PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2561

"บิ๊กตู่" ไม่สน "ธนาธร-ปิยบุตร"ตั้ง พรรคทางเลือกใหม่"

"บิ๊กตู่" ไม่สน "ธนาธร-ปิยบุตร"ตั้ง พรรคทางเลือกใหม่"ต้าน พรรคหนุนเป็นนายกฯ ชี้ ตั้งไปเถอะ อยู่ที่ท่านจะเลือกเขา แต่ปชช.จะเลือกมั้ย น่าเชื่อถือมั้ย /ขอบคุณ "กปปส.ตั้งพรรคหนุน ชี้เป็นสิทธิ์ใคร รักใคร ชอบใคร ก็เชียร์คนนั้น แต่จะได้มั้ย ไม่รู้ ออกตัว ยังไม่ได้คิด
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึง คนรุ่นใหม่ เช่น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ อ.ปิยบุตร แสงกนกกุล จะตั้งพรรคการเมือง เพื่อสู้กับพรรคที่สนับสนุนคสช.ว่า ก็ตั้งไปเถอะ อยู่ที่ท่านจะเลือกเขา หรือไม่ ขอให้พิจารณาท่าทีและนโยบายว่าน่าเชื่อถือหรือไม่
ทุกคน ทุกพรรคไม่ว่าพรรคเก่า พรรคใหม่ ท่านจะเชื่อ หรือ ไม่เชื่อ ก็เรื่องของท่าน ผมเคยเตือนไปแล้วว่า เลือกตั้งจะต้องได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล
ส่วนที่กลุ่มกปปส.จะตั้งพรรคการเมืองเพื่อสนับสนุน พล.อ ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อนั้น ผมเคยบอกแล้วว่ากลุ่มใดที่สนับสนุนผม ผมขอบคุณก็เท่านั้น ผมทำอย่างอื่นไม่ได้ เพราะเป็นสิทธิของแต่ละบุคคล รักใคร ชอบใครก็เชียร์คนนั้นก็ว่ากันไป แต่จะได้หรือเปล่า ผมไม่รู้เหมือนกัน เพราะผมยังไม่ได้พิจารณาเรื่องเหล่านี้เลย

กอ.รมน.เผย ทีม"ไทยนิยม ยั่งยืน" ลงพื้นที่

กอ.รมน.เผย ทีม"ไทยนิยม ยั่งยืน" ลงพื้นที่
ทั่วประเทศ 7,463 ตำบล/เทศบาล 81,064 หมู่บ้าน/ชุมชน แล้ว 50% มีปชช.ร่วมกว่า3 ล้านคน เตือนระวัง คนไม่หวังดี ปล่อยข่าวสาร ออนไลน์
พล.ต.พีรวัชฌ์ แสงทอง โฆษก กอ.รมน. เปิดเผยว่า จากการดำเนินงานตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ซึ่งกอ.รมน.ได้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนมาตั้งแต่วันที่ 21 ก.พ.61 จนถึงปัจจุบัน โดยทีมขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศระดับตำบล ซึ่งเป็นแกนหลักในการดำเนินการ ได้ลงพื้นที่พร้อมกันทั้งประเทศ 7,463 ตำบล/เทศบาล 81,064 หมู่บ้าน/ชุมชน
ซึ่งในห้วงแรกนี้เป็นการเยี่ยมเยียน ไปสร้างความเข้ากับประชาชน ไปรับทราบถึงความทุกข์ยาก และปัญหาของประชาชนในหมู่บ้าน/ชุมชน รวมถึงค้นหาความต้องการของประชาชนในพื้นที่แล้วนั้น
ซึ่งในขณะนี้ได้ลงพื้นที่แล้วทุกตำบล และลงในระดับชุมชน/หมู่บ้าน ประมาณร้อยละ 50 มีประชาชนร่วมกิจกรรมในขณะนี้ไม่น้อยกว่า 3 ล้านคน
จากข้อมูลเบื้องต้น ในแต่ละหมู่บ้าน/ชุมชน ก็จะมีความต้องการและปัญหาแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ประชาชนมีความต้องการให้แก้ไขปัญหาด้านยาเสพติด , ด้านเศรษฐกิจ , ด้านโครงสร้างพื้นฐาน , ด้านอาชีพ , ด้านรายได้ และด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
และจากข้อมูลที่ได้รับโดยเฉพาะในมิติของความมั่นคง กอ.รมน. ได้นำข้อมูลเหล่านั้นดำเนินการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เข้าไปดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวในเบื้องต้นโดยทันที
ทั้งนี้เพื่อเป็นการเร่งการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนในส่วนที่ กอ.รมน. จะสามารถดำเนินการได้ โดยยึดหลักที่ว่า กอ.รมน. ที่เป็นที่พึ่งของประชาชนเสมอ

เนื่องจากสภาพสังคมปัจจุบันเป็นสังคมที่มีการสื่อสารได้รวดเร็ว ทำให้ประชาชนทุกเพศทุกวัย สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้โดยง่ายและสะดวกในทุกที่ทุกเวลา
แต่ในขณะเดียวกันก็ได้มีผู้ไม่หวังดีหรือเหล่ามิจฉาชีพที่ได้ใช้การสื่อสารนี้ แสวงหาประโยชน์ ด้วยการให้ข่าวสารที่บิดเบือน ทำให้เกิดความหลงเชื่อ และมีการส่งต่อข้อมูลที่ไม่ถูกต้องโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งอาจจะทำให้มีความผิดกฎหมาย พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์อย่างไม่รู้ตัว
จึงอยากขอฝากให้ทุกคน พึงตระหนักระวังอันตรายที่จะแอบแฝงมาในช่องทางสังคมออนไลน์และตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ของตนเองให้มีความรู้ให้มากที่สุด เพื่อเป็นคนดีมีคุณภาพ เป็นพลังสังคมที่เข้มแข็ง และเพื่อให้ประเทศไทยมีศักยภาพในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ยั่งยืน

แม่ทัพภาค3 ขอโทษ-สั่งสอบเอาผิด พันเอกชูนิ้วกลางใส่ชาวบ้านจ.พะเยา

แม่ทัพภาค3 ขอโทษ-สั่งสอบเอาผิด พันเอกชูนิ้วกลางใส่ชาวบ้านจ.พะเยา



“มทภ.3 “ แจง เหตุ “พันเอก” อารมณ์ร้อนชูนิ้วกลาง ติงพฤติกรรมไม่เหมาะสม เผยตั้งกก.ตรวจสอบข้อเท็จจริง เอาผิดทางวินัยทหาร คาด 3 วันรู้ผล

เมื่อวันที่ 7 มีนาคม พล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 กล่าวถึงกรณีที่มีการเผยแพร่ภาพของ พ.อ.ทินชาติ สุทธิรักษ์ หัวหน้าฝ่ายข่าว มณฑลทหารบกที่ 34 (มทบ.34) แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมชูนิ้วกลางกับตัวแทนเครือข่าย People Go Network Forum ในขณะเดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา เรื่องขอยุติการดำเนินคดีกับกลุ่มเกษตรกรบ้านดอยเทวดา ต.สบบง อ.ภูซาง จ.พะเยา หลังจากจัดกิจกรรมสนับสนุนกลุ่มเดินมิตรภาพ ที่ศาลากลางจังหวัดพะเยา เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ที่ผ่านมา ว่า ตนได้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวแล้ว ซึ่งก็เป็นไปตามภาพที่ปรากฏ พร้อมทั้งยอมรับว่านายทหารคนดังกล่าวมีอารมณ์หงุดหงิดไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้จนแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมออกมา


พล.ท.วิจักขฐ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ตนต้องขอโทษชาวบ้านและสื่อมวลชนด้วย โดยเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นในระหว่างที่ตัวแทนเครือข่าย People Go Network Forum เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา เรื่องขอยุติการดำเนินคดีกับกลุ่มเกษตรกรบ้านดอยเทวดา ซึ่งพ.อ.ทินชาติพยายามชี้แจงว่าทางเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้แจ้งความดำเนินคดีกับชาวบ้าน และชาวบ้านไม่ได้ถูกฟ้องร้อง มีเพียงการดำเนินคดีกับคนที่มาชักชวนชาวบ้านไปถือป้ายเท่านั้นจนเกิดเหตุการณ์โต้เถียงกันไปมา และพ.อ.ทินชาติไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้
“ขณะนี้ได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีที่กระทำการไม่สมควรต่อสาธารณชนว่าด้วยความผิดทางวินัยทหาร ซึ่งต้องดูจากเจตนาและข้อเท็จจริง คาดว่า 3 วันจะทราบผลการสอบสวน” แม่ทัพภาค3 กล่าว

ยังเปลี่ยนใจทัน

ยังเปลี่ยนใจทัน


อาจารย์สมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.คนดัง เสนอสูตรคณิตศาสตร์การเมือง สำหรับพรรคการเมืองใหม่ๆ นำไปคำนวณความคุ้มค่าในการลงทุนตั้งพรรคการเมือง

“แม่ลูกจันทร์” เห็นว่าสูตรการคำนวณคะแนนเลือกตั้ง สูตรคำนวณเก้าอี้ ส.ส.และสูตรคำนวณเงินทุนที่จะใช้หาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.ของโรงเรียนสมชัยกวดวิชา มีความน่าสนใจ เข้าใจง่าย และใกล้เคียงความจริงสูงเกิน 90 เปอร์เซ็นต์

จึงขออนุญาตลอกสูตร อจ.สมชัย มาฉายซ้ำอีกทีดังนี้คือ...

สูตรคำนวณคะแนนเลือกตั้ง สำหรับพรรคที่หวังจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน

โดยคำนวณจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศ 50 ล้านคน หากมีผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง 70 เปอร์เซ็นต์ หรือเท่ากับ 35 ล้านคน

ให้เอาจำนวนผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง 35 ล้านคน หารด้วยจำนวน ส.ส.ทั้งสภา 500 คน เท่ากับ 70,000 คะแนน

อจ.สมชัยฟันธงว่าการจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน จะต้องมี ประชาชนไปลงคะแนนเลือกพรรคนั้น 70,000 คนขึ้นไป

ถ้าหวังจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 3 คน พรรคการเมืองนั้นจะต้องได้คะแนน เสียงไม่ต่ำกว่า 2.1 แสนคะแนน

“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่าสำหรับพรรคการเมืองใหม่เปิดซิง ถ้าไม่เจ๋งจริง ไม่แรงจริง การจะได้คะแนนเสียงสนับสนุน 70,000 คะแนน ไม่ใช่ง่ายๆแน่นอน

ยิ่งกติกาเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญใหม่ที่กำหนดให้ใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียวเลือกทั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อทูอินวัน

โอกาสที่พรรคใหม่จะได้คะแนน เสียงเป็นกอบเป็นกำจะยากขึ้นอีกหลายเท่าตัว

อจ.สมชัย กระชุ่นเตือนพรรคการ เมืองใหม่ (บางพรรค) ที่ฝันหวานว่าจะได้ส่วนแบ่งโควตา ส.ส.บัญชีรายชื่อถึง 25 คน จากทั้งหมด 150 คน

เพื่อได้สิทธิ์เป็นผู้เสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากบัญชีพรรคการเมืองของตัวเอง

โปรดระวัง...จะผิดหวังจังเบอร์!!

เพราะการจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อถึง 25 คน พรรคนั้นจะต้องได้คะแนนรวมทั่วประเทศสูงถึง 1.75 ล้านคะแนน

หรือต้องได้คะแนนเฉลี่ยจากเขตเลือกตั้งทั่วประเทศ 350 เขต ไม่ต่ำกว่าเขตละ 5,000 คะแนนขึ้นไป

ทีนี้มาถึงสูตรคำนวณงบลงทุนที่ใช้ลงทำศึกเลือกตั้ง ส.ส. ที่ “อจ.สมชัย” บวกลบคูณหารมาแล้วเป็นอย่างดี

งบก้อนแรกที่พรรคการเมืองต้องจ่ายคือ ค่าสมัครเลือกตั้ง ส.ส.เขตที่ขึ้นราคาจาก 5,000 บาท เป็น 10,000 บาท ต่อผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 คน

หากตั้งเป้าจะได้โควตา ส.ส.บัญชีรายชื่อหลายคน ก็ต้องส่งผู้สมัครลงครบทั้ง 350 เขต ต้องใช้เงินค่าสมัคร 3.5 ล้านบาทขาดตัว

งบก้อนที่ 2 คือ งบหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส. ถ้าใช้อย่างประหยัดสุดขีด เขตละ 1 แสนบาท รวมทั้ง 350 เขต
ต้องใช้เงินอีก 35 ล้านบาทขึ้นไป

ใครที่บอกว่าตั้งพรรคการเมืองไม่จำเป็นต้องใช้เงินก็คิดผิดเต็มเปา

เพราะต้องใช้เงินแน่ๆ และต้องใช้เงินเยอะทีเดียว

นี่ยังไม่รวมเงินจัดตั้งกองทุนพรรค การเมืองอีกพรรคละ 1 ล้านบาท

ยังไม่รวมค่าสมัครสมาชิกพรรคอีก 500 คน ใน 180 วัน และอีก 5,000 คน ใน 1 ปี และอีก 10,000 คน ใน 4 ปี

ปัญหาใหญ่ที่ต้องคิดให้หนัก ถ้าทุ่มทุนตั้งพรรคการเมืองใหม่แล้วไม่ได้เก้าอี้ ส.ส.เข้าไปนั่งชูคอในสภาแม้แต่คนเดียว

เงินที่ลงทุนไปหลายสิบล้านบาทก็สูญฟรี!!

ยังมีเวลาเปลี่ยนใจได้นะโยม.

“แม่ลูกจันทร์”

แบบ 'ลุงตู่' ไม่ต้องพะวง

แบบ 'ลุงตู่' ไม่ต้องพะวง


ข่าวใหญ่ คดีดังระดับประเทศที่มาพร้อมกันวันเดียว 2–3 คดี

ด้านหนึ่งศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่ให้กรมควบคุมมลพิษชดใช้ค่าเสียหายในโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน จังหวัดสมุทรปราการ จำนวนกว่า 9 พันล้านบาท ให้กับ 6 บริษัทร่วมค้าเอ็นวีพีเอสเคจี

นั่นหมายถึงว่า รัฐบาลไม่ต้องเสีย “ค่าโง่”

รักษาเงินภาษีของประชาชนเอาไปดำเนินการโครงการที่เป็นประโยชน์ได้เกือบหมื่นล้าน
ขณะที่อีกด้านศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งให้ออกหมายจับอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร หลังไม่ปรากฏตัวในศาล ในคดีเปลี่ยนแปลงสัมปทานรัฐ เอื้อประโยชน์ บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ส่งผลทำให้รัฐเสียหายรวมมูลค่ากว่า 6.6 หมื่นล้านบาท

โฟกัส 2 คดีใหญ่ที่รัฐบาลเป็นโจทย์โดยตรง โยงกับจำนวนเงินมหาศาล ถ้าไม่มีการดำเนินการใดๆ นั่นหมายถึงต้องสูญเสีย “เงินหลวง” ไป 7 หมื่นกว่าล้านบาท

ตัวเลขกลมๆเท่ากับงบประมาณของเมกะโปรเจกต์ใหญ่ สร้างรถไฟฟ้าสายหนึ่งได้เลย

นี่คือสถานการณ์ที่สะท้อนว่า รัฐบาล คสช.ไม่ได้นิ่งเฉย

ศาลยุติธรรมแสดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ “เงินของแผ่นดิน” ไม่ใช่จะฉ้อราษฎร์บังหลวงกันง่ายๆ

เจตนาไม่บริสุทธิ์ มีอันเป็นไปหมด

ที่แน่ๆมันเป็นคดีที่สะท้อนชะตากรรมของนักการเมือง เรื่องของการใช้อำนาจในทางมิชอบ

คำตอบสุดท้ายคือ คุก ยังไงก็ไม่ได้ใช้เงินร้อน

ถึงตอนโดนศาลเช็กบิล ต่อให้เส้นใหญ่แค่ไหน เงินหนา วิ่งเก่งยังไง ก็ยากจะง้างตราชั่ง

เอาเป็นว่า คนถืออำนาจ “รัฏฐาธิปัตย์” ยังแหยง

อาการแบบที่ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช.พูดเป็นนัย อ้อนขอความเห็นใจกับชาวบ้านระหว่างลงพื้นที่ตรวจราชการและประชุม ครม.สัญจรล่าสุด ยืนยันรัฐบาลนี้พร้อมรับการตรวจสอบ พร้อมออกตัว บอกตัวเองมีคดีติดตัว 400–500 คดี

ที่มีคนบอกว่าต้องการสืบทอดอำนาจ แต่ถ้าหากคดีความต่างๆชี้ว่าตนเองผิด ก็จะโดนเละไปหมด

อยู่ๆก็ส่ออาการพะวง “คดีติดตัว”

จับน้ำเสียง ประเมินท่าที “ลุงตู่” มันต้องมีอะไรแฝงอยู่ คงไม่ได้แค่พูดขึ้นมาลอยๆ

แกะรอย เหมือน “ดักคอ” พวกที่จ้องใช้คดีมา “เจาะยาง”

สกัดเส้นทางไม่ให้ไปต่อ

แต่อีกมุมก็เหมือนเป็นการ “เบิ้ล” แต้มต่อ ตอกย้ำต้นทุนความโปร่งใสของ “นายกฯลุงตู่” ที่เหนือกว่านักการเมือง บวกกับความตั้งใจจริงในการเสี่ยงเข้ามายกเครื่องประเทศไทย

ยังไงก็แคล้วคลาดปลอดภัย

อยู่มา 3 ปีกว่าขึ้นปีที่ 4 “ลุงตู่” ยังไม่มีเหลี่ยมซ่อนวาระแฝงผลประโยชน์ทับซ้อนในเชิงธุรกิจให้เห็น
ตรงกันข้าม กลับเป็น “รัฏฐาธิปัตย์” ที่ระมัดระวังการใช้กระบองยักษ์

และยังเน้นใช้อำนาจพิเศษเชิงบวก เพื่อประโยชน์ของประเทศในทางยาวๆ

แบบที่รัฐบาลเลือกตั้ง ยังไงก็ไม่กล้าเสี่ยงปะทะกับกลุ่มผลประโยชน์

ตามรูปการณ์ล่าสุดที่สังเกตได้ว่า ครม.สัญจรรอบนี้ “บิ๊กตู่” พยายามโชว์ให้ต่างประเทศเห็นเนื้องาน
ความพยายามเกี่ยวกับการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าว

ขณะที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ได้แยกจากคณะใหญ่ไปตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อติดตามการปฏิบัติตามนโยบายแก้ปัญหาประมงผิดกฎหมาย การแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ และการคุ้มครองสวัสดิการแรงงาน

ย้ำผลงานโบแดงที่ คสช.ใช้ดาบอำนาจพิเศษผ่าตัดปัญหาเรื้อรัง

ด้วยการเดินหน้าบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น เด็ดขาด

ยกระดับมาตรฐานการทำประมงให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล

จนปลด “ธงแดง” ของสหภาพยุโรป (อียู) ไปได้

และได้ลุ้นปลด “ธงเหลือง” ในการส่งความคืบหน้าให้อียูพิจารณาในเดือนเมษายนนี้

นี่คือ “เนื้องาน” ที่ทีม “ลุงตู่” เคลมได้แบบเต็มปากเต็มคำเลย.

ทีมข่าวการเมือง