PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ลุ้นรวมขั้ว

หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ วินิจฉัย ชี้ขาดว่า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ มาตรา 128 ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 91

นั่นก็เท่ากับเป็นสัญญาณ ไฟเขียวให้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เคาะคำนวณ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ตามแนวทางของกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 128 และธงของกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ ที่ต้องการ ให้ทุกคะแนนเสียงมีคุณค่า ไม่ตกน้ำป๋อมแป๋ม

โดยประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ให้พรรคการเมือง จำนวน 26 พรรค ได้ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ตามลำดับอาทิ พรรคอนาคตใหม่ 50 คน พรรคประชาธิปัตย์ 19 คน พรรคพลังประชารัฐ 18 คน พรรคภูมิใจไทย 12 คน พรรคเสรีรวมไทย 10 คน พรรคชาติไทยพัฒนา 4 คน

พรรคเศรษฐกิจใหม่ 6 คน พรรคประชาชาติ 1 คน พรรคเพื่อชาติ 5 คน พรรครวมพลังประชาชาติไทย 4 คน พรรคชาติพัฒนา 2 คน พรรคพลัง-ท้องถิ่นไท 3 คน พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย 2 คน พรรคพลังปวงชนไทย 1 คน และพรรคพลังชาติไทย 1 คน

ส่วนพรรคเพื่อไทยรับประทานแห้ว ไม่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อแม้แต่คนเดียว เพราะได้ ส.ส.ระบบเขตเลือกตั้งเกินจำนวน ส.ส.ที่พึงมีไปแล้ว

ขณะที่พรรคขนาดจิ๋วอีก 11 พรรค แม้มีคะแนนรวมต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 7.1 หมื่นคะแนน แต่ได้รับอานิสงส์จากหลักการทุกคะแนนมีคุณค่า ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เข้าไปชูคอในสภาฯพรรคละ 1 คน

เมื่อสมการตัวเลขผันแปรไปตาม สูตรการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ จึงส่งผลต่อยอดรวม ส.ส.บัญชีรายชื่อกับ ส.ส.ระบบเขต ของแต่ละพรรค ที่ กกต.ประกาศรับรองผลไปก่อนหน้า เมื่อวันที่ 7 พ.ค.

นั่นก็คือ สิริรวมเบ็ดเสร็จ พรรคเพื่อไทย มี ส.ส.136 คน พรรคพลังประชารัฐ 115 คน พรรคอนาคตใหม่ 80 คน พรรคประชาธิปัตย์ 52 คน พรรคภูมิใจไทย 51 คน พรรคเสรีรวมไทย 10 คน พรรคชาติไทยพัฒนา 10 คน พรรคเศรษฐกิจใหม่ 6 คน พรรคประชาชาติ 7 คน พรรคเพื่อชาติ 5 คน พรรครวมพลังประชาชาติไทย 5 คน พรรคชาติพัฒนา 3 คน พรรคพลังท้องถิ่นไท 3 คน พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย 2 คน

ส่วนพรรคพลังปวงชนไทย พรรคพลังชาติไทย พรรคประชาภิวัฒน์ พรรคพลังไทยรักไทย พรรคไทยศรีวิไลย์พรรคประชานิยม พรรคครูไทยเพื่อประชาชน พรรคประชาธรรมไทย พรรคประชาชนปฏิรูป พรรคพลเมืองไทย พรรคประชาธิปไตยใหม่ พรรคพลังธรรมใหม่ และพรรคไทรักธรรม มี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคละ 1 คน

งานนี้ เมื่อโฟกัสค่ายที่ประกาศสัตยาบันจะจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน 7 พรรค ได้แก่ พรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ พรรคเสรีรวมไทย พรรคประชาชาติ พรรคเศรษฐกิจใหม่ พรรคเพื่อชาติ พรรคพลังปวงชนไทย ยามนี้รวมได้แค่ 245 เสียง

ส่วนขั้วพรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรครวมพลังประชาชาติไทย พรรคชาติพัฒนา พรรคพลังท้องถิ่นไท พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย และพรรคจิ๋วพรรคละเสียงอีก 11 พรรค จึงรวมกันได้ประมาณ 200 เสียง

งานนี้ จึงต้องรอลุ้น 52 เสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะเลือกกรรมการบริหารชุดใหม่ 15 พ.ค.นี้ ว่าจะตามแห่มาร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ หรือไม่???

นี่แหละ คือ ซุปเปอร์ตัวแปรตัวจริง!!!

“พ่อลูกอิน”

โมเดลตั้งยากอยู่ง่าย

ถือตั๋วรอขึ้นนั่งแท่นหัวขบวนรัฐบาลสายใหม่แล้ว

ถึงนาทีนี้ ชื่อของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช.

มีโอกาสสูงที่จะคัมแบ็กกลับสู่เก้าอี้ผู้นำ เป็นนายกฯในระบบเลือกตั้งแบบเท่ๆ

อ่านทางว่าชัวร์ จากปากของไพร่พลนอกจากอดีตรัฐมนตรีคนกันเอง อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) มั่นใจว่าพรรคจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หนุน “ลุงตู่” คัมแบ็ก

ล่าสุด 2 ส.ระดับคีย์แมน “กลุ่มสามมิตร” และแถวหน้าค่ายพลังประชารัฐ ทั้ง “สมศักดิ์ เทพสุทิน–สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ออกมาเพิ่มความมั่นใจให้มิตรรักแฟนเพลง

ขานชื่อ “นายกฯลุงตู่” สู่เก้าอี้ผู้นำชัด ขานแต้มพรรคร่วมรัฐบาลขั้ว พปชร.แจ่มแจ้ง

กุมแต้มไว้แล้ว 254-255 เสียงที่นั่ง

นั่นก็ดูจะสอดคล้องสมการตัวเลขที่เปิดกัน ขั้วเพื่อไทยถึงล็อกมัดข้าวต้มแน่นเหนียวกับอนาคตใหม่ เสรีรวมไทย เศรษฐกิจใหม่ ประชาชาติ พลังปวงชนไทย เพื่อชาติ

แต้มก็ยังแค่ 245 ไม่เกินครึ่งคือ 250 เสียง

ถึงแม้จะพลิกเกมได้ แต่ด่าน 250 ส.ว.เป็นกำแพงจังก้าขวางทาง

ที่หวังลุ้นเล็กๆ ตัวแปรค่ายประชาธิปัตย์ 52 เสียงพลิกข้างก็ได้เฮ แต่สถานการณ์จริง ก็ลุ้นได้อย่างมากแค่ประชาธิปัตย์แยกขั้วแบ่งข้างมาหนุน และถึงพลิกจริง จะลุ้นต่อให้แต้มขั้วเพื่อไทยไหลเกินครึ่ง 2 สภา

จะดีลแต้ม ส.ว.มาบวกเพิ่มเป็น 375 เสียงขึ้นยังมีโอกาสน้อย

อ่านโผ 250 ส.ว.ที่เริ่มโผล่ ชี้ถึง “ที่มา” ขั้วฝ่าย เกมไม่เปลี่ยนแน่

สำคัญเหนืออื่นใด สัญญาณบ้านเมืองเริ่มชัด เส้นทาง “บิ๊กตู่” สว่างวาบยิ่งกว่า

สะท้อนให้เห็นจากพรรคเล็กพรรคน้อย ค่ายที่ได้ปัดเศษได้ที่นั่ง ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 1 ที่นั่ง สุดท้ายก็รวมตัวประสานเสียงเทข้างพลังประชารัฐ หนุน พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยเหตุผลสุดหรู

แต่ก็ถือเป็นความจริง “เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้”

ไม่ติดล็อก ไม่ขึงพืดแล้วเดินไปสู่ทางตัน

ไม่เท่านั้น แม้แต่ปรากฏการณ์ดึงตัว “กบฏ” ค่ายใหญ่แหกคอกตามที่เดาทางกัน ไม่เฉพาะกับในขั้วอนาคตใหม่ ที่แว่วเสียงงูเห่าสีส้ม แม้แต่ในค่ายเพื่อไทยก็อ่านกันได้

ในภาวะที่พรรคในเครือข่ายนายใหญ่อุปถัมภ์ กับเส้นทางแสงสว่างริบหรี่ปลายอุโมงค์

เอาเข้าจริงก็เริ่มมีเสียงแว่ว ขุดบ่อรอช่วงฤดูแล้ง ไปทำไม

หนทางกลับคืนสู่กระดานอำนาจของนายใหญ่ ไร้วี่แวว สัญญาณตอบรับจากปลายทาง นอกจากนิ่งสนิท ยังมีปรากฏการณ์แปลกๆ ฟ้าฝนคำรามเป็นระลอก ในห้วงเปลี่ยนผ่านฤดูกาลบ้านเมือง

แผนเอ ชะงัก แผนบี แผนซี เกมสำรองยังไม่เข้าฝัก โอกาสเกิดรายการ “แหกคอก” กลางฤดูกาล ก็ไม่แน่

ฉะนั้นอย่างที่ระดับโคตรเซียน 2ส. “สุริยะ–สมศักดิ์” ประเมิน เสียงปริ่มน้ำไม่มีปัญหา ถ้าบริหารจัดการได้ดี

บริหารความสัมพันธ์ในพรรคร่วมให้ลงล็อกไปตลอดรอดฝั่ง อาจครบ 4 ปีก็เป็นได้

ทำนอง “ตั้งง่าย” ก็อาจ “อยู่ยาก” แต่ถ้า “ตั้งยาก” อาจ “อยู่ง่าย”

เหนืออื่นใด นาทีนี้โฟกัสการเมืองดูจะข้ามจากช็อตทุลักทุเล ยังมีอีกหลายด่านกว่าจะเข้าเป้า โดยเฉพาะการยื่นเรื่องตีความการคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของขั้วเพื่อไทย–อนาคตใหม่

แต่ขั้วพลังประชารัฐ มองเลยไปถึงเรื่องการจัดแบ่งเก้าอี้ จัดการเกลี่ยแบ่ง ล็อกโควตา รมต.กันแล้ว

ในจุดที่มองว่าธรรมชาติของรัฐบาลผสม ก็เป็นเรื่องธรรมดาต้องต่อรองเจรจาเก้าอี้ เพียงแต่ถ้ามองยาวถึงการบริหารงานของรัฐบาลชุดใหม่ จากปมนี้ส่อแววไม่ราบรื่น ไม่มีดาบ ม. 44 เหมือนโหมด “ห้วงพิเศษ”

นอกจากภาวะที่ “บิ๊กตู่” ต้องเป็นฤาษีเลี้ยงลิง บริหารงานคน ทั้งในรัฐบาลและพรรคร่วมในสภาฯ

อีกเรื่องสำคัญที่คนจับตา กับภาวะอารมณ์ของผู้นำ เพราะบทหวานก็หยดย้อย บทของขึ้นใครก็ฉุดไม่อยู่ ปรอททะลุเม้งแตกกันได้ง่ายเหมือนกัน

ถึงเวลา “ฤาษีตู่” คงต้องบำเพ็ญตบะกันเข้มๆเลย.

ทีมข่าวการเมือง