PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2561

TOU44 ไอดอลลายพราง ที่ครองหัวใจคนไทยมา 4 ปีเต็ม

ที่มา : เพจ
The MATTER

TOU44 ไอดอลลายพราง ที่ครองหัวใจคนไทยมา 4 ปีเต็ม
.
ก่อนวันนัดหมายหยุดโลก ระหว่างไอดอล 2 กลุ่ม ในวันพรุ่งนี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล เชื่อว่าหลายๆ คนคงรู้จัก BNK48 กันดีอยู่แล้ว แต่ยังมีไอดอลอีกวงหนึ่งที่เราอยากแนะนำ เพราะทำการแสดงสดมา 4 ปีเต็ม และเข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจคนบางกลุ่มอย่างเหนียวแน่น ไม่มีวันเสื่อมคลาย ไอดอลกลุ่มนั้นมีชื่อว่า TOU44 (จะอ่านว่า ทีโอยู-โฟร์-ตี้-โฟร์ หรือ ตู่สี่สิบสี่ ก็ได้)
.
.
สำหรับวงนี้ ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2557 ใช้ความพยายามฟันผ่าอุปสรรคต่างๆ มามากมาย จนปัจจุบัน มีค่าตัวรวมกันถึง 13.7 ล้านล้านบาท (งบประมาณรายจ่ายประจำปีและงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ระหว่างปี 2557 – 2561)
.
สมาชิกของวงทั้งหมดมี 36 คน (จบการศึกษาไปแล้ว 23 คน) แต่เราจะขอแนะนำเฉพาะสมาชิกคนสำคัญๆ ที่ได้รับความนิยมสูง
.
#นายพลชราไลน์ (อดีตนายพลเกษียณอายุ ที่หันมาเสียสละ ทำงานให้กับบ้านเมือง)
- บิ๊กตู่ *กัปตัน
- บิ๊กป้อม
- บิ๊กป๊อก
- ประจิน
- ฉัตรชัย
#ประชารัฐไลน์ (ตัวแทนคนจากภาคเอกชน ที่เข้ามาช่วยกอบกู้เศรษฐกิจที่พังพินาศไปในยุคก่อนๆ)
- สมคิด
- อภิศักดิ์
- อุตตม
- สนธิรัตน์
- สุวิทย์
#กุมารไลน์ (ใครว่าไอดอลวงนี้จะมีแต่คนวัยชรา ยังมีสมาชิกถึง 5 คนที่อายุต่ำกว่า 60 ปี)
- กอบศักดิ์ (อายุ 49 ปี)
- วีระศักดิ์ (อายุ 52 ปี)
- ธีระเกียรติ (อายุ 55 ปี)
- สุวิทย์ (อายุ 56 ปี)
- อุตตม (อายุ 57 ปี)
นี่ยังไม่รวมถึงสมาชิกรายอื่นๆ
- วิษณุ --- เนติบริกร
- ไก่อู --- โฆษก
- หม่อมอุ๋ย – จบการศึกษาไปแล้ว แต่ยังจับตาวงนี้และแสดงความเป็นห่วงอย่างต่อเนื่อง
.
#สมาชิกรุ่นที่สอง?
ปัจจุบัน วง TOU44 อยู่ระหว่างการสรรหาสมาชิกรุ่นที่ 2 โดยไม่แสดงอาการรังเกียจไอดอลจากวงอื่นๆ ที่เคยอยู่มาก่อน มีการคาดหมายกันว่าสมาชิกรุ่นต่อไป จะประกอบด้วยคนการเมืองนามสกุลดัง ดังนี้ 1.คุณปลื้ม 2.สะสมทรัพย์ 3.ศิลปอาชา 4.ชิดชอบ 5.ลิปตพัลลภ 6.เทพสุทิน 7.ตันเจริญ และ 8.เทือกสุบรรณ
(หมายเหตุ: เป็นการคาดการณ์ ถึงเวลาอาจจะไม่มาร่วมวงก็ได้)
.
#ผลงานฮิต
แม้จะเพิ่งออกซิงเกิ้ลมาได้เพียง 6 เพลง แต่หลายเพลงกลับฮิตติดชาร์ต คนร้องกันได้ทั่วบ้านทั่วเมือง โดยเฉพาะท่อน "..เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน.."
- คืนความสุขให้ประเทศไทย (2557)
- เพราะเธอคือประเทศไทย (2558)
- ความหวังความศรัทธา (2559)
- สะพาน (2560)
- ใจเพชร (2561)
- สู้เพื่อแผ่นดิน (2561)
.
#ตู้ปลา
แคปบิ๊กตู่ จะเปิดการแสดงให้ทุกคนชมทุกคืนวันศุกร์ ผ่านทีวีทุกช่อง ออกอากาศในเวลาสองทุ่มเศษเป็นต้นไป เหล่าโอตะทั้งหลายอย่าลืมติดตาม ณ ขอบจอกันด้วยนะ
.
#เหล่าโอตะ
สำหรับ 'โอตะ' หรือ แฟนคลับของวงๆ นี้ ว่ากันว่า มีจำนวนนับล้านคนเลยทีเดียว ประกอบด้วยกลุ่ม กปปส. / ม็อบนกหวีด / เสื้อหลากสี / ผู้นิยมทหาร / ผู้รังเกียจนักการเมือง / ฯลฯ
.
.
เมื่อแคปเฌอจะมาเจอกับแคปตู่มาเจอกัน โลกที่ดูหม่นหมอง อากาศร้อนๆ ที่ชวนให้ห่อเหี่ยว ก็พลันสดใสขึ้นทันที พรุ่งนี้ จะเกิดอะไรดีๆ ขึ้นที่ทำเนียบรัฐบาลบ้างนะ เราอยากจะรู้จัง

‘อภิสิทธิ์’แฉพรรคทหารดูดนักการเมือง ใช้เก้าอี้ผช.รมต.ล่อ ตั้งเป้าได้ไม่ต่ำกว่า25เสียง

‘อภิสิทธิ์’แฉพรรคทหารดูดนักการเมือง ใช้เก้าอี้ผช.รมต.ล่อ ตั้งเป้าได้ไม่ต่ำกว่า25เสียง


“อภิสิทธิ์” ปูดพรรคทหารจ้องดูดนักการเมือง ใช้เก้าอี้ ผช.รมต.ล่อ คาดเป้าหมายผู้มีอำนาจต้องได้ไม่ต่ำกว่า 25 เสียง
เมื่อวันที่ 23 เมษายน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์การเมืองว่า นอกจากได้ยินเรื่องดึงพรรคพลังชลก่อนหน้านี้แล้ว ยังได้ยินเรื่องกระบวนการของรัฐ และคนที่มีอำนาจรัฐจะมาเล่นการเมือง ซึ่งไม่จำเป็นต้องลง ส.ส. แต่อาจใช้สถานะตรงนั้นในการติดต่อภาคธุรกิจ ส่งสัญญาณว่าไม่ควรสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนพรรคการเมืองใด คิดว่าการกระทำลักษณะดังกล่าวไม่ต่างจากหลายระบอบที่เราต้องต่อสู้ในอดีต และคิดว่าขัดกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ไม่ต้องการให้ผู้มีอำนาจขณะนี้ยุ่งกับการเมือง หรือไม่มีส่วนได้เสียกับการเลือกตั้งต่อไป
“ผมได้ยินมาอีกว่าตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรียังเสนอให้หลายคน หลายพรรค เสนอตำแหน่งไม่ใช่กับเพียงตระกูลสะสมทรัพย์ แต่กับ ปชป.ก็เสนอเช่นกัน และคิดว่าเป้าหมายของพรรคนี้จะต้องได้รับเสียงพอสมควร อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 25 เสียง” นายอภิสิทธิ์กล่าว

‘อภิสิทธิ์’เรียกประชุมทีมกฎหมายพรรค ถกชี้แจงศาล ปมคำร้องคำสั่งคสช.ขัดรธน.

‘อภิสิทธิ์’เรียกประชุมทีมกฎหมายพรรค ถกชี้แจงศาล ปมคำร้องคำสั่งคสช.ขัดรธน.


“อภิสิทธิ์” เรียกประชุมทีมกฎหมาย 24 เม.ย. ถกความพร้อมชี้แจงศาลรัฐธรรมนูญปมคำสั่ง คสช. ส่อขัดรัฐธรรมนูญ “วิรัตน์” เผย มั่นใจประเด็นเด็ดมีน้ำหนักเพียงพอให้ศาลเห็นอุปสรรค
เมื่อวันที่ 23 เมษายน นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงความคืบหน้าในการส่งคำชี้แจงเพิ่มเติมให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ที่ 53/2560 ว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ว่า ทีมกฎหมายได้หารือกันเพื่อจัดทำข้อสรุปเนื้อหาคำชี้แจง ก่อนนำไปชี้แจงให้ศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 25 เมษายนนี้ โดยมีประเด็นสำคัญที่มั่นใจว่าจะมีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำให้ศาลรัฐธรรมนูญเข้าใจถึงเหตุผลการยื่นคำร้องของพรรค ปชป. และเข้าใจถึงปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติจริงคือการยืนยันสมาชิกพรรคซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้พบว่ามีปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย อาทิ การมีวันหยุดราชการจำนวนมากในเดือนเม.ย. ทำให้เหลือเวลาเปิดทำการได้เพียง 20 วัน ประชาชนไม่อยู่ในภูมิลำเนา ซึ่งส่งผลต่อการยืนยันตัวเองของสมาชิกพรรค เพราะพรรค ปชป. มีจำนวนสมาชิกมากถึงกว่า 3 ล้านคน การใช้ระยะเวลาดำเนินการยืนยันสมาชิกเพียงแค่ 30 วัน ถือว่าไม่มากพอ

นายวิรัตน์กล่าวต่อว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ได้มีการเรียกประชุมทีมกฎหมายของพรรคในวันที่ 24 เมษายน เวลา 14.00 น. เพื่อตรวจสอบคำชี้แจง รวมถึงประเด็นที่อาจมีการแก้ไขเพิ่มเติมพร้อมทั้งหารือกันถึงข้อสรุปว่า นายอภิสิทธิ์จะเดินทางไปชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญด้วยตัวเองหรือมอบหมายให้ทางทีมกฎหมายเป็นผู้ดำเนินการแทน อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าศาลรัฐธรรมนูญจะดำเนินการวินิจฉัยโดยเร็วซึ่งจะไม่กระทบกับโรดแมปการเลือกตั้ง

ดาบ 2 คมจากกลยุทธ์ “ดูด” หนีไม่พ้น ได้อย่างเสียอย่าง

ดาบ 2 คมจากกลยุทธ์ “ดูด” หนีไม่พ้น ได้อย่างเสียอย่าง


สวนดุสิตโพลล่าสุด “ความเคลื่อนไหวทางการเมืองในทรรศนะประชาชน” สะท้อนลักษณะ 2 ด้านของการตัดสินใจของ”คสช.”ได้อย่างเป็นรูปธรรมเด่นชัด
ไม่ว่าจะในเรื่อง “พลังดูด”ต่อ นายสนธยา คุณปลื้ม
ไม่ว่าจะในเรื่อง “การปลดล็อก” ให้พรรคการเมืองสามารถทำกิจกรรมทางการเมือง
เป็นลักษณะ 2 ด้านอันโบราณเรียกว่า “ดาบ 2 คม”
คม 1 เหมือนกับว่าคสช.และรัฐบาลสร้าง “กองหนุน”ได้เพิ่มขึ้น คม 1 เหมือนกับว่าคสช.และรัฐบาลสร้างความได้เปรียบ ขณะที่”พรรคการเมือง”ถูกมัดแขนมัดขา
แต่ในอีกด้าน คม 1 ก็ทำให้ประชาชนตาสว่าง แต่ในอีกด้าน คม 1 ก็ทำให้มองเห็นความเป็นชายชาติทหารของคสช.กับรัฐบาล

คสช.อย่าได้หงุดหงิด รัฐบาลอย่าได้หงุดหงิด ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งเสียงสะท้อนผ่าน”โพล”จะยิ่งคมชัด
อย่างต่อคำถามกรณี นายสนธยา คุณปลื้ม
ร้อยละ 40.20 รัฐบาลต้องการดึงพรรคการเมืองเข้ามาร่วมทำงาน สร้างแนวร่วมร้อยละ 33.01 เป็นเรื่องของผลประโยชน์ทางการเมือง ขยายอำนาจ
ชาวบ้านรู้ ชาวบ้านเข้าใจ

อย่างคำถามสมควรให้อิสระกับพรรคการเมืองแล้วหรือยัง ร้อยละ 44.47 ควรปลดล็อกโดยไม่มีเงื่อนไข เพราะเป็นประชาธิป ไตย เกิดความเท่าเทียม พรรคการเมืองมีอิสระ ทำกิจกรรมได้ ช่วยให้สถานการณ์การเมืองดีขึ้น
ร้อยละ 36.45 ควรปลดล็อกแต่มีเงื่อนไข มีกฎเกณฑ์ร่วมกัน
มีเพียงร้อยละ 19.08 เท่านั้นที่เห็นว่าไม่ควรปลดล็อกเพราะอาจเกิดความเคลื่อนไหวชุมนุมประท้วง บ้านเมืองไม่สงบ วุ่นวาย รัฐบาลอาจควบคุมดูแลยาก
ชาวบ้านกินข้าว ชาวบ้านไม่ได้กินแกลบ ชาวบ้านไม่ได้กินหญ้า อย่างแน่นอน

ที่คิดว่ายื้อเวลา“ปลดล็อก”จะสร้างความได้เปรียบเห็นหรือไม่ว่าอาจไม่เป็นเช่นนั้น
ที่คิดว่าการใช้”พลังดูด”คือการสร้าง”กองหนุน” อาจไม่ใช่
ยิ่งตระเวนดูดจาก “ซุ้มชลบุรี”กระจายไปยัง”ซุ้มสุโขทัย”กระจายไปยัง”ซุ้มบ้านริมน้ำ”
ได้”คน”มา แต่ก็ไม่แน่ว่าจะได้ “คะแนน”

ชักเคยตัว

ชักเคยตัว



กรณีที่ประชุม สนช.ลงมติไม่เห็น ชอบรายชื่อว่าที่กรรมการ กสทช.ชุดใหม่ที่ผ่านการสรรหามาแล้วทั้ง 14 คน
เททิ้งยกเข่งอีหรอบเดียวกับที่ สนช.โหวตล้มกระดานการสรรหา กกต.ชุดใหม่ยกกระบิ 7 คน
เท่ากับต้องเริ่มต้นการสรรหา กสทช.ชุดใหม่ซํ้าอีกที
“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่า “กสทช.” หรือมีชื่อเป็นทางการว่า “คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และโทรคมนาคมแห่งชาติ” เป็นองค์กรอิสระ มีหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่ซึ่งเป็นสมบัติชาติ มีอำนาจให้ใบอนุญาตธุรกิจโทรคมนาคม ธุรกิจโทรทัศน์วิทยุกระจายเสียง และธุรกิจสื่อสารไร้สายครบวงจร ฯลฯ
และเก็บค่าต๋งจากธุรกิจเอกชนส่งเป็นรายได้ให้รัฐบาล
ถือว่า กสทช. 7 คนมีหน้าที่ดูแลขุมทรัพย์มูลค่านับล้านล้านบาทโดยตรง
ด้วยเหตุนี้ จึงมีผู้ประสงค์ลงสมัครสรรหา เป็นว่าที่ กสทช.ชุดใหม่ถึง 85 คน
มีผู้ผ่านการสรรหา ครบทั้ง 7 สาขา รวม 14 คน เพื่อเสนอที่ประชุม สนช.คัดเลือกให้เหลือ 7 คน ตามกติกา
แต่ปรากฏว่า ที่ประชุม สนช.โหวตเททิ้งยกเข่งไม่เหลือไว้ทำปุ๋ยหมักแม้แต่คนเดียว
“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่า กรณี สนช.ลากตั้ง พร้อมใจโหวตล้มกระดานว่าที่ กสทช.ทั้ง 14 ราย ไม่ใช่เกิดขึ้นปุบปับฉับพลัน
เพราะมีข่าวปูดล่วงหน้าก่อนที่ประชุม สนช.จะลงมติ 2 วัน ว่า ผู้ผ่านการสรรหาเป็น กสทช.ชุดใหม่ 8 คนจาก 14 คน มีคุณสมบัติไม่เหมาะสมที่จะปฏิบัติหน้าที่ กสทช.
และมีข้อเสนอจาก สนช.บางคนให้ล้มกระดานการสรรหา กสทช.ชุดใหม่ทั้งหมด 14 คน ให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
ส่วนจะมี “ใบสั่ง” จากใครหรือไม่? “แม่ลูกจันทร์” ไม่มีใบเสร็จยืนยัน
ถ้าไม่มีใบสั่ง “แม่ลูกจันทร์” ไม่เชื่อว่า สนช.ลากตั้ง 118 คน จะกล้าลงมติเททิ้งยกเข่งว่าที่ กสทช.ทั้ง 14 คน จนเป็นเรื่องอึกทึกครึกโครม
แต่จะมีใบสั่งหรือไม่มีใบสั่ง ยังไม่ใช่สาระสำคัญ
ประเด็นสำคัญอยู่ที่ รายชื่อว่าที่ กสทช.ที่เสนอให้ที่ประชุม สนช.พิจารณาทั้ง 14 คน ได้ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติ และผ่านการรับรองจากคณะกรรมการสรรหา ซึ่งมีทั้งผู้แทน ศาลรัฐธรรมนูญ ผู้แทนศาลฎีกา ผู้แทนศาลปกครองสูงสุด ประธาน ป.ป.ช. ผู้ตรวจการแผ่นดิน
และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยมาแล้วเป็นอย่างดี
เหตุใด ในที่ประชุม สนช.ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า มีผู้ผ่านการสรรหาถึง 8 คน จากทั้งหมด 14 คน มีคุณสมบัติไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสมจะปฏิบัติหน้าที่ กสทช.
1,ถ้าเป็นความจริง...แสดงว่าคณะกรรมการสรรหาบกพร่อง ผิดพลาด ไม่ตรวจสอบคุณสมบัติผู้ผ่านการสรรหาให้รอบคอบรัดกุม
ปล่อยให้คนที่ขาดคุณสมบัติหลุดเข้ามาได้ถึง 8 คน
2,ถ้าเป็นความจริง...แสดงว่ายังมีผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนเหมาะสมจะเป็น กสทช.ได้อีก 6 คน
เหตุใด ที่ประชุม สนช.จึงไม่ลงมติเห็นชอบ (หรือไม่เห็นชอบ) ผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนอีก 6 คน ให้เป็น กสทช.??
ทั้งๆที่เป็นหน้าที่ของ สนช.ซึ่งกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ
แถมทำให้ผู้ผ่านการสรรหาทั้ง 6 คน ต้องสูญเสียโอกาส และได้รับความเสียหายร้ายแรง
จะเข้าข่ายละเว้นปฏิบัติหน้าที่หรือไม่...?? ก็เสียวๆเหมือนกันนะโยม.
“แม่ลูกจันทร์”

ปลุกกระแสเลือกตั้งใหญ่จุดไฟปฏิรูป : พลิกวิกฤติเป็นโอกาส

ปลุกกระแสเลือกตั้งใหญ่จุดไฟปฏิรูป : พลิกวิกฤติเป็นโอกาส



การเมืองไทยจะปฏิรูปไปทิศทางใด หลังคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการเมืองฉายภาพรวมให้เห็นถึงสถานการณ์และแนวโน้มภายใน

ได้ระบุถึงสภาพปัญหาทางการเมืองและการปกครองในระบอบประชาธิปไตย มีความขัดแย้งจนเกิดความรุนแรงหลายครั้ง เหตุการณ์ในลักษณะนี้ได้วนเวียนมาอย่างยาวนาน

โดยเฉพาะในห้วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ต่างฝ่ายต่างอ้างความชอบธรรมในอำนาจปกครองที่แตกต่างกัน

ซึ่งเกิดจากความเชื่อ ทัศนคติ ความเข้าใจในหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่แตกต่างกัน

การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม นักการเมืองขาดคุณสมบัติและจริยธรรม ไม่ทำ หน้าที่เป็นผู้แทนของประชาชน มีปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบ พรรคการเมืองถูกครอบงำจากนายทุน

สภาพปัญหาดังกล่าวนำไปสู่ความไร้เสถียรภาพทางการเมือง ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคงของประเทศ แม้มีการใช้มาตรการบังคับลงโทษทางกฎหมาย เพื่อแก้ปัญหาการเมือง แต่ปัญหาไม่ได้ทุเลาเบาบางลง เนื่องจากประชาชนยังมีความรู้ ความเข้าใจไม่ตรงกันในหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย

แม้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองมากว่า80 ปี แต่ไม่ทำให้การปฏิรูปทางการเมืองเกิดผลสัมฤทธิ์ ยังคงมีความพยายามสร้างประชาธิปไตยในแบบของไทย โดยยึดหลักประชาธิปไตยแบบตะวันตกเป็นพื้นฐาน ผสมผสานให้เกิดความยืดหยุ่นกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของไทย ให้มีความผสมกลมกลืน เหมาะสมกับสังคมไทยมากขึ้น

สถาบันพระมหากษัตริย์ยังคงมีความยั่งยืน เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนต่อไป และพระมหากษัตริย์ยังคงเป็นสถาบันที่สร้างความชอบธรรม เสมือนดั่งผู้ให้การรับรองในเรื่องต่างๆ และให้การทำงานเพื่อบ้านเมืองสามารถดำเนินการไปได้อย่างถูกต้อง ชอบธรรม

เช่น กรณีการยึดอำนาจรัฐประหาร หลังยึดอำนาจคณะที่ทำการรัฐประหารจะต้องเข้าเฝ้าเพื่อกราบบังคมทูลเรื่องราวต่างๆ การแต่งตั้งผู้นำรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีที่จะเข้าไปบริหารบ้านเมือง ต้องได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง พร้อมต้องถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่

ขณะเดียวกัน ในพื้นฐานเดิมที่เกี่ยวกับทางด้านการเมืองไม่ได้อ่อนแอไปเสียทั้งหมด

ยังมีแนวคิดและมีวัฒนธรรมการเมืองแบบไทยๆ ทำให้การบริหารบ้านเมืองดำเนินไปด้วยดีหลายประการ
เช่น วัฒนธรรมทางการเมืองในลักษณะของความเชื่อที่ว่า ก่อนการเลือกตั้งคือการเมือง หลังการเลือกตั้งคือบ้านเมือง การเคารพผู้อาวุโสทางการเมืองในลักษณะวัฒนธรรมรุ่นพี่รุ่นน้อง มีธรรมเนียมการขอโทษและให้อภัยภายใต้การแข่งขันทางการเมืองหรือการทำหน้าที่เพื่อบ้านเมือง

สอดรับกับหลักการทำงานของคนไทย วัฒนธรรมทางการเมืองเหล่านี้มีส่วนทำให้การพัฒนาทางการเมืองดำเนินไปด้วยดี

การปฏิรูปการเมืองจึงต้องผสมผสานรูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ทั้งแบบตะวันตกและแบบตะวันออกเข้าด้วยกัน ผสมผสานกับวัฒนธรรมทางการเมืองที่ดีของไทย มาเป็นแนวทางในการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง ซึ่งจะส่งผลให้การพัฒนาการเมือง การปกครองในระบอบประชาธิปไตยเกิดเสถียรภาพ มีความมั่นคง ยั่งยืน

การเมืองจะปฏิรูปให้เกิดเสถียรภาพ มีความมั่นคง ยั่งยืนได้อย่างไร นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง ให้สัมภาษณ์ ทีมข่าวการเมือง ว่า การเมืองไทยเป็นระบอบไฮบริด สลับขั้วไปมาระหว่างระบอบประชาธิปไตยกับระบอบทหาร สังคมไม่ได้มีความผูกพันภักดีต่อทั้ง 2 ระบอบมากนัก

เราจึงมุ่งหมายให้ประชาชนมีพลังทางการเมืองมากขึ้น เพื่อพัฒนาประเทศสู่ความรุ่งเรือง

พรรคการเมืองก็ต้องสานต่อการปฏิรูปและยุทธศาสตร์ชาติ หากไม่ชอบก็สามารถปรับแก้ได้

ไม่ใช่ชนะเลือกตั้งแล้วก็ลิงโลดใจ ถ้าทำไม่ดีทหารก็เข้ามาอีก ทหารก็เช่นเดียวกันเมื่ออยู่ในช่วงยึดอำนาจทหารก็เป็นใหญ่ แต่อย่าคิดว่าประชาชนจะยอมตลอดไป เขาก็ต้องการเลือกตั้ง

ผู้นำต้องทำด้วย ไม่ใช่สั่งอย่างเดียว ผู้นำที่บริการรับใช้ คนไทยชอบ ขอให้อธิบายให้เข้าใจ ประชาชนพร้อมที่จะทำเดินหน้าการปฏิรูป ทำไปเรื่อยๆ ตอนนี้ควรเน้นให้การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นสุจริต โปร่งใส ไม่นำไปสู่ความแตกแยก เป็นปรปักษ์ต่อกัน

และรัฐบาลควรทำเรื่องเฉพาะหน้าที่เป็นพื้นฐานมูลฐาน เช่น ปฏิรูปเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมทางการเมือง เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจ มีความเชื่อ ค่านิยม ทัศนคติที่ดีในทางการเมือง การปกครอง มีความตระหนักในสิทธิหน้าที่ เคารพกฎ-หมายและกติกาในการอยู่ร่วมกันในสังคม รู้จักยอมรับใน ความเห็นทาง การเมือง

พร้อมเป็นพสกนิกร ที่ดีของพระเจ้าแผ่นดินและสถาบันพระมหากษัตริย์

แผนและขั้นตอนปฏิรูปทั้งหมด รัฐบาลจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุด ทำหน้าที่เชื่อมโยงรัฐบาล คณะกรรมการปฏิรูปด้านต่างๆ และกระทรวง กรม มีอำนาจว่ากล่าวตักเตือน สั่งปลัดกระทรวง อธิบดี หัวหน้าที่รับผิดชอบหน่วยงานต่างๆได้กำกับดูว่าทำตามแผนปฏิรูปแค่ไหน

พอทำไปสักระยะหนึ่ง คณะกรรมการปฏิรูปด้านต่างๆจะบอกว่าคนนั้นคนนี้ทำไม่เป็นไปตามเป้า ก็เป็นอำนาจของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

ต่อไปก็เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง อาจจะเป็นรัฐบาลผสม มีพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ หรือรัฐบาลผสม มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ หรือรัฐบาลผสม มีคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็นนายกฯ ก็จะต้องเอาแผนยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไขได้ แต่ต้องทำให้ถูกต้อง

ขณะที่พรรคการเมืองก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการปฏิรูปการเมือง จะต้องทำให้เป็นสถาบันและไปร่วมกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผ่านสถาบันวิทยาการพรรคการเมือง เพื่ออบรมบุคลากรในพรรคให้มีคุณภาพ มีจิตอาสา ในฐานะที่ผมเป็นประธานคณะกรรมการพัฒนาพรรค การเมืองเพื่อการปฏิรูปประเทศ ได้วางกรอบบทบาทของสถาบันวิทยาการพรรคการเมืองและกำหนดไว้ในแผนการปฏิรูปการเมืองแล้ว
“ผมในฐานะเป็น 2 ประธาน ได้คุยกับผู้ใหญ่ของพรรคการเมืองต่างๆมาพอสมควร พบว่ามีความพยายามหลายอย่างที่น่าชื่นชม เช่น บ้านเมืองที่ไม่สงบมาจากความบกพร่องของพวกเขาด้วย ก็พยายามปรับปรุง
เขาไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นเพียงคู่ขัดแย้ง เขาอยากทำตัวเป็นเจ้าภาพเชื่อมสมานฝ่ายต่างๆด้วยถ้าเป็นไปได้

รวมถึงมีความพยายามจะออกมาพูดให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าจะทำให้บ้านเมืองสงบ

อยากสัญญากับประชาชนว่าจะส่งผู้สมัครที่ดีที่สุด เสนอนโยบายที่ดีที่สุด ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
และพยายามไม่ทำตัวให้เป็นอุปสรรคต่อการจัดตั้งรัฐบาล พร้อมร่วมมือกับทุกพรรคให้กว้างที่สุด
ถ้าเป็นฝ่ายค้านก็จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ถ้าเป็นรัฐบาลก็อยู่กับฝ่ายไหนก็ได้เพื่อให้เกิดความคล่องตัว
ไม่อยากเห็นบ้านเมืองอยู่ในทางตีบทางตัน อยากเห็นบ้านเมืองมีทางรอด

นับว่าเป็นสัญญาณที่ดี และเป็นอะไรที่ค่อนข้างใหม่ ที่พรรคการเมืองมีอารมณ์ความรู้สึกแบบนี้”

อีกกี่ปีถึงจะเห็นหน้าเห็นหลังการปฏิรูปการเมืองตามที่ประชาชนต้องการ นายเอนก บอกว่า การปฏิรูปเสกหรือเป่าให้สำเร็จไม่ได้ ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน ทั้งรัฐบาลเริ่มจากชุดนี้ ต้องอธิบายให้ประชาชนเห็นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เพื่อปฏิรูปการเมือง

พรรคการเมืองโดยหัวหน้าพรรคจะต้องยอมรับแผนการปฏิรูป ถ้าเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้านจะทำเรื่องปฏิรูปอย่างไร

ในการเลือกตั้งใหญ่ครั้งแรก ขอให้ประชาชนเห็นคุณค่าและความจำเป็นของการปฏิรูป โดยแสดงออกบนเป้าหมายสำคัญอยู่ที่การปฏิรูปการเมือง

ถ้าจำเป็นก็อย่าเพิ่งไปคิดถึงเรื่องชัยชนะ ต้องเลือกนักการเมืองที่ถูกใจเท่านั้น

เพราะจะทำให้ประเทศขยับไปไหนไม่ได้ ลูกหลานของเราจะอยู่กันอย่างไร โอกาสดีของประเทศจะเสียไป

หากเป็นไปได้อยากให้เลือกพรรคการเมือง นักการเมืองที่เราไว้ใจว่าจะเข้าไปปฏิรูปการเมือง

ทำให้การเมืองเป็นธรรมาธิปไตย เป็นการเมืองของพลเมือง เป็นการเมืองที่พลเมืองเป็นพสกนิกร

การคิดแบบนี้เป็นการปฏิรูปจากภายในจิตใจของเราที่เบื่อการเมือง

เมื่อต่างคนต่างคิดแล้วไปหย่อนบัตรในวันเลือกใหญ่

ผลออกมาจะมีพลัง บังคับทิศทางการปฏิรูปได้.
ทีมการเมือง

ดูดแชร์อำนาจ ประกันเสียงข้างมาก

ดูดแชร์อำนาจ ประกันเสียงข้างมาก



ผ่ายุทธการ“หลังม่าน”สมประโยชน์ต่างตอบแทน
ควันหลงเทศกาลมหาสงกรานต์
ในจังหวะไล่เลี่ยกับ “วันไหล” บางแสน พัทยา จังหวัดชลบุรี
มันก็มีปรากฏการณ์เซอร์ไพรส์ทางการเมือง ตามการอนุมัติของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ผ่านมติคณะรัฐมนตรีนัดแรกหลังวันหยุดยาว
แต่งตั้งนายสนธยา คุณปลื้ม หัวหน้าพรรคพลังชล อดีต รมว.วัฒนธรรม ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และในคราวเดียวกันยังแต่งตั้งนายอิทธิพล คุณปลื้ม อดีตนายกเมืองพัทยา นั่งในตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีการท่องเที่ยวและกีฬา
มาเป็นแพ็กเกจ 2 พี่น้อง “พลังชล”
เบื้องต้น ตามเหตุผลที่ พล.อ.ประยุทธ์ชี้แจงเป็นเชิงว่า สถานการณ์ใกล้ปลดล็อกการเมืองไปสู่การเลือกตั้ง จำเป็นต้องตั้งที่ปรึกษาทางการเมืองและการบริหารราชการแผ่นดินบ้าง
เพราะตนเองไม่มีความเชี่ยวชาญ
ขณะที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่ตามข่าวเป็นผู้ประสาน ระบุว่า นายสนธยาได้อาสามาเพื่อจะสื่อสารกับประชาชน และทำความเข้าใจกับคนในพื้นที่ เกี่ยวกับโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เพราะพื้นที่ของนายสนธยาเป็นอีอีซีอยู่แล้ว
ดูแนวก็สมเหตุสมผล ว่ากันตามเนื้องาน
แต่โดยเงื่อนไขสถานการณ์มันหนีไม่พ้นถูกมองมุมแฝงเหลี่ยมทางการเมืองอยู่ดี
โดยเฉพาะในสายตาของนักการเมือง ทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยต่างประสานเสียงโจมตียุทธการ “ดูด” ของพรรคการเมืองหนุน “นายกฯลุงตู่” ตีตั๋วต่อ
ปั่นกระแสประจาน “ตกเขียว” ด่า “ตกปลาในบ่อเพื่อน”
ทั้งเตือน ทั้งโห่ฮา ทั้งขู่ จะซ้ำรอยเผด็จการทหารที่ต่อท่ออำนาจการเมือง
แต่เรื่องของเรื่อง นักการเมืองเจ้าถิ่น ขาใหญ่อย่างประชาธิปัตย์กับเพื่อไทยด่าไป
ก็ต้องรีบตาลีตาเหลือก “อุดเลือดไหล” ไป
อาการแบบที่ “นายใหญ่” ดูไบ ต้องส่งน้องเขยอย่างนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ นำทีมแกนนำพรรคเพื่อไทยกว่า 20 คน ไปออกรอบตีกอล์ฟรายการเดิมพันสำคัญ
ชิงตระกูล “สะสมทรัพย์” รั้งบ้านใหญ่จังหวัดนครปฐมให้อยู่กับพรรคต่อไป
ไล่ตามรอยจากที่ “นายกฯลุงตู่” ไปออกรอบ พร้อมปรากฏรูปถ่ายกับพี่น้อง “สะสมทรัพย์” ต่อเนื่องกับปรากฏการณ์ที่ “บ้านใหญ่สะสมทรัพย์” ยังไม่ยืนยันสมาชิกกับพรรคเพื่อไทย
ส่อนัยจะชิ่งวิบากกรรมกับ “นายใหญ่” ย้ายเข้าสังกัดใหม่
อารมณ์เดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ที่ต้องยืนขาสั่น ปากตะโกนเสียงแข็ง มั่นใจจะไม่มีสมาชิกย้ายออกจากพรรคไป ไล่หลังปรากฏการณ์ที่นายสกลธี ภัททิยกุล อดีต ส.ส.กทม. แกนนำ กปปส.ลาออกไปรับตำแหน่งรองผู้ว่าฯ กทม. ต่อเนื่องจากการเข้าพบนายสมคิดที่ทำเนียบรัฐบาล
สถานการณ์ยังโยงกับคิวของนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ อดีตผอ.พรรคประชาธิปัตย์ แกนนำกปปส. ที่ส่อแหกค่าย ตามจังหวะเชิดใส่เสียงไล่ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ประกาศชัดใครหนุน พล.อ.ประยุทธ์ ให้ไสหัวออกจากพรรคไป
ล้อกับข่าววงในประชาธิปัตย์อาจมีอดีต ส.ส.กทม.หายอีกหลายคน
เพื่อไทยกับประชาธิปัตย์ต่างคนต่างผวาแรงดึงดูด “ลุงตู่” ที่ไม่ธรรมดา
นั่นก็เพราะไม่ใช่แค่อิทธิพล อำนาจปืน อำนาจเงิน เหลี่ยมกฎหมาย ตามฟอร์มของผู้นำทหารเท่านั้น
แต่มันยังพิเศษตรงที่กระแสประชาชนไม่น้อย หนุน “นายกฯลุงตู่” ตีตั๋วต่อ เพราะเชื่อมั่นการทำให้บ้านเมืองสงบ จากผลงานที่สามารถคุมความมั่นคงจนปลอดม็อบป่วนเมือง การพัฒนาประเทศเดินหน้าต่อเนื่อง
คนไม่อยากเสี่ยงให้นักการเมืองกลับมาลากไปลงเหววิกฤติ
ประกอบกับแรงส่งจากนายสมคิดก็พาเศรษฐกิจภาพรวมติดลมบน การันตีด้วยคนระดับโลกอย่าง “แจ็ค หม่า” ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทอาลีบาบา และคณะผู้บริหาร บินตรงมาพบ “นายกฯลุงตู่” ที่ทำเนียบรัฐบาล
พร้อมกับมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) โครงการลงทุนด้านสมาร์ทดิจิทัล ฮับ จำนวน 4 โครงการ มูลค่ากว่า 1.1 หมื่นล้านบาท ในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เป็นภาพที่ตอกย้ำเชื่อมั่นสถานการณ์การลงทุนในประเทศไทย
ตลอดช่วง 3–4 ปีที่ผ่านมา มีการแต่งตัวให้พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งในมุมเนื้องาน ความนิยม ความชอบธรรม และความเหมาะสม
เห็นได้ชัดเลยว่า กระบวนการหนุน “นายกฯลุงตู่” ตีตั๋วต่อรอบนี้ เตรียมทำการบ้านมาอย่างดี ศึกษาวางแผนจากโจทย์ความล้มเหลวในอดีต
ไม่ใช่สูตรสำเร็จของพรรคทหารที่ใช้อำนาจใช้เงิน เพื่อไปเจ๊งตอนจบ
ถึงจุดที่ครบเครื่องแล้ว ถึงเปิดไพ่ตีตั๋วต่อ
และแน่นอน ด้วยระบบนิเวศการเมืองแบบไทยๆ การก่อกำเนิดพรรคใหม่ได้ ต่อให้โลกสวย หลักการหรูยังไง มันก็ต้องมีนักการเมืองเก่าเป็นส่วนผสม
เพื่อประกันความชัวร์ ไม่จั่วลมวืดเป้า
โดยเฉพาะตามเงื่อนไขรัฐธรรมนูญใหม่ ถึงแม้จะมีการยกระดับความชอบธรรมให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็น “นายกฯคนใน” จากบัญชีนายกฯพรรค
แต่นั่นก็ต้องได้เสียงไม่ต่ำกว่า 25 ที่นั่ง พรรคถึงจะมีสิทธิเสนอชื่อผู้ชิงนายกฯได้
นี่คือสิ่งที่เป็นคำตอบได้ในเบื้องต้น เหตุผลที่พรรคหนุน “ลุงตู่” ตีตั๋วต่อ จำเป็นต้อง “ดูด” นักการเมืองเข้าสังกัด ไม่เว้นแม้แต่การ “ตกปลา” ในบ่อเพื่อน ดึงตัวกลุ่มการเมืองจากพรรคขนาดกลางและขนาดเล็ก ทั้งๆที่พร้อมยกมือโหวตให้ พล.อ.ประยุทธ์อยู่แล้ว
ต้องเอาให้ชัวร์ที่สุด ไม่เสี่ยงยืมจมูกคนอื่นหายใจ
ไว้ใจเขี้ยวนักการเมืองไม่ได้
และตามรูปการณ์ มันก็ย้อนรอยทฤษฎี “ขนมชั้น” ของ “ทักษิณ ชินวัตร” ในการก่อกำเนิดอาณาจักรไทยรักไทยที่เริ่มต้นจากเทคโนแครต นักวิชาการ รวมตัวกันคิดนโยบายขายตรงกับชาวบ้านรากหญ้า ถัดมาก็ดึงนักธุรกิจชั้นนำที่ประสบความสำเร็จมาร่วมทีม ก่อนจะโปะด้วยนักเลือกตั้งอาชีพเป็นชั้นสุดท้าย
กลายเป็นพรรคการเมืองที่สร้างประวัติศาสตร์ได้รับการเลือกตั้งถล่มทลาย
พรรคหนุน “ลุงตู่” ตีตั๋วต่อ ก็เริ่มก่อกำเนิดจากชื่อของนายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ ทีมมือบริหารของ “สมคิด” เป็นชั้นแรก แล้วก็เริ่มห่อหุ้มด้วยนักการเมืองประเภทชัวร์ๆใส่แต้มล่วงหน้าได้อย่างทีมพลังชลและบ้านใหญ่นครปฐม
และว่ากันตามสูตรการเสริม “ขนมชั้น” ต้องมีตามมาอีกแน่
ไม่ใช่เรื่องเหนือการคาดหมาย ถ้าจะมีการต่อสายให้พรรคการเมืองขนาดกลางและขนาดเล็กที่เคยมีที่นั่งในสภาฯ ทั้งพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา ฯลฯ ส่งตัวแทนเข้ารับตำแหน่ง ร่วมเป็นทีมงานบริหารกับรัฐบาล “ลุงตู่” ลักษณะเดียวกับค่ายพลังชล
ได้ทั้งเนื้องาน พร้อม “มัดจำ” ทางการเมือง
ที่สำคัญเป็นจังหวะแชร์อำนาจให้นักเลือกตั้ง ทหารเลิกผูกขาดแต่ผู้เดียว
ตามรูปการณ์มาถึงตรงนี้มันก็หนีไม่พ้นภาพการเมืองเป็นเรื่องของการสมประโยชน์
ไม่ว่ายุคทหารหรือยุคนักเลือกตั้งครองเมือง
อยู่ที่ว่าจะสมประโยชน์เฉพาะกลุ่ม หรือทำให้ประชาชนสมประโยชน์ด้วย
จากอดีตในยุคประชาธิปไตยเต็มใบ ทฤษฎี “ขนมชั้น” ทำให้ “ทักษิณ” เป็นเสือติดปีก เหลิงอำนาจ แปลงร่างเป็นเผด็จรัฐสภา สุดท้ายเข้าป่าเข้าพง
ทิ้งไว้ซึ่งความเจ็บปวดให้ประเทศไทยต้องเจอกับวิกฤติยาวนับสิบปี
ถึงวันนี้ยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ ภายใต้การนำของ “ลุงตู่” ก็กำลังย้อนตำนานทฤษฎีขนมชั้นเดินหน้าสร้างรัฐบาล “ไทยนิยม” ตีตั๋วต่ออำนาจช่วงเปลี่ยนผ่าน
ประสบการณ์มีตัวอย่างแล้ว ต้องลุ้นตอนจบจะลงเอยอย่างไร.
“ทีมการเมือง”

พึ่ง “พลังดูด” ต่อวีซ่า!

พึ่ง “พลังดูด” ต่อวีซ่า!



โชว์ช็อตอภินิหารกันอีกรอบ
ในซีนที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โหวตล้มกระดาน ไม่เลือก กสทช.ชุดใหม่ ตามที่คณะกรรมการสรรหา กสทช.เสนอชื่อมา 14 คน เพื่อให้ สนช.เฟ้นให้เหลือ 7 คน
ต้องกลับไปเริ่มต้นนับหนึ่งกระบวนการสรรหาใหม่ ซ้ำรอยการเลือก 7 อรหันต์กกต.ก่อนหน้านี้ที่ถูก สนช.ลงมติคว่ำยกเข่งเช่นกัน
แต่ที่ดูร้อนแรงยิ่งกว่า ก็คือปรากฏการณ์ร้อนๆที่ตามมาติดๆทันที คลิปหลุดที่แพร่สะพัดอ้างว่า เป็นบทสนทนาระหว่างการประชุมลับวิป สนช. ที่มีการอ้างชื่อ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ไม่แฮปปี้กับรายชื่อผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็น กสทช.
ถูกโยงมาเป็นจิ๊กซอว์ปะติดปะต่อเป็นเหตุผลสำคัญการเทกระจาดรายชื่อ กสทช.ในเที่ยวนี้
“บิ๊กตู่” เจอหางเลขตกเป็นเป้าสั่งคว่ำกระดานเลือก กสทช. แหล่งขุมทรัพย์มูลค่าหลายแสนล้านบาทที่ใครๆก็อยากเข้ามานั่งคุม
ตัดคะแนนทำเสียรังวัดในจังหวะที่กำลังไล่เก็บแต้มเพิ่มต้นทุนต่อตั๋วอำนาจ
ในคิวที่กำลังตุนไพร่พลใส่สต๊อก ดูดทีมงานพรรคใหญ่-พรรคเล็กเข้าสังกัดเป็นระยะๆ
นำร่องกันอย่างที่เห็นๆการแต่งตั้ง นายสนธยา คุณปลื้ม หัวหน้าพรรคพลังชล เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และ นายอิทธิพล คุณปลื้ม เป็นผู้ช่วย รมต.การท่องเที่ยวและกีฬา
มั่นหมายจองตัวกันล่วงหน้า ก่อนมาร่วมหอลงโรงกันในอนาคต
ยังไม่นับรวมคิวดึงตระกูล “สะสมทรัพย์” ผู้กว้างขวางแห่งนครปฐมมาเป็นพันธมิตร จนพรรคเพื่อไทยก้นร้อนต้องบุกไปออกรอบตีกอล์ฟถึงถิ่น รั้งตัวไม่ให้ย้ายค่าย
ที่ต้องจับตาสถานีต่อไป โปรแกรม ครม.สัญจรเที่ยวหน้า บุกถิ่น จ.บุรีรัมย์ พื้นที่ยึดครองตระกูล “ชิดชอบ” จะมีสัญญาใจอะไรเกิดขึ้นหรือไม่
ตลาดการเมืองดีดตัวคึกคัก ทุกพรรคมีสิทธิถูกตกเขียว เสียกำลังพลให้ คสช. ต้องไล่อุดภาวะเลือดไหลออกกันให้วุ่นวาย
ตามคิวที่ คสช.เดินสายช้อนยกตระกูล ตั้งเป้าดูดเฉพาะพวกสายแข็ง มีศักยภาพในตัวเอง ทำแต้มได้ชัวร์ๆ ไม่ให้ช็อปมาแล้วเสียของ
ไล่กวาดอดีตผู้แทนเข้าสังกัดตามสูตร “สามัคคีธรรมโมเดล” และ “ไทยรักไทยโมเดล” ในอดีต
สอดรับท่าทีของนักเลือกตั้งหลายรายรีบทอดสะพาน ขอแปรพักตร์รับไมตรี เปิดตัวอยู่ข้าง “ลุงตู่” ช่วยผู้นำ คสช.ต่อตั๋วอำนาจ
ภายใต้สถานการณ์บังคับ บีบ “บิ๊กตู่” ต้องเปลี่ยนท่าที หันมาญาติดีฝ่ายการเมือง กลืนน้ำลายที่เคยรังเกียจพรรคการเมืองในช่วงเข้ามาบริหารประเทศใหม่ๆ
และรับประกันได้เลย ในเร็วๆนี้จะมีรายการสมนาคุณแต่งตั้งอดีต ส.ส.มาช่วยงานรัฐบาล สร้างความเชื่อมั่นให้พวกที่ยังลังเลใจ รีบตัดสินใจกระโดดเกาะขบวนรถไฟให้ทัน
เพราะถ้าคิดจะต่อวีซ่าอยู่ยาว ยังไงก็ต้องยืมจมูกนักการเมืองช่วยหายใจ เป็นส่วนผสมที่ขาดไม่ได้
ลำพังยืนด้วยลำแข้งตัวเองคงไม่เพียงพอ ต้องมีนักเลือกตั้งเป็นนั่งร้านสนับสนุน มีตัวเลขจำนวนที่นั่งผู้แทนให้เห็นชัวร์ๆ เพื่อช่วงชิงอำนาจหลังเลือกตั้ง ไม่ใช่แค่พูดฝันกันลอยๆ
สลับฉากไปกับการหั่นแต้มคู่แข่ง 2 พรรคใหญ่ “เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์” ให้ได้ที่นั่งน้อยที่สุด
บวกลบคูณหารกันแล้ว อย่างน้อยต้องมีหน้าตัก ส.ส.เพียงพอ ไว้ต่อรองกับพรรคอื่นๆได้อย่างไม่ขี้เหร่ ไม่ให้ตกเป็นเบี้ยล่าง โดนต่อรองหนักตอนจัดตั้งรัฐบาล
หนีไม่พ้นออกมาในรูปสูตรเดิมๆ “เหล้าเก่าในขวดใหม่” วางรากฐาน ควบแน่นความเข้มแข็ง
เคลียร์ทางให้ “บิ๊กตู่” กลับเข้าสู่ตำแหน่งผู้นำหลังการเลือกตั้ง
จะประชาธิปไตยเต็มใบหรือครึ่งใบ ก็ต้องพึ่ง “พลังดูด” ต่อวีซ่า!!!
ทีมข่าวการเมือง