PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

สัญญานศก.?ปลัดอำเภอปล้นร้านทองที่พะเยา

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 3 กรกฎาคม ตำรวจ สภ.เมืองพะเยา รับแจ้งมีเหตุคนร้ายบุกเดี่ยวใช้อาวุธปืนจี้ชิงทรัพย์ที่ร้านทองเอเชียในตัวเมืองพะเยา  จึงพร้อมด้วยตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมืองพะเยา รุดไปที่เกิดเหตุ ซึ่งที่เกิดเหตุเป็นร้านทอง เลขที่ 520 ต.เวียง อ.เมือง จ.พะเยา ชื่อร้านทองเอเชีย  พบคนร้ายกำลังต่อสู้กับเจ้าของร้านทองซึ่งเป็นผู้หญิง 3 คน และชาวบ้านอีกจำนวนหนึ่ง  ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้าไปควบคุมตัวคนร้าย  โดยคนร้ายซึ่งเป็นชายสูงราว 170 เซนติเมตร  ผิวขาวเหลือง  ถูกของแข็งตีที่บริเวณศีรษะเป็นแผลฉกรรจ์เลือดอาบทั้งตัว   ถูกตำรวจควบคุมตัว พร้อมของกลางอาวุธปืนกึ่งอัตโนมัติ จำนวน 1 กระบอก และค้อน 1 อัน  ขึ้นรถไปทำการสอบสวน  และทำแผล   โดยทราบชื่อภายหลัง คือนายชัยสิทธิ์  กิตติพงษ์  ตำแหน่ง ปลัดอำเภอ (เจ้าพนักงานปกครอง ชำนาญการ) ช่วยราชการ อ.แม่ใจ   


จากการสอบสวน นางนุจรี  สุทธิกุลบุตร  อายุ 52 ปี เจ้าของร้านทอง  ซึ่งถูกคนร้ายยิงเฉี่ยวบริเวณสะโพกได้รับบาดเจ็บ  ระบุว่า  ขณะที่ตนและญาติอีก 2 คนซึ่งเป็นผู้หญิงนั่ง อยู่ภายในร้านทอง ก็ได้มีชายสวมหมวกกันน็อคเต็มใบ สวมเสื้อคลุมแขนยาวสีเขียวขี้ม้า  กางเกงขายาว เดินเข้ามาในร้าน ในมือถือค้อนพร้อมชักอาวุธปืนสั้นขึ้นมาข่มขู่ให้เปิดตู้  นำทองออกมาให้  แต่ตนเองและญาติที่อยู่ในเหตุการณ์อีก 2  คน ไม่ยอม  คนร้ายจึงยิงปืนข่มขู่  พร้อมกับทุบตู้กระจกหวังจะชิงทอง  ตนเห็นท่าไม่ดี  จึงได้ช่วยกันรุมเพื่อแย่งอาวุธปืน แต่คนร้ายกลับใช้ปืนยิงอีกราว 2 นัดกระสุนถูกบริเวณสะโพกของตนเองได้รับบาดเจ็บ  และเกิดการชุลมุนขึ้น ก่อนที่จะเรียกให้คนบริเวณใกล้เคียงให้มาช่วย ก่อนที่จะแย่งค้อนที่คนร้ายนำมาได้   จากนั้นได้ช่วยกันทุบศีรษะจนคนร้ายร่วงลงไปกองกับพื้นที่ และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาล็อกตัวไว้ดังกล่าว  ส่วนญาติที่อยู่ในร้านทองอีก 2 คนได้รับบาดเจ็บที่มือ และที่ใบหน้าเล็กน้อย 


ต่อมา นายนิมิต  วันไชยธนวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา  พร้อมด้วยนายสรธร  สันทัด  ปลัดจังหวัด  ได้เดินทางมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ  เบื้องต้นยังไม่ได้ให้สัมภาษณ์อะไร ส่วนแรงจูงใจการก่อเหตุในครั้งนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่  สำหรับร้านทองดังกล่าวเป็นร้านของพี่สาว  นายจรัส  สุทธิกุลบุตร  สปช.พะเยา  ซึ่งขณะเกิดเหตุตัวนายจรัส  ไม่ได้อยู่ภายในร้าน

เอกสารสั่งประกบฝ่ายต้าน

เพจของฝ่ายสนับสนุน 14น.ศ. เผยเอกสารสั่งการจากฝ่ายทหารในการประกบตัว น.ศ. และ อาจารย์ ที่สนับสนุน


ทหารพรานวิสามัญแก๊งยานรก7ศพคาสวนชา-ยึดเฮโรอีนล็อตใหญ่ 70 กก.

7 ศพเรียงเป็นตับ! ทหารพรานวิสามัญแก๊งยานรกคาสวนชา-ยึดเฮโรอีนล็อตใหญ่ 70 กก.
Cr:ผู้จัดการ
เชียงราย - ทหารพรานกองกำลังผาเมืองปะทะเดือดแก๊งขนยาเสพติด ยิงกันสนั่นสวนชาชายแดนเชียงราย วิสามัญคาราวานขนยาดับ 7 ศพ ยึดเฮโรอีนตราสิงโตคู่เหยียบลูกโลกได้ถึง 200 กว่าแท่ง น้ำหนัก 70 กก. พร้อมเร่งขยายผลล่าคนในขบวนการที่หนีไปได้บางส่วนต่อ
เช้ามืดวันนี้ (3 ก.ค.) พ.อ.อดุลย์ ลอยฟ้า ผบ.ฉก.ทพ.31 กองกำลังผาเมือง สั่งการให้ ร.อ.สมนึก วงษาไฮ ผบ.ร้อย.ทพ.3109 ปฏิบัติหน้าที่อยู่ชายแดนไทย-พม่า ด้าน อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย จัดกองกำลัง 1 ชุดปฏิบัติการ ออกสกัดกั้นการลักลอบนำเข้ายาเสพติดพื้นที่บ้านแม่จันหลวง ม.10 ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง หลังสืบทราบว่าจะมีการลักลอบนำเข้ายาเสพติดจากชายแดน โดยใช้คาราวานเดินเท้ามาตามป่าเขาเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา
ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้นำกำลังไปดักซุ่มบริเวณถนนทางขึ้นป่า ซึ่งมีสวนชาของชาวบ้านปลูกอยู่ กระทั่งเช้ามืด เวลาประมาณ 05.00 น.เศษ ได้ตรวจพบกลุ่มชายฉกรรจ์ประมาณ 10 คนเดินมาตามถนนที่เป็นทางเดินเท้าดินลูกรัง กำลังขึ้นเนินตรงไร่ชาดังกล่าว เจ้าหน้าที่เห็นกลุ่มคนดังกล่าวมีการพกพาอาวุธปืน และหลายคนแบกกระเป๋าเป้สีเขียวเป็นผ้าลักษณะเป็นกองคาราวานยาเสพติด จึงให้สัญญาณหยุดตรวจ พร้อมแจ้งให้วางอาวุธ
แต่ปรากฏว่ากลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าวกลับแตกตื่น และใช้อาวุธปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่เพื่อจะเปิดทางหลบหนีจึงเกิดการปะทะกันขึ้นนานกว่า 15 นาที จนเกิดเสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณ กระสุนของทั้งสองฝ่ายตกกระจายไปทั่วพื้น เมื่อสิ้นเสียงปืนเจ้าหน้าที่พบว่ากลุ่มชายฉกรรจ์บางส่วนได้ล่าถอยหลบหนีเข้าป่าไป
จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุพบฝ่ายตรงกันข้ามเสียชีวิตจำนวน 7 ราย ทั้งหมดเป็นชาย คาดว่าอายุตั้งแต่ 30-40 ปี ลักษณะเป็นชาวเขาเผ่ามูเซอ แต่งกายด้วยชุดเสื้อผ้าที่เป็นกางเกงขายาว และเสื้อแขนยาว สวมรองเท้าผ้าใบเดินป่า เสียชีวิตเรียงรายเป็นทางยาวตามแนวถนนดินลูกรัง และบางส่วนถูกยิงเสียชีวิตในไร่ชา
ตรวจสอบแต่ละศพพบว่าเกือบทั้งหมดแบกกระเป๋าเป้สีเขียวดังกล่าวเอาไว้บนหลัง เป้บางใบเปิดออกระหว่างการปะทะ และล้มลงบนพื้น เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบปรากฏว่า ภายในกระเป๋าต่างบรรจุยาเสพติดประเภทเฮโรอีนตราวงกลมสีแดงมีรูปสิงโตเหยียบลูกโลก และตัวอักษรว่า DUBLE UOGLOBE BRAND อยู่เต็มทุกใบ เจ้าหน้าที่จึงนำออกมาชั่งน้ำหนักพบว่ามีอยู่รวมกันทั้งหมดจำนวน 201 แท่ง น้ำหนักรวมกันประมาณ 70 กิโลกรัม นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังพบปืนยาวอาก้า AK 47 ของคนร้ายที่ทิ้งเอาไว้ในที่เกิดเหตุจำนวน 1 กระบอก
ต่อมาทาง พล.ต.กษิดิศ หลักกรด ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง, พ.อ.ประพัฒน์ พบสุวรรณ ผบ.ฉก.ม.2 กองกำลังผาเมือง ได้รับรายงานจาก ฉก.ทพ.31 ซึ่งเป็นหน่วยขึ้นตรง ก็ได้เดินทางไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ ขณะที่เจ้าหน้าที่ได้กระจายกำลังกันออกติดตามค้นหากลุ่มขบวนการที่เหลือ และขยายผลเพื่อติดตามจับกุมเครือข่ายยาเสพติดรายนี้ทั้งหมดต่อไปแล้ว


200 เจ้าของเรือ และอุตฯ เกี่ยวเนื่องประมงที่ปัตตานี บุกยื่น 4 ข้อผ่านผู้ว่าฯ จี้รัฐผ่อนปรนจับสัตว์น้ำได้

มาตามนัด! 
กว่า 200 เจ้าของเรือ และอุตฯ เกี่ยวเนื่องประมงที่ปัตตานี บุกยื่น 4 ข้อผ่านผู้ว่าฯ จี้รัฐผ่อนปรนจับสัตว์น้ำได้
กลุ่มผู้ประกอบการเรือประมงพาณิชย์ และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง จ.ปัตตานี มาชุมนุมตามนัดกว่า 200 คน หลังสักการะพระบรมรูป ร.5 ก็ยาตราเข้าสู่ศาลากลาง ยื่น 4 ข้อเรียกร้องผ่านผู้ว่าฯ ให้นำเสนอรัฐบาล เน้นแก้กฎหมาย และผอ่นปรนให้สามารถนำเรือออกจับสัตว์น้ำในทะเลได้
เช้าวันนี้ (3 ก.ค.) ที่บริเวณลานด้านหน้าอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 เขตเทศบาลเมืองปัตตานี อ.เมือง จ.ปัตตานี นายสุรัตน์ ธวัชสานนท์ แกนนำกลุ่มเรือประมงและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องต่อประมงในพื้นที่ จ.ปัตตานี ได้นำผู้ประกอบการเรือประมง และอุตสาหกรรมกว่า 200 คน รวมตัวแสดงพลัง พร้อมชูป้ายผ้า 11 ผืน มีข้อความสื่อถึงผู้ว่าฯ ปัตตานี และรัฐบาล ขอความเห็นใจให้แก่ผู้ประกอบการเรือประมงที่ยังไม่สามารถดำเนินการปรับปรุงให้เรือประมงถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งได้ถูกห้ามออกจับสัตว์น้ำในทะเลตั้งแต่วันที่1ก.ค.ที่ผ่านมา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การชุมนุมของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมประมงใน จ.ปัตตานีครั้งนี้ แกนนำได้นำดอกกุหลาบ พร้อมธูปเทียนไปสักการะอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 ด้วย เพื่อขอพรให้ช่วยเหลือกลุ่มชาวประมงให้ผ่านพ้นวิกฤตดังกล่าว ต่อจากนั้นกลุ่มชาวประมงต่างเดินเข้าไปภายในศาลากลางเพื่อเข้าพบ นายวีรพงค์ แก้วสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี พร้อมยื่นหนังสือขอให้ภาครัฐทบทวนการบังคับใช้กฎหมาย และขอให้แก้ไขปัญหาที่ผู้ประกอบการเรือประมงไม่สามารถออกจับปลาได้ โดยเนื้อหาหนังสื่อดังกล่าวได้เสนอแนวทางแก้ไขไว้ 4 ข้อคือ
1.แก้ไขประกาศกฎกระทรวงเรื่องการปฏิบัติเกี่ยวกับการควบคุมจำนวนเครื่องมือทำการประมงอวนลาก และอวนรุน พ.ศ. 2539และเรื่องกำหนดให้ใช้เครื่องมือทาการประมงอย่างหนึ่งอย่างใดในที่จับสัตว์น้ำ พ.ศ. 2543พร้อมเสนอให้ใช้กฎระเบียบตามหลักสากลIUUมาจับแต่ละเครื่องมือ เท่านี้เรือประมงก็ถูกกฎหมาย และตอบโจทย์IUU ได้
2.แรงงานต่างด้าวขอให้แก้ไขดังนี้ ระยะแรกขอให้จดทะเบียนแรงงานต่างด้าวได้ตลอดตามโควตาที่ขอไว้ต่อสานักงานจัดหางาน เพื่อแก้ปัญหาเรื่องแรงงานผิดกฎหมาย ระยะที่ 2ตั้งศูนย์บริการด้านแรงงานที่ชายแดน เพื่อรับแรงงานที่ถูกกฎหมายเข้ามาทางานในประเทศ สามารถได้ข้อมูลแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงาน100% และระยะยาว ใช้แรงงานMOUก็สามารถมีแรงงานเพียงพอทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าแรงงานต่างด้าวเป็นเรื่องจำเป็น ถ้าไม่มีแรงงานธุรกิจประมงเดินต่อไปไม่ได้
3.ขอขยายเวลาผ่อนปรนการจัดทาตามมติที่ประชุม ศปมผ.ครั้งที่8/2558ทั้ง15 ข้อ เพื่อให้ชาวประมงสามารถไปดาเนินการให้ถูกต้องตามที่ระบุไว้ใน15ข้อนี้ เรือประมงก็จะได้ถูกต้องตามกฎหมายที่ภาครัฐต้องการ
และ 4.ในการออกกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อชาวประมง ให้ตัวแทนประมงพาณิชย์ หรือผู้มีส่วนได้เสียได้เข้าไปมีบทบาทในการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องด้วย


อึ้ง!ชายนิรนามบุกม.ธรรมศาสตร์ สบถใส่กลุ่มนศ. ซัดไร้สาระ

อึ้ง!ชายนิรนามบุกม.ธรรมศาสตร์ สบถใส่กลุ่มนศ. ซัดไร้สาระ
Cr:แนวหน้า
3 ก.ค. 58 ที่แฟนเพจ "กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย (LLTD)" รายงานว่า เมื่อเวลา 16.06 น. ที่ผ่านมา ภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ได้มีชายนิรนามรายหนึ่งเดินผ่าน กลุ่มนักศึกษาที่นั่งทำกิจกรรมภายในมหาวิทยาลัย พร้อมกับต่อว่านักศึกษากลุ่มดังกล่าว
ข้อความที่แฟนเพจกลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย (LLTD) ระบุมีดังนี้
"เมื่อ 16.06 ที่ผ่านมีชายนิรนาม เข้ามาคุกคามพวกเรา ซึ่งในตอนแรกนั้นเขาเดินผ่านไปพร้อมกับพูดว่า "แม่งไร้สาระวะ !!" "ไอ้พวกควาย" สมาชิกกลุ่มเราจึงมองตามว่าชายนิรนามคือใคร? และเดินไปทางไหน ? เมื่อเขาหันมาเห็นว่าสมาชิกกลุ่มเรามองอยู่จึงมิงกลับมา ต่อว่า "มึงมองค_ยไร กูแสดงความเห็นไม่ได้หรอ ทีมึงยังแสดงความเห็นได้เลย" เพื่อนเราจึงตอบกลับไปว่า "ยังไม่ว่าอะไรเลยแค่มองเฉยๆ" เขาจึงตอบกลับว่า "เดี๋ยวตบแม่งเลยไอ้พวกควาย" ในขณะที่มีปากเสียงกันนั้ย เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูแลกลับไม่อยู่ในเหตุการณ์ แต่สมาชิกของเราสามารถบันทึกภาพไว้ได้จึงแนบมาเป็นหลักฐานไว้ ‪#‎หยุดคุกคามนักศึกษา‬"


กสม.เชิญ พ่อ-แม่-ชาวบ้าน ที่เกี่ยวข้องกับ 14 นศ. ทหารโผล่อัดวีดีโอ

กสม.เชิญ พ่อ-แม่-ชาวบ้าน ที่เกี่ยวข้องกับ 14 นศ. พูดคุย "นพ.นิรันดร์" ฉุน เจ้าหน้าที่ทหารโผล่สังเกตการณ์-บันทึกภาพ พร้อมสั่งโทรเช็คต้นสังกัด ระบุเป็นการแทรกแซงการทำงานของกสม.
http://www.matichon.co.th/online/2015/07/14359125651435912612l.jpg

เมื่อเวลา 10.00 น. วัน ที่ 3 กรกฎาคม ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ประธานอนุกรรมการสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง กสม.จัดประชุมเพื่อรับฟังข้อเท็จจริง กรณีการจับกุม 14 นักศึกษากลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ โดยมีผู้ปกครอง อาจารย์ของนักศึกษา พร้อมด้วยชาวบ้านที่เคยทำงานภาคประชาชนร่วมกับกลุ่มดาวดิน และผู้แทนจากสภาทนายความ เข้าร่วมการประชุมด้วย

โดยนายวิบูลย์ บุญภัทรรักษา บิดานายจตุรภัทร บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน กล่าวว่า เรื่องนี้เริ่มต้นจากการที่นายกฯลงพื้นที่ขอนแก่นแล้วลูกไปชู 3 นิ้ว จากนั้นก็ได้มีการเรียกไปปรับทัศนคติ และเรียกคุยหลายครั้ง ทั้งนี้ ตนทราบว่าลูกทำกิจกรรมกับชาวบ้านวังสะพุง ทั้งนี้ การทำกิจกรรมก่อนที่จะถูกจับนี้เขาก็คิดว่าสามารถทำกิจกรรมได้ เพราะขณะนั้นมีทั้งตำรวจและทหารอยู่ในพื้นที่จำนวนมาก ซึ่งเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่พอทำกิจกรรมเสร็จไปแล้วกลับมาตามจับย้อนหลัง แล้วโยงเข้ากฎหมายอาญา มาตรา 116 ซึ่งแล้วตอนที่ทำกิจกรรมทำไมไม่ห้าม อยากให้ทางกสม.ในส่วนนี้       

ขณะที่นางเรวดี สิทธิสุราษฎร์ มารดานายรัฐพล ศุภโสภณ หรือบาส นักศึกษากลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า เมื่อวานนี้ (2 กรกฎาคม) มีเจ้าหน้าที่ทหารนอกเครื่องแบบมมาพบ พร้อมจะเชิญไปพบผู้บังคับบัญชา ซึ่งเขาไม่ได้แสดงบัตรว่าเป็นใคร เราจึงไม่ไป เพราะรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย ไม่น่าไว้ใจ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ทหารนอกเครื่องแบบนั้นเขาถามว่าต้องการให้ช่วยอะไร เราก็ขอว่า ถ้าบอกผู้บังคับบัญชาได้ก็อยากให้ปล่อยเด็กๆเสีย เพราะพวกเขาไม่ใช่กบฎ เขาก็รักชาติไม่แพ้ทหาร และต้องการที่จะแสดงออกในวาระอันสมควร เวลาเขาไปทำกิจกรรม เขาไม่เคยบอกเราเลย เขาไม่ต้องการมวลชนไม่ว่าเสื้อสีไหน ไม่ต้องการให้นักการเมืองมายุ่ง 10 ปีมานี้ สังคมเรามันแย่ แต่เด็กเหล่านี้กลับถูกหล่อหลอมให้ทำกิจกรรมซึ่งเป็นสิ่งที่น่ายินดีไม่ใช่หรือ เพราะพวกเขาคืออนาคตของชาติ        

นางเรวดี กล่าวอีกว่า ทำไมต้องใช้วิธีรุนแรงกับเด็ก ทำลายอนาคตของชาติ เขาเพียงกลุ่มเล็กๆ ที่ต้องการแสดงความคิดเห็นที่เขาพอจะทำได้โดยไม่ได้ก่อให้เกิดอันตราย หรือทำลายความมั่นคงของใคร แม้แต่คสช. หรือรัฐบาล อยากให้สังคมมองเขาดีๆ ให้โอกาส ให้พื้นที่เขา แค่นี้ก็จบ ไม่ต้องทำลายหรือกำจัดกันขนาดนั้น เขายังต้องไปเรียน ยังต้องเติบโต เราต้องส่งไม้ต่อให้พวกเขา ถ้าจะให้ดีก็อยากให้มองกันในแง่ดี ผู้ใหญ่เข้าใจเด็ก เขาไม่ได้สร้างความวุ่นวาย แค่ 14 คน ประเทศยังเดินหน้าไปได้ แต่ที่ทำนี้เด็กๆ ก็เดือดร้อน จึงไม่อยากให้มาถึงจุดนี้ หากกสม.จะช่วยเหลืออะไรได้ก็อยากให้ช่วย แต่ข้อเรียกร้องของคนเป็นแม่จะไปตรงกับความต้องการของเด็กๆ หรือไม่นั้น ก็ต้องบอกว่าไม่มีอำนาจที่จะไปบังคับเขาได้ เพราะไม่มีใครไปบังคับเขาได้ เขาจะตัดสินใจอย่างไรก็อยู่ที่กลุ่มของพวกเขา แต่อย่ายัดข้อหาให้เขา ขอกระบวนการยุติธรรมที่ควรจะเป็น ไม่ใช่บอกให้เขาเซ็นชื่อแล้วรับปากว่าจะไม่จับเขาแล้วก็มาจับเขา           

จากนั้นที่ประชุมได้ให้ตัวแทนชาวบ้านจากพื้นที่ที่กลุ่มดาวดินเคยเข้าไปช่วยเหลือในด้านสิทธิมนุษยชนสิทธิชุมชนและสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วยกลุ่มอนุรักษณ์สิ่งแวดล้อมบ้านนามูล จังหวัดขอนแก่น บ้านดงมูล จังหวัดกาฬสินธุ์ และกลุ่มคนรักบ้านเกิด เหมืองทอง จังหวัดเลย กล่าวถึงกิจกรรมที่ผ่านมาของกลุ่มดาวดินในทำนองเดียวกัน ว่า รู้จักกลุ่มดาวดิน เพราะนักศึกษาลงไปให้ความรู้ชาวบ้าน เมื่อครั้งมีบริษัทนายทุนเข้าไปสำรวจปิโตรเลียมในพื้นที่จนกระทบกับสิ่งแวดล้อมในชุมชน ซึ่งกลุ่มดาวดินทำให้ชาวบ้านได้รู้ถึงสิทธิเสรีภาพของตัวเอง ไม่ได้มีลักษณะเป็นการปลุกระดมชาวบ้านให้ก่อม็อบหรือสร้างความวุ่นวายในสังคม และที่สำคัญไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเมืองแต่อย่างใด 


อีกทั้งยังระบุอีกว่าตั้งแต่ที่มีการรัฐประหาร ชาวบ้านก็ไม่สามารถจัดกิจกรรมที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมได้อีก เนื่องจากเจ้าหน้าที่มักจะโยงให้กลายเป็นประเด็นทางการเมืองจนทำให้เกิดความอึดอัด กลุ่มดาวดินจึงลุกขึ้นมากิจกรรมโดยมีเบื้องหลังคือความเดือดร้อนของชาวบ้าน ดังนั้นการที่ชาวบ้านในพื้นที่ไปให้กำลังใจเหมือนเป็นความผูกพันทางใจ เพราะเห็นว่าการสนับสนุนผู้ที่ปกป้องชุมชนนั้นไม่ใช่การทำลายชาติหรือความมั่นคงแต่อย่างใด        

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่กำลังมีการชี้แจงถึงการทำกิจกรรมของกลุ่มดาวดินในการช่วยชาวบ้านที่ผ่านมานั้น ชาวบ้านที่เข้าร่วมประชุมหลายคนถึงกับหลั่งน้ำตาและขอร้องให้ปล่อยตัวนักศึกษาที่ถูกจับกุมโดยเร็ว 
อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่มีการชี้แจงช่วงหนึ่งได้มีเจ้าหน้าที่แต่งกายคล้ายทหารเข้ามาในห้องประชุม จนทำให้นพ.นิรันดร์ พักการประชุมและให้เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวแนะนำตัว ซึ่งระบุว่าเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจากกรมธนารักษ์ ถูกสั่งให้มาบันทึกภาพและสังเกตการประชุม

โดยนพ.นิรันดร์ กล่าวว่า การกระทำดังกล่าวถือเป็นการแทรกแซงการทำงานของกสม. เพราะกรมธนารักษ์ไม่ได้ทำหนังสือขออนุญาตก่อน เข้ามาโดยพลการ นพ.นิรันดร์จึงกำชับว่าให้กลับไปรายงานผู้บังคับบัญชาให้ถูกต้อง หากข้อมูลผิดเพี้ยนจะดำเนินการฟ้องร้องเจ้าหน้าที่คนดังกล่าว เพราะไม่ไว้ใจในการเสนอข้อมูล พร้อมกับให้เจ้าหน้าที่กสม.ไปตรวจสอบกับกรมธนารักษ์ถึงจุดประสงค์ในการส่งคนเข้ามาสังเกตการประชุม         

จากนั้น นายแสงชัย รัตนเสรีวงษ์ อนุกรรมการด้านสิทธิชุมชน ในฐานะฝ่ายพยานผู้เชี่ยวชาญ กล่าวว่า ได้ตั้งข้อสังเกตจาก 2 ข้อกล่าวหาในการจับกุมกลุ่มนักศึกษาที่ทำผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 และขัดคำสั่งคสช.ที่ห้ามชุมนุมเกิน 5 คนนั้น หากแยกตามพฤติการณ์ดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จ.ขอนแก่น ที่หน้าหอศิลป์กรุงเทพ หรือที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนิน มาเทียบเคียงกับฐานความผิดตามข้อกล่าวหานั้น เห็นว่าไม่มีข้อใดที่เข้าข่ายว่ากระทำความผิด เนื่องจากจุดมุ่งหมายตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับ 2540 จนถึงฉบับชั่วคราว 2557 ได้มีการรับรองเรื่องประชาธิปไตยและประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ

หากกล่าวหาเช่นนี้คงต้องมีการอธิบายว่าผิดอย่างไร อีกทั้ง หากผิดทางอาญา ควรต้องขึ้นศาลอาญาหรือไม่ ขนาดสมัยจอมพลสฤษดิ์ หรือจอมพลถนอม ก็ใช้ศาลอาญาในการดำเนินคดี เราไม่ได้บอกว่าการวิธีพิจารณาคดีของศาลทหารไม่คำนึงถึงหลักเสรีภาพ แต่มองว่าศาลอาญาจะมีความเชี่ยวชาญและความเคยชินกับวิธีพิจารณาความอาญา มากกว่า ซึ่งประเด็นนี้มีผลต่อสาระสำคัญอย่างมาก ที่กสม.ต้องให้ความสนใจ        

น.ส.รัตนมณี พลกล้า อนุกรรมการด้านสิทธิชุมชน กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของนักศึกษาที่รัฐบาลออกมาระบุว่ามีกลุ่มการเมืองอยู่เบื้องหลังนั้น ตนเห็นว่าเป็นหน้าที่ของรัฐที่ต้องพิสูจน์ความจริงมีหลักฐานที่ประจักษ์และยืนยันได้ แล้วค่อยไปตั้งข้อกล่าวหา เนื่องจากอาจเกิดความเข้าใจผิดกับนักศึกษาเหล่านี้ว่ามีเจตนาล้มล้างรัฐบาล ซึ่งคงไม่ใช่แบบนั้น อีกทั้งการที่ศาลทหารมีข้อกำจัดในการอุทธรณ์และฎีกา เพราะเป็นศาลชั้นเดียว ย่อมไม่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีนี้อย่างแน่นอน ขณะเดียวกันขอให้ กสม.ตรวจสอบการคุกคามทนายความกรณีการตรวจค้นรถของทนายความของนักศึกษาทั้ง 14 คน เนื่องจากทนายความจะมีกฎหมายคุ้มครองในการเก็บรักษาความลับของลูกความ      

สุดท้าย นพ.นิรันดร์กล่าวสรุปว่า การชี้แจงในวันนี้เพื่อเป็นการตรวจสอบให้เห็นว่ากลุ่มดาวดินทำงานกับคนยากจน ในการช่วยเหลือด้านสิทธิมนุษยชนและสิทธิชุมชนมาตั้งแต่ปี 2540 ในฐานะกลุ่มดาวดินสามารถเรียกว่าเป็นนักต่อสู้สิทธิมนุษยชน ซึ่งที่ผ่านมาตนได้รับข้อความในลักษณะที่เป็นการสาดโคลนเข้าหากันโดยไม่เข้าใจข้อมูลที่เท็จจริง ตนจึงเชิญกลุ่มชาวบ้านที่รู้จักกลุ่มดาวดินมากกว่า 10 ปี มาชี้แจง ไม่เช่นนั้นสังคมจะไม่ข้ามพ้นความขัดแย้ง เพราะตนไม่อยากให้กลับไปเหมือนเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519

ส่วนประเด็นทางกฎหมายและการกระทำของรัฐที่มีการตั้งข้อหากบฎ ใช้ศาลทหาร แม้คิดว่ามีความชอบธรรม แต่ถ้าจะให้ชอบธรรมมากขึ้นต้องยึดหลักนิติธรรม สิทธิมนุษยชน พยานหลักฐานต่างๆ ต้องชัดเจน รวมทั้งในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ที่มีการค้นรถทนายความ ซึ่งตนจะเชิญเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และสภาทนายความ มาชี้แจงอีกครั้งในวันที่ 8 กรกฎาคมนี้   

"มาร์ค" หวั่น รัฐจับ 14 นศ.ทำบานปลาย แนะ หาหลักฐานมัดหากเชื่อว่ามีคนหนุนหลัง

"มาร์ค" หวั่น รัฐจับ 14 นศ.ทำบานปลาย แนะ หาหลักฐานมัดหากเชื่อว่ามีคนหนุนหลัง เชื่อมีคนหากินกับปชต.หวังผลทางการเมือง

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 3 กรกฎาคม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) กล่าวถึงกรณีการฝากขัง 14 นักศึกษากลุ่มดาวดิน ว่า ตนเป็นห่วงว่าการที่รัฐบาลออกมาระบุว่า มีคนอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของนักศึกษากลุ่มนี้ โดยที่ยังไม่มีการนำหลักฐานที่ชัดเจนมาเปิดเผยต่อสาธารณชนอาจเป็นการผลักนักศึกษาที่บริสุทธิ์ไปอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง ดังนั้นรัฐบาลควรแยกแยะให้ดี เพราะต้องยอมรับว่าฝ่ายที่ต่อต้านโดยบริสุทธิ์ใจ มีจริง เรื่องจะได้ไม่ลุกลามบานปลาย  ตนไม่อยากให้คนเหล่านี้ถูกผลักไปอยู่ฝ่ายตรงกันข้าม หรือไปฝักใฝ่การเมืองขั้วใดขั้วหนึ่ง

เมื่อถามว่า กระแสนี้จะจุดติดหรือไม่เพราะมีการเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ 14 ตุลา นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า มีขบวนการที่หากินกับประชาธิปไตย โดยมีผลประโยชน์การเมืองแอบแฝงอยู่ ตนจึงอยากให้รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แยกแยะให้ได้ ระหว่างคนที่เคลื่อนไหวโดยสุจริตกับคนที่มีผลประโยชน์แอบแฝงด้วยการวางกติกาที่ชัดเจนว่าถ้าเป็นการแสดงออกที่ไม่กระทบต่อความมั่นคงของรัฐสามารถทำได้โดยระบุให้ชัดว่าถ้ามีเบื้องหลังก็ให้มีความผิด ซึ่งจะแยกแยะในหลักการได้มากกว่า ส่วนรูปแบบจะเป็นอย่างไรคิดว่าสังคมดูออกว่า อะไรที่จะนำไปสู่ความปั่นป่วนวุ่นวายและอะไรไม่นำไปสู่ความวุ่นวาย

ต้นเหตุแห่งข่าวลือเรื่อง"ป๋าเปรม"

พลโทพิศณุ ทส.ป๋าเปรม เผย ป๋าไปเช็คร่างกาย ที่รพ.พระมงกุฎฯ วานนี้แค่1ชม.อาจเป็นที่มาข่าวลือเสียชีวิต ป่วยหนัก สงสัยทำไมลือป๋าบ่อย ออกงานปกติ ยันสุขภาพแข็งแรง ยังออกงานตามปกติ ไม่อยากวิจารณ์คนปล่อยข่าว ชี้ ไม่ใช่ครั้งแรกมีกลุ่มคอยจ้องโจมตี ขอสื่อเสนอความจริง
จากกรณีที่มีกระแสข่าวลือถึงพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษว่า มีอาการป่วยหนักถึงกับต้องนำส่งโรงพยาบาลฉุกเฉินและได้เสียชีวิตอย่างเฉียบพลันตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่ามานั้น
พล.ท.พิศณุ พุทธวงศ์ หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษ ในฐานะนายทหารคนสนิทพล.อ.เปรม ได้กล่าวยืนยันว่า ไม่เป็นความจริงฝพล.อ.เปรม ท่านไม่ได้เป็นอะไรทั้งสิ้น สุขภาพแข็งแรงดี ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แค่ไปเชคร่างกาย ที่รพ.พระมงกุฎฯ วานนี้แค่1ชม.อาจเป็นที่มาข่าวลือ
พลเอกเปรม ยังคงมีภารกิจปกติ วันนี้พล.อ.เปรม จะเดินทางไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เพื่อถวายพรในโอกาสคล้ายวันประสูติ ล่วงหน้า 4 กค.ที่พระราชวังสวนจิตรลดา
เมื่อวันที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมายังเป็นตัวแทนพระองค์เชิญพวงมาลาและน้ำหลวงอาบศพบุคคลสำคัญ ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์ ซึ่งก็ไม่เห็นมีอาการป่วยอย่างที่ปรากฏเป็นข่าว
และเมื่อวันก่อน พล.อ.เปรม ก็ได้ให้การต้อนรับ รัฐมนตรีต่างประเทศอินเดียที่เดินทางมาเข้าเยี่ยมคำนับ
พล.ท.พิศณุ ตั้งข้อสังเกตุว่าข่าวลือแบบนี้ ออกมาบ่อย ไม่รู้ว่าเขาหวังผลอะไรไม่อยากจะวิเคราะห์ เพราะมีการปล่อยข่าวในลักษณะนี้อยู่เป็นประจำ ในช่วงสถานการณ์การเมืองที่เปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว และไม่ใช่การปล่อยข่าวครั้งแรกมีการทำมาหลายครั้ง เพราะมีกลุ่มที่จ้องโจมตีพล.อ.เปรม มาตลอดเวลาซึ่งทางพล.อ.เปรม ท่านก็ไม่ได้สนใจกับข่าวบิดเบือนเหล่านี้ จึงอยากขอให้สื่อมวลชนช่วยนำเสนอข่าวที่เป็นความจริงด้วย
cr เพจวาสนา นาน่วม


ขืนผ่อนผันต้องบั่นประเทศขาย เปลว สีเงิน

03072558 ขืนผ่อนผันต้องบั่นประเทศขาย เปลว สีเงิน
พี่เปลว ตีปัญหาของสื่อ
ต้องรีบปฏิรูปสื่อ ให้เสนอความจริง มีความรับผิดชอบ
ไม่ใช่สื่อของทุนบางส่วน ที่ใช้สื่อ รับใช้ผลประโยชน์ของตน ทำให้ประเทศเสียหาย
.....................
มันจะเว่อร์ไปหน่อยมั้ง....โดยเฉพาะโทรทัศน์ช่อง TNN
พอเรือประมง "แค่ส่วนหนึ่ง" ที่ไม่ยอมทำตามกฎหมาย จอด-ไม่ออกจับปลาปุ๊บ ก็ประโคมข่าวปั๊บ.......
"ปลาขาดตลาด ราคาพุ่งพรวด"!
เรือขนาด ๓๐ ตันกรอสที่พร้อมใจกันหยุดนี้ เป็นเรืออวนรุน-อวนลาก-อวนล้อม เป็นการทำประมงชนิด "ล้างผลาญปลาทั้งทะเล"
เพราะความถี่ของอวนที่ใช้ อย่าว่าแค่ลูกปลาเลย ขนาด "ไรน้ำ" ยังยากหลุดรอดวงล้อมอวนไปได้!
เรียกว่าทั้งบรรดา "สัตว์น้ำ" ไม่มียกเว้นชนิด-ประเภท-ขนาด พวกเรือประมงอวนล้อม-อวนรุน-อวนลาก
กวาดหมดทั้งท้องทะเล!
เอาไปทำอะไร...ปลาตัวเล็ก-ตัวน้อย กระจ้อยร่อย-กระจิริด?
ลากขึ้นเรือแต่ละรอบเห็นกองเป็นภูเขาย่อมๆ จะว่าเอาไปขายให้คนกินตามตลาด มันก็จะดูบ้าทั้งคนกิน-คนขาย เพราะเล็กเกิน
หลักๆ เอาไปเข้าโรงงานผลิตอาหารสัตว์ โรงงานน้ำปลา ที่โตขึ้นมาหน่อย ทำเป็นของกินประเภท "เสริมแคลเซียม"
ส่วนปลาขายตามตลาด ไม่ได้มาจากเรือพวกนี้โดยตรง ส่วนหนึ่งจะมาจากเรือประมงชายฝั่ง ประมงชาวบ้าน
พวกนี้ "สด-ปราศจากสารเคมี" เพราะเข้าฝั่งวัน-ต่อวัน ซึ่งประมงชาวบ้าน เป็นวิถีธรรมชาติ อยู่นอกข่ายกฎหมายควบคุมฉบับนี้
และขณะนี้ ประมงชายฝั่งก็ออกหาปลาตามปกติ ได้มาก็เอามา "ขายปลีก-ขายส่ง" ตลาด มากน้อยก็สุดแต่วันไหนจับได้มาก-ได้น้อย ส่วนจะถูก-จะแพง ว่ากันตามคุณภาพ
ฉะนั้น อย่าหลับหู-หลับตา "มโนข่าว" เห็นเรือประมงหยุดปุ๊บ ก็ออกข่าวปลาขาดตลาด และขึ้นราคาปั๊บ
มันยังไม่ขาดและขึ้นราคาเร็วขนาดนั้นหรอก........!
เพราะปกติ เรือขนาด ๓๐-๖๐ ตันกรอสที่ออกไปจับปลานั้น เป็นเดือน-ครึ่งเดือน หรือหลายวัน กว่าจะกลับเข้าฝั่ง
นั่นหมายถึง ปลาที่จับได้เมื่อวาน ไม่ได้เอามาขายตลาดวันนี้ จะถูก "แช่เย็น" แล้วราดน้ำยาเคมีเสริมโหงวเฮ้งให้ดูสดเสมออยู่ในห้องเย็นใต้ท้องเรือ เป็นหลายๆ วัน
อย่างเช่น ปลาทู ก็โน่น...อย่างเร็ว ๑ ปี อย่างปกติอีก สองปี-สามปี ถึงจะออกจากห้องเย็น กระจายตามท้องตลาดให้ซื้อหากัน
ไม่เป็นอย่างข่าวที่วี้ดว้ายกันว่า เรือประมงหยุดปุ๊บ ปลาขาดตลาดปั๊บ นั่นหรอก!?
เพราะประมงด้วยเรือกว่า ๓๐-๖๐ ตันกรอส เป็นประมงระบบธุรกิจอุตสาหกรรม ทั้งห้องเย็น, อาหารทะเล, อาหารสัตว์ แบบแปรรูป-ไม่แปรรูป
เรือเทียบท่า ปลาก็เข้าสู่วงจรธุรกิจอุตสาหกรรม แยกประเภทเข้าห้องเย็น ก่อนจำแนก-แยกประเภทไปตามลูกค้า
บางส่วน เก็บไว้แข็งเป็นหิน ทยอยป้อนตลาดไล่เรียงกันไป รับใหม่เข้ามา ทยอยเก่าออกไป หมุนเวียนอย่างนี้
ฉะนั้น ไปอีสาน-ไปเหนือถึงดอยอินทนนท์ ก็ยังมี "ซีฟู้ด" ให้กินไง!
ที่พูดนี่ กันคนหลงตามข่าว หรือถูกพ่อค้า-แม่ค้า "โก่งราคา" เกินเหตุ
ที่เรือประมงอ้าง "ต้องหยุด" เพราะกลัวถูกจับ เนื่องจากปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายไม่ได้นั้น แค่เรือส่วนหนึ่ง
ส่วนที่ปฏิบัติตามกฎหมายได้ ทั้งเรือ ๓๐-๖๐ ตันกรอส อีกตั้งหลายหมื่นลำ เขาก็ออกทะเลกันตามปกติ
ฉะนั้น ปลายังมีกิน ถึงไม่มีก็ยังมีปลาน้ำจืด ปลาเขมร คงไม่แพงเว่อร์จนต้องตื่นเต้น เป็นข่าวเขย่าเมืองอย่างนั้นหรอก
ผมอยากเรียนท่านนายกฯ ลุงตู่ว่า "อย่าผ่อนปรน-ผ่อนผัน" อีกเป็นอันขาด!
เรื่องเรือประมงผิดกฎหมายนี้ อย่าไปโทษอียูว่าเขาแกล้ง มันเป็นข้อเท็จจริงควรปฏิบัติ และเขาปฏิบัติกันทั้งโลก ไม่งั้น กุ้ง-หอย-ปู-ปลา จะเกิดไม่ทันให้คนกิน
หรือแค่ได้เกิด ไม่ทันโต พวกเรือประมง อวนรุน-อวนลาก-อวนล้อม ก็กวาดทะเลเอาไปซะแล้ว!
"องค์การอาหารโลก" เขาก็ห่วง จึงมีกฎระเบียบออกมา ไทยเราก็เห็นดี-เห็นงาม เซ็นรับทราบตกลงไว้แล้วตั้งแต่ปี ๒๕๕๑ โน่น
กฎ-กติกา กับไทย อียูกำหนดเริ่มแต่ปี ๒๕๕๓ แต่ไทยก็แบบไทยนั่นแหละ รับทราบ แต่ไม่รับปฏิบัติจริงจัง
กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมเจ้าท่า-กรมประมง ก็อย่างว่า....ข้าราชการไทยๆ เอาตำแหน่ง แต่ไม่เอางาน จนกว่าถึงเส้นตาย-ไฟลนก้นนั่นแหละ จะลนลานออกมา........
"กำลังดำเนินการอยู่ครับ"
ครั้นถาม.....ไหนล่ะ ที่ว่าดำเนินการ?
ก็จะบอก...เจ้าหน้าที่เราน้อย กำชับลงไปแล้วครับ!
พวกรัฐบาลกับข้าราชการ "ขนมจีน-ผสมน้ำยา" แบบนี้มาตลอด คนไทยก็เลยมีนิสัยแบบนี้ กฎหมาย-กฎระเบียบ ไม่ต้องสนใจ รอจนถึงเส้นตาย โวยวายนิดหน่อย......
เดี๋ยวรัฐบาลก็จะผ่อนผัน...ขยายเวลาให้เอง!
เป็นอย่างนี้มาตลอด คนไทยชินกับการไม่ตรงเวลา ชินกับข้อยกเว้น ชินกับสิทธิพิเศษ ชินกับการฝ่าฝืนกฎกติกา ชินกับคำว่า...เดี๋ยวก็อภัยโทษ
กรณีเรือประมงนี่เหมือนกัน..........
ทำดื้อตาใส สไตรค์ไม่ออกทะเลด้วยอ้าง "กลัวถูกจับ" บังหน้า แต่หวังใช้ผลกระทบเรื่องตลาด เรื่องแรงงาน เรื่องอาหาร เรื่องอุตสาหกรรม เป็นตัวบีบและกดดัน
ให้รัฐบาล "ผ่อนผันการทำประมงผิดกฎหมาย" ออกไปอีก เป็นครั้งร้อยและที่ล้าน!
บ้านเมืองเละเทะ สังคมประเทศ-สังคมคน พัฒนาการทางจิตสำนึก "ต่ำมาตรฐาน" กว่าชาติอื่นลงไปเรื่อยๆ ก็เพราะการบริหารและปกครองของไทย เอะอะก็อะลุ้มอล่วย ผ่อนผัน ขยายเวลา ยกเว้น นี่แหละ
จนได้ชื่อว่า ไทย มีกฎหมายมากที่สุดในโลก
คนไทย...ชอบ "ไม่ทำตามกฎหมาย" มากที่สุดในโลก
รัฐบาลไทย รับทุกเรื่อง แต่ไม่ทำซักเรื่อง และชอบสิทธิพิเศษมากที่สุดในโลก!
ที่เรือประมงหยุดเชิงประท้วง ก็หวังให้รัฐบาลผ่อนผัน "ให้ทำประมงผิดกฎหมาย" ได้ต่อไป เหมือนที่ผ่อนผันมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งนั่นแหละ
ถูกต้องแล้วที่นายกฯ ลุงตู่ ยืนกราน "ไม่ผ่อนผัน"!
อ้างไม่สามารถทำให้ถูกกฎหมายได้ ฟังแล้วทุเรศ มาตรการที่เขาให้ปฏิบัตินั้น ดูแล้ว เป็นพื้นฐานควรทำ
อย่างเช่น ต้องตีทะเบียนเรือ ต้องมีใบอาชญาบัตร และทำให้ตรงตามอาชญาบัตร ไม่ให้ใช้อวนตาถี่กวาดจับปลาไม่เลือกชนิด ต้องจัดทำระบบติดตามตำแหน่งเรือที่เรียก VMS ลูกเรือต่างชาติต้องมีใบอนุญาต เป็นต้น
เรือลำละ ๑๐-๒๐ ล้าน มีได้ แต่ให้ติด VMS ๒-๓ หมื่นอ้างแพง ให้ตีทะเบียนเรือก็อิดออด ให้ใช้เครื่องมือจับปลาตรงตามที่ขออนุญาต ก็บอก ต้องใช้ทุนมาก
สรุปแล้ว เอาแต่ได้ และที่สำคัญ อวนรุน-อวนลาก-อวนล้อม มันเป็นประมงโลภ-ล้างผลาญ กินปลาทั้งทะเลตัวเล็ก-ตัวน้อยเอาหมดในคราวเดียว
ไม่เพียง "ไม่ผ่อนผัน" ควรต้องจับกุมให้เป็นตัวอย่าง โดยเฉพาะ เรือเถื่อนสวมทะเบียน
ไม่ออกทะเลกันเลยหมื่น-สองหมื่นลำยิ่งดี กุ้ง-หอย-ปู-ปลา จะได้มีเวลา-มีชีวิตผสมพันธุ์-ขยายพันธุ์ และได้เติบโต
อ่าวไทยจะได้มีปลากลับมาเสียที ชาวบ้านร้านตลาดจะได้กินอาหารทะเลที่ไม่แช่สารพิษดังทุกวันนี้จากประมงชาวบ้าน ประมงชายฝั่งแทน
ปัญหา "ดื้อกฎหมาย" เอะอะก็รอผ่อนผันจะไม่เกิด ถ้า "กรมเจ้าท่า-กรมประมง" เอาไหนมากกว่าที่เป็นอยู่
ถ้ารัฐบาล คสช.ไม่ขืนนิสัย-ขืนสันดานสังคมไทยในคราวนี้
ก็...ยากแล้ว........
ที่จะเห็นประเทศไทย โดยคนไทยจะศิวิไลซ์ด้วย "อารยวัฒนธรรมสำนึก" บนความรับผิดชอบ และเคร่งครัด-จริงจังต่อกฎระเบียบ "ร้อยรัดสังคม" สู่ความเป็นไทยคุณภาพ
๑๔ คราบนักศึกษา ทำผิดกฎหมาย พวกจานข้าวหมา ก็บอกให้ปล่อยทันที เรือประมงผิดกฎหมาย ก็บอกไม่สามารถทำให้ถูกกฎหมายได้
พล.ต.ท.คำรณวิทย์ พกปืนเข้าไปในสนามบินที่ญี่ปุ่น โฆษกตำรวจไทย ซึ่งรู้กฎหมาย และเป็นผู้รักษากฎหมาย ก็บอกปืนเล็กนิดเดียว อายุมากแล้ว ลืมติดอยู่ในกระเป๋า ไม่น่าจะมีอะไร
เพราะทัศนคติอย่างนี้มีอยู่ทั่ว จึงไม่แปลกที่คนพวกหนึ่งโหยหา "ระบอบทักษิณ" ฉะนั้น นายกฯ ลงตู่..........
ต้อง "แข็งเพื่อชาติ"!.

ทบ. เผย หมู่บ้านสีแดง จาก162 หมู่บ้าน 3จ.ใต้ หยุดความเคลื่อนไหวไป60 หมู่บ้าน

ทบ. เผย หมู่บ้านสีแดง จาก162 หมู่บ้าน 3จ.ใต้ หยุดความเคลื่อนไหวไป60 หมู่บ้าน ผบทบ.สั่งรปภ.เข้ม7โซน/ นายกฯสั่งศึกษาพิจารณาปรับปรุงกฎหมายให้ กอ.รมน. และ ศอ.บต. อยู่ภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกัน บูรณาการแก้ใต้

พ.อ.บรรพต พูลเพียร โฆษก กอ.รมน. ได้เปิดเผยผลการประชุมชี้แจงและสั่งการของ ผบ.ทบ. ต่อ ผบ.นขต.ทบ. ครั้งที่ 7/2558 (วาระปกติ) โดยมี พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผบ.ทบ./รอง ผอ.รมน. เป็นประธานในเรื่องการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ จชต. ในส่วนการรุกทางการเมืองในหมู่บ้านเสริมสร้างความมั่นคง 162 หมู่บ้าน เพื่อสลายโครงสร้างหมู่บ้านจัดตั้ง

ผลการปฏิบัติมีความก้าวหน้ามาโดยลำดับ ปัจจุบันพบว่ามีหมู่บ้านที่หยุดการเคลื่อนไหวแล้ว 60 หมู่บ้าน
สำหรับการเฝ้าระวังการก่อเหตุในห้วงเดือนรอมฎอนนั้น กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้ประกาศใช้แผนรอมฎอนเดือนแห่งสันติสุข ซึ่งผลการปฏิบัติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย นอกจากนั้น กอ.รมน.ภาค 4 สน. ยังได้บูรณาการกำลัง 3 ฝ่าย ในการเฝ้าระวังเมืองเศรษฐกิจหลัก 7 เมือง พร้อมทั้งใช้กำลังควบคุมเส้นทางในเขตเมืองหลังเวลาเที่ยงคืนตามความเหมาะสม ตลอดจนเสริมสร้างเครือข่ายภาคประชาชนในเขตเมืองให้มีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังการก่อเหตุรุนแรง

โดยการส่งเสริมเครือข่ายวิทยุเครื่องแดงในการเจ้งเตือนและรายงานข่าวสารที่สำคัญให้แก่เจ้าหน้าที่
ด้านปัญหาแรงงานต่างด้าวและผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ในห้วงเวลาเจ้าหน้าที่ได้ขยายผลติดตามจับกุมผู้กระทำผิดที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายการค้ามนุษย์อย่างจริงจัง ทั้งนี้ ในห้วงเวลาไม่ปรากฏการตรวจพบและจับกุมผู้หลบหนีเข้าเมืองซึ่งเป็นผู้โยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติในมหาสมุทรอินเดียเพิ่มเติม

ผบ.ทบ./รอง ผอ.รมน. ได้ชี้แจง/สั่งการเพิ่มเติม โดยนำผลการประชุม ครม. เมื่อ 16 มิ.ย.ที่ผ่านมาว่า พลเอก ประยุทธ์
นายกฯ/หน.คสช. มีข้อสั่งการให้มีการศึกษาพิจารณาปรับปรุงกฎหมายให้ กอ.รมน. และ ศอ.บต. อยู่ภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกัน เพื่อให้การบูรณาการแก้ไขปัญหา จชต. เป็นไปอย่างมีเอกภาพรวมทั้งเรื่องการปฏิบัติการบรรเทาสาธารณภัย ให้มีการพิจารณาบูรณาการกับเหล่าทัพ และปรับปรุงกฎหมายให้ กอ.รมน.เข้ามามีส่วนร่วมด้วย ดังนั้น จึงให้ กอ.รมน.เชิญส่วนราชการที่เกี่ยวข้องประชุมหารือเพื่อให้ได้แนวทางในการปฏิบัติรองรับโดยเร็ว

เรื่องการแก้ไขปัญหา จชต. ปัจจุบันสถานการณ์ในภาพรวมมีแนวโน้มที่ดีขึ้นมากอันเป็นผลจากการที่ทุกภาคส่วนร่วมมือร่วมใจกันดูแลสถานการณ์ รวมทั้งการขับเคลื่อนกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุข จชต. ที่มีความก้าวหน้าตามลำดับ

อย่างไรก็ตามยังคงมีเหตุลอบยิงประชาชนรายวัน จึงให้หน่วยเร่งรัดความคืบหน้าคดีเพื่อแยกแยะคดีด้านความมั่นคงกับคดีอาชญากรรมทั่วไปให้ชัดเจน

นอกจากนี้ ผบ.ทบ./รอง ผอ.รมน. ได้แสดงการสนับสนุนโครงการด้านการกีฬาในพื้นที่ จชต. อาทิ ฟุตบอล มวย ฯลฯ เพื่อสนับสนุนเด็กและเยาวชนในพื้นที่ให้ห่างไกลยาเสพติดและลดความเสี่ยงต่อการถูกชักจูงให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมายต่างๆ โดยให้ กอ.รมน.ภาค 4 สน. ส่งเสริมโครงการเหล่านี้ทั้งในระดับอำเภอจนถึงระดับจังหวัด และตามผลการประชุม คปต. เมื่อ 1 ก.ค.58 รอง นรม./ประธาน คปต. ได้มอบหมายให้ กอ.รมน. เป็นหน่วยรับผิดชอบการบูรณาการเกี่ยวกับกล้องวงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่ จชต. ทั้งระบบ ตั้งแต่การจัดหา การใช้งาน และการบำรุงรักษา เนื่องจากมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาก จึงให้หน่วยที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการโดยด่วนต่อไป


"จรัญ" หนุนชงคดี นศ.ต้านรัฐสู่ศาลยุติธรรม เตือนขึ้นศาลทหารจุดอ่อนผู้ไม่หวังดีโจมตี

"จรัญ" หนุนชงคดี นศ.ต้านรัฐสู่ศาลยุติธรรม เตือนขึ้นศาลทหารจุดอ่อนผู้ไม่หวังดีโจมตี

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
2 กรกฎาคม 2558 12:59 น.
จรัญ หนุนชงคดี นศ.ต้านรัฐสู่ศาลยุติธรรม เตือนขึ้นศาลทหารจุดอ่อนผู้ไม่หวังดีโจมตี
นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (แฟ้มภาพ)
        ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ติงท่าทีรัฐควรใช้แบบพ่อแม่ ต่อเด็กต้าน ไม่ลุแก่อำนาจ จะประคองความเห็นต่างได้ ชมใช้ ม.44 อย่างชาญฉลาด แต่ต้องพอเหมาะพอควร บอกดำเนินคดีสู่ศาลทหารถือเป็นจุดอ่อน หวั่นเป็นช่องทางของผู้ไม่หวังดี ชี้นำขึ้นศาลพลเรือนทำได้ ชาติไม่เสียหาย แนะแก้กฏหมายใส่ข้อยกเว้นเพิ่มเติม มั่นใจศาลยุติธรรมดูแลบ้านเมืองได้ แต่ถ้าเริ่มใช้อาวุธเมื่อไหร่ค่อยนำขึ้นศาลกองทัพ
      
       นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ เวทีความคิด ทางสถานีวิทยุคลื่น 96.5 เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ถึงกรณีที่กลุ่มประชาธิปไตยใหม่ และกลุ่มดาวดิน 14 คน ถูกจับกุมกรณีรวมตัวกันต่อต้านรัฐบาล ขัดคำสั่งหัวหน้า คสช. และถูกควบคุมตัวดำเนินคดีในศาลทหารโดยระบุว่า ตอนนี้คนส่วนใหญ่ก็เข้าใจว่ารัฐบาลต้องการรักษาความสงบเรียบร้อยในบรรยากาศทางการเมือง อะไรที่ขัดแย้งกันเอาไว้ก่อนเพื่อใช้เวลาปฏิรูปประเทศ แก้ปัญหาเก่าๆ ที่หมักหมม ข้อนี้เข้าใจได้ และทุกคนก็เข้าใจ แต่เมื่อมีกรณีคนที่ไม่เห็นด้วยโดยเฉพาะกลุ่มนิสิตนักศึกษา ส่วนตัวคิดว่า ท่าทีของรัฐบาลจะต้องไม่ใช่ท่าทีของผู้ทรงอำนาจ น่าจะเป็นท่าทีของพ่อแม่กับลูกหลาน ครูอาจารย์กับลูกศิษย์ หรืออย่างน้อยที่สุดผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา ถ้าทำไม่ดีจะเกิดความเสียหาย ก็ต้องดุ ต้องว่า ต้องติ ต้องลงโทษตามสมควร ซึ่งทั้งหมดต้องทำโดยชัดเจนว่าเพื่อประโยชน์ที่ใหญ่ของส่วนรวม แต่ต้องไม่เกินเลย ไม่แสดงลุแก่อำนาจ จะต้องรักษาภาพนี้เอาไว้ให้ได้ จึงจะสามารถประคับประคองความเห็นที่แตกต่างกันในจุดนี้ให้ผ่านไปได้อย่างราบรื่นที่สุด
      
       นายจรัญ อธิบายว่า จุดหนึ่งคิดว่าทิศทางของรัฐบาลที่จะใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวมาตรา 44 อย่างสร้างสรรค์ ถือว่าเป็นท่าทีที่ชาญฉลาดมาก เข้าใจว่า รัฐบาลก็ใช้ตรงนี้อย่างสร้างสรรค์ แต่ต้องทบทวนว่าภาพที่ออกมานั้นหนักไปนิดหนึ่ง ตรงที่นำเข้าไปสู่การพิจารณาของศาลทหาร ทำให้เปิดช่องว่างให้ฝ่ายโน้นฝ่ายนี้มารุกเร้ารัฐบาลได้
      
       “ในช่วงนี้ ต้องปรับตรงนี้ ว่าถ้ายืนบนหลักการ ต้องใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวมาตรา 44 อย่างสร้างสรรค์ แต่ต้องพอเหมาะพอควร ต้องปรับตัวได้ อย่าปล่อยให้หลุดไปอยู่ทางตัน อย่างเวลานี้กำลังเข้าไปอยู่ในช่องที่เสียเปรียบ เพราะการทำอะไรที่หนักเกินไป จะมีแรงกระแทกกลับมาได้โดยไม่จำเป็น ทุกคนเข้าใจว่า สถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้มันจำเป็น แต่ก็ต้องยอมรับว่าระบอบทั้งหมดของประเทศเรา มันไม่ใช่เผด็จการเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ยังต้องพยายามประคับประคองบรรยากาศของสิทธิเสรีภาพให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และใช้อำนาจพิเศษเฉพาะที่จำเป็นและสร้างสรรค์ ต้องรักษาแนวนี้ไว้ และการส่งเรื่องที่ไม่จำเป็นเข้าสู่ศาลทหาร ถือเป็นจุดอ่อน” ศาสตราจารย์จรัญ กล่าว
      
       ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า การใช้ศาลพลเรือน สามารถทำได้ เพราะไม่ได้ทำให้มาตรการของการดูแลรักษาประเทศต้องเสียหาย จะบอกว่า กฎหมายเวลานี้ ต้องไปศาลทหาร แต่กฎหมายเวลานี้ก็เขียนได้ ปรับได้ โดยการเพิ่มเติมข้อยกเว้น ว่าถ้ามีกรณีที่ไม่เหมาะสมที่จะส่งเข้าไปศาลทหาร ก็ให้ดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและเข้าระบบศาลยุติธรรม ส่วนตัวมั่นใจศาลยุติธรรมจะดูแลรักษาบ้านเมืองรักษาความถูกต้องเป็นธรรม รักษากฎหมาย ไม่มีอะไรเสียหาย ก็ดูได้ว่าถ้าเริ่มนำอาวุธมา เริ่มสร้างความรุนแรง จะจารกรรม จะวินาศกรรม เรื่องนี้ต้องเด็ดขาด อย่างนี้ต้องขึ้นศาลทหาร
      
       “ในการปฏิวัติสมัยก่อนๆ คณะปฏิวัติก็ยังไม่ส่งไปศาลทหารทั้งหมดเลย ก็ประกาศให้ศาลพลเรือน ให้ศาลยุติธรรมทำหน้าที่อย่างศาลทหาร มันมีช่องทางยกเว้นได้ อย่าปล่อยให้ประเทศตกเข้าไปอยู่ในทางตันเพราะกฎหมาย นั่นจะเป็นช่องทางให้คนไม่หวังดีต่อบ้านเมืองเรา หรือคนที่มองแตกต่างจากเรา หยิบยกขึ้นมาเป็นเหตุโจมตีบรรยากาศในปัจจุบัน” ศาสตราจารย์จรัญ กล่าว

“อนาคตสื่อไทย หลัง รธน. ฉบับใหม่” โดย ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ปธ.กมธ.ยกร่างฯ

“อนาคตสื่อไทย หลัง รธน. ฉบับใหม่” โดย ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ปธ.กมธ.ยกร่างฯ
‘ดร.บวรศักดิ์’ ถามหาอารยวัฒนธรรมสื่อมวลชน
วันที่ 3 กรกฎาคม 2558 สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ จัดงาน ‘กฎหมายใหม่พลิกโฉมสื่อไทย’ เนื่องในโอกาสครบรอบ 18 ปี สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ณ ห้องประชุมอิศรา อมันตกุล สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2558 ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง อนาคตสื่อไทยหลังรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ใจความตอนหนึ่งระบุถึงร่างรัฐธรรมนูญพยายามทำหน้าที่ในหลักการสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นระหว่างเสรีภาพ สิทธิ และเทคโนโลยี 3 ประการ ดังนี้
1.สิทธิรับข้อมูลข่าวสารของประชาชน ถูกเขียนไว้ในมาตรา 48 วรรคหนึ่ง ให้สิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนในการประกอบวิชาชีพตามจริยธรรมเพื่อประโยชน์สาธารณะ ในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนอย่างถูกต้อง ครบถ้วน รอบด้าน และรับผิดชอบต่อสังคม ย่อมได้รับการคุ้มครอง
นั่นหมายความว่า ผู้ร่างรัฐธรรมนูญมองสิทธิของประชาชนเป็นรากฐานของเสรีภาพสื่อมวลชน ซึ่งแตกต่างจากศตวรรษที่ 18 ที่นำเสรีภาพในการแสดงออก เสรีภาพสื่อสารมวลชนไปเป็นเสรีภาพส่วนบุคคล ดังนั้น สื่อมวลชนต้องเน้นสิทธิของประชาชนให้ได้รับข้อมูลข่าวสารถูกต้อง ครบถ้วน รอบด้าน
“หากข้อมูลไม่ถูกต้องหรือรอบด้านถือเป็นการทำลายสิทธิของประชาชน และขาดความหลากหลายในการเลือกบริโภคสื่อ”
นอกจากนี้ร่างรัฐธรรมนูญยังห้ามครองสิทธิข้ามสื่อ โดยเขียนไว้ในมาตรา 50 วรรคสองและสาม ให้กำกับการประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ กิจการโทรคมนาคม และสารสนเทศ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชน ทั้งในระดับชาติและท้องถิ่น คนพิการ เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส ประโยชน์สาธารณะ และส่วนร่วมในการดำเนินสื่อสาธารณะของประชาชน
ปธ.กมธ.ยกร่างฯ บอกว่า สิ่งที่กล่าวมานั้นเป็นเรื่องใหม่ เพิ่งเกิดขึ้นในไทยไม่เกิน 18 ปี นำมาสู่การออกกฎหมายจัดตั้งสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส โดยมีสภาผู้ชมเข้าไปมีส่วนร่วม ทว่า ไม่เพียงพอ เพราะการมีส่วนร่วมไม่เฉพาะการแสดงความคิดเห็นเท่านั้น แต่ผู้ร่างรัฐธรรมนูญต้องการให้มีส่วนร่วมในการดำเนินกิจการ รวมถึงการทำสื่อต่าง ๆ ระดับชุมชน และสื่อทางเลือก ซึ่งไม่ค่อยเกิดขึ้น ยกเว้น บริบททางการเมือง
ทั้งนี้ การกำกับกิจการดังกล่าวต้องครอบคลุมอย่างทั่วถึง มีคุณภาพ และประชาชนเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด ด้วยเพราะที่ผ่านมา องค์กรกำกับดูแลสื่อมักให้ความสำคัญเรื่องรายได้เข้ารับ โดยละเลยการใช้จ่ายของประชาชนที่เกี่ยวพันกับปริมาณการสื่อสารที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม การบัญญัติไว้ในร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้ก็ถูกท้วงติงจากนักวิชาการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กังวลว่า จะไม่ใช้วิธีการประมูลหรือประมูลคนละเงื่อนไข ซึ่งข้อเท็จจริง เงื่อนไขการแข่งขันใช้คลื่นความถี่ต้องตั้งอยู่บนเงื่อนไขเดียวกัน มิใช่ผู้ประกอบกิจการจะเสนอตามใจชอบได้ พร้อมกันนี้ ค่าใช้จ่ายของประชาชนลดลงจะเป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณาด้วย
“มาตรา 48 วรรคห้า และมาตรา 50 วรรคสี่ ระบุให้เจ้าของกิจการสื่อมวลชนต้องมีสัญชาติไทย และบุคคลไม่อาจเป็นเจ้าของกิจการสื่อมวลชนหรือผู้ถือหุ้น ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมหลายกิจการ ในลักษณะอาจมีผลในการครอบงำหรือผูกขาดการนำเสนอข้อมูลข่าวสารหรือความคิดเห็นต่อสังคม หรือมีผลในการขัดขวางการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร หรือปิดกั้นการได้รับข้อมูลข่าวสารที่หลากหลายของประชาชน”
เพราะฉะนั้น ดร.บวรศักดิ์ จึงเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ หรือออนไลน์ ครองสิทธิข้ามสื่อในตัวเองได้ แต่ทำในลักษณะหนึ่งลักษณะใดใน 3 ประการ ข้างต้นไม่ได้ มิฉะนั้นอาจกลายเป็นปัญหา ซึ่งปัญหาที่ว่านี้ไม่ได้เกิดจากสื่อสิ่งพิมพ์ แต่เกิดจากสื่อประเภทอื่น ซึ่งอยู่ในกำกับองค์กรของรัฐที่มีหน้าที่กำกับดูแล ต้องกำหนดหลักเกณฑ์ที่รับได้ให้ดีไม่ให้ผูกขาดการนำเสนอข้อมูลข่าวสารหรือความเห็นทางสังคม
2.ความเป็นอิสระที่มีความรับผิดชอบของสื่อมวลชน โดยร่างรัฐธรรมนูญสร้างหลักประกันความเป็นอิสระ ที่สำคัญ 4 ประการสำคัญ ได้แก่
– อิสระจากภาครัฐ ยกตัวอย่าง ห้ามปิดสื่อมวลชน ห้ามเซ็นเซอร์ข่าว ห้ามนักการเมืองแทรกแซงหรือถือหุ้นในกิจการสื่อ ยกเว้น ผู้พ้นจากการ ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อีกทั้ง จะซื้อโฆษณาหรือบริการอื่นจากสื่อมวลชนโดยรัฐ ต้องอาศัยอำนาจตามกฎหมาย โดยต้องเปิดเผยการจัดสรรงบประมาณให้แต่ละราย เพื่อขจัดการใช้งบประมาณสาธารณะไปครอบงำ แบบไม่รู้สึกครอบงำ
-อิสระจากคนไม่ใช้สัญชาติไทย เจ้าของกิจการหรือผู้ถือหุ้นในกิจการสื่อมวลชนต้องถือสัญชาติไทย แม้จะมีข้อถกเถียงในอนาคตจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน อาจเกิดปัญหาหรือไม่ กรณีนี้ต้องติดตามดูต่อไป
– อิสระจากนายจ้าง
– อิสระในการตรวจสอบทุจริต ไม่เคยถูกเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใด ซึ่งมาตรา 70 วรรคสาม ระบุว่า บุคคลหรือสื่อมวลชนซึ่งให้ข้อมูลโดยสุจริตต่อองค์กรตามรัฐธรรนูญ ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ หน่วยงานภาครัฐ หรือสาธารณะ เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่รัฐ ย่อมได้รับการคุ้มครอง
ปธ.กมธ.ยกร่างฯ ยังระบุว่า ขณะนี้ร่างรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมให้มีกฎหมายว่าด้วยองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนไว้ในมาตรา 49 ซึ่งประกอบด้วยบุคคลในวิชาชีพสื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่ผู้ทรงคุณวุฒิที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ รวมทั้งผู้แทนองค์การเอกชนและผู้บริโภคให้ทำหน้าที่ปกป้องเสรีภาพในการเป็นอิสระของสื่อมวลชน ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานแห่งวิชาชีพ พิจารณาคำร้องขอความเป็นธรรมของผู้ได้รับผลกระทบจากการใช้เสรีภาพ และคุ้มครองสวัสดิการของบุคคล ผู้สื่อข่าว คอลัมน์นิสต์
“ถ้าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านจะต้องมีกฎหมายรองรับ ซึ่งการจัดทำกฎหมายย่อมขึ้นอยู่กับคนในวิชาชีพร่วมกันดำเนินการ เพื่อให้มีองค์กรของตัวเอง จะได้ไม่เกิดปัญหา”
ดร.บวรศักดิ์ กล่าวอีกว่า 3.การปฏิรูปสื่อมวลชน เขียนไว้ในมาตรา 296 เดิม แต่ขณะนี้กำลังนำเนื้อหาไปบรรจุไว้ในร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปฏิรูปแทน เพราะรัฐบาลระบุว่า หากนำสาระการปฏิรูปไว้ในรัฐธรรมนูญเสี่ยงจะเกิดความขัดแย้งในอนาคต ครั้นจะแก้ไขภายหลังก็คงยาก โดยมีเนื้อหากำหนดมีกลไกส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานในวิชาชีพเกิดเสรีภาพที่มีความรับผิดชอบ และปฏิรูปกลไกให้มีความเป็นอิสระของสื่อจากรัฐและทุน
ทั้งนี้ ปัจจุบันรัฐไม่ได้คุมสื่ออีกต่อไป ตรงกันข้ามทุนกลับคุมสื่อแทน ฉะนั้นทำอย่างไรไม่ให้ทุนคุมสื่อ หรือทุนเลิกใช้อำนาจจนทำให้ผู้สื่อข่าวหรือคอลัมน์นิสต์มีอิสระลดลง ฝากให้คิดว่า ควรมีกฎหมายกำหนดให้กิจการสื่อไม่ว่าจะเป็นวิทยุ โทรทัศน์ ต้องจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็นบริษัทจำกัด (มหาชน) และบุคคลใดถือครองหุ้นเกิน 5% ไม่ได้
“ผมเชื่อว่าถ้าผลักดันเรื่องนี้จริง กมธ.ยกร่างฯ คงถูกตียับเยิน ทว่า ผู้แทนราษฎรอังกฤษกลับเห็นด้วย เพราะอำนาจทุนคนเดียวสามารถชี้นิ้วสั่งการได้ แต่เมื่อจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ อำนาจในการครอบงำสื่อจะลดลง”
สำหรับกลไกกำกับตนเองด้วยจริยธรรมนั้น ปธ.กมธ.ยกร่างฯ เห็นว่า ต้องส่งเสริมให้ประชาชนรู้เท่าทันสื่อ และกำหนดให้จัดสรรและแบ่งปันทรัพยากรด้านสื่อมวลชนให้เข้าถึงและใช้ทรัพยากรสื่อสาธารณะได้ปฏิรูปให้มีสื่อทางเลือก สื่อชุมชน และสื่อสันติภาพ ที่น่าสนใจ ต้องกำหนดให้อุดหนุนการสร้างสรรค์และผลิตสื่อที่มีเนื้อหาเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ
“สิ่งที่เกิดขึ้นตามกฎหมายในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่สามารถทำได้ แต่สิ่งที่กฎหมายทำไม่ได้คือการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนอย่างเป็นอิสระจากภายใน ซึ่งต้องอาศัยบุคคลในวิชาชีพสื่อมวลชน วิชาชีพของผู้ร่วมงาน และสังคม เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อารยวัฒนธรรมของสื่อมวลชน” ดร.บวรศักดิ์ ฝากทิ้งท้ายถึงสื่อมวลชนทางการ


ว่าด้วย"ซื้อเรือดำน้ำ"

เมื่อประมาณ 5 ปีก่อน...
ผมเจอคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขณะที่เป็นนายกฯ ท่านบ่นให้ฟังว่า...
"ผมมีปัญหา... กรมอุตุฯอยากให้แถลงต่อประชาชนว่าอ่าวไทยนั้นตื้นเกินกว่าที่จะมีสึนามิขนาดใหญ่ แต่กองทัพเรืออยากให้ประกาศว่ามันลึกพอที่จะต้องมีเรือดำนำ้หนึ่งกองเรือ"
ได้ยินข่าวเรื่องเรือดำน้ำ 3.6 หมื่นล้านผมแอบมีข้อสงสัยในใจ ที่ไม่กล้าถามใคร
1. ทำไมเราต้องมีเรือดำน้ำ? มันเหมาะกับภูมิประเทศทางทะเลและภัยคุกคามแบบประเทศเราจริงหรือ
2. ถ้าคำตอบคือจากข้อหนึ่งคือใช่ ราคา และต้นทุนค่าดูแลรักษาเรือดำน้ำ มันมีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจจริงหรือ? มีความจำเป็นทางเศรษฐศาสตร์ และมีลำดับความสำคัญเมื่อเทียบกับรายจ่ายอื่นๆจริงหรือ
อย่าลืมนะครับหนี้รัฐบาลของเก่าก็ยังมีอีกเพียบ
แล้วมันเหมาะกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันหรือไม่? เห็นเราเพิ่งจะคุยกันว่าเศรษฐกิจไม่ดี และตอกเกษตรกรไปว่ารัฐบาลไม่มีตัง
สรุปคือไม่ควรช่วยเกษตรกรในยามมีภัยแล้ง แต่ควรซื้อเรือดำน้ำ?
ถ้าพูดตามแนวทางการปฏิรูปการคลัง โครงการนี้จะจัดหาแหล่งรายได้มาจากไหน และมีการตัดงบอื่นชดเชยหรือไม่
โครงการนี้คงไม่ใช่ประชานิยมแน่ (เพราะไม่รู้ว่าประชาจะนิยมหรือเปล่า) แต่เป็นการใช้เงินงบประมาณแบบมีความรับผิดชอบหรือเปล่า
3. ถ้าเราคิดอย่างถ้วนถี่แล้วว่า คำตอบข้อหนึ่งและสองคือ ใช่ แล้วทำไมต้องเป็นเรือดำน้ำจีน? เรามีขั้นตอนตรวจสอบราคาและคุณภาพอย่างโปร่งใสหรือไม่? เทียบกับของประเทศอื่นแล้วของจีนเป็นอย่างไร
มีกระบวนการประมูลหรือไม่? มีความโปร่งใสในการเปรียบเทียบและคัดเลือกหรือไม่
หวังว่าจะมีคนคิดเรื่องนี้แบบจริงๆจังๆก่อนเอาเงินภาษีประชาชนไปใช้นะครับ

ผู้นำญี่ปุ่นหลุดปาก “พร้อมเปิดศึกกับจีน”!

ผู้นำญี่ปุ่นหลุดปาก “พร้อมเปิดศึกกับจีน”!

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
3 กรกฎาคม 2558 09:49 น.
ผู้นำญี่ปุ่นหลุดปาก “พร้อมเปิดศึกกับจีน”!
        นายกรัฐมนตรีชินโสะ อะเบะ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวในงานเลี้ยงสังสรรค์ว่า พร้อมทำสงครามกับประเทศจีน โดยการแก้ไขกฎหมายความมั่นคงมีเป้าหมายเพื่อรับมือกับการขยายอิทธิพลของแดนมังกร
       

       นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยในการสนทนาส่วนตัวกับคณะสื่อมวลชนอาวุโส ที่ร่วมงานเลี้ยงประจำเดือนของทำเนียบรัฐบาลว่า “ตนเองได้วางแผน หากต้องทำสงครามกับประเทศจีนไว้แล้ว
      
       ผู้นำญี่ปุ่นยังระบุว่า กฎหมายความมั่นคงที่รัฐบาลกำลังเสนอเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาขณะนี้ มีจุดประสงค์เพื่อรับมือกับการขยายอิทธิพลในทะเลของประเทศจีนโดยตรง ซึ่งรัฐบาลต้องผลักดันกฎหมายนี้ให้สำเร็จให้ได้ เพราะเป็นกุญแจดอกสำคัญที่จะทำให้กองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่นสามารถทำการรบร่วมกับประเทศพันธมิตร อย่างสหรัฐอเมริกาได้
      
       สื่อมวลชนของญี่ปุ่น ระบุว่า ในงานเลี้ยงผู้นำญี่ปุ่นได้ดื่มสุราพร้อมสนทนาแบบส่วนตัวกับผู้สื่อข่าวอาวุโส แต่ไม่แน่ใจว่านายอะเบะมีอาการเมามายหรือไม่?
ผู้นำญี่ปุ่นหลุดปาก “พร้อมเปิดศึกกับจีน”!
กฎหมายความมั่นคงที่รัฐบาลนายอะเบะกำลังผลักดันถูกคัดค้านจากประชาชนจำนวนมาก
        นอกจากประเด็นร้อนเรื่องความสัมพันธ์กับแดนมังกรแล้ว นายอะเบะยังได้พาดพิงเรื่องที่อ่อนไหวอีกหลายเรื่อง เช่น ระบุว่า ปัญหาหญิงสาวชาวเกาหลีที่ถูกบังคับให้มาเป็นนางบำเรอในกองทัพญี่ปุ่นช่วงสงครามโลกนั้น “เพียงชดใช้เงิน 300ล้านเยนก็จบปัญหาได้”
      
       ผู้นำญี่ปุ่นยังกล่าวถึง การเจรจาข้อตกลงการค้าแปซิฟิก หรือทีพีพี ซึ่งประเทศเจ้าภาพอย่าง สหรัฐฯ ไม่ยอมผ่อนปรนเงื่อนไขให้กับญี่ปุ่นว่า “ไม่รู้ว่าสหรัฐฯคิดอย่างไร ไม่รู้ว่าโอบาม่าคิดอะไรอยู่” ทั้งๆที่ข้อตกลงทีพีพีเป็นเครื่องมือสำคัญในการต้านทานการขยายอิทธิพลทางการค้าของประเทศจีน
      
       อย่างไรก็ตาม หลังงานเลี้ยงเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบได้รัฐบาล ได้ขอให้ผู้สื่อข่าวงดนำเสนอเรื่องราวทั้งหมดที่ได้สนทนากับนายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่าเป็นการพูดคุยส่วนตัว ไม่ใช่การแถลงข่าว จึงไม่เหมาะที่จะนำเสนอออกไป ทำให้สื่อมวลชนรายใหญ่ของญี่ปุ่นไม่ได้นำเสนอข่าวดังกล่าว แต่ใช้วิธีให้ข่าวกับนิตยสารข่าวรายสัปดาห์และสื่ออินเตอร์เน็ตแทน โดยข้อมูลดังกล่าวยังถูกสื่อมวลชนของรัฐบาลจีน อย่างหนังสือพิมพ์ “โกลเบิล ไทม์” นำไปเผยแพร่ต่อ.