PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2561

แบบ 'ลุงตู่' ไม่ต้องพะวง

แบบ 'ลุงตู่' ไม่ต้องพะวง


ข่าวใหญ่ คดีดังระดับประเทศที่มาพร้อมกันวันเดียว 2–3 คดี

ด้านหนึ่งศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่ให้กรมควบคุมมลพิษชดใช้ค่าเสียหายในโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน จังหวัดสมุทรปราการ จำนวนกว่า 9 พันล้านบาท ให้กับ 6 บริษัทร่วมค้าเอ็นวีพีเอสเคจี

นั่นหมายถึงว่า รัฐบาลไม่ต้องเสีย “ค่าโง่”

รักษาเงินภาษีของประชาชนเอาไปดำเนินการโครงการที่เป็นประโยชน์ได้เกือบหมื่นล้าน
ขณะที่อีกด้านศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งให้ออกหมายจับอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร หลังไม่ปรากฏตัวในศาล ในคดีเปลี่ยนแปลงสัมปทานรัฐ เอื้อประโยชน์ บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ส่งผลทำให้รัฐเสียหายรวมมูลค่ากว่า 6.6 หมื่นล้านบาท

โฟกัส 2 คดีใหญ่ที่รัฐบาลเป็นโจทย์โดยตรง โยงกับจำนวนเงินมหาศาล ถ้าไม่มีการดำเนินการใดๆ นั่นหมายถึงต้องสูญเสีย “เงินหลวง” ไป 7 หมื่นกว่าล้านบาท

ตัวเลขกลมๆเท่ากับงบประมาณของเมกะโปรเจกต์ใหญ่ สร้างรถไฟฟ้าสายหนึ่งได้เลย

นี่คือสถานการณ์ที่สะท้อนว่า รัฐบาล คสช.ไม่ได้นิ่งเฉย

ศาลยุติธรรมแสดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ “เงินของแผ่นดิน” ไม่ใช่จะฉ้อราษฎร์บังหลวงกันง่ายๆ

เจตนาไม่บริสุทธิ์ มีอันเป็นไปหมด

ที่แน่ๆมันเป็นคดีที่สะท้อนชะตากรรมของนักการเมือง เรื่องของการใช้อำนาจในทางมิชอบ

คำตอบสุดท้ายคือ คุก ยังไงก็ไม่ได้ใช้เงินร้อน

ถึงตอนโดนศาลเช็กบิล ต่อให้เส้นใหญ่แค่ไหน เงินหนา วิ่งเก่งยังไง ก็ยากจะง้างตราชั่ง

เอาเป็นว่า คนถืออำนาจ “รัฏฐาธิปัตย์” ยังแหยง

อาการแบบที่ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช.พูดเป็นนัย อ้อนขอความเห็นใจกับชาวบ้านระหว่างลงพื้นที่ตรวจราชการและประชุม ครม.สัญจรล่าสุด ยืนยันรัฐบาลนี้พร้อมรับการตรวจสอบ พร้อมออกตัว บอกตัวเองมีคดีติดตัว 400–500 คดี

ที่มีคนบอกว่าต้องการสืบทอดอำนาจ แต่ถ้าหากคดีความต่างๆชี้ว่าตนเองผิด ก็จะโดนเละไปหมด

อยู่ๆก็ส่ออาการพะวง “คดีติดตัว”

จับน้ำเสียง ประเมินท่าที “ลุงตู่” มันต้องมีอะไรแฝงอยู่ คงไม่ได้แค่พูดขึ้นมาลอยๆ

แกะรอย เหมือน “ดักคอ” พวกที่จ้องใช้คดีมา “เจาะยาง”

สกัดเส้นทางไม่ให้ไปต่อ

แต่อีกมุมก็เหมือนเป็นการ “เบิ้ล” แต้มต่อ ตอกย้ำต้นทุนความโปร่งใสของ “นายกฯลุงตู่” ที่เหนือกว่านักการเมือง บวกกับความตั้งใจจริงในการเสี่ยงเข้ามายกเครื่องประเทศไทย

ยังไงก็แคล้วคลาดปลอดภัย

อยู่มา 3 ปีกว่าขึ้นปีที่ 4 “ลุงตู่” ยังไม่มีเหลี่ยมซ่อนวาระแฝงผลประโยชน์ทับซ้อนในเชิงธุรกิจให้เห็น
ตรงกันข้าม กลับเป็น “รัฏฐาธิปัตย์” ที่ระมัดระวังการใช้กระบองยักษ์

และยังเน้นใช้อำนาจพิเศษเชิงบวก เพื่อประโยชน์ของประเทศในทางยาวๆ

แบบที่รัฐบาลเลือกตั้ง ยังไงก็ไม่กล้าเสี่ยงปะทะกับกลุ่มผลประโยชน์

ตามรูปการณ์ล่าสุดที่สังเกตได้ว่า ครม.สัญจรรอบนี้ “บิ๊กตู่” พยายามโชว์ให้ต่างประเทศเห็นเนื้องาน
ความพยายามเกี่ยวกับการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าว

ขณะที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ได้แยกจากคณะใหญ่ไปตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อติดตามการปฏิบัติตามนโยบายแก้ปัญหาประมงผิดกฎหมาย การแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ และการคุ้มครองสวัสดิการแรงงาน

ย้ำผลงานโบแดงที่ คสช.ใช้ดาบอำนาจพิเศษผ่าตัดปัญหาเรื้อรัง

ด้วยการเดินหน้าบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น เด็ดขาด

ยกระดับมาตรฐานการทำประมงให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล

จนปลด “ธงแดง” ของสหภาพยุโรป (อียู) ไปได้

และได้ลุ้นปลด “ธงเหลือง” ในการส่งความคืบหน้าให้อียูพิจารณาในเดือนเมษายนนี้

นี่คือ “เนื้องาน” ที่ทีม “ลุงตู่” เคลมได้แบบเต็มปากเต็มคำเลย.

ทีมข่าวการเมือง

ไม่มีความคิดเห็น: