิดหรือถูก ถูกหรือผิด แต่ต้องทำให้ผิดคือผิด ถูกคือถูก อย่าทำอะไรเป็นข้อยกเว้น เช่น เพื่อสร้างความปรองดอง ทำผิดไปแล้วยกโทษให้เถอะ มันไม่ได้

ทิศทางของบ้านเมืองดีขึ้นถ้ากฎหมายศักดิ์สิทธิ์ ปกครองด้วยกฎหมายบนหลักความยุติธรรม แต่การปกครองทุกระบบมันมีจุดแข็ง จุดอ่อนทั้งสิ้น เกือบ 4 ปี สิ่งที่รัฐบาลได้ส่งสัญญาณไปสู่ประชาชนมันเหมือนลบความสำคัญของประชาธิปไตย ถึงขั้นบางครั้งมองว่าประชาธิปไตยเป็นอุปสรรคของการพัฒนาประเทศอันนี้ไม่จริง

กว่า 80 ปีที่เราตัดสินใจปกครองบ้านเมืองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีปัญหาตลอดเวลา หนักบ้างเบาบ้าง แต่ต้องยอมรับว่าปัญหาไม่ได้เกิดจากความผิดพลาดของรัฐธรรมนูญ มันเกิดจากพฤติกรรมของคน

“ไม่มีระบบอะไรเหนือไปกว่ากระบวนการที่ประชาชนตัดสินด้วยตัวเอง ผมเรียนเรื่องนี้ เพราะไม่อยากให้คนในประเทศมีความชินชา มีความรู้สึกเบื่อหน่าย รู้สึกท้อแท้กับระบอบประชาธิปไตย ปัญหาย่อมมีเป็นธรรมดา คนที่จะแก้ปัญหาต้องสู้กับปัญหา ไม่ใช่หนีปัญหา”

ไม่มีการปกครองใดจะให้สิทธิประชาชนเทียบเท่าระบบนี้ ปัญหาคือ เราสนใจเรื่องสิทธิของประชาชนหรือไม่ หรือเราคิดว่าประชาชนต้องอยู่ภายใต้ สั่งเมื่อไหร่ต้องทำ ไม่มีสิทธิโต้เถียงหรือวิจารณ์ เราจะเอาอย่างนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นไม่ใช่ประชาธิปไตย มันเป็นกองทหาร พลทหาร สั่งขวาหันได้ ประชาชนไม่ใช่อย่างนั้น
อยากให้ประชาชนส่วนใหญ่มีกำลังใจกับระบอบประชาธิปไตยว่าเราต้องข้ามอุปสรรคปัญหา ความไม่กลัวปัญหาและข้ามให้ได้ด้วยวิธีการเข้าไปเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ไม่ดีให้ดีขึ้น แล้วจะทำให้บ้านเมืองเราไปในทิศทางประชาธิปไตย เคารพสิทธิถือว่าประชาชนคือเจ้าของประเทศ อำนาจประชาธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย

ระบบนี้อาจจะไม่มีจุดแข็งทั้งหมด มีจุดอ่อนคือ ระบบการเมืองที่ไม่สุจริต การทุจริตไม่ได้เกิดจากการเมืองฝ่ายเดียว ต้องไปแก้ไขโดยทำให้องค์กรทั้งหลายมีการตรวจสอบและบทลงโทษที่เข้มข้นขึ้น
ขอย้ำให้ประชาชนอย่าไขว้เขวว่าประชาธิปไตยถ่วงความเจริญของบ้านเมือง เป็นอุปสรรคการพัฒนาประเทศ ทั้งที่ระบบพรรคการเมืองก็เป็นระบบสากล พรรคการเมืองก็ต้องมีจิตสำนึกรับผิดชอบ ถ้าพรรคทำพฤติกรรมไม่ดี พรรคนั้นจะเสื่อมเสีย หัวหน้าพรรคก็ต้องบอกลูกพรรค เดี๋ยวประชาชนจะไม่เลือกเรา
ต้องระมัดระวัง ในอนาคตพรรคเล็กจะเกิดขึ้นและเชื่อว่าจะล้มหายไปเหมือนในอดีตเพราะสวนหลักความเป็นจริงของประชาธิปไตยไม่ได้

ทีมข่าวการเมือง ถามว่าเริ่มต้นปีแห่งการปฏิรูปประเทศ มีความเป็นห่วงอะไรเป็นพิเศษ นายชวน บอกว่า การปฏิรูปจะต้องทำตั้งแต่เริ่มต้น ความจริงน่าจะเสร็จแล้ว ตอนนี้ย่างเข้าปีที่ 4 ก็เห็นความตั้งใจที่มีการศึกษาว่าปฏิรูปอะไรบ้างต้องรอดู แต่กลัวว่าระลึกได้ว่าจะทำอะไรก็หมดวาระไปแล้ว วันนี้ประชาชนอาจจะสนใจการปฏิรูปน้อยลง

ความจริงการปฏิรูปคือหัวใจของการยึดอำนาจตอนแรก คำถามนี้ต้องย้อนกลับไปว่าที่ผ่านมารัฐบาลได้ปฏิรูปอะไรบ้าง เวลาที่เหลืออยู่จะทำอย่างไร

“ปัญหาต่อไปคืออยู่ยาวเท่าไหร่ นี่คือปัญหา......รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถอยหลัง รัฐธรรมนูญมักจะมีบทเฉพาะกาลเขียนเพื่อประโยชน์ของผู้ยึดอำนาจหลังใช้รัฐธรรมนูญอย่างน้อย 1 สมัย แต่ไม่ถึงกับเขียนผูกมัด 8 ปี 10 ปี เขียนบทเฉพาะกาลผูกมัดไว้ไกล

สวนทางกับอดีตที่เราใช้คำว่าพรรคเลือกคนประชาชนเลือกพรรค หรือสนับสนุนให้พรรคการเมืองมีไม่มากเกินไป แต่กลับส่งเสริมให้มีพรรคเล็ก ชัดเจนมากที่นายสมคิดไปบรรยายแนะนำให้ช่วยกันตั้งพรรคการเมืองให้มากๆ

เป็นการส่งสัญญาณชัดตามลำดับว่ารัฐบาลจะอยู่ต่อ เจตนารมณ์คงไม่หวังพึ่งพรรคใหญ่ หวังพึ่งพรรคเล็ก 2-5 พรรคไม่พอ ต้องเก็บหอมรอมริบ เพื่อเกื้อหนุนให้ใครก็ได้ที่เขาต้องการ ซึ่งเราก็เห็นกันอยู่ในขณะนี้

ทั้งหมดไม่มีอะไรแน่นอน โรดแม็ป กติกา หรือความต้องการอาจจะเปลี่ยนได้ถ้าเป็นมติของผู้มีอำนาจและ สนช. วันนี้เราอาจจะไปประเมินชัดเจนทีเดียวคงไม่ได้ ต้องรอความรู้สึกความต้องการนาทีสุดท้าย ความต้องการคืออะไร จะจัดการให้เปลี่ยนแปลงด้วยวิธีไหน ต้องดูต่อไป”

แต่มันชัดเจนขึ้นทุกทีที่ประกาศชื่อเรื่องพรรคมาก็เป็นจริง เพราะคนในพรรคประชาธิปัตย์ก็ถูกทาบทาม ไม่ผิด แต่มันเหมาะหรือไม่เท่านั้นเอง

จะทำอะไรต้องคิดถึงหลักและความถูกต้อง

วันนี้ไม่มีใครกล้าวิจารณ์ แต่ในอนาคตเขาจะวิจารณ์

เหมือนทำอะไรไม่สุจริตในวันนี้ การตรวจสอบอาจจะยาก

เมื่อหมดอำนาจแล้วไปห้ามไม่ได้จะยิ่งรุนแรงขึ้นทุกกระเบียดนิ้ว.

ทีมการเมือง

ประเดิมปีจอ “แกะรอย” คสช.เปิดไต๋ต่อท่ออำนาจ : เก็งหวยประยุทธ์ มุดช่องการเมือง

ประเดิมปีจอ “แกะรอย” คสช.เปิดไต๋ต่อท่ออำนาจ : เก็งหวยประยุทธ์ มุดช่องการเมือง


เปิดศักราชปีจอ พ.ศ.2561

ซึ่งแค่เริ่มต้นมา เรื่องหมาๆก็ทำวุ่นตั้งแต่ต้นปี

ควันหลงต่อเนื่องจากปลายปีที่ผ่านมา กับช็อตที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
หัวหน้า คสช. ควักกระเป๋าเงินส่วนตัวซื้อลูกสุนัขพันธุ์บางแก้ว 3 ตัว ให้ตัวเอง 1 ตัว อีก 2 ตัวที่เหลือแจกให้ “บิ๊กนมชง” พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ กับ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย

สนนราคาตัวละ 6,000 บาท โดยที่ “บิ๊กตู่” ควักจ่ายไป 25,000 บาท

และนั่นก็พลาดเข้าเหลี่ยม “นักร้อง” ขาประจำอย่างนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ลากปมเข้าประเด็นปัญหาทางกฎหมาย ที่เข้าข่ายเป็นการให้หรือรับของขวัญที่เป็นทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดมูลค่าเกินกว่า 3,000 บาท

ตีปี๊บให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบ

“บิ๊กตู่” ต้องตอบนักข่าวที่จี้ถามรายวัน ถึงขั้น โบ้ยจะขายต่อกันให้วุ่นวาย เรื่องขี้หมูขี้หมากลายเป็นแรงกระแทก ทำให้ผู้นำทหาร คสช.เสียหลักเสียอาการทรงตัว

เพราะมันเป็นจังหวะสถานการณ์นัวเนียต่อเนื่อง จากคิวที่ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ อวยพรปีใหม่เป็นนัยเตือนผู้นำรัฐบาล คสช.

“ตู่” ใช้กองหนุนไปหมดแล้ว

แนวโน้มตามรูปการณ์เหมือน “ป๋าเปรม” เขี่ยลูกให้ขบวนการหมั่นไส้ โดยเฉพาะแนวร่วมฝั่งที่โค่นระบอบทักษิณมาด้วยกัน ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มพันธมิตรฯ ทหารเฒ่าสายลูกป๋าได้โอกาสโหนกระแส

แห่วาทะเจ้าบ้านสี่เสาฯสอยปลายคางผู้นำรัฐบาลและทีมงาน คสช.

ล่อเป้ากันแบบมันมือมันปาก

ถือโอกาสทวงแค้นคิดบัญชีทบต้นทบดอกจากอาการไม่พอใจการแชร์อำนาจและผลประโยชน์

พล.อ.ประยุทธ์โดนตุ้บตั้บซ้ายขวา มึนไปหมด

อย่างไรก็ตาม ก็มีการชี้แจงในภายหลังจากเจ้าตัว “บิ๊กตู่” ยืนยันว่า ตัวเองและคณะรัฐมนตรีที่ไปอวยพรปีใหม่ เข้าใจคำว่า กองหนุน หมายความว่าเราได้เอาทุกคนมาช่วยขับเคลื่อนประเทศไปแล้ว

พล.อ.เปรม คงไม่ได้มีเจตนาอะไรที่จะมองในเรื่องไม่ดี

แต่มันบังเอิญไปเข้าเหลี่ยมนักการเมืองอาชีพฉวยโอกาสตีกินกระแสไปเต็มๆ

ตามเกมแห่กระแสขาลงรัฐบาล

อย่างไรก็ดีสถานการณ์เริ่มต้นปีใหม่ 2561 มา ประเมินเสียงจากฝ่ายคุมเกมอำนาจ คสช.ทั้ง
พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ก็ยังยืนยันการเลือกตั้งตามโรดแม็ป เหลือแค่รอกระบวนการจัดทำกฎหมายลูกประกอบรัฐธรรมนูญเสร็จเรียบร้อย

นั่นจะถึงเวลากดปุ่มปล่อยไฟเขียวเลือกตั้ง

แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีกระแสอีกส่วนหนึ่งที่ยังไม่ชัวร์ เพราะกลัวเหตุการณ์คาดไม่ถึง

โดยเฉพาะกฎหมายลูกเลือกตั้ง ส.ส. และที่มา ส.ว. ถ้ามีอันสะดุดหรือถูกคว่ำในสภานิติบัญญัติ แห่งชาติ (สนช.) การเลือกตั้งก็ต้องยื้อออก ไปตามเงื่อนไขที่เลี่ยงไม่ได้

ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ก็ออกตัวไว้แล้ว เป็นสถานการณ์เหนือการควบคุม

หัวหน้า คสช.กดปุ่มคอนโทรล สนช.ไม่ได้

พูดง่ายๆ “นายกฯ ลุงตู่” ไม่ผูกมัดตัวเอง ไว้กับปัจจัยการเลือก ตั้งที่อาจพลิกผัน เพราะนั่นจะยิ่งทำให้เสี่ยงกับวิกฤติความน่าเชื่อถือในตัวผู้นำ

ถึงเวลาหากมีเหตุจำเป็นให้การเลือกตั้งต้องยื้อออกไป

แต่ในขณะที่กำหนดการเลือกตั้งยังลงวันเวลาไม่ได้ มันกลับมาช็อตไฮไลต์ที่เรียกเสียงฮือฮา เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ยอมรับแบบเต็มปากเต็มคำเลยว่า

“เป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหารมาก่อน”

พร้อมประกาศเสียงเข้ม ขอรับผิดชอบหน้าที่นี้ด้วยความจำเป็นเท่าชีวิต

โดยถือฤกษ์ประเดิมศักราชปีหมา เลือกจังหวะประกาศหลังการประชุม ครม.นัดแรกของปี 2561 เป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการที่ พล.อ.ประยุทธ์แสดงตัวแสดงตน เป็นนักการเมืองอย่างเต็มตัว

จากที่ตั้งแง่รังเกียจ แสดงอาการเกลียดกลัวนักเลือกตั้งอาชีพมาตลอด

แน่นอนมันคงมาถึงช็อตสำคัญที่ “บิ๊กตู่” ต้องเล่นตามเชิงยุทธศาสตร์

ประกาศให้รับรู้โดยทั่วกัน

เป็นจังหวะการตั้งลำ เริ่มเดินหมากกระดานอำนาจที่วางไว้ในบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญ

ตามเส้นทางที่สะกดรอยตามกันมาตั้งแต่ร่องรอยในคำถามพ่วงประชามติ ต่อเนื่องมาถึงการตั้ง 10 คำถามให้ประชาชนตอบ เป็นทำนองโยนหินหยั่งกระแส

ถึงเวลาเฉลย พล.อ.ประยุทธ์แบไต๋ต่อท่ออำนาจชัดเจนแล้ว

และตามแนวโน้มสถานการณ์หลังจากผู้นำ คสช.ประกาศท่าทีทางการเมือง มันก็หนีไม่พ้นต้องตามแกะรอยต่อไปถึงเส้นทางการเข้าสู่สถานะผู้นำอำนาจช่วงเปลี่ยนผ่าน

อ่านกันตามประตูที่รัฐธรรมนูญเปิดช่องไว้ก็มีอยู่ 2 ทาง

เส้นทางลัด รอเทียบเชิญใส่คานหาม เป็น “นายกรัฐมนตรีคนนอก”

หรือเส้นทางแบบตรงไปตรงมาตามถนนสาย ประชาธิปไตย เป็นนายกรัฐมนตรีคนใน พล.อ.ประยุทธ์ก็ต้องมีพรรคการเมืองเป็นฐานสนับสนุนในสภาฯ และมีชื่ออยู่ในบัญชีที่เสนอเป็นนายกรัฐมนตรี โดยที่ “บิ๊กตู่” จะเป็นหัวหน้าพรรคเองหรือไม่เป็นก็ได้ และไม่จำกัดว่าจะต้องลงสมัคร ส.ส.

แน่นอน กรณีที่ “บิ๊กตู่” ต้องมีพรรคการเมืองเป็นฐานสนับสนุนในสภาฯ ไม่ได้มองแค่การโหวต เลือกนายกรัฐมนตรีเท่านั้น แต่มองข้ามช็อตไปถึงสถานการณ์บริหาร

ถ้าผู้นำ คสช.ไม่มีเสียง ส.ส.ในมือ มีหวังโดน นักการเมืองต้อนตายคาเขียงแน่

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าประเมินจากอาการที่ พล.อ.ประยุทธ์ แบะท่าในงานเลี้ยงปีใหม่กับสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล พูดเป็นเชิงรัฐธรรมนูญเปิดช่องนายกฯคนนอกไว้

ที่ไม่พูดชัด เพราะไม่ปิดทางตัวเอง

เบื้องต้นน้ำหนักของ “นายกรัฐมนตรีคนนอก” มากกว่า “นายกรัฐมนตรีคนในลิสต์พรรคการเมือง”

เรื่องของเรื่อง ไม่ว่านายกรัฐมนตรีคนนอกหรือนายกรัฐมนตรีคนใน ว่ากันตามเงื่อนไขไฟต์บังคับในการบริหาร พล.อ.ประยุทธ์ ก็จำเป็นต้องมีพรรคการเมืองเป็นต้นทุนหน้าตัก พรรคทหาร พรรคนอมินี ต้องมีอะไหล่สำรองไว้

ป้องกันไม่ให้โดนไล่ต้อนในสภา

แต่ก่อนอื่นเลย เมื่อ พล.อ. ประยุทธ์ประกาศตัวแสดงตนเป็นนักการเมืองชัดเจน มันก็เป็นอะไรที่ต้องเตรียมตัวเตรียมใจรับแรงเสียดทานที่ยกระดับขึ้นตามธรรมชาติ

รายการรับน้องจากขาใหญ่เจ้าถิ่น ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย จัดเต็มแน่จากนี้ไป

ไม่ต้องเกรงใจสถานะนายกฯอำนาจพิเศษกันแล้ว

แนวโน้มแบบที่เห็นกัน แค่เรื่องลูกหมาแท้ๆ ยังเล่นเอา “บิ๊กตู่” เสียอาการทรงตัว

ต้องเคลียร์กระแสกันเหงื่อตก

สถานะของผู้นำรัฐบาลทหารช่วยอะไรไม่ได้เลย

และก็เดาพล็อตเรื่องล่วงหน้าได้ จากนี้ไปประเด็นเกี่ยวกับพฤติกรรม วีรกรรมของเพื่อนพ้องน้องพี่ โดยเฉพาะคนนามสกุล “จันทร์โอชา” ที่ส่อไปในทางลบ

จะถูกลากเอามาประจาน โยงเข้าหา “นายกฯลุงตู่” ทุกกรณี

กระตุกเสียง “ยี้” ผู้นำทหาร

ยิ่งในยุคโซเชียลมีเดียทรงอิทธิพล สังคมสว่างไสว ไม่มีจุดมืดให้ทำอะไรลับๆล่อๆ

“ลุงตู่” ส่อต้องโดนสะเก็ดระเบิดจากคนรอบข้างอีกหลายแผล.

“ทีมการเมือง”

ปักหมุดที่เดียวทุกสูตร

ปักหมุดที่เดียวทุกสูตร


เวลคัมการเมืองอย่างเป็นทางการ

นาทีนี้เสียงต้อนรับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. ที่ประกาศตัวเป็น “นักการเมือง” ดังเซ็งแซ่ เสียงจากคนการเมืองขั้วค่ายต่างๆ ดาหน้าออกมาแสดงความเห็นกันคึกคัก

นอกจากแสดงความยินดีที่ผู้นำอำนาจพิเศษเลิกเหนียม กล้าประกาศตัวบอกสถานะหลังเคยตั้งท่าเหยียดมนุษย์พันธุ์การเมืองมาก่อน

คิวนี้ยังถือว่าเปิดโหมด “รับน้อง” ล่วงหน้า พากันวิเคราะห์คิวปล่อยหมากสำคัญของ “บิ๊กตู่” ทั้งมองว่าต้องเล่นเพราะติดอยู่ในมุม ช่วงกระแสโจมตีพรรคทหารชักแรง เลยต้องเร่งสลัดภาพ ล้างสีเขียวลายพราง

ยังระแวงเป็นแค่เล่ห์เหลี่ยมกลเกม หนีแรงต้าน หวังอยู่ยาว

บางส่วนก็มองว่า ที่เริ่มคิกออฟกันตั้งแต่ต้นปี เพื่อ “ปล่อยของ” นำร่องเกมบนกระดานต่อไป

สู่เก้าอี้ “นายกฯหลังเลือกตั้ง” ตามโรดแม็ปปลายปี 2561

จุดกระแสผู้นำอำนาจพิเศษเฟส 2 กันแต่เนิ่นๆ

รวมทั้งที่กระตุกกันแรงๆ บรรดารุ่นพี่เลกเชอร์การเมืองให้ “น้องตู่” กันรายวัน ทั้งแนะให้เปิดใจกว้างรับฟัง อารมณ์ต้องนิ่ง ยอมรับกับการถูกตรวจสอบ

ติวข้ามช็อต “ว่าที่ผู้นำ” รอบต่อไปต้องเผชิญสารพัดแรงต้านแรงขย่มเขย่า

ไม่ใช่ของหมู ไม่ใช่กล้วยๆ ตบะแตกกันได้ง่ายๆ

แล้วล่าสุด “บิ๊กตู่” ก็ออกมายิงลูกซ้ำยืนยัน ที่ผ่านมาไม่มีความชัดเจนในเรื่องอนาคตอำนาจ ทั้งคิว “นายกฯคนนอก” หรือลงเล่นการเมือง เพราะไม่อยาก “ตัดทางตัวเอง”

ถ้าประเมินจากที่อธิบายเส้นทางอำนาจ ล้อไปกับแผนที่คนดักทาง ตามที่ “บิ๊กตู่” บอก สำหรับตำแหน่งนายกฯคนนอก ก็ถือว่าตามระบบ รัฐธรรมนูญได้ระบุไว้

“หากพรรคการเมืองไม่สามารถเลือกนายกฯกันเองได้ในสภา รัฐธรรมนูญก็เปิดช่องทางให้เสนอนายกฯคนนอกได้ เพื่อเป็นการตัดเรื่องการปฏิวัติ ต่อไปนี้จะไม่มีการปฏิวัติแล้ว ก็เลือกกันในรัฐสภา”

แต่ตอนนี้ยังไม่มีใครเสนอตัวเองให้เป็นนายกฯคนนอก

ตามรูปการณ์ที่แสดงออก มองตามไปแล้วก็อาจจะงงๆ เดี๋ยวบอกไม่ใช่นักการเมือง พอโค้งสุดท้ายกลับเปลี่ยนใจ แจ้งแปรสถานะกันเรียบร้อย

ในลักษณะเปิดตัวเจ้าของค่ายการเมืองมาเอง

แต่อีกทางก็ยังทำแพลมไต๋ เล็งไปที่เก้าอี้ผู้นำคนนอกหลังการเลือกตั้ง

เหมือนแค่แต่งตัวรอเสลี่ยงมาเชิญ รอเกี้ยวมาหาม

ทั้งหมดทั้งปวง น่าจะเป็นลีลาไหลลื่นของ “นายกฯลุงตู่ ต๊ะตุงตวง” ที่เรียนรู้แบบเรียนการเมือง

พลิกกันกี่ตลบก็ได้ ไม่ปิดช่องปิดประตูตัวเองนั่นแหละ

อะไรไม่ว่า กระทั่งรอยเก่าประเมินกันมาตลอด “ป๋าเปรมโมเดล” ที่ถูกดักทาง โดยเฉพาะในห้วงนี้ มีร่องรอยย่างก้าว “มืองานอำนาจพิเศษ” เดินสายเปิดดีลคนในป้อมค่ายการเมืองต่างๆฝุ่นตลบ

กระทั่งที่ติดยี่ห้อเพื่อไทย หลายพื้นที่มีมือขยันของอำนาจพิเศษลงไปทำงาน

ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง ลูกจีบ-ลูกดุ ครบครัน

บวกรวมด้วย พรรคการเมืองกองเชียร์ กลุ่มการเมืองแนวร่วม ที่มีมือประสานจัดตั้งไว้

ปั้นทุกสูตร เปิดทุกช่องไว้รอคลิก เมื่อมีสัญญาณ

เลือกโมเดล “อำนาจพิเศษ” ประกอบร่างใหม่หลังเลือกตั้ง.

ทีมข่าวการเมือง