การกักขังและปรับทัศนคติข้าพเจ้าโดยเผด็จการทหาร คสช.รอบสอง
3 พฤศจิกายน, 2015 - 09:49 | โดย pravit
- See more at: http://blogazine.pub/blogs/pravit/post/5556#sthash.3FdX8FS0.deimFfx7.dpuf
การปรับทัศนคติ: คําสวยหรูที่ใช้โดยเผด็จการทหาร คสช. (คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) ในการจัดการกับผู้ที่มีอิทธิพลทางความคิดที่แสดงความเห็นไม่ยอมรับรัฐประหาร หรือตั้งคําถามถึงความชอบธรรม หรือความไร้ความชอบธรรมของการก่อรัฐประหารยึดอํานาจฉีกรัฐธรรมนูญ
กระบวนการ ‘ปรับทัศนคติ’ มีตั้งแต่การพูดจาขอ ‘ความร่วมมือ’ และ ‘ความเข้าใจ’ อย่างสุภาพระหว่างถูก ‘เชิญ’ แบบไม่มีทางปฏิเสธไปกักตัวอยู่ในค่ายทหารที่มีบรรยากาศคล้ายที่พักตากอากาศถูกๆ ถึงเจ็ดวัน [1] แต่หาก ‘ทัศนคติ’ ยังไม่เปลี่ยนก็จะมีการเชิญไป ‘ปรับทัศนคติ’ อีกโดยปิดตาพาไปขังในที่ลับนอกเมืองหลวงอย่างที่ผู้เขียนเพิ่งประสบมาระหว่างวันอาทิตย์ที่ 13 ถึงวันอังคารที่ 15 กันยายน 2558
ประมาณเที่ยงครึ่งของวันเสาร์ที่ 12 กันยายน 2558 อดีตภรรยาได้โทรฯแจ้งว่า มีทหารสองนายมาที่บ้านเพื่อหาตัวผม เธอบอกให้ไปดูที่สํานักงานหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น ปรากฏว่าทหารก็ได้ไปที่ทํางานแต่ผมไม่อยู่ พอวันรุ่งขึ้นคือวันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน เวลาประมาณ 9.35 น. ทหารยศพันโทได้โทรฯ มาบอกให้ผมโทรฯ ไปหาพันเอกนายหนึ่งเมื่อผมโทรฯไปพันเอกคนนี้ก็บอกให้ผมไปรายงานตัวที่กองทัพภาคที่หนึ่งในเวลา 11.00 น. ผมบอกผมคงเคลียร์งานไม่เสร็จจึงขอเลื่อนเป็น 14.00 น. ซึ่งทาง คสช. ก็ยอม
ห้องกักตัว
หลังจากนั้นผมถูกชายสี่คนที่ไม่สวมใส่ชุดทหารแต่สวมผ้าปิดจมูกและปากใช้ผ้าสองชั้นปิดตาผมในรถตู้ที่มองจากข้างนอกไม่ออกว่าเป็นรถของทหารหรือของทางการเพื่อนําผมโดยสารออกจากกรุงเทพฯ เป็นเวลาประมาณชั่วโมงครึ่งผมก็ถูกนํา ตัวออกจากรถ และพาเดินทั้งๆ ที่มีผ้าปิดตาอยู่เข้าไปในห้องขัง
พอผ้าพันตาถูกปลดออกและแสงนีออนคู่บนเพดานแยงตาสักพักจนปรับตัวได้ ผมก็พบว่าตนเองอยู่ในห้องขนาดพื้นที่ประมาณ 4 คูณ 4 เมตร [2] ที่หน้าต่างไม้เก่าๆ สามบานถูกปิดสนิทไม่เห็นเดือนเห็นตะวันและมีลูกกรงเหล็กติดทับอีกที ในห้องมีกล้องวงจรปิด ส่องลงมาจากมุมบนซ้ายของเพดาน มีเครื่องปรับอากาศแบบตั้งพื้นที่ไม่ระบายอากาศแถม
พอผ้าพันตาถูกปลดออกและแสงนีออนคู่บนเพดานแยงตาสักพักจนปรับตัวได้ ผมก็พบว่าตนเองอยู่ในห้องขนาดพื้นที่ประมาณ 4 คูณ 4 เมตร [2] ที่หน้าต่างไม้เก่าๆ สามบานถูกปิดสนิทไม่เห็นเดือนเห็นตะวันและมีลูกกรงเหล็กติดทับอีกที ในห้องมีกล้องวงจรปิด ส่องลงมาจากมุมบนซ้ายของเพดาน มีเครื่องปรับอากาศแบบตั้งพื้นที่ไม่ระบายอากาศแถม
ทํางานไม่ปกติเพราะไม่สามารถปรับอุณหภูมิให้ต่ำกว่า 29 องศาเซลเซียสได้ซึ่งกลับเพิ่มความชื้นในห้องที่อากาศไม่ถ่ายเท ผมจึงแทบหายใจไม่ออกและตัดสินใจปิดเครื่องปรับอากาศ ท้ายห้องขังมีห้องน้ำเล็กๆ ที่มีส้วมและฝักบัวในตัว กําแพงด้านหนึ่งของห้องน้ำ มีอิฐบล็อกแบบมีช่องระบายอากาศเล็กๆ ในระนาบสูงประมาณหกเจ็ดก้อน อย่างไรก็ตาม ช่องที่อากาศควรจะได้ถ่ายเทกลับถูกปิดทับด้วยกระดาษสีน้ำตาลอ่อนจากภายนอกอีกที ในห้องมีทีวีเก่าๆ เครื่องหนึ่งที่รับภาพเบลอๆ ได้จากสองสถานีคือไทยพีบีเอสและช่องสาม มีเตียงเหล็กแบบทหารมีผ้าปูขาวสะอาดพร้อมหมอนสองใบแต่ไม่มีผ้าห่ม มีโต๊ะหนึ่งตัวพร้อมน้ำขวดขนาดเล็กที่ไม่เย็นจํานวนหนึ่งและมีพัดลมหมุนได้ติดบนเพดานหนึ่งตัว ผู้คุมที่ยืนอยู่พร้อมลูกน้องสองคนบอกผมว่าพรุ่งนี้จะมีคนมาบอกว่าจะมีโปรแกรมอะไรบ้าง และหากต้องการอะไรก็ให้เคาะประตูเรียกคนสองคนที่มีผ้าปิดปากปิดจมูก
ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 5 ทุ่ม ผมเหนื่อยล้าจากการต้องตอบข้อซักถามเป็นเวลากว่าหกชั่วโมงในค่ายทหารที่กรุงเทพฯจึงรีบอาบน้ำ ปิดไฟและพยายามนอนแต่ก็นอนไม่หลับจนกระทั่งรุ่งสาง
การปฏิบัติจาก คสช.
ชายสี่คนที่คาดว่าเป็นทหารชั้นผู้น้อยนอกเครื่องแบบที่สวมผ้าปิดจมูกและปากตลอดเวลาเพื่อให้ผมจำใบหน้ามิได้สลับเวร ‘ดูแล’ โดยการส่งอาหารและน้ำดื่มเข้ามาในห้องขังจะผลัดเวรผลัดละสองคน น้ำเสียงของพวกเขาแข็งกระด้าง ต่างจากทหารระดับกลางและสูงจำนวนหนึ่งที่พูดจาด้วยความสุภาพกับผม ไม่นานคําว่า ‘ครับ’ จาก ‘ผู้คุม’ ที่สวมผ้าปิดปากและจมูกก็หายไป พวกเขาจะไม่พูดเกินกว่าที่จําเป็น
ตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น (วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2558) หลังผมได้รับกล่องอาหารเช้าแล้วพยายามกลืนอาหารลงคอสี่ห้าคําและอาบน้ำ ผมได้เคาะประตูขอร้องให้ผู้คุมพาผมออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์เพราะระดับออกซิเจนในห้องเล็กๆ ที่อากาศไม่ถ่ายเทนั้นเหลือน้อยเต็มที โดยผมบอกผู้คุมด้วยว่าผมเพิ่งได้รับการตรวจวัดความดันโดยแพทย์ทหารตอนมารายงานตัวเมื่อบ่ายวานและพบว่าความดันผมสูงผิดปกติค่อนข้างมาก ในที่สุดผู้คุมก็ยอมให้ผมออกไปสูดหายใจลึกๆ นอกห้องเป็นเวลาประมาณ 20 นาที แต่พวกเขาบอกให้ผมนั่งหันหน้าเข้าหาห้องน้ำที่อยู่ท้ายห้องก่อน แล้วเดินมาปิดตาผมด้วยที่ปิดตาและผ้าอีกสองชั้นก่อนจะพาผมออกไปนั่งข้างนอกห้องตรงจุดที่ห่างจากห้องเพียงไม่กี่ก้าว ผมรับทราบได้จากเสียง พื้นและคุณภาพอากาศว่าผมยังอยู่ภายในอาคาร ผมได้ขอให้ผู้คุมเปิดประตูค้างไว้ด้วยเพื่อให้อากาศในห้องขังถ่ายเท
หลังจากที่ขอให้ตนได้ไปสูดอากาศบริสุทธิ์นอกห้องขังทุกสองสามชั่วโมงเป็นครั้งที่สามหรือสี่ ผู้คุมคนหนึ่งก็บ่นว่าผม “เรื่องมากจริงๆ” ผมจึงตอบไปทั้งๆ ที่นั่งมีผ้าปิดตาอยู่ว่าผมเพียงแค่ขออากาศบริสุทธิ์หายใจ มิได้ขออะไรมากไปกว่านั้นอย่างเช่นขอโค้กเลย
เวลาผ่านไปกว่า 20 ชั่วโมงโดยปราศจากการพูดคุยฉันมนุษย์กับผู้อื่นและโดยไม่มีผู้ใดมาบอกว่าจะมีโปรแกรมอะไร ก็มีชายคนหนึ่งใส่เสื้อคอกลมสีแดงเปิดประตูที่ล็อกจากข้างนอกเข้ามาพร้อมแนะนำตัวว่าเป็นนายทหารยศพันโทแต่ไม่ยอมบอกชื่อ ตอนแรกทหารผู้นี้พูดจาดีเป็นกันเอง และบอกว่าเขามาเยี่ยมเยียนเพื่อดูว่าผมเป็นอย่างไรบ้าง เราคุยกันเรื่องข้อดีข้อเสียของทักษิณ (ป.ล. ผมบอกว่าผมไม่ใช่เสื้อแดงหรือแฟนคลับทักษิณ) เรื่อง ‘ความจำเป็น’ ในการทำรัฐประหาร เรื่องความเกลียดชังระหว่างสีเสื้อเป็นเวลาประมาณสองชั่วโมงนายพันที่สวมสร้อยทองเส้นโตก็ถามผมว่ามีอะไรที่เขาพอจะช่วยจัดหาให้ได้ไหม ผมหยิบกระดาษมาหนึ่งแผ่นและเขียนสิ่งที่ขอลงไปห้ารายการรวมถึงแชมพู สบู่ และผงซักฟอกพร้อมยื่นเงินให้เป็นธนบัตร 100 บาท
สองรายการแรกที่ขอไป ได้แก่ (1) ขอแสงอาทิตย์ และ (2) ขออากาศบริสุทธิ์ ข้อสองนั้นผู้พันจัดให้โดยยอมเปิดประตูห้องขังให้อากาศถ่ายเท ทว่า ให้ผมหันหน้าเข้าหาห้องระหว่างเราคุยกันต่อเพื่อจะได้ไม่เห็นว่ามีอะไรนอกห้อง แต่ข้อขอร้องข้อแรกมิได้รับการตอบสนอง
การพยายามออกกําลังกายในห้องขังประกอบด้วยการก้าวทางยาวสี่ก้าว หันขวาสองก้าวแล้วก็เดินเป็นทางยาวอีกสี่ก้าว วนไปวนมาเช่นนี้ ทํา ให้ออกซิเจนในห้องอันน้อยนิดยิ่งลดน้อยลงเร็วขึ้นไปอีกจนต้องหยุดเดินจงกรม ผมได้แต่บอกตนเองว่าชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก แม้ความยากลําบากและความทรมานที่เผชิญก็ไม่น่าจะนานเกินไปเช่นกัน
กําลังใจผมดีขึ้นตอนห้าโมงเย็นของวันที่สองหลังจากเห็นข่าวไทยพีบีเอสรายงานการควบคุมตัวผมโดย คสช.และการเรียกร้องให้ปล่อยตัวผมโดยทันทีจากสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย [3] ฯลฯ
สิ่งที่ผมเหลือบเห็นระหว่างการจองจํา
ระหว่างที่ผมถูกคุมขังในห้อง ผู้คุมจะเปิดประตูแง้มแคบๆ เอาน้ำ เอาอาหารมาให้ตามมื้อ มีครั้งหนึ่งตอนประตูถูกแง้มเปิดผมเหลือบเห็นบริเวณห้องโถงที่เป็นทางยาวและเห็นธงชาติปักเป็นมุม 45 องศาอยู่นอกอาคาร นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมรู้สึกละอายที่เห็นธงชาติและนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวผมในนามของรัฐไทย
การสอบสวน
ผมยอมรับตั้งแต่ไป ‘รายงานตัว’ ที่กองทัพภาคที่หนึ่งเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2558 แล้วว่าผมเป็นคนทวีตเป็นภาษาไทยและอังกฤษทํานองตั้งคําถามในมุมมองส่วนตัวว่า ยศพลเอกของประยุทธ์ยังคงอยู่หรือไม่ในเมื่อประยุทธ์เป็นผู้ก่อรัฐประหาร และได้เซ็นยืนยันว่าข้อความเป็นจริง แต่มิได้ขอโทษเพราะยืนยันความเห็นเรื่องการรักษาประชาธิปไตยว่า ทหารนั้นมีหน้าที่ต้องปกป้องรัฐธรรมนูญมิใช่ฉีกรัฐธรรมนูญเสียเอง
พอถูกพาไปยังสถานที่สอบปากคําครั้งที่สองในกองพันทหารราบแห่งหนึ่งในเขตดุสิต ทหารยศระดับพันโท พันเอก ฯลฯ ประมาณ 6 นายก็ดูเหมือนอยากจะรู้เกี่ยวกับตัวผมไปทุกเรื่อง พวกเขาอยากทราบว่าผมเรียนจบที่ไหน ทํางานตําแหน่งอะไรที่ไหน พวกเขาอยากรู้ที่อยู่ปัจจุบัน พื้นเพทางบ้าน พ่อแม่พี่น้องชื่ออะไร เป็นใคร ทํางานอะไร เบอร์โทรศัพท์พวกเขาเบอร์อะไร อยากรู้แม้กระทั่งชื่อเล่นผม ซึ่งผมมิได้บอก (อดคิดมิได้ว่าจะเอาไปใช้โทรฯ หาญาติหาเพื่อนเพื่อให้ฟังดูเนียนขึ้นหรือไม่)
นอกจากนี้พวกเขายังต้องการทราบว่าทําไมผมถึงไม่เอารัฐประหารและต้องการปฏิรูปกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือที่รู้จักกันในอีกชื่อว่า ม.112 หนึ่งในผู้สอบสวนอัดวิดีโอในตอนแรก และพิมพ์คําตอบผมลงในคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา มันยิ่งกว่าสอบสัมภาษณ์สมัครงานในองค์กรโหดๆ เสียอีก
พอผมบอกว่าผมไม่ใช่คนเสื้อแดงหรือพวกทักษิณ พวกเขาก็ทําหน้างงๆ และถามผมว่า “แล้วคุณอยู่กลุ่มไหน ?”
นายพันผู้หนึ่งบอกว่าถ้าเป็นยี่สิบสามสิบปีก่อนผมคงเขียนหนังสือพิมพ์แล้วก็มีผู้อ่านเพียงไม่กี่คน และพูดต่อว่าแต่ทุกวันนี้ผมแสดงความเห็นในโซเชียลมีเดียซึ่งอ่อนไหวมาก และเขาถือว่าผมเป็น ‘ผู้นําทางความคิด’ คนหนึ่ง
ผมพบว่ามีทหารอย่างน้อย 2 นายเฝ้าดูความเห็นที่ผมแสดงออกในโซเชียลมีเดีย
ผมบอกว่าผมมิได้อยู่กลุ่มไหนเลย เป็นแค่ปลาซิวปลาสร้อย ขอให้คสช.อย่าวิตกจริตและให้ใช้อํานาจที่อยู่ในมืออย่างระมัดระวัง พร้อมกับบอกว่าโลกมิได้มีเพียงสองฝ่ายขาวดํา ทั้งย้ำว่าทุกอย่างที่พวกเขาถามผม ผมสามารถอธิบายเป็นเหตุเป็นผลได้ ผมยังได้บอกบรรดานายทหารที่สอบสวนผมด้วยว่าแม้ คสช. มีอํานาจเบ็ดเสร็จแต่ก็มิอาจนําพาสังคมไทยย้อนกลับไปสู่ยุคเผด็จการเมื่อหลายสิบปีที่แล้วอย่างยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ได้ เพราะโลกเปลี่ยนไปมาก ประเทศต่างๆ เชื่อมโยงพึ่งพากันและแม้แต่ความคาดหวังของคนไทยว่าเผด็จการทหารควรเป็นอย่างไร ทําอะไรได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็ไม่เหมือนในอดีต
ผู้เขียนถูกถามเรื่องนิติราษฎร์ ผมบอกว่าผมมิใช่แฟนคลับกลุ่มนิติราษฎร์และมิได้เป็นพวกเดียวกัน ผมยังย้ำว่าผมไม่เห็นด้วยเรื่องการเกิดวัฒนธรรมแฟนคลับ ไม่ว่านิติราษฎร์จะเจตนาหรือไม่ก็ตาม เพราะในสังคมประชาธิปไตย ประชาชนคนคิดวิเคราะห์เอง มิใช่รอคําตอบจากผู้นําทางความคิดหรือผู้เชี่ยวชาญ สังคมที่ประชาชนคิดเองได้คือสังคมที่เข้มแข็ง
ผมยังบอกบรรดาเหล่าทหารว่าช่วยไปอ่านเรื่องทฤษฎีความสลับซับซ้อน (complexity theory) และทฤษฎีผกผัน (chaos theory) ด้วยเพราะหลายอย่างที่พวกเขาทําอาจนํามาซึ่งผลตรงกันข้าม
มีทหารยศพลตรีเดินเข้ามาแล้วเล่าเรื่อง 2 เรื่องให้ฟัง
เรื่องแรกอ้างว่าจักรพรรดิองค์แรกของจีนบอกให้เคารพคน 3 กลุ่ม ได้แก่ เจ้า ชาวนา และทหาร ชาวนาเพราะปลูกข้าวให้กิน ทหารเพราะปกป้องประเทศ
เรื่องที่ 2 คือเหตุการณ์ล่องเรือดินเนอร์บนแม่น้ำเจ้าพระยา นายพลผู้นี้เล่าว่าคืนนั้นเขาพบนักธุรกิจไทยเชื้อสายจีนจํานวนหนึ่งบนเรือ พวกเขากล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นบุญยิ่งที่บรรพบุรุษพวกเขาอพยพมาเมืองไทย ไม่ได้ไปประเทศอย่างเขมรเพราะอาจถูกฆ่า (โดยเขมรแดง)
หกชั่วโมงผ่านไปเป็นเวลาประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง พวกทหารที่สอบปากคําผม (รวมถึงพยายามที่จะอธิบายให้ผมฟังว่าทําไมรัฐประหารจึงจําเป็น) ก็บอกลาและพาผมเดินมายังที่จอดรถซึ่งมีรถตู้เก่าๆ ที่ปิดกระจกมืดมิดและมองไม่ออกว่าเป็นของทหารหรือของรัฐรออยู่พร้อมชายฉกรรจ์สี่นายสวมเสื้อซาฟารีแขนสั้นสีดําและมีหน้ากากผ้าปิดปากปิดจมูกทุกคน พอผมเข้าไปในรถ พวกเขาก็ปิดตาผมสองชั้น ชั้นนอกคาดด้วยผ้าขาวม้า และรถก็เดินทางออกนอกเมืองเป็นเวลาชั่วโมงครึ่งก่อนถึงที่คุมขังที่ผมไม่ทราบว่าอยู่ที่ใดโดยไร้คําอธิบายใดๆ ว่าทําไมต้องปฏิบัติกับผมเช่นนี้
ทําไมชายสี่คนจึงสวมหน้ากากผ้าปิดปากและจมูก
ผมได้แต่คาดการณ์ดังนี้
ก) เพื่อมิให้ผมจําหน้าได้
ข) เพื่อให้ผมกลัว
ค) เพื่อลดร่องรอยทาง DNA หากพวกเขาต้องทําอะไรไม่ดี
ง) ถูกทุกข้อ
ข) เพื่อให้ผมกลัว
ค) เพื่อลดร่องรอยทาง DNA หากพวกเขาต้องทําอะไรไม่ดี
ง) ถูกทุกข้อ
โทรศัพท์มือถือ
วันแรกก่อนที่ผมเข้าไป ‘รายงานตัว’ ณ กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 1 ผมได้ฝากโทรศัพท์มือถือไว้กับเจ้าหน้าที่ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเพื่อความปลอดภัย และนั่นนํามาซึ่งการถกเถียงกับทหาร คสช. ที่ต้องการเช็คว่าผมเป็นคนโพสต์ข้อความในไลน์เกี่ยวกับการแต่งตั้งเลขาสภาความมั่นคงแห่งชาติคนใหม่หรือไม่ ซึ่งผมได้ปฏิเสธ
พวกเขาถามว่าทําไมผมเอาโทรศัพท์มือถือไปฝากไว้กับเจ้าหน้าที่องค์การสหประชาชาติ ผมก็ตอบไปว่าเพราะอํานาจเบ็ดเสร็จภายใต้ ม.44 ไม่อยู่เหนือสหประชาชาติ คําตอบทําให้บรรดานายทหารยิ่งไม่พอใจ ผมบอกผมยินดีแสดงโทรศัพท์ให้ดูเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจ หากผมต้องโทรฯ ไปหาเจ้าหน้าที่สหประชาชาติผู้นี้เพื่อนําโทรศัพท์มาแสดง พวกทหารถกเถียงกันสักพักแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ทําอะไรต่อ อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่อยากลากยูเอ็นเข้ามาเกี่ยวข้องก็เป็นได้
หลังจากไม่ได้โทรศัพท์ ทหาร คสช. ก็บอกผมว่า คสช. ต้องการตรวจค้นที่พักผม ผมบอกว่าได้ หากทว่าผมต้องมีทนายสิทธิมนุษยชนและเจ้าหน้าที่สหประชาชาติเป็นพยาน พร้อมเจ้าหน้าที่ตํารวจด้วย
“แต่เรามี ม.44” ทหารนายหนึ่งโต้กลับพร้อมบอกว่า คสช. สามารถใช้อํานาจนี้ทําอะไรก็ได้ ผมบอกว่าผมเข้าใจแต่คงไม่สามารถให้ความร่วมได้หากปราศจากทนาย เจ้าหน้าที่ยูเอ็น และตํารวจ
พวกทหารถกเถียงกันเองอย่างเคร่งเครียดอีกสักพักสุดท้ายก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะค้นที่พักผม
‘ขอบคุณ คสช.’?
วันอังคารที่ 15 กันยายน 2558 หลังจากผู้เขียนถูกปิดตานําตัวขึ้นรถตู้อีกชั่วโมงครึ่ง กลับมายังกองทัพภาคที่ 1 นายทหารยศระดับกลางประมาณ 6 นายที่ผมเจอครั้งแรกเมื่อสามวันก่อนก็สวมเครื่องแบบติดยศนั่งรออยู่อย่างเป็นมิตรขึ้น หลังตรวจวัดความดันจากแพทย์ทหารบกเสร็จ ผมก็เดินไปนั่งยังโต๊ะที่มีทหารรออยู่เพื่อเซ็นเอกสารการปล่อยตัว ระหว่างนั้นนายทหารยศประมาณพันเอกนายหนึ่งก็ถามผมว่า “คุณประวิตรไปโพสต์อะไรในเฟซบุ๊กตอน 12.19 น. ของวันนี้หรือ”
ผมงงกับคําถามเพราะผมไม่มีอุปกรณ์สื่อสารใดๆ ติดตัวเลยมาสามวันแล้ว จึงบอกทหารนายนั้นไปว่าน่าจะมีคนแอบอ้างเป็นผม หรือไม่ก็เป็นผู้อื่น
ทหารนายนั้นจึงอ่านข้อความในเฟซบุ๊กที่อ้างว่าผมเขียนให้ทุกคนฟัง: “ผมขอขอบคุณ คสช.... และของดวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเมืองเศรษฐกิจ...”
ผมบอกว่านั่นไม่ใช่ผมเด็ดขาด มีใครแอบอ้างผมหรือเปล่า นายพันคนนั้นจึงเพ่งดูมือถืออีกทีก่อนบอกว่าเป็นของคุณพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานจากพรรคเพื่อไทย [4] ที่ถูกเรียกมาปรับทัศนคติและถูกปล่อยก่อนผมไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง แล้วนายพันผู้นั้นก็อุทานขึ้นด้วยน้ำเสียงอันพึงพอใจว่า “ได้ผล!”
‘เงื่อนไขแนบท้ายการปล่อยตัว’
ก่อนปล่อยตัวจากห้องขังที่มองไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนและติดต่อใครมิได้ ผมต้องเซ็นเอกสารที่มีข้อความว่า
ข้าพเจ้าได้รับการดูแลเป็นอย่างดี มิได้ถูกทําร้าย หรือมิได้ถูกใช้กําลังบังคับ ขู่เข็ญ หลอกลวง ทรมาน ให้คําสัญญา หรือกระทํา โดยมิชอบด้วยประการใดๆ และทรัพย์สินต่างๆ ที่ข้าพเจ้านําติดตัวมาในระหว่างถูกกักตัวไว้นั้น ข้าพเจ้าได้รับคืนครบถ้วนทั้งหมดแล้ว ซึ่งข้าพเจ้าได้มอบชื่อบุคคลและเบอร์ติดต่อเพื่อติดตามตัวข้าพเจ้าในกรณีต่างๆ ดังนี้...
หน้าสองของเอกสารยังได้ระบุเงื่อนไขสามข้อที่ ‘ขอให้ปฏิบัติตาม’ ว่า
1. ข้าพเจ้าพักอาศัยอยู่บ้านเลขที่... และข้าพเจ้าจะไม่เดินทางออกนอกราชอาณาจักรเว้นแต่ได้รับอนุมัติจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
2. ข้าพเจ้าจะละเว้นการเคลื่อนไหวหรือประชุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ
3.หากข้าพเจ้าฝ่าฝืนเงื่อนไขดังกล่าวหรือดําเนินการช่วยเหลือสนับสนุนกิจกรรมทางการเมือง ข้าพเจ้ายินยอมที่จะถูกดําเนินคดีทันที และยินยอมถูกระงับธุรกรรมทางการเงิน
สตอกโฮล์มซินโดรม [5] ระยะเริ่มแรก
พอผ่านเรื่องความเข้าใจผิดว่าใครเป็นผู้โพสต์ในเฟซบุ๊กกันแน่ บรรดาทหารแจ้งผมว่าอีกสักพักนายของพวกเขาจะมา นายที่ว่านั้นคือ พลเอก อัศวิน แจ่มสุวรรณ หัวหน้าสํานักงานแม่ทัพภาคที่ 1 ผู้ซึ่งผมเคยพบมาแล้วสองครั้งเมื่อกว่า 10 เดือนก่อนหน้านี้ ตอนที่ยังมียศพลโท เพื่อเตือนผมให้ระมัดระวังเรื่องการแสดงความเห็นเกี่ยวกับ ม.112 และสถาบันกษัตริย์ โดยการพบสองครั้งนั้นเป็นการพบนอกสถานที่ของทหาร ครั้งแรกที่ร้านกาแฟสตาร์บัคส์สาขา The Nine ครั้งสองที่ห้องอาหารโรมแรมของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตซึ่งเป็นสถานที่ที่มีบรรยากาศดีกว่าในค่ายทหารมาก
อีกทั้งพลเอกอัศวินยังดูมีการศึกษา พูดภาษาอังกฤษได้ดีพอสมควร แถมแกไม่เคยทําหน้าบึ้ง ไม่พอใจหรือไม่สุภาพใส่ผม ตอนผมพบสองครั้งแรกนายทหารชั้นผู้ใหญ่ผู้นี้ก็มิได้สวมชุดทหารหรือมีลูกน้องพร้อมอาวุธตามมาเป็นพรวน มันมีอะไรบางอย่างในตัวแกที่ทําให้ผมระลึกถึง อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ผู้ซึ่งผมเคารพรักและนับถือจนเพื่อนบางคนล้อว่าสุลักษณ์เปรียบเสมือนพ่อผม (ขอถือโอกาสตรงนี้ขอบคุณ อ.สุลักษณ์และทุกท่านที่ได้ออกมาเรียกร้องให้ปล่อยตัวผมในรอบสองโดยทันที)
สักพักพลเอกอัศวินก็เดินเข้ามาในห้อง และผมก็ลุกเดินไปไหว้และจับมือนายทหารชราที่หน้าตายิ้มแย้มเป็นมิตร (บรรดาลูกน้องของพลเอกอัศวินคงงงว่าทําไมชื่นมื่นเหลือเกิน)
พลเอกอัศวินทักว่าผมดูอ่อนวัยลง ผมแสดงความยินดีที่พลเอกอัศวินได้เลื่อนยศจากพลโทเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา แล้วเขาก็บอกผมว่า
“ตอนนี้นักข่าวไปรอที่ศาลทหารแล้ว ตอนแรกว่าจะฟ้อง [ม.116] ทั้งสามคน [6] [รวมถึงผมที่ถูกควบคุมตัวรอบนี้] แต่กรรมการกลางเปลี่ยนใจนาทีสุดท้าย เราเป็นคนไทยด้วยกัน เอาเป็นว่าครั้งนี้เราไม่ให้ใบแดงแต่ให้ใบชมพู แต่ถ้าทําอีกก็จะดําเนินคดีไปเลย”
ผมถามว่าอายุความคดีนี้กี่ปี นายพันผู้หนึ่งตอบว่า 15 ปี
“15 ปี? ไม่รู้ตอนนั้น คสช.ไปอยู่ไหนแล้ว” ผมเอ่ย
พลเอกอัศวินยังได้เอ่ยถึงสถานที่สองที่และถามว่าผมมีบ้านอยู่แถวนั้นหรือมีกิ๊ก? ผมจึงทราบว่าทาง คสช.ได้ติดตามสัญญาณ GPS ของโทรศัพท์ผมเพื่อดูว่าผมอยู่ที่ใดบ้าง
พลเอกอัศวินย้ำกับผมว่าคงห้ามผมวิจารณ์คสช. ไม่ได้ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ขอตัวและบอกกับผมว่า “ผมหวังว่าเราคงไม่ต้องพบกันอีก”
ป.ล. หลังจากประวิตรได้รับการปล่อยตัวในวันที่ 15 กันยายน 2558 เขาก็ได้ตัดสินใจลาออกจากหนังสือพิมพ์ The Nation ที่ที่เขาทํางานมา 23 ปี หลังจากผู้บริหารเรียกเข้าพบและขอให้ช่วยลาออกเพื่อลดแรงกดดันจากทั้งภายในและภายนอกบริษัท
.....
หมายเหตุ ตีพิมพ์ครั้งแรกใน วารสารฟ้าเดียวกัน ปีที่ 13 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม 2558
[1] ผู้เขียนเคยถูกเรียกไปรายงานตัวและถูกคุมขังในค่ายทหารระหว่างวันที่ 25-31 พฤษภาคม 2557 หรือ 3 วันหลังรัฐประหาร ดู ประวิตร โรจนพฤกษ์, “ประสบการณ์กักตัวแบบบิ๊กบราเธอร์ทหารยุค 2014,” บล็อกเส้นเดินทางตัวอักษร, 4 มิถุนายน 2557, http://blogazine.pub/blogs/pravit/post/4815.
เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2558 ดังนี้
ห้อง 4 คูณ 4 เมตร A 4×4 metre room.
ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน With no daylight or sky to see.
มี CCTV เพ่งฉันตลอด There was a CCTV starling at me.
แต่ไม่มีอากาศถ่ายเท But little air ventilation.
ฉันถูกคุมขังอยู่ 2 คืน I was locked up inside for two nights
เพียงเพราะตั้งคําถามเรื่อง For merely questioning
ความชอบธรรมของเผด็จการทหาร the legitimacy of the Thai junta leader.
ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน With no daylight or sky to see.
มี CCTV เพ่งฉันตลอด There was a CCTV starling at me.
แต่ไม่มีอากาศถ่ายเท But little air ventilation.
ฉันถูกคุมขังอยู่ 2 คืน I was locked up inside for two nights
เพียงเพราะตั้งคําถามเรื่อง For merely questioning
ความชอบธรรมของเผด็จการทหาร the legitimacy of the Thai junta leader.
[3] ดูปฏิกิริยาจากองค์สื่อต่างๆที่ “สมาคมสื่อไทย-เทศ เรียกร้องปล่อยตัว ‘ประวิตร’ ทันที,” ประชาไท, 24 กันยาน 2558, http://www.prachatai.com/journal/2015/09/61388.
[4] ข้อความฉบับเต็มของคุณพิชัย นริพทะพันธุ์ ที่เผยแพร่ทางเฟซบุ๊กส่วนตัว (ชื่อ Pichai Naripthaphan) เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2558 เวลา 14.42 น. คือ
เพื่อไม่ให้ทุกท่านเป็นห่วง ผมขอเรียนว่าผมได้รับการปล่อยตัวออกมาแล้ว ตั้งแต่หลังเที่ยงขอขอบคุณพี่น้องสื่อมวลชนทุกท่านที่กรุณาเสนอข่าวตลอดเวลาที่ผมถูกคุมตัว ผมขอขอบคุณท่านจาตุรนต์ ท่านภูมิธรรม ท่านสุรพงษ์ ท่านกิตติรัตน์ และทุกท่านที่เรียกร้องให้ปล่อยตัวผม รวมถึงฮิวแมนด์ไรซ์วอซ และหน่วยงานอื่นๆโดยในสภาวะการเมืองที่ไม่ปกตินี้ ผมขอไม่ให้สัมภาษณ์ทางเศรษฐกิจและผลของการเมืองที่มีต่อเศรษฐกิจ ผมเชื่อว่าเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ในทุกเรื่องที่ผมได้ให้ข้อคิดไว้ และอีก 10-20 ปี ในอนาคตเราจะสามารถย้อนกลับมามองประวัติศาสตร์ของประเทศไทยในช่วงนี้ได้เป็นอย่างดี และขอให้กําลังใจรัฐบาลให้แก้ไขปัญหาของประเทศได้
[6] อีก 2 คนคือ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพลังงาน พรรคเพื่อไทย และนายการุณ โหสกุล อดีตส.ส. เพื่อไทย ดู “คสช.ให้โอกาส ‘พิชัย-เก่ง’ รอดศาลทหาร เนชั่นยื่นขอปล่อย ‘ประวิตร’,” ไทยโพสต์ออนไลน์, 15 กันยายน 2558, www.thaipost.net/?q=คสชให้โอกาสพิชัย-เก่งรอดศาลทหาร-เนชั่นยื่นขอปล่อยประวิตร.