PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2560

เตรียม แถลง"สัญญาประชาคม" อย่างเป็นทางการ แต่ไม่ต้องลงMou



เตรียม แถลง"สัญญาประชาคม" อย่างเป็นทางการ แต่ไม่ต้องลงMou

พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม และ ประธานคณะอนุกรรมด้านการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง กล่าวถึงขั้นตอนหลังจากเปิดสัญญาประชาคมเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดองว่า จะมีการสร้างความรับรู้และความเข้าใจกับประชาชน หลังจากนั้นจะพิจารณาวันเวลาที่เหมาะสม เพื่อแถลงสัญญาประชาคมฯอย่างเป็นทางอีกครั้งโดยจะสรุปเนื้อหาที่สำคัญเพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนเข้าใจง่าย นำไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้สาระของสัญญาประชาคมเป็นเรื่องที่มีอยู่แล้วในจิตสำนึกของคนไทย เพียงแต่ว่าอาจจะถูกปิดบังและลบเลือนไปบ้างในช่วงความขัดแย้งที่ผ่านมา เห็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย เรื่องที่ผิดกติกาสังคมกลายเป็นความถูกต้อง ชอบธรรมและเป็นเรื่องปกติไป ถ้าเราช่วยกันปลุกจิตสำนึกของคนจะรู้กันว่าอะไรที่ควรปฏิบัติ ถ้าเป็นอย่างนี้สังคมจะเดินหน้าไปได้ การปรองดองคือสิ่งที่ทุกคนทำร่วมกัน ทำสัญญาใจกับแผ่นดิน ว่าเราจะไม่ยอมให้ความรุนแรงในอนาคตเกิดขึ้นอย่างในอดีต

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะให้คู่ขัดแย้งลงMOUด้วยหรือไม่พล.ต.คงชีพกล่าวว่า วันนี้เป็นเรื่องการปรองดองซึ่งคนส่วนใหญ่อยู่ในกรอบกติกา แต่มีคนส่วนน้อยออกไปบ้างและเสียงดังวันนี้เราต้องดึงคนส่วนน้อยที่เดินออกนอกกรอบกติกากฎหมายให้กลับมาอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย

วันนี้ใครอยู่นอกกรอบกฎหมายต้องมาปรองดองกับประชาชน เพราะประชาชนส่วนใหญ่ยังยึดมั่นและเห็นความสำคัญของกติกาสังคม

เมื่อถามวันนี้การสร้างความปรองดองจะลำบากหรือไม่ พล.ต.คงชีพกล่าวว่า ไม่ลำบาก คงต้องใช้เวลาสักพัก วันนี้เราให้ข้อมูลที่เปิดกว้างและรอบด้านและทำความเข้าใจกับประชาชนมากขึ้น

สำหรับการเคลื่อนไหวล่ารายชื่อ ไม่ยอมรับกระบวนการตัดสินนั้น เขาทำได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ และภายใต้กรอบกฎหมาย

“ห้าม ถามว่าการสร้างความปรองดองเป็นหน้าที่ของใคร เป็นหน้าที่ของรัฐหรือไม่ มันไม่ใช่ แต่เป็นหน้าที่ของประชาชนทุกคน เพราะตัวปรองดองตัวนี้ประชาชนร่วมกำหนดอนาคตร่วมกัน แล้วทำไมต้องเป็นหน้าที่ของรัฐหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะประโยชน์ที่ได้รับจากการปรองดอง คือสังคมอยู่อย่างสงบสุข และประชาชนได้รับประโยชน์”พล.ต.คงชีพ กล่าว

เมื่อถามว่าการสร้างปรองดองนักการเมืองเหมือนไม่เข้าร่วมเท่าที่ควร พล.ต.คงชีพกล่าวว่า ไม่เป็นไร หากเขานิ่ง แต่อยู่ในกรอบกฎหมายก็หมายความว่าเขาเดินหน้าปรองดองแล้ว ไม่ต้องมีการตอบสนองโดยการเซ็นMOU ถึงวันหนึ่งหากเห็นว่าดีค่อยทำไป หากนักการเมืองรับรองต่อหน้าประชาชนแล้ว เราก็มั่นใจว่าปัญหาในอนาคตจะไม่เกิดขึ้น หากเกิดขึ้นอกเขาก็ได้รับผลตามกฎหมาย เราจะไม่พูดถึงอดีตว่าใครผิดใครถูก ว่าไปตามกระบวนการยุติธรรม

คสช. สั่ง เข้ม ผบ.หน่วย กำกับดูแล ทหาร ประพฤติตนให้เหมาะสม

คสช. สั่ง เข้ม ผบ.หน่วย กำกับดูแล ทหาร ประพฤติตนให้เหมาะสม การแต่งกาย การใช้ถ้อยคำ ให้สุภาพ เตือนจนท.ปฏิบัติงานอย่างเหมาะสม ยึดข้อกม.

บิ๊กแกละ พลเอก พิสิทธิ์ สิทธิสาร รองผบ.ทบ.และรองเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมสำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(เลขาฯคสช.) ที่กองบัญชาการกองทัพบกมี
พันเอกวินธัย สุวารี โฆษก คสช. กล่าวว่าพลเอกพิสิทธิ์. ขอให้ทุกหน่วยงานได้ไปช่วยกันกำกับดูแลเจ้าหน้าที่ ที่จะต้องออกปฏิบัติงานในภารกิจที่อาจต้องมีการพบปะกับประชาชน ให้มีความพร้อมทั้งในด้านความรู้ในข้อกฎหมายที่จำเป็น ใช้ดุลพินิจให้อยู่ในกรอบตามอำนาจหน้าที่และประพฤติตนให้เหมาะสม ตั้งแต่เรื่องของการแต่งกาย หรือการใช้ถ้อยคำต่างๆ ให้มีความสุภาพเหมาะสมเป็นที่ยอมรับ
ที่สำคัญให้มีการทบทวนขั้นตอนและความรู้ด้านข้อกฎหมายก่อนออกปฏิบัติภารกิจทุกครั้ง เพื่อให้สามารถดูแลและช่วยเหลือประชาชนได้อย่างเต็มที่ในทุกมิติ

“พลเอกประวิตร” กำชับทุกหน่วยงานเร่งแก้ไข “ประมงผิดกม.– ค้ามนุษย์” ให้ปลดTier2 ให้ได้

“พลเอกประวิตร” กำชับทุกหน่วยงานเร่งแก้ไข “ประมงผิดกม.– ค้ามนุษย์” ให้ปลดTier2 ให้ได้
ทำเนียบรัฐบาล มีการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธาน
พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม เปิดเผยว่า เรื่องการแก้ไขการทำประมงผิดกฎหมาย ในภาพรวมมีความคืบหน้าไปมากเมื่อวันที่ 3 – 17 ก.ค.ที่ผ่านมา มีการเจรจากับสหภาพยุโรป (EU) โดยต้องปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับสากล ซึ่งทางการไทยได้ดำเนินการไปแล้วหลายฉบับ และจะต้องติดตามสถานะเรือตามข้อเสนอEU ซึ่งมีการพัฒนาระบบไอทีเพื่อติดตาม รัฐบาลทำทุกอย่างให้ถูกต้อง เพื่อลดผลกระทบจากการทำประมงผิดกฎหมายจึงขอความขอร่วมมือผู้ประกอบการให้คำนึงถึงประโยชน์ส่วนร่วม

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้สั่งการให้กรมประมงแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจังให้บรรลุผลให้ได้

พล.ต.คงชีพ กล่าวว่า ส่วนการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ถึงแม้สหรัฐอเมริกาจะคงอันดับประเทศไทยที่ Tier 2 watchlist แต่เราจะแก้ปัญหาต่อไป โดยมีความคืบหน้าไปมาก

มีการทำตามแผนที่สหรัฐฯ แนะนำมา 11 ข้อ เช่น การปฏิรูปกฎหมาย ซึ่งรัฐบาลได้ออกพ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 การติดตามดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดและเจ้าหน้าที่ การตรวจสอบบริษัทที่นำแรงงานต่างด้าวเข้าประเทศ การเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบแรงงาน
พล.อ.ประวิตร ได้เน้นย้ำกับผู้เกี่ยวข้องว่า เป้าหมายของการแก้ไขปัญหาเพื่อถอดTier 2 ให้สำเร็จให้ได้

งดบิน 16 สายการบิน ที่ไม่ผ่าน ICAO

งดบิน 16 สายการบิน ที่ไม่ผ่าน ICAO
เผย ผลตรวจ ICAO การรปภ. “สนามบินสุวรรณภูมิ-ดอนเมือง-สนง.การบินพลเรือน”ไม่พบข้อบกพร่อง /เผย 16 สายการบิน ไม่ผ่าน ต้องหยุดบิน 1กย./ขณะที่ “กย.-ตค.” ลุ้น ปลดธงแดงไทยหรือไม่
ที่ทำเนียบรัฐบาล มีการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินคณะที่ 5 ที่มีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม เป็นประธาน
พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือนรายงานความคืบหน้าในที่ประชุมว่า เรื่องการออกใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศใหม่ (AOC) ว่าได้ออกใบรับรองแล้วทั้งหมด 9 สายการบิน อยู่ในระหว่างตรวจสอบสถานีหลัก และการตรวจสอบภาคอากาศ 4 สายการบิน และอยู่ระหว่างตรวจสอบเอกสารหลักฐานอีก 7 สายการบิน

นอกจากนี้ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.)ได้ส่งจดหมายแจ้งสายการบินที่ไม่ผ่านการตรวจประเมิน 16 สายการบิน เพื่อแจ้งให้ดำเนินการขอรับการตรวจ เนื่องจากเป็นข้อกำหนดขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO)

หากไม่มีใบอนุญาตต้องงดการบิน จึงทำให้สำนักงานการบินพลเรือนฯแจ้งงดการอนุญาตให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศที่ยังไม่ได้รับใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศใหม่ ให้งดการให้บริการการบินระหว่างประเทศจนกว่าจะได้ใบรับรอง โดยมีการงดให้บริการแล้วตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา

พ.อ.หญิงศิริจันทร์ กล่าวว่า ส่วนการยื่นเอกสารขอรับการตรวจจาก ICAOดำเนินการแล้ว คาดว่าจะมีการส่งบุคลาการเข้ามาตรวจสอบประเมินมาตรฐานเพื่อความปลอดภัยประมาณปลายเดือนก.ย.หรือต้นเดือนต.ค. เราก็จะได้ทราบว่าธงแดงจะถูกปลดออกจากประเทศไทยหรือไม่

ขณะเดียวกันผลการตรวจรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ICAO ที่สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมืองและสำนักงานการบินพลเรือนฯในช่วงเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ไม่พบข้อบกพร่องด้านการรักษาความปลอดภัยที่มีนัยยะสำคัญ

ผู้ตรวจมีความพึงพอใจต่อระบบการรักษาความปลอดภัยในภาพรวมด้านการบินเรือนของประเทศไทย
และได้ขอให้ประเทศไทยพิจารณานำประสบการณ์และผลการจากการตรวจในครั้งนี้ไปดำเนินการพัฒนาและปรับปรุงมาตรฐานในเรื่องความปลอดภัย พร้อมทั้งให้คำแนะนำที่เตรียมพัฒนาการบุคลากรให้มีความพอเพียงรองรับอุตสาหกรรมการบิน

โดยจะมีการแจ้งผลตรวจสอบดังกล่าวอีก 60 วันหลังจากวันที่มาตรวจสอบ

อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประวิตร กำชับให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเรื่องดังกล่าวด้วย

"‪บิ๊กป้อม" เชื่อ?!..."ปู"ไม่บอกใคร เผยสอบ 14คนใกล้ชิด บอกแค่ว่า ไม่รู้เลยว่าคุณยิ่งลักษณ์ จะหนี

"‪บิ๊กป้อม" เชื่อ?!..."ปู"ไม่บอกใคร เผยสอบ 14คนใกล้ชิด บอกแค่ว่า ไม่รู้เลยว่าคุณยิ่งลักษณ์ จะหนี เพราะไม่ได้บอกใคร‬

พลเอกประวิตร ‪ เผย จากการที่ตำรวจสอบปากคำ 14คนใกล้ชิด บอกแค่ว่า ไม่รู้เลยว่าคุณยิ่งลักษณ์ จะหนี เพราะ คุณยิ่งลักษณ์ ไม่ได้บอกใคร‬. จนท.ก็คงต้องตรวจสอบหาข้อมูล ในทางอื่นกันต่อไป
บิ๊กป้อม พลเอกประวิตร ปัด เรียกประชุมหน่วยความมั่นคง ถก เรื่อง "ยิ่งลักษณ์"...แค่ประชุม กก.ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ ชุดที่5 ที่ทำเนียบฯ...เผย จนท.กำลังทำงาน อยู่ ก็รู้กันอยู่แล้วว่า ไม่อยู่แล้ว. แต่ ยัง ไม่มีรายงานเป็นลายลักษณ์อักษรมา แต่เท่าที่ทราบ คือ มี รถ2 ขบวน ขบวนหนึ่ง เป็น รถเบ้นซ์ และโฟล์ค ตอนนี้ กำลังตรวจสอบ ภาพวงจรปิด อยู่

แต่ยัน ไม่มีตำรวจ ช่วย เพราะ ตำรวจนครบาล4 ยัน มีตำรวจเฝ้าหน้าบ้าน รถเข้าออกตามปกติ แต่เราไม่สามารถไปเปิดรถตรวจ ดูได้ จะไปเปิดรถเขาได้ยังไง เพราะจะหาว่าละเมิด. ยืนยันว่า คสช.ไม่ได้ปล่อย ให้หนี ตำรวจ ก็ดูอยู่ "จะปล่อยยังไง ไม่ได้ปล่อย"

ทั้งนี้ จากการสอบปากคำ คนใกล้ชิด14คน ก็ไม่มีใครบอกอะไร บอกแค่ว่า ไม่รู้เลยว่า คุณยิ่งลักษณ์ จะหนี. เพราะ คุณยิ่งลักษณ์ ไม่ได้บอกใคร
///
"บิ๊กป้อม" ยัน ไม่มี ตำรวจ พา"ปู"หนี แต่ยอมรับไม่ได้เปิดรถตรวจ /กำลังตรวจสอบ รถ2ขบวน รถเบ้นซ์-รถโฟล์ค เผย 14 คนใกล้ชิด ยัน ปู หนี ไม่บอกใคร

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ทีทำเนียบรัฐบาล

โดย ผู้สื่อข่าว ได้ถึงความคืบหน้าการติดตามตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ว่า เจ้าหน้าที่กำลังทำอยู่และ ผมได้กำชับให้ติดตามเรื่องนี้ แต่ยังไม่ได้รับรายงานที่แน่ชัด เพราะยังไม่ได้มีการรายงานเข้ามาเป็นลายลักษณ์อักษร

ส่วนการสอบสวนบุคคลใกล้ชิด 14 คนก็ไม่ทราบรายละเอียด เนื่องจากน.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ได้บอกข้อมูลใดๆ เอาไว้เลยก่อนหายตัวไป ไปโดยไม่บอกใคร ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนเพราะเจ้าหน้าที่กำลังหาอยู่
ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศได้ออกหนังสือแจ้งประสานสถานทูตไทยในประเทศต่างๆ ให้รับทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว

เมื่อถามว่า หากปล่อยเรื่องนี้เอาไว้นานจะสร้างความคลางแคลงใจต่อสังคมหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่คาใจหรอก เพราะรู้กันอยู่แล้วว่าไปแล้ว

เมื่อถามว่า ได้มีการรายงานเบาะแสเกี่ยวกับเรื่องรถยนต์ที่อยู่ในขบวนรถน.ส.ยิ่งลักษณ์อย่างไรบ้าง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า มี 2 ขบวนคือขบวนรถเบนซ์และขบวนรถโฟล์ค แต่ยังไม่ทราบรายละเอียด
เมื่อถามถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าคสช.ปล่อยให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ หลบหนี พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า จะปล่อยได้ยังไง และที่หน้าบ้านพักของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็มีตำรวจเฝ้าอยู่หน้าบ้าน
ยืนยันว่าไม่มีเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือหลบหนีแน่นอน และตำรวจกองบังคับการตำรวจนครบาล4 (บกน.4) ก็รายงานชัดเจนว่าไม่มีใครที่ช่วยหลบหนี และก็ไม่ได้มีการตรวจรถที่ปรากฎเป็นข่าว ไม่ได้เปิดรถ เราจะไปเปิดรถเขาได้ยังไงและเชื่อว่าไม่มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่คอยช่วยเหลือตามที่ปรากฎเป็นข่าว

'คนดี' สำคัญกว่าทุกสิ่ง

"ขี้ขำ"
จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกว่ามันเกิดภาวะ "ขี้ขำ" อย่างที่ อาจารย์ธีรยุทธ บุญมี พูดเอาไว้เมื่อปี ๒๕๕๖
วันนั้นอาจารย์ธีรยุทธบอกว่า
"ถ้าจะมอง ทักษิณผ่านมุมมองว่าด้วยขี้ ก็ต้องเรียกทักษิณเป็น 'ขี้ขำ' ของการเมืองไทย เพราะขี้ขำแปลว่า อุจจาระที่ค้างคารูทวารอยู่ แม้จะออกแรงแคะก็ยังเอาออกลำบาก"
หลัง "ยิ่งลักษณ์" หนีไปทั้งๆ ที่น้ำในหูไม่เท่ากัน มันเกิดภาวะขี้ขำคาตูดอยู่หลายกรณี เพราะคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ
เช่น ใครพาหนี
หน่วยงานความมั่นคงทำไมไม่เห็น
รัฐบาล คสช.สมยอมด้วยหรือไม่
ฯลฯ
มีคำอธิบายสารพัด ตามประสาตีเลขแม่นหลังหวยออก!
.....ก็ว่ากันไป....
แต่เห็นคุณนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์วานนี้ (๑ กันยายน) ก็มีเรื่องอยากจะคุยด้วย
คุณนิพิฏฐ์บอกว่า
"...เรื่องนี้ เป็นนิยายคมเฉือนคม แต่ละคนมีวิทยายุทธ์เท่าเทียมกัน ถ้าคุณยิ่งลักษณ์ไม่มีวิทยายุทธ์ เขาหนีออกไปไม่ได้หรอก ในขณะนี้ถือว่าทางฝ่ายบ้านเมืองยังตกเป็นรอง
โดยเฉพาะเรื่องการเปิดเผยภาพวงจรปิด ผมพูดแต่แรกต้องรีบดู แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับไม่ดำเนินการ ผ่านไปหลายวัน ผู้เกี่ยวข้องหรือกระทรวงต่างประเทศก็ไม่ชี้ชัดว่าคนหนีอยู่ที่ไหน
ส่วนตัวมองว่า ที่คุณยิ่งลักษณ์เงียบ เพราะเขาต้องการลี้ภัยทางการเมือง โดยกระบวนการขอลี้ภัยยังไม่แล้วเสร็จ ซึ่งคนที่จะทำเรื่องลี้ภัย จะไปร้องแรกแหกกระเชอไม่ได้ เดี๋ยวประเทศที่ไปขอลี้ภัยจะไม่อนุญาตให้ลี้ภัย
แต่ตอนนี้ ฝ่ายรัฐจะทำอย่างไรได้ เพราะคุณยิ่งลักษณ์หนีไปแล้ว ยิ่งถ้าขอลี้ภัยได้สำเร็จจะไม่มีทางทำเรื่องขอส่งตัวกลับมาได้
อีกมุมหนึ่งคือ การจะไปให้ตำรวจสากลจับตัวกลับมาตอนนี้คงทำไม่ได้ เพราะต้องรอคำตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในวันที่ 27 กันยายน
ซึ่งก็ไม่มีใครเดาผลคำตัดสินศาลได้ กว่าจะถึงวันที่ 27 กันยายนคงไม่ทัน ถึงวันนั้น กระบวนการขอลี้ภัยของคุณยิ่งลักษณ์คงจบแล้ว
ในมุมต่อสู้ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในอนาคต มีทางเดียวคือต้องทำทุกวิถีทางให้พรรคเพื่อไทยกลับมาชนะการเลือกตั้ง ถ้าชนะความชอบธรรมทางการเมืองจะกลับมา
แต่ไม่ได้หมายความว่า ชนะเลือกตั้งแล้วจะกลับมาไทยได้เลย เพราะความชอบธรรมทางกฎหมายจะยังไม่เกิด ถ้าศาลบอกว่าผิด กลับมาแล้ว ก็ต้องรับโทษ..."
คุณนิพิฏฐ์ พูดถูกครับ ทำไมไม่ไปดูวงจรปิดเสียตั้งแต่แรก ผ่านไปหลายวันเลยไม่รู้ว่า ยิ่งลักษณ์ อยู่ไหน
ถูกครับแต่ผิด
อย่าเพิ่งงง...ดูวงจรปิดหลังรู้ว่ายิ่งลักษณ์หนีก็เท่านั้น เพราะนางเผ่นไปก่อนที่จะรู้ว่าไม่ไปศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนานเป็นวันๆ
คือ...เปิดตูดไปก่อนแล้ว
ถามว่าขณะนี้ทางการเป็นรองวิทยายุทธ์หนูไม่รู้หรือเปล่า?
อืมมมม....เวลาโจรหนี ไม่ว่ารัฐบาลประเทศไหนก็ต้องตามแบบนี้แหละครับ ถ้าโชคดีหน่อยก็ไปดักหน้าโจรได้
แต่เวลาโจรหนีมันไม่บอกใครน่ะซิ จะเป็นรองก็ตรงนี้แหละ
ก็เหมือนแกนนำแดงหลายคนแตกฮือเหมือนผึ้งแตกรังหลังเผาบ้านเผาเมือง เผ่นหนีไปต่างประเทศช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์
ไปดักจับได้บ้างหรือเปล่า?
ที่คุณนิพิฏฐ์พูดถูกเรื่องกล้องวงจรปิดคือ ตำรวจต้องดูเพื่อตามหาว่ายิ่งลักษณ์ใช้เส้นทางไหนในการหลบหนี
สืบสาวราวเรื่องให้ได้ว่า ใครพาหนี แล้วจับมาสำเร็จโทษเสีย
ส่วนยิ่งลักษณ์จะขอลี้ภัยทางการเมืองสำเร็จหรือเปล่า ก็มีแนวโน้มครับ เพราะยุโรปหลายประเทศเป็นโรคแพ้รัฐประหาร
ยิ่งลักษณ์ก็เอาเรื่องถูกรัฐประหารนี่แหละครับไปเป็นเหตุ
จะไปพูดเรื่องปล่อยโกงข้าวทำไม
แต่ที่รู้สึกขี้ขำมากที่สุด คือประโยคท้ายของคุณนิพิฏฐ์ ให้ตายเถอะชักตีนขึ้นมาแล้วช่วยเอามือพายหน่อย
แฟนๆ ประชาธิปัตย์เขาคาดหวังเหมือนกันนะว่า รัฐบาลหน้า "พี่มาร์ค" จะมา
ในเมื่อคนในพรรคประชาธิปัตย์ยังอ่านออกว่า ยิ่งลักษณ์สู้แน่ เพราะทางเดียวที่จะกลับมาคือ พรรคเพื่อไทยต้องชนะการเลือกตั้ง
ถ้าชนะความชอบธรรมทางการเมืองจะกลับมา!
หากประชาธิปัตย์ปล่อยให้เพื่อไทยชนะซ้ำซาก ก็ต้องพิจารณาตัวเองเหมือนกันใช่มั้ย?
เอาเข้าจริงสิบกว่าปีมานี้ ประชาธิปัตย์ เป็นลูกไล่ ในสนามเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยมาตลอด
เลือกตั้งคราวหน้า ถ้ายังเหมือนเดิมการเมืองมันไปยาก
กลายเป็นว่าเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบ เพราะคนโกงกลับมาเป็นใหญ่ทุกที
ก็เป็นการบ้านให้คุณนิพิฏฐ์ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กลับไปคิดกับพรรคพวกว่า ทำอย่างไรจะล้างระบอบทักษิณด้วยการเลือกตั้งได้
จะพึ่งพารัฐประหารไปตลอดไม่ได้หรอกครับ
การเมืองไทยมันซับซ้อน ฝรั่งไม่เข้าใจ ฝ่ายที่อ้างตัวว่าประชาธิปไตยจ๋าก็เอาหลังพิงคนโกง อีกฝ่ายกังวลเลือกตั้งคราวหน้าก็กลัวคนโกงจะกลับมาอีก
มันขี้ขำจริงๆ
ก็ว่ากันไปตามแบบไทยๆ วันก่อน "กำนันสุเทพ" เชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย แนะให้พรรคการเมืองเสนอชื่อเป็นนายกฯ
มีทั้งเสียงเชียร์เสียงด่า เป็นปกติของการเมือง ที่มีความเชื่อไม่เหมือนกัน
แต่ก็ทำให้เห็นว่าที่ผ่านมาสิ่งที่ประเทศไทยขาด ไม่ใช่ผู้นำ
สิ่งที่ขาดมาตลอดคือ ผู้นำที่ดี
อนุทินประจำวัน ปี ๒๔๙๕ ที่ท่านพุทธทาสภิกขุ บันทึกไว้ เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๕ ความว่า...
...คนดี สำคัญกว่าทุกสิ่ง
ในโลกนี้ จะให้ลัทธิไหน ครองโลกไม่สำคัญ ขอแต่ให้คนดี ก็พอแล้ว
คนดีเผด็จการ ก็เผด็จไปในทางดี นำไปสู่ความดี และความเจริญอันแท้จริง
คนดีเป็นประชาธิปไตย ก็พร้อมเพรียงกันทำดี ได้จริง โดยไม่ต้องสงสัย
แต่ถ้าคนชั่วแล้ว แม้จะเปนประชาธิปไตย ก็มีแต่จะ
“นอนหาความสำราญ” กันทั่วไปหมด ในที่สุดก็ล่มจม
ฉะนั้น ขอแต่ให้ คนดีอย่างเดียวก็แล้วกัน จะซ้ายจัด จะขวาจัด ย่อมใช้ได้ทั้งนั้น
ธรรมะในศาสนาเท่านั้น ที่จะทำให้คนดี หาใช่ลัทธิการเมือง แต่ลัทธิใด ไม่เลย...
ผ่านมา ๖๕ ปีแล้ว........
การเมืองกับธรรมะถูกทำให้สวนทางกันตลอด จนกลายเป็นความชาชิน ใครพูดว่าผู้นำต้องเป็นคนดีมีธรรมะ จะถูกมองว่าเพ้อเจ้อ ไร้สาระ
เพราะนักการเมืองที่มีธรรมะนั้นเหมือนเรื่องที่ไม่มีอยู่จริง
แล้วจะหาผู้นำที่ดีได้จากไหน
จะว่ายากก็ได้ง่ายก็ไม่เชิง
ที่แน่ๆ ผู้นำชั่วๆ มีให้เห็นต่อเนื่อง
ก็พวกที่ "นอนหาความสำราญ" กันทั่วไปหมด ในที่สุดก็ล่มจม...
ครับ...ลองคิดย้อนกลับไปดูเราคลั่งเรื่องลัทธิการเมืองมากไปหรือเปล่า จนปล่อยให้คนเลวเข้าไปอยู่ในการเมืองเต็มไปหมด
เป็นประชาธิปไตยที่มีแต่คนชั่ว
การหนีของยิ่งลักษณ์ น่าจะทำให้สังคมไทยได้รับบทเรียน ว่าผู้นำที่ดีควรเป็นอย่างไร
บทเรียนนี้ราคาไม่น้อย ๕ แสนล้านบาท!!!!
ผักกาดหอม

จุดประกายรวมพลังปฏิรูปฉบับ คสช. : ประสบการณ์สู่อนาคต

จุดประกายรวมพลังปฏิรูปฉบับ คสช. : ประสบการณ์สู่อนาคต

“การเมืองไทยจะวิกฤติอย่างไร ย่อมมีทางออก มีทางไปเสมอ”

เป็นการแย้มมุมคิดของนักรัฐศาสตร์ระดับแถวหน้าของเมืองไทย อย่าง นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง ผ่านการให้สัมภาษณ์ ทีมข่าวการเมือง ซึ่งพยายามบอกสังคมอยู่เสมอว่า การเมืองไทยพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น แม้มันจะช้า ไม่ทันใจพวกเรา

คราวนี้ก็เหมือนกัน หลังมีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศแต่ละด้าน รวมคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจและคณะกรรมการปฏิรูปการศึกษา ทั้งหมด 13 คณะ พร้อมได้วางหลักเกณฑ์การปฏิรูปตามปฏิทินเอาไว้แล้ว คณะกรรมการปฏิรูปแต่ละด้านจะเริ่มประชุมอย่างเป็นทางการได้ในสัปดาห์นี้
เราก็จะเริ่มประชุมนัดแรกเหมือนกัน โดยแนวทางเบื้องต้นต้องนำผลการศึกษาที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาด้านการเมืองมาพิจารณา ไม่ว่าจะเป็นผลการศึกษาของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) สถาบันพระปกเกล้า

คณะกรรมการชุดอื่นๆที่เคยมีผลการศึกษาที่ดีๆ สภาพัฒนาการเมือง แม้ถูกยุบไปแล้ว แต่ผลงานที่ดีเราก็จะรับทอดต่อ ไม่ให้มันสูญสลายไป สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน พวกพัฒนาชุมชน สร้างสังคมเข้มแข็ง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเราก็ต้องไปถาม

ในฐานะที่ผมเป็นประธานคณะกรรมการพัฒนาการเมืองเพื่อการปฏิรูปประเทศ ตามคำสั่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งมีตัวแทนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้ามาเป็นกรรมการ รวมถึงตัวแทนพรรคการเมืองใหญ่ ทราบว่าล่าสุด กกต.เพิ่งลงมติตั้งสถาบันวิทยาการเพื่อการเมือง

ฉะนั้นจะเอาตะกอนเหล่านี้และนำข้อเสนอจากฝ่ายต่างๆพิจารณาใส่ในแผนการปฏิรูปการเมือง เพื่อจะได้ไม่ต้องนับหนึ่งใหม่ เมื่อมีแผนจะเกิดสถานะขึ้นมา และจำเป็นจะต้องมีกฎหมายเพิ่มเติมเข้ามารองรับ
ใครคิดว่าอยากจะให้มีอะไรอยู่ในแผนปฏิรูป ขอให้เสนอความเห็นเข้ามา อย่าไปคิดว่าจะมาค้าน มากดดัน หรือมาสั่ง

การทำงานใหญ่ระดับประเทศจะอาศัยแค่คณะกรรมการฯ 10-15 คน มันก็จะคิดได้ในระดับหนึ่ง แต่มันไม่แตกฉาน มีความจำเป็นที่เราจะต้องไปต่อกับสติปัญญาอื่นๆอีกเยอะในสังคม

เพื่อก่อให้เกิดเป็นประกายไฟแห่งการปฏิรูปลุกลามขึ้นมา

ขอย้ำว่าการระดมสมองในรูปแบบคณะกรรมการฯ แค่ 10-15 คน ไปไม่ถึงไหนหรอก มันคิดอะไรไม่ออก คิดได้แต่มันตัน จำเป็นจะต้องเปิดตัวเอง ที่สำคัญต้องทำให้ทุกกลุ่มมีความหวังกับแผนการปฏิรูปด้านการเมือง อย่าไปคิดเชิงลบ มันหดหู่ ขอให้คิดบวก จะได้กระตือรือร้น

และถ้ามีโอกาสไปพูดคุยกับฝ่ายต่างๆ ก็จะไปชวนให้คิดว่าเรามีโอกาสแล้วนะ ขอให้เสนอความเห็นเข้ามาได้เลยว่าอยากจะทำอะไร เพื่อนำไปกำหนดในแผนปฏิรูป

ทีมข่าวการเมือง ถามว่า การปฏิรูปด้านการเมือง มองมิติที่จะวางโครงสร้างให้สังคมเพาะพันธุ์กล้านักการเมืองรุ่นใหม่เข้ามาใช้อำนาจบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อปฏิรูปด้านอื่นๆ
ให้บรรลุตามยุทธศาสตร์ชาติ จะมีการวางระบบให้เชื่อมโยงกับมิติปฏิรูปประเทศด้านต่างๆ ได้อย่างไร

นายเอนก บอกว่า การบริหารประเทศต้องเชื่อมโยงกันทุกด้านอยู่แล้ว
แต่ตอนแรกจะยังบอกไม่ได้ว่ามันจะเป็นอย่างไร บางคนระบุว่าถ้ามิติด้านการเมืองดี มิติด้านสังคมและมิติด้านเศรษฐกิจก็ดีตามไปด้วย ฉะนั้นเราจะต้องพิจารณาการปฏิรูปด้านอื่นๆ
ว่าเรื่องอะไรที่จะเป็นโอกาส และจะต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้นักการเมือง ประชาชน สังคมท้องถิ่น ที่จะผลักดันเรื่องนั้นๆที่เป็นโอกาสให้เป็นวาระของนักการเมือง ข้าราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ขณะเดียวกัน สถาบันพรรคการเมือง ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงอบรมบ่มเพาะสร้างนักการเมือง เพื่ออาสาให้เข้ามาเป็นผู้ปกครองบริหารบ้านเมือง เราจะต้องออกแบบให้พรรคการเมืองอยู่แบบนั้นและมีความสามารถในระดับนั้น ซึ่งใช้ระยะเวลา 5 ปีอาจจะไม่ได้ อาจจะเป็น 10 ปี 15 ปี 20 ปี

มันไม่มีทางอื่นแล้ว ถ้าคิดว่าไม่ใช่นักการเมืองหรือพรรคการเมือง คุณจะให้ใครใช้อำนาจบริหารปกครองประเทศ ใช้ทหารก็ใช้ไม่ได้นานหรอก เพราะจะถูกโดดเดี่ยวจากนานาชาติ สุดท้ายเราต้องยอมรับว่าพรรคการเมือง นักการเมืองมีความสำคัญ ต้องสร้างขึ้นมาเป็นสถาบัน

เหมือนสมัยก่อนคนไทยไม่ชอบพ่อค้า เพราะมองเป็นพวกคนต่างด้าว คนไทยใช้ระบบขุนนาง ในที่สุดไม่รู้ว่าจะหาระบบไหนที่มันดีกว่านี้แล้วก็เปลี่ยนมายอมรับพ่อค้า จนกลายมาเป็นสถาบันขึ้นมา ถึงแม้ธุรกิจจะมีจุดอ่อนหรือข้อบกพร่อง แต่ข้อดีก็มีเยอะเหมือนกัน

วันนี้สังคมบางส่วนมองว่ารัฐบาลตั้งคณะทำงานปฏิรูปด้านต่างๆ ขึ้นมา มันซ้ำรอยย่ำอยู่กับที่เหมือนในช่วงที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาใหม่ ซึ่งตั้ง สปช. สปท. แล้วการปฏิรูปก็หายไป ทำอย่างไรถึงจะจุดประกายไฟลามทุ่งให้สังคมตื่นตัวปฏิรูปประเทศด้านต่างๆ นายเอนก บอกว่า ถึงเวลานี้แล้วคนไทยไม่ควรสิ้นหวัง

ขอให้ร่วมแรงรวมใจช่วยกันสนับสนุนการปฏิรูปด้านต่างๆ และเดินหน้าขับเคลื่อนไปให้ได้ ถึงไม่มีการปฏิรูปเราก็ต้องเปลี่ยนแปลงอยู่ดี เพื่อเดินหน้าเข้าสู่ยุคบูรพาภิวัตน์ โลกสลับขั้ว ไม่ใช่ยุโรป หรือตะวันตกจะเป็นใหญ่อยู่ฝ่ายเดียว ซีกโลกตะวันออกมีโอกาสทางเศรษฐกิจเยอะมาก ถ้าเราทำเป็น

ฉะนั้นเราจะต้องเร่งปฏิรูปตัวเอง เรียนรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์จากในอดีต ฝึกฝนทักษะต่างๆ และเทคโนโลยีใหม่ ปรับความคิดให้เข้ากับยุค 4.0

ไม่อยากให้ไปคิดว่าการปฏิรูปเป็นการชำระล้างบาป ไปกำหนดโทษคน ไปบังคับตรวจสอบคนอย่างเดียว หากคิดแบบนี้มันไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้น ขอให้คิดว่าเป็นการปรับสมรรถนะให้เข้ากับตนเอง

“โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิรูปตรงกับรัชสมัยรัชกาลใหม่ เราคนไทย กรรมการปฏิรูปจะต้องช่วยกันคิดว่าเราจะมีโครงการอะไรในช่วงนี้ เพื่อเฉลิมฉลองรัชกาลใหม่ จะทำอย่างไรให้ต้นรัชกาลใหม่เป็นต้นรัชกาลแห่งความหวังแห่งความสดใส ความสดใหม่
คงต้องใช้ความคิดของคนที่โบราณด้วย เพื่อทำให้การปฏิรูปเข้ากับโลก เข้ากับรัชสมัยรัชกาลใหม่
เพราะพระเจ้าอยู่หัวองค์เก่ายิ่งใหญ่มาก พระเจ้าอยู่หัวองค์ใหม่ก็เป็นความหวัง พระราชทาน 9 แนวทางปฏิบัติแห่งการปฏิรูป เราควรบวกเรื่องนี้เข้าไปด้วย
เพื่อรวมเป็นพลัง ทำด้วยความจงรักภักดีต่อ พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่”

ขณะเดียวกัน สังคมไทยมีโอกาสเยอะมาก การปฏิรูปไม่ใช่แค่แก้ไขปัญหาอย่างเดียว แต่ปฏิรูปเพื่อรับโอกาสใหม่ๆที่จะเข้ามาในอนาคตทุกอย่างมุ่งหน้าไปสู่แผนและขั้นตอนการปฏิรูปประเทศไทย จะปรากฏให้เห็นภาพภายในเดือน เม.ย.2561 และจะเหลือเวลาการทำงานอีก 4 ปีเศษ ซึ่งเป็นเรื่องของการติดตาม เร่งรัด ตรวจสอบให้กลไกต่างๆ ของรัฐมีหน้าที่ดำเนินการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย

ให้ประเทศชาติมีความสงบเรียบร้อย มีความสามัคคีปรองดอง มีการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีความสมดุลระหว่างการพัฒนาด้านวัตถุกับการพัฒนาด้านจิตใจ สังคมมีความสงบสุข เป็นธรรม มีโอกาสอันทัดเทียมเพื่อขจัดความเหลื่อมล้ำ
ประชาชนมีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศและการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ทีมข่าวการเมือง ถามว่า อุปสรรคของการปฏิรูปด้านการเมือง จะต้องเริ่มต้นด้วยการปรองดองให้บรรลุเป้าหมายก่อน ตามสัญญาประชาคมที่คณะอนุกรรมการจัดทำข้อเสนอกระบวนการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ซึ่งมี พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. เป็นประธาน

นายเอนก บอกว่า ขณะนี้มันมีโอกาสมากขึ้นเรื่อยๆ จะเห็นได้จากบรรยากาศ 4-5 พรรคการเมือง ทำงานร่วมกันด้วยความสมัครสมานสามัคคีในรูปคณะกรรมการพัฒนาการเมืองเพื่อการปฏิรูปประเทศ
ฉะนั้นอย่าไปคิดว่าหลังการเลือกตั้งใหญ่จะตั้งรัฐบาลใหม่ไม่ได้
แต่ก่อนจะถึงวันนั้น ขอให้คนไทยใช้จังหวะนี้เสนอความเห็นเข้ามา
เพื่อเดินหน้าแก้ไขปัญหาต่างๆ และเปิดรับโอกาสใหม่ๆที่จะเข้ามา.

ทีมการเมือง

อาฟเตอร์ช็อก “น้องปู” ล่องหนจับตา “เพื่อไทย” ท่าที “เจ๊แดง” สัญญาณตระกูลชิน

อาฟเตอร์ช็อก “น้องปู” ล่องหนจับตา “เพื่อไทย” ท่าที “เจ๊แดง” สัญญาณตระกูลชิน

ยังเล่นบทเป็น “มนุษย์ล่องหน”

ผ่านมาครบสัปดาห์ที่ น.ส.แ อดีตนายกรัฐมนตรี ตัดสินใจไม่เดินทางไปศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดอ่านคำพิพากษาในคดีปล่อยปละละเลยให้เกิดความเสียหายในการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว

ทำให้ถูกศาลฯออกหมายจับ ประทับตราผู้ต้องหาหนีคดี

ไร้ความชัดเจนว่าหลบลี้ไปอยู่แห่งหนตำบลใด ในห้วงกระแสข่าวลือสารพัด บ้างก็ว่าไปซุ่มอยู่กับพี่ชายที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อีกมุมก็เชื่อว่ากำลังพยายามขอลี้ภัยที่ประเทศอังกฤษ

อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์อึมครึม ก็เป็นพี่ชายอย่างอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ที่ “จุดประทัด” ขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ

ด้วยการทวีตข้อความในทวิตเตอร์ส่วนตัวยกคำพูดของ “มงแต็สกีเยอ” นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส

“ไม่มีความเลวร้ายใดที่จะยิ่งไปกว่าความเลวร้ายที่ได้กระทำโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายหรือในนามของกระบวนการยุติธรรม”

เป็นรหัสให้แปลความหมายเชื่อมโยงกับปรากฏการณ์ที่น้องสาว อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์หายตัวไปในวันที่ศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดีจำนำข้าว

นัยว่า เป็นไฟต์บังคับต้องหนีกระบวนการยุติธรรมไทย

นับเป็นการเคลื่อนไหวครั้งแรกในรอบ 5–6 วัน หลังจากที่อดีตนายกฯหญิง “ล่องหน” และนับเป็นหนแรกในรอบปีที่อดีตนายกฯทักษิณกลับมาเคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดีย หลังห่างหายไปตั้งแต่หลังการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ

กระตุกฝ่ายความมั่นคงทีม คสช.ต้อง “ล็อกเป้าสัญญาณ”

ในจังหวะสถานการณ์ที่ “น้องปู” ชิ่งฟังคำพิพากษาศาล กระแสพลิกให้ คสช.ตกเป็นจำเลย ตามรูปการณ์แบบที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ต้องประสานเสียงโต้ยุทธการตีปี๊บของพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มพันธมิตรฯ

เคลียร์ข้อครหาเปิดทาง “ปล่อยหนี”

อารมณ์แบบที่ “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก แอ่นอกออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อความบกพร่องที่ปล่อยให้อดีตผู้นำหญิงหลุดรอดสายตา

ฝ่ายความมั่นคง คสช.เทกแอ็กชั่นเต็มที่

หนีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ปม “เกี้ยเซียะ”

แต่นั่นก็แค่ปรากฏการณ์เบื้องต้นเท่านั้น ที่ คสช.จำเป็นต้องประคองกระแสสู้กับเหลี่ยมเขี้ยวของพรรคประชาธิปัตย์ที่พยายามฉกฉวยสถานการณ์หยิบชิ้นปลามัน รวมถึงกลุ่มพันธมิตรฯ แนวร่วมฝ่ายต้าน “ทักษิณ” ที่ชิงตีกินกระแส แห่ประจานเกมฮั้วระหว่างท็อปบูตกับ “นายใหญ่”

เตะตัดขา ทอนกำลังภายในของทีม คสช.ไปในที

อย่างไรก็ดี ว่ากันตามผลในระยะยาว มันก็สะท้อนจากบทวิเคราะห์ของสื่อไทยและสื่อยักษ์ใหญ่ระดับโลกที่ฟันธงตรงกัน การที่อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์เลือกทางหนี ไม่ฟังคำตัดสินของศาล

ถือเป็นสถานการณ์เชิงบวกกับ คสช.เต็มๆ

ไม่ต้องเผชิญกับแรงกระเพื่อมจากผลคดีของอดีตนายกฯหญิง ที่ไม่ว่าออกมาเป็นบวกหรือลบ ก็หนีไม่พ้นกระแสต่อต้านจากฝ่ายที่พอใจและฝ่ายที่ไม่พอใจ

“ยิ่งลักษณ์” หายไป แรงเสียดทานย่อมลดลงตามเงื่อนไขสถานการณ์

และนั่นก็เป็นโอกาสให้ คสช.ได้เดินหน้าบริหารตามยุทธศาสตร์ หนทางสะดวกในการเดินแผนงานไปสู่เป้าหมายการปฏิรูปประเทศตามสัญญาประชาคมที่ให้ไว้กับประชาชน

ไม่ให้ปฏิวัติยึดอำนาจเสียของซ้ำซาก

ประเมินได้จากอาการคึกคักของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ประกาศเสียงดังๆ วันนี้ทุกอย่างกำลังไปด้วยดี เมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเขียวทั้งกระดาน เป็นยังไงบ้าง เคยมีบ้างไหม

อยากให้บ้านเมืองเป็นอย่างนี้ตลอดไป

ขณะที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ชี้เลยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยปรับตัวขึ้นอย่างมาก เนื่องมาจากนักลงทุนต่างชาติมองเห็นว่าโมเมนตัมทางเศรษฐกิจของไทยล่าสุดได้ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลาย มีเสถียรภาพมากขึ้น จากเดิมที่มีความกังวลว่าจะเกิดความรุนแรงขึ้น แต่ขณะนี้เมฆหมอกก็เริ่มกระจายตัวแล้ว

แนวโน้มพิสูจน์ด้วยตัวเลขเศรษฐกิจส่งสัญญาณบวกทุกมิติ

ตามจังหวะที่รัฐบาล คสช.รีบตีธงเดินหน้ายุทธศาสตร์ลดความเหลื่อมล้ำ โดยที่ประชุม ครม.ช่วงต้นสัปดาห์ได้อนุมัติโครงการ “ประชารัฐสวัสดิการ” ให้ความช่วยเหลือผ่าน “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ตามที่กระทรวงการคลังเสนอวงเงินเริ่มต้น 41,940 ล้านบาท ครอบคลุมผู้มีรายได้น้อยกว่า 11.6 ล้านคน

เป้าหมายเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ทั้งค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา และวัตถุดิบเพื่อการเกษตรจากร้านค้าประชารัฐ และร้านอื่นๆที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด อีกส่วนช่วยลดค่าใช้จ่ายการเดินทาง ได้แก่ รถเมล์ รถไฟฟ้า รถโดยสาร บขส. และรถไฟ

โดยเริ่มแจกจ่ายบัตรได้ในวันที่ 21 กันยายน เพื่อให้ทันใช้บัตรได้ในวันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป

ในจังหวะตีเหล็กกำลังร้อน รัฐบาล คสช.ชิงกระตุกกระแสประชารัฐสวัสดิการซื้อใจประชาชนฐานราก
เดินหมากการเมืองแฝงไปกับยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ

พร้อมๆกับการเดินหน้าตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์เป็นประธาน พร้อมกรรมการส่วนใหญ่มีตำแหน่งในรัฐบาล คสช.และคนดังๆในแวดวงเศรษฐกิจอย่างนายศุภชัย พานิชภักดิ์ นายกานต์ ตระกูลฮุน นายชาติศิริ โสภณพนิช นายบัณฑูร ล่ำซำ ฯลฯ

รองรับสถานการณ์เปลี่ยนผ่าน 5 ปี และการคุมเกมปฏิรูปยาว 20 ปี

ฝ่ายคุมเกมอำนาจ คสช.ได้จังหวะวางเกมอำนาจข้ามช็อต

ในจังหวะที่พรรคเพื่อไทย เครือข่ายยี่ห้อ “ทักษิณ” กำลังเสียอาการทรงตัวอย่างแรง พรรคเพื่อไทยทำได้แค่ออกแถลงการณ์ “การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยในอนาคต” หลังอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ไม่มาปรากฏตัวต่อศาลเพื่อฟังคำพิพากษาในคดีจำนำข้าว

โดยยืนยันจะยังคงดำรงความเป็นพรรคการเมืองเพื่อประชาชน ที่จะสร้างความเข้มแข็งและโอกาสในชีวิตให้แก่ประชาชนต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ อุดมการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง

แสดงความพร้อมในการเดินหน้าทางการเมือง ไม่ให้กองเชียร์หวั่นไหว

แต่จุดที่ต้องจับตาจากนี้ไป พรรคเพื่อไทยหนีไม่พ้นต้องยกเครื่องใหญ่ ตามไฟต์บังคับ “วัดใจ” คนตระกูล “ชินวัตร” จะเลิกการเมือง ระบบ “บริษัท จำกัด” หรือไม่

จะมีคนหาญกล้ามาเป็นเหยื่อซ้ำชะตากรรม “ทักษิณ–ยิ่งลักษณ์” อีกหรือเปล่า

โดยเฉพาะเป้าโฟกัสจับจ้องไปที่ “เจ๊แดง” นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ที่ยังเป็นขุมกำลังสำคัญที่เหลืออยู่ของพี่น้อง “ชินวัตร” และเป็นกลไกหลักในพรรคเพื่อไทย

ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์ที่ผู้เป็นสามีคือนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี หลุดบ่วงพันธะทางคดี มีคุณสมบัติที่จะลงสนามเลือกตั้ง

ยังมีโอกาสแก้ตัวสถานะ “นายกฯนอกทำเนียบฯ”

นี่คือจุด “วัดดวง” ที่จะบ่งชี้เกมอำนาจ “นายใหญ่”

ถ้า “เจ๊แดง” ใส่เกียร์เดินหน้า ดัน “สมชาย” ลงสนาม นั่นคือตระกูลชินฯลุยถั่วสู้ต่อ

แต่ถ้ามีการสลับฉากให้คนอื่นมาคุมทัพพรรคเพื่อไทยแทน ตามแผนโอกาสสูงกว่าใครที่หวยจะออกที่ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เจ้าแม่เมืองกรุง

นั่นย่อมแสดงว่าตระกูล “ชินวัตร” ยอมก้มหลบต่ำ

และมันก็จะตอกย้ำ “ดีล” อำนาจ ที่โดยธรรมชาติของการต่อรองไม่มีใครได้ทั้งหมดหรือเสียทั้งหมด
ที่สำคัญไม่มีทางล้มล้างคดีได้

แค่ปล่อยให้หนี ไม่รุกไล่บี้ ก็พอแล้วสำหรับฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ.

“ทีมการเมือง”

ยังไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

ยังไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

ได้งบก้อนโต 2.9 ล้านล้านบาท อยู่ในมือให้อุ่นใจ

ในคิวที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ใช้เวลาแค่ 4 ชั่วโมงไฟเขียว ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2561 วาระ 2 และ 3 โดยไม่มีเสียงโหวกเหวกต่อต้านให้ระคายหู

โหวตผ่านฉลุย 200 เสียงต่อ 0 ปราศจากเสียงคัดค้าน

“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. มีทุนหมุนเวียนก้อนเบ้อเริ่มให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานต่างๆนำไปขับเคลื่อนบริหารประเทศให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ต่างๆช่วงปลายโรดแม็ป

เครือข่ายแม่น้ำร่วมสายยังผนึกกำลังแน่นปึ้ก ช่วยรัฐบาลทหารให้เดินหน้าต่ออย่างเข้มแข็ง

ผิดกับสถานการณ์ฝั่งพรรคเพื่อไทย คู่ปรับสำคัญที่มีท่าทีอ่อนกำลังลง

ต้นทุนความเชื่อมั่นหดหาย สุ่มเสี่ยงถูกมวลชนตีจาก ภายหลัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ล่องหน ชิ่งฟังคำพิพากษาคดีจำนำข้าว

ต้องไปเร่ร่อนอยู่ต่างแดน ถูกประทับตรา “ผู้ต้องหาหนีคดี” ซ้ำรอยพี่ชาย “ทักษิณ ชินวัตร”
และมีแนวโน้มเคลื่อนไหวลำบากขึ้น ตามเหลี่ยมที่กระทรวงการต่างประเทศกำลังหาช่องเพิกถอนพาสปอร์ตของ “อดีตนายกฯปู” ในช็อตต่อไป ปิดช่องทางไม่ให้เดินสาย ยืมเวทีโลกมาโจมตีประเทศไทย
“ยิ่งลักษณ์” เผชิญชะตากรรมโดนไล่ล่าตามกระหน่ำจากพิษโครงการจำนำข้าว แม้จะไม่ได้อยู่ในเมืองไทยแล้วก็ตาม

สะเทือนไปถึงพรรคเพื่อไทยต้องเสียศูนย์ รอการเปลี่ยนถ่าย หาตัวคนถือธงนำพรรคคนใหม่

อย่างที่เห็นๆ ตามกระแสที่ไหลไปลงล็อกที่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็นแม่ทัพหญิงคนใหม่ แทนที่คนตระกูล “ชินวัตร” ซึ่งถูกล็อกเป้าจากฝ่ายอำนาจพิเศษ

ในจังหวะที่คนในตระกูลชินวัตรก็ออกอาการขาสั่น ไม่อยากเสี่ยงมารับช่วงต่อ เพราะเห็นบทเรียนจากสองพี่น้อง “ทักษิณ–ยิ่งลักษณ์” มีจุดจบลงเอยอย่างไร

ตัวเลือกแรกๆในเวลานี้ จึงมาตกที่ “คุณหญิงสุดารัตน์” มารับบทหัวขบวน ตามความเก๋าประสบการณ์การเมือง และลูกเขี้ยวที่ไม่เป็นสองรองใคร

ที่สำคัญยังมีคอนเน็กชั่นเชื่อมโยงกับเหล่าท็อปบูต อย่างน้อยๆก็ช่วยลดน้ำหนักการไล่เช็กบิลพรรคเพื่อไทยได้ในระดับหนึ่ง

และตามธรรมชาติการเมืองแบบไทยๆ แคนดิเดตผู้นำพรรคต้องเจอแรงเสียดทาน สกัดเส้นทางไม่ให้ขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งได้ง่ายๆ

ตามจังหวะที่ “คุณหญิงสุดารัตน์” ต้องรีบชิงปฏิเสธออกสื่อระหว่างเดินสายไปทำบุญที่วัด ระบุไม่มีโอกาสขึ้นเป็นผู้นำพรรคคนใหม่ รวมทั้งเลี่ยงตอบคำถามที่เกี่ยวกับ “ทักษิณ–ยิ่งลักษณ์” ในช่วงนี้
เล่นบทเจียมเนื้อเจียมตัว ขออยู่นิ่งๆ ไม่ให้ไปขัดหูขัดตาคนในพรรค ในยามที่ภาพหัวหน้าพรรคคนใหม่ยังไม่มีการคอนเฟิร์มจากนายใหญ่

ชื่อ “คุณหญิงสุดารัตน์” ยังไม่ใช่คำตอบสุดท้ายในขณะนี้ เพราะยังมีปัจจัยทางการเมืองที่เป็นตัวแปรให้ตัวเลือกอื่นสอดแทรกขึ้นเป็นจ่าฝูงพรรคได้

ขึ้นอยู่กับนายใหญ่จะกำหนดหมากเลือกตั้งมาสู้ หรือยอมถอย ยืดหยุ่นประนีประนอม จึงค่อยเคาะตัว จะเลือกใช้งานใครเป็นหัวหน้าพรรค

นั่นก็เป็นเรื่องต้องตามลุ้นผู้นำพรรคเพื่อไทยในอนาคต

แต่ที่แน่ๆ รูปการณ์มาถึงตอนนี้ ใครถูกส่งมาเป็น “นอมินี” รับช่วงต่อให้นายใหญ่ ย่อมออกอาการหนาวๆร้อนๆตามสภาพที่เห็นๆ จากอดีตแกนนำพรรคหลายคน

ทั้งกรณี นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ อดีต รมว.มหาดไทย แม้กระทั่งเคสของ “อดีตนายกฯปู”

ต่างประสบชะตากรรมเจอจุดจบไม่สวย ไม่ติดคุกยาว ก็เผ่นออกนอกประเทศ

ในเหลี่ยมที่กองทัพขอต่อวีซ่าอยู่ยาว ปูทางนำร่องไว้ทั้งรัฐธรรมนูญปี 2560 กฎหมายลูก แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนปฏิรูปประเทศ ไว้คอนโทรลประเทศ

แน่นอน ที่สุดหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ ในฐานะคู่ปรับอันดับหนึ่งย่อมถูกเอกซเรย์เข้ม ขณะที่กระแส “ยิ่งลักษณ์” ก็เหือดหาย จากปรากฏการณ์หลบหนีทิ้งมวลชน

ถึงตรงนี้ต่อให้เลือกตั้งเร็วหรือช้า พรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้มีแต้มต่อเหมือนที่ผ่านมา

เพราะรูปเกมหันมาเข้าทางฝ่ายกองทัพหมดแล้ว.

ทีมข่าวการเมือง

คดี “บอส กระทิงแดง” สุดอัปยศงานสอบสวน 3 ก.ย.60 หมดอายุความคนบาปลอยนวล

คดี “บอส กระทิงแดง” สุดอัปยศงานสอบสวน 3 ก.ย.60  หมดอายุความคนบาปลอยนวล
        ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ยังไปไหนมาสามวาสองศอก และหาฝั่งไม่เจอ สำหรับคดีทายาทกระทิงแดง นายวรยุทธ หรือ บอส อยู่วิทยา ขับรถหรูชนดาบวิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่สายตรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิต เหตุเกิดเมื่อตอนเช้าตรู่วันที่ 3 ก.ย. 55 ตั้งแต่สมัย พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง เป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาล นับเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ เนื่องจากผู้ต้องหาเป็นคนดัง อยู่ในครอบครัวมหาเศรษฐีติดระดับโลก และที่มากไปกว่านั้นคือ มีเหตุพิลึกพิลั่นในชั้นสอบสวนอย่างมากมาย ตามที่สังคมได้ทราบเป็นระยะๆ 
       
       เพื่อให้เห็นภาพชัดๆ กันอีกครั้ง ขอลำดับความไม่ชอบมาพากลอีกครั้ง เริ่มแต่พอเกิดเหตุตำรวจตั้ง 3 ข้อหา คือ 1. ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต คดีนี้มีอายุความ 15 ปี ยังเหลือเวลาอีก 10 ปี สิ้นสุด 3 ก.ย. 70 2.ข้อหาไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือ อายุความ 5 ปี หรือวันที่ 3 ก.ย. 60 ที่จะถึงนี้ 3. ข้อหาขับรถเร็วเกิดกว่ากำหนด อายุความ 1 ปี แต่ขาดไปแล้ว
       
       ทุกขั้นตอน มีการเบี่ยงเบน และยื้อคดี โดยพนักงานสอบสวนอย่างสุดฤทธิ์ เช่น การพิสูจน์แอลกอฮอล์ในกระแสเลือด รวมทั้งสารเสพติดแต่ไม่พบ (หน่วงเวลาข้ามวันแล้วไปตรวจ) แต่เมื่อพบ กลับทำสำนวนสอบสวนว่า “เมาหลังขับ” หรือทนกดดันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ จึงดื่มเหล้าแก้กลุ้ม-ย้อมใจ บวกกับผลพิสูจน์ความเร็วของตำรวจ ที่สรุปว่าไม่เกินกฏหมายกำหนด การไกล่เกลี่ยเยียวยา ญาติผู้เสียหาย โดยใช้เงินชดเชย รูปคดีจึงบิดกลายเป็น “ประมาทร่วม” 
                 
       ไม่เพียงนายวรยุทธ จะเป็นผู้ต้องหาเท่านั้น แม้แต่วิญญาณของดาบวิเชียร ก็ยังเป็นผู้ต้องหาด้วยเช่นกัน หากไม่อายฟ้าอายดิน ฝ่ายทายาทกระทิงแดงชนะคดีทายาทของดาบวิเชียร ก็จะต้องชดใช่ค่าเสียหายที่เกิดจากการเฉี่ยวชนครั้งนั้นด้วย 
       
       ความพยายามบิดเบือนคดี โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐร่วมรู้เห็นเป็นใจนั้น นักกฎหมายทราบดีว่าเทคนิคที่ทำกันอยู่นั้นเหลือเพียงขั้นตอนเดียวคือ หากข้อหา “ชนแล้วหนี” หมดอายุความ ก็จะมีผลโดยตรงทำให้คดีหลักคือขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย พยาน-หลักฐาน อ่อนยวบลงทุกที มากสุดคือ ไม่อาจสั่งฟ้องได้
                    
        มีคำถามต่อไปว่า ทำไมฝ่ายผู้ต้องหาจึงเลือกวิธีดึงเกมข้อหาที่ 2 ให้หมดอายุความ 
       
       เหตุผลเพราะวันเกิดเหตุ ดาบวิเชียร นอนตายอยู่กลางถนน ส่วนนายวรยุทธ ขับรถหลบหนีเข้าไปในบ้านพัก แม้ต่อมาจะเอาพ่อบ้านมาสวมแทน แต่เมื่อถูกกระแสสังคมกดดันอย่างหนัก จึงต้องทำเสมือนตรงไปตรงมา แต่ที่สุดมีการหมกเม็ด วางแผนระยะยาวถึง 5 ปี เพื่อให้หลุดจากข้อหานี้
       
       ล่าสุดคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณีกล่าวหา พล.ต.ต.กฤษฏิ์ เปียแก้ว อดีต ผบก.น.5 กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการการยุติธรรม มีการสอบสวนช่วยเหลือ นายวรยุทธ หรือ บอส อยู่วิทยา ในฐานะผู้ต้องหาเพื่อไม่ให้ถูกดำเนินคดีฐานขับรถขณะเมาสุรา ขับรถเร็วกว่ากฎหมายกำหนด และความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด อีกทั้งยังไม่ดำเนินการออกหมายจับผู้ต้องหาเพื่อให้ได้ตัวมาส่งพนักงานอัยการฟ้องร้องดำเนินคดี เป็นเหตุให้ผู้ต้องหาหลบหนี และไม่ได้ตัวมาฟ้องภายในอายุความ
       
       สำหรับตำรวจที่ถูกกล่าวหาประกอบด้วย พล.ต.ต.กฤษฏิ์ เปียแก้ว พ.ต.อ.สุคุณ พรหมายน พ.ต.อ.ไตรเมต อู่ไทย อดีต รองผบก.น 5 พ.ต.อ.สัมฤทธิ์ เกตุแย้ม อดีต ผกก.สน.ทองหล่อ พ.ต.ท.วิบูลย์ ถิ่นวัฒนากูล พนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ และ พ.ต.ท.วิรดล ทับทิมดี พนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ
       
       ถือว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดี แต่ว่าไปแล้วหากชำระความสกปรกโสโครกในวงการสอบสวนแบบสุดซอย หรือหมดจดจริงๆ ควรจะมีผู้บังคับบัญชาระดับบนเข้ามาร่วมรับผิดชอบด้วย เช่น “ผุ้บัญชาการตำรวจนครบาล” หรือระดับรองลงมา โดยเฉพาะฝ่ายดูแลกฎหมาย หรือสำนวนต่างๆ 
                
         คดีบอส กระทิงแดง จึงถือเป็นความอัปยศในวงการสอบสวนตำครวจไทย แม้กระทั่งประเด็นสุดท้าย คือการส่งสำนวนสอบสวนให้แปลเป็นภาษาอังกฤษ ยังมีการโยนลูกกัน ระหว่าง บช.น. กับกองบังคับการตำรวจต่างประเทศ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 
       
       พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร น.1 (30 ก.ย.นี้ เกษียณอายุราชการ) ออกมาบอกกับสังคมว่า ได้ส่งสำนวนคดี บอส กระทิงแดง ไปให้ บก.ตปท. แปลนาน 2 เดือนแล้ว แต่ถูกปฏิเสธว่าทำให้ไม่ได้ ส่วนบก.ตปท. ก็ให้เหตุผลว่า การแปลสำนวนมิใช่งานของหน่วยงานเขา หน้าที่หลักคือ ทำตามการร้องขอจากสำนักงาน ผบ.ตร. หรือ รองฯ-ผู้ช่วยฯ ผบ.ตร.เท่านั้น
       
       แถมยังตอกกลับด้วยว่า ในส่วนของกองบัญชาการตำรวจนครบาล และอื่นๆ ก็มีฝ่ายอำนวยการรับผิดชอบกันอยู่แล้ว เช่น บช.น. กำหนดให้ฝ่ายอำนวยการ 9 ทำหน้าที่เป็นกองการต่างประเทศ
                
         หากทำเองไม่ได้ สมควรยุบกองอำนวยการนี้ไปเสีย และนับเป็นเรื่องงี่เง่า โง่งมทำให้เกิดปัญหาที่ไม่ควรเกิด และสมควรปฏิรูปตำรวจด้วยการแยกอำนาจสอบสวนออกมาหรือยัง