PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ประมวลสถานการณ์ข่าว


14122558 วันจันทร์ สมเด็จพระสังฆราชแห่งแผ่นดิน สมเด็จพระบรม ประยุทธ เบสท์ทิฏฐินันท์
• เรียงร้อยบูชาพระเกียรติ "สมเด็จพระสังฆราชแห่งแผ่นดิน
วันที่ 24 ต.ค. 2556 เป็นวันที่ประชาชนชาวไทยและคณะสงฆ์ไทยได้สูญเสียครั้งใหญ่เมื่อสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
(เจริญ สุวัฑฒโน คชวัตร) สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์.......
สถิต ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ได้สิ้นพระชนม์ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
หลังจากนั้นได้มีการตั้งพระศพบำเพ็ญพระกุศล ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เรื่อยมาถึงปัจจุบันเป็นเวลา 2 ปีกว่า
จนบัดนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้มีการพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพอย่างสมพระเกียรติ ณ
พระเมรุวัดเทพศิรินทราวาส ระหว่างวันที่ 15-17 ธ.ค. 2558
@ เลื่อนชั้นพระเกียรติเสมอ พระสังฆราชเจ้า....
@ พระเลซองพร้อมทำหน้าที่ถวายสังฆบิดร
(ผู้นำสงฆ์และผู้นำศาสนา 13 ประเทศ )
@ ตกแต่งพระเมรุสมพระเกียรติยศ....
@ พระจิตกาธานทรงบุษบกวิจิตรล้ำ....
อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/report/404762
• สมเด็จพระบรมฯพระราชทานการ์ดขอบใจ"ปั่นเพื่อพ่อ".... อ่านต่อได้ที่ :http://www.posttoday.com/social/royal/404656
• ยิ้มไม่หุบ!หนุ่มใจบุญมอบจักรยานให้"น้องเขียว"ปั่นเพื่อพ่อ.... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/social/hot/404766
• คึกคัก! คนนับหมื่นวิ่งเฉลิมพระเกียรติฯสู่ผามออีแดง
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
• "เบสท์-ทิฏฐินันท์"คว้าแชมป์เดอะวอยซ์ซีซั่น4
เบสท์-ทิฏฐินันท์ อ้นปาน จากทีมโค้ชโจอี้ บอย คว้าแชมป์ เดอะวอยซ์ ไทยแลนด์ ซีซั่น 4 ด้วยคะแนน 35%
"รู้สึกดีใจมาก น้ำตาไหลเลย เพราะไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า
ตัวเองจะคว้าแชมป์ในการแข่งขันครั้งนี้ ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ทุ่มเทมาทั้งหมดก็เพื่อแม่ โดยเงินรางวัลที่ได้มานั้น ส่วนหนึ่งจะนำไปใช้หนี้
และอีกส่วนหนึ่งจะนำไปซื้อบ้านให้แม่ครับ"
ทั้งนี้ผู้ชนะจะได้รับรางวัลเงินสด 3 ล้านบาท จาก ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และ
รถยนต์โตโยต้า โคโรล่า อัลติส ESPORT ....
@ โค้ชโจอี้บอย พูดคมชัด “ ไม่รู้ว่าจะทำให้เป็นแชมป์ได้อย่างไร “
หน้าที่ของตน(โค้ช) คือ ทำให้ทุกคนมีความสุขในการร้องเพลง ( เยี่ยม ! )
อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/ent/thai/404760
• รัฐบาลประยุทธ เตรียมจัดแถลงผลงาน 1 ปี 23-25 ธ.ค.นี้
ผนึกกำลังทุกหน่วย เสนอผลงานเด่น
พ่วงนิทรรศการให้ความรู้และบริการประชาชนตลอด 3 วัน....
อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/politic/404746
• จ่อฟ้องขาไลค์-แชร์ ‘คสช.’หอบข้อมูลส่งตำรวจ/ปอท.ชี้เข้าข่ายความผิดสำเร็จ:ไทยโพสต์
@ ประเด็นที่ทำให้ชาวบ้านงง และถูกฝ่ายไม่หวังดี นำไปกล่าวหาต่อ
ว่า “ แค่โพสต์ ผังราชภักดิ์ ก็ผิดหรือ “
เท่าที่ติดตามบางส่วน เรื่องนี้ทำเป็นขบวนการ มีเป้าหมายทำลายรัฐบาล คสช.
เพราะผังนั้น มีการเขียนรายละเอียด กล่าวหาผู้นำรัฐบาลและครอบครัว อย่างเสียหาย
ไม่เป็นจริง
หากตำรวจ เอาผังมาเผย ก็จะยิ่งแผ่ข้อมูลผิดไปสู่สาธารณอีก
ได้ผลทั้งขึ้นทั้งล่อง
ขบวนการพวกนี้ เลวจริงๆ
• "เงินเดือน+อาชีพในบัตรประชาชน"...ละเมิดสิทธิ-ไร้ประโยชน์?.... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/report/404757
นักสิทธิฯ ออกทันที “ ละเมิดสิทธิ “
รัฐบาลแจงหวังช่วยคนรายได้น้อย ยืนยันไม่ละเมิดสิทธิ
คงต้องรอดูกันว่า ไอเดียบัตรประชาชนแบบใหม่ที่รัฐบาลเสนอนั้นจะเกิดขึ้นจริงไหม
หรืออาจเจอกระแสคัดค้านจากประชาชนจนทำให้ต้องพับโครงการเก็บไปในที่สุด
@ ย้อนรอยบัตรประชาชนของไทย
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ประเทศไทยเริ่มมีการประกาศใช้ พรบ.บัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ.2526 จนถึงวันนี้มีบัตรประจำตัวประชาชนใช้กันมาแล้ว 5 รุ่น ด้วยกัน
ประกอบด้วย .... อ่านต่อได้ที่ :http://www.posttoday.com/analysis/report/404757
• โพลหนุนตัดสิทธิ์โกงชั่วชีวิต : ไทยโพสต์
"นิด้าโพล" หนุนตัดสิทธิ์รับเลือกตั้งตลอดชีวิตกับคนโกงเลือกตั้ง-เคยถูกถอดถอน-พ้นตำแหน่งจากเหตุทุจริตหรือร่ำรวยผิดปกติ
โฆษก กรธ.ปัดยังไม่มีแนวคิดให้ประมุข 3 ศาลแก้ทางตันวิกฤติการเมือง หวั่นเกิดปัญหาหนักกว่าเดิม ถกคุณสมบัติ ครม.เข้มข้นกว่า ส.ส.แน่
"เสรี" ยันระบบถ่วงดุลแบบเดิมไร้ผล แนะใครทำผิดให้ใช้การอภิปรายแสดงพยานหลักฐานเพื่อเข้าสู่กระบวนการถอดถอนหรือดำเนินคดีอาญา
อดีต สปช.โดดขวาง ชี้ซักฟอกส่งผลสะเทือนให้องค์กรอื่นๆ
• ชงใช้ม.44คุมองค์กรอิสระ โละสารพัดโครงการอบรม : ไทยโพสต์
"วิลาศ" ลุยตรวจ รร.กทม. สอบซื้อเปียโนฉาว ก่อนยื่น ป.ป.ช.-สตง.กลางสัปดาห์
ร้อง "บิ๊กตู่" ใช้ม.44 เลิกโครงการอบรมองค์กรอิสระ-ศาล ชี้ผลาญงบเอื้อ
สร้างสายสัมพันธ์นักธุรกิจ ไร้ประโยชน์ต่อชาติ
โพลหนุน 10 ข้อ "ป๋าเปรม" แก้โกง เริ่มที่ตัวเอง-ร่วมกันกำจัดคนปล้นชาติ
@ โครงการอบรมขององค์กรอิสระต่างๆ เป็นการดำเนินการที่ไม่เหมาะสม เพราะหลักสูตรที่จัดจะเพิ่มปริมาณนักธุรกิจเป็นหลักเพื่อนำประกาศนียบัตรมาสร้างเครือข่ายเท่านั้น
เนื่องจากนักธุรกิจเป็นผู้สนับสนุนหลายอย่าง เช่น ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ และมีการทำของที่ระลึกบางรุ่นเป็นเข็มขัดทองลงยา ซึ่งถือว่ารับของเกิน 3,000 บาท
รวมทั้งองค์กรอิสระยังเรียนไขว้กันไปไขว้กันมา โดยมีตัวเลขงบประมาณการอบรมบางองค์กร 4 ครั้ง ใช้งบประมาณถึง 11 ล้านบาท
พบว่าส่วนใหญ่จะมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ใกล้เกษียณไปเรียนเพื่อสร้างเครือข่าย
บางคนจัดงานเกษียณพร้อมกับการรับประกาศนียบัตร
ไม่มีประโยชน์กับสังคม เป็นการผลาญเงินผลาญทองเล่น
• เปิดโพยภาษีใหม่ปี’59 รถรุ่นไหนจ่ายเพิ่มเท่าไหร่.... อ่านต่อได้ที่ :http://www.posttoday.com/auto/news/404758
• แกนนำเหยื่อกรือเซะเรียกร้องปกป้องศาสนสถานจากเหตุรุนแรง....
สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น
ขณะที่ อส.ทพ.ซัยต์ พร้อมด้วย อสทพ.อาซิ เจ๊ะดอมะ บิดา
เข้าไปเคารพหลุมศพของมารดาที่พึ่งเสียชีวิต
โดยอส.ทพ.ซัยค์ ได้ไปยืนสวดดุอาอ์เหนือหลุมฝังศพ พร้อมบิดา
ก่อนจะเกิดเหตุระเบิดขึ้นทำให้อส.ทพ.ซัยต์ เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
ขณะที่บิดาได้รับบาดเจ็บ
จากการตรวจสอบพบว่าคนร้ายได้นำระเบิดมาฝังไว้ในหลุมศพก่อนจะกดชนวน
ขณะที่ผู้เสียชีวิตเข้าเคารพศพ.... อ่านต่อได้ที่ :http://www.posttoday.com/local/south/404767
• กรุงเทพโพลล์เผยนักเศรษฐศาสตร์มอง เศรษฐกิจ ดิจิทัล เป็นอนาคตใหม่เศรษฐกิจไทย แนะรัฐสร้างความชัดเจน-สื่อสารให้สังคมเข้าใจ....
อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/biz/gov/404682
• ปลูกผักสวนครัว อยู่ดี กินดี มีสุข.... อ่านต่อได้ที่ :http://www.posttoday.com/local/scoop/404759
• คอลัมน์ ความรู้ความคิด
1. หนังสือคู่มือการใช้ชีวิตให้มีคุณภาพเพื่อตนเอง ครอบครัวชุมชนและบ้านเมือง โดย ชัยวัฒน์ สุรวิชัย
มีทั้งหมด 30 บท ครบทุกเรื่องของชีวิต ตั้งแต่เกิด…….
หมวดที่ 1. หนังสือนี้ เป็นประเภท How to ( มี 4 บท )
เป็น How to ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่สำคัญที่สุดของมนุษย์คือ
เรื่องของตัวมนุษย์เองเริ่มตั้งแต่เกิด
๑. พ่อแม่ควรจะสอนอะไรลูก
๒. การศึกษาให้ดี ให้เป็นให้ถูก ให้ได้ประโยชน์สูงสุด
๓. เรื่องสำคัญที่ควรต้องศึกษา เพื่อรู้เข้าใจ นำไปใช้พัฒนาตนเอง-สังคมได้
๔. หลักสูตรอารยชน วินัยของชาวพุทธ โดย ป. อ. ประยุตโต
หมวดที่ 2 . การใช้ชีวิตให้มีคุณภาพ ( 10 บท )
หมวดที่ 3. การเริ่มต้นที่ดีและถูกต้อง ( 7 บท )
หมวดที่ 4. หลักคิดที่ดีและถูกต้อง ( 6 บท )
หมวดที่ 5. การวิเคราะห์สถานการณ์ การสรุปบทเรียน และการหยุด ( 3 บท)
2. 'ช้าเป็นการ-นานเป็นโทษ' เปลว สีเงิน
เรื่องตำรวจนี่ เป็นทั้งตัวบูดและตัวกันบูดเสียจริง กรณี "พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์"
เมื่อฟังความทั้ง ๒ ข้างแล้ว เท่าที่ฟัง มีทั้งฝ่ายเห็นใจ และฝ่ายไม่ชอบใจ ….
3. ชาวอุยกูร์ มณฑลซินเจียง และแนวทางรัฐบาลปักกิ่ง โดย : กาแฟดำ
…ซินเจียงมีความสำคัญต่อจีนเพราะเป็นบริเวณที่มีทรัพยากรธรรมชาติในระดับที่สูง
เช่นแก๊สธรรมชาติ
ที่แน่ ๆ ก็คือ 40% ของถ่านหินและ 22% ของน้ำมันที่จีนใช้มาจากซินเจียง
ที่สำคัญไม่น้อยกว่านั้นคือซินเจียง เป็นประตูสู่แหล่งพลังงานมหาศาลในเอเซียกลาง
อันเป็นหัวใจของการผลักดันเศรษฐกิจของจีนต่อไปในวันข้างหน้า
- See more at:http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/636369
4.เตรียมรับมือสหรัฐขึ้นดอกเบี้ย โดย : ดร.บัณฑิต นิจถาวร
การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐอาทิตย์นี้ เป็นที่คาดกันว่า ธนาคารกลางสหรัฐคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นโยบายในการประชุมคราวนี้
ซึ่งจะเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี คือ ตั้งแต่สิงหาคมปี 2007
อย่างที่ได้กล่าว การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐเมื่อเกิดขึ้น ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเริ่มถูกปรับขึ้นต่อเนื่อง เป็นขั้นบันไดจากนี้ไป ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อประเทศตลาดเกิดใหม่ รวมถึงไทยอย่างน้อยผ่าน 3 ช่องทาง
ช่องทางแรก คือ อัตราดอกเบี้ยในเศรษฐกิจโลกจะแพงขึ้น
ช่องทางที่ 2 คือ การไหลกลับของเงินทุนต่างประเทศ
ช่องทางที่ 3 คือ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจในประเทศตลาดเกิดใหม่ที่ปริมาณหนี้ได้เพิ่มขึ้นมาก
- See more at:

'ช้าเป็นการ-นานเป็นโทษ' เปลว สีเงิน

14122558 'ช้าเป็นการ-นานเป็นโทษ' เปลว สีเงิน
เรื่องตำรวจนี่ เป็นทั้งตัวบูดและตัวกันบูดเสียจริง กรณี "พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์" เมื่อฟังความทั้ง ๒ ข้างแล้ว เท่าที่ฟัง มีทั้งฝ่ายเห็นใจ และฝ่ายไม่ชอบใจ
ที่เห็นใจ เพราะเชื่อตามที่ท่านแฉ ถูกย้ายไม่เป็นธรรม ขืนไปอยู่ชายแดนใต้ เท่ากับถูก "ล็อกเป้า" ให้แก๊งค้ามนุษย์ที่ท่านจับกุม "เอาคืน"
การค้ามนุษย์ มีทั้งคนในวงการตำรวจ-ทหาร-พลเรือน ซ้ำรัฐบาลก็ไม่จริงใจในการแก้ปัญหา
โดยเฉพาะการที่ท่าน "ออกหมายจับ" นายทหารระดับพลโท สร้างความไม่พอใจให้ขบวนการ "คนมีสี" มาก
เมื่อถูกย้ายไปชายแดนใต้ เท่ากับถูกส่งไปเชือด ซ้ำผู้บังคับบัญชาระดับเหนือขึ้นไปทราบเรื่องแล้ว แทนที่จะแก้ไข ก็ไม่แก้ไขอะไร
เพื่อความปลอดภัยทั้งตัวเองและครอบครัว ลาออกดีกว่า จึงไปขอลี้ภัยที่ออสเตรเลีย!
ประเด็นนี้ ประชาสังคมเข้าใจและเห็นใจ พล.ต.ต.ปวีณ เพราะเป็นเรื่องเข้าใจได้ง่ายๆ
เรื่องโรฮีนจา ค้ากันที่ภาคใต้ แก๊งที่ท่านออกหมายจับ รวมทั้งนายพลทหาร-นายตำรวจ ก็อยู่ที่ชายแดนภาคใต้
เมื่อจะโยกย้าย ใน สตช.มีตั้ง ๑๐ กองบัญชาการ ตำแหน่งให้ย้ายไปอยู่มีเป็นร้อย-เป็นพันแห่ง
ทั้งไม่ได้มีความผิดอะไร ตรงกันข้าม มีความดี-ความชอบเสียด้วยซ้ำ แต่ทำไม "เจาะจง" เหมือนผลักไส ให้ไปอยู่เขตอิทธิพลแก๊งค้ามนุษย์!?
จริงอยู่ พื้นที่ไหนๆ ก็ "ประเทศไทย" ประชาชนยังอยู่ได้ ทำไมตำรวจ-ทหาร ต้องเกี่ยง?
พูดตามหลักการ...มันใช่!
แต่ถ้าพูดตามหลักปฏิบัติ...จริงหรือ...?
เหตุนั้น พิเคราะห์รอบด้านแล้ว สิ่งที่ พล.ต.ต.ปวีณเผยออกมานั้น ชาวบ้านกว่า ๖๐-๗๐%
จึงเชื่อ!
คือเชื่อว่า...มีกลไกภายในเป็นน้ำหนักถ่วง "ดุลยธรรม" ผบ.ตร.ในการแต่งตั้ง-โยกย้าย
ยิ่งฟังที่ ผบ.ตร. "พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา" แถลง ถามทุกกองบัญชาการแล้ว "ไม่มีใครเอา พล.ต.ต.ปวีณเลย"
แม้กระทั่งผู้บัญชาการตำรวจภาค ๘ "พล.ต.ท.เทศา ศิริวาโท" ซึ่งเป็นเจ้าสังกัดที่ พล.ต.ต.ปวีณเป็นรองฯ อยู่ ก็ยังไม่ยอมให้อยู่ด้วย!?
ตรงนี้ เป็น "ปมใหม่" และ "ปมใหญ่"...........
น่าข้องใจมาก ประชาสังคมอยากได้คำอธิบายที่เป็นรูปธรรมจาก พล.ต.อ.จักรทิพย์ หรือระดับสูงขึ้นไป "พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ" รองนายกฯ ผู้รับมอบให้กำกับดูแลงานตำรวจ....ว่า
ที่ "ไม่เอา" พล.ต.ต.ปวีณ นั้น จะให้เข้าใจว่า.........
ก.) พล.ต.ต.ปวีณ เป็น "แกะดำ" ผิดธรรมชาติตำรวจตัวเดียว ในฝูง "แกะขาว" ตามธรรมชาติทั้งสถาบันตำรวจ
หรือ.......
ข.) พล.ต.ต.ปวีณ เป็น "แกะขาว" ผิดธรรมชาติตำรวจตัวเดียว ในฝูง "แกะดำ" ตามธรรมชาติทั้งสถาบันตำรวจ?
แท้จริงแล้ว พล.ต.ต.ปวีณ กับ สถาบันตำรวจวันนี้ ใคร-ฝ่ายไหนเป็น "แกะขาว-แกะดำ" กันแน่?
ผู้บังคับบัญชา "ต้นสังกัด" พล.ต.ท.เทศา ศิริวาโท ผู้บัญชาการตำรวจภาค ๘ เป็นคนแรก ที่จะอธิบาย-ให้เหตุผลได้ดีที่สุดว่า พล.ต.ต.ปวีณ เป็นนายตำรวจเช่นใด
เพราะท่านยืนยันหนักแน่น-ชัดเจน "ไม่เอา พล.ต.ต.ปวีณ"!?
ผบ.ตร.ยังบอก...สอบถามทุกภาค-ทุกแห่งแล้ว...ก็ไม่มีใครเอา พล.ต.ต.ปวีณเหมือนกัน!
แปลก...แปลกมากด้วย เรื่องนี้ ต้องมีเฉลย.......
เมื่อภาค ๘ ต้นสังกัด อธิบายแล้ว ผู้บัญชาการภาคอีกทั้ง ๙ ภาค ก็ควรต้องอธิบายด้วย
ว่า...ผบ.ตร.ได้สอบถามแล้วจริงหรือ ปฏิเสธ "ไม่เอา" พล.ต.ต.ปวีณ จริงหรือ และที่ไม่เอา เพราะ....
พล.ต.ต.ปวีณ "ไม่ดี" อย่างไร?
ตรงนี้คือ ในส่วนที่ประชาสังคม "เข้าใจ-เห็นใจ" พล.ต.ต.ปวีณ และต้องการคำอธิบายอยู่
ทีนี้มาดูในส่วนที่ไม่ชอบใจ-ไม่เห็นใจ พล.ต.ต.ปวีณบ้าง...........
สดับตรับฟังแล้ว สรุปได้สาเหตุเดียวที่ "ไม่ชอบใจ" พล.ต.ต.ปวีณ คือ การลาออก-ขอลี้ภัย "ใจเขา-ใจเรา" พอเข้าใจได้
แต่การที่ไม่พอใจอะไรแล้ว ออกไป "สาวไส้" ในลักษณะ "ขายประเทศ-ขายสถาบัน" บ้านเมืองตัวเอง กับสื่อที่ออสเตรเลียดังปรากฏ
รับไม่ได้...ไม่เป็นลูกผู้ชาย..........
อย่างที่ ผบ.ตร.จักรทิพย์ระเบิดอารมณ์นั่นแหละ!
ในประเด็น "ระดับรัฐบาล" เข้าไปล้วงลูกคดีค้ามนุษย์โรฮีนจานั้น ในความเห็นผม ถ้าจะล้วง ก็ล้วงเป็นคุณ
"ต้องทำคดีให้เต็มที่-ถึงที่สุด-ตรงไปตรงไป-ไม่ไว้หน้าใคร"!
เหตุผล คือ ถ้าล้วงเป็นโทษ นายกฯ ประยุทธ์ก็ดี พลเอกประวิตรก็ดี ต้องเบรก พล.ต.ต.ปวีณ ไม่ให้สาวไปถึงขนาดจับระดับ "นายพลโท"
ที่ พล.ต.ต.ปวีณทำงานได้เต็มที่ ออกหมายจับตามหลักฐานไม่เว้นหน้าอินทร์-หน้าพรหม แสดงว่ารัฐบาล "ไฟเขียว"
หรือไม่ก็...สั่งการ "แบบไม่ผูกมัดตัวเอง" ให้ผู้ปฏิบัติเดาใจ-ทำกันไป มีอะไรแล้วค่อยมาว่ากันไปตามสถานการณ์!?
คนที่จะยืนยันสมมุติฐานนี้ได้ดีที่สุด นอกจากตัว พล.ต.ต.ปวีณแล้ว ก็คือ..........
"พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์" รอง ผบ.ตร.ในขณะนั้น และเป็น "ปลัดสำนักนายกฯ" ขณะนี้ ซึ่งท่านได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าทำคดีโรฮีนจาในครั้งนั้น
และ พล.ต.ต.ปวีณ อยู่ในทีมสอบสวนชุดนี้!
ถึงคราวเลือกคนขึ้นเป็น ผบ.ตร.เมื่อเดือนตุลา พลเอกประวิตร เลือกรอง ผบ.ตร.จากอันดับบ๊วย คือ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ขึ้นเป็น ผบ.ตร. แทนที่จะเลือกอันดับ ๑ คือ พล.ต.อ.เอก
เมื่อเป็นอย่างนี้ คงไม่ใช่ทำนอง "เสร็จนาฆ่าโคถึก" แต่น่าเป็นการโยกย้ายในลักษณะ "ลูกน้องต่างนาย" มากกว่า
และเมื่อมีปัญหา ผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปก็ "เซฟตัวเอง" จนดูแล้งน้ำใจ
และที่น่าใคร่ครวญ...พล.ต.ท.เทศา ศิริวาโท ผู้บัญชาการตำรวจภาค ๘ ที่ "ไม่เอาท่านปวีณ" นั้น
เป็น "นักเรียนเตรียมทหาร รุ่น ๑๖" รุ่นเดียวกับ "พลโทมนัส คงแป้น" ที่ พล.ต.ต.ปวีณออกหมายจับเป็นผู้ต้องหาร่วมแก๊งค้ามนุษย์!
"สำนักข่าวไทย" รายงานข่าวไว้เมื่อ ๒ มิ.ย.๕๘ ว่า....
"พล.ท.มนัส คงแป้น เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 16 จปร.รุ่น 27 เคยรับราชการเป็นผู้บังคับกองพันที่ 2 กรมทหารราบที่ 15 จังหวัดนครศรีธรรมราช ช่วงปี 2551-2552
ดำรงตำแหน่งเป็น ผู้บังคับการจังหวัดทหารบกชุมพร และผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 42 จังหวัดสงขลา ก่อนจะเป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก
ถือเป็นนายทหารที่รับราชการอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ เติบโตในตำแหน่งหลักสำคัญของหน่วยในพื้นที่กองทัพภาคที่ 4
และยังเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีที่รัฐบาลเร่งปราบปราม.-สำนักข่าวไทย"
เหล่านี้....ก็น่าทำให้เข้าใจอะไรรางๆ พล.ต.ต.ปวีณ สภาพ "หัวเดียวกระเทียมลีบ" ในสังคมทหาร-ตำรวจ-พลเรือน "ต้มยำสามัคคี"
ในเมื่อข้างหน้าก็หลุมฝาก ข้างหลังก็หุบเหว คนเราเมื่อเวิ้งว้างอยู่คนเดียวในสภาพนั้น ด้วยสัญชาตญาณภาวะจนตรอก
อะไรที่คิดว่า "สำรอกแล้วรอด" ก็ไม่มีรีรอ!
เรื่องนี้ ถ้ารีบแก้ไข "ภายใน" ตอนนี้ ถือว่ายังไม่สาย แต่ถ้า "ระดับเหนือขึ้นไป" ไม่มีใครแตะ ด้วยเกรงต้องรับผิดชอบ
ทิ้งไว้.... ให้พูดกันไป-สาวกันมา อาจไม่เหลือชอบให้ใครรับ
เพราะมันจะเละ เป็นช่องให้ขบวนการทั้งในชาติ-นอกชาติที่จ้องเข้าแทรกฉวยโอกาสซ้ำ
หัด "ทำผิด" กันบ้างก็ได้ จะได้รู้...ที่คิดว่า "ทำถูก" แล้วนั้น บางทีมัน silly แท้ๆ!

รายงานพิเศษ : ร้อนๆลึกๆ ใน′กกต.′ เมื่อ 5 เสือเด้ง′ภุชงค์′




http://www.matichon.co.th/online/2015/12/14500036541450003688l.jpg

กลายเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง เมื่อที่ประชุมของ 5 เสือ กกต. มีมติ 4 ต่อ 1 เสียง ให้เลิกจ้าง นายภุชงค์ นุตราวงศ์ จากตำแหน่งเลขาธิการ กกต.

มีผลตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2558 โดยอ้างเหตุจากที่ประชุม กกต.ได้พิจารณารายงานผลการประเมินการปฏิบัติงานของเลขาธิการ กกต.ประจำปี 2558 ตามที่คณะอนุกรรมการเพื่อประเมินผลการปฏิบัติงานของเลขาธิการ กกต.ได้รายงานผล เมื่อการประชุมวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา

ผลการประเมิน นายภุชงค์ไม่ผ่านการประเมินผลตามหลักเกณฑ์ 60% ในกรอบ 4 ด้านที่กำหนด ประกอบด้วย

1.การดำเนินการตามแผนปฏิบัติงานประจำปี 2.การดำเนินการงานมติ กกต. 3.การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาล และ 4.งานที่ต้องทำในฐานะผู้บริหารสูงสุดขององค์กร ที่มีความท้าทายพัฒนาองค์กรให้ก้าวหน้าเป็นมาตรฐานสากล

ทว่าประเด็นการเลิกจ้างนายภุชงค์ ไม่ได้จบลงง่ายๆ เพียงแค่เหตุผลของการไม่ผ่านการประเมินผลงาน เพราะอดีตเลขาฯ กกต. นอกจากโต้แย้งการประเมินว่าไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในการทำงานของตนเองแล้ว

ยังมีข้อมูลอีกด้านหนึ่งที่เปิดเผยออกมาผ่านสื่อมวลชนให้สังคมได้รับทราบ

ไล่เรียงมาตั้งแต่ข้อกล่าวหาจากอดีตเลขาฯว่ามีการล้วงลูกการทำงานของฝ่ายประจำสำนักงาน กกต. ขณะที่ กกต. บางคนออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวว่าเป็นแค่การกำกับนโยบายเท่านั้น

แต่ในทางปฏิบัติ มีปัญหาสารพัด อาทิ การส่งคนของตนเข้าไปดำเนินการ โดยจะให้ที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญเข้าไปในงานแต่ละด้าน

อาทิ การกลั่นกรองบุคลากรเข้าสู่ตำแหน่ง จะมีการแต่งตั้งให้ที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญ เข้าไปทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการพิจารณา การแต่งตั้งโยกย้ายพนักงานหรือผู้บริหารระดับสูง กลายเป็นการวางคนใกล้ชิดให้ไปดำรงตำแหน่ง

ขณะที่มีการแต่งตั้งที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญ และทีมงาน เกินความจำเป็น ทำให้ต้องเสียงบประมาณถึงเดือนละ 2 ล้านบาท ปีละ 24 ล้านบาท

มีการผลักดันให้มีการกำหนดจำนวนตำแหน่งที่มากขึ้น และอัตราค่าตอบแทนที่สูงกว่าชุดก่อน โดยใน กกต.ชุดก่อนๆ จะกำหนด กกต.หนึ่งคน มีที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญ โดยที่ปรึกษาจะได้รับค่าตอบแทนเดือนละ 3 หมื่นบาท ส่วนตำแหน่งอื่นให้ทางสำนักงานคัดสรรพนักงานที่ปฏิบัติงานดีขึ้นไปทำหน้าที่

แต่ กกต.ชุดปัจจุบัน กำหนดให้ กกต.หนึ่งคนมีที่ปรึกษา 1-2 คน รับค่าตอบแทนคนละ 60,000 บาท ผู้เชี่ยวชาญประจำ กกต. 3 คน ค่าตอบแทนคนละ 40,000 บาท เลขานุการ 1 คน ค่าตอบแทน 45,000 บาท ผู้ช่วยเลขานุการ 2 คน ค่าตอบแทน 23,000 บาท คนขับรถ 15,000 และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 25,000 บาท เงินเพิ่มและสวัสดิการประจำเดือนให้เลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการของแต่ละคนอีกคนละ 5,000 บาท เบี้ยประกันสุขภาพของทุกคนปีละไม่เกิน 20,000 บาท

เมื่อเปรียบเทียบกับระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ เลขานุการ และผู้ช่วยเลขานุการประจําประธานกรรมการการเลือกตั้งและกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2551 กำหนดให้มีการแต่งตั้งเฉพาะตำแหน่งที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญประจำประธาน กกต.และกรรมการ กกต.เท่านั้น โดยกำหนดให้มีที่ปรึกษาประจำตัวประธาน กกต.ไม่เกิน 3 คน กรรมการ กกต. ได้รับค่าตอบแทนเดือนละ 35,000 บาท ผู้เชี่ยวชาญประจำประธาน กกต.และกรรมการ กกต.ไม่เกิน 2 คน ได้รับค่าตอบแทนเดือนละ 30,000 บาท

ยังมีเรื่องการใช้งบประมาณในการเดินทางไปต่างประเทศ อดีตเลขาฯกกต.ระบุว่า โดยในช่วงปี 2557-2558 กรรมการ กกต.มีการเดินทางไปต่างประเทศถึง 15 ครั้ง ใช้เงินไม่น้อยกว่า 15-20 ล้านบาท โดยทั่วไปกรรมการ กกต.จะมีผู้ติดตามแค่ 1 คน แต่บางคณะมีผู้ติดตามมากถึง 5-10 คน ให้ที่ปรึกษา กกต.นั่งชั้นบิซิเนสคลาส

อย่างการไปดูงานที่ประเทศเม็กซิโก 3-4 คนใช้เงินกว่า 1 ล้านบาท เช่นเดียวกับที่ประเทศโปแลนด์แม้จะเป็นการได้รับเชิญมา แต่ต้องใช้งบกับผู้ติดตามกว่า 1 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดเป็นงบประมาณของ กกต. โดยอดีตเลขาฯกกต.ต้องเซ็นอนุมัติเพราะเป็นมติของบอร์ด กกต.สั่งลงมา

อีกประเด็นที่อดีตเลขาฯกกต. ได้เปิดเผยพร้อมกับให้สังคมร่วมกันตรวจสอบในประเด็นการจ้างโรงพิมพ์ร่างรัฐธรรมนูญ 20 ล้านฉบับ เพื่อเตรียมการทำประชามติ โดยเมื่อครั้งการเตรียมจัดพิมพ์ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับที่มีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่ไม่ผ่านการเห็นชอบของที่ประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ไปแล้วนั้น ดูเหมือนมีความพยายามออกใบสั่งให้เอกชนบางแห่งเป็นผู้จัดพิมพ์ ขณะที่สำนักงาน กกต.อยากให้มีโรงพิมพ์ทั้งภาครัฐและเอกชนมาร่วมพิมพ์ไม่ใช่ให้โรงพิมพ์เดียวมารับงาน

ปิดท้ายที่ประเด็นการพัฒนาเครื่องลงคะแนนเลือกตั้งแบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่คณะกรรมการ กกต. ได้มีการศึกษาเพื่อจะมาใช้ดำเนินการเลือกตั้ง โดยมีเหตุผลว่าเป็นการประหยัดงบประมาณในการจัดพิมพ์บัตรเลือกตั้ง ป้องกันบัตรเสีย

ขณะนี้สำนักงาน กกต.ได้ให้บริษัทวิทยุการบินฯ ผลิตเครื่องลงคะแนนฯต้นแบบจำนวน 200 ชุดในวงเงิน 40 ล้านบาท โดยเครื่อง 1 ชุด จะมีราคาประมาณ 2 แสนบาท

ทั้งนี้ กรรมการ กกต.มีนโยบายนำร่องแนวทางในการนำเครื่องลงคะแนนมาใช้ในการเลือกตั้งท้องถิ่น ที่น่าจับตาคือการจัดซื้อเครื่องลงคะแนนดังกล่าว หากจะนำมาใช้เลือกทุกหน่วยเลือกตั้งทั่วประเทศ จะต้องใช้ถึง 95,000 หน่วย ซึ่งจะใช้งบประมาณจำนวนไม่น้อย

เหล่านี้เป็นประเด็นที่อดีต "คนใน" นำออกมาเสนอต่อสังคม และควรจะมีการทำความกระจ่างจากผู้เกี่ยวข้อง

น่าติดตามว่าประเด็นการเลิกจ้างเลขาฯกกต.ในครั้งนี้ ได้ทำให้เกิดข้อมูลและเงื่อนไข ที่จะนำไปสู่การปฏิรูปองค์กรอิสระ อย่าง "สำนักงาน กกต." หรือไม่ อย่างที่มีเสียงเรียกร้องหรือไม่



ที่มา : มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 13 ธันวาคม 2558

เตรียมรับมือสหรัฐฯขึ้นดอกเบี้ย

14122558 เตรียมรับมือสหรัฐขึ้นดอกเบี้ยโดย : ดร.บัณฑิต นิจถาวร
การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐอาทิตย์นี้ เป็นที่คาดกันว่า ธนาคารกลางสหรัฐคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
นโยบายในการประชุมคราวนี้ ซึ่งจะเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี คือ ตั้งแต่สิงหาคมปี 2007 ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงครั้งเดียว 50 bsp ส่งสัญญาณความไม่ปรกติในระบบการเงิน การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายคราวนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างกว้างขวาง วันนี้จึงอยากเขียนเรื่องนี้ เพื่อให้ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐเตรียมตัวรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ซึ่งกรณีเลวร้ายก็อาจมีผลรุนแรงจนเป็นชนวนความเปราะบาง หรือปัญหาใหญ่ในประเทศตลาดเกิดใหม่ ที่จะมีผลกระทบมาถึงประเทศไทย นี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้
ความต้องการของเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีมาตั้งแต่ต้นปี ที่เฟดส่งสัญญาณชัดเจนว่าอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำมากหรือระดับใกล้ศูนย์ที่มีอยู่นี้จำเป็นต้องปรับขึ้น ถ้าเศรษฐกิจสหรัฐมีการฟื้นตัว เพราะอัตราดอกเบี้ยในระดับที่ต่ำเกินไป และยืนอยู่นานในระบบเศรษฐกิจจะกระตุ้นให้เกิดปัญหาฟองสบู่ได้ง่าย ดังนั้น เงื่อนเวลาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจึงรอเพียงให้ตัวเลขการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐเข้มแข็งและชัดเจนขึ้น
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ล่าช้ามาตลอดทั้งปี ส่วนหนึ่งเพราะความเข้มแข็งของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ชัดเจน อีกส่วนหนึ่งมาจากเศรษฐกิจประเทศตลาดเกิดใหม่ที่ได้อ่อนแอลงมากโดยเฉพาะจีน ทำให้มีความห่วงใยถึงผลกระทบที่จะมีต่อประเทศตลาดเกิดใหม่ถ้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐเริ่มปรับสูงขึ้น ล่าสุดตัวเลขการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐดูดีขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่แรงกดดันของนักลงทุนต่อตลาดการเงินประเทศตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะจีนก็ได้ผ่อนคลายลง เดือนนี้จึงเป็นโอกาสสุดท้ายที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ ทำให้ทุกฝ่ายมั่นใจว่าคงมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐอาทิตย์นี้
อย่างที่ได้กล่าว การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐเมื่อเกิดขึ้น ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเริ่มถูกปรับขึ้นต่อเนื่อง เป็นขั้นบันไดจากนี้ไป ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อประเทศตลาดเกิดใหม่ รวมถึงไทยอย่างน้อยผ่านสามช่องทาง
ช่องทางแรก คือ อัตราดอกเบี้ยในเศรษฐกิจโลกจะแพงขึ้น ทำให้ต้นทุนการเงินของภาคธุรกิจจะสูงขึ้นกว่าเดิม มีผลต่อการใช้จ่ายของภาคเอกชน และต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ช่องทางที่ 2 คือ การไหลกลับของเงินทุนต่างประเทศ ที่เงินที่เคยถูกนำมาลงทุนในประเทศตลาดเกิดใหม่ จะไหลกลับเพราะการลงทุนในทรัพย์สินเงินดอลลาร์จะให้ผลตอบแทนสูงขึ้น นักลงทุนจะเคลื่อนย้ายเงินลงทุนออกจากทรัพย์สินที่ลงทุนไว้ในประเทศตลาดเกิดใหม่ กลับสู่สหรัฐหรือทรัพย์สินเงินดอลลาร์ เกิดการไหลออกของเงินทุนต่างประเทศจากตลาดเกิดใหม่ การไหลออกของเงินทุนนี้จะสร้างแรงกดดันต่อค่าเงินของประเทศตลาดเกิดใหม่ให้อ่อนค่าลง พร้อมกับทำให้ภาวะสภาพคล่องในประเทศตลาดเกิดใหม่ตึงตัวมากขึ้น ผลกระทบทั้งสองด้านนี้จะกดดันให้อัตราดอกเบี้ยในประเทศตลาดเกิดใหม่ต้องปรับสูงขึ้นตาม ซึ่งจะสร้างแรงกดดันหรือซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เช่น ไทย
ช่องทางที่ 3 คือ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจในประเทศตลาดเกิดใหม่ที่ปริมาณหนี้ได้เพิ่มขึ้นมาก ตั้งแต่ช่วงหลังปี 2008 ทั้งหนี้ในสกุลเงินท้องถิ่นและในสกุลเงินดอลลาร์ ดังนั้น เมื่ออัตราดอกเบี้ยสหรัฐปรับสูงขึ้น ภาระหนี้ของบริษัทธุรกิจที่มีหนี้ก็จะมากขึ้น รวมถึงการต่ออายุสัญญาเงินกู้ก็จะยากขึ้นเมื่อหนี้ครบกำหนด ทั้งจากผู้ให้กู้ที่เป็นนักลงทุนต่างประเทศธนาคารพาณิชย์และบริษัทในประเทศ ที่ได้ไปกู้เงินอัตราดอกเบี้ยต่ำจากต่างประเทศ มาปล่อยกู้ต่อในประเทศ (carry trade) สิ่งเหล่านี้จะสร้างแรงกดดันต่อความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทธุรกิจ และอาจนำมาสู่ปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทเอกชนได้ในปีหน้า ซึ่งเป็นประเด็นที่จะเป็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจ
ผลกระทบทั้ง 3 ช่องทางนี้ จะสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปีหน้า แต่ที่น่ากลัวและต้องระวังมากก็คือ ผลกระทบที่ต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจที่จะมาจากปัญหาการชำระหนี้ของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนอย่างที่กล่าว ซึ่งในกรณีของประเทศไทยหนี้ทั้งสองประเภทนี้ได้เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน ทำให้ปัญหาการผิดนัดชำระหนี้อาจเกิดมากขึ้นปีหน้าทั้งจากเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวมาก และจากต้นทุนชำระหนี้ที่ได้เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งถ้าบริหารจัดการไม่ดีปัญหาระดับบริษัทก็อาจขยายไปเป็นความเปราะบางเชิงระบบได้
ภาระหนี้ของประเทศตลาดเกิดใหม่ที่ได้เพิ่มสูงขึ้นหลังปี 2008 เป็นผลโดยตรงจากการอัดฉีดสภาพคล่อง โดยธนาคารกลางของประเทศอุตสาหกรรมหลักทั้งสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น ผ่านมาตรการคิวอีตั้งแต่ปี 2008 ประมาณว่าเม็ดเงินใหม่ที่ได้ถูกอัดฉีดเข้าระบบเศรษฐกิจโลกมีมากกว่า 8 ล้านล้านดอลลาร์ เม็ดเงินเหล่านี้ได้ถูกนำไป “ลงทุน” ในประเทศตลาดเกิดใหม่ สะท้อนจากการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศ แต่ที่เกิดขึ้นจริงก็คือเงินทุนเหล่านี้ไม่ได้ถูกนำไปลงทุนในด้านเครื่องจักร การสร้างโรงงานใหม่ หรือการสร้างกำลังการผลิต (Real investment) เพราะตัวเลขการลงทุนภาคเอกชนในตลาดเกิดใหม่ไม่ได้เพิ่มสูงขึ้น ตามการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศ
แต่ที่เกิดขึ้นก็คือเงินทุนเหล่านี้ ได้ถูกนำไปลงทุนในทรัพย์สินทางการเงินแทน ผลที่ตามมาก็คือเศรษฐกิจไม่ขยายตัว แต่หุ้นหรือตลาดการเงินดีขึ้นต่อเนื่องจากการลงทุนที่เกิดขึ้น ประมาณว่าความเป็นหนี้ที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดในประเทศตลาดเกิดใหม่ เป็นหนี้ของบริษัทธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคาร ทำให้ระดับหนี้ของบริษัทธุรกิจในประเทศตลาดเกิดใหม่เพิ่มสูงขึ้น จากประมาณร้อยละ 50 ของรายได้ประชาชาติปี 2008 เป็นร้อยละ 75 ในปี 2014
ในกรณีของประเทศไทย ยอดหนี้คงค้างของภาคธุรกิจไทย ณ ไตรมาสหนึ่งปีนี้ มีมากกว่าร้อยละ 50 ของรายได้ประชาชาติ ตัวเลขนี้อ้างโดย ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ และสถาบันการเงินระหว่างประเทศ ขณะที่อัตราส่วนระหว่างหนี้ครัวเรือนกับรายได้ประชาชาติเทียบกับแนวโน้มระยะยาวได้เพิ่มขึ้นสูงสุดในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ด้วยกัน ดังนั้นประเทศไทยก็เป็นประเทศหนึ่งที่ระดับหนี้ภาคเอกชนได้เพิ่มสูงขึ้นหลังปี 2008 ทำให้นโยบายต้องให้ความสำคัญ กับผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐที่จะมีต่อความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจ และของครัวเรือน
ย้อนกลับเมื่อ 18 ปีก่อน ที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งขึ้นปี 1997 ภาวะเศรษฐกิจโลกตอนนั้น ก็คล้ายมากกับขณะนี้ คือเศรษฐกิจของประเทศทั่วโลกส่วนใหญ่ขยายตัวไม่ดี มีแต่สหรัฐประเทศเดียวที่ขยายตัวได้ดี และสหรัฐก็เริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่ามาก ผลก็คือเศรษฐกิจทั่วโลกถูกกระทบทั้งจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และการไหลออกของเงินทุนต่างประเทศ ในกรณีของไทยถ้าจำได้ การส่งออกช่วงนั้นขยายตัวไม่ดี ประเทศมีปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมาก และมีการไหลออกของเงินทุนต่างประเทศต่อเนื่อง จนกระทบความมั่นใจของนักลงทุนในที่สุด ขณะนี้เทียบกับเมื่อ 18 ปีก่อนความท้าทายต่อนโยบายก็คล้ายกัน ต่างกันก็เพียงระบบอัตราแลกเปลี่ยนของไทยขณะนี้ มีความยืดหยุ่นมากกว่า เพราะไม่ได้เป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ ขนาดของเงินทุนสำรองมีมากขึ้นจากเดิมและดุลบัญชีเดินสะพัด ณ จุดนี้ยังเป็นการเกินดุล ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะดูแลปัญหาที่ดีกว่าเมื่อ 18 ปีก่อน
ก็ต้องตามดูว่า จากนี้ไปการบริหารจัดการความเสี่ยงและผลกระทบต่างๆ จะเป็นอย่างไรโดยเฉพาะในปีหน้า

ไป ขุดรู อยู่ดีกว่า......


ไป ขุดรู อยู่ดีกว่า......
นายกฯ บ่น อุตส่าห์ทำงานมาแก่ปัญหา มา2ปี แต่คาดทุกอย่างจะกลับไปที่เก่า ทุกเริ่อง เดี๋ยวประชามตื เลือกตั้ง รัฐธรรมนูญ อีก เดี๋ยวก็กลับที่เก่า อีก ผมอายคน อายตปท.เขาถามแต่ ความขัดแย้ง เลือกตั้ง รธน.ไม่ถามเรื่องดีๆ เลย
"ไม่รู้จะอยู่ไง ประเทศนึ้ ไปขุดรูอยู่ดีกว่า จะได้ไม่ต้องยุ่งกับใคร"
พลเอกประยุทธ์ นายกฯและหัวหน้าคสช.บ่น เสียเวลา สมองเสีย หงุดหงิด เขาบอกเป็นนายกฯ ต้องอดทน มาอยู่ตรงผมนี่ ทำยังผมนี่ จะได้รู้ว่าหงุดหงิดมั้ย ดีนะที่ ครม.เข้าใจผม ให้โอกาสผม ในการทำงาน ยัน กองทัพเหนียวแน่น อาจมีปัญหาบ้าง ทำไมต้องไปยึดโยง ผมไม่ได้ปกป้องใคร ให้ใช้กระบวนการยุติธรรม เหน็บทีพวกทำผิดเต็มๆ แต่ยังไม่ยอมรับ หาว่าผมรังแก
"ผมไม่อยากมีอำนาจสักวัน ไม่งั้นผมก็ทำแบบตปท.แล้ว ยึดเป็นของรัฐบาลหมด แล้วเอาไปแจกคนจนไป"
ลั่นเรื่องอุทยานฯ ก็ไปสอบมาดิ โครงการทบ.ไม่ใช่ของผม หรือเขาเป็นน้องผม แล้วต้องเกี่ยวกันจนตายชาติหน้ารึไง ผมไม่เคยสอนลูกน้อง ทำเสียหาย แต่เสียหาย ตรงไหน ยังไง ก็ไปสอบมา จริงมั้ย
ส่วนพวกอีกฝั่งบอก ผิดแต่ต้น คนแรกอจนคนสุดท้าย มีตัว มันถูกอยู่คนเดียว เนี่ยทำให้ผมคิดจนปวดหัว คืดย้อนไปมา ผมย้อนคิด ปวดหัว คิดกลับไปกลับมาเพราะผมอธิบายคนอื่นเขาไม่ได้ คนในพื้นที่เขาบอกจะมาทำไม เขาตรวจสอบ กันอยู่แล้ว

"บิ๊กตู่"ท้า ถามปชช.รู้เรื่องเลือกตั้งมากเเค่ไหน? ซัดคนหนีไปนอก กลับมาโดนจับแน่

 14 ธันวาคม 2558

“บิ๊กตู่” อัด นักการเมืองชอบอ้างประชาชน จนเป็นปัญหาการเลือกตั้ง ท้าไปถามรู้เรื่องเลือกตั้งมากเเค่ไหน เหน็บ คนหนีไป ตปท.กลับมาโดนจับแน่ ชี้ ครม.- กองทัพ ยังเหนียวแน่น บอก นักการเมืองต้องเสียสละ
 

เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวตอนหนึ่งในการเป็นประธานในพิธีเปิดงานลดราคาจำหน่ายสินค้า “เทใจ..คืนสุข..เทศกาลปีใหม่” ซึ่งจัดโดยกระทรวงพาณิชย์ว่า ความขัดแย้งในปัจจุบันเกิดจากการอ้างประชาชน ขอให้ไปถามประชาชนว่ารู้เรื่องการเลือกตั้งมากแค่ไหน ปัญหาทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะคน คนไทยขยันอดทน แต่อดทนกับความยากจน ขยันสร้างความขัดแย้ง ถ้าช่วยกันเปลี่ยนประเทศให้ดีกว่าเดิม ถ้าทุกคนเลือกเสพข่าวต่อๆ กันแล้วนำมาตีกันก็ไม่ทำงานต่อหรืออย่างไร ใครมีปัญหาอะไรก็บอกมา แต่เวลาบอกก็ฟังเสียด้วย ไม่ใช้ให้คนใช้ประโยชน์จากการปลุกปั่น สร้างความไม่สงบเรียบร้อย ทั้งในประเทศและต่างประเทศแบบนี้ ระหว่างตนที่ยืนหยัดอยู่แบบนี้กับคนที่หนีไปต่างประเทศ จะเชื่อใคร ตนอยู่ตรงนี้ ไม่ได้หนีไปไหน แต่คนที่หนีไปแล้วพูดให้ร้ายประเทศอยู่ ก็ทบทวนแล้วกันว่าเพราะอะไร เขาทำผิดกฎหมายหรือเปล่า ทุกคนใช้กฎหมายเดียวกัน ขึ้นอยู่ว่าเราจะให้เขาเข้ากระบวนการตรวจสอบหรือกระบวนการยุติธรรมอย่างไร ถ้าไม่เข้ากระบวนการก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น ก็หนีไป กลับมาก็โดนจับกุม ก็มีแค่นี้ มันยากตรงไหน มันเกี่ยวข้องอะไรตรงไหนที่จะเกี่ยวกับการเมือง เกี่ยวกับ คสช.

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ได้กลัวเรื่องสถานภาพของรัฐบาลและ คสช. แต่ตนกลัวการใช้อำนาจของตน ไม่ใช่คนที่บ้าประชาธิปไตยแล้วใช้อำนาจไม่กลัวใครเลย ทุกคนอยู่กระบวนการและตนก็อยู่ในกระบวนการเช่นกัน ที่ผ่านมาทุกคนสนับสนุนการเลือกตั้ง คราวนี้ตนก็ต้องสนับสนุนอีก ก็ต้องเลือกตั้งอยู่ดี แต่อยากถามว่าคนที่สร้างปัญหาให้ประเทศมันควรจะเป็นอย่างไร ก็สู้กันทุกเรื่อง สู้ใน สนช.ในรัฐธรรมนูญ ถามว่าคนที่สู้กันแต่เรื่องที่มาหรือการใช้อำนาจอะไรต่างๆ วันนี้ครม.และกองทัพก็ยังเหนียวแน่น ปัญหามีอยู่บ้าง คนเป็นล้านๆ คน มีก็มีไปทำไมต้องยึดโยง ตนไม่เข้าใจ ตนไม่ได้ปกป้องใครทั้งสิ้น แต่บอกให้ยึดตามกระบวนการยุติธรรมไปสอบสวน ตรวจสอบ ดำเนินคดีมา ถ้าผิดไม่ใช่บางคนผิดเต็มๆ แล้วยังไม่รับอีก ไปคิดเอาที่ตนพูดวันนี้อาจจะลืมนึกไปก็ได้ คิดว่ารัฐบาลนี้รังแกกัน เข้ามาแสวงหาอำนาจ ตนไม่อยากมีอำนาจสักวัน ถ้าจะมีอำนาจจริงๆ ทำแบบต่างประเทศเขาทำทั้งหมดเป็นของรัฐบาลหมด แจกคนจนไป แต่ตนไม่ได้ทำ มีแต่อำนวยความสะดวกให้ทุกคน ทำทุกอย่างให้เกิดความเป็นธรรม

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า 2 ปีมาแล้วที่ทุกเรื่องกลับไปสู่ที่เก่า ทั้งเรื่องจำนำข้าว ประชามติ ถ้าเลือกตั้งก็คงกลับมาที่เก่าอีก นักการเมืองจึงต้องเสียสละ คนเลวๆตนไม่นับถือ คนดีๆก็มีอยู่เยอะ ตนจมอยู่กับความคิดอย่างนี้มาแล้ว 2 ปี ชีวิตอยู่กับแบบนี้มา 2 ปีเพราะตนอาย วันนี้ไปไหนก็อาย เพราะต่างประเทศไม่เคยถามในสิ่งดีๆ ถ้าทำแบบเดิมก็ได้แบบเดิมจึงต้องมีกติกา มีใครกล้าสาบานไหมล่ะ มีแต่ขอกลับไปที่เดิม หรือจะให้ตนขุดรูอยู่เพื่อที่จะได้ไม่เจอผู้คน คนไทยไม่เคยฟังคนอื่นพูด แต่โชคดีที่คนไทยยังให้โอกาสตนทำงาน

เครือข่ายนักวิชาการ ชี้ ปชช.มีสิทธิตรวจสอบทุจริต เปิดทางร่วมไขข้อกระจ่าง "ราชภักดิ์"

14ธันวาคม2558

เครือข่ายนักวิชาการฯ ยัน "ปชช.มีสิทธิตรวจสอบทุจริต" จี้ยุติละเมิดสิทธิ์ เปิดทางร่วมไขข้อกระจ่าง "ราชภักดิ์"
http://www.matichon.co.th/online/2015/12/14500916741450091765l.jpg
เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 14 ธันวาคม ที่ห้องประชุมคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา อาคารคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง จัดแถลงข่าว "เรียกร้องให้ยุติการจับกุมคุมขังประชาชนที่ตรวจสอบโครงการอุทยานราชภักดิ์" นำโดย นายอนุสรณ์ อุณโณ คณบดีคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา นายพิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ นายยุกติ มุกดาวิจิตร อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ม.ธรรมศาสตร์  โดย นายอนุสรณ์ อ่านแถลงการณ์ความว่า ในช่วงเดือนเศษที่ผ่านมาได้ปรากฏข้อมูลทางสื่อมวลชนถึงความไม่โปร่งใสในโครงการอุทยานราชภักดิ์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ แม้ทางกองทัพจะได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบแล้วมีผลสรุปว่าไม่มีการทุจริตใดๆ แต่ก็ไม่อาจลดทอนความเคลือบแคลงในหมู่ประชาชนได้ เนื่องจากเป็นการตรวจสอบกันเองภายในหน่วยงานเดียวกัน ทำให้นักศึกษาและประชาชนกลุ่มต่างๆ รณรงค์ให้รัฐบาลและกองทัพบกตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริงอย่างโปร่งใส แต่ความพยายามดังกล่าวกลับถูกขัดขวางข่มขู่โดยเจ้าหน้าที่รัฐ ปัจจุบันการข่มขู่คุกคามได้เพิ่มระดับความรุนแรง ถึงขั้นเพียงการส่งข้อมูลข่าวสารการตรวจสอบทุจริตหรือเพื่อการกดปุ่ม ไลค์ บนหน้าสื่อออนไลน์กลับถูกจับกุมคุมขังตั้งข้อหาร้ายแรงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และมาตรา 116 อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร มีประชาชน 2 คนคือ นายฐนกร ศิริไพบูลย์ และนายธเนศ อนันตวงศ์ ได้ถูกเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบจับกุมและลำตัวไปกักขังในสถานที่ไม่เปิดเผยรวมทั้งไม่อนุญาตให้ญาติและทนายความเข้าพบด้วยความผิดในข้อหาดังกล่าว

http://www.matichon.co.th/online/2015/12/14500916741450091768l.jpg
 
ด้วยเหตุนี้เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมืองจึงเรียกร้องไปยังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ดังนี้

1. ยุติการขัดขวาง ข่มขู่ คุกคาม หน่วงเหนี่ยวนักศึกษาและประชาชนที่ตั้งข้อสงสัยและต้องการให้มีการตรวจสอบโครงการอุทยานราชภักดิ์ เพราะการเคลื่อนไหวของนักศึกษาและประชาชนเป็นไปตามสิทธิพลเมืองขั้นพื้นฐาน อีกทั้งรัฐบาลเป็นหน่วยงานสาธารณะที่ประชาชนย่อมวิพากษ์วิจารณ์ติชมได้ หากการวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นใด ไม่อยู่บนฐานของข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง รัฐบาลมีหน้าที่ต้องชี้แจงข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเพื่อหักล้างข้อสงสัย มิใช่การปิดกั้นคุกคามการตั้งคำถามและข้อสงสัยของประชาชน ด้วยการจับกุมดำเนินคดีด้วยข้อหาที่รุนแรง

2. ยุติการดำเนินคดี "ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง" ต่อการแบ่งปันข้อมูลการทุจริตในโครงการอุทยานราชภักดิ์และการกดปุ่ม "ไลค์" บนหน้าสื่อออนไลน์ และยุติการใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และมาตรา 116 ในศาลทหารเป็นเครื่องมือในการดำเนินคดีบุคคลที่เรียกร้องให้มีการตรวจสอบโครงการอุทยานราชภักดิ์

3. ยุติการจับกุมโดยพลการและการควบคุมตัวที่ตัดขาดจากโลกภายนอก รวมทั้งยกเลิกเรือนจำชั่วคราวกองพันทหารราบมณฑลทหารบกที่ 11   ทั้งนี้ ให้นำวิธีปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้ อนุญาตให้ผู้ต้องหาเข้าถึงทนายและญาติตลอดจนการรักษาพยาบาลที่จำเป็น รวมทั้งเปิดให้ศาลพลเรือนตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการควบคุมตัว

http://www.matichon.co.th/online/2015/12/14500916741450091772l.jpg

"เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมืองยืนยันว่า ′การตรวจสอบทุจริตไม่ใช่อาชญากรรม′ และ ′ประชาชนที่กระตือรือร้นในการตรวจสอบทุจริตไม่ใช่อาชญากร′ ประชาชนไทยมีสิทธิสงสัยได้เรียกร้องให้ตรวจสอบโครงการของรัฐ มีสิทธิตั้งคำถามและแบ่งปันข้อมูลความไม่โปร่งใสในโครงการนั้นๆ การข่มขู่ คุกคาม ดำเนินคดีร้ายแรงจะยิ่งก่อให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในโครงการดังกล่าวมากขึ้นไปอีก อีกทั้งมีแต่จะนำมาซึ่งความขัดแย้งในสังคมมากยิ่งขึ้น" แถลงการณ์ ระบุ

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า จากที่เฝ้าดูเหตุการณ์ 2-3 วันมานี้ สิทธิพลเมืองที่จะแสดงความเห็นโดยสุจริตได้ถูกลิดรอน ทางเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมืองจึงออกแถลงการณ์ฉบับนี้ จากการจับกุมบุคคลที่เดินทางไปอุทยานราชภักดิ์โดยไม่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนปกติ มีการขังตัวนายธนกร ศิริไพบูลย์ ผู้เผยแพร่ผัง ต่อที่ศาลทหารโดยไม่บอกว่านำตัวไปที่ใด ผิดหลักการควบคุมตัวตามปกติค่อนข้างรุนแรง แลนายธเนตร อนันตวงษ์ที่ป่วยรอผ่าตัดอยู่ถูกพาตัวไปโดยอนุญาตให้ญาตินำเพียงยาแก้ปวดชนิดพื้นฐานไปให้เท่านั้นลิดรอนสิทธิผู้ต้องหาอย่างรุนแรง รัฐบาลและคสช.ได้ก้ามข้ามทุกอาณาบริเวณการแสดงความเห็นของประชาชนไปอีกระดับ  ตอนนี้สังคมสับสนว่าเรื่องไหนวิจารณ์ได้ จึงอยากใช้พื้นที่มหาวิทยาลัยเรียกร้องให้รัฐบาลหรือคนที่เกี่ยวข้องร่วมชี้แจงกับเราให้สังคมเกิดความกระจ่างชัด เพราะความสงสัยขยายตัวขึ้นแต่มีความกลัวกดไว้ไม่ให้ถาม ทางเครือข่ายนักวิชาการฯมีผู้เชี่ยวชาญเรื่องกฎหมายคอมพิวเตอร์และสิทธิออนไลน์ต่างๆที่จะร่วมชี้แจงพร้อมกับคนจากรัฐบาลเพื่อคลายความกลัว ความสงสัยและไม่เข้าใจในเรื่องนี้

"เราไม่สามารถบังคับให้รัฐบาลทำตามเราได้ ทำได้เพียงบอกให้รัฐบาลทำในสิ่งที่ถูกต้อง  และไม่ควรให้องค์กรในกำกับของรัฐบาลเป็นผู้ตรวจสอบ ควรเปิดโอกาสให้องค์กรอื่นและภาคประชาสังคมมีส่วนร่วม สำนึกพลเมืองขั้นพื้นฐานคือต้องช่วยกันตรวจสอบ เหตุผลที่คณะรัฐประหารขึ้นมาคือการขจัดทุจริตคอร์รัปชั่น เช่นนี้แล้วจะอ้างความชอบธรรมในการขึ้นมาได้อย่างไร   ถ้าบริสุทธิ์ใจก็ไม่มีเหตุผลที่จะปิดกั้นคนอื่น" นายอนุสรณ์กล่าว 

“บิ๊กตู่” บอกบ้าหรือเปล่าเขียนอาชีพบนบัตร ปชช. ยันใส่ในชิป ชูกองทัพเหนียวแน่น

นายกรัฐมนตรีเปิดงานลดราคาจำหน่ายสินค้า “เทใจ...คืนสุขเทศกาลปีใหม่” 17-27 ธันวานี้ ลั่นโกหกไม่เป็น ไม่ได้ใช้อำนาจอย่างเดียว จวกพวกบิดเบือนอันตราย ถามคนอยู่กับคนหนีไปนอกจะเชื่อใคร ชูกองทัพเหนียวแน่นแม้มีปัญหาบ้าง ย้ำไม่ปกป้อง ผิดถูกตามกระบวนการ แต่ราชภักดิ์โครงการ ทบ. ให้ไปสอบ ไปลงโทษให้ถูกต้อง บ่นปวดหัว ต่อไปนี้ไม่ต้องไปไล่จับมัน สวนระบุอาชีพน่าอายตรงไหน ซัดบ้าหรือเปล่าคิดเอาใส่ไว้ในบัตรประชาชน บอกแค่ใส่ชิปอีกตัว โอ่คิดเชื่อมโยงไปถึงจ่ายค่าสาธารณูปโภคได้ 
       
       วันนี้ (14 ธ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานในพิธีเปิดงานลดราคาจำหน่ายสินค้า “เทใจ...คืนสุข เทศกาลปีใหม่” โดยมีห้างค้าปลีกส่ง ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เกต และร้านค้าสะดวกซื้อทั่วประเทศกว่า 13,000 สาขาเข้าร่วมโครงการ ระหว่างวันที่ 17-27 ธันวาคมนี้ ซึ่งจะมีการลดราคาสินค้าสูงสุดถึงร้อยละ 80 เพื่อคืนความสุขให้กับประชาชน ลดค่าครองชีพเป็นของขวัญ พร้อมกันนี้ได้เปิดตัวโครงการตลาดชุมชน “ตลาดต้องชม” ตลาดท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์สะท้อนวิถีชีวิตชุมชน โดยกระทรวงพาณิชย์มีแผนพัฒนาตลาดทั้งหมด 231 แห่งทั่วประเทศภายในปี 2561 ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวคาดว่าจะมียอดขายสินค้ารวม 50,000 ล้านบาท ที่จะช่วยลดค่าครองชีพของประชาชนได้ถึงร้อยละ 30 คิดเป็นเงินประมาณ 15,000 ล้านบาท
       
       โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลพยายามทำทุกอย่าง ขณะที่เศรษฐกิจโลกมีปัญหา ทั้งเศรษฐกิจโลกตกต่ำทำให้มีผลกระทบ เนื่องจากเป็นประเทศเกษตรกรรม รายได้ปานกลาง มีสิทธิพิเศษน้อยจึงทำให้การแข่งขันกับประเทศอื่นเป็นสิ่งที่ยาก แม้ตนจะเป็นทหารมาทั้งชีวิต แต่ก็ได้ติดตามงานต่างๆ ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ คิดนโยบายเป็นรูปธรรม เพราะหากมีแต่คนขัดแย้งเราก็ไม่สามารถคาดหวังอะไรได้ จึงขอให้ร่วมมือกันแยกแยะความขัดแย้งให้ออกจากประเทศ ไม่ใช่เอามาปนกันหมดทั้งการปฏิรูป ปัญหาต่างๆ กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม เศรษฐกิจ ที่ผ่านมาไม่เคยมีการแก้ปัญหา จึงต้องมารื้อทุกเรื่อง ไม่ใช่เพราะเก่ง แต่รู้ปัญหาเพราะรับฟังจากทุกส่วน และขอให้ทุกคนร่วมมือกัน ไม่ใช่รัฐบาลคิดอะไรมาก็ขัดแย้งทั้งหมด
       
       นายกฯ กล่าวต่อว่า วันนี้รู้สึกว่าตนไม่ใช่นักการเมือง เพราะพูดแต่ความจริง โกหกไม่เป็น พูดด้วยข้อเท็จจริง และแก้ปัญหาโดยการทบทวนทุกอย่าง ไม่ได้ใช้อำนาจอย่างเดียว เพราะถ้าใช้คงไม่ยุ่งแบบนี้ การสร้างความเข้าใจที่บิดเบือนถือว่าอันตราย เพราะทำให้คนไม่เข้าใจไปตลอด ตนเห็นประเทศไทยเป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็ก ชินกับสิ่งเหล่านี้และบังเอิญได้เข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งที่ไม่อยากยุ่งเกี่ยวแต่ทำไม่ได้ และมีคนมาบิดเบือนหลายอย่างที่ไม่เป็นความจริง แผ่นดินนี้เป็นของคนไทยทุกคน เมื่อเขามอบแผ่นดินนี้มาให้ดูแลก็ต้องดูแลทุกคนในชาติให้มีความปรองดองอยู่ร่วมกันให้ได้ ขอให้เอ็นจีโอเข้ามาร่วมมือ เพราะจะมีคนเข้ามาทำลายทั้งเจตนาและไม่เจตนา เพราะอาจจะรู้ไม่ถึงการณ์ทำให้ปัญหาแก้ไม่ได้ มีการสร้างความรับรู้ที่ไม่ถูกต้อง เราทำลายตัวเองกันโดยไม่รู้ตัว มัวแต่ถกแถลงโดยไม่มีข้อมูล เรื่องที่ไม่ดีไม่ถูกก็ต้องให้กระบวนการดำเนินการ มัวแต่ยุแยงก็จะไปกันไม่ได้ ถ้าเราจะอยู่แบบนี้ จะกลายเป็นประเทศที่มีรายได้ต่ำที่สุดของอาเซียนในอนาคต ตามก้นประเทศอื่น เพราะทุกประเทศใช้กฎหมายได้ มีแต่ประเทศไทยที่ใช้กฎหมายไม่ได้หรือใช้ได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงต้องร่วมมือกันเพื่อหาหนทางให้ได้
       
       นายกฯ กล่าวอีกว่า ความขัดแย้งในปัจจุบันเกิดจากการอ้างประชาชน ขอให้ไปถามประชาชนว่ารู้เรื่องการเลือกตั้งมากแค่ไหน เรื่องที่ไปถึงต่างประเทศเราก็กำลังแก้ ปัญหาทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะคน คนไทยขยันอดทน แต่อดทนกับความยากจน ขยันสร้างความขัดแย้ง ถ้าช่วยกันเปลี่ยนประเทศให้ดีกว่าเดิม ก็ไม่ต้องมีตนมาพูดให้รำคาญอยู่แบบนี้ ตนก็รำคาญตัวเองเหมือนกัน
       
       “ถ้าทุกคนเลือกเสพข่าวต่อๆ กันแล้วนำมาตีกัน ก็ไม่ทำงานต่อหรืออย่างไร ใครมีปัญหาอะไรก็บอกมา แต่เวลาบอกก็ฟังเสียด้วย ไม่ใช้ให้คนใช้ประโยชน์จากการปลุกปั่น สร้างความไม่สงบเรียบร้อย ทั้งในประเทศและต่างประเทศแบบนี้ ระหว่างผมยืนหยัดอยู่แบบนี้กับคนที่หนีไปต่างประเทศ จะเชื่อใคร ผมอยู่ตรงนี้ ไม่ได้หนีไปไหน แต่คนที่หนีไปแล้วพูดให้ร้ายประเทศอยู่ ก็ทบทวนแล้วกันว่าเพราะอะไร เขาทำผิดกฎหมายหรือเปล่า ทุกคนใช้กฎหมายเดียวกัน ขึ้นอยู่ว่าเราจะให้เขาเข้ากระบวนการตรวจสอบหรือกระบวนการยุติธรรมอย่างไร ถ้าไม่เข้ากระบวนการก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น ก็หนีไป กลับมาก็โดนจับกุม ก็มีแค่นี้ มันยากตรงไหน มันจะเกี่ยวข้องกับการเมืองตรงไหน เกี่ยวกับ คสช. หรือเกี่ยวกับสถานภาพของ คสช. สถานภาพผม ผมไม่ได้กลัวเรื่องสถานภาพของรัฐบาลและ คสช. แต่กลัวเรื่องเสถียรภาพ ผมกลัวการใช้อำนาจของผม ไม่ใช่คนที่บ้าประชาธิปไตยแล้วใช้อำนาจไม่กลัวใครเลย ทุกคนอยู่กระบวนการและผมก็อยู่ในกระบวนการเช่นกัน ที่ผ่านมาทุกคนสนับสนุนการเลือกตั้ง คราวนี้ผมก็ต้องสนับสนุนอีก ก็ต้องเลือกตั้งอยู่ดี” นายกฯ กล่าว
       
       นายกฯ กล่าวต่อว่า ตนถามคนที่สู้กันแต่เรื่องที่มาหรือการใช้อำนาจอะไรต่างๆ คิดหรือไม่ว่าจะช่วยเหลือคนจนอย่างไร ตนไม่อยากพูดจาให้ร้ายใครขี้เกียจทะเลาะด้วย เพราะจะหงุดหงิด บอกว่านายกฯ ต้องอดทน ถ้ามาเป็นตนแล้วจะเข้าใจ แต่ยังดี ข้าราชการหรือพี่ๆ ใน ครม.ให้ความร่วมมือดีอยู่ กองทัพก็ยังเหนียวแน่น ปัญหามีอยู่บ้าง คนเป็นล้านๆ คน มีก็มีไปทำไมต้องยึดโยง ตนไม่เข้าใจ ตนไม่ได้ปกป้องใครทั้งสิ้น แต่ตนบอกให้ยึดตามกระบวนการยุติธรรมไปสอบสวน ตรวจสอบ ดำเนินคดีมา ถ้าผิด ไม่ใช่บางคนผิดเต็มๆ แล้วยังไม่รับอีก ไปคิดเอาที่ตนพูดวันนี้อาจจะลืมนึกไปก็ได้ คิดว่ารัฐบาลนี้รังแกกัน เข้ามาแสวงหาอำนาจ ตนไม่อยากมีอำนาจสักวัน ถ้าจะมีอำนาจจริงๆ ทำแบบต่างประเทศเขาทำทั้งหมดเป็นของรัฐบาลหมด แจกคนจนไป แต่ตนไม่ได้ทำ มีแต่อำนวยความสะดวกให้ทุกคน ทำทุกอย่างให้เกิดความเป็นธรรม
       
       พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ที่ผ่านมาข้าราชการต้องปรับตัวไปตามคนที่มีอำนาจ ทำเรื่องผิดแล้วบอกว่าประชาชนเป็นคนได้ วันนี้ตนจึงต้องขับเคลื่อนเรื่องหลักธรรมาภิบาลให้ได้ และไม่ปกป้องใคร ใครผิด ใครถูกก็ว่าตามกระบวนการยุติธรรม ให้โอกาสทุกคน คดีเดิมๆ ตนก็ให้หมดทุกอัน ทั้งที่ตนไม่ให้ก็ได้ ทุกวันนี้ทุกอย่างผิดไปหมด เพราะอะไร เพราะประชาชนได้ ตนถามว่าจะได้สักเท่าไหร่ ได้กี่สตางค์ เดี๋ยวก็สอบกันเจอหมด
       
       “สร้างอุทยานฯ ก็ไปสอบมา มันเป็นโครงการของกองทัพบก ไม่ใช่โครงการของผม เข้าใจเสียที คิดว่าผมเป็นน้องเขา เขาเป็นน้องผม ผมต้องเกี่ยวกับเขาทุกเรื่องจนตายถึงชาติหน้าหรือไง ทุกคนต้องทำงานตามหน้าที่ของตัวเอง โครงการของกองทัพบกก็เป็นโครงการหนึ่ง เหมือนโครงการของกรมอีกหลายร้อยกรม กองทัพบกมีฐานะเท่ากรมเท่านั้น เพียงแต่มีคนเยอะ มีวินัย ผมไม่เคยสอนลูกน้องผมในทางที่เสียหาย แต่มันจะเสียเพราะอะไรไปสอบมา ไปลงโทษกันให้ถูกต้อง ใครผิดลงโทษแค่ไหนก็ไปว่ามา อีกข้างหนึ่งบอกว่าผิดตั้งแต่ต้น ไปฟ้องศาล เรื่องความผิด มันผิดตั้งแต่คนแรกไปถึงคนสุดท้าย แล้วมันถูกอยู่คนเดียว ผมถามมันใช่หรือ คิดอย่างนี้บ้าง ผมถึงปวดหัว คิดย้อนกลับไปมา ว่ามันอะไร ไม่รู้จะพูดอะไรกับคน อธิบายคนไม่ได้ วันนี้ก็ต้องไปตามจับไอ้พวกที่พูดโน้น พูดนี่ ผมเลยบอกต่อไปนี้ไม่ต้องไปจับมัน ปล่อยให้ไปไหนก็ไป เสียเวลา จับมาเดี๋ยวก็ต้องปล่อยอีก คนดีๆ คิดเป็น ถ้าคิดกันอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้ ประเทศไทยก็อยู่อย่างนี้ ข้าราชการ คนในพื้นที่บอกเขาไม่ได้หรือให้กลับบ้าน จะมาทำไม เขาก็ตรวจสอบกันอยู่แล้ว อีกหน่อย อีกพวกไม่พอใจก็ลุกมาไล่จำนำข้าวไปอีก ก็วนกลับมาที่เดิมอีก” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
       
       นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า 2 ปีมาแล้วที่ทุกเรื่องกลับไปสู่ที่เก่า ทั้งเรื่องจำนำข้าว ประชามติ ถ้าเลือกตั้งก็คงกลับมาที่เก่าอีก นักการเมืองจึงต้องเสียสละ คนเลวๆ ตนไม่นับถือ คนดีๆก็มีอยู่เยอะ ตนจมอยู่กับความคิดอย่างนี้มาแล้ว 2 ปี ชีวิตอยู่กับแบบนี้มาสองปีเพราะตนอาย วันนี้ไปไหนก็อาย เพราะต่างประเทศไม่เคยถามในสิ่งดีๆ ถ้าทำแบบเดิมก็ได้แบบเดิมจึงต้องมีกติกา มีใครกล้าสาบานไหม มีแต่ขอกลับไปที่เดิม หรือจะให้ตนขุดรูอยู่เพื่อที่จะได้ไม่เจอผู้คน คนไทยไม่เคยฟังคนอื่นพูด แต่โชคดีที่คนไทยยังให้โอกาสตนทำงาน
       
       พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนจะทยอยให้ของขวัญให้ประชาชนด้วยการมอบรอยยิ้มมอบความสุข โดยตนจะพยายามไม่โมโห ถ้าไม่มีใครมายั่ว เว้นแต่จะมีการถามคำถามให้หงุดหงิดใจ และตนเสนอว่าให้นำใบเสร็จซื้อสินค้าต่างๆ น่าจะนำมาจับของรางวัล ถ้านำของที่บางคนอาจจะทิ้งมาร่วมจับรางวัล สร้างความดีใจให้คนทุกระดับ และปีใหม่นี้อยากให้ทำกุศลร่วมกันเพื่อให้มีความสุขร่วมกันและฝากว่า อย่าเชื่อทุกสิ่งที่ได้ยิน อย่าเชื่อทุกสิ่งที่ได้เห็น แต่ทุกอย่างอยู่ที่การกระทำ ซึ่งตนทำเพื่อคนไทยทุกคน
       
       พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวถึงแนวคิดการระบุอาชีพและรายได้ลงในบัตรประชาชนว่า ตนบอกว่าให้ไปคิดมา ไปทำบัตรมาอย่างบัตรประชาชน แล้วก็มาตีตนว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน มันละเมิดตรงไหน น่าอับอายตรงไหน การที่จะมีคำว่าทำอาชีพเกษตรกร มันอายเขาตรงไหน ตนถามสิ ไม่ได้หมายความว่าจะใส่ในบัตรประชาชน มันใส่ไม่ได้ คิดโง่ๆ แบบนี้ได้ยังไง มันจะเอาใส่อะไร อาชีพ รายได้ เดือนนี้เท่าไหร่ ปีนี้เท่าไหร่ จะบ้าหรือเปล่าคนที่คิดแบบนี้ เขาเพียงแค่ใส่ชิปเพิ่มเข้าอีกตัวเท่านั้นเอง ถึงเวลาก็เสียบการ์ดเข้าไปก็อ่านออกมาหมดว่าคนนี้ทำอะไร มันเสียหน้าตรงไหน กลัวเขาจะหาว่าเราจนหรืออย่างไร มันเสียหน้าตรงไหน ตนต้องการจะแยกแยะให้หมด แต่ไม่ต้องการไปแบ่งชนชั้น และตนต้องการที่จะคิดไปต่อถึงการเชื่อมโยงการเสียภาษี ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ารถเมล์ ค่าเครื่องบิน ซึ่งจะใช้เป็นการ์ดใบเดียว หรือสองใบ คนจนก็ใช้ได้ 

นายกฯบัตรปชช.


"ผมบอกว่าให้ไปคิดมา ไปทำบัตรมาอย่างบัตรประชาชน แล้วก็มาตีตนว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน มันละเมิดตรงไหน น่าอับอายตรงไหน การที่จะมีคำว่า ทำอาชีพเกษตรกร มันอายเขาตรงไหน ผมถามสิ ไม่ได้หมายความว่าจะใส่ในบัตรประชาชน มันใส่ไม่ได้หรอก คิดโง่ๆ แบบนี้ได้ยังไง มันจะเอาใส่อะไร อาชีพ รายได้ เดือนนี้เท่าไหร่ ปีนี้เท่าไหร่ จะบ้าหรือเปล่าคนที่คิดแบบนี้ เขาเพียงแค่ใส่ชิพเพิ่มเข้าอีกตัวเท่านั้นเอง ถึงเวลาก็เสียบการ์ดเข้าไป ก็อ่านออกมาหมดว่าคนนี้ทำอะไร มันเสียหน้าตรงไหน กลัวเขาจะหาว่าเราจนหรืออย่างไร มันเสียหน้าตรงไหน ตนต้องการจะแยกแยะให้หมด แต่ไม่ต้องการไปแบ่งชนชั้น และตนต้องการที่จะคิดไปต่อถึงการเชื่อมโยงการเสียภาษี ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ารถเมล์ ค่าเครื่องบิน ซึ่งจะใช้เป็นการ์ดใบเดียว หรือสองใบ คนจนก็ใช้ได้"
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี
14 ธันวาคม 2558

บทเรียนประชาธิปไตยจากอาร์เจนตินา ต่อการก้าวผ่านจุดบอดการเมืองไทย

13 ธันวาคม 2015
ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ
อาร์เจนตินา เป็นประเทศที่มีความคล้ายคลึงกับประเทศไทยหลายอย่าง มีเมืองหลวงชื่อ กรุงบัวโนสไอเรส ที่มักจะแข่งขันกับกรุงเทพฯ เป็นเมืองขวัญใจของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ประเทศอาร์เจนตินามีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นลำดับต้นๆ ของอเมริกาใต้ คล้ายกับขนาดเศรษฐกิจไทยในบริบทอาเซียน
การเมืองของอาร์เจนตินาก็มีส่วนคล้ายคลึงกับประเทศไทยไม่น้อย และจะถูกเปรียบเทียบกับการเมืองไทยอยู่บ่อยครั้งในวงการวิชาการรัฐศาสตร์ (อีกประเทศที่ถูกเปรียบเทียบกับไทยอยู่บ่อยๆ คือ ตุรกี) ประชาธิปไตยของอาร์เจนตินามีบทเรียนหลายอย่างให้กับการเมืองไทย โดยเฉพาะ 1) บทบาทของพรรคที่มีประชาชนสนับสนุนให้อยู่ในอำนาจเป็นเวลานาน 2) บทบาทและอิทธิพลของฝ่ายทหารในการเมืองพลเรือน 3) ปัญหาคอร์รัปชันที่หยั่งรากลึก
แต่ทั้งสองประเทศก็มีข้อแตกต่างอยู่หลายประการเช่นกัน คือ 1) วิวัฒนาการของฝ่ายอนุรักษนิยม 2) การ “ลด” บทบาทของฝ่ายทหารในการเมืองพลเรือนปัจจุบัน 3) การเดินหน้าทางประชาธิไตยในสถานการณ์ที่ปัญหาคอร์รัปชันรุมเร้า ซึ่งความคล้ายคลึงของการเมืองทั้งสองประเทศ แต่กลับเลือกทางออกของปัญหาทางการเมืองที่แตกต่างกันนั้น ทำให้ประเทศอาร์เจนตินาเป็นกรณีศึกษาที่ดี สำหรับทุกๆ ฝ่ายที่ต้องการให้ประเทศไทยหลุดพ้นวงจรการเมืองที่ล้มเหลว

ความคล้ายคลึงที่ 1: การยึดครองอำนาจผ่านการเลือกตั้งอันยาวนานของพรรคเดียว

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา นายเมาริซิโอ มาครี ตัวแทนของพรรคอนุรักษนิยมของอาร์เจนตินา (PRO) ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนใหม่อย่างเหนือความคาดหมาย โดยเอาชนะพรรค Justicialist Party ของนางคริสตินา เคิร์ชเนอร์ (Cristina Kirchner) ซึ่งกำลังจะเป็นอดีตประธานาธิบดีที่ครองอำนาจมาอย่างยาวนาน พรรคของนางเคิร์ชเนอร์ก่อตั้งขึ้นบนพื้นฐานของความเป็นประชานิยม โดยนายฮวน โดมิงโก เปรอน (Juan Dominco Peron)ในปี 1947 (2491) โดยได้รับชับชนะถึง 9 ครั้งจากการเลือกตั้งที่ผ่านมาทั้งหมด 12 ครั้ง ก่อนที่จะพ่ายแพ้ครั้งล่าสุด พรรค Justicialist Party ครองอำนาจติดต่อกันมายาวนานถึง 12 ปี ตั้งแต่ปี 2003 โดยนางเคิร์ชเนอร์ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำอาร์เจนตินาแทนสามีนายเนสเตอร์ เคิร์ชเนอร์ ที่ได้เสียชิวิตลง
นายฮวน โดมิงโก เปรอน ที่มาภาพ : https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/0/09/ Discurso_de_Per%C3%B3n.jpg
นายฮวน โดมิงโก เปรอน ที่มาภาพ : https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/0/09/
Discurso_de_Per%C3%B3n.jpg
การขึ้นมาครองอำนาจของพรรค Justicialist Party ในช่วงแรก นอกจากอยู่บนพื้นฐานความเป็นประชานิยมแล้ว ยังใช้ความเป็นชาตินิยมปลุกเร้าประชาชนให้อยากสร้างความเปลี่ยนแปลง ประเทศอาร์เจนตินาภายใต้การปกครองของพรรค Justicialist Party หรือที่สังคมโลกเรียกกันติดปากว่า “ระบอบ Peronism” เป็นขวัญใจของกลุ่มสหภาพแรงงานต่างๆ ในอาร์เจนตินา และมีฐานเสียงแข็งแกร่งในชนบท มีมาตรการขึ้นเงินเดือนขั้นต่ำ และจ่ายเงินเดือนในวันหยุด
“ระบอบ Peronism” ใช้เงินจากภาครัฐอุดหนุนโครงการต่างๆ อย่างกว้างขวาง มีทั้งที่ประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จ สภาวะเศรษฐกิจมีทั้งขึ้นทั้งลง มีการพยามยามคุมอำนาจเบ็ดเสร็จ เป็นเผด็จการแบบที่นักวิชาการเรียกว่า Competitive Authoritarianism คือ มีการแข่งขันเลือกตั้งแต่มีฝ่ายหนึ่งที่มีชัยชนะเกือบจะตลอดเวลา การคุมอำนาจอย่างยาวนานของพรรค Justicialist Party ทำให้ระบอบ Peronism มีศัตรูทั้งจากกลุ่มนักเคลื่อนไหวประชาธิปไตย นักสิทธิมนุษยชน และฝ่ายค้าน แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือความสำเร็จอย่างยาวนานของระบอบ Peronism ในสนามเลือกตั้ง

ความคล้ายคลึงที่ 2: การ “มี” บทบาทของฝ่ายทหารในการเมืองพลเรือน

ตามประวัติศาสตร์อาร์เจนตินา มีการพยายามทำรัฐประหารทั้งหมด 11 ครั้ง ในจำนวนนี้เป็นการปฏิวัติที่ประสบความสำเร็จ 6 ครั้ง (สำหรับประเทศไทย หลังจากมีการเปลี่ยนการปกครองปี 2475 มีความพยายามทำรัฐประหาร 19 ครั้ง สำเร็จ 12 ครั้ง และอีกข้อมูลที่น่าสนใจก็คือ ประเทศไทยมีสถิติการพยายามทำรัฐประหารมากที่สุดเป็นที่ 2 ของโลก รองจากประเทศเฮติ ส่วนอันดับที่ 3 คือประเทศกรีซ) การรัฐประหารครั้งหนึ่งเกิดขึ้นในปี 1955 หลังจากนายเปรอนครองอำนาจมา 8 ปี ปัญหาเศรษฐกิจ การดำเนินนโยบายที่ผิดพลาด และการที่ความนิยมในตัวนายเปรอนได้พัฒนากลายเป็นเหมือนลัทธิบูชาบุคคล ทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่างกลุ่ม Peronist และกลุ่มอำนาจเดิม ที่นำโดย ผู้นำนิกายคาทอลิก (ซึ่งมีบทบาทคล้ายๆ กับสถาบันพระมหากษัตริย์) และกลุ่มนักธุรกิจภาคเอกชน ส่วนฝ่ายค้านในทางการเมืองในขณะนั้นก็เรียกร้องและต่อต้านรัฐบาลของนายเปรอน โดยที่นักเขียน นักข่าว นักคิดทางสังคม ที่คิดต่างจากนายเปรอนนั้นถูกจับเข้าคุกเป็นว่าเล่น บ้างก็ถูกเนรเทศออกนอกประเทศ
การยึดอำนาจของทหารในครั้งนั้นดูเหมือนจะได้รับแรงสนับสนุนจากหลายๆ สถาบันทางการเมืองและชนชั้นกลางของอาร์เจนตินา หลังจากรัฐประหารครั้งนั้น ตัวนายเปรอนเองก็ถูกเนรเทศออกนอกประเทศ และหลังจากนั้นไม่นาน ในปี 1958 ฝ่ายทหารที่ยึดครองอำนาจก็จัดการเลือกตั้ง โดยพรรค Justicialist Party ของนายเปรอนนั้นถูกห้ามลงแข่งขัน และพรรค Radical Civic Union Party ซึ่งเป็นพันธมิตรทางการเมืองของกลุ่มนายเปรอนได้ครองอำนาจ นำมาซึ่งความวุ่นวายอย่างต่อเนื่อง และเกิดการรัฐประหารขึ้นอีกในปี 1962, 1966 และ 1976
รัฐประหารปี1976 ที่มาภาพ : http://www.irishtimes.com/polopoly_fs/1.1583538.1383588933!/image/image.jpg_gen/derivatives/box_620_330/image.jpg
รัฐประหารปี1976 ที่มาภาพ: http://www.irishtimes.com/polopoly_fs/1.1583538.1383588933!/image/image.jpg_gen/derivatives/box_620_330/image.jpg
รัฐประหารในปี 1976 นั้นมีความสำคัญที่ควรถูกพูดถึง กล่าวคือ เป็นรัฐประหารที่ทำการยึดอำนาจจากนางอิสเบล เปรอน ภรรยาคนที่สามของนายเปรอน ที่ขึ้นสู่อำนาจหลังจากนายเปรอนเสียชีวิตลง (นายเปรอนกลับมาครองอำนาจได้อีก 2 ครั้งหลังจากรัฐประหารปี 1955) ถึงแม้ว่ารัฐบาลพลเรือนของนางอิสเบล เปรอน ในช่วงก่อนการปฏิวัติปี 1976 ได้มีการข่มขู่และทำร้ายผู้เห็นต่าง แต่การยึดอำนาจของทหารกลับทำให้เหตุการณ์เลวร้ายยิ่งกว่าเดิมตลอดช่วงปี 1976-1983 ที่กองทัพครองอำนาจ ซ้ำร้ายไปกว่านั้น การท้าทายของกลุ่มคอมมิวนิสต์ในยุคนั้น ทำให้การปกครองของกองทัพเต็มไปด้วยการใช้กำลังกับผู้ที่กองทัพเห็นว่าอาจฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ กลายเป็นเหตุการณ์ที่อาจเรียกได้ว่า “ขวาพิฆาตซ้าย” ของอาร์เจนตินา

ความคล้ายคลึงที่ 3: ปัญหาคอร์รัปชัน

นายเนสเตอร์ และนางคริสตินา เคิร์ชเนอร์ จากพรรค Justicialist Party ที่มาภาพ : http://infolitica.com.ar/wp-content/uploads/2015/10/nestor-y-cristina.jpg
นายเนสเตอร์ และนางคริสตินา เคิร์ชเนอร์ จากพรรค Justicialist Party ที่มาภาพ: http://infolitica.com.ar/wp-content/uploads/2015/10/nestor-y-cristina.jpg
ปัญหาคอร์รัปชันในประเทศอาร์เจนตินานั้นย่ำแย่พอๆ กับปัญหาของประเทศไทย หรืออาจจะแย่กว่าด้วยซ้ำ ปัจจุบันอาร์เจนตินาได้ 34 คะแนน อยู่อับดับที่ 104 ของจาก 175 ประเทศจากการจัดอับดับขององค์กรความโปร่งใสสากล ส่วนไทยได้ 32 คะแนนอยู่อันดับที่ 85 ปัญหาคอร์รัปชันในอาร์เจนตินาเกิดในทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะเป็นในยุคของระบอบ Peronism หรือ รัฐบาลทหาร หรือภายในองค์กรภาครัฐต่างๆ คอร์รัปชันได้หยั่งรากฝังลึกอยู่คู่กับการเมืองอาร์เจนตินาไปแล้ว
ในยุคของครอบครัวเคิร์ชเนอร์ที่กำลังจะหมดลงมีเหตุการณ์น่าสงสัยหลายอย่าง ตลอดระยะเวลาที่นางคริสตินา เคิร์ชเนอร์ และอดีตประธานาธบดี นายเนสเตอร์ เคิร์ชเนอร์ สามีของเธอ ครองอำนาจนาน 12 ปี ทรัพย์สินของเธอเติบโตขึ้น 7 เท่า หรือจาก 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 17.7 ล้านเหรียญสหรัฐ มีคดีอื้อฉาวหลายคดี เช่น การพยายามฟอกเงิน 65 ล้านเหรียญสหรัฐของนายลาซาโร บาเอซ เศรษฐีผู้รับเหมาก่อสร้างที่ตั้งบริษัทรับเหมาก่อนหน้านายเนสเตอร์ขึ้นรับตำแหน่งในปี 2003 เพียงไม่กี่อาทิตย์ แต่หลังจากครอบครัวเคิร์ชเนอร์เข้าสู่ตำแหน่ง บริษัทของนายบาเอซก็ได้สัมปทานมากมาย
ปัญหาคอร์รัปชันทั้งในรัฐบาลของนายและนางเคิร์ชเนอร์แย่เสียจนเคยมีนักข่าวเปรียบเปรยว่า ปรัชญาการจัดการปัญหาคอร์รัปชันของรัฐคือ “ถ้ามีการคอร์รัปชัน ก็ให้กลบเกลื่อนการกระทำนั้นไว้ ถ้ากลบเกลื่อนไม่ได้ ก็อย่าให้มีการพิสูจน์ได้ ถ้าเป็นเรื่องที่สาธารณะรับรู้และสามารถพิสูจน์ได้ ข้าราชการผู้นั้นต้องลาออก แต่ไม่ใช่เพราะความไม่ซื่อสัตย์ แต่เพราะเลินเล่อปิดไม่มิดชิดเอง”
ก่อนหน้านั้น ในยุคที่ฝ่ายทหารเรืองอำนาจในปี 1976-1983 ปัญหาคอร์รัปชันก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่ารัฐบาลพลเรือน คดีคอร์รัปชันอื้อฉาวที่สุดในช่วงนั้นเกิดขึ้นเมื่อปี 1982 ขณะกำลังเกิดสงครามสำคัญระหว่างกองทัพอาร์เจนตินากับกองทัพประเทศอังกฤษ เพื่อแย่งชิงเกาะ Falkland รัฐบาลทหารของอาร์เจนตินาได้เรี่ยไรเงินบริจาคจากสาธารณชนเพื่อซื้ออาวุธยุธโทปกรณ์สนับสนุนกองทัพ การบริจาคจากชาวอาร์เจนตินาในครั้งนั้นได้เงินมากถึง 45 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมถึงทองหลายร้อยกิโลกรัม แต่เรื่องที่ทำให้อื้อฉาวก็คือ กองทัพอาร์เจนตินากลับประกาศยอมแพ้ในไม่กี่สัปดาห์ต่อมา และไม่มีใครทราบว่าเงินบริจาคที่เหลือนั้นหายไปไหน มีการสืบค้นภายหลังว่าเงินส่วนหนึ่งไปอยู่ในบัญชีลับที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ท่านผู้อ่านที่ติดตามการเมืองไทย น่าจะสามารถเปรียบเทียบได้เองถึงความคล้ายคลึง ของการเมืองอาร์เจนตินาและการเมืองไทย แต่ในความคล้ายคลึงนี้ มีหลายประการสำคัญที่เป็นตัวบ่งชี้ว่าการเมืองของทั้งสองประเทศกำลังเดินหน้าไปคนละทาง ประเทศหนึ่งยังดูเหมือนจะยังไม่เห็นทางออก ส่วนอีกประเทศจะดูมีความสดใสมากกว่า

ความแตกต่าง 1: วิวัฒนาการของฝ่ายอนุรักษนิยม

การที่นายเมาริซิโอ มาครี ตัวแทนพรรคอนุรักษนิยมของอาร์เจนตินา (PRO) สามารถคว้าชัยชนะเหนือตัวแทนจากพรรค Justicialist Party ที่ครองอำนาจมาอย่างยาวนาน ทำให้ประชาธิปไตยในอาร์เจนตินานั้นน่าจะให้บทเรียนกับประเทศไทยได้ในหลายๆ เรื่อง ช่วงไม่กี่เดือนก่อนการเลือกตั้งมีผู้สังเกตการณ์ว่า นายเมาริซิโอ มาครี นั้นน่าจะต้องได้รับความปราชัยในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ผลโพลต่างๆ ที่ออกมาก่อนการเลือกตั้งให้คะแนนของนายมาครีตามหลังตัวแทนจากพรรค Justicialist Party แต่เมื่อการเลือกตั้งจริงเกิดขึ้น นายมาครีกลับได้รับชัยชนะไปอย่างฉิวเฉียด เขาได้คะแนนมากกว่าคู่แข่งเพียงแค่ 3% ของผลโหวตทั้งหมด ชัยชนะครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มีหลายๆ อย่างที่นายมาครีทำระหว่างหาเสียงที่อาจจะเป็นประโยชน์ ให้บทเรียน และการปรับใช้ของฝ่ายต่อต้าน “ระบอบทักษิณ” ในบ้านเรา
นายเมาริซิโอ มาครี ที่มาภาพ : http://www.internationalpolicydigest.org/wp-content/uploads/2015/11/1593710112511.jpg
นายเมาริซิโอ มาครี ที่มาภาพ: http://www.internationalpolicydigest.org/wp-content/uploads/2015/11/1593710112511.jpg
ในบริบทการเมืองขวา-ซ้าย ฝ่ายขวา คือ กลุ่มอนุรักษนิยม มีจุดยืนที่ว่ารัฐบาลไม่ควรเข้าแทรกแซงเศรษฐกิจ หรือบริการทุกๆ อย่างทางสังคมให้กับประชาชน รัฐบาลไม่ควรมีอำนาจมากเกินไป และไม่ควรเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยฉับพลัน เพราะพวกเขาจะให้ความสำคัญกับเสถียรภาพทางสังคม ประเพณี และวัฒนธรรมต่างๆ ส่วนฝ่ายซ้าย คือ กลุ่มที่ได้รับแรงสนับสนุนจากรากหญ้า มีความเป็นสังคมนิยมและประชานิยม คิดว่ารัฐบาลควรตอบโจทย์ทุกอย่างเพื่อสังคม จะให้อำนาจในการทำทุกอย่างกับรัฐบาลมาก รัฐจะใช้จ่ายมากเพื่อสนับสนุนโครงการต่างๆ จะค่อนข้างไม่ลงรอยกับภาคเอกชนมากนัก
นายมาครีวางตนเองในฐานะนักการเมืองกลางเอียงขวา เขาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แต่ก็เป็นลูกของผู้อพยพ นายมาครีเป็นผู้นับถือคริสต์ศาสนาที่เคร่งครัด ในระหว่างการหาเสียงเขาพยายามไม่พูดถึงเรื่องมรดกตกทอดจากยุคของนายเปรอน ผู้เป็นฮีโร่ของของชาวชนบท และกลุ่มสหภาพแรงงานต่างๆ ในเชิงลบมากนัก มิหนำซ้ำเขากลับพยายามเข้าถึงกลุ่มผู้ที่ยังรำลึกถึงยุคของนายเปรอน เขาเข้าร่วมพิธีร้องเพลงสรรเสริญนายเปรอน และร่วมพิธีเปิดอนุสรณ์สถานของนายเปรอน มีการหาเสียงอยู่ครั้งหนึ่ง นายมาครีพูดกับกลุ่มสหภาพแรงงานซึ่งเป็นฐานเสียงของนางเคิร์ชเนอร์และกลุ่ม Peronist ถึงขนาดว่า เขานั้นเป็น “Peronist 100%”
สโลแกนของนายมาครีในการหาเสียงคือ “Let’s change” แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าเขาต้องการการสนับสนุนจากกลุ่มสหภาพแรงงาน ข้อความการหาเสียงจึงเน้นไปทางเชิงปรองดอง กล่าวคือ เขาอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ลดเลิกการขัดแย้ง และเขาไม่ได้เรียกร้องให้มีการ “ปิด” เพื่อเปลี่ยนแปลง วิธีการหาเสียงของนายมาครีดูเหมือนว่าจะสามารถก้าวข้ามความบาดหมางในอดีตและพูดถึงเรื่องอนาคตเสียมากกว่า ในเชิงนโยบาย นายมาครีจะกล่าวย้ำอยู่ตลอดเวลาในช่วงหาเสียงว่า นโยบายอะไรที่ดีของประธานาธิบดีเคิร์ชเนอร์ ที่ดีอยู่แล้วเขาก็จะเก็บไว้และทำให้ดีกว่าเดิม ฐานเสียงของนายมาครีคือคนรุ่นใหม่ที่ไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับการเมืองมาก่อน เขาใช้อาสาสมัครวัยรุ่นที่อยากสร้างความเปลี่ยนแปลงและเบื่อหน่ายการเมืองเก่าๆ เป็นคนช่วยหาเสียงผ่านทางโลกโซเชียล ก่อนการเลือกตั้ง พรรค PRO ของนายมาครีได้ประกาศเป็นพันธมิตรกับพรรค Radical Civic Union Party ซึ่งเป็นพรรคกลางเอียงซ้าย (ในอดีตเป็นพันธมิตรกับพรรคในระบอบ Peronism) ทำให้ฐานเสียงของนายมาครีนั้นได้รับการขยายออกจากเมืองใหญ่ไปในชนบทด้วย
ผู้เขียนได้มีโอกาสพูดคุยกับศาสตราจารย์สตีเวน เลวิตสกี (Steven Levitsky) จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ผู้แต่งหนังสือเรื่อง Competitive Authoritarianism และเป็นผู้เชี่ยวชาญการเมืองอาร์เจนตินา ซึ่งท่านได้ให้ความเห็นว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้นายมาครีได้รับชัยชนะคือการที่เขา “break the polarization” หรือ การทำลายขั้วการเมือง ศาสตราจารย์เลวิตสกีให้ความเห็นว่า ท่านไม่แน่ใจเสียด้วยซ้ำว่านายมาครีนั้นมีความคิดทางการเมืองแบบอนุรักษนิยมตามประเพณีและฐานเสียงเดิมของพรรคที่เขาสังกัดหรือไม่
ศาสตราจารย์สตีเวน เลวิสกีที่มาภาพ : https://oslofreedomforum.com/uploads/listings/_splash/Steven-Levitsky-Web-Speaker.jpg
ศาสตราจารย์สตีเวน เลวิตสกี ที่มาภาพ: https://oslofreedomforum.com/uploads/listings/_splash/Steven-Levitsky-Web-Speaker.jpg
นายมาครีมีจุดยืนทางการเมืองแบบทางสายกลางที่มีพื้นฐานมาจากฝั่งอนุรักษนิยม นั่นเป็นทิศทางการเมือง ที่กำลังได้รับความนิยมในหลายๆ ประเทศในอเมริกาใต้ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาฝ่ายค้านของประเทศเวเนซุเอลาก็พึ่งได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งเหนือฝ่ายซ้ายที่เป็นพรรคที่มีแนวทางประชานิยมและครองอำนาจมายาวนาน นักการเมืองในประเทศชิลี โคลัมเบีย เปรู และบราซิล ที่มีจุดยืนแบบกลางเอียงขวานั้นก็กำลังทำผลงานได้ดีในสนามเลือกตั้ง การที่ประเทศเหล่านี้มีชนชั้นกลางมากขึ้น ทำให้สามารถช่วยตัวเองได้มากขึ้น รัฐจึงมีความจำเป็นต้องอุดหนุนน้อยลง แต่รัฐก็สามารถเก็บภาษีได้มากขึ้น จึงทำให้ประชาชนจะค่อนข้างใส่ใจกับการใช้จ่ายเงินของรัฐ แต่พรรคการเมืองสายกลางที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้ในอเมริกาใต้ก็ต้องหาเสียงเอาใจประชาชนในชนบทและสหภาพแรงงานต่างๆ เช่นกัน
กลับมาดูประเทศไทย ทางออกที่สำคัญของบ้านเราคือการมีพรรคฝ่ายค้านที่เข้มแข็งและเป็นตัวเลือกของประชาชนได้ พรรคประชาธิปัตย์ของไทยเป็นพรรคที่ใกล้เคียงกับจุดยืนทางการเมืองของพรรค PRO ของนายมาครีมากที่สุด แต่พรรคประชาธิปัตย์ของเรานั้นยังดูหลงทางอยู่มาก การที่พรรคให้ท้ายผู้สนับสนุนของตัวเองที่มีอุดมการณ์ขวา/อนุรักษนิยมสุดโต่งในการประท้วงตอบโต้กลุ่มฝ่ายซ้าย หรือฝ่ายผู้สนับสนุนทักษิณ โดยไม่คำนึงถึงและเล็งหาพันธมิตรที่พรรคเองสามารถสร้างได้กับบุคคลเหล่านี้ หรือการที่บุคคลในพรรคยังยึดติดกับการตอบโต้ระบอบทักษิณแบบไม่ลืมหูลืมตา ทำให้พรรคนั้นมองไปข้างหน้าได้ไม่เต็มที่ ซึ่งจะเป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการที่พรรคประชาธิปัตย์จะประสบชัยชนะในสนามเลือกตั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องทำก็คือ การ “break the polarization” และสิ่งแรกที่ต้องทำคือการก้าวผ่านจุดมุ่งหมายที่จะโค่นระบอบทักษิณให้หมดสิ้น

ความแตกต่าง 2: การ “ลด” บทบาทของฝ่ายทหารในการเมืองพลเรือน

ผู้เขียนขอย้ำว่าประชาธิปไตยในอาร์เจนตินานั้นยังมีปัญหาอยู่มาก แต่ก็มีหลายๆ สิ่งที่ประสบการณ์ของอาร์เจนตินานั้นน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการเมืองของประเทศไทย หลังจากรัฐบาลทหารพ้นอำนาจในอาร์เจนตินาเมื่อปี 1983 ได้มีความพยายามก่อรัฐประหารหลายครั้งของกองทัพอาร์เจนตินา ครั้งสุดท้ายนั้นเกิดขึ้นในปี 1990 แต่ก็ไม่มีครั้งไหนประสบความสำเร็จในระยะเวลา 30 กว่าปีที่ผ่านมา จุดเปลี่ยนสำคัญก็คือการที่ประชาชนค่อนข้างตื่นตัวกับการบังคับให้ทหารนั้นเล่นเกมการเมืองภายใต้กรอบประชาธิปไตย การตื่นตัวเหล่านี้ทำให้ในปี 1994 รัฐธรรมนูญของอาร์เจนตินานั้นประกาศชัดเจนในหมวดที่ 22 และ 36 ว่าจะไม่ยอมรับการแทรกแซงทางการเมืองโดยการใช้กำลัง และรัฐธรรมนูญนั้นไม่อาจจะถูกฉีกได้และจะยังคงอยู่ต่อไปหากมีการแทรงแซงทางการเมือง
ประเทศอาร์เจนตินามาถึงจุดนี้ได้เพราะประชาชนโดยทั่วไปนั้นไม่ปล่อยและเปิดช่องว่าง ไม่สร้างสถานการณ์ และปัจจัยทางการเมือง เพื่อเชื้อเชิญกองทัพ และไม่สร้างเงื่อนไขความจำเป็นและความชอบธรรมให้กับกองทัพขึ้นมามีอำนาจได้ ประชาชนทั้งฝ่ายซ้ายที่สนับสนุนระบอบ Peronism และฝ่ายขวาที่เป็นพรรคของชนชั้นกลางนั้น ได้สร้างสัญญาประชาคมว่าทุกสถาบันการเมืองต้องเคารพหลักประชาธิปไตย
ย้อนกลับมาดูเมืองไทย ผู้เขียนเชื่อว่าตัวกองทัพเองนั้นไม่ได้อยากเข้ามามีอำนาจ กองทัพไทยมองตนเองเป็นผู้พิทักษ์ความมั่นคงทั้งภายในและภายนอก การสร้างสถานการณ์ความวุ่นวาย โดยเฉพาะฝ่ายที่ทำการเรียกร้องให้กองทัพเข้ามาเกี่ยวข้องนั้น ได้มอบความชอบธรรมให้กับกองทัพ การที่ประเทศของเราจะก้าวข้ามพ้นวงจรทางการเมืองที่แสดงถึงความล้มเหลวนี้ ประชาชนโดยทั่วไปต้องตระหนักเสียก่อนว่าการคงไว้ซึ่งสถาบันประชาธิปไตย ถึงแม้ว่าจะมีปัญหา หรือไม่สมบูรณ์เพียงใด ก็ดีกว่าไม่มีอยู่เลย
การพัฒนาทางประชาธิปไตยนั้นจะเกิดขึ้นได้ดีกว่าหากใช้การแก้ไข เพิ่มเติม ดีกว่าการล้มหมากทั้งกระดาน ฝ่ายที่เคยคุมอำนาจอยู่ และแสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของการทำงานบริหารประเทศ ก็ควรจะรับรู้ถึงการที่ฝ่ายตนทำลายความชอบธรรมที่ประชาชนเคยได้ให้ผ่านการเลือกตั้ง ลดความหยิ่งทะนงในอำนาจที่ประชาชนได้มอบให้ลงบ้าง สิ่งเหล่านี้จะทำให้ลดปัจจัยและข้ออ้างที่จะทำให้กองทัพเข้ามายึดอำนาจได้

ความแตกต่าง 3: ปัญหาคอร์รัปชันไม่เคยเป็นเหตุผลในการ “หยุด” การเมืองอาร์เจนตินา

ดังที่กล่าวมาข้างต้น ปัญหาคอร์รัปชันในอาร์เจนตินานั้นอาจจะเลวร้ายกว่าประเทศไทยเสียอีก ในยุคการครองอำนาจของครอบครัวเคิร์ชเนอร์ 12 ปีนั้นมีเรื่องอื้อฉาวมากมายหลายสิบเรื่อง ประชาชนก็ออกมาประท้วง โดยหลายครั้งพวกเขาได้ใช้ช้อนตีก้นหม้อเพื่อให้เกิดเสียงดังเป็นสัญลักษณ์การประท้วง แต่ที่น่าสังเกตคือชาวอาร์เจนตินาที่ไม่เห็นด้วยกับระบอบ Peronism นั้นไม่เคยเรียกร้องให้มีการปิดประเทศหรือให้ทหารเข้ามาแทรกแซง พวกเขาดูเหมือนจะทราบดีว่าการพัฒนาการเมืองและการปฏิรูปไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยการหยุดเดินทั้งระบบ
การประท้วงเดือนกันยายน ปี 2012 ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ที่มาภาพ : http://www.thetimes.co.uk/tto/multimedia/archive/00354/116259819__354239c.jpg
การประท้วงเดือนกันยายน ปี 2012 ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ที่มาภาพ: http://www.thetimes.co.uk/tto/multimedia/archive/00354/116259819__354239c.jpg
การประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในยุคของนางเคิร์ชเนอร์นั้นเกิดขึ้นในเดือนกันยายน ปี 2012 หลังจากนางเคิร์ชเนอร์ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สอง สภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ปัญหาคอร์รัปชันที่หยั่งลึก และการพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้เธอกลับมาเลือกตั้งได้เป็นครั้งที่สาม (รัฐธรรมนูญอาร์เจนตินากำหนดให้บุคคลหนึ่งสามารถเป็นนายกฯได้ 2 สมัย) การประท้วงในครั้งนั้นเกิดขึ้นในหลายจังหวัดของอาร์เจนตินาและในหลายประเทศที่มีชาวอาร์เจนตินาอาศัยอยู่ จำนวนประชาชนที่ออกมาประท้วงนั้นประมาณ 500,000-2,000,000 คน (ขึ้นอยู่กับใครเป็นผู้ประมาณการ)
นายเมาริซิโอ มาครี นักการเมืองฝ่ายค้านในขณะนั้น ก็ได้ร่วมประท้วงด้วย ผลสรุปของการประท้วงครั้งนั้นแสดงให้เห็นถึงพลังประชาชนที่พร้อมจะตรวจสอบและเรียกร้องความชอบธรรมจากรัฐบาลของนางเคิร์ชเนอร์ ในที่สุดพรรคของนางเคิร์ชเนอร์ก็ล้มเลิกความพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้นางลงเลือกตั้งอีกสมัย การที่ประชาชน ผู้ประท้วง และนักการเมืองฝ่ายค้าน ออกมาชุมนุมประท้วงตามสิทธิที่พึงมีตามประชาธิปไตย และยังยึดมั่นกับหลักการประชาธิปไตย แม้ว่าพวกเขาจะเกลียด โกรธ และไม่พอใจต่อระบอบ Peronism เพียงใด นั่นเป็นปัจจัยที่สำคัญมากที่ทำให้ประชาชนผู้เห็นต่างเหล่านี้ ผู้ซึ่งต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของครอบครัวเคิร์ชเนอร์นานเป็นเวลา 12 ปี สามารถโค่นล้มระบอบ Peronism ผ่านการเลือกตั้งอย่างใสสะอาดได้ในที่สุด
ความอดทนอดกลั้นของชนชั้นกลาง ที่ไม่สิ้นหวังกับกระบวนการประชาธิปไตยและกับการเลือกตั้ง จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้ประเทศไทยของเราก้าวพ้นวงจรที่ล้มเหลวทางการเมืองในปัจจุบันนี้ไปได้ การเก็บพลังไว้เพื่อนำไปใช้ในการปฏิเสธ Competitive Authoritarianism ในสนามเลือกตั้งนั้นเป็นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนและได้ผลมากกว่า อันเป็นวิธีการที่ถูกพิสูจน์มาแล้วในประเทศอาร์เจนตินาและอีกหลายประเทศในทวีปอเมริกาใต้
ในกรณีนี้ ศาสตราจารย์สตีเวน เลวิตสกี ได้กล่าวกับผู้เขียนว่า “Patience” หรือ “ความใจเย็นทางการเมือง” คือสิ่งที่ชาวอาร์เจนตินามี แต่ชนชั้นกลางของเมืองไทยไม่มี และ “ความใจเย็นทางการเมือง”นั้นคือปัจจัยที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งสำหรับการทำงานของกลไกระบอบประชาธิปไตย
สิ่งที่ผู้เขียนได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ หวังจะสื่อเพียงว่า ปัญหาของประเทศไทยนั้น ไม่ได้เป็นปัญหาที่เราเผชิญอยู่ประเทศเดียว และเราสามารถจะเรียนรู้สิ่งดีๆ จากประเทศอื่นๆ ที่ (เคย) ประสบปัญหาคล้ายคลึงกัน และเขาดูเหมือนกำลังก้าวพ้นปัญหานั้นไปแล้ว

สงคราม & สันติภาพ

Cr:Thanong Fanclub
มินิซีรีส์
20. สงคราม & สันติภาพ
โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ โต้กลับฮิลลารี่ คลินตัน อย่างดุเดือดเผ็ดมันด้วยการกล่าวว่า คลินตันฆ่าคนตายหลายแสนคนด้วยความงี่เง่าในขณะที่ดำรงตำแหน่งรมว.ต่างประเทศ
"เธอเป็นหนึ่งในสาเหตุที่สร้างปัญหาด้วยนโยบายที่งี่เง่าของเธอ คุณดูซิว่าเธอได้ทำอะไรลงไปในลิเบีย เธอได้ทำอะไรลงไปในซีเรีย ดูที่อียิปต์ เกิดอะไรขึ้นกับอียิปต์ เละตุ๊มเป๊ไปหมด" ทรัมป์กล่าวอย่างมีอารมณ์
“เธอเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศที่ฮ่วยที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศนี้ เธอบอกว่าผมเป็นบุคคลอันตราย แต่เธอฆ่าคนตายนับแสนคนด้วยความงี่เง่าของเธอ"
ทรัมป์พูดในสื่อFox Televisionในวันอาทิตย์ที่ผ่านมาเพื่อตอบโต้คลินตันที่กล่าวหาว่าเขาล้ำเส้น เมื่อทรัมป์พูดเร็วๆนี้ว่า สหรัฐควรที่จะห้ามวีซ่าไม่ให้คนมุสลิมเข้าประเทศชั่วคราวจนกว่าจะมีการจัดการปัญหาเรื่องการก่อการร้ายได้อย่างมั่นใจ
คลินตันบอกว่า สิ่งที่ทรัมป์พูดเข้าทางพวกก่อการร้ายพอดี
อย่างไรก็ตาม ข้อกล่าวหาของทรัมป์ต่อคลินตันไม่ได้ห่างไกลจากความจริงเลย เพราะว่าการรุกรานลิเบียในปี คศ. 2011โดยกองทัพสหรัฐในสมัยที่คลินตันเป็นรมว.ต่างประเทศทำให้่ชาวลิเบียโดนฆ่าตาย30,000คน หรืออาจจะมากกว่า100,000คน
คลินตันให้สัมภาษณ์อย่างพากภูมิใจทีหลังว่า กองทัพสหรัฐสามารถโค่นล้มผู้นำลิเบียนายมูมมาร์ กัดดาฟี่และฆ่าเขาตายได้
เธอพูดว่า "We came. We Saw. He died."
นับแต่นั้นเป็นต้นมา ลิเบียกลายเป็นรัฐล้มเหลว มีผู้ก่อการร้ายเต็มไปหมด ชาวลิเบียต้องกลายเป็นผู้อพยพหลังจากเคยอยู่ดีกินดีภายใต้กัดดาฟี่ที่โดนสื่อตะวันตกวาดภาพว่าเป็นผู้นำเผด็จการที่โหดเหี้ยม จำต้องกำจัดออกไปเพื่อให้ลิเบียมีประชาธิปไตยและมีหลักมนุษยธรรม
ตอนนี้ไม่มีใครใส่ใจไปดูความทุกข์ยากของชาวลิเบีย
คลินตันดำเนินโยบายที่ต้องการล้มรัฐบาลซีเรียของนายบาซ่าร์ อัล อัสซาดด้วยการสนับสนุนพวกนักรบจีฮัดให้เข้าไปทำสงครามล้มรัฐบาลซีเรีย พวกนักรบจีฮัดเหล่านี้หลังจากได้การฝึกอบรม และได้รับการติดอาวุธจากสหรัฐแล้่ว ก็ย้ายไปเข้าพวกกับพวกอัล นุสรา และพวกไอซิส
คลินตันเป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังไอซิสทางอ้อมนั้นเอง และเธอกำลังจะมีโอกาสเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐ
thanong
14/12/2015
http://www.infowars.com/trump-clinton-killed-hundreds-of-t…/

"เด็กเพื่อไทย"โดนอีก! เจอทหารเรียกเข้าค่าย-หลังบ่นราคาข้าวไม่ได้ดั่งใจ

"เด็กเพื่อไทย"โดนอีก! เจอทหารเรียกเข้าค่าย-หลังบ่นราคาข้าวไม่ได้ดั่งใจ

Cr:ทีนิวส์
ทหารเรียก "สมคิด เชื้อคง" ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย มาปรับทัศนคติหลังจากโพสต์เฟช เรื่อง "ราคาข้าวเปลือกตกต่ำ" วอนอยากได้ราคาเหมือนสมัยยิ่งลักษณ์
วันนี้ ( 14 ธ.ค.) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่มณฑลทหารบกที่ 22 ค่ายสรรพสิทธิประสงค์วารินชำราบ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี พล.ต.อชิร์ฉัตร โรจนะภิรมย์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 22 และ ผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดอุบลราชธานี สั่งการให้ร.ท.ธีระศักดิ์ สืบพงษ์ หัวหน้าชุดประสานงานประจำพื้นที่ กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 6 จ.อุบลราชธานี เชิญตัว นายสมคิด เชื้อคง อดีตส.ส.อุบลราชธานี เขต 10 พรรคเพื่อไทย มาปรับทัศนคติ กรณี นายสมคิด ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ราคาข้าวเปลือกตกต่ำ อยากได้จำนำข้าวเหมือนรัฐบาลยิ่งลักษณ์
ทั้งนี้ รายงานระบุว่า นายสมคิด ยินยอมที่จะลบข้อความดังกล่าวในเฟซบุ๊กออก และได้ทำหนังสือสัญญาจะไม่เคลื่อนไหวทางการเมือง หากมีการกระทำอีก ให้ดำเนินการตามกฎหมาย