PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2559

จับ มาเฟีย เซ็นต์ MOU ให้วางมือ



จับ มาเฟีย เซ็นต์ MOU ให้วางมือ
บิ๊กป้อม พลเอกประวิตร เผย เตรียมจับ"ผู้มีอิทธิพล"ที่ไม่มีหลักฐาน หริอเอาผิดทาง กม.ได้ หรือเลิกแล้ว หริอเป็นเรื่องเก่านานแล้ว ให้ทำMOUให้วางมือ เลิกยุ่งเกี่ยว ส่วนคนมีหลักฐาน โดนคดีแน่ ยอมรับ ในจำนวนกว่า 6พันคน มีทหาร ทั้งในและนอกราชการ เข้าข่ายผู้มีอิทธิพล ตำรวจก็มี เตรียมจัดการ หากไม่มีหลักฐาน แต่พฤตินัยใช่ จะให้ลงนามMOUวางมือ. แจง สั่งจัดระบบรปภ.กลาโหม ใหม่ ไม่เกี่ยวกับการปราบผู้มีอิทธิพล แต่เสนอในครม. แล้ว ให้ทั้งทำเนียบรัฐบาล และทุกกระทรวง จัดระบบใหม่ ให้เป็นมาตรฐานสากล
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม กล่าวว่า ได้มอบหมายให้ พลเอกธีรชัย นาควานิช ผบทบ.ซึ่ง เป็น เลขาธิการคสช.และ ผบ.กองกำลังรักษาความสงบเรัยบร้อย รวบรวมรายชื่อผู้มีอิทธิพล ทั้งหมด ในส่วนของทหาร ด้วย ส่วน ผบ.ตร. ก็ดูแลดำเนินการ ในส่วนของ ตำรวจ ที้มีชื่อเกี่ยวข้องกับอิทธิพล. ส่วนรมว.มหาดไทย ก็ดูแลในส่วนของมหาดไทย แต่ละจังหวัด และ องค์กรปกครองส่วนทัองถิ่น
พลเอกประวิตร ยอมรับว่า ในจำนวน ผู้มีอิทธิพล ที่มีชื่ออยู่ในมือ กว่า 6 พันคน นั้น มีทั้ง ตำรวจ และทหาร ทั้งในและนอกราชการ จะโดยทั้ง วินัย และอาญา
ตอนนึ้ จนท.กำลังดำเนินการ วันนี้ ก็เข้าพื้นที่อีก. แต่สื่ออย่าซักถามมาก ปล่อยให้เป็นการทำงานของจนท. รับรองว่า เราทำให้ดี ขอให้ไว้ใจได้
พลเอกประวิตร กล่าวด้วยว่า เราจะให้โอกาส คนที่ไม่อยากให้ทำผิดต่อไป ในการ ทำ ข้อตกลงMOU กับจนท. ในการที่จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับ อิทธิพล อีก. แต่เป็นเรื่องรายละเอียด ของผู้ที่ไม่อยากทำผิดต่อไป กับจนท. ที่จะลงนามกัน สื่ออย่าถามในรายละเอียดมากนัก. โดยจนท. จะดูว่า. หากเป็นเริ่องที่ทำไปนานแล้ว. แต่ตอนนี้ไม่ได้เกี่ยวข้อง หรือไม่มีหลักฐาน หรือใช้กม.เอาผิดลงโทษได้ หรือคนที่เขาเลิกแล้ว เราก็จะให้ เซ็นต์MOU. แต่ถ้าหากทำผิดกม. มีหลักฐาน ก็ต้องโดนคดี ถูกลงโทษ จะไม่ต้องเซนต์MOU ผิดก็ว่าตามกม.
ส่วนการที่ กลาโหม จัดระบบการ รปภ.ใหม่ ด้วย รถVip เท่านั้น ที่เข้าประตูหน้า รถอื่นใช้ประตูด้านหลัง กำหนดพื้นที่ บุคคลเดินเข้าออกใหม่ ห้ามจอดรถ รอบนอกกระทรวงที่ ใกล้ห้องรมว.กห. นั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า ทำให้เป็นมาตรฐานสากล ไม่เกี่ยวกับการปราบผู้มีอิทธิพล แต่เสนอในครม. แล้ว ให้ทั้งทำเนียบรัฐบาล และทุกกระทรวง จัดระบบใหม่ ให้เป็นมาตรฐานสากล แบบต่างประเทศเขาทำกัน

บิ๊กป้อม เตือน "ทักษิณ" ควรอยู่นิ่งๆ ถามควรพูดหรือไม่ ยันไม่มีผลต่อการทำงานของรัฐบาล-คสช.



บิ๊กป้อม เตือน "ทักษิณ" ควรอยู่นิ่งๆ ถามควรพูดหรือไม่ ยันไม่มีผลต่อการทำงานของรัฐบาล-คสช.ไม่สะดุด ยันเครดิตรัฐ ดีอยู่แล้ว นายกฯไปได้ทั่วโลก ไม่ต้องมา ดิส-เครดิต ยันไม่คิดติดต่อ"ทักษิณ"ผ่านใคร ให้หยุดหรืออยู่นิ่งๆ ขอบอกผ่านสื่อไป แต่ยันไม่มีผลให้ คสช.ต้องเจรจา
พลเอกประวิตร กล่าวว่า การออกมาวิพากษ์วิจารณ์ของ อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ไม่ทำให้การทำงานของ รัฐบาล คสช.สะดุด เพราะเราทำงานต่อไปเรื่อยๆอย่างตั้งใจ ทั้งนายกฯ ตั้งใจและทุ่มเท เหนื่อยจะแย่ และผมก็ไม่ไหว แย่เหมือนกัน ก็ไม่ไหวเหนื่อยกันเหมือนกัน. แต่ประชาชนก็มีความพอใจในการทำงานของรัฐบาล
ส่วนการที่ ทักษิณ ออกมา อาจเป็นการส่งสัญญาณ ให้มีการออกมาต่อต้าน ร่างรธน.หรือไม่ พลเอกประวิตร กล่าวว่า ไม่ต้องออกมาหรอก ถ้าไม่เห็นด้วย ก็ไปลงประชามติ ว่า ไม่เห็นด้วย
ส่วนจะเป็นความพยายามเปิดหน้าเพื่อเจรจา คสช.หรือไม่นั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า ไม่มีเจรจา. และผมก็ไม่ได้อยากตีความอย่างนั้น แต่ก็ไม่คิดที่จะสื่อสารใดๆ ผ่านใครไปถึง คุณทักษิณ ให้อยู่นิ่งไ เพราะผมก็บอกไปหลายทีแล้ว. ผ่านสื่อไป
แต่ก็คงไม่สามารถมาดิสเครดิต รัฐบาลได้ เพราะ รัฐบาล มี เครดิตดีอยู่แล้ว. นายกฯไปที่ไหน ทั่วโลกก็ไปได้หมด

บิ๊กป้อม ยัน เสนอ สว.สรรหา เป็นกุญแจ ไขประเทศ ออกจากปัญหา



บิ๊กป้อม ยัน เสนอ สว.สรรหา เป็นกุญแจ ไขประเทศ ออกจากปัญหา
พลเอกประวิตร เผยอาจมีคสช. แค่ไม่กี่คนเป็นสว.สรรหา แล้วแต่กก.สรรหา ส่วน นายกฯ และตนเอง"จะเป็นมั้ย นั่น ยังไม่รู้ แล้วแต่คณะกรรมการสรรหา เตรียมส่งจม.ถึงกรธ.แจงข้อเสนอ หาก กรธ. ไม่เอาตามที่เสนอ ก็ควรต้องมีเหตุผลหักล้าง วอนคนที่ไม่เห็นด้วยกับร่าง รธน. ไม่ต้องออกมาก่อม็อบ. แต่ให้ไปลงประชามติแทน
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม กล่าวถึง การแก้ไข ร่างรธน.ว่า บ้านเมืองกำลังมีปัญหา ก็ต้องทำยังไงที่จะแก้ความขัดแย้ง ต้องมีคนที่มึอำนาจมาแก้ไข โดย กรธ. นั้นก็ต้องรู้ว่า ควรจะทำอย่างไร จะต้องมีกุญแจ ในการไข ให้ประเทศเดินหน้าไปได้
โดยเฉพาะข้อเสนอ มีสว.สรรหา ในระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน 5ปี ในการทำตามยุทธศาสตร์ชาติ5ปีแรก ปฏิรูปในขั้นต้นให้มันเริ่มและเดินไปได้ก่อน จากนั้น รัฐบาลจากการเลือกตั้ง ก็ทำงานต่อไป
"ผมตั้งใจ อยากที่จะให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันทำงาน เพราะที่ผ่านมาทะเลาะกันมาเยอะแล้ว แต่ไม่รู้ว่า กรธ.จะคิดเหมือนผมหรือไม่. ถ้าเขาคิดดีกว่าผม เขาก็ทำของเขาไป. เขาคงอยากให้ประเทศเดินหน้าไปเหมือนกัน"
ส่วน เสียงวิจารณ์ที่ คสช.จะไปเป็นสว.ด้วยนั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า ก็ไม่เป็นไร เพราะจริงๆ คสช.รู้ปัญหาดี แล้วก็คงจะไปเป็นสว. แค่ไม่กี่คนหรอก เขามีกรรมการคัดสรร ซึ่งเขาอาจจะไม่เอาคสช.เข้ามาเลยก็ได้
เมื่อถามว่า พลเอกประยุทธ์ และตัวท่าน จะมาเป็น สว. สรรหาหรือไม่นั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า ยังไม่รู้ แล้วแต่คณะกรรมการ เพราะผม เลือกตัวเองไม่ได้
พบเอกประวิตร กล่าวว่า จะทำหนังสือ ไปถึง กรธ. ชึ้แจงเหตุผล ที่เสนอเรื่อง สง.สรรหา แต่หาก กรธ.ไม่เอา ก็จะต้องมีเหตุผลมาหักล้าง ยืนยันว่า ไม่มี"ธง"อะไร

บิ๊กปัอม เผย ตำรวจ อาจจะพูดคุยกับ "พล ร อ.พะจุณณ์" ที่ขอให้ทบทวน ข้อกล่าวหา



บิ๊กปัอม เผย ตำรวจ อาจจะพูดคุยกับ "พล ร อ.พะจุณณ์" ที่ขอให้ทบทวน ข้อกล่าวหา ยันไม่ลามขัดแย้งกับ ผบ.ตร. เพราะบอกว่า จบแล้ว ยันให้ดูที่เจตนา
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ในฐานะที่ดูแลตำรวจ กล่าวถึง กรณี พลเรือเอกพะจุณณ์ ตามประทีป ต้องการให้ตำรวจทบทวนข้อกล่าวหา นั้นว่า ก็ว่ากันไปตามขั้นตอนของกม. เชื่อว่าคงจะไม่ลามไปเป็นความขัดแย้งระหว่าง พลเรือเอกพะจุณณ์ กับ ผบ.ตร. เพราะ พลเรือเอกพะจุณณ บอกว่า จบก็จบ เพราะตำรวจ ก็คงจะมาดูเรื่องเจตนา
เมื่อถามว่า มีความเป็นไปได้ที่ ตำรวจจะพูดคุยกับ พลเรือเอกพะจุณณ์ เพื่อทบทวนข้อกล่าวหา. พลเอกประวิตร กล่าวว่า อาจเป็นไปได้. เพราะคงต้องมาดูที่เจตนากันอีกที

เปิดหน้าเล่นกันแล้ว?

จะโดยตั้งใจ หรือถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม จองซีนเด่นประจำจอทีวี และหน้าหนังสือพิมพ์มาตลอดสัปดาห์
โดยเฉพาะช็อตเคลียร์ปม “วัดรอยเท้าป๋า” และปม “ส.ว.ลากตั้ง”
โดยเรื่องแรก ต่อเนื่องจากกรณีตำรวจไล่บี้ “บิ๊กตุ้ม” พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป
สปท. อดีตหัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษ ในความผิดกรณีมีข้อความผ่านไลน์ กล่าวหา “พลเอก” เอี่ยวซื้อขายตำแหน่งตำรวจ
จน “พะจุณณ์” เปิดศึกตอบโต้สีกากี ระดมกองหนุนระดับบิ๊กเนมไม่ธรรมดา
เครือข่ายภายใต้ร่มเงา “บ้านใหญ่เทเวศร์” แทบทั้งนั้น
จนถูกมองเป็นสงครามตัวแทนของผู้มีบารมี 2ป. “ศึกอำมาตย์-ท็อปบูต”
ถึงแม้ล่าสุด หลังเข้าพบพนักงานสอบสวน “พะจุณณ์” จะออกมาบอกปัด ปมนี้ไม่เกี่ยวกับ “บิ๊กป้อม” อย่าไปขยายความต่อ แต่อีกทางก็ระบุ ตัวเองได้พูดคุยกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
ถึงแม้เคยอยู่ทำงานมา 30 ปีไม่เคยเอาเรื่องของป๋ามาพูด แต่ว่าคราวนี้มีข่าวออกมา มองดูเหมือนว่า พล.อ.เปรมไม่ได้ใส่ใจลูกน้องเก่า ทั้งที่ “ป๋าเปรม” ได้สอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยความเป็นห่วง
และให้กำลังใจ “ขอให้พระจุณณ์โชคดี”
อย่างไรก็ตาม ปมนี้ “บิ๊กป้อม” ก็ออกมาบอกปัดแล้วว่า ไม่เกี่ยวกับเรื่อง “ไลน์ร้อน” ปม “พลเอกเอี่ยวซื้อขายเก้าอี้” รวมทั้งที่มีการเขียนมีการวิเคราะห์เกี่ยวโยงไปถึง พล.อ.เปรม เป็นเรื่องมโน คิดกันไปเอง
“ไม่คิดวัดรอยเท้า”
ปัดงัดข้อกับผู้หลักผู้ใหญ่อย่าง “ป๋าเปรม”
รวมทั้งประเด็นร่างรัฐธรรมนูญ ที่ “บิ๊กป้อม” ออกมาตอบคำถามสื่อถึงข้อเสนอลอยลมถึงทีมร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ระบุเนื้อหา ชงให้ ส.ว.มาจากการสรรหา ลากตั้งทั้งหมดในห้วงเปลี่ยนผ่าน
โยนหินไม่นาน “บิ๊กป้อม” ก็ยังยืนยันถึงความจำเป็นของ ส.ว.สรรหา เพื่อร่วมทำงานกับ ส.ส.ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อประเทศ รวมทั้งเชิงขู่ “ต่อไปอาจมี ส.ว.สรรหาตลอดไปก็ได้”
ถูกถามตรงถึงคิว คสช.เข้าไปเป็น ส.ว.สรรหา “บิ๊กป้อม” ก็ตอบตรง “ก็ไม่แน่แล้วผิดตรงไหน”
งานนี้ “เขาเอาแน่” อย่างที่ถูกดักคอจริงๆ
จากฉากร้อนๆในประเทศก็ส่อวุ่นแล้ว ล่าสุดยังมีคิวแทรกมาจากแดนไกล
ได้ฤกษ์ที่ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” เล่นใหญ่ ไปบรรยายในงานที่จัดขึ้นโดยสถาบันนโยบายโลก ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีเครือข่าย กปปส.ดักต้าน อีกทางกลุ่มเสื้อแดง นปช.ถือป้ายเชียร์
สะท้อนชื่อ “ทักษิณ” ขายดี ยังคงเป็นศูนย์กลางความขัดแย้ง
แล้วคิวนี้ก็ตามคาด อดีตนายกฯ สับเละ ทั้งอัดร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่สนองความต้องการของประชาชน ไม่ตอบโจทย์เศรษฐกิจ เปิดช่องให้มีการแทรกแซงฝ่ายบริหาร และนิติบัญญัติ
โดยอำนาจพิเศษ วุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้ง และฝ่ายตุลาการ
ทิ่มร่างรัฐธรรมนูญ ในเป้าหมาย “คว่ำ” สู่คิว “โค่น”
ที่น่าสนใจ หลังลงจากเวที “ทักษิณ” ให้สัมภาษณ์พิเศษหนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทม์ส ทางหนึ่งก็เปิดช่องพร้อมเคลียร์ เรียกร้องให้รัฐบาล อำนาจพิเศษมาพูดคุยกันโดยตรง
และไม่ถอดใจ กับความพยายาม “กลับประเทศ”
แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้น การอ่านเกมเฉพาะหน้ากับคำถามที่ว่า จะใช้เงินและทรัพยากรที่มีรณรงค์ต่อต้านร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่ “ทักษิณ” ออกตัว คงไม่สามารถทำอะไรได้มาก เพราะไม่ได้อยู่ภายในประเทศ
“แต่หากออกมาแสดงความกังวล กลุ่มผู้สนับสนุนก็พร้อมที่จะออกมาเคลื่อนไหว”
ขู่ปลุกม็อบคว่ำร่างรัฐธรรมนูญกันตรงๆเลย
ในจังหวะที่ประเทศไทย สะบัดหนาวสะบัดร้อน อุณหภูมิการบ้านการเมืองชักจะไต่ดีกรีระอุ ในห้วง 3 ก๊กหลัก “อำมาตย์เก่า–ท็อปบูต” และอีกตัวแปร “ทักษิณ” ร่วมศึกชิงการถือดุลอำนาจห้วงเปลี่ยนผ่าน
ต่างเริ่มเปิดชื่อเปิดหน้า ส่งสัญญาณ “เอาแน่” กันทุกขั้ว.
ทีมข่าวการเมือง

"บิ๊กป้อม" สั่งรัสเซียโมเดล รปภ.กลาโหมอีก ปิดประตูหน้าให้ "อัตราจอมพล" ใช้เท่านั้น

updated: 11 มี.ค. 2559 เวลา 13:15:44 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
"ประวิตร" สั่งจัดระเบียบ รปภ.กลาโหมเข้ม เลียนแบบรัสเซีย ป้องกันลอบบึ้ม ห้ามกำลังพล-คนภายนอกเข้าออกประตูหน้า เผยให้เฉพาะนายระดับบิ๊กกลาโหม-แขกบ้านแขกเมืองเท่านั้น
เมื่อวันที่ 11 มีนาคม ที่กระทรวงกลาโหม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้จัดระเบียบมาตรการรักษาความปลอดภัยรอบพื้นที่กระทรวงกลาโหมใหม่ โดยเพิ่มความเข้มงวดมากขึ้น ภายหลังจากเดินทางไปดูงานที่ประเทศรัสเซีย ทั้งนี้มาตรการรักษาความปลอดภัยของกระทรวงกลาโหม ในเบื้องต้นขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการทดลองการใช้งานและศึกษาข้อดีข้อเสีย โดยมีการกำหนดการเข้า-ออกประตูด้านหน้ากระทรวงกลาโหม ซึ่งจะเปิดให้เฉพาะนายทหารระดับสูงที่มีอัตราจอมพลขึ้นไป ได้แก่ พล.อ.ประวิตร พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.ร.อ.อนุทัย รัตตะรังสี รองปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รองปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.ศิวเกียรติ์ ชเยมะ รองปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.พอพล มณีรินทร์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม และแขกบ้านแขกเมืองในฐานะแขกของกระทรวงกลาโหมเข้าและออกได้เท่านั้น ในส่วนของกำลังพล ข้าราชการ ลูกจ้างของกระทรวงกลาโหมจะต้องไปเข้าและออกทางประตูด้านหลังเท่านั้น

ทั้งนี้ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร กล่าวถึงเรื่องการจัดระเบียบการดูแลรักษาความปลอดภัยกระทรวงกลาโหมใหม่ว่า จะมีการจัดมาตรการรักษาความปลอดภัยทั้งหมดในทุกพื้นที่ ไม่ใช่เฉพาะในส่วนของกระทรวงกลาโหมเพียงกระทรวงเดียวแต่จะดำเนินการทุกกระทรวง ซึ่งตนได้เน้นย้ำในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีไปแล้ว เนื่องจากเราต้องระมัดระวัง เพราะที่ผ่านมาหลายประเทศยังเกิดเหตุระเบิด

นักวิชาการเล่าถึง WPI สถาบันที่เชิญ ‘ทักษิณ’

นักวิชาการเล่าถึง WPI สถาบันที่เชิญ ‘ทักษิณ’ หลังถูกดิสเครดิต

ผศ.ดร.เกษม เพ็ญภินันท์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าถึงบทบาทสถาบัน World Policy Institute (สถาบันนโยบายโลก) ซึ่งเชิญ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปบรรยาย

จากกรณีที่ World Policy Institute (สถาบันนโยบายโลก) เชิญ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปบรรยาย “สนทนาเป็นการส่วนตัวกับทักษิณ ชินวัตร” (Thaksin Shinawatra in Private Discussion) ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 9 มีนาคา 2559 โดยกลุ่มต่อต้านอดีตนายกรัฐมนตรีผู้นี้ พยายามจะบอกว่าสถาบัน WPI ซึ่งเชิญดร.ทักษิณ เป็นสถาบันไร้อันดับ 

ขณะที่ผศ.ดร.เกษม เพ็ญภินันท์ ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิชาการซึ่งจบการศึกษาระดับปริญญาเอกจาก The New School for Social Research ซึ่ง World Policy Institute เคยสังกัดอยู่ ได้เขียนข้อความในเฟซบุคส่วนตัวเล่าถึงบทบาทสถาบันแห่งนี้  เว็บไซต์วอยซ์ทีวี ได้ขออนุญาต ผศ.ดร.เกษม ก่อนนำข้อเขียนดังกล่าวมาเผยแพร่เพื่อทำความเข้าใจบทบาทสถาบันนโยบายโลก

ในฐานะศิษย์เก่าจาก The New School for Social Research ซึ่ง World Policy Institute เคยสังกัดอยู่ก่อนที่จะแยกออกมาเป็นอิสระ สถาบันแห่งนี้มีอิทธิพลอย่างสูงในการกำหนดทิศทางนโยบายสาธารณะหนึ่งในตัวอย่างและประสบการณ์ของตนเองที่ The New School ก็คือ การนำเสนอทางออกเชิงนโยบายในการแก้ไขปัญหายุโรปตะวันออกในช่วงปลายทศวรรษ 1990 แก่รัฐบาลของ Clinton และทาง UN ในช่วงเวลานั้น คือการเปิดประเด็นความสัมพันธ์ระหว่าง democracy กับ diversity เพื่อระงับยับยั้งความรุนแรงที่เกิดขึ้นในภูมิภาคดังกล่าว กลุ่มคนที่ไปทำวิจัยไม่มีเพียง fellow ของสถาบัน หากยังรวมถึงบรรดาคณาจารย์และนักศึกษาของ New School ที่ไปทำ workshop กิจกรรมต่างๆ ในโปแลนด์ และนำมาประมวลออกมาเป็นข้อเสนอเชิงนโยบาย จนนำไปสู่การแก้ปัญหาจนลุล่วง

เมื่อ World Policy Institute แยกตัวออกมาเป็นสถาบันอิสระในปี 2007 สถาบันแห่งนี้ยังได้ขยายประเด็นใหม่ๆ ที่มีผลต่อทิศทางและอนาคตของโลก ในขณะเดียวกัน ก็ยังเชิญบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดทิศทางไปสัมภาษณ์อย่างต่อเนื่อง สถาบันแห่งนี้คงไม่เป็นข่าวในประเทศนี้หรอกถ้าไม่เชิญทักษิณไปสัมภาษณ์ 

นอกจากนี้ การเชิญทักษิณไปสัมภาษณ์ยิ่งตอกย้ำความสำคัญและบทบาทของเขาต่อทิศทางและเสถียรภาพของการเมืองในภูมิภาคนี้ ฉะนั้น การที่กลุ่ม กปปส. ออกมา discredit สถาบันแห่งนี้ เป็นเพราะการเชิญทักษิณหรือตัวสถาบันนั้น ไม่อาจทราบได้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ปัญหาการเมืองไทยในปัจจุบันไม่ใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นแค่ภายในประเทศ แต่ส่งผลต่อภูมิภาคนี้


ดอนซัดทักษิณจ้อแค่หมากัดคน


‘ดอน’ ขอสื่ออย่าไปสนใจ ‘ทักษิณ’ เหน็บแรง บอกแค่เรื่องหมากัดคน

ดอน


เมื่อวันที่ 10 มีนาคม ที่โรงแรมสยาม เคมปินสกี นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมกรอบความร่วมมือเอเชียถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวบรรยายในงานของสถาบันนโยบายโลก ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกาว่า คนของกระทรวงการต่างประเทศเห็นว่าควรมองข้ามบางเรื่องไปเพราะหากเราไปใส่ใจ จะทำให้เรื่องดีๆ ในประเทศของเราถูกมองข้ามไป เราจึงไม่อยากพูดถึงเรื่องที่เป็นปัญหา ขณะที่เรื่องที่เกี่ยวกับอนาคตของชาติและความแจ่มใสของบ้านเมือง ยังมีอีกหลายเรื่องราว ตนจึงไม่อยากให้เรื่องนี้มาบดบัง ซึ่งเรารู้ทั้งรู้ว่า เรื่องดังกล่าวเกิดจากอะไร และตนอยากให้เรื่องที่เกี่ยวกับอนาคตบ้านเมืองไปอยู่บนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์มากกว่า มิฉะนั้นประเทศเราจะไม่ไปไหน ยังวนอยู่กับปัญหา ขณะเดียวกัน สื่อมวลชนต่างประเทศจะนำไปฉายภาพในประเทศของเขาซึ่งไม่เป็นประโยชน์กับประเทศเรา จึงขอให้ทุกคนนำเสนอภาพที่ดีของไทยออกไปให้มากๆ
“เรื่องหมากัดคน จึงไม่ควรถูกนำไปลง แต่ผมไม่ได้พูดว่าใครกัดใคร พูดแต่เรื่องปกติสามัญ เรื่องดีๆ ของเราควรถูกนำไปเสนอ คนกัดหมาเป็นเรื่องใหญ่แต่มันก็ไม่ได้เกิด ดังนั้นเราไม่ได้พูดว่าใครเป็นอะไร อย่างไร แต่พูดในบริบทที่ว่าควรเอาเรื่องดีๆ ไปนำเสนอ เพื่อให้คนทั่วไปรับทราบ” นายดอน กล่าว
เมื่อถามว่า สิ่งที่นายทักษิณพูดจะนำไปสู่ความเข้าใจคลาดเคลื่อนหรือไม่ นายดอน กล่าวว่า ไม่อยากให้กลับมาเรื่องเดิมอีก โลกไม่ได้ล้อมประเทศไทย เพราะเรามีความสัมพันธ์อันดีกับนานาประเทศ มีการติดต่อกันทุกวงการ แต่บางครั้งสื่อไปเขียนแบบนั้น มันไม่ใช่ แต่มีคนไม่กี่คนที่ไปล้อมประเทศไทย จนเกิดประเด็นขึ้นมา

คำต่อคำ"ทักษิณ"พูดที่นิวยอร์ค

เมื่อวันที่ 10 มี.ค. เพจเฟซบุ๊ก Oak Panthongtae Shinawatra ของนายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายนายทักษิณ ชินวัตร โพสต์เนื้อหา ปาฐกถา ดร.ทักษิณ ชินวัตร 

ในงาน “สนทนาเป็นการส่วน ตัวกับทักษิณ ชินวัตร”  (Thaksin Shinawatra in Private Discussion) ณ สถาบันนโยบายโลก (World Policy Institute) 9 มี.ค. 2559, มหานครนิวยอร์ก ระบุว่า 
 


ท่านผู้ทรงเกียรติ แขกผู้มีเกียรติ ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ


 ผมต้องขอขอบคุณสถาบันนโยบายโลก (World Policy Institute) ที่ให้โอกาสผมได้มาร่วมบอกเล่าหลักคิดของผม และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเรื่องความท้าทายต่างๆ ซึ่งเกิดมาจากคําถามที่ว่า ประเทศไทยจะเดินหน้าและผ่านพ้น ช่วงแห่งความเปลี่ยนแปลงและระยะเปลี่ยนผ่านได้อย่างไร โดยเฉพาะในแง่มุมที่เชื่อมโยงกับด้านเศรษฐกิจ ภูมิภาค และโลกในบริบทปัจจุบัน


 พวกเราทุกคนคงทราบกันดีว่า ไม่มีสังคมใดในศตวรรษที่ 21 ที่จะสร้างความก้าวหน้าและความกินดีอยู่ดีให้แก่ ประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง หากสังคมคมนั้นขาดซึ่งหลักพื้นฐาน 2 ประการ
ประการที่หนึ่ง ได้แก่ ความมีเสถียรภาพทางการเมือง ประการที่สอง ได้แก่ ศักยภาพในการสร้างกิจกรรมทาง เศรษฐกิจ ซึ่งนําไปสู่การเจริญเติบโตของประเทศ และความพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงความสร้างสรรค์ให้กลายเป็น ความมั่งคั่งที่ต่อเนื่อง


 ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ


 ผมขออนุญาตเล่าถึง “เรื่องของสองนคร” ที่ไม่ได้ถูกเขียนขึ้นโดยชาร์ลส์ ดิกคินส์ เรื่องเล่านี้เกี่ยวกับการพัฒนาคู่ ขนานของกรุงวอชิงตัน ดีซี และปักกิ่ง ซึ่งแต่ละนครมีประวัติศาสตร์ ความทุกข์ และความชิงชังของตนเอง เมื่อ ระยะเวลาผ่านไปนานปี ทั้งสองนครถูกมองว่าเป็นคู่ปรับที่แข่งขันกันนําเสนอโมเดลการพัฒนาทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง


 โมเดลที่หนึ่ง ได้แก่ ระบบทุนนิยมตลาดเสรีซึ่งมีระบอบ “ประชาธิปไตยแบบเปิด” เป็นรากฐานของการพัฒนา เศรษฐกิจ อีกโมเดลหนึ่ง ได้แก่ ระบบทุนนิยมซึ่งนําโดยรัฐ (รูปแบบของสาธารณรัฐประชาชนจีน) ที่กํากับด้วย อํานาจศูนย์กลางจากพรรคเดียว


 ทั้งสองโมเดลได้รับการพิสูจน์ว่าสามารถนําไปปรับใช้จนประสบความสําเร็จจากอดีตจนถึงปัจจุบัน โดยโมเดลของ สาธารณรัฐประชาชนจีน เหมาะสมกับความเปลี่ยนแปลงทางด้านทัศนคติของคณะผู้นําในประเทศ ณ เวลาขณะนั้น ทั้งนี้ ความเปลี่ยนแปลงทางด้านทัศนคติดังกล่าว เกิดขึ้นพร้อมๆ กับความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจในโลก ตะวันตก ที่ “การค้าเสรี” ได้สร้างประโยชน์แก่สาธารณรัฐประชาชนจีนที่กําลังปรับตัว จากระบบตลาดปิด สู่ระบบ ตลาดเปิดครึ่งใบ


 อย่างไรก็ตาม เราคงต้องยอมรับว่าทั้งสองโมเดลจะต้องถูกปรับให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริงใหม่ ซึ่งเกิดขึ้น จากความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วทางด้านเทคโนโลยีการผลิตแบบอุตสาหกรรม จากรูปแบบ “การผลิตสินค้าใน ประเทศเดียว” สู่ “ระบบเครือข่ายการออกแบบ การสรรหาปัจจัยการผลิต และการผลิตที่มีลักษณะข้ามชาติ เพื่อ ที่จะนําสินค้าชิ้นหนึ่งๆ ออกสู่ตลาด” ความเปลี่ยนแปลงนี้ ได้กลับตาลปัตรโครงสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ภายในประเทศต่างๆ และส่งผลให้การปรับตัวทางเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนในอดีต


 พวกเรายังต้องทราบอีกว่าความก้าวหน้าของเทคนิคและเทคโนโลยีการบริหารความมั่งคั่งได้กลับตาลปัตร ความสัมพันธ์ระหว่างทุนและวิธีการผลิต ทั้งนี้ พวกเราทั้งหลายคงต่างเห็นพ้องกันว่า “สภาวะปกติใหม่ของโลกปัจจุบัน” (New Normal) จะเป็นภัยคุกคามต่อความอยู่รอดหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าคุณพร้อมและมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่
 ประเทศไทยก็ต้องเผชิญชะตากรรมเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับสภาวะปกติ ใหม่ในเวทีโลก


 ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ


 อีกเรื่องราวหนึ่งซึ่งเป็นที่กล่าวขานถึง คือ เรื่องเล่าเกี่ยวกับครูสอนภาษาอังกฤษในสาธารณรัฐประชาชนจีนผู้เคยยากจน แต่ปัจจุบันติดอันดับผู้ร่ำรวยที่สุดของโลก ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้สร้างโรงงานหรือลงทุนในปัจจัยการผลิตใด แต่ ผู้คนทั่วไปกลับยินดีจ่ายเพื่อใช้บริการของเขา เพื่อเข้าถึงโครงข่ายอุปทานและอุปสงค์ขนาดใหญ่ ผมเชื่อว่าชาวจีน คนนี้คงต้องรู้สึกขอบคุณระบบอินเทอร์เน็ตเป็นแน่


 ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ


 ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว รูปแบบทางการค้าได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสําคัญ คุณูปการจาก การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของประชากรที่เพิ่มสูงขึ้น ได้ ส่งผลให้อีคอมเมิร์ซกลายเป็นกลจักรใหม่ที่คอยส่งเสริมให้เกิดความเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่บ้างทั้งในประเทศพัฒนา แล้วและประเทศกําลังพัฒนา


 จากรายงานของการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) เมื่อปีที่ผ่านมา พบว่าการค้าอีคอมเมิร์ซประเภทธุรกิจกับธุรกิจ (B2B) ของโลกในปี พ.ศ. 2556 มีมูลค่ามากกว่า 15 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่อีคอมเมิร์ซประเภทธุรกิจกับผู้บริโภคของโลกยังคงอยู่ที่ระดับราว 1.2 ล้านล้าน ดอลลาร์สหรัฐ รูปแบบการค้าดังกล่าวกลับมีอัตราการขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย ซึ่งมีการประมาณการว่าอีคอมเมิร์ซประเภทธุรกิจกับผู้บริโภคจะขยายตัวจากระดับร้อยละ 20 สู่ระดับร้อยละ 37 ระหว่างปี พ.ศ. 2556 ถึง 2561 นอกจากนี้ การค้าอีคอมเมิร์ซข้ามแดนที่ค่อยๆ ขยายตัวขึ้น ยังส่งผลให้ปริมาณ การขนส่งพัสดุภัณฑ์ขนาดเล็กระหว่างประเทศของโลกเพิ่มมากขึ้นถึงร้อยละ 48 ระหว่างปี พ.ศ. 2554 ถึง 2557


 สําหรับภูมิภาคเอเชียและโลกตะวันตก ผมเชื่อว่าข้อมูลความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจดังกล่าวคือเค้าลางของ โอกาสการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจใหม่ ที่ “การเข้าถึงเครือข่าย” (Access to Network) คือหัวใจของ ความสําเร็จ โดยในที่นี้ หมายถึงเครือข่ายผู้บริโภคและปัจจัยการผลิตที่มีลักษณะข้ามชาติ แตกต่างออกไปจากรูปแบบเศรษฐกิจในศตวรรษที่ 20 ซึ่ง “การเข้าถึงศูนย์กลาง” (Access to Center) คือเงื่อนไขของความสําเร็จ


 ในปัจจุบัน นักธุรกิจผู้ไม่ได้เป็นเจ้าของโรงงานขนาดใหญ่หรือบรรษัทข้ามชาติ สามารถเข้าถึงลูกค้าจากทั่วทุกมุมโลก และตอบสนองความต้องการบริโภคสินค้าของพวกเขาได้ โดยการเข้าถึงเครือข่ายการผลิตและการกระจายสินค้าซึ่ง เกิดขึ้นได้ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารยุคใหม่ เศรษฐกิจในวันนี้กระจายตัวออกจากศูนย์กลางอํานาจเดิมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นควบคู่กับการกระจายตัวของการบริโภคและการผลิต พวกเราคงสามารถ จินตนาการได้ง่ายๆ ถึงสถานการณ์ที่นักธุรกิจชาวอเมริกันสามารถขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์โดยตรงให้แก่ผู้บริโภคในฝั่งตะวันตกของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยที่นักธุรกิจเหล่านั้นไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปทําธุรกรรมที่นครปักกิ่งหรือเซี่ยงไฮ้ ในทางตรงกันข้าม ผู้ผลิตชาวจีนสามารถขายสินค้าให้แก่ผู้บริโภคในแถบนิวอิงแลนด์และมิดแอตแลนติกของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยไม่ต้องผ่านนครนิวยอร์ก


 “เศรษฐกิจเครือข่าย” ได้ส่งเสริมให้ประชาชน ซึ่งประกอบธุรกิจขนาดเล็กและขนาดใหญ่ มีศักยภาพในการผลิตและเข้าถึงลูกค้าได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง พวกเราในฐานะประชาคมโลกต้องให้ความสําคัญเป็นพิเศษแก่การสรรหาวิถีทางให้ประเทศต่างๆ สามารถร่วมลงทุนและร่วมเสี่ยงกับประชาชน เพื่อสร้างแนวร่วมการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ


 ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ


อีกหนึ่งเรื่องเล่านั้นเกี่ยวข้องกับการเกิดใหม่ของถนนสายหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครสนใจมานานนับตั้งแต่โปรตุเกสได้ค้นพบ เส้นทางเดินเรือจากทวีปยุโรปสู่เอเชีย โปรตุเกสเคยได้นําเสนอเส้นทางการค้าใหม่ซึ่งสร้างผลกําไรเป็นกอบเป็นกํา จากกิจกรรมการเดินเรือขนสินค้า แม้บางครั้งสินค้าอาจเสียหายไปกว่าครึ่ง แต่ก็ไม่ได้ทําให้ใครขาดทุนจนล้มละลาย เพราะด้วยเหตุที่ว่าอุปสงค์ความต้องการเครื่องเทศในยุคดังกล่าวมีมาก จึงทําให้พ่อค้าเดินเรือสามารถตั้งราคาขายที่สูงลิบได้


ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ


การขนส่งสินค้าหนักทางเรือเป็นสิ่งที่พวกเราคุ้นชินจนถึงยุคปัจจุบัน ในขณะที่เส้นทางการค้าทางบกจากทวีปเอเชีย ไปยังยุโรปกลับถูกลืมเลือนไปเป็นเวลานาน หากเศรษฐกิจโลกยังคงเจริญรุ่งเรืองเช่นเดียวกับในอดีตที่อ้างว่า หอมหวน คนส่วนใหญ่คงไม่จําเป็นต้องคิดที่จะสรรหาทางเลือกในชีวิต แต่ด้วยเหตุที่สถานการณ์โลกปัจจุบันดูไม่สู้ดี นัก ผมจึงเชื่อว่าแต่ละประเทศควรที่จะพิจารณาถึงทุกๆ ความเป็นไปได้


ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ


ในปัจจุบัน ผมคิดว่ามียุทธศาสตร์ 2 ประการที่มีศักยภาพในการเร่งการเติบโตและยกระดับ “คุณภาพของการ เติบโตทางเศรษฐกิจ” ที่เกิดขึ้นจากระบบเศรษฐกิจเครือข่าย ประการที่หนึ่ง คือ ยุทธศาสตร์ “One Belt, One Road” (OBOR) หรือยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหมใหม่ที่นําโดยสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อพัฒนาความเชื่อมโยงด้านการคมนาคมและโลจิสติกส์ระหว่าง 60 ประเทศ ซึ่งมีรายได้ประชาชาติรวมกันคิดเป็นสัดส่วนราวร้อยละ 50 ของรายประชาชาติของโลก


 และยุทธศาสตร์อีกประการหนึ่ง คือ ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership, TPP) ที่นําโดยประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีประเทศเข้าร่วมเป็นสมาชิกแล้ว 12 ประเทศ มีรายได้ประชาชาติรวมกันมากกว่าร้อยละ 40 ของรายได้ประชาชาติของโลก ทั้งนี้ ผมไม่ได้มองว่า ยุทธศาสตร์ทั้งสองเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน แต่เป็นกระบวนการคู่ขนาน ซึ่งเมื่อถึงจุดหนึ่ง จะสร้างผลประโยชน์ทาง เศรษฐกิจร่วมให้แก่ทั้งภูมิภาคเอเชียและโลกตะวันตก


พวกเราคงต้องก้าวข้ามมุมมองแบบเหมารวมที่ว่า สาธารณรัฐประชาชนจีนและประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเพียงมหาอํานาจทางการเมืองซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ในสภาพความเป็นจริง พัฒนาการในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา น่าจะทําให้พวกเราได้เห็นถึงการพึ่งพากันทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ สาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นผู้ถือครองพันบัตรรัฐบาลสหรัฐรายใหญ่ที่สุดคิดเป็นมูลค่า 1.24 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สหรัฐอเมริกาถือเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีมูลค่าการค้ารวม (Total Trade) ที่ระดับ 5.21 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ การลงทุนโดยตรง (FDI) ของสหรัฐอเมริกาในสาธารณรัฐประชาชนจีนคิดเป็นมูลค่า 6.58 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่การลงทุนโดยตรงของสาธารณรัฐประชาชนจีนในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ระดับมูลค่า 1.19 หมื่นล้าน ดอลลาร์สหรัฐ


เมื่อพิจารณาถึงการพึ่งพากันทางเศรษฐกิจดังกล่าว ผมเชื่อว่าภูมิภาคเอเชีย ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ระหว่างยุทธศาสตร์การ พัฒนาอันสําคัญของสองมหาอํานาจทางเศรษฐกิจ ควรให้ความสําคัญแก่การขยายความร่วมมือเพื่อสร้างผล ประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกับประเทศคู่ค้าต่างๆ
 ภูมิศาสตร์การเมืองของภูมิภาคเอเชียแห่งศตวรรษที่ 21 ควรเป็น เรื่องของการส่งเสริมการสร้างเครือข่ายความมั่งคั่งให้แก่ประชาชนแบบระหว่างประเทศและระหว่างภูมิภาค


ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ


ผมขออนุญาตเล่าถึงนิทานเรื่องสุดท้ายเกี่ยวกับร้านอาหารไทย ซึ่งไม่ว่าหัวหน้าพ่อครัวจะพร่ำสอนลูกศิษย์ในอุปถัมภ์ของเขาอย่างไร ลูกศิษย์ก็กลับไม่สามารถผสมเครื่องปรุงได้ถูกต้อง ลูกค้าก็ถูกปล่อยปละให้นั่งรอจนหิวและหัวเสีย เมื่อลูกค้ากว่าครึ่งที่ได้รับประทานอาหาร ก็กลับต้องท้องร่วงตามๆ กันไป นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การเขียนตําราอาหารไว้เป็นลายลักษณ์อักษรให้ถูกต้องเป็นเรื่องสําคัญ


ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ


ในขณะที่หลายคนอาจเน้นย้ำถึงลักษณะเฉพาะที่แตกต่างออกไปของประเทศไทยในแง่มุมทางประวัติศาสตร์และทิศทางการพัฒนา ประเทศไทยคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงความท้าทายของโลกในศตวรรษที่ 21 ได้ ตลอดช่วงกว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยได้ถูกเชื่อมโยงเข้ากับเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่อง สัดส่วนมูลค่าการส่งออกต่อรายได้ประชาชาติของประเทศไทยและมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติในประเทศไทยได้แสดงให้พวกเราได้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางของเศรษฐกิจไทยที่เชื่อมโยงอย่างแน่นแฟ้นเข้ากับชะตากรรมของเศรษฐกิจโลก


เมื่อพิจารณาถึงบริบทดังกล่าว พวกเราควรพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประเทศไทยด้วยคําถามง่ายๆที่ว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดนี้จะช่วยส่งเสริมให้ประเทศสามารถเติบโตและแข็งแกร่งได้มากยิ่งขึ้นในภาวะโลกปัจจุบันหรือไม่ หรือกล่าวในอีกแง่หนึ่ง ร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวจะสามารถวางโครงสร้างพื้นฐานเชิงสถาบันที่ เพียงพอเพื่อการลงทุน การผลิต การสร้างความร่วมมือ และธุรกิจให้แก่ประเทศไทยได้หรือไม่


ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ


เมื่อพิจารณาถึงเค้าโครงของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มันคงเป็นไปได้ยากที่จะได้มาซึ่งรัฐบาลที่ตอบสนองต่อความ ต้องการของประชาชนและความท้าทายในศตวรษที่ 21 ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ ได้กําหนดให้วุฒิสภา ประกอบด้วยสมาชิกจํานวน 200 คนซึ่งจะถูกแต่งตั้งโดย “ผู้เชี่ยวชาญ” วุฒิสภาจะมีอํานาจมากยิ่งขึ้นในการยับยั้ง การออกพระราชบัญญัติต่างๆ ศาลรัฐธรรมนูญจะมีขอบเขตอํานาจในการตัดสินคดีที่มากยิ่งขึ้น ศาลรัฐธรรมนูญจะมีอํานาจในการไต่สวนและวินิจฉัยคดี เมื่อมีบุคคลใดก็ตามได้ดําเนินการร้องเรียน โดยไม่ได้มีเงื่อนไขที่ว่ากรณีดังกล่าวต้องเป็นข้อพิพาทจริงที่องค์กรทางการเมืองหรือศาลอื่นได้ดําเนินการยื่นเรื่องแก่ศาลรัฐธรรมนูญ


หากพวกเราคิดว่าหลักการแบ่งแยกอํานาจอธิปไตย คือรากฐานเพื่อการสร้างความเจริญเติบโตและเสถียรภาพของประเทศ หัวข้อสําคัญที่พวกเราต้องพิจารณาคงเป็นเรื่องที่ว่า อํานาจตุลาการจะล่วงล้ำอํานาจนิติบัญญัติและอํานาจบริหารหรือไม่ เพื่อให้รัฐบาลสามารถบริหารเศรษฐกิจของประเทศในยุคที่เศรษฐกิจโลกกําลังชะลอตัว ผมหวังว่า คงจะไม่มีการใช้อํานาจตุลาการที่เกินกว่าความจําเป็นอีกในอนาคต กรณีศึกษาในประเทศต่างๆ ได้แสดงให้พวกเราเห็นว่า การใช้อํานาจพิจารณาทบทวนโดยศาล (Judicial Review) โดยไม่ได้มีการถ่วงดุลและตรวจสอบ อาจกลาย เป็นการใช้อํานาจอย่างไม่เหมาะสมและเป็น “ยุทธวิธีเตะถ่วงงาน” จนสุดท้ายก่อให้เกิดอุปสรรคในการดําเนินนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ


ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ


ผมเชื่อว่ารากฐานของประเทศในการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและความเจริญรุ่งเรือง คือการสร้างความเชื่อถือในประชาคมโลก รัฐธรรมนูญควรยึดหลักนิติธรรมและปกป้องเสรีภาพในการแสดงออก โดยอย่างน้อยต้องเป็นไปตามมาตรฐานขั้นต่ำ เพื่ออํานวนความสะดวกและเกื้อหนุนให้เกิดความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประชาชนใน ประเทศกับประชาคมโลก การค้าและการลงทุนจะไม่สามารถเจริญงอกงามได้ หากไม่มีหลักนิติธรรม เพราะหลักนิติธรรมคือรากฐานของการสร้างความเชื่อมั่น


ในช่วงแห่งความเปลี่ยนแปลงและระยะเปลี่ยนผ่านนี้ ประเทศไทยต้องประเมินจุดแข็งและจุดอ่อนของตนเองเสีย ใหม่ และสรรหาวิถีทางที่สมเหตุสมผลเพื่อสร้างเสถียรภาพทางการเมืองและพลวัตรทางเศรษฐกิจ ผมเพียงแค่นํา เสนอถึงวิธีคิดและพิจารณาปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน

WPJแจงเชิญ"ทักษิณ"พูด

‘สถาบันนโยบายโลก’ แจงเหตุเชิญ ‘ทักษิณ’
by Sathit M.
10 มีนาคม 2559 เวลา 10:08 น.

วารสารของสถาบันนโยบายโลกออกถ้อยแถลง แจงเหตุผลเชิญ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ แสดงวิสัยทัศน์ที่นิวยอร์ก  ชี้อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นบุคคลทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่ มีบทบาทระดับโลก

หลังจากกลุ่มที่ใช้ชื่อว่า เครือข่ายคนไทยโพ้นทะเล เข้าชื่อคัดค้านกรณีหน่วยงานคลังปัญญา World Policy Institute ในนิวยอร์ก เชิญอดีตนายกรัฐมนตรีไทย ทักษิณ ชินวัตร ไปพูดในวันพุธที่ 9 มีนาคมตามเวลาท้องถิ่น วารสารนโยบายโลก (World Policy Journal) ออกถ้อยแถลงก่อนหน้าหนึ่งวัน ชี้แจงเหตุผลของการเชิญในครั้งนี้ โดยอธิบายถึงบทบาทสำคัญในแง่มุมต่างๆของแขกรับเชิญ

 
วารสาร WPJ ระบุว่า เมื่อเร็วๆนี้ ดร.ทักษิณออกมาวิจารณ์รัฐบาลทหารและร่างรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดของไทยโดยเปิดเผย แม้แต่ฝ่ายที่ต่อต้านยังยอมรับว่าเขามีบทบาทสูงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พรรคการเมืองที่สนับสนุนเขาชนะการเลือกตั้งทุกครั้งนับแต่ปี 2544 บนท้องถนนในกรุงเทพฯเกิดการชุมนุมหลายครั้ง ทั้งที่สนับสนุนและต่อต้านเขา

 
ถ้อยแถลงระบุอีกว่า ในโอกาสที่กลับมาแสดงบทบาทสาธารณะอีกครั้งหลังจากนิ่งเงียบเป็นเวลากว่าสองปี ดร.ทักษิณตอบรับที่จะพูดตามคำเชิญของสถาบันนโยบายโลก สิ่งที่เขาพูดนั้นมีคุณค่าเชิงข่าว และเผยให้เห็นวิสัยทัศน์ของหนึ่งในบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่

คณะบรรณาธิการของวารสาร กล่าวว่า การแสดงสุนทรพจน์ของดร.ทักษิณจะถูกบันทึกไว้และนำมารายงานต่อไป เวทีนี้ไม่ใช่การประชุมลับของชนชั้นนำที่บังเงา แต่เป็นการรับฟังและศึกษาบุคคลที่มีความสำคัญในระดับโลก

 ทางวารสารบอกว่า ในโอกาสนี้ ทีมงานยังจะสัมภาษณ์เปิดใจอดีตนายกรัฐมนตรีไทยในหลายประเด็นที่ฝ่ายต่อต้านเขาเอ่ยถึงในหนังสือคัดค้านดังกล่าวด้วย อาทิ การปราบปรามยาเสพติด ข้อหาคอร์รัปชั่นในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลน้องสาวของเขา ผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างธุรกิจของเขากับการประมูลต่างๆของรัฐ.

 Source: World Policy Journal

Photos:  AFP

ว่าด้วยการรุกเข้ามาของชาวจีน

การรุกคืบของจีนเริ่มขึ้นแล้ว ภัยที่ร้ายกว่าสงครามซึ่งๆหน้า จากพลังมหาศาลด้านทุนและพลเมืองของจีนที่สามารถจะเข้ามาควบคุมและเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปได้ทุกทางทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างรวดเร็วและเงียบๆ เพื่อนไทยควรที่จะรับรู้และตระหนักหาวิธีป้องกันก่อนที่ปัญหาจะลุกลามจนแก้ไขไม่ได้

ทุนจีนยึด เจียงฮาย กว้านซื้อที่ดิน ในทำเลทองของเมือง ไปเกือบหมดแล้วโดยผ่านระบบนอมินี โดยเฉพาะกลุ่มทุนสิงคโปร์ และทุนจีนได้เข้ามาซื้อที่ดิน เมืองชายแดนในอำเภอ แม่สาย เชียงแสน และเชียงของ ซึ่งในตอนนี้ เริ่มมีการก่อสร้างคลังสินค้าหลายแห่งแล้ว นอกจากนั้น ระบบการนำเข้าส่งออกสินค้า กลุ่มทุนจีนก็จะใช้บริการชิปปิ้ง ของทุนจีนด้วยกันเองเท่านั้น 

ตอนนี้ใครไปเชียงราย ก็จะพบเห็นชาวจีนหนาตาขึ้น ทั้งในรูปแบบนักท่องเที่ยว นักธุรกิจ และนักศึกษา เพราะมีการส่งบุตรหลาน เข้ามาเล่าเรียนในมหาวิทยาลัย แม่ฟ้าหลวง และมหาวิทยาลัยราชภัฏ เชียงรายหลายพันคน 

เป้าหมายชัดเจน คือ การเข้ามาศึกษาเพื่อที่จะ "ทำการค้าขาย-ทำธุรกิจ" ในเมืองไทย สอด คล้องกับนโยบาย ของรัฐบาลจีน ที่สนับสนุนให้พลเมืองจีน "ออกมา" ลงทุน ในต่างประเทศให้มากขึ้น ซึ่งประเทศไทย จัดอยู่ในเป้าหมาย อันดับต้น ๆ เพราะทำเลที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ เหมาะที่จะเป็นฐานการผลิต รุกสู่อาเซียนหลัง เปิด AEC 

นอกจากนี้ ทุนจีนยังรุกเงียบ กำเงินนับพันล้านบาท กว้านซื้อที่ดินทำเลดี ริมถนน R3A ทั้งฝั่งไทยฝั่งลาว ไล่ซื้อตั้งแต่ห้วยทราย ของลาวข้ามโขงมา ยังเชียงของ เชียงราย ทะลุถึงเชียงใหม่ ลำปาง เล็งเป้าทำโกดัง และศูนย์กระจายสินค้า ต่อยอดธุรกิจชักธงสู่อาเซียน ด้านเอกชน ชี้กระทบแน่ เหตุทุนจีนกระเป๋าหนักแถมต้นทุนต่ำ

นักธุรกิจพ่อค้าผลไม้ชาวจีน เข้ามามีบทบาท ในการควบคุมกลไก การค้าผลไม้ของไทย ชนิดที่แทบจะเรียกได้ว่า “ครบวงจร” เพราะนอกจาก จะยึดกุมปลายทาง ของทั้ง 2 ด้าน ผลไม้จากจีนนำเข้า มายังประเทศไทย ผ่านทางแม่น้ำโขง โดยกองเรือขนส่งสินค้าสัญชาติจีน มาขึ้นที่เชียงแสน ผ่านพิธีการศุลกากร โดยชิปปิ้งชาวจีน โดยมีพ่อค้าจีนคุม ลงมาส่งและกระจายสินค้า ด้วยนักธุรกิจจีนเองถึงตลาดไท

ในทางกลับกัน ผลไม้จากไทย ก็ถูกกว้านซื้อถึงสวน โดยกลุ่มพ่อค้าจีน ที่รวมตัวกันเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง ส่งขึ้นไปลงเรือสินค้าสัญชาติจีน ที่เชียงแสน ผ่านพิธีการศุลกากร จากชิปปิ้งชาวจีน เพื่อนำขึ้นไปขายต่อ ในจีนผ่านทางลำน้ำโขง

ผลประโยชน์ที่คนไทย มีส่วนได้ในกระบวนการเหล่านี้ มีเพียง 1. เจ้าของสวนที่สามารถขายผลไม้ จำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว แต่ในราคาที่ไม่สูงมากนัก 2. เจ้าของรถห้องเย็น หรือรถปิกอัพ ที่รับจ้างขนผลไม้ จากเชียงรายมายังตลาดไท และขนผลไม้ จากภาคตะวันออก ของไทยไปส่งที่ท่าเรือเชียงแสน

3. หญิงไทยที่รับจ้างแต่งงาน เพื่อใช้ชื่อออกหน้า ในการจัดการเรื่องธุรกิจ รูปแบบการทำธุรกิจลักษณะนี้ มิใช่มีเฉพาะแต่ผลไม้ จากภาคตะวันออกของไทย เท่านั้น แต่รวมถึง การค้าลำไยอบแห้งในภาคเหนือ ที่ระยะหลัง มีปัญหาราคาตกต่ำเกิดขึ้น ทุกปี เพราะทุกวันนี้ การกำหนดราคารับซื้อลำไย ล้วนอยู่ในมือ “พ่อค้าชาวจีน” กว่า 40 ราย ที่เข้ามาลงทุนทำ “ล้ง” ตามจังหวัดต่างๆ ที่เป็นแหล่งผลิตลำไย

การที่พ่อค้าจีนเหล่านี้ สามารถกำหนดราคา รับซื้อกันเองได้ชนิดวันต่อวัน เพราะคนกลุ่มนี้ เป็นผู้ผูกขาดซื้อล็อตใหญ่อยู่เพียงกลุ่มเดียว

ขณะที่สินค้าอื่นๆ ของไทย อาทิ พืชผักหลายชนิด ซึ่งเป็นที่ต้องการบริโภค ในจีน กลุ่มพ่อค้าจีน ก็ใช้วิธีการรวมกลุ่มกัน ไปจองซื้อถึงสวน ในจังหวัดนครปฐมและขนขึ้นไปส่ง ยังท่าเรือเชียงแสนเช่นกัน

ย่านห้วยขวาง และสุทธิสาร กำลังกลายเป็นชุมชน ที่พักอาศัยของชาวจีน แห่งใหม่ คล้ายคลึง กับเยาวราชเมื่อกว่า 100 ปีก่อน โดยอพาร์ตเมนต์แถบนี้ คลาคล่ำไปด้วยคนจีนที่มาพัก อาศัยอยู่กับภรรยาชาวไทย และตึกแถวริมถนนรัชดาภิเษก ช่วงสี่แยกตัดถนนสุทธิสาร มีแหล่งบันเทิง ที่เปิดขึ้นเพื่อต้อนรับลูกค้าชาวจีน โดยเฉพาะ

สิ่งที่น่าสนใจ การหลั่งไหลเข้ามาอาศัย อยู่ในประเทศไทยของ พ่อค้าชาวจีนเหล่านี้คือ คนกลุ่มนี้มิได้เข้ามา เพื่อหวังพึ่งพระบรมโพธิสมภาร เหมือนคนจีนที่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย เมื่อกว่า 100 ปีก่อน แต่เข้ามาเพื่อหวังดูแลการค้า และหวังได้ “กำไร” ขนกลับไปที่บ้าน 

คนจีนเข้าไทย รัฐบาลยังใจดี ยกเว้นวีซ่าให้อีก 
ประเทศไทย เป็นประเทศแรกในอาเซียนที่ตกลง การยกเว้นวีซ่าระหว่างกันกับจีน

วัฒนาอัดพ่อค้าอาวุธได้ดีบนความขีดแย้ง

วันนี้ (11 มีนาคม) นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความแสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กระบุถึงกรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายรัฐมนตรีได้รับเชิญไปพูดที่สหรัฐอเมริกา ระบุว่า

ผมเห็นปฏิกริยาของอีกฝ่ายที่แสดงออกมาเมื่อนายกทักษิณถูกเชิญให้ไปพูดที่ WPI แล้ว อดเป็นห่วงปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทยที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นไม่ได้ เรากำลังเป็นสังคมที่ขาดสติ แต่ที่น่ากลัวคือรัฐบาลกลับร่วมกับอีกฝ่ายทำให้ปัญหาความขัดแย้งบานปลายมากขึ้น

สิทธิในการพูดหรือการแสดงความคิดเห็น เป็นสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ที่สากลให้การยอมรับ ถึงแม้จะเป็นการพูดถึงประเทศไทยก็เป็นมุมมองของผู้พูด ยิ่งเมื่อพิจารณาว่านายกทักษิณถูกเชิญให้ไปแสดงวิสัยทัศน์ในนามส่วนตัว จึงเป็นสิทธิของท่านโดยแท้ที่ใครก็ก้าวล่วงไม่ได้ ส่วนความเห็นของท่านที่ว่า “ความก้าวหน้าและความอยู่ดีกินดีของประชาชน อยู่ที่ความมีเสถียรภาพทางการเมือง และศักยภาพในการสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศ” ก็เป็นการพูดบนหลักการเดียวกันกับที่ประชาคมโลกไม่ว่าจะเป็นสหรัฐหรือสหภาพยุโรปเคยมีความเห็น หากสิ่งที่นายกทักษิณพูดออกมาไม่ถูกต้อง ผลเสียย่อมจะตกแก่ท่านเองโดยประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน รัฐบาลหรือผู้มีส่วนได้เสียยังมีสิทธิที่จะชี้แจงได้ในภายหลัง รัฐบาลจึงไม่ควรกลัวความจริง เพราะหากทำดีมีผลงานแล้วไม่ว่าใครจะพูดจาอย่างไร ย่อมจะโยกคลอนศรัทธาของประชาชนไม่ได้

สิ่งที่รัฐบาลควรทำคือการลดความขัดแย้งด้วยการทำตัวเป็นกลาง แต่การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ออกมาแสดงความเห็นสนับสนุนฝ่ายที่คัดค้านนายกทักษิณ คือการที่รัฐบาลกำลังเลือกข้างทำให้ความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้น ซึ่งก็คงเป็นทางเดียวที่จะทำให้รัฐบาลและพรรคพวกที่สนับสนุนมีอำนาจ เพราะเมื่อใดก็ตามที่คนไทยรักใคร่ปรองดองต่อกัน คนพวกนี้จะไม่มีที่ยืนในสังคม พวกเค้าจึงพยายามสุมไฟความขัดแย้งให้เกิดขึ้นตลอดเวลา โดยไม่เคยเห็นหัวประชาชน ไม่เคยออกมาต่อสู้เพื่อสิทธิของคนส่วนใหญ่ แต่จะวางเฉยหรือสะใจเมื่อเห็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน พวกเค้าสนับสนุนและเห็นด้วยกับการยึดอำนาจและควบคุมอำนาจของประชาชนไว้ให้นานที่สุด โดยมีข้ออ้างคือคนไทยยังทะเลาะกันทั้งที่พวกเค้าเองเป็นฝ่ายก่อและขยายผล คนเหล่านี้คือพ่อค้าอาวุธที่ได้ดิบได้ดีเพราะการที่คนไทยทะเลาะกัน แล้วทำไมคนไทยยังยอมให้คนเหล่านี้มีที่ยืนในสังคมอีก

นิยายชีวิต"ธาริตเพ็งดิษฐ์"

“ธาริต เพ็งดิษฐ์” เคยเปรียบเปรยชะตากรรมชีวิตตัวเองในขณะนี้ว่า เหมือนกำลังมีคนเขียนเรื่องราวชีวิตของตน ให้มีบทสุดท้ายคือการถูกเชือด เพื่อเป็นตัวอย่างไม่ให้ข้าราชการคนอื่นๆ “ทำแบบธาริตมัน” 

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ ที่มาภาพ : http://www.bangkokpost.com/news/general/532991/nacc-impounds-b40-9m-assets-of-tarit-and-wife

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่มาภาพ: http://www.bangkokpost.com/news/general/532991/nacc-impounds-b40-9m-assets-of-tarit-and-wife

นับแต่ คสช. ยึดอำนาจการปกครองประเทศจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทย มาเกือบ 11 เดือนเต็ม ชื่อของธาริตก็ปรากฏเป็นข่าวใหญ่เพียง 2 ครั้ง

ครั้งแรก – เมื่อถูกย้ายออกจากตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้ไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี หรือที่ภาษาข่าวเรียกว่า “ย้ายเข้ากรุ”

ครั้งที่ 2 – เมื่อปรากฎตัวที่รัฐสภา ยื่นเอกสารขอสมัครเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม แต่สุดท้ายก็ไม่ได้รับเลือก

หลังจากนั้น ชื่อของธาริตก็ค่อยๆ หายไปจากหน้าสื่อ จนกระทั่งที่ประชุม ป.ป.ช. มีมติให้อายัดทรัพย์สินของเขาและภรรยา “วรรษมล เพ็งดิษฐ์” ทั้งเงินฝาก บ้าน ที่ดิน รถยนต์ และทรัพย์สินในตู้เซฟนิรภัย รวมมูลค่ากว่า 40 ล้านบาท หลังพบว่ามีพฤติการณ์ยักย้าย-ซุกซ่อน เพื่อหลบหนีการตรวจสอบในคดีที่ถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติ ชื่อของธาริตจึงได้กลับมาปรากฏบนหน้า 1 อีกครั้ง

ชีวิตของธาริต หากจะว่าไปก็โลดโผนโจนทะยาน แทบไม่ต่างกับการนั่งกระดานหก

คือขึ้นสูงสุดได้เพียงชั่วครู ก็ต้องตกลงต่ำอีกครั้ง

จากเด็กบ้านนอก จ.ชัยนาท เคยมีชื่อเดิมว่า “เบญจ” ที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำตั้งให้ เพราะเป็นลูกคนที่ 5 เข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กระทั่งจบการศึกษาระดับปริญญาตรี จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ สอนหนังสือที่สถาบันเก่าของตัวเองอยู่พักใหญ่ ก่อนสอบเข้ารับราชการในสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) เมื่อปี 2533 และพบรักกับวรรษมล ซึ่งเป็นนักกฎหมายเหมือนกันในระหว่างนั้น

เมื่ออายุ 35 จึงเปลี่ยนชื่อเป็น “ธาริต” ตามความเชื่อในตำราโหราศาสตร์

เส้นทางราชการของอัยการหนุ่มรายนี้ก้าวหน้าตามลำดับ ถึงขั้นถูกดึงไปเป็นหน้าห้องของผู้บริหารสูงสุดขององค์กรอัยการ ร่วมกับ “กิตติพงษ์ กิตยารักษ์” อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม สมัยที่ “คณิต ณ นคร” เป็น อสส.

คณิตเคยเอ่ยปากชมธาริต ว่าเป็นคนรอบคอบ ให้รับผิดชอบอะไรก็จะดูแลอย่างดี เป็นทั้งคนเก่งและคนดี ทำงานด้วยแล้วสบายใจ

ธาริตเริ่มเข้าไปข้องแวะกับฝ่ายการเมือง สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย เมื่อถูก “หมอมิ้ง” นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ชักชวนให้มาทำงานที่สำนักนายกรัฐมนตรี โดยเข้าไปเป็นทีมงานของ พันศักดิ์ วิญญรัตน์ ที่ปรึกษาใหญ่ของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีผู้มากบารมี

มีส่วนในการยกร่างกฎหมายและจัดตั้งดีเอสไอ ก่อนถูกโอนย้ายไปเป็นรองอธิบดีดีเอสไอ ในสมัยที่ “พล.ต.ท. นพดล สมบูรณ์ทรัพย์” เป็นอธิบดีคนแรก ชีวิตการทำงานเหมือนรุ่งโรจน์ ได้เป็นซี 9 หลังเข้ารับราชการเพียง 15 ปี

แต่เมื่อ “พล.ต.อ. สมบัติ อมรวิวัฒน์” มาเป็นอธิบดี พร้อมตำรวจที่พาเหรดเข้ายึดดีเอสไอ 4 ปีหลังจากนั้น ธาริตก็ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาทำงานด้านวิชาการอย่างเงียบๆ

ต่อมา เขาก็เข้าไปมีส่วนในการยกร่างกฎหมายจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ก่อนได้รับเลือกให้เป็นเลขาธิการ ป.ป.ท. คนแรก ในปี 2551 สมัยรัฐบาลพรรคพลังประชาชน ขณะนั้นอธิบดีดีเอสไอมีชื่อว่า “พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง”

เมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้ว พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ขึ้นมาเป็นรัฐบาล มีการย้าย พ.ต.อ. ทวี ซึ่งถูกมองว่าใกล้ชิดกับตระกูลชินวัตรออกจากตำแหน่ง แล้วโยกธาริตที่มีผลงานโดดเด่นในฐานะเลขาฯ ป.ป.ท. ทั้งคดีซานดิก้าผับ คดีทุจริตนมโรงเรียน คดีกองทุนบำเหน็จบำนาญราชการ ด้วยสไตล์การทำงานแบบกล้าชน ถึงลูกถึงคน ให้เข้ามาเป็น “อธิบดีดีเอสไอ” ด้วยวัยเพียง 50 ปี

อันถือเป็นการก้าวไปสู่ตำแหน่ง ที่ทั้งสร้างชื่อเสียงและวิบากกรรมให้กับชีวิตของธาริต

ในปี 2553 เมื่อมีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ขึ้นมาควบคุมการชุมนุมของคนเสื้อแดง บทบาทของธาริตก็ยิ่งโดดเด่น ทั้งในฐานะทีมโฆษก ศอฉ. ร่วมกับ “ไก่อู” พ.อ. สรรเสริญ แก้วกำเนิด และในฐานะอธิบดีดีเอสไอ ผู้เดินหน้าทำคดีกล่าวหาผู้ชุมนุมอย่างไม่ลดละ โดยเฉพาะคดีก่อการร้าย ที่ทำสำนวนส่งฟ้องศาลได้อย่างรวดเร็ว เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.2542/2553

ความโดดเด่นของธาริต เป็นสาเหตุทำให้ถูกฝ่ายพรรคเพื่อไทย (พท.)-คนเสื้อแดง ตรวจสอบอย่างหนัก ทั้งเรื่องการทำงานและเรื่องส่วนตัว โดยเฉพาะกรณีที่ “จตุพร พรหมพันธุ์” แกนนำคนเสื้อแดง ออกมาเปิดเผยเรื่องเสี่ยใหญ่โอนเงิน 1.5 แสนบาท เข้าบัญชีของภรรยาธาริต อ้างว่าเป็นเงินค่าตอบแทนในการเลี่ยงภาษี แต่เขาตอบโต้ว่าเป็นเพียงค่าบริการให้คำปรึกษาทางกฎหมาย

เมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้วอีกครั้ง ในปี 2554 ท่ามกลางคำประกาศว่า จะย้ายธาริตพ้นตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอภายใน 24 ชั่วโมง จากขุนพลของ พท. คนสำคัญ อย่าง “ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง”

ทว่า ตลอด 2 ปี 9 เดือนเศษ ที่ พท. เป็นรัฐบาล คนชื่อธาริตไม่เพียงยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม ยังได้ต่ออายุราชการ หลังดำรงตำแหน่งครบวาระ 4 ปี ในปี 2556

หลายคนมองว่า การที่เขายังอยู่ในตำแหน่งเดิมได้ เพราะความแข็งขันในการดำเนินคดีกับฝ่ายค้านรัฐบาล พท.-อย่างสมาชิก ปชป. ทั้งคดีต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าบีทีเอส คดีทุจริตก่อสร้างโรงพักทดแทน 396 แห่งทั่วประเทศ คดีสั่งสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ฯลฯ ขณะที่คดีของคนฝ่ายรัฐบาล กลับมีการยกฟ้องอย่างต่อเนื่อง ทั้งคดีผังล้มเจ้า คดีกระสุนพระราชทาน ฯลฯ เป็นเหตุให้ดูโจมตีว่า เมื่อเปลี่ยนรัฐบาล ธาริตก็ “เปลี่ยนสี” ซึ่งเจ้าตัวก็ปฏิเสธพร้อมชี้แจงว่า

“ข้าราชการพลเรือนมีหน้าที่ปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาล หากไม่ปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาลจะมีความผิดทางวินัย นี่เป็นกฎหมายของประเทศที่ผมต้องเคารพและปฏิบัติตาม

“ช่วงรัฐบาล ปชป. บริหารประเทศ ปชป. เลือกนโยบายการบังคับใช้กฎหมายแบบเด็ดขาด ซึ่งส่วนตัวผมเห็นว่าถูกต้อง เพราะความขัดแย้งขณะนั้น ถ้าไม่เด็ดขาดเกมก็ไม่จบ ก็จะเกิดการรบกันมากมาย ความสูญเสียอาจจะมากกว่าที่เห็นพันเท่า แต่เมื่อ พท. เข้ามาจัดตั้งรัฐบาล แล้ว พท. เลือกนโยบายการปรองดอง ผมก็เห็นด้วยอีกเช่นกันว่านโยบายของรัฐบาลชุดนี้ถูกต้อง ผมในฐานะผู้นำองค์กรก็ต้องปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล ในสถานการณ์ที่ต่างกัน

“นี่คือความจริงที่ต้องยอมรับ เพราะประเทศนี้วางกติกาว่า ฝ่ายการเมืองเป็นฝ่ายบริหาร ฝ่ายข้าราชการประจำเป็นฝ่ายปฏิบัติ ข้าราชการประจำคือเครื่องมือของฝ่ายการเมือง เมื่อกติกาของบ้านเมืองเราและกฎหมายเป็นเช่นนี้ เราก็ต้องปฏิบัติตามนี้“

ระหว่างการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. เพื่อขับไล่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกฯ ปลายปี 2556 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2557 ทั้งธาริตและดีเอสไอกลายเป็นเป้าในการปิดล้อม-ขับไล่ กระทั่งบ้านภรรยาธาริตซึ่งซื้อไว้ที่เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เพื่อทำโฮมสเตย์ ก็ถูกตรวจสอบว่าอาจรุกล้ำพื้นที่ป่าสงวน จนต้องยอมรื้อบ้านบางหลัง และคืนที่ดินบางส่วนให้กับราชการ

เมื่อ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ประกาศกฎอัยการศึก ช่วงตีสามของวันที่ 20 พฤษภาคม 2557 เขายังถูก “บิ๊กตู่” กล่าวตำหนิกลางที่ประชุมหัวหน้าส่วนราชการ

และเพียง 48 ชั่วโมง หลัง คสช. ยึดอำนาจ ก็มีคำสั่ง คสช. ที่ 8/2557 ย้ายพ้นจากตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอ หลังนั่งอยู่บนเก้าอี้นี้ ถึง 4 ปี 7 เดือนเศษ …นานที่สุดในประวัติศาสตร์ดีเอสไอ

ชีวิตของธาริตหลัง คสช. เรืองอำนาจ ส่วนใหญ่จะหมดไปกับการขึ้นศาล เพื่อต่อสู้ 26 คดีความ ที่เขาเป็นทั้งโจทก์และจำเลย

“เราไม่ต้องพูดถึงความแฟร์อะไรนะ แต่ผมอยากจะกระตุ้นเตือนความคิดนิดหนึ่งว่า สิ่งที่มันกำลังเกิดขึ้นกับผมในขณะนี้ กำลังเกิดขึ้นกับข้าราชการประจำคนหนึ่ง ที่ตั้งใจ และทุ่มเทการทำงานตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย จากผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ ต่อไปจะมีข้าราชการประจำคนไหนกล้าที่จะมาทำงานกันไหม”

“ตอนนี้ผมคงไม่ทำอะไร ต้องรับชะตากรรมไป เพราะชีวิตข้าราชการประจำมันถูกกำหนดมาแบบนี้ ผมไม่ได้มีพรรคการเมืองอะไรสังกัด จะไปสู้รบปรบมือกับใครได้ แต่ตอนนี้เรื่องมันเริ่มขยายตัวไปแล้ว กลายเป็นว่า ไม่ใช่ผมคนเดียวที่ต้องมาเจออะไรไม่ดี ใครที่เกี่ยวข้องกับผม มีนามสกุลเพ็งดิษฐ์ ซวยกันหมด”

“สถานการณ์ปัจจุบัน ดูเหมือนกำลังมีคนเขียนเรื่องขึ้นมาเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องราวของผม ที่กำลังจะโดนตัดโดนเชือด เป็นตัวอย่างให้ดูว่าอย่าไปทำแบบนี้นะ อย่าไปทำแบบธาริตมันนะ ทั้งที่ผมทำงานตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา ผมทำงานตามหน้าที่ของผม”

เป็นถ้อยคำระบายความในใจ-ไม่ใช่ขอความเห็นใจ จากข้าราชการคนหนึ่งที่ยืนยันมาตลอดว่า ตนได้ทำสิ่งที่ถูกต้องทั้งตามบทบาทและกฎหมาย

แต่ช่วงเวลา 3 ปีก่อนเกษียณอายุราชการ นอกจากมองไม่เห็นอนาคตในการงาน ยังต้องวุ่นไปกับการต่อสู้สารพัดคดีความ

และนี่คือนิยายชีวิตของ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีดีเอสไอผู้มากด้วยสีสัน แต่เลือกบทสรุปของตัวเองไม่ได้.

จีนน่ากลัวกว่าที่คิด

จีนน่ากลัวกว่าที่คิด

Jariya Jira
8 มีนาคม เวลา 20:56 น. · 

ยาว..แต่ควรอ่านอย่างยิ่ง 
***เพื่อนส่งมาให้ทางไลน์

https://www.facebook.com/somkiat.osotsapa/posts/1050893518299994

ความสัมพันธ์ ไทย จีน > ระวังมังกรงาบ #สถานทูตจีนและรัฐบาลต้องอ่าน
วันนี้ขอฉายภาพรวมว่าจีนคิดอะไรกับไทยก่อนนะครับ มองภาพใหญ่ออก รัฐบาลจะได้้ตัดสินใจว่าจะต้องทำอะไรบ้าง วิธีที่จะจัดการปัญหาจะตามมาในตอนต่อไป
--------------------------------------

ย้อนไปตั้งแต่ปี 2535 ที่จีนมาขอเชื่อมต่อกับไทย

หนื่ง จะผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงขายให้ไทย เดินสายไฟผ่านลาวเข้าภาคเหนือ

สอง ขอเดินเรือจากจีนมาไทย ทางแม่น้ำโขง มาขื้นท่าที่จังหวัดเชียงราย

สาม จะทำรถไฟผ่านลาวมาไทย ก็แนวเดียวกับที่พูดเรื่องรถไฟความเร็วสูงตอนนี้ จะขนคนจีนมาไทย รวมถืงถนนเชื่อมไทยจีน ผ่านลาว และพม่าเพื่อให้คนเดินทางมาค้าขาย

ตอนนั้นนายกประยุทธติดยศพลตรี ขื้นรับตำแหน่งดูแลทหารเสือราชินีที่เมืองชล นายทหาร คสช ยุคนี้ตอนนั้นก็ยศราวนี้ คุมกำลังหน่วยรบ ที่พูดถืงเพื่อจะบอกว่าในยุคนั้นได้มีการศืกษา วิจัยในการเชื่อมไทยกับจีนอย่างเข้มข้นมาก ซีเรียสมากในระดับนโยบาย เพราะมองเห็นอันตรายหลายอย่าง เรื่องใหญ่แบบนี้จะนั่งมโนมันไม่ได้ ต้องศืกษา
-------------------------------------------------

@
ผมเดินทางดูชายแดนจีนที่ต่อกับลาว ที่ต่อกับพม่า ข้ามมาพม่า ดูชายแดนพม่าที่ต่อกับจีน เข้าลาวดูชายแดนลาวที่ต่อกับจีน ในยุคที่เวียดนามยังแต่งชุดดำกันอยู่ ขื้นเหนือสุดไปดูทางรถไฟเวียดนาม จีน แล้วยังไปพม่าเขตรัฐยะไข่ที่ต่อกับจีนของพม่าด้วย ก็เขตโรฮิงยานั่นแหละครับ ทำมาตั้งแต่ 24 ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมยังหนุ่มฟิตปื๋งปั๋ง แล้วเขียนรายงาน เดินสายบอกเล่าทุกภาคส่วน ส่วนไหนบ้างไม่บอก 55

เรื่องนี้ทำให้ได้คุยกับต่างชาติเยอะมาก มาขอเจอเยอะ ให้สัมภาษณ์ลงข่าวหนังสือพิมพ์ พูดทีวีไปเยอะ เพื่อนผมบางคนมาบอกว่า ถ้ามืงเงียบโคกับฝ่ายจีน มืงจะรวยมาก ผมบอกว่าไม่ได้ งานนี้ประเทศไทยพังแน่นอน โดนยืดแน่ แม่งมีเป็นพันล้านคนมาสักร้อยล้าน ประเทศไทย ก็ไม่เหลือแล้ว ลูกหลานจะอยู่กันอย่างไร ส่งคืนคนอพยพ เขาจะยกทัพมาลุย หาว่ารังแกคนของเขา จะเกิดสงคราม เสียเวลาชีวิตไป 5 ปี บอกเล่าเรื่องราวจนรู้กันทั้งประเทศ
รุ่นนี้คงไม่รู้กันแล้ว จะเข้าใจปัจจุบัน ต้องรู้ความเป็นมา ตอนหลังมโนไม่ติดดินกันมาก แล้วดูว่าผลเป็นอย่างไรตอนนี้ เงียบอมตุ่ยกันเป็นแถว

การต่อสู้กับล้อบบี้อิสท์ คนที่จะได้ผลประโยชน์ พวกค้าคนนี่ เหนื่อยมาก เสี่ยงตาย เสียเงินตัวเองด้วย พวกค้ายาชายแดนก็เอาเรื่อง แต่ก็มันดีนะ นอนค่ายทหารพม่าหลายค่าย คุยกับผู้นำพรรคคอมของเวียดนาม ลาว ผู้นำของเขมร เห็นประเทศที่ยังไม่เปิด ใครไม่เคยไป ทำอะไรจะผิด เรื่องพวกนี้ต้องเดินดิน
+++++++++++++++

ที่เวียดนาม

คนจีนเป็นล้านเข้าไปในเวียดนามตอนเหนือ รัฐบาลเวียดนามกลัวมาก ขอให้กลับไม่กลับ จีนส่งทัพลุยหาว่ารังแกพลเมือง รบกัน ตอนนี้กลับไปแล้ว เส้นทางรถไฟช่วยให้จีนขนสินค้าราคาถูก มาดัมพ์ใส่ตลาดเวียดนาม อุตสาหกรรมของเวียดนามพังเรียบ รวมถืงผู้ผลิตรายย่อยด้วย จนตอนนี้ต้องอาศัยต่างชาติลงทุนอย่างเดียว

วิธีการนี้ใช้กับอียู เหมือนกัน ส่งของขื้นท่าที่เมืองเจนัว อิตาลี กองทัพมดที่นั่นลำเลียงจากเรือขื้นหมด การจ่ายเข้าคลังศุลกากรไม่ทันตรวจ ระบบโควต้าอะไร ไม่ได้ใช้ อียูพังเหมือนกัน วิธีนี้ใช้แถวอาฟริกาหลายประเทศ การดัมพ์ราคาสินค้า ขายตัดราคาคนพื้นเมืองทำในทุกประเทศ จนผมสงสัยว่ามันคือยุทธศาสตร์ชาติเชิงรุกของจีนในทุกที่ รายย่อยเจ๊งเรียบ

การจ่ายเงินเจ้าหน้าที่ทำเป็นปกติ กฏหมาย ระบบศุลกากร ภาษีใช้ไม่ได้ในทุกประเทศ ขนาดว่าเวียดนามผลิตของได้ถูก จีนยังส่งสินค้าเกษตรไปตัดราคา วิธีของเขาคือทำให้เจ้าเก่าพื้นเมืองเจ๊ง ไล่ออกจากตลาด แล้วเข้าควบคุม ที่ดินเกษตรก็เอา 

แล้ววันหนื่ง ความสัมพันธ์จีนกับเวียดนามดีขื้น จีนส่งนักท่องเที่ยวเข้าไปเยอะมาก เวียดนามบูม ธุรกิจท่องเที่ยวของจีนก็ทำแบบที่ไทยนี่แหละ มีรถเอง ที่พักเอง ซื้อของร้านตัวเอง คนเวียดนามไม่ได้อะไร คนจีนเข้าไปทำธุรกิจ SME แข่งตามตลาด ไม่รู้เอาทุนมาจากไหน เวียดนามไม่พอใจ คนเวียดนามเดินขบวน ขอให้หยุด ทะเลาะกัน เรื่องดินแดน เกาะผสมเข้ามา จีนใช้วิธีไม่ส่งนักท่องเที่ยวไป เวียดนามพังไปหลายปี สายการบินเจ๊ง เพิ่งฟื้นตอนโรงงานจากไทยย้ายฐานไปนี่แหละ เวียดนามหันไปอยู่กับอเมริกา แต่จีนยังส่งออกผ่านโควต้าเวียดนาม ลาว กัมพูชาเยอะ ต่อไปจะเป็นไทย
คุ้นๆมั้ยครับ
-------------

ลาว

ลาวพื่งพาจีนยาวนานตั้งแต่สงครามกับอเมริกา คนจีนจืงถือโอกาสเข้าไปอยู่ในเมืองตอนเหนือของลาว 5 เมืองเต็มไปหมด เศรษฐกิจอยู่ในมือคนจีน คนลาวเป็นแรงงาน ทำไร่ ไถนา เหมือนกับคนไทยลื้อที่จีนี่เข้าคุมสิบสองปันนาเปี๊ยบ สูตรของจีนคือ เมื่อมีช่องว่างจะเดินหมากส่งคนเข้ายืดถาวร นายกจีนเยือนลาวที ก็ขอที่ดินดื้อๆทีละล้านไร่ ปลูกของส่งไปขายเมืองจีน ขอที่ดินไปเยอะมาก รัฐบาลออกกฏด้วยว่า จะซื้อยางต้องซื้อของคนจีนก่อน 90% ผัก ผลไม้ที่นำเข้าจากไทยเอาไปปลูกเรียบที่นั่น

คนที่จะทำทางรถไฟเชื่อมจีน ช่วยบอกทีว่าจะส่งอะไรไปขายได้บ้าง ตอนนี้จีนมาลงทุนอันดับหนื่งในลาว ทำลอจิสติกส์จะส่งของมาไทย อะไรที่ดินไทยผลิตได้ จีนผลิตเรียบ ต้นทุนถูกกว่า การขอที่ดินฟรีนี่ ยังกับการเก็บเครื่องราชบรรณาการ คนไทยนี่แฟร์กับลาวที่สุด คนลาวจืงชอบคนไทย บอกไทยว่าช่วยไปคานจีนให้หน่อย

ตอนนี้ลาวตัดสินใจปฏิเสธแล้ว ไม่เอารถไฟจีน เพราะมีรถไฟเมื่อใด แม่งยืดตลอดแนวทุกเมืองเลย คุยกับจีนต้องตรงๆ สมัยโน้นก็ใส่ตรงๆ พูดสถานการณ์ให้ฟังยังงี้แหละ มันก็ยิ้มแล้วกลับไป ยังชมผมเลยว่ายูนี่รักชาติ น่านับถือ

ใครนั่งขี้อาย ไม่รักษาประโยชน์ชาติ จีนจะนืกในใจว่าคนขายชาติ55 55 55
พวกที่ปรืกษาฝ่ายการเมืองที่ทำล้อบบี้ยิสท์ให้จีน เบาๆหน่อยนะ
-------------------------

พม่า

พม่าโดนบอยคอตไปพื่งจีน หัวเมืองด้านเหนือจีนเข้าไปขนทรัพยากรปีละ 30000 ล้านเหรีญไปร่วม 50 ปีแล้ว เป็นเงินเท่าใด ทั้งไม้สัก หยก ของป่า สัตว์ป่า พลอย ทองคำ แร่ต่างๆ คนจีนอพยพเข้าพม่าเยอะมาก แล้วยังสนับสนุนสร้างโรงงานผลิตอาวุธให้ว้า ทั้งคอปเตอร์ อาก้า ปืนครก ว้าก็ผลิตยามาขายไทยเอาไปซื้ออาวุธจีน มันโยงกันนะ รัฐบาลจีนไม่รู้เหรอ ว้าพื่งจีน ก็ดูแลพื้นที่ให้จีนซีครับ พม่ายังรบชิงดินแดนคืนเลย ทหารพม่าตายไปเยอะ
ตอนนี้ยังแกะไม่ออกเลย
------------------------

ย้อนกลับไปปี 2535 สมัยผมยังหนุ่ม ไทยบอกว่าจะเดินเรือตามแม่น้ำโขงมาก็ได้ แต่เราต้องรักษาความปลอดภัยของเส้นทางไว้ จืงมีกองเรือตรวจการแม่น้ำโขงไงครับ เรียก นปข เรือจีนน่ะ ทหารเรือเขาคุม เส้นทางรถไฟถ้าเชื่อมกับไทย ลาว ทหารเขาจะบริหาร นี่คือกฏของเขา รู้กันบ้างไหม ขุ่ย
ทางรถไฟไปถืงไหน ทหารจีนไปถืงนั่น เกิดสงครามกับอเมริกาเมื่อใด จะโดนบอมบ์ไปด้วย จะเป็นเส้นทางลำเลียงทหารและอาวุธเข้าไทย ลาว เชื่อมไป เขมร ประเทศไทยกลายเป็นสมรภูมิซีครับโดนยืดหมดทั้งอีสานและกรุงเทพ
อยู่สบายๆไม่ชอบ เวร ตอนนั้นไทยบอกว่าจะมาก็นั่งเครื่องบินมา เปิดกงสุลทำวีซ่า เปิดสายการบินเรื่องจบ

ไฟฟ้า ไทยบอกผลิตที่ลาวดีกว่า แค่นี้เอง บริษัทไทยจะได้ทำงานบ้าง ไปซื้อจีน บริษัทไทย ช การช่างไม่เกิด ซื้อจีนเมื่อใดเขาขู่ตัดไฟเรา แน่ ไม่เสี่ยง
-------------------

รักษาประเทศมาได้ร่วมยี่สิบกว่าปี ฝรั่งยังเขียนชมเลยว่าไทยเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์กับจีนดีมาก เชื่อมกัน โดยไม่มีพรมแดนและการเชื่อมถนน รถไฟ ค้าขายรุ่งเรือง ไทยได้ดุลการค้าคนไทยไม่โดนแย่งงาน ประเทศไม่โดนยืด

ตอนนี้เดินหมากพลาดนะ ควรทำได้ดีกว่านี้
เมื่อเห็นพรรคประชาธิปัตย์ดี๊ด๊า จะทำรถไฟกับจีน ผมก็สงสัยว่าใครคิดวะ เมิงเคยไปเดินสำรวจมาเหรอ เสื่อมมาก พรรคเพื่อไทยจะทำ ถามว่าขนอะไร บอกจะได้ซื้อกะหล่ำปลีจีน พ่อง กะหล่ะเนี่ยต้องสงวนให้คนไทย เขาปลูกกันทุกจังหวัดอยู่แล้ว
--------------------

-ขอบคุณเพื่อนเพจทุกคนนะครับ ข้อมูลที่ได้มาคงทำให้ทุกคนในรัฐบาลตาสว่าง ไม่รู้ไม่ผิด แต่รู้แล้ว ยังทำ ผิดมาก

คนจีนนั้นพร้อมจะอพยพเข้าไทยเป็นร้อยล้านคน รัฐบาลจีนเพิ่งประกาศให้ประชาชนรายย่อยเอาเงินไปลงทุนอยูทำกินในต่างประเทศคนละ 5-6 ล้าน แบงค์จีนให้กู้ด้วย รายเล็กเข้ามาแข่ง ไทยตายแน่ เขาเล็งเป้าให้คนจีนเข้าไทย ช่วงนี้คือนาทีทองของจีน
-----------

รัฐบาลไม่กล้าพูด ผมพูดให้ทูตจีนฟังก็ได้ ตอนนี้ทางจีนมาเกาะเพจแล้ว ต้องแสดงความไม่พอใจให้รู้ จะได้คบกันได้นานๆ แก้ไขซะ บอกบริษัทที่ขนคนเข้ามา บอกรัฐบาลจีน สถานทูตทำได้ ผมรู้มีคนไทยที่จีนซื้อไม่ได้ และรักชาติมากที่เพจนี้ นี่คือความชั่วร้ายที่สถานทูตจีนต้องช่วยกันแก้ไข อ่านข้อมูลที่คนไทยส่งมาได้เลย

พวกเรา ...ไม่โง่ ไม่เงิน ตอนที่จีนยื่นข้อเสนอเมื่อ 24 ปีที่แล้ว ผมหิ้วมาเองครับ รู้ดีมาก ถ้าสถานทูตจีนไม่แก้ไข จีนจะเสียหายมากทางยุทธศาสตร์ และความมั่นคงระยะยาวครับ

คุณดูแลผลประโยชน์ประเทศได้ แต่อย่ามาคิดยืดประเทศไทย
แต่ผมก็รักประเทศจีนนะ ทูตจีนรู้ข้อมูลแล้วช่วยแก้ไขกันเถอะ
ตอนฝรั่งไปยืดจีน คนจีนยังไม่ชอบเลย จริงไหม พูดกันตรงๆนี่แหละ
+++++++++++++++++

ช่วยไลน์ ทวิตเตอร์ บอกคสช และคนไทยหน่อยนะ"