PR
วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2559
จับ มาเฟีย เซ็นต์ MOU ให้วางมือ
บิ๊กป้อม เตือน "ทักษิณ" ควรอยู่นิ่งๆ ถามควรพูดหรือไม่ ยันไม่มีผลต่อการทำงานของรัฐบาล-คสช.
ส่วนการที่ ทักษิณ ออกมา อาจเป็นการส่งสัญญาณ ให้มีการออกมาต่อต้าน ร่างรธน.หรือไม่ พลเอกประวิตร กล่าวว่า ไม่ต้องออกมาหรอก ถ้าไม่เห็นด้วย ก็ไปลงประชามติ ว่า ไม่เห็นด้วย
บิ๊กป้อม ยัน เสนอ สว.สรรหา เป็นกุญแจ ไขประเทศ ออกจากปัญหา
บิ๊กปัอม เผย ตำรวจ อาจจะพูดคุยกับ "พล ร อ.พะจุณณ์" ที่ขอให้ทบทวน ข้อกล่าวหา
เปิดหน้าเล่นกันแล้ว?
"บิ๊กป้อม" สั่งรัสเซียโมเดล รปภ.กลาโหมอีก ปิดประตูหน้าให้ "อัตราจอมพล" ใช้เท่านั้น
ทั้งนี้ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร กล่าวถึงเรื่องการจัดระเบียบการดูแลรักษาความปลอดภัยกระทรวงกลาโหมใหม่ว่า จะมีการจัดมาตรการรักษาความปลอดภัยทั้งหมดในทุกพื้นที่ ไม่ใช่เฉพาะในส่วนของกระทรวงกลาโหมเพียงกระทรวงเดียวแต่จะดำเนินการทุกกระทรวง ซึ่งตนได้เน้นย้ำในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีไปแล้ว เนื่องจากเราต้องระมัดระวัง เพราะที่ผ่านมาหลายประเทศยังเกิดเหตุระเบิด
นักวิชาการเล่าถึง WPI สถาบันที่เชิญ ‘ทักษิณ’
นักวิชาการเล่าถึง WPI สถาบันที่เชิญ ‘ทักษิณ’ หลังถูกดิสเครดิต
ผศ.ดร.เกษม เพ็ญภินันท์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าถึงบทบาทสถาบัน World Policy Institute (สถาบันนโยบายโลก) ซึ่งเชิญ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปบรรยาย
จากกรณีที่ World Policy Institute (สถาบันนโยบายโลก) เชิญ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปบรรยาย “สนทนาเป็นการส่วนตัวกับทักษิณ ชินวัตร” (Thaksin Shinawatra in Private Discussion) ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 9 มีนาคา 2559 โดยกลุ่มต่อต้านอดีตนายกรัฐมนตรีผู้นี้ พยายามจะบอกว่าสถาบัน WPI ซึ่งเชิญดร.ทักษิณ เป็นสถาบันไร้อันดับ
ขณะที่ผศ.ดร.เกษม เพ็ญภินันท์ ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิชาการซึ่งจบการศึกษาระดับปริญญาเอกจาก The New School for Social Research ซึ่ง World Policy Institute เคยสังกัดอยู่ ได้เขียนข้อความในเฟซบุคส่วนตัวเล่าถึงบทบาทสถาบันแห่งนี้ เว็บไซต์วอยซ์ทีวี ได้ขออนุญาต ผศ.ดร.เกษม ก่อนนำข้อเขียนดังกล่าวมาเผยแพร่เพื่อทำความเข้าใจบทบาทสถาบันนโยบายโลก
ในฐานะศิษย์เก่าจาก The New School for Social Research ซึ่ง World Policy Institute เคยสังกัดอยู่ก่อนที่จะแยกออกมาเป็นอิสระ สถาบันแห่งนี้มีอิทธิพลอย่างสูงในการกำหนดทิศทางนโยบายสาธารณะหนึ่งในตัวอย่างและประสบการณ์ของตนเองที่ The New School ก็คือ การนำเสนอทางออกเชิงนโยบายในการแก้ไขปัญหายุโรปตะวันออกในช่วงปลายทศวรรษ 1990 แก่รัฐบาลของ Clinton และทาง UN ในช่วงเวลานั้น คือการเปิดประเด็นความสัมพันธ์ระหว่าง democracy กับ diversity เพื่อระงับยับยั้งความรุนแรงที่เกิดขึ้นในภูมิภาคดังกล่าว กลุ่มคนที่ไปทำวิจัยไม่มีเพียง fellow ของสถาบัน หากยังรวมถึงบรรดาคณาจารย์และนักศึกษาของ New School ที่ไปทำ workshop กิจกรรมต่างๆ ในโปแลนด์ และนำมาประมวลออกมาเป็นข้อเสนอเชิงนโยบาย จนนำไปสู่การแก้ปัญหาจนลุล่วง
เมื่อ World Policy Institute แยกตัวออกมาเป็นสถาบันอิสระในปี 2007 สถาบันแห่งนี้ยังได้ขยายประเด็นใหม่ๆ ที่มีผลต่อทิศทางและอนาคตของโลก ในขณะเดียวกัน ก็ยังเชิญบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดทิศทางไปสัมภาษณ์อย่างต่อเนื่อง สถาบันแห่งนี้คงไม่เป็นข่าวในประเทศนี้หรอกถ้าไม่เชิญทักษิณไปสัมภาษณ์
นอกจากนี้ การเชิญทักษิณไปสัมภาษณ์ยิ่งตอกย้ำความสำคัญและบทบาทของเขาต่อทิศทางและเสถียรภาพของการเมืองในภูมิภาคนี้ ฉะนั้น การที่กลุ่ม กปปส. ออกมา discredit สถาบันแห่งนี้ เป็นเพราะการเชิญทักษิณหรือตัวสถาบันนั้น ไม่อาจทราบได้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ปัญหาการเมืองไทยในปัจจุบันไม่ใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นแค่ภายในประเทศ แต่ส่งผลต่อภูมิภาคนี้
ดอนซัดทักษิณจ้อแค่หมากัดคน
‘ดอน’ ขอสื่ออย่าไปสนใจ ‘ทักษิณ’ เหน็บแรง บอกแค่เรื่องหมากัดคน
คำต่อคำ"ทักษิณ"พูดที่นิวยอร์ค
เมื่อวันที่ 10 มี.ค. เพจเฟซบุ๊ก Oak Panthongtae Shinawatra ของนายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายนายทักษิณ ชินวัตร โพสต์เนื้อหา ปาฐกถา ดร.ทักษิณ ชินวัตร
ในงาน “สนทนาเป็นการส่วน ตัวกับทักษิณ ชินวัตร” (Thaksin Shinawatra in Private Discussion) ณ สถาบันนโยบายโลก (World Policy Institute) 9 มี.ค. 2559, มหานครนิวยอร์ก ระบุว่า
ท่านผู้ทรงเกียรติ แขกผู้มีเกียรติ ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ
ผมต้องขอขอบคุณสถาบันนโยบายโลก (World Policy Institute) ที่ให้โอกาสผมได้มาร่วมบอกเล่าหลักคิดของผม และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเรื่องความท้าทายต่างๆ ซึ่งเกิดมาจากคําถามที่ว่า ประเทศไทยจะเดินหน้าและผ่านพ้น ช่วงแห่งความเปลี่ยนแปลงและระยะเปลี่ยนผ่านได้อย่างไร โดยเฉพาะในแง่มุมที่เชื่อมโยงกับด้านเศรษฐกิจ ภูมิภาค และโลกในบริบทปัจจุบัน
พวกเราทุกคนคงทราบกันดีว่า ไม่มีสังคมใดในศตวรรษที่ 21 ที่จะสร้างความก้าวหน้าและความกินดีอยู่ดีให้แก่ ประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง หากสังคมคมนั้นขาดซึ่งหลักพื้นฐาน 2 ประการ
ประการที่หนึ่ง ได้แก่ ความมีเสถียรภาพทางการเมือง ประการที่สอง ได้แก่ ศักยภาพในการสร้างกิจกรรมทาง เศรษฐกิจ ซึ่งนําไปสู่การเจริญเติบโตของประเทศ และความพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงความสร้างสรรค์ให้กลายเป็น ความมั่งคั่งที่ต่อเนื่อง
ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ
ผมขออนุญาตเล่าถึง “เรื่องของสองนคร” ที่ไม่ได้ถูกเขียนขึ้นโดยชาร์ลส์ ดิกคินส์ เรื่องเล่านี้เกี่ยวกับการพัฒนาคู่ ขนานของกรุงวอชิงตัน ดีซี และปักกิ่ง ซึ่งแต่ละนครมีประวัติศาสตร์ ความทุกข์ และความชิงชังของตนเอง เมื่อ ระยะเวลาผ่านไปนานปี ทั้งสองนครถูกมองว่าเป็นคู่ปรับที่แข่งขันกันนําเสนอโมเดลการพัฒนาทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง
โมเดลที่หนึ่ง ได้แก่ ระบบทุนนิยมตลาดเสรีซึ่งมีระบอบ “ประชาธิปไตยแบบเปิด” เป็นรากฐานของการพัฒนา เศรษฐกิจ อีกโมเดลหนึ่ง ได้แก่ ระบบทุนนิยมซึ่งนําโดยรัฐ (รูปแบบของสาธารณรัฐประชาชนจีน) ที่กํากับด้วย อํานาจศูนย์กลางจากพรรคเดียว
ทั้งสองโมเดลได้รับการพิสูจน์ว่าสามารถนําไปปรับใช้จนประสบความสําเร็จจากอดีตจนถึงปัจจุบัน โดยโมเดลของ สาธารณรัฐประชาชนจีน เหมาะสมกับความเปลี่ยนแปลงทางด้านทัศนคติของคณะผู้นําในประเทศ ณ เวลาขณะนั้น ทั้งนี้ ความเปลี่ยนแปลงทางด้านทัศนคติดังกล่าว เกิดขึ้นพร้อมๆ กับความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจในโลก ตะวันตก ที่ “การค้าเสรี” ได้สร้างประโยชน์แก่สาธารณรัฐประชาชนจีนที่กําลังปรับตัว จากระบบตลาดปิด สู่ระบบ ตลาดเปิดครึ่งใบ
อย่างไรก็ตาม เราคงต้องยอมรับว่าทั้งสองโมเดลจะต้องถูกปรับให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริงใหม่ ซึ่งเกิดขึ้น จากความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วทางด้านเทคโนโลยีการผลิตแบบอุตสาหกรรม จากรูปแบบ “การผลิตสินค้าใน ประเทศเดียว” สู่ “ระบบเครือข่ายการออกแบบ การสรรหาปัจจัยการผลิต และการผลิตที่มีลักษณะข้ามชาติ เพื่อ ที่จะนําสินค้าชิ้นหนึ่งๆ ออกสู่ตลาด” ความเปลี่ยนแปลงนี้ ได้กลับตาลปัตรโครงสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ภายในประเทศต่างๆ และส่งผลให้การปรับตัวทางเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนในอดีต
พวกเรายังต้องทราบอีกว่าความก้าวหน้าของเทคนิคและเทคโนโลยีการบริหารความมั่งคั่งได้กลับตาลปัตร ความสัมพันธ์ระหว่างทุนและวิธีการผลิต ทั้งนี้ พวกเราทั้งหลายคงต่างเห็นพ้องกันว่า “สภาวะปกติใหม่ของโลกปัจจุบัน” (New Normal) จะเป็นภัยคุกคามต่อความอยู่รอดหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าคุณพร้อมและมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่
ประเทศไทยก็ต้องเผชิญชะตากรรมเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับสภาวะปกติ ใหม่ในเวทีโลก
ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ
อีกเรื่องราวหนึ่งซึ่งเป็นที่กล่าวขานถึง คือ เรื่องเล่าเกี่ยวกับครูสอนภาษาอังกฤษในสาธารณรัฐประชาชนจีนผู้เคยยากจน แต่ปัจจุบันติดอันดับผู้ร่ำรวยที่สุดของโลก ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้สร้างโรงงานหรือลงทุนในปัจจัยการผลิตใด แต่ ผู้คนทั่วไปกลับยินดีจ่ายเพื่อใช้บริการของเขา เพื่อเข้าถึงโครงข่ายอุปทานและอุปสงค์ขนาดใหญ่ ผมเชื่อว่าชาวจีน คนนี้คงต้องรู้สึกขอบคุณระบบอินเทอร์เน็ตเป็นแน่
ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ
ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว รูปแบบทางการค้าได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสําคัญ คุณูปการจาก การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของประชากรที่เพิ่มสูงขึ้น ได้ ส่งผลให้อีคอมเมิร์ซกลายเป็นกลจักรใหม่ที่คอยส่งเสริมให้เกิดความเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่บ้างทั้งในประเทศพัฒนา แล้วและประเทศกําลังพัฒนา
จากรายงานของการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) เมื่อปีที่ผ่านมา พบว่าการค้าอีคอมเมิร์ซประเภทธุรกิจกับธุรกิจ (B2B) ของโลกในปี พ.ศ. 2556 มีมูลค่ามากกว่า 15 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่อีคอมเมิร์ซประเภทธุรกิจกับผู้บริโภคของโลกยังคงอยู่ที่ระดับราว 1.2 ล้านล้าน ดอลลาร์สหรัฐ รูปแบบการค้าดังกล่าวกลับมีอัตราการขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย ซึ่งมีการประมาณการว่าอีคอมเมิร์ซประเภทธุรกิจกับผู้บริโภคจะขยายตัวจากระดับร้อยละ 20 สู่ระดับร้อยละ 37 ระหว่างปี พ.ศ. 2556 ถึง 2561 นอกจากนี้ การค้าอีคอมเมิร์ซข้ามแดนที่ค่อยๆ ขยายตัวขึ้น ยังส่งผลให้ปริมาณ การขนส่งพัสดุภัณฑ์ขนาดเล็กระหว่างประเทศของโลกเพิ่มมากขึ้นถึงร้อยละ 48 ระหว่างปี พ.ศ. 2554 ถึง 2557
สําหรับภูมิภาคเอเชียและโลกตะวันตก ผมเชื่อว่าข้อมูลความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจดังกล่าวคือเค้าลางของ โอกาสการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจใหม่ ที่ “การเข้าถึงเครือข่าย” (Access to Network) คือหัวใจของ ความสําเร็จ โดยในที่นี้ หมายถึงเครือข่ายผู้บริโภคและปัจจัยการผลิตที่มีลักษณะข้ามชาติ แตกต่างออกไปจากรูปแบบเศรษฐกิจในศตวรรษที่ 20 ซึ่ง “การเข้าถึงศูนย์กลาง” (Access to Center) คือเงื่อนไขของความสําเร็จ
ในปัจจุบัน นักธุรกิจผู้ไม่ได้เป็นเจ้าของโรงงานขนาดใหญ่หรือบรรษัทข้ามชาติ สามารถเข้าถึงลูกค้าจากทั่วทุกมุมโลก และตอบสนองความต้องการบริโภคสินค้าของพวกเขาได้ โดยการเข้าถึงเครือข่ายการผลิตและการกระจายสินค้าซึ่ง เกิดขึ้นได้ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารยุคใหม่ เศรษฐกิจในวันนี้กระจายตัวออกจากศูนย์กลางอํานาจเดิมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นควบคู่กับการกระจายตัวของการบริโภคและการผลิต พวกเราคงสามารถ จินตนาการได้ง่ายๆ ถึงสถานการณ์ที่นักธุรกิจชาวอเมริกันสามารถขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์โดยตรงให้แก่ผู้บริโภคในฝั่งตะวันตกของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยที่นักธุรกิจเหล่านั้นไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปทําธุรกรรมที่นครปักกิ่งหรือเซี่ยงไฮ้ ในทางตรงกันข้าม ผู้ผลิตชาวจีนสามารถขายสินค้าให้แก่ผู้บริโภคในแถบนิวอิงแลนด์และมิดแอตแลนติกของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยไม่ต้องผ่านนครนิวยอร์ก
“เศรษฐกิจเครือข่าย” ได้ส่งเสริมให้ประชาชน ซึ่งประกอบธุรกิจขนาดเล็กและขนาดใหญ่ มีศักยภาพในการผลิตและเข้าถึงลูกค้าได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง พวกเราในฐานะประชาคมโลกต้องให้ความสําคัญเป็นพิเศษแก่การสรรหาวิถีทางให้ประเทศต่างๆ สามารถร่วมลงทุนและร่วมเสี่ยงกับประชาชน เพื่อสร้างแนวร่วมการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ
อีกหนึ่งเรื่องเล่านั้นเกี่ยวข้องกับการเกิดใหม่ของถนนสายหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครสนใจมานานนับตั้งแต่โปรตุเกสได้ค้นพบ เส้นทางเดินเรือจากทวีปยุโรปสู่เอเชีย โปรตุเกสเคยได้นําเสนอเส้นทางการค้าใหม่ซึ่งสร้างผลกําไรเป็นกอบเป็นกํา จากกิจกรรมการเดินเรือขนสินค้า แม้บางครั้งสินค้าอาจเสียหายไปกว่าครึ่ง แต่ก็ไม่ได้ทําให้ใครขาดทุนจนล้มละลาย เพราะด้วยเหตุที่ว่าอุปสงค์ความต้องการเครื่องเทศในยุคดังกล่าวมีมาก จึงทําให้พ่อค้าเดินเรือสามารถตั้งราคาขายที่สูงลิบได้
ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ
การขนส่งสินค้าหนักทางเรือเป็นสิ่งที่พวกเราคุ้นชินจนถึงยุคปัจจุบัน ในขณะที่เส้นทางการค้าทางบกจากทวีปเอเชีย ไปยังยุโรปกลับถูกลืมเลือนไปเป็นเวลานาน หากเศรษฐกิจโลกยังคงเจริญรุ่งเรืองเช่นเดียวกับในอดีตที่อ้างว่า หอมหวน คนส่วนใหญ่คงไม่จําเป็นต้องคิดที่จะสรรหาทางเลือกในชีวิต แต่ด้วยเหตุที่สถานการณ์โลกปัจจุบันดูไม่สู้ดี นัก ผมจึงเชื่อว่าแต่ละประเทศควรที่จะพิจารณาถึงทุกๆ ความเป็นไปได้
ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ
ในปัจจุบัน ผมคิดว่ามียุทธศาสตร์ 2 ประการที่มีศักยภาพในการเร่งการเติบโตและยกระดับ “คุณภาพของการ เติบโตทางเศรษฐกิจ” ที่เกิดขึ้นจากระบบเศรษฐกิจเครือข่าย ประการที่หนึ่ง คือ ยุทธศาสตร์ “One Belt, One Road” (OBOR) หรือยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหมใหม่ที่นําโดยสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อพัฒนาความเชื่อมโยงด้านการคมนาคมและโลจิสติกส์ระหว่าง 60 ประเทศ ซึ่งมีรายได้ประชาชาติรวมกันคิดเป็นสัดส่วนราวร้อยละ 50 ของรายประชาชาติของโลก
และยุทธศาสตร์อีกประการหนึ่ง คือ ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership, TPP) ที่นําโดยประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีประเทศเข้าร่วมเป็นสมาชิกแล้ว 12 ประเทศ มีรายได้ประชาชาติรวมกันมากกว่าร้อยละ 40 ของรายได้ประชาชาติของโลก ทั้งนี้ ผมไม่ได้มองว่า ยุทธศาสตร์ทั้งสองเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน แต่เป็นกระบวนการคู่ขนาน ซึ่งเมื่อถึงจุดหนึ่ง จะสร้างผลประโยชน์ทาง เศรษฐกิจร่วมให้แก่ทั้งภูมิภาคเอเชียและโลกตะวันตก
พวกเราคงต้องก้าวข้ามมุมมองแบบเหมารวมที่ว่า สาธารณรัฐประชาชนจีนและประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเพียงมหาอํานาจทางการเมืองซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ในสภาพความเป็นจริง พัฒนาการในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา น่าจะทําให้พวกเราได้เห็นถึงการพึ่งพากันทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ สาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นผู้ถือครองพันบัตรรัฐบาลสหรัฐรายใหญ่ที่สุดคิดเป็นมูลค่า 1.24 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สหรัฐอเมริกาถือเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีมูลค่าการค้ารวม (Total Trade) ที่ระดับ 5.21 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ การลงทุนโดยตรง (FDI) ของสหรัฐอเมริกาในสาธารณรัฐประชาชนจีนคิดเป็นมูลค่า 6.58 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่การลงทุนโดยตรงของสาธารณรัฐประชาชนจีนในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ระดับมูลค่า 1.19 หมื่นล้าน ดอลลาร์สหรัฐ
เมื่อพิจารณาถึงการพึ่งพากันทางเศรษฐกิจดังกล่าว ผมเชื่อว่าภูมิภาคเอเชีย ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ระหว่างยุทธศาสตร์การ พัฒนาอันสําคัญของสองมหาอํานาจทางเศรษฐกิจ ควรให้ความสําคัญแก่การขยายความร่วมมือเพื่อสร้างผล ประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกับประเทศคู่ค้าต่างๆ
ภูมิศาสตร์การเมืองของภูมิภาคเอเชียแห่งศตวรรษที่ 21 ควรเป็น เรื่องของการส่งเสริมการสร้างเครือข่ายความมั่งคั่งให้แก่ประชาชนแบบระหว่างประเทศและระหว่างภูมิภาค
ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ
ผมขออนุญาตเล่าถึงนิทานเรื่องสุดท้ายเกี่ยวกับร้านอาหารไทย ซึ่งไม่ว่าหัวหน้าพ่อครัวจะพร่ำสอนลูกศิษย์ในอุปถัมภ์ของเขาอย่างไร ลูกศิษย์ก็กลับไม่สามารถผสมเครื่องปรุงได้ถูกต้อง ลูกค้าก็ถูกปล่อยปละให้นั่งรอจนหิวและหัวเสีย เมื่อลูกค้ากว่าครึ่งที่ได้รับประทานอาหาร ก็กลับต้องท้องร่วงตามๆ กันไป นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การเขียนตําราอาหารไว้เป็นลายลักษณ์อักษรให้ถูกต้องเป็นเรื่องสําคัญ
ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ
ในขณะที่หลายคนอาจเน้นย้ำถึงลักษณะเฉพาะที่แตกต่างออกไปของประเทศไทยในแง่มุมทางประวัติศาสตร์และทิศทางการพัฒนา ประเทศไทยคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงความท้าทายของโลกในศตวรรษที่ 21 ได้ ตลอดช่วงกว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยได้ถูกเชื่อมโยงเข้ากับเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่อง สัดส่วนมูลค่าการส่งออกต่อรายได้ประชาชาติของประเทศไทยและมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติในประเทศไทยได้แสดงให้พวกเราได้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางของเศรษฐกิจไทยที่เชื่อมโยงอย่างแน่นแฟ้นเข้ากับชะตากรรมของเศรษฐกิจโลก
เมื่อพิจารณาถึงบริบทดังกล่าว พวกเราควรพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประเทศไทยด้วยคําถามง่ายๆที่ว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดนี้จะช่วยส่งเสริมให้ประเทศสามารถเติบโตและแข็งแกร่งได้มากยิ่งขึ้นในภาวะโลกปัจจุบันหรือไม่ หรือกล่าวในอีกแง่หนึ่ง ร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวจะสามารถวางโครงสร้างพื้นฐานเชิงสถาบันที่ เพียงพอเพื่อการลงทุน การผลิต การสร้างความร่วมมือ และธุรกิจให้แก่ประเทศไทยได้หรือไม่
ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ
เมื่อพิจารณาถึงเค้าโครงของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มันคงเป็นไปได้ยากที่จะได้มาซึ่งรัฐบาลที่ตอบสนองต่อความ ต้องการของประชาชนและความท้าทายในศตวรษที่ 21 ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ ได้กําหนดให้วุฒิสภา ประกอบด้วยสมาชิกจํานวน 200 คนซึ่งจะถูกแต่งตั้งโดย “ผู้เชี่ยวชาญ” วุฒิสภาจะมีอํานาจมากยิ่งขึ้นในการยับยั้ง การออกพระราชบัญญัติต่างๆ ศาลรัฐธรรมนูญจะมีขอบเขตอํานาจในการตัดสินคดีที่มากยิ่งขึ้น ศาลรัฐธรรมนูญจะมีอํานาจในการไต่สวนและวินิจฉัยคดี เมื่อมีบุคคลใดก็ตามได้ดําเนินการร้องเรียน โดยไม่ได้มีเงื่อนไขที่ว่ากรณีดังกล่าวต้องเป็นข้อพิพาทจริงที่องค์กรทางการเมืองหรือศาลอื่นได้ดําเนินการยื่นเรื่องแก่ศาลรัฐธรรมนูญ
หากพวกเราคิดว่าหลักการแบ่งแยกอํานาจอธิปไตย คือรากฐานเพื่อการสร้างความเจริญเติบโตและเสถียรภาพของประเทศ หัวข้อสําคัญที่พวกเราต้องพิจารณาคงเป็นเรื่องที่ว่า อํานาจตุลาการจะล่วงล้ำอํานาจนิติบัญญัติและอํานาจบริหารหรือไม่ เพื่อให้รัฐบาลสามารถบริหารเศรษฐกิจของประเทศในยุคที่เศรษฐกิจโลกกําลังชะลอตัว ผมหวังว่า คงจะไม่มีการใช้อํานาจตุลาการที่เกินกว่าความจําเป็นอีกในอนาคต กรณีศึกษาในประเทศต่างๆ ได้แสดงให้พวกเราเห็นว่า การใช้อํานาจพิจารณาทบทวนโดยศาล (Judicial Review) โดยไม่ได้มีการถ่วงดุลและตรวจสอบ อาจกลาย เป็นการใช้อํานาจอย่างไม่เหมาะสมและเป็น “ยุทธวิธีเตะถ่วงงาน” จนสุดท้ายก่อให้เกิดอุปสรรคในการดําเนินนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ
ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ
ผมเชื่อว่ารากฐานของประเทศในการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและความเจริญรุ่งเรือง คือการสร้างความเชื่อถือในประชาคมโลก รัฐธรรมนูญควรยึดหลักนิติธรรมและปกป้องเสรีภาพในการแสดงออก โดยอย่างน้อยต้องเป็นไปตามมาตรฐานขั้นต่ำ เพื่ออํานวนความสะดวกและเกื้อหนุนให้เกิดความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประชาชนใน ประเทศกับประชาคมโลก การค้าและการลงทุนจะไม่สามารถเจริญงอกงามได้ หากไม่มีหลักนิติธรรม เพราะหลักนิติธรรมคือรากฐานของการสร้างความเชื่อมั่น
ในช่วงแห่งความเปลี่ยนแปลงและระยะเปลี่ยนผ่านนี้ ประเทศไทยต้องประเมินจุดแข็งและจุดอ่อนของตนเองเสีย ใหม่ และสรรหาวิถีทางที่สมเหตุสมผลเพื่อสร้างเสถียรภาพทางการเมืองและพลวัตรทางเศรษฐกิจ ผมเพียงแค่นํา เสนอถึงวิธีคิดและพิจารณาปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน
WPJแจงเชิญ"ทักษิณ"พูด
ว่าด้วยการรุกเข้ามาของชาวจีน
วัฒนาอัดพ่อค้าอาวุธได้ดีบนความขีดแย้ง
วันนี้ (11 มีนาคม) นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความแสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กระบุถึงกรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายรัฐมนตรีได้รับเชิญไปพูดที่สหรัฐอเมริกา ระบุว่า
ผมเห็นปฏิกริยาของอีกฝ่ายที่แสดงออกมาเมื่อนายกทักษิณถูกเชิญให้ไปพูดที่ WPI แล้ว อดเป็นห่วงปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทยที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นไม่ได้ เรากำลังเป็นสังคมที่ขาดสติ แต่ที่น่ากลัวคือรัฐบาลกลับร่วมกับอีกฝ่ายทำให้ปัญหาความขัดแย้งบานปลายมากขึ้น
สิทธิในการพูดหรือการแสดงความคิดเห็น เป็นสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ที่สากลให้การยอมรับ ถึงแม้จะเป็นการพูดถึงประเทศไทยก็เป็นมุมมองของผู้พูด ยิ่งเมื่อพิจารณาว่านายกทักษิณถูกเชิญให้ไปแสดงวิสัยทัศน์ในนามส่วนตัว จึงเป็นสิทธิของท่านโดยแท้ที่ใครก็ก้าวล่วงไม่ได้ ส่วนความเห็นของท่านที่ว่า “ความก้าวหน้าและความอยู่ดีกินดีของประชาชน อยู่ที่ความมีเสถียรภาพทางการเมือง และศักยภาพในการสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศ” ก็เป็นการพูดบนหลักการเดียวกันกับที่ประชาคมโลกไม่ว่าจะเป็นสหรัฐหรือสหภาพยุโรปเคยมีความเห็น หากสิ่งที่นายกทักษิณพูดออกมาไม่ถูกต้อง ผลเสียย่อมจะตกแก่ท่านเองโดยประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน รัฐบาลหรือผู้มีส่วนได้เสียยังมีสิทธิที่จะชี้แจงได้ในภายหลัง รัฐบาลจึงไม่ควรกลัวความจริง เพราะหากทำดีมีผลงานแล้วไม่ว่าใครจะพูดจาอย่างไร ย่อมจะโยกคลอนศรัทธาของประชาชนไม่ได้
สิ่งที่รัฐบาลควรทำคือการลดความขัดแย้งด้วยการทำตัวเป็นกลาง แต่การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ออกมาแสดงความเห็นสนับสนุนฝ่ายที่คัดค้านนายกทักษิณ คือการที่รัฐบาลกำลังเลือกข้างทำให้ความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้น ซึ่งก็คงเป็นทางเดียวที่จะทำให้รัฐบาลและพรรคพวกที่สนับสนุนมีอำนาจ เพราะเมื่อใดก็ตามที่คนไทยรักใคร่ปรองดองต่อกัน คนพวกนี้จะไม่มีที่ยืนในสังคม พวกเค้าจึงพยายามสุมไฟความขัดแย้งให้เกิดขึ้นตลอดเวลา โดยไม่เคยเห็นหัวประชาชน ไม่เคยออกมาต่อสู้เพื่อสิทธิของคนส่วนใหญ่ แต่จะวางเฉยหรือสะใจเมื่อเห็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน พวกเค้าสนับสนุนและเห็นด้วยกับการยึดอำนาจและควบคุมอำนาจของประชาชนไว้ให้นานที่สุด โดยมีข้ออ้างคือคนไทยยังทะเลาะกันทั้งที่พวกเค้าเองเป็นฝ่ายก่อและขยายผล คนเหล่านี้คือพ่อค้าอาวุธที่ได้ดิบได้ดีเพราะการที่คนไทยทะเลาะกัน แล้วทำไมคนไทยยังยอมให้คนเหล่านี้มีที่ยืนในสังคมอีก
นิยายชีวิต"ธาริตเพ็งดิษฐ์"
“ธาริต เพ็งดิษฐ์” เคยเปรียบเปรยชะตากรรมชีวิตตัวเองในขณะนี้ว่า เหมือนกำลังมีคนเขียนเรื่องราวชีวิตของตน ให้มีบทสุดท้ายคือการถูกเชือด เพื่อเป็นตัวอย่างไม่ให้ข้าราชการคนอื่นๆ “ทำแบบธาริตมัน”
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่มาภาพ: http://www.bangkokpost.com/news/general/532991/nacc-impounds-b40-9m-assets-of-tarit-and-wife
นับแต่ คสช. ยึดอำนาจการปกครองประเทศจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทย มาเกือบ 11 เดือนเต็ม ชื่อของธาริตก็ปรากฏเป็นข่าวใหญ่เพียง 2 ครั้ง
ครั้งแรก – เมื่อถูกย้ายออกจากตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้ไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี หรือที่ภาษาข่าวเรียกว่า “ย้ายเข้ากรุ”
ครั้งที่ 2 – เมื่อปรากฎตัวที่รัฐสภา ยื่นเอกสารขอสมัครเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม แต่สุดท้ายก็ไม่ได้รับเลือก
หลังจากนั้น ชื่อของธาริตก็ค่อยๆ หายไปจากหน้าสื่อ จนกระทั่งที่ประชุม ป.ป.ช. มีมติให้อายัดทรัพย์สินของเขาและภรรยา “วรรษมล เพ็งดิษฐ์” ทั้งเงินฝาก บ้าน ที่ดิน รถยนต์ และทรัพย์สินในตู้เซฟนิรภัย รวมมูลค่ากว่า 40 ล้านบาท หลังพบว่ามีพฤติการณ์ยักย้าย-ซุกซ่อน เพื่อหลบหนีการตรวจสอบในคดีที่ถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติ ชื่อของธาริตจึงได้กลับมาปรากฏบนหน้า 1 อีกครั้ง
ชีวิตของธาริต หากจะว่าไปก็โลดโผนโจนทะยาน แทบไม่ต่างกับการนั่งกระดานหก
คือขึ้นสูงสุดได้เพียงชั่วครู ก็ต้องตกลงต่ำอีกครั้ง
จากเด็กบ้านนอก จ.ชัยนาท เคยมีชื่อเดิมว่า “เบญจ” ที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำตั้งให้ เพราะเป็นลูกคนที่ 5 เข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กระทั่งจบการศึกษาระดับปริญญาตรี จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ สอนหนังสือที่สถาบันเก่าของตัวเองอยู่พักใหญ่ ก่อนสอบเข้ารับราชการในสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) เมื่อปี 2533 และพบรักกับวรรษมล ซึ่งเป็นนักกฎหมายเหมือนกันในระหว่างนั้น
เมื่ออายุ 35 จึงเปลี่ยนชื่อเป็น “ธาริต” ตามความเชื่อในตำราโหราศาสตร์
เส้นทางราชการของอัยการหนุ่มรายนี้ก้าวหน้าตามลำดับ ถึงขั้นถูกดึงไปเป็นหน้าห้องของผู้บริหารสูงสุดขององค์กรอัยการ ร่วมกับ “กิตติพงษ์ กิตยารักษ์” อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม สมัยที่ “คณิต ณ นคร” เป็น อสส.
คณิตเคยเอ่ยปากชมธาริต ว่าเป็นคนรอบคอบ ให้รับผิดชอบอะไรก็จะดูแลอย่างดี เป็นทั้งคนเก่งและคนดี ทำงานด้วยแล้วสบายใจ
ธาริตเริ่มเข้าไปข้องแวะกับฝ่ายการเมือง สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย เมื่อถูก “หมอมิ้ง” นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ชักชวนให้มาทำงานที่สำนักนายกรัฐมนตรี โดยเข้าไปเป็นทีมงานของ พันศักดิ์ วิญญรัตน์ ที่ปรึกษาใหญ่ของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีผู้มากบารมี
มีส่วนในการยกร่างกฎหมายและจัดตั้งดีเอสไอ ก่อนถูกโอนย้ายไปเป็นรองอธิบดีดีเอสไอ ในสมัยที่ “พล.ต.ท. นพดล สมบูรณ์ทรัพย์” เป็นอธิบดีคนแรก ชีวิตการทำงานเหมือนรุ่งโรจน์ ได้เป็นซี 9 หลังเข้ารับราชการเพียง 15 ปี
แต่เมื่อ “พล.ต.อ. สมบัติ อมรวิวัฒน์” มาเป็นอธิบดี พร้อมตำรวจที่พาเหรดเข้ายึดดีเอสไอ 4 ปีหลังจากนั้น ธาริตก็ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาทำงานด้านวิชาการอย่างเงียบๆ
ต่อมา เขาก็เข้าไปมีส่วนในการยกร่างกฎหมายจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ก่อนได้รับเลือกให้เป็นเลขาธิการ ป.ป.ท. คนแรก ในปี 2551 สมัยรัฐบาลพรรคพลังประชาชน ขณะนั้นอธิบดีดีเอสไอมีชื่อว่า “พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง”
เมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้ว พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ขึ้นมาเป็นรัฐบาล มีการย้าย พ.ต.อ. ทวี ซึ่งถูกมองว่าใกล้ชิดกับตระกูลชินวัตรออกจากตำแหน่ง แล้วโยกธาริตที่มีผลงานโดดเด่นในฐานะเลขาฯ ป.ป.ท. ทั้งคดีซานดิก้าผับ คดีทุจริตนมโรงเรียน คดีกองทุนบำเหน็จบำนาญราชการ ด้วยสไตล์การทำงานแบบกล้าชน ถึงลูกถึงคน ให้เข้ามาเป็น “อธิบดีดีเอสไอ” ด้วยวัยเพียง 50 ปี
อันถือเป็นการก้าวไปสู่ตำแหน่ง ที่ทั้งสร้างชื่อเสียงและวิบากกรรมให้กับชีวิตของธาริต
ในปี 2553 เมื่อมีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ขึ้นมาควบคุมการชุมนุมของคนเสื้อแดง บทบาทของธาริตก็ยิ่งโดดเด่น ทั้งในฐานะทีมโฆษก ศอฉ. ร่วมกับ “ไก่อู” พ.อ. สรรเสริญ แก้วกำเนิด และในฐานะอธิบดีดีเอสไอ ผู้เดินหน้าทำคดีกล่าวหาผู้ชุมนุมอย่างไม่ลดละ โดยเฉพาะคดีก่อการร้าย ที่ทำสำนวนส่งฟ้องศาลได้อย่างรวดเร็ว เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.2542/2553
ความโดดเด่นของธาริต เป็นสาเหตุทำให้ถูกฝ่ายพรรคเพื่อไทย (พท.)-คนเสื้อแดง ตรวจสอบอย่างหนัก ทั้งเรื่องการทำงานและเรื่องส่วนตัว โดยเฉพาะกรณีที่ “จตุพร พรหมพันธุ์” แกนนำคนเสื้อแดง ออกมาเปิดเผยเรื่องเสี่ยใหญ่โอนเงิน 1.5 แสนบาท เข้าบัญชีของภรรยาธาริต อ้างว่าเป็นเงินค่าตอบแทนในการเลี่ยงภาษี แต่เขาตอบโต้ว่าเป็นเพียงค่าบริการให้คำปรึกษาทางกฎหมาย
เมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้วอีกครั้ง ในปี 2554 ท่ามกลางคำประกาศว่า จะย้ายธาริตพ้นตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอภายใน 24 ชั่วโมง จากขุนพลของ พท. คนสำคัญ อย่าง “ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง”
ทว่า ตลอด 2 ปี 9 เดือนเศษ ที่ พท. เป็นรัฐบาล คนชื่อธาริตไม่เพียงยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม ยังได้ต่ออายุราชการ หลังดำรงตำแหน่งครบวาระ 4 ปี ในปี 2556
หลายคนมองว่า การที่เขายังอยู่ในตำแหน่งเดิมได้ เพราะความแข็งขันในการดำเนินคดีกับฝ่ายค้านรัฐบาล พท.-อย่างสมาชิก ปชป. ทั้งคดีต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าบีทีเอส คดีทุจริตก่อสร้างโรงพักทดแทน 396 แห่งทั่วประเทศ คดีสั่งสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ฯลฯ ขณะที่คดีของคนฝ่ายรัฐบาล กลับมีการยกฟ้องอย่างต่อเนื่อง ทั้งคดีผังล้มเจ้า คดีกระสุนพระราชทาน ฯลฯ เป็นเหตุให้ดูโจมตีว่า เมื่อเปลี่ยนรัฐบาล ธาริตก็ “เปลี่ยนสี” ซึ่งเจ้าตัวก็ปฏิเสธพร้อมชี้แจงว่า
“ข้าราชการพลเรือนมีหน้าที่ปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาล หากไม่ปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาลจะมีความผิดทางวินัย นี่เป็นกฎหมายของประเทศที่ผมต้องเคารพและปฏิบัติตาม
“ช่วงรัฐบาล ปชป. บริหารประเทศ ปชป. เลือกนโยบายการบังคับใช้กฎหมายแบบเด็ดขาด ซึ่งส่วนตัวผมเห็นว่าถูกต้อง เพราะความขัดแย้งขณะนั้น ถ้าไม่เด็ดขาดเกมก็ไม่จบ ก็จะเกิดการรบกันมากมาย ความสูญเสียอาจจะมากกว่าที่เห็นพันเท่า แต่เมื่อ พท. เข้ามาจัดตั้งรัฐบาล แล้ว พท. เลือกนโยบายการปรองดอง ผมก็เห็นด้วยอีกเช่นกันว่านโยบายของรัฐบาลชุดนี้ถูกต้อง ผมในฐานะผู้นำองค์กรก็ต้องปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล ในสถานการณ์ที่ต่างกัน
“นี่คือความจริงที่ต้องยอมรับ เพราะประเทศนี้วางกติกาว่า ฝ่ายการเมืองเป็นฝ่ายบริหาร ฝ่ายข้าราชการประจำเป็นฝ่ายปฏิบัติ ข้าราชการประจำคือเครื่องมือของฝ่ายการเมือง เมื่อกติกาของบ้านเมืองเราและกฎหมายเป็นเช่นนี้ เราก็ต้องปฏิบัติตามนี้“
ระหว่างการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. เพื่อขับไล่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกฯ ปลายปี 2556 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2557 ทั้งธาริตและดีเอสไอกลายเป็นเป้าในการปิดล้อม-ขับไล่ กระทั่งบ้านภรรยาธาริตซึ่งซื้อไว้ที่เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เพื่อทำโฮมสเตย์ ก็ถูกตรวจสอบว่าอาจรุกล้ำพื้นที่ป่าสงวน จนต้องยอมรื้อบ้านบางหลัง และคืนที่ดินบางส่วนให้กับราชการ
เมื่อ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ประกาศกฎอัยการศึก ช่วงตีสามของวันที่ 20 พฤษภาคม 2557 เขายังถูก “บิ๊กตู่” กล่าวตำหนิกลางที่ประชุมหัวหน้าส่วนราชการ
และเพียง 48 ชั่วโมง หลัง คสช. ยึดอำนาจ ก็มีคำสั่ง คสช. ที่ 8/2557 ย้ายพ้นจากตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอ หลังนั่งอยู่บนเก้าอี้นี้ ถึง 4 ปี 7 เดือนเศษ …นานที่สุดในประวัติศาสตร์ดีเอสไอ
ชีวิตของธาริตหลัง คสช. เรืองอำนาจ ส่วนใหญ่จะหมดไปกับการขึ้นศาล เพื่อต่อสู้ 26 คดีความ ที่เขาเป็นทั้งโจทก์และจำเลย
“เราไม่ต้องพูดถึงความแฟร์อะไรนะ แต่ผมอยากจะกระตุ้นเตือนความคิดนิดหนึ่งว่า สิ่งที่มันกำลังเกิดขึ้นกับผมในขณะนี้ กำลังเกิดขึ้นกับข้าราชการประจำคนหนึ่ง ที่ตั้งใจ และทุ่มเทการทำงานตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย จากผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ ต่อไปจะมีข้าราชการประจำคนไหนกล้าที่จะมาทำงานกันไหม”
“ตอนนี้ผมคงไม่ทำอะไร ต้องรับชะตากรรมไป เพราะชีวิตข้าราชการประจำมันถูกกำหนดมาแบบนี้ ผมไม่ได้มีพรรคการเมืองอะไรสังกัด จะไปสู้รบปรบมือกับใครได้ แต่ตอนนี้เรื่องมันเริ่มขยายตัวไปแล้ว กลายเป็นว่า ไม่ใช่ผมคนเดียวที่ต้องมาเจออะไรไม่ดี ใครที่เกี่ยวข้องกับผม มีนามสกุลเพ็งดิษฐ์ ซวยกันหมด”
“สถานการณ์ปัจจุบัน ดูเหมือนกำลังมีคนเขียนเรื่องขึ้นมาเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องราวของผม ที่กำลังจะโดนตัดโดนเชือด เป็นตัวอย่างให้ดูว่าอย่าไปทำแบบนี้นะ อย่าไปทำแบบธาริตมันนะ ทั้งที่ผมทำงานตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา ผมทำงานตามหน้าที่ของผม”
เป็นถ้อยคำระบายความในใจ-ไม่ใช่ขอความเห็นใจ จากข้าราชการคนหนึ่งที่ยืนยันมาตลอดว่า ตนได้ทำสิ่งที่ถูกต้องทั้งตามบทบาทและกฎหมาย
แต่ช่วงเวลา 3 ปีก่อนเกษียณอายุราชการ นอกจากมองไม่เห็นอนาคตในการงาน ยังต้องวุ่นไปกับการต่อสู้สารพัดคดีความ
และนี่คือนิยายชีวิตของ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีดีเอสไอผู้มากด้วยสีสัน แต่เลือกบทสรุปของตัวเองไม่ได้.