PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2561

เกษม อัชฌาสัย:การทหารย่อมไม่หน่ายอุบาย

INEWHORIZONขอบฟ้าใหม่
เว็บไซต์ว่าด้วยความหลากหลายแห่งความรอบรู้ เพื่อวิทยาทาน
สบาย สบาย สไตล์เกษม :"การทหารย่อมไม่หน่ายอุบาย"
เกษม อัชฌาสัย
ขอออกตัวไว้ก่อนว่า เรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้ขึ้นกับอยู่กับการคาดการณ์ทั้งหมด เป็นเพียงความพยายามที่จะอ่านสถานการณ์บ้านเมืองให้กระจ่างชัด จะผิดหรือจะถูกอย่างไร โปรดพิจารณาด้วยครับ
จากกรณีตำรวจพร้อมอาวุธบุกจับสึก”หลวงปู่พุทธอิสระ”ซึ่งถูกวิจารณ์ว่ากระทำหยาบคายเกินความจำเป็น ว่าทำไมต้องทำกันถึงขนาดนั้น ส่งให้เกิดเสียงต่อต้านตำรวจดังขรมระงมไปทั่วทิศ ไม่ยอมหยุด ในสื่อต่างๆ ทั้งสื่อกระแสหลักและกระแสรอง โดยเฉพาะในสื่อสังคม เช่น”ไลน์”และ”เฟซบุ๊ก”
ส่งผลกระทบกระเทือนไปถึงรัฐบาลคสช.ในแง่ความน่าเชื่อถือ หลีกเลี่ยงมิได้
ที่สำคัญ เป็นการบ่อนทำลายความนับถือถือในตัวพล อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและตอกย้ำให้สังคมไทย เกิดความแตกร้าว แยกย่อยกันมากขึ้นโดยวิวาทะและความเชื่อ ทำให้ยากที่จะปรองดองกัน ตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้
ก่อให้เกิดความสงสัยใคร่รู้ว่า “ใครสั่ง”และ”ทำไม”จึงต้องเกิดตอนนี้ด้วย
ที่ว่า”ใครสั่ง”นั้น ไม่เชื่อว่าพล.อ.ประยุทธ์นายกรัฐมนตรี หรือพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงปลอดภัย หรือพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะมีส่วนรู้เห็น หรือสั่งการเอง เพราะทั้งสามท่านนี้ น่ามีความใกล้ชิดกับ”หลวงปู่พุทธอิสระ”ซึ่งเห็นได้จากกิจกรรมที่เคยทำร่วมกันในอดีต ตลอดจน”หลวงปู่พุทธอิสระ”ก็สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ โดยไม่มีข้อกังขา
เมื่อเกิดปฏิกิริยาต่อต้านหนักขึ้น ทั้งนายกฯและรองนายกฯ ก็ได้แต่กล่าวว่า”ขอโทษ”เพื่อแสดงความรับผิดชอบ แต่ก็ไม่ว่ากระไร นอกเหนือไปกว่านั้น
ถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ ที่พล ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเสนอสั่งการให้ใช้วิธีเช่นนี้
ตอบว่าเป็นไปได้ หากจะต้องมีผู้รับรู้ด้วย อย่างน้อยก็ต้องรัฐมนตรีมหาดไทย เพราะพล.ต.อ.จักรทิพย์ยืนยันว่าการบุกจับ เป็นไปตามยุทธวิธี เพียงแต่ประชาชนไม่คุ้นชิน กับวิธีการเท่านั้น
นั่นก็แสดงว่า ทางตำรวจตระหนักว่า “จะเกิดปฏิกิริยาอะไร”ตามมา เมื่อตำรวจนั่นเอง ที่เปิดเผยคลิปการบุกจับในรายละเอียดอย่างจงใจ ก่อให้เกิดปฏิกิริยา”ตีกลับ”ตำรวจโดยรวมอย่างดุเดือดและต่อเนื่อง
ซึ่งเป็นไปตามความต้องการของฝ่ายตำรวจอยู่แล้ว ซึ่งต้องตั้งคำถามว่า”ทำไม”
ตอบว่าเป็นไปได้ว่า ตำรวจแพร่ข่าวนี้เพื่อ”กลบข่าว”การจับกุมพระชั้นผู้ใหญ่มากๆ ในข้อหา”เงินทอน”อีกห้ารูปในช่วงเวลาเดียวกันซึ่งอาจก่อให้เกิดความวุ่นวายอย่างกว้างขวาง แต่ปรากฏว่าพระผู้ใหญ่ชั้น”พรหม”สองรูป หลบหนีไปได้ ซึ่งเข้าใจว่า”ข่าวรั่ว” เฉกเช่นกรณีพระธัมมชโยที่กระทำ”ยมกปาฏิหาริย์”หายตัวไป
กล่าวคือ ตำรวจคงเกรงว่า จะเกิดปฏิกิริยาที่อาจรุนแรงต่อเนื่อง จากลูกศิษย์ลูกหาพระชั้นผู้ใหญ่ เช่นที่เกิดกับศิษยานุศิษย์ของ”ธัมมชโย” จึง”สร้างข่าวจับ”หลวงปู่พุทธอิสระ”ให้ใหญ่โต หมาย”กลบกระแส” แม้ท่านเป็นพระธรรมดาๆไม่มีสมณศักดิ์ แต่ก็มีลูกศิษยลูกหาเยอะแยะและสังคมเห็นใจ
ถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่การบุกจับกุม”หลวงปู่พุทธอิสระ”อีกนัยหนึ่งก็เพื่อประจานให้อับอาย เป็นการ”เอาคืน”ของตำรวจ ในกรณีที่การ์ด(การชุมนุมต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์) จับได้ตำรวจนอกเครื่องแบบที่”แจ้งวัฒนะ”ในปี ๒๕๕๘ ทั้งนี้ เพียงเพื่อความสะใจของ”ตำรวจมะเขือเทศ”บางนายบางกลุ่ม
ก็เป็นได้อีก
แต่ถ้าหากถามว่า เรื่องนี้เกี่ยวของกับ”ทักษิณ”ยุแยงจะแคงรั่วหรือไม่
ตอบว่าน่าจะ”ใช่”หาก”ทักษิณ”มีสายข่าวตำรวจ ที่มีความสามารถสั่งการได้ในบางระดับ หวัง”ทำลายความน่าเชื่อถือในรัฐบาลคสช.และของพล.ประยุทธ์เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมืองในอนาคต
ถามว่า”หลวงปู่พุทธอิสระ”ยอมทำร้ายตัวเอง ด้วยการยอมให้ควบคุมโดยละม่อม ไม่ขัดขืนใดๆ เพื่อให้การจับกุมพระผู้ใหญ่รูปอื่นๆ ราบรื่นหรือไม่ เพราะท่านเอง ก็แสดงเจตนาชัดเจนก่อนหน้านี้หมายช่วยชำระสะสางพุทธศาสนาให้เป็นที่ประจักษ์โดยเฉพาะในกรณี”ธรรมกาย”
ตอบว่าย่อมเป็นไปได้ แต่ท่านจะไม่พูดตรงๆออกมาหลังโดนจับกุม ข่าวออกมาตอนแรกๆ จึงทำให้ดูเหมือนว่าท่านเกี่ยวข้องกับคดี”เงินทอน”ด้วย
ข้อเขียนทั้งหมดนี้ เป็นเพียง”มองตามข่าว” มิได้เป็นการวิเคราะห์เจาะลึกแบบนักวิเคราะห์ที่เชี่ยวชาญอะไรทั้งสิ้น
“การทหารย่อมไม่หน่ายอุบาย”
คือถ้อยคำที่ “โอ้ว ทิ ฮวย”กล่าวเตือนเอาไว้ ในหนังสือเรื่อง”ชอ ลิ้ว เฮียง”ตอนศึกวังน้ำทิพย์(ฉบับปรับปรุงใหม่)
จึงใคร่หยิบยกมาเตือนต่อว่า จะทำอะไรกันในบ้านเมืองนี้ ก็พึงต้องพิจารณากันให้รอบด้าน ด้วยความรอบคอบ มิเช่นนั้น จะส่งให้เกิดผลลบต่อส่วนรวมได้ โดยคาดไม่ถึง
Facebook Comments

กกต.แจง “ดอน” ไม่ย้องยุติปฎิบัติหน้าที่ เหตุกม.ไม่ได้เขียนไว้ รอจนศาลรธน.ชี้ขาด

กกต.แจง “ดอน” ไม่ย้องยุติปฎิบัติหน้าที่ เหตุกม.ไม่ได้เขียนไว้ รอจนศาลรธน.ชี้ขาด


เลขาฯกกต. แจ้งยอดสมาชิกพรรคเดิมลดจาก 4 ล้าน เหลือแสนกว่า แจงข่าวมติฟัน “ดอน”พ้นเก้าอี้รมต. ยังอยู่ในกระบวนการ เผยไม่จำเป็นต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่
เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 1 มิถุนายน ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการกกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง แถลงว่า ขณะนี้พรรคการเมืองเดิม 54 พรรค ได้รายงานยอดสมาชิก จำนวนทั้งสิ้น 137,479 คน จากเดิม 4 ล้านคน ส่วนการยื่นของจดแจ้งเตรียมการตั้งพรรคการเมือง 106 พรรค และมี 67 พรรค ได้รับหนังสือยืนยันการยื่นจดแจ้ง และมีพรรคที่กกต.ส่งขออนุญาตจัดประชุมพรรค 57 พรรค และมีพรรคมายื่นขอจัดตั้งพรรคแล้ว 7 พรรค ทั้งนี้รายงานการแจ้งยอดสมาชิกของพรรคการเมือง สำนักงานจะเสนอกกต.ต่อไป ส่วนจะเป็นเหตุผลให้คสช.เร่งพิจารณาปลดล็อกเพื่อให้พรรคการเมืองหาสมาชิกเพิ่มเพื่อจัดทำไพรมารีโหวตหรือไม่ ก็เป็นอำนาจพิจารณาของคสช.แต่คิดว่าพรรคการเมืองเองได้เตรียมความพร้อมไว้แล้ว

พ.ต.อ.จรุงวิทย์ กล่าวต่อว่า หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีมติว่าร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ กกต.จะเตรียมออกระเบียบรองรับ ซึ่งมีทั้งหมด 45 ฉบับ ขณะนี้เสร็จแล้ว 19 ฉบับ ส่วนการใช้อำนวยความสะดวกให้ผู้สูงอายุ พิการ ทุพลภาพกกต.กำลังพิจารณาหามาตรการในการดูแลให้การใช้สิทธิของกลุ่มนี้ ที่มีเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวก เป็นความลับตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งจะยกร่างระเบียบให้ชัดเจน ส่วนเรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้งที่เกรงว่ากกต.จะแบ่งเขตไม่ทันนั้น ตามกฎหมายแล้วกกต.จะดำเนินการได้เมื่อพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ใช้บังคับแล้ว โดยกกต.จะออกระเบียบและให้ผอ.กกต.จังหวัด นำ 3 รูปแบบของการแบ่งเขตในแต่ละเขตไปให้รับฟังความคิดเห็นของประชาชนก่อน แล้วกกต.จะพิจารณารูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ซึ่งใช้เวลาในกระบวนการทั้งหมด 45 วัน ส่วนตัวได้ยินว่าอยากให้มีการใช้อำนาจพิเศษให้กกต.แบ่งเขตได้เร็ว แต่กกต.ยังไม่เคยหารือกัน
พ.ต.อ.จรุงวิทย์ กล่าวชี้แจงข่าวกกต.ลงมติการถือหุ้นของ 9 รัฐมนตรีว่า ข้อเท็จจริงอยู่ในกระบวนการดำเนินการของกกต.ซึ่งไม่สามารถตอบได้ว่าอยู่ขั้นตอนใดและมีมติตามที่สื่อเสนอข่าวหรือไม่ แม้จะมีคำวินิจฉัยชี้ขาดแล้วคงจะพูดไม่ได้ เพราะการพิจารณาของกกต.เป็นการพิจารณาลับ และหากพูดไปจะกระทบต่อการทำหน้าที่ของรัฐมนตรีและรัฐบาล เนื่องจากตามกฎหมาย กกต.ไม่ใช่ผู้ชี้ขาด ต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ซึ่งนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่เพราะกฎหมายไม่ได้เขียนไว้ รวมทั้งไม่มีการแจ้งมติกับผู้ร้องและผู้ถูกร้อง จะทราบก็ต่อเมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดแล้วเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ตามกระบวนการของอนุกรรมการวินิจฉัยได้เปิดโอกาสให้รัฐมนตรีที่ถูกร้องได้ชี้แจงก่อนที่จะชี้มูลความผิด

ปมร้อน การเมือง แก้ ไม่แก้ ‘รัฐธรรมนูญ’ ปม ‘อนาคตใหม่’

ปมร้อน การเมือง แก้ ไม่แก้ ‘รัฐธรรมนูญ’ ปม ‘อนาคตใหม่’


ยิ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รวมถึง นายวิษณุ เครืองาม ออกมาแสดงความหงุดหงิดต่อคำประกาศที่จะ “รื้อ” รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ของพรรคอนาคตใหม่
ยิ่งจะทำให้ปัญหา “รัฐธรรมนูญ” กลายเป็นประเด็น
ต่อกรณีที่ “นักการเมือง” จากบางพรรคออกมาแสดงความเป็น “ผู้อาวุโส” เตือน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ด้วยความรำคาญ
ราวกับว่า 2 คนนี้เป็นเด็ก
ก็จะนำไปสู่คำถามที่ว่า นักธุรกิจระดับ “หมื่นล้าน” อย่าง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หรือเป็นเด็กนักวิชาการระดับดอกเตอร์อังดรัวจากฝรั่งเศสอย่าง นายปิยบุตร แสงกนกกุล หรือเป็นเด็ก
และคำถามก็จะย้อนกลับไปยังบรรดา “เฒ่าทารก” ทั้งหลายโดยอัตโนมัติ
การเสนอประเด็นในเรื่อง “รื้อสร้าง” เพื่อนำไปสู่การสถาปนารัฐธรรมนูญ “ใหม่” โดยพรรคอนาคตใหม่ จึงกลายเป็นเรื่องร้อน
นับวันจะยิ่ง “ร้อน” และ “แหลมคม”
แม้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 จะผ่านประชามติมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2559 แต่ถามว่าผู้คนมีความรู้สึกและตั้งข้อสังเกตอย่างไรต่อการดำรงอยู่ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้
คำถามนี้ไม่เพียงแต่ตัว “รัฐธรรมนูญ”
หากแต่ยังย้อนกลับไปยาวไกลถึงกระบวนการในระหว่างการทำ “ประชามติ” ด้วยว่าดำเนินไปด้วยความโปร่งใสหรือไม่
คสช.จะตอบคำถามต่อ “คดี” ที่มีอยู่ใน “ศาล” อย่างไร
เพราะความเป็นจริงที่เห็นและเป็นอยู่อย่างทนโท่ก็คือ มีแต่ฝ่ายที่ต้องการให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนไหวได้
ตรงกันข้าม หากไม่ต้องการให้ผ่านก็จะประสบปัญหานานาประการ

รอยตำหนิและใฝฝ้าราคีอันเนื่องแต่ “ประชามติ” เช่นนี้แหละที่ไปสร้างความชอบธรรมโดยปริยายให้กับข้อเสนออันมาจากพรรคอนาคตใหม่
ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นข้อเสนอตามบทบัญญัติของ “รัฐธรรมนูญ” อีกด้วย
ถึง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จะใช้คำว่า “ฉีก” ต่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 แต่ความเป็นจริงก็คือ เขาต้องการแก้ไข และยืนยันเป็นการแก้ไขตามหลักแห่งกฎหมายที่มีอยู่
นั่นก็คือ ตามหลักที่กำหนดไว้ใน “รัฐธรรมนูญ” เอง
เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นพรรคการเมือง กระบวนการรณรงค์และเคลื่อนไหวก็ต้องสร้างความเห็นร่วมเพื่อให้ได้รับ “ฉันทานุมัติ” จากประชาชน
พรรคอนาคตใหม่มิได้ทำแบบที่ “นักรัฐประหาร” ชอบทำกัน
ขั้นตอน 1 คือ ความเห็นชอบจากประชาชนผ่านกระบวนการเลือกตั้ง หากประชาชนเห็นด้วยก็เลือกพรรคอนาคตใหม่ หรือเลือกพรรคที่มีแนวทางเช่นเดียวกับพรรคอนาคตใหม่
ขั้นตอน 1 คือ นำเอา “ฉันทานุมัติ” นี้เข้าสู่กระบวนการทางรัฐสภา
นี่คือแนวทางที่เป็น “อารยะ” ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับแนวทาง “อนารยะ” โดยการลากปืนและรถถังออกมาทำรัฐประหารแล้วฉีกทิ้ง
ตรงนี้ต่างหากคือ “วิธีการ” ตรงนี้ต่างหากที่ “สำคัญ”
เชื่อได้เลยว่า นับแต่นี้เป็นต้นไปประเด็นอันเกี่ยวกับ “รัฐธรรมนูญ” จะกลายเป็นเรื่องราวซึ่งถกเถียงกันในหมู่ประชาชนและพรรคการเมือง
แต่ละพรรคจะมี “ท่าที” อย่างไรต่อ “รัฐธรรมนูญ”
แน่นอน ท่าทีนั้นย่อมจะแตกออกไปเป็น 2 แนวทาง นั่นก็คือ แนวทาง 1 เห็นว่ารัฐธรรมนูญมีความยอดเยี่ยม ไม่จำเป็นต้องไปแตะ อีกแนวทาง 1 เห็นว่ารัฐธรรมนูญมีปัญหา จำเป็นต้องแตะ
ท่าที 2 ท่าทีนี้แหละจะอยู่ในสายตาประชาชน

จุดพลุรวมขั้วเฉพาะกิจ

จุดพลุรวมขั้วเฉพาะกิจ



อ่านสัญญาณเฉพาะหน้า โรดแม็ปก็ไม่น่าจะพลิกโปรแกรมจากที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.ประกาศไว้ ปี 2562 คืนอำนาจสู่การเลือกตั้ง
หลังเงื่อนไขที่ค้างเติ่งคลี่คลาย ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ รอกระบวนการนำขึ้นทูลเกล้าฯ และประกาศใช้
พร้อมๆกับร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. ที่ได้ไฟเขียวไปก่อนหน้า
จะเหลือก็แค่การตีความคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 53/2560 ว่าด้วยการดำเนินการตามกฎหมายพรรคการเมืองชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดลงมติวันที่ 5 มิ.ย.นี้
กฎหมายลูกสำคัญๆ 4 ฉบับ ต่อแถวรอประกาศใช้เกือบครบแล้ว ถ้าหากไม่กรณีพิเศษ ปัจจัยสำคัญอื่นในบ้านเมืองทำให้พลิกผันอีก ก็พอจะฟันธงได้ คิวเลือกตั้งน่าจะเป็นไปตามที่ขึ้นกระดานไว้
รูปการณ์ก็คงจะเป็นไปอย่างที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม การันตีล่าสุด มั่นใจ “บิ๊กตู่” คงไม่ต้องออกคำสั่งมาตรา 44 ร่นเวลา “อย่างไรก็ทันเดือนกุมภาพันธ์ 2562”
หรือ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ มือกฎหมายรัฐบาล นับนิ้วบวกเงื่อนเวลา สรุป 11 เดือนสู่เลือกตั้ง
ดีเดย์กาบัตรลงคะแนน จะขยับไปก็ไม่กี่เดือน
เท่านี้สัญญาณตอบรับกระหึ่ม แต่อีกทางก็เพิ่มดีกรีป่วนจากขั้วการเมือง กระแทกแผนต่อตั๋ว “บิ๊กตู่”
ในห้วงที่ทีมงานแผน “ต่อตั๋วผู้นำ” เครื่องชักอืด ถึงแม้จะระดมเครือข่ายกองหนุนได้เนืองแน่น แต่ในที่สุดก็ยังแก้ไม่ตกกับเงื่อนปมสมการตัวเลข ยากจะปั่นยอดเข้าสูตรคณิตศาสตร์
รวมแต้มหนุน “บิ๊กตู่” ทะลุครึ่งสภาฯ ยังเป็นงาน “เข็นครก” ของทีมสร้าง
ล่าสุดยังมึนตึ้บเข้าไปอีก กับการที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประกาศในวันเปิดตัวนั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ จะผลักดันเรื่องนิรโทษกรรมล้างชนักผู้ที่ติดคดีในห้วงรัฐบาล คสช. รวมทั้งชูธงแก้กฎกติกาใหม่
จุดกระแส “รื้อรัฐธรรมนูญปี 2560”
แน่นอน คิวนี้ลำพังพรรคเพื่อไทยโดดร่วมวง “เอาด้วย” ไม่เท่าไหร่ แต่ก็ยังไม่มั่นใจเครือข่ายแนวร่วมที่ถึงแม้วันนี้จะเข้าร่วมภารกิจหนุนแผนชู “บิ๊กตู่” ก็จริง แต่ในปมรัฐธรรมนูญมีโอกาสพลิ้วพลิกเหมือนกัน
รวมทั้งที่ไม่ชัวร์เอาเลย กับค่ายประชาธิปัตย์ มีโอกาสเกี่ยวจังหวะโหนกระแส
ยิ่งล่าสุด คนกลางๆอย่าง “เดอะป๋อง” สัญญา สถิรบุตร นักการเมืองเก๋าประสบการณ์ ทั้งเคยร่วมปลุกปั้นพรรคประชากรไทยยุครุ่งเรือง เคยร่วมค่าย ปชป. นั่งแท่น ผอ.พรรคประชาธิปัตย์มาแล้ว รวมทั้งเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีมาหลายยุค
อีกปรมาจารย์การเมืองระดับซือแป๋ที่คนในวงการคุ้นเคย ออกมาขายไอเดีย “ทางออกประเทศไทย”
ทั้งเสนอระบบ “ลูกขุนสภา” มีที่มาจากทุกองค์กรในบ้านเมือง เพื่อเข้ามาแก้ปัญหาขัดแย้งในระบบ และตัดสินโดยประชาชน สูตรล้างวิกฤติลุกลามสู่การชุมนุมบนท้องถนนแบบช่วงที่ผ่านมา
ล่าสุด “เดอะป๋อง” ชูแนวคิดกับขั้วฝ่ายต่างๆมาหลายเดือน กับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกฎกติกาประเทศ ที่หลายฝ่ายมองว่ายังไม่เป็นประชาธิปไตย
ปลุกสูตรพิเศษ พรรคเพื่อไทย-ประชาธิปัตย์ พักรบชั่วคราว รวมตัวในรายการ “รวมการเฉพาะกิจ”
2 ค่ายใหญ่จับมือ “แก้รัฐธรรมนูญ”
เวลานี้เสียงตอบรับเริ่มดังเข้าหูทุกขั้วอำนาจ
โดยเฉพาะในห้วงที่ฝ่ายถือดุลท็อปบูตชักแกว่ง จากปัจจัยที่ขั้วการเมืองเริ่มคอนโทรลไม่นิ่ง และมีการโยนสูตรแชร์อำนาจ โมเดลรัฐบาลแห่งชาติ รัฐบาลเฉพาะกิจ รัฐบาลเฉพาะกาล ออกมาถี่ในห้วงนี้
อีกทางก็เลยมองเป็นสารพัดสูตรแก้ทาง-แก้ลำเกมท็อปบูต “รวบยาว”
ทำเอาขั้วอำนาจพิเศษ อาจต้องปรับหมากเหมือนกัน.
ทีมข่าวการเมือง

แก้ปัญหาวินvsแก๊ปไบร์ท

(31พ.ค.)ทหาร หย่าศึก "วิน จยย" กับ Grab Bike ...ชี้ต้อง ป้ายเหลือง เท่านั้น รับผู้โดยสารได้....ให้ "พี่วิน" เข้า App ให้ลงทะเบียน 1กค.นี้ แต่ วิน หลายวิน ไม่ง้อ App ใช้ group Line แทน ชี้ ผู้โดยสาร คุ้นหน้า ไว้วางใจ และ อยู่ในพื้นที่

“ทหาร-ตำรวจ-กรมการขนส่งทางบก-วินจยย.-แกร็บไบค์” เปิดเวทีแก้ปัญหาจัดระเบียบวินจยย.รับจ้างสาธารณะระยะที่ 3 กรมขนส่งทางบก เตรียมเปิดรับลงทะเบียนรอบใหม่เริ่ม 1 กค.นี้ ด้านตัวแทนวินจยย.รับจ้างเปิดใจรับแอพพลิเคชั่น แต่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย ส่วนแกร็บไบค์ ไฟเขียววินจยย.เข้าร่วม ส่วนสมาชิกเดิมต้องใช้ป้ายเหลือง รับผู้โดยสารตามกฎหมาย ขณะที่ป้ายขาวใช้ส่งของ-ส่งอาหารเท่านั้น/ วิน จยย. ยันไม่ต้องพึ่ง แอพ

ที่มณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) พล.ต.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 (ผบ.มทบ.11) พร้อมด้วยนายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก นายภัทรุตม์ ทรรทรานนท์ ปลัดกรุงเทพมหานคร และพ.ต.อ.เศรษฐศักดิ์ ยิ้มเจริญ รองผู้บังคับการตำรวจจราจร ร่วมกันแถลงข่าวเตรียมการจัดระเบียบรถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะ ระยะที่ 3 

นายสนิท กล่าวว่า คณะกรรมการ 4 ฝ่าย ประกอบด้วย มทบ.11 กรมการขนส่งทางบก กองบัญชาการตำรวจนครบาล และสำนักเทศกิจกรุงเทพมหานคร มีการประชุมเพื่อเตรียมการจัดระเบียบรถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะ ระยะที่ 3 

ในส่วนของกรมการขนส่งทหารบกเตรียมเปิดรับลงทะเบียน สำหรับผู้ที่มีความประสงค์จะประกอบอาชีพขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะ พร้อมยื่นเอกสารได้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.- 31 ส.ค.61 ที่สำนักงานเขตกรุงเทพมหานครที่วินตั้งอยู่ 

ทั้งนี้แต่ละเขตจะเริ่มดำเนินการตรวจสอบสิทธิ์และออกหนังสือรับรองใช้รถจักรยานยนต์ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ต.ค.61โดยจะตรวจสอบคุณสมบัติอย่างเคร่งครัด และคำนึงถึงความเหมาะสมรอบด้าน
โดยเฉพาะการจัดตั้งวินใหม่ที่ต้องไม่ทับซ้อนเส้นทางวินเดิม 

ทั้งนี้ผู้ที่ลงทะเบียนไว้ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จตามขั้นตอนภายใน 120 วัน และเมื่อได้รับหนังสือรับรองการใช้รถฉบับใหม่แล้วให้เร่งดำเนินการจดทะเบียนเป็นรถจักรยานยนต์สาธารณะก่อนเดือนก.พ.62

ด้าน พล.ต.ปิยพงศ์ กล่าวว่าในพื้นที่กทม.มีวินรถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะที่จัดระเบียบไปแล้ว 5,800 วิน มีสมาชิก จำนวน 87,179 คน และในพื้นที่ปริมณฑล 4 จังหวัด ได้แก่ นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ รวมจำนวนวินรถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะที่จัดระเบียบไปแล้ว 2,688 วิน มีสมาชิก จำนวน 63,944 คน 

นอกจากนี้กรมการขนส่งทางบกได้พัฒนาระบบบริการขนส่งสาธารณะด้วยการเรียกใช้บริการผ่านแอพพลิเคชั่นคู่ขนานเป็นอีกทางเลือกให้ผู้ใช้บริการเชื่อมั่นในความปลอดภัย และความสะดวกในการเรียกใช้บริการ จึงขอความร่วมมือประชาชนเลือกใช้บริการรถจักรยานยนต์สาธารณะที่ถูกต้องตามกฏหมาย

ด้าน ตัวแทนวินรถจักรยานยนต์สาธารณะ ระบุว่า เราไม่ได้ปฏิเสธแอพพลิเคชั่น แต่ต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามกฎหมาย และต้องใช้รถจักรยานยนต์ป้ายเหลืองสำหรับบริการประชาชนเท่านั้น 

นอกจากยอมรับว่าในส่วนของผู้ขับวินเองก็ต้องปรับตัวให้ได้ และดึงผู้โดยสารให้มาอยู่กับเรามากที่สุด เพราะเราสนิทกับผู้โดยสารมากกว่าแอพพลิเคชั่น

ขณะที่ตัวแทนแอพพลิเคชั่นแกร็บไบค์ กล่าวว่า ทางบริษัทได้ให้ความสำคัญกับ วินรถจักรยานยนต์สาธารณะ และผู้โดยสาร ซึ่งเราต้องหาช่องทางที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ และพร้อมเดินหน้าแก้ไขไปด้วยกัน 

โดยยินดีให้วินรถจักรยานยนต์สาธารณะมาเข้าร่วมสมัครกับแอพพลิเคชั่น โดยจะมีสิทธิพิเศษให้ด้วย 

ส่วนสมาชิกเดิมที่ต้องการรับผู้โดยสารก็ต้องดำเนินการเป็นป้ายเหลืองตามกฎหมาย 

ส่วนผู้ที่ให้บริการโดยใช้รถป้ายขาวนั้นก็จะให้ส่งของและอาหาร เท่านั้น ไม่สามารถรับคนได้

เลนส์วินจักรยานยนต์ย่านสุขุมวิทกล่าวว่าไม่เห็นด้วยกับการจะต้องเข้าไปอยู่ในแอพพลิเคชั่นเพราะเรามี LINE กลุ่มกับลูกค้ากลุ่มใหญ่อยู่แล้ว และเป็นคนในพื้นที่ที่ใช้กันอยู่เป็นประจำรู้จักหน้ากันไว้วางใจกันไม่จำเป็นต้องเข้าไปอยู่ในแอพให้เสียเงินเพิ่ม

วิน จยย. เราอยู่คู่ประเทศไทยมา 40 -50 ปีแล้ว อีกทั้งคสช. ก็ได้จัดระเบียบและลงทะเบียนวินมอเตอร์ไซค์มาแล้วถึงสองครั้งก็ถือว่าดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งแอพพลิเคชั่นที่เปรียบเสมือน นายทุน
/

ยังเร็วไป

ปรับ ครม.?

"วิษณุ" บอก ยังเร็วเกินไป ที่จะพูด เรื่อง ปรับคณะรัฐมนตรี หลัง "ดอน" รมว.ต่างประเทศ โดน กกต.ชี้ขาดคุณสมบัติ เหตุ ภริยาถือหุ้นเกิน เผื่อมีคนอื่น โดนอีก... ส่วนตัวเอง รอดแล้ว ไม่ขาดคุณสมบัติ กรณีเป็น กรรมการสภามหาวิทยาลัยฯ

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่เป็นหนึ่งใน 9 รัฐมนตรี ที่ถูกยื่นให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ตรวจสอบคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี ว่า กกต.ได้แจ้งผลมาที่ตนนานแล้ว โดยระบุว่าตนหลุดจากข้อร้องเรียนและไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการถือหุ้นเพราะไม่มีหุ้น ไม่เกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สิน แต่ที่ถูกร้องเพราะดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยที่ห้ามรัฐมนตรีดำรงตำแหน่ง ส่วนกรณีของนายดอน ปรมัติถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ที่ถูกร้องนั้น คิดว่ากกต.คงแจ้งให้นายดอนทราบเอง ทั้งนี้ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญยกเว้นไว้ให้ ข้าราชการ และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) เป็นรัฐมนตรีได้ เป็นปกติเป็นไม่ได้

เมื่อถามถึงข้อสังเกตมติของกกต. 3ต่อ2 เสียง ชี้ว่านายดอน ขาดคุณสมบัติ แต่กกต.ขณะนี้เหลือเพียง 4 คน นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ทราบ ให้ไปถามจากกกต.ต่อข้อถามว่าแสดงว่ากกต.พิจารณาเรื่องนี้ตั้งแต่ที่นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ยังเป็นกกต. อยู่ใช่หรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า ไม่รู้ แต่แจ้งผลให้ตนทราบมานานแล้วตั้งแต่สมัยที่นายสมชัย ยังอยู่ในตำแหน่ง

ผู้สื่อข่าวถามว่านายดอน ควรแสดงสปิริตลาออกจากตำแหน่ง หรือต้องรอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อน นายวิษณุ กล่าวว่า รอสักพักให้ชัดเจนก่อน หากพูดไปแล้วกกต.ระบุว่ายังไม่มีมติจะยุ่ง ตอนนี้ยังไม่ชัดเจนว่ากกต.มีมติหรือยังไม่มี ต้องไปถามกกต.ไม่ใช่มาถามรัฐบาล เมื่อถามย้ำว่าหากกกต.มีมติชี้ว่านายดอนขาดคุณสมบัติจริง จะต้องปรับครม.หรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า เร็วไปที่จะพูด

เมื่อถามว่ากรณีของนายดอน ซึ่งภรรยาเป็นผู้ถือหุ้น จะถือว่ามีความผิดในการปกปิดบัญชีทรัพย์สินด้วยหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า “ไม่ถึงขนาดว่าเป็นความผิด”

“แต่หากถือหุ้นเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ ต้องทำหนังสือโอนหุ้นให้คนอื่นดูแลและต้องแจ้งให้ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) รับทราบ หากไม่แจ้งก็ผิด ส่วนรายละเอียด ให้ถามกกต. หรือนายดอนเอง” นายวิษณุ กล่าว

เมื่อถามว่าหากนายกรัฐมนตรี สอบถามจะให้คำแนะนำข้อกฎหมายอย่างไร นายวิษณุ กล่าวว่า จะตอบเหมือนที่ตอบกับสื่อ เมื่อถามย้ำว่าจะถึงขั้นต้องปรับครม.หรือไม่ รองนายกฯ กล่าวย้ำว่า เร็วไปที่จะพูด รอให้ม้วนเดียวจบแล้ว

ปรับครม.

ตีความกันเอาเอง!!

"บิ๊กตู่" ยังไม่ตอบ ปรับ ครม.มั้ย หลัง กกต.ฟัน "ดอน"ขาดคุณสมบัติ แค่ ยกนิ้วโป้ง โชว์สื่อ คุย "สมคิด-วิษณุ" หาทางออก/ ชี้ยังทำหน้าที่ต่อได้ แต่จะลาออกหรือไม่ แล้วแต่"ดอน"เพราะ  มี รมช.กต. อยู่ และ "สมคิด" คุม กต.

  
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์กรณี กกต.มีมติเห็นว่า นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ขาดคุณสมบัติจากการเป็นรัฐมนตรี เพราะภริยาถือหุ้นเกิน5%แต่ไม่แจ้ง

 พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ตอบคำถาม แต่ได้โบกมือให้ 

เมื่อถามย้ำว่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ตอบ แต่ยกนิ้วโป้งให้ผู้สื่อข่าว ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

ก่อนจะเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ตีดภักดีบดืนทร์

ขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ปฏิเสธที่จะตอบคำถามเช่นกัน พร้อมกับได้โบกมือ และ ทำสัญลักษณ์3 นิ้ว ไอเลิฟยูให้กับผู้สื่อข่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม 

อย่างไรก็ตาม ภายหลังการประชุม พล.อ.ประยุทธ์ ได้พูดคุยกับ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และพล.อ.อนุพงษ์ โดยนายวิษณุ ได้รายงานเรื่องดังกล่าวให้ พล.อ.ประยุทธ์ ทราบด้วย ว่า นาย
ดอน ยังปฏิบัติหน้าที่ต่อได้ แต่จะแสดงสปิริต ลาออกหรือไม่ แล้วแต่ นายดอน แต่ มี รมช.กต. อยู่ และ นายสมคิด ก็ดูแล กต.