PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556

คดีเอกยุทธกับคำเตือนของเฉลิม

คดีเอกยุทธกับคำเตือนของเฉลิม
โดย สุรวิชช์ วีรวรรณ13 มิถุนายน 2556 15:38 น.
       เรื่องอุ้มฆ่านี่ไม่น่าเป็นเรื่องที่ทำกันง่ายๆ นะครับ ต้องทำเป็นขบวนการอย่างน้อยต้องมีไม่ต่ำกว่า 4-5 คน
      
        แต่เมืองไทยนี่ดูเป็นเรื่องที่ทำกันง่ายๆ นะครับ
      
        ตั้งแต่ยุคป๋าลอ-ชลอ เกิดเทศ กรณีสองแม่ลูกศรีธนะขัณฑ์ มาถึงนักธุรกิจซาอุฯ อุ้มฆ่าทนายสมชาย และคนตัวเล็กตัวน้อยอีกหลายคน ที่เราเคยได้ยินข่าว ส่วนใหญ่พอสาวไปสาวมาก็เป็นฝีมือของคนในเครื่องแบบทั้งนั้น รวมทั้งเรื่องมุสลิมทางใต้ที่นายตำรวจซึ่งเป็นใหญ่เป็นโตตอนนี้เคยสร้างวิบากกรรมเอาไว้จนลามเป็นไฟใต้ดับไม่ลงจนถึงเดี๋ยวนี้
      
        กระทั่งมาถึงกรณีของคุณเอกยุทธ อัญชันบุตร เจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ ซึ่งเป็นคู่ปรับคนสำคัญของระบอบทักษิณ คนเปิดโปงกรณี ว.5 ที่โฟร์ซีซั่นอันลือลั่น
      
        ผมเห็นคนเสื้อแดงบางคนโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กทำนองว่า ตายไปก็ดีเพราะเป็นคนโกงประชาชน ผมเองก็ไม่ได้ชื่นชมคุณเอกยุทธครับ จากพฤติกรรมที่คุณเอกยุทธทำเอาไว้ในอดีต แต่ถ้าเรายังเชื่อว่าบ้านเมืองควรมีกฎกติกา ผมคิดว่าต่อให้เป็นโจรที่มีพฤติกรรมชั่วช้ากว่านี้ เราก็ไม่ควรยินดีหรือสะใจกับเหตุการณ์อุ้มฆ่าที่เกิดขึ้น ลองนึกว่าถ้ามันเกิดกับญาติของเรา เราจะรู้สึกอย่างไร
      
        ไม่ว่าเขาจะเป็นคนดีหรือไม่ดี มีความคิดทางการเมืองตรงกับเราหรือไม่ เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นไม่ว่าบ้านนี้เมืองไหนครับ
      
        คดีเอกยุทธมีข้อน่าสังเกตที่น่าสนใจหลายอย่าง วันพุธ (12 มิ.ย.) ตำรวจออกข่าวว่า พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.จะเปิดห้องแถลงข่าวคดีนี้เวลา 10 โมงเช้าวันพฤหัสบดี แต่ถึงเวลาจริงกลับเปลี่ยนเป็นการยืนตอบคำถามนักข่าวเพียง 3 ข้อ ชื่นชมการทำงานของตำรวจ แล้วปิดคดีว่าเป็นการฆ่าชิงทรัพย์ของคนขับรถ แล้วตัดบทจบ
      
        ผู้สื่อข่าวพยายามถามต่อว่าเซิร์ฟเวอร์กล้องวงจรปิดบ้านนายเอกยุทธอยู่ไหน พล.ต.อ.อดุลย์ตอบเลี่ยงว่า “พอแล้วๆ” ก่อนจะเดินขึ้นรถเดินทางออกจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลทันที
      
        น่าสังเกตนะครับก่อนหน้านั้นตั้งแต่วันอังคารตอนที่ยังไม่พบศพ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีได้ออกมาตั้งข้อสันนิฐานทันทีว่า 1. เจ้าหน้าที่รัฐไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง 2. ไม่ได้เป็นการสร้างสถานการณ์ของนายเอกยุทธ 3. ถูกฆาตกรรมชิงทรัพย์ ซึ่งตนให้น้ำหนักการถูกฆาตกรรมชิงทรัพย์มากกว่า เนื่องจากมีการเบิกเงินจำนวน 5 ล้านบาท ถือเป็นเงินจำนวนมากแล้วออกไปกับคนขับรถ
      
        ดูจาก 3 ข้อของเฉลิมแล้วดูจะเป็นการฟันธงที่เร็วผิดปกติของอดีตนายตำรวจกองปราบปรามที่มักคุยว่าตัวเองเชี่ยวชาญในการสืบสวนสอบสวนเหนือกว่าใคร
      
        ข้อ 1 กับข้อ 3 นี่แปลกมากครับ คือร.ต.อ.เฉลิมรีบสรุปทันทีเลยว่า เจ้าหน้าที่รัฐไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง กับรีบสรุปในทำนองว่านายสันติภาพเป็นคนลงมือเพื่อหวังผลจากเงินจำนวน 5 ล้านบาท
      
        วันพุธพอพบศพ เฉลิมก็แถลงซ้ำอีกว่า ชัดเจนแล้วว่านายเอกยุทธเสียชีวิตแล้ว ซึ่งเกิดจากนายสันติภาพ เพ็งด้วง คนขับรถ เป้าประสงค์คือเรื่องเงินจำนวน 5 ล้านบาท ขบวนการได้มีการเตรียมตัวตั้งแต่จับตัวไป แล้วนำตัวไปไว้แถวหนองจอกเพื่อเอามาเบิกเงิน จากนั้นลงไปภาคใต้ ซึ่งมีพิรุธ ขณะที่บิดาของนายสันติภาพได้รับสารภาพแล้วว่ารับเงินจากลูกชายไปจำนวน 2 ล้านบาท ไม่มีสาระอะไรที่สลับซับซ้อน เป็นแต่เพียงว่านายเอกยุทธรับคนมาอยู่ใกล้ชิดไม่ได้ศึกษาประวัติ เลี้ยงลูกน้องไม่ได้ใจ โดยมีทรัพย์จำนวน 5 ล้านบาทเป็นแรงจูงใจ ไม่มีอย่างอื่น
      
        อย่าลืมนะครับว่า เฉลิมนั้นเป็นรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อให้สัมภาษณ์ชี้นำแบบมั่นอกมั่นใจขนาดนั้นถึง 2 วันซ้อน ตำรวจจะทำคดีนี้อย่างไร ดังนั้นไม่แปลกหรอกครับที่วันรุ่งขึ้น ผบ.ตร.ก็ให้สัมภาษณ์ปิดคดีในทำนองเดียวกัน
      
        ผมว่ามันเป็นเรื่องที่จบง่ายไปหน่อยหรือเปล่าครับ
      
        จากที่ฟังทนายสุวัตร อภัยภักดิ์เล่า บอกว่าก่อนจะสารภาพนายสันติภาพให้การโยกโย้วกวนไปมา ต้องทั้งขู่ทั้งปลอบจึงจะสารภาพ แต่ระหว่างพูดคุยซักถามนั้นนายสันติภาพจ้องตาเขม็งไม่หลบสายตาเลย คำพูดคำจาเหมือนเตรียมการมาอย่างดี เชื่อว่าต้องมีกุนซืออยู่เบื้องหลังแน่ๆ
      
        ถ้าตำรวจจะสรุปจบแค่สันติภาพคนขับรถว่าหวังเงิน 5 ล้าน ตอบคำถามง่ายๆ เลยว่า หลังจากที่นายสันติภาพคนขับรถไปรอรับเงินรับเช็คที่สนามบินสุวรรณภูมิใครคุมตัวนายเอกยุทธเอาไว้ แค่ไอ้เบิ้มคนเดียวที่ยังหลบหนีไปหรือ เพราะตอนนั้นยังมีชีวิตสื่อสารพูดคุยกับแบงก์ได้ เรื่องแบบนี้ทำกันคนสองคนได้มั้ย
      
        นายสันติภาพจึงเป็นข้อต่อที่สำคัญที่ตำรวจต้องเค้นออกมาให้ได้ เพราะเพื่อนร่วมทีมนายสันติภาพอีก 2 คนที่ถูกจับทางใต้นั้น ตามคำสารภาพเป็นเพียงถูกนายสันติภาพชักนำมาให้ช่วยอำพรางศพหลังจากนายสันติภาพนำศพไปถึงจังหวัดพัทลุงบ้านเกิดเท่านั้น ไม่ใช่ทีมอุ้มฆ่าในกรุงเทพฯ ซึ่งต้องมีหลายคน
      
        หรือสุดท้ายแล้ว “ไอ้เบิ้ม” ก็จะกลายเป็น “ไอ้ปื้ด” ที่ไม่มีวันหาตัวเจอ
      
        ดังนั้น ถ้าตำรวจจะสรุปจบตามคำสัมภาษณ์ของสารวัตรเหลิมก็ยิ่งจะทำให้คดีมีความน่าสงสัยมีเงื่อนงำมากขึ้น
      
        บอกตรงๆ นะครับ ผมคิดว่าคดีนี้คนส่วนใหญ่เขาไม่ไว้ใจตำรวจ เพราะเอกยุทธเป็นศัตรูคนสำคัญของรัฐบาล การที่รีบสรุปปิดคดีแบบที่เฉลิมสรุป ผมคิดว่าตำรวจจะโดนข้อครหาไปด้วย เพราะนายตำรวจบางคนเคยมีพฤติกรรมในทำนองนี้มาแล้ว
      
        ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่ตำรวจจะต้องเปิดปากนายสันติภาพออกมาให้ได้มากที่สุดว่ามีใครร่วมคดีด้วย และติดตามให้ได้ว่ากล้องวงจรปิดตอนนี้ซ่อนอยู่ที่ไหน
      
        ทนายสุวัตรให้สัมภาษณ์ไว้ชัดว่า คดีนี้เชื่อกันว่า ทีมสังหารตัวจริงนั้นไม่ได้ประสงค์ต่อทรัพย์แต่ประสงค์ต่อชีวิต ส่วนนายสันติภาพนั้นน่าจะเป็นนกต่อที่ถูกส่งเข้ามาทำงานกับนายเอกยุทธ ประจวบกับนายสันติภาพเป็นคนมีหนี้สินรุงรังจากหนี้พนันบอล ทั้งนายสันติภาพกับทีมที่ลงมือจึงมีผลประโยชน์ที่ลงตัวกันพอดี
      
        ดังนั้นคนที่ติดตามข่าวนี้ต่างเชื่อกันว่า ไม่ใช่นายสันติภาพกับเพื่อนที่ถูกจับลงมือเพียงเท่านั้นต้องมีทีมงานทมิฬที่อยู่เบื้องหลัง แต่ถึงตอนนี้ดูจะมีร.ต.อ.เฉลิม ยอดนายตำรวจนักสืบสวนสอบสวนและตำรวจใต้บังคับบัญชาเท่านั้นที่ปักใจเชื่อว่านายสันติภาพเป็นคนลงมือเพื่อหวังผลตัวเงินเพียงอย่างเดียว
      
        เพราะไม่ว่านายเอกยุทธจะเป็นคนอย่างไรมีประวัติที่มาอย่างไร แต่รับรู้กันว่า ในภายหลังจากกลับมายังประเทศไทยนายเอกยุทธเป็นคนหนึ่งที่ประกาศตัวเป็นศัตรูอย่างชัดเจนกับระบอบทักษิณ การปิดคดีง่ายๆ โดยตัดตอนแค่คนขับรถแบบที่ตำรวจรีบออกมาแถลงปิดคดีท่ามกลางข้อสงสัยของประชาชนไม่น่าจะเป็นผลดีต่อรัฐบาลชุดนี้
      
        ถ้าคดีนี้ไม่มีความกระจ่างก็ช่วยไม่ได้ที่จะมีมลทินติดตัวรัฐบาลนี้ตลอดไป
      
        และคำพูดที่ฟังแล้วน่าสะพรึงกลัวที่สะท้อนว่าบ้านเมืองนี้อยู่ในยุคเถื่อนก็คือเสียงเตือนไปถึงนักเคลื่อนไหวของร.ต.อ.เฉลิมนั่นแหละครับ
      
        “ผมขอเตือนนักเคลื่อนไหว เพราะเวลาล้มหายตายจาก เดือดร้อนผมและรัฐบาล เพราะชอบมีข่าวออกมาว่าเกี่ยวกับคนใกล้ชิดผม” 

"สนธิญาณ"แนะตร.!!! สอบ 3 ประเด็นปมฆ่า"เอกยุทธ"-ชี้เหมือนสร้างพล็อตเรื่อง???

"สนธิญาณ"แนะตร.!!! สอบ 3 ประเด็นปมฆ่า"เอกยุทธ"-ชี้เหมือนสร้างพล็อตเรื่อง???
13-06-13 22:36   อ่าน : 319
คอลัมน์ : สัมภาษณ์พิเศษ
"สนธิญาณ"ชี้ปชช.มีข้อสงสัยจับ"สันติภาพ"-เหมือนสร้างพล็อตเรื่อง ตร.รีบร้อนปิดคดี? แนะสอบ 3 ประเด็น 1.การใช้โทรศัพท์นายสันติภาพ  2. เอาเทปธนาคารที่โทรมาถามคุณเอกยุทธ 3. ลายนิ้วมือแฝง  
วันนี้ ( 13 มิถุนายน )  รายการคมคนคิด  คุญกับสนธิญาณ  โดย สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม และ บุญระดม  จิตรดอน  กับปมปริศนาที่คาใจปมฆ่าเอกยุทธ  มีรายละเอียดดังนี้
สนธิญาณ  :  ประเด็นร้อนที่เราจะพูดถึงก็เป็นประเด็นที่เพิ่งเกิดขึ้น  ต้องเรียนแบบนี้สิ่งแรกขอไว้อาลัยให้กับคุณเอกยุทธ  กับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับมา โดยส่วนตัวผมเคยเจอกับท่านประมาณ 2 ครั้ง  ตอนที่มานั่งรับประทานอาหาร  หลังจากนั้นก็เกาะติดข่าวของคุณเอกยุทธ มาโดยตลอด  วันนี้สนธิญาณขอคารวะด้วยหัวใจ  พระพุทธองค์ท่านบอกว่าคนเราเกิดมามี 4 กลุ่ม  กลุ่มที่ 1. เกิดมามืดไปมืด  กลุ่มที่ 2. เกิดมามืดไปสว่าง  กลุ่มที่ 3. เกิดมาดีทำดี  กลุ่มที่ 4. เกิดมาดีจิตใจใฝ่ต่ำ  คุณเอกยุทธ  เป็นประเภทที่ 2 แต่ระดับเขาไม่ธรรมดา  อายุ 25-26  ปี บริหารการเงินสร้างเงินได้เป็นพันล้าน  พอเกิดการรัฐประหารในวันที่ 9 ก.ย. 2528  ท่านเป็นส่วนหนึ่งที่เข้ามาเป็นส่วนร่วม  หลังจากนั้นท่านก็หายไปเป็นเวลานาน  แปลกมากพอท่านกลับมาก็เปิดฉากในการต่อสู้คุณทักษิณทันที  แต่ก็มีคนพยายามหาข้อเท็จจริง  มีคนสงสัยว่าวันที่ 9 ก.ย. 2528 ท่านไปสนับสนุนด้วยหรือเปล่า  อะไรเป็นเหตุจูงใจ  ต้องบอกว่าในเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ ซึ่งต่อต้านระบอบคุณทักษิณ  ดุเดือดเลือดพล่านที่หนักสุดกรณี ว.5  โฟร์ซีซั่น ซึ่งเป็นความลับไม่สามารถแจ้งได้  แต่วันนี้เราจะทบทวนให้ฟัง  วันนี้จะมาพูดถึงการนำเสนอเนื้อหาที่คุณเอกยุทธเคยเขียนไว้ 
          
 
เริ่มมาจากท่านนายกฯเดินทางไปราชการ  นี่เป็นประเด็นที่ไม่เคลียร์ไม่มีความชัดเจนว่าไปทำอะไร  เผอิญวันนั้นนายกฯมาประจวบเหมาะเจาะเจอกับคุณเอกยุทธ  เรื่องของเรื่องท่านเอามาเปิดเผยจนกลายเป็นเรื่องใหญ่  ถามว่าท่านนายกฯไปทำอะไร  ก็มีคนออกมาแจกแจงบ้างว่าไปประชุมกับนักธุรกิจขนาดใหญ่  หลังจากนั้นมีการพยายามเอ่ยชื่อนักธุรกิจบ้าง  คุณเอกยุทธได้ตั้งคำถามขึ้นมา 10 ข้อเกี่ยวกับตัวท่านายกฯในการเดินทางไปในครั้งนี้ 
บุญระดม  :  คุณเอกยุทธได้ตั้งคำถามสวนทาง 2 อย่างในเรื่องของผลประโยชน์  และเรื่องส่วนตัว  จากข้อมูลดังกล่าวบอกได้ว่าท่านกัดไม่ปล่อย  การที่คุณเอกยุทธเอาเรื่องนี้มาเขียนเป็นการชี้นำว่ามีการชู้สาวหรือไม่  กลายเป็นประเด็นที่แหลมคมมาก  เขย่าสั่นสะเทือนต่อนายกฯ  พอท่านถูกฆ่าเป็นการวางแผนอุ้มฆ่าหรือไม่  ไปถามคนที่ลุกขึ้นมาต่อสู้  ขัดขวางรัฐบาล  ยิ่งหนักหน่วงเลย  ทำไมคนถึงสงสัย  เพราะมีเรื่องเคยที่เกิดขึ้นมาแล้ว
การอุ้มฆ่าทนายสมชาย  นีละไพจิตร  คดีนี้เป็นคดีที่ดัง  คุณสมชายเป็นมุสลิมเป็นผู้เปิดฉาก  การที่คุณทักษิณทำให้เกิดปัญหาชายแดนภาคใต้ เกิดการอุ้มฆ่าขนานหนัก  เป็นเหตุให้เกิดความแค้น  คุณสมชาย ทำเพื่อส่วนรวมมาตลอด  ลงลึกลงไปเรื่อย ๆ พบข้อเท็จจริงในการอุ้มฆ่า 3 จังหวัดมีการเกี่ยวพันด้วย  วันดีคืนดีทนายสมชายหายไปอย่างไร้ร่องรอย  ถึงวันนี้ก็ยังไม่เจอตัว  จากเหตุการณ์ในตอนนั้นมีคนพบเห็น ซึ่งเป็นผู้หญิงพบว่าคนจำนวน 4-5 คนควบคุมตัวขึ้นรถไป  เกิดร่องรอยของคดี  หลังจากนั้นมันสามารถโยงใยไปถึงคนก่อเหตุทั้ง 5 คนได้  หลังจากนั้นก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ควบคุมตัว  ในการเดินเรื่องหลักฐานหลักคือการติดต่อการใช้โทรศัพท์ของบุคคลทั้ง 5 คนติดต่อกัน  ประกอบกับ  ตร.นครบาล  เกาะติดคดีจนเป็นเรื่องเป็นราว  สุดท้ายศาลพิพากษาจำเลยคนเดียว  ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการอุ้มฆ่าคดีสมชายมีจริง  แต่หลักฐานมันอ่อนเอาเรื่องคนผิดที่เหลือไม่ได้  เพราะไม่พบศพ  เราต้องให้ศาลเป็นผู้ชี้เบื้องต้น  คดีนี้จนถึงวันนี้ยังเป็นความลับดำมืดอยู่  แต่โดยหลักฐานว่ามีการอุ้มฆ่าจริงซึ่งหนึ่งในผู้ที่เกี่ยวข้องมีพ.ต.อ.นภันต์วุฒิ เลี่ยมสงวน ผู้กำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี  ซึ่งเดิมก็คือพ.ต.ท.ชัดชัย  เลี่ยมสงวน  1 ใน 5 ผู้ต้องหาคดีอุ้มฆ่าทนายสมชาย
บุญระดม  :  แล้วพ.ต.อ.นภันต์วุฒิ  เลี่ยมสงวน เกี่ยวกับคดีอุ้มฆ่านายเอกยุทธ อย่างไร
สนธิญาณ  :  เพราะท่านเป็นตร.ที่เข้าจับกุมตัว  นายสันติภาพ คนขับรถคุณเอกยุทธได้เป็นชุดแรก  มันเชื่อมโยงกัน เหตุที่ประชาชนมีข้อสงสัยก็คือนายสันติภาพ ซึ่งเรียกว่าเป็นเด็กมาก ๆ อายุแค่ 25 ปี  แต่ติดการพนัน  ติดบอล  ปกติการรับประวัติคนรถก็ต้องมีการตรวจสอบก่อน  มันเหมือนเป็นการสร้างพล็อตเรื่อง  นายเอกยุทธได้เบิกเงิน 5 ล้านไปพม่าหายตัวไปอย่างลึกลับ  แล้วถามว่าทำไมต้องกลับไปบ้าน  เพื่อที่จะได้ไม่ให้มีคนสงสัย  และชิงถอดเอาเซิร์ฟเวอร์ไปด้วย  พล็อตที่ 2 ให้เซ็นเช็คที่สนามบินสุวรรณภูมิจากนั้นก็หายตัวไปเลย  แสดงว่านายสันติภาพ รู้ทุกอย่างขั้นตอนการเซ็นเช็ค  รู้ขั้นตอนการทำงานของธนาคารให้เซ็น 3 ใบ  เพราะถ้าเกิน 2 ล้านจะเกิดการตรวจสอบขึ้นมา  แล้วระดับนายสันติภาพรู้ด้วยว่าต้องใช้เช็ค 3 ใบ  ประเด็นถัดมาดูเหมือนตร.รีบร้อนปิดคดีว่านายสันติภาพเป็นคนฆ่าบวกกับผู้ต้องหาที่หลบหนีไป 1 คน  ตร.ควรพิจารณาให้มันชัดเจน  ประเด็นที่ 1. ต้องแจกแจงให้ชัดจากการใช้โทรศัพท์ของนายสันติภาพ  เพราะนายสันติภาพมีท่าทีลุกลี้ลุกลน  โทรศัพท์ตลอดเวลา  ตร.ต้องมาแจกแจงว่าเขาโทรหาใครบ้าง  ถึงจะสรุปได้ว่านายสันติภาพติดต่อแค่โจรกระจอกเท่านั้นเอง  ถ้าเอามาแจกแจงประชาชนก็จะหายข้องใจ  ประเด็นที่ 2. เอาเทปธนาคารที่โทรมาถามคุณเอกยุทธ  ทำไมต้องเซ็นปี 2553 ด้วย  เพราะหากเกิดความเสียหายในการรับผิดชอบ  เขาต้องโทรมาเพื่อบันทึกเทป  ในการจับคลื่นสัญญาณเสียงต้องการส่งสัญญาณ  ในคลื่นเสียงเอาไปแยกแยะให้ได้  หากมีเสียงกระซิบอยู่ข้าง ๆ เครื่องมือสายลับทั้งหลายมีหมด  ประเด็นที่ 3. เรื่องการตรวจสอบลายนิ้วมือแฝงพ.ต.อ.นภันต์วุฒิ  เดินคล้องแขนมาเลย  บอกว่าผู้ต้องหาไม่รับสารภาพ  ทั้งหมดนี้ตร.จะต้องไปแจกแจงให้ชัดเจน   
บุญระดม  :  ในขณะเดียวกันก็มีรายงานมาว่าจุดที่พบศพคุณเอกยุทธ  ไม่ได้เอาทางนิติเวชไปเลย 
สนธิญาณ  :  มันมีเหตุทั้งสิ้น  เป็นเรื่องที่ตร.ต้องไปแจกแจงให้ชัดเจน  กลับมาไล่เรียงต่อ  ฉากถูกจัดขึ้น  คำถามที่ต้องมาถามต่อว่านายสันติภาพจัดเองหรือใครเป็นผู้จัดให้  และมาเบิกเงินต้องใช้เวลา  กว่าเงินจะกลับไปก็บ่าย  หลังจากนั้นเมื่อเกิดการฆ่าก็เอาศพไปจ.พัทลุง  แต่นายสันติภาพเอาศพไปพัทลุงถามว่าทำไมต้องเอาเงินไปให้แม่  ทำให้พ่อแม่โดนข้อหาไปด้วยไม่รู้ใครเป็นคนคิด  แน่นอนว่าเป็นมืออาชีพ  ตัวเองเอาเงินไป 2-3 ทอด  ตัวเองถูกจับ  ถ้ามืออาชีพคิดเองจะต้องละเอียดกว่านี้  เอารถไปมีรถนำขบวน  ไปถึงจ.พัทลุงขับรถย้อนกลับมา  เขียนจม.น้อยกะว่าเอารถตู้ไปแปะไว้แล้วบอกว่านายหายไป  แล้วตัวเองต้องเจอกับอะไร  เขาก็ต้องมาควบคุมตัวเอง  น่าจะหนีไปตั้งแต่ต้น  การที่กลับมาแน่นอนว่าใจแข็ง  ใจเหี้ยม  สีหน้าสีตาเป็นมืออาชีพมันถึงเดินเรื่องว่ามีคนอยู่เบื้องหลัง  นายสันติภาพก่อนจะมาเป็นเป็นคนขับรถ  ได้เป็นคนส่งของที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งริมคลองประปาสามเสนมาก่อน  ก่อนที่จะมาเป็นคนขับรถให้คุณเอกยุทธด้วยระยะเวลาแค่ 7 เดือน
เพราะฉะนั้นต้องเรียนว่าต้องกลับไปสอบใหม่  เพื่อคลี่คลายคำถามทนายสุวัตรบอกว่ามีการเตรียมล่วงหน้ามาก่อนหรือไม่  จากการฆ่าคุณเอกยุทธเป็นการตายชิงทรัพย์ธรมดาหรือการเมือง 

สัญญานเข้ม! -อุ้มฆ่าเอกยุทธ

สัญญานเข้ม!
บทความ วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ.2556 12:07น.
458681
สถานการณ์การเมืองความมั่นคงประเทศไทยในสัปดาห์นี้ กลับมาสู่โหมด "สัญญานเข้ม" ที่น่ากังวลใจในร่องรอย"ความขัดแย้งที่ซุ่มซ่อน" ระหว่าง "สองขั้วอำนาจ" อันอาจนำไปสู่การ"เพิ่มระดับ"ความรุนแรงของวิธีการอันคาดไม่ถึง อีกครั้ง กับการหายตัวไปของ "เอกยุทธ อัญชันบุตร" นักธุรกิจชื่อดัง ที่สังคมรู้จักและทราบดีว่า เป็น "ตัวละครปฏิปักษ์" สำคัญกับ "ขั้วอำนาจรัฐ" ปัจจุบัน
เป็นการหายตัวไปที่หนแรก หลังการเข้าแจ้งความของญาติ ๆ ก็ยังไม่มีใครปักใจเชื่อว่า จะรุนแรงถึงขั้นเป็นปฏิบัติการ"อุ้มฆ่า" โดย"คนขับรถ"ของเขาและพรรคพวก ที่ยังไม่แน่ชัดในจำนวน กระทั่งเป็นที่แน่ชัดจากคำสารภาพของ"สันติภาพ เพ็งด้วง" (11มิ.ย.56) ว่า ได้ร่วมกับ "นายชวลิต วุ่นชุม" และเพื่อนอีกคน สังหาร "นายเอกยุทธ" จนเสียชีวิตและชิงทรัพย์ ก่อนจะนำศพไปฝั่งที่เขาจิงโจ้ จ.พัทลุง อ้างสาเหตุ เพราะโกรธแค้นที่ "นายเอกยุทธ" ไล่แฟนสาวออกจากงาน และเห็นเคยเบิกเงินสดเป็นล้านหลายครั้ง จึงวางแผนปฏิบัติการ ขณะที่ ตำรวจ มีการระบุ (12 มิ.ย.56) ว่า "นายสันติภาพ" ลงมีอฆ่าจริงในพื้นที่ กทม. และคดีนี้มีผู้เกี่ยวข้อง 5 คน (สันติภาพ , ทิวากร เกื้อทอง , ชวลิต วุ่นชุม , ธิวากร สงขาว และพวก)
อย่างไรก็ตาม คดีนี้ ถูกจับตาจากหลายฝ่ายว่า จะมีความเกี่ยวข้องกับการเมืองแต่ต้นที่มีข่าวการหายตัวไปของ"นายเอกยุทธ" โดยเฉพาะ "ความขัดแย้ง" ถึงขั้นมีการกระทบกระทั่งซึ่งหน้าไปจนถึงการฟ้องร้อง แจ้งความดำเนินคดี ระหว่าง "นายเอกยุทธ" กับนักการเมืองฝ่ายรัฐบาล ตั้งแต่ นายกรัฐมนตรี "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" และ "พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง" ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล รวมถึง "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกฯ ตัวละครสำคัญทางการเมืองอีกราย ที่ล้วนแล้วแต่เป็น "ตัวละคร" ที่ "นายเอกยุทธ" วิพากษ์วิจารณ์เปิดเผยข้อมูลด้านลบต่าง ๆ ในเว็บไซต์"ไทยอินไซด์เดอร์" ของตัวเอง ซึ่งแต่ละประเด็น มีการนำมาขยายในสื่อกระแสหลัก และมีการขยายต่อโดย พรรคฝ่ายค้าน อาทิ "ว.5 โฟร์ซีซันส์", "คดีฟ้องทำร้ายร่างกาย ผจก.คาราโอเกะซิตี้ และ พกอาวุธ , คดีฟ้องร้อง พล.ต.ท.คำรณวิทย์ หมิ่นประมาท ฯลฯ โดยเฉพาะมีผู้ตั้งข้อสังเกต เนื้อหา บทความสุดท้าย ที่มีการกล่าวพาดพิงพฤติกรรมบุคคลในรัฐบาล ในทริปเยือนมัลดีฟส์และการเผย (18พ.ค.56) ว่าเขาเป็นผู้ให้ข้อมูลทางลับกับหน่วยสืบสวนสอบสวนของอังกฤษ กรณีมี นักการเมือง-ขรก.ไทย " นำเงินที่โกงประเทศไปตั้ง "ออฟชอร์" หวังเลี่ยงภาษี และฟอกเงิน ซึ่งเร็ว ๆ นี้ "สื่ออังกฤษ" จะมีการนำเสนอเรื่องนี้
น่าสนใจว่า ขณะที่ "นายสุวัตร อภัยภักดิ์" ทนายความของ "นายเอกยุทธ" ที่กล่าวพุ่งเป้าไปในประเด็นทางการเมืองทันที ตั้งแต่วันแจ้งความ โดยเชื่อว่าน่าจะมีผู้อยู่เบื้องหลังการจ้างวาน ซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็นความขัดแย้งทางการเมือง และมีการออกมาระบุข้อมูลที่น่าสนใจว่า "นายสันติภาพ" หรือ "บอล" เป็นชุดอุ้มของ "เสธ. คนดัง" ที่แฝงตัวเข้ามาสมัครเป็น "คนขับรถ" ของ "นายเอกยุทธ" ในจังหวะที่มีการเปิดรับสมัครผ่านอินเทอร์เน็ต แต่แนวทางการสืบสวนสอบสวนที่ "ตำรวจนครบาล" มีบทบาทสำคัญ ยังคงพุ่งเป้าที่ปม "ฆาตกรรม" ชิงทรัพย์ เช่นเดียวกับที่ "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" รองนายกฯ ระบุ (11มิ.ย.56)
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ "นายเอกยุทธ" หากเป็นการ ฆาตรกรรม ชิงทรัพย์ ก็ว่ากันไปในผล และการดำเนินคดีตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมกับผู้กระทำความผิด แต่หากเป็นไปอย่างที่ "ทนายความ" และหลายฝ่าย ออกมาระบุว่า มี"เสธ. คนดัง" อยู่เบื้องหลัง การบงการ "อุ้มฆ่า" และยิ่งมีชนวนเหตุที่โยงมาสู่การเมือง ก็ยิ่งน่าต้องกังวลในสถานการณ์ถัดไป กับสภาพการณ์ที่จะเกิดขึ้น เพราะก่อนหน้าเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว มี "ข้อมูลชุดหนึ่ง" ที่รายงานออกมาส่งไปถึง"หน่วยข่าว" ในรัฐบาล ถึง "สัญญาณ"และสภาพการณ์ รวมถึง "แผนการ" บางแผนจากบางฝ่ายที่มีการพบปะกันของ"ตัวละครการเมือง" หลายคน เพื่อหารือถึง "จังหวะ" ของแผนที่มีชื่อเรียกขานชัดเจน ซึ่งการปฏิบัติการติดตามประกบติด "บุคคลสำคัญทางการเมือง" รวมถึง "ตัวละคร" ระดับ "แกนนำมวลชน" หลายคนของทั้ง 2 ขั้วอำนาจ ก็อยู่ในแผน รวมถึง มีการส่งสัญญาณ ให้มีการจับตา ติดตามสถานการณ์ความเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้ง "เปิด" และ "ปิด" นับแต่วันที่ 15 มิ.ย. เป็นต้นไปด้วย

คอลัมน์ : ดอกไม้หลายสี
โดย ศักดา จิวัธยากูล
วันพุธ 12 มิถุนายน 2556

เรื่องจริงที่ไม่เหมือนในละคร"นางสาวศรีสยาม"ยุค"จอมพลสฤษดิ์"

เรื่องจริงจากละคร!! ....จากละครสุภาพบุรุษจุฑาเทพ มีการประกวดนางสาวศรีสยาม 2504 ผู้ได้รับตำแหน่งคือ นางสาวกรองแก้ว บุญมี สาวงามจากอยุธยา แต่ตัวจริงในประวัติศาสตร์ ในปีนั้นการประกวดนางสาวไทยยังไม่ได้มีการกลับมาจัดในยุคที่ 3 เพราะปีสุดท้ายที่จัดก่อนหน้านั้นคือปี 2497 แต่ในปี 2504 มีการประกวดนางงามระดับประเทศที่เทียบเท่ากับเวทีนางสาวไทยคือ การประกวดนางงามวชิราวุธานุสรณ์ และนางงามที่ได้คำแหน่งในปีนั้นคือ นงคราญ โกลละสุต (ภาพขวา) 
..นงคราญ เป็นเด็กสาวอายุ 18 ปี จากจังหวัดสงขลา นงคราญ หน้าตาคมขำโดยมีเชื้อฮอลแลนด์จาก ร.ต.อ บำรุง ผู้เป็นบิดา หลังจากได้ตำแหน่งเพียง 2 วัน นงคราญก็ได้เดินทางกลับไปยัง อ.สะเดา จังหวัดสงขลา เพื่อไปเตรียมพิธีหมั้นกับแฟนหนุ่ม ร.ต.ต สมพร สีลยุวะ โดยมีข้อแม้ว่าจะสามารถแต่งงานหลังจาก 1 ปีที่เธอครองตำแหน่งนางงามวชิราวุธฯ แต่ก็ได้ถูกบรรดาแม่เล้า นายหน้าหลายคน ได้ตามไปยังบ้านเกิดของนงคราญเพื่อเกลี้ยกล่อมให้เธอมาเป็นอนุภรรยา ของท่านผู้นำในยุคนั้นคือ จอมพลสฤษดิ์ ธนรัตน์ ..
ทางนายหน้าได้เข้าพบบิดาของนงคราญ โดยยื่นข้อเสนอกับ ร.ต.อ บำรุง ว่า ทางท่านผู้นำได้เสนอมอบเงินสดจำนวน 2 แสนบาท บ้านพร้อมรถยนต์ และย้าย ร.ต.อ บำรุง มาประจำที่กรุงเทพแทนที่ทำงานเดิมคือ ผู้บังคับกอง อ.สะเดา โดยบิดาของนงคราญได้ตอบตกลงด้วยดี แต่นงคราญก้ได้หนีเข้ากรุงเทพพร้อมคู่หมั่นหนุ่ม โดยไปพักที่บ้านญาติที่ประตูน้ำ แต่ทาง ร.ต.อ บำรุง ผู้เป็นบิดาได้ตามไปพบนงคราญพร้อมกับ สุมน สุมานันท์ แม่บ้านประจำตัวของจอมพลสฤษดิ์ เพื่อเกลี้ยกล่อมนงคราญก็ได้แต่ไปหลบหนีอยู่ในห้องน้ำบ้าง ห้องนอนบ้างซ่อนตัวไม่ให้หาเจอ และทางคู่หมั่นหนุ่มก็ถือปืนพร้อมขู่ว่าถ้าเข้ามาตนเองจะทำลายชีวิตคนที่เข้ามาพรากนงคราญจากเขาไป จนทำให้เหล่าแม่บ้านและแม่เล้า ถอยออกมา
...ด้วยความรักที่มั่นคงต่อนงคราญ ร.ต.ต สมพร สีลยุวะ คู่หมั่นหนุ่ม ได้พยามติดต่อกับผู้ใหญ่หลายคนเพื่อจัดพิธีหมั้น และก็สำเร็จในที่สุด โดยได้ จอมพลถนอม กิติขจร (ในขณะนั้นเป็นพลเอก) รองนายกรัฐมนตรี โดยหมั้นกันที่บ้านของ พลเอกถนอมนั่นเอง จากนั้น ร.ต.ต สมพร คิดว่าคงไม่มีการรังควาญจากเหล่าแม่เล้าอีก จึงได้เดินทางไปประจำที่ อ.สะเดา สงขลาเช่นเดิม หลังจากที่ลาราชการมาช่วยคนรัก
...แต่ความพยายามของบรรดาแม่เล้าก็ไม่ย่อท้อ แม้ว่าข่าวการหมั่นของนงคราญและ ร.ต.ต สมพร จะลง หนังสือพิมพ์กันอย่างคึกโครม เพราะมีการขึ้นของที่จะได้รับจากเงินสด 2 แสน เป็น 5 แสนบาท พร้อมของอื่นๆเช่นแหวนเพชร 5 กะรัต บ้านหลังใหญ่พร้อมโอน รถเบ๊นซ์ 1 คัน โดยมีการตั้งเงินรางวัลให้แม่บ้านและแม่เล้าที่เกลี้ยกล่อมนงคราญได้เป็นเงินจำนวนไม่ต่ำกว่า 2 แสนบาท ทำให้คนเหล่านั้นไม่ละความพยายาม 
...จนในที่สุด หลังที่พ่อแม่และแม่เล้าสาย นางสุมน กล่อมนงคราญจนใจอ่อนจึงยอมเข้าไปพบจอมพลสฤษดิ์ โดยได้พาไปแต่งหน้าแต่งตัวสวยงามเพื่อนำไปพบท่านที่ บ้านวิมานหลังกองพลที่ 1 โดยมีผู้เป็นพ่อนั่งไปด้วย แต่ระหว่างนั้น นงคราญก็เปลี่ยนใจหลายครั้ง พยายามกระโดดรถหนี แต่พ่อของเธอก็พยายามรั้งไว้จนได้พบกับจอมพลสฤษดิ์ เป็นผลสำเร็จ เมื่อได้พบกับท่าน นงคราญได้ขอร้องและกล่าวว่าตนมีคู้หมั่นแล้ว จอมพลสฤษดิ์ไม่ได้ขืนใจเธอ และยังให้โอวาทว่าให้เป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดี ถ้าหากนงคราญเดือนเนื้อร้อนใจอะไรสามารถเข้ามาขอร้องความช่วยเหลือกับท่านได้ตลอดเวลา โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ จากนั้นนงคราญก้กลับบ้านไปโดย จอมพลสฤษดิ์ ไม่ได้แตะต้องตัวเธอแม้แต่น้อย
...จากคำพูดของลุกผู้ชาย สุภาพบุรุษเช่นจอมพลสฤษดิ์ ผู้นำประเทศในยุคนั้น นงคราญจึงทึ่ง และประทับใจในตัวท่าน ให้ความนับถือและไว้วางใจ จนกระทั่งนงคราญใจอ่อน และถ้านงคราญตัดสินใจเป็น อนุภรรยาท่าน ก็จะได้ทดแทนบุญคุณผู้เป็นพ่อ ไม่ต้องลำบากรับราชการที่ต่างจังหวัด ได้มาประจำในเมืองหลวง คิดได้ดังนั้น นงคราญจึงตัดสินใจเขียนจดหมาย ถึงร.ต.ต สมพร สั้นๆว่าเธอได้ตัดสินใจ เป็นอนุภรรยาของท่านแล้ว โดยสิ่งที่ นงคราญได้รับคือ เงินสด 5 แสนบาท รถเบ๊นซ์รุ่นใหม่ ตึกสีม่วงบนที่ดิน 150 ตารางวา แหวนเพชร 5 กะรัต 1 วง สร้อยเพชร 1 เส้น นาฬิกาฝังเพชร 1 เรือน เงินเดือนอีกเดือนและ 3 พันบาท รวมทั้ง ผู้เป็นบิดา ได้ย้ายจาก สงขลามาประจำที่กรุงเทพ โดยเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น เป็นนายพันตำรวจตรี ....

ข้อมูลจากหนังสือ "จอมพลของคุณหนูๆ"


เรื่องจริงจากละคร!! ....จากละครสุภาพบุรุษจุฑาเทพ มีการประกวดนางสาวศรีสยาม 2504 ผู้ได้รับตำแหน่งคือ นางสาวกรองแก้ว บุญมี สาวงามจากอยุธยา แต่ตัวจริงในประวัติศาสตร์ ในปีนั้นการประกวดนางสาวไทยยังไม่ได้มีการกลับมาจัดในยุคที่ 3 เพราะปีสุดท้ายที่จัดก่อนหน้านั้นคือปี 2497 แต่ในปี 2504 มีการประกวดนางงามระดับประเทศที่เทียบเท่ากับเวทีนางสาวไทยคือ การประกวดนางงามวชิราวุธานุสรณ์ และนางงามที่ได้คำแหน่งในปีนั้นคือ นงคราญ โกลละสุต (ภาพขวา) 

..นงคราญ เป็นเด็กสาวอายุ 18 ปี จากจังหวัดสงขลา นงคราญ หน้าตาคมขำโดยมีเชื้อฮอลแลนด์จาก ร.ต.อ บำรุง ผู้เป็นบิดา หลังจากได้ตำแหน่งเพียง 2 วัน นงคราญก็ได้เดินทางกลับไปยัง อ.สะเดา จังหวัดสงขลา เพื่อไปเตรียมพิธีหมั้นกับแฟนหนุ่ม ร.ต.ต สมพร สีลยุวะ โดยมีข้อแม้ว่าจะสามารถแต่งงานหลังจาก 1 ปีที่เธอครองตำแหน่งนางงามวชิราวุธฯ แต่ก็ได้ถูกบรรดาแม่เล้า นายหน้าหลายคน ได้ตามไปยังบ้านเกิดของนงคราญเพื่อเกลี้ยกล่อมให้เธอมาเป็นอนุภรรยา ของท่านผู้นำในยุคนั้นคือ จอมพลสฤษดิ์ ธนรัตน์ ..

ทางนายหน้าได้เข้าพบบิดาของนงคราญ โดยยื่นข้อเสนอกับ ร.ต.อ บำรุง ว่า ทางท่านผู้นำได้เสนอมอบเงินสดจำนวน 2 แสนบาท บ้านพร้อมรถยนต์ และย้าย ร.ต.อ บำรุง มาประจำที่กรุงเทพแทนที่ทำงานเดิมคือ ผู้บังคับกอง อ.สะเดา โดยบิดาของนงคราญได้ตอบตกลงด้วยดี แต่นงคราญก้ได้หนีเข้ากรุงเทพพร้อมคู่หมั่นหนุ่ม โดยไปพักที่บ้านญาติที่ประตูน้ำ แต่ทาง ร.ต.อ บำรุง ผู้เป็นบิดาได้ตามไปพบนงคราญพร้อมกับ สุมน สุมานันท์ แม่บ้านประจำตัวของจอมพลสฤษดิ์ เพื่อเกลี้ยกล่อมนงคราญก็ได้แต่ไปหลบหนีอยู่ในห้องน้ำบ้าง ห้องนอนบ้างซ่อนตัวไม่ให้หาเจอ และทางคู่หมั่นหนุ่มก็ถือปืนพร้อมขู่ว่าถ้าเข้ามาตนเองจะทำลายชีวิตคนที่เข้ามาพรากนงคราญจากเขาไป จนทำให้เหล่าแม่บ้านและแม่เล้า ถอยออกมา

...ด้วยความรักที่มั่นคงต่อนงคราญ ร.ต.ต สมพร สีลยุวะ คู่หมั่นหนุ่ม ได้พยามติดต่อกับผู้ใหญ่หลายคนเพื่อจัดพิธีหมั้น และก็สำเร็จในที่สุด โดยได้ จอมพลถนอม กิติขจร (ในขณะนั้นเป็นพลเอก) รองนายกรัฐมนตรี โดยหมั้นกันที่บ้านของ พลเอกถนอมนั่นเอง จากนั้น ร.ต.ต สมพร คิดว่าคงไม่มีการรังควาญจากเหล่าแม่เล้าอีก จึงได้เดินทางไปประจำที่ อ.สะเดา สงขลาเช่นเดิม หลังจากที่ลาราชการมาช่วยคนรัก

...แต่ความพยายามของบรรดาแม่เล้าก็ไม่ย่อท้อ แม้ว่าข่าวการหมั่นของนงคราญและ ร.ต.ต สมพร จะลง หนังสือพิมพ์กันอย่างคึกโครม เพราะมีการขึ้นของที่จะได้รับจากเงินสด 2 แสน เป็น 5 แสนบาท พร้อมของอื่นๆเช่นแหวนเพชร 5 กะรัต บ้านหลังใหญ่พร้อมโอน รถเบ๊นซ์ 1 คัน โดยมีการตั้งเงินรางวัลให้แม่บ้านและแม่เล้าที่เกลี้ยกล่อมนงคราญได้เป็นเงินจำนวนไม่ต่ำกว่า 2 แสนบาท ทำให้คนเหล่านั้นไม่ละความพยายาม 

...จนในที่สุด หลังที่พ่อแม่และแม่เล้าสาย นางสุมน กล่อมนงคราญจนใจอ่อนจึงยอมเข้าไปพบจอมพลสฤษดิ์ โดยได้พาไปแต่งหน้าแต่งตัวสวยงามเพื่อนำไปพบท่านที่ บ้านวิมานหลังกองพลที่ 1 โดยมีผู้เป็นพ่อนั่งไปด้วย แต่ระหว่างนั้น นงคราญก็เปลี่ยนใจหลายครั้ง พยายามกระโดดรถหนี แต่พ่อของเธอก็พยายามรั้งไว้จนได้พบกับจอมพลสฤษดิ์ เป็นผลสำเร็จ เมื่อได้พบกับท่าน นงคราญได้ขอร้องและกล่าวว่าตนมีคู้หมั่นแล้ว จอมพลสฤษดิ์ไม่ได้ขืนใจเธอ และยังให้โอวาทว่าให้เป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดี ถ้าหากนงคราญเดือนเนื้อร้อนใจอะไรสามารถเข้ามาขอร้องความช่วยเหลือกับท่านได้ตลอดเวลา โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ จากนั้นนงคราญก้กลับบ้านไปโดย จอมพลสฤษดิ์ ไม่ได้แตะต้องตัวเธอแม้แต่น้อย

...จากคำพูดของลุกผู้ชาย สุภาพบุรุษเช่นจอมพลสฤษดิ์ ผู้นำประเทศในยุคนั้น นงคราญจึงทึ่ง และประทับใจในตัวท่าน ให้ความนับถือและไว้วางใจ จนกระทั่งนงคราญใจอ่อน และถ้านงคราญตัดสินใจเป็น อนุภรรยาท่าน ก็จะได้ทดแทนบุญคุณผู้เป็นพ่อ ไม่ต้องลำบากรับราชการที่ต่างจังหวัด ได้มาประจำในเมืองหลวง คิดได้ดังนั้น นงคราญจึงตัดสินใจเขียนจดหมาย ถึงร.ต.ต สมพร สั้นๆว่าเธอได้ตัดสินใจ เป็นอนุภรรยาของท่านแล้ว โดยสิ่งที่ นงคราญได้รับคือ เงินสด 5 แสนบาท รถเบ๊นซ์รุ่นใหม่ ตึกสีม่วงบนที่ดิน 150 ตารางวา แหวนเพชร 5 กะรัต 1 วง สร้อยเพชร 1 เส้น นาฬิกาฝังเพชร 1 เรือน เงินเดือนอีกเดือนและ 3 พันบาท รวมทั้ง ผู้เป็นบิดา ได้ย้ายจาก สงขลามาประจำที่กรุงเทพ โดยเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น เป็นนายพันตำรวจตรี ....

ข้อมูลจากหนังสือ "จอมพลของคุณหนูๆ