PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2561

สถานีคิด : บนเรือแป๊ะ

สถานีคิด : บนเรือแป๊ะ


เรือแป๊ะกำลังเดินทางในช่วงท้ายๆ เพื่อนำทุกคนกลับไปสู่ชีวิตปกติ
ดูเหมือนทุกคนเข้าใจตรงกันว่า จะอยู่ในความ “ไม่ปกติ” อย่างนี้่ไปเรื่อยๆ ไม่ได้
จะชอบหรือไม่ชอบ ต้องกลับไปสู่ภาวะปกติ จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง
หลายคนชอบบรรยากาศบ้านเมือง 4 ปีเศษๆ นี้ ด้วยเหตุผลว่า สงบเรียบร้อยดี ไม่มีม็อบ ไม่มีคนต่างสีออกมาทะเลาะกัน
เป็นการมองเฉพาะปรากฏการณ์ ไม่ได้มองลงไปใต้พื้นผิวว่า ความสงบเรียบร้อยนี้ มี “ค่าใช้จ่าย” อย่างไรบ้าง และคนจ่ายเต็มใจจ่ายหรือไม่
ยังมีพวกที่ได้ประโยชน์สูงสุด สนุกสนานเพลิดเพลินกับกิจกรรมต่างๆ บนเรือแป๊ะ ได้อยู่ใน “โครงสร้าง” ของอำนาจปัจจุบัน ก็ไม่แปลกที่พยายาม “ยื้อ” ไม่อยากกลับไปยังจุดที่ตนเองอาจสูญเสียอำนาจหรือบทบาทหน้าที่
ก็เลยสร้างขั้นตอนต่างๆ ขึ้นมา เพื่อให้ “โรดแมป” ทอดยาวออกไปอีก จากระยะทางจริงไม่เท่าไหร่
การโละผู้ตรวจเลือกตั้งในขณะนี้ ก็ถูกวิจารณ์ว่าเป็นส่วนหนึ่งของเจตนาดังกล่าว
แต่เมื่องานเลี้ยงรอบนี้ จำเป็นจะต้องเลิกราเข้าจนได้ในวันหนึ่ง จึงมีความพยายามจะนำเอาระบบต่างๆ บนเรือแป๊ะไปใช้ต่อเมื่อกลับสู่ชีวิตปกติ
การกลับไปสู่วิถีทางปกติ ต้องยอมรับว่า มาตรฐานของการอยู่ร่วมกันจะเป็นอีกแบบ ซึ่งที่จริงไม่ได้แปลกใหม่อะไร เพราะเราเคยอยู่กันอย่างนั้นมาก่อน
เป็นสภาพที่มีสิทธิ มีเสรีภาพ มีความเปิดกว้างมากกว่านี้

เปิดรัฐธรรมนูญดู จะเห็นว่า คนไทยเรามีสิทธิเสรีภาพต่างๆ เหมือนชาวโลกทุกประการ
แต่ที่ไม่เหมือนคือ สิทธิเสรีภาพต่างๆ นี้ ถูกระงับไว้ ด้วยกฎหมาย ระเบียบพิเศษต่างๆ
เหตุที่ระงับ ก็ด้วยเหตุผลว่า เพื่อความสงบเรียบร้อย ความมั่นคง ของบ้านเมือง
จุดนี้ ต้องถือว่า วิธีคิดเรื่องความสงบเรียบร้อยและความมั่นคง เป็นคนละมาตรฐานกับชาวโลก ที่ความสงบเรียบร้อย ความมั่นคง ไปด้วยกันได้กับการมีสิทธิเสรีภาพ
รัฐมีหน้าที่ดูแลให้คนที่เห็นต่างกัน อยู่ร่วมกันได้ภายใต้กฎหมาย ไม่ใช่ถามว่า “คนไทยรึเปล่า” แล้วไล่คนเห็นต่างออกจากประเทศไป
อยู่ในระบบที่มีการตรวจสอบโดยเสมอหน้า ไม่ใช่เว้นให้กลุ่มหนึ่ง แต่ขยิกๆ ใส่คนอีกกลุ่มหนึ่ง
นี่คือ “มาตรฐาน” ที่ต้องยอมรับกัน
มาตรฐานนี้ ที่จริงมีรัฐธรรมนูญ มีปฏิญญาสิทธิมนุษยชน มีกฎหมายต่างๆ รับรองไว้หมด
ไม่ง่ายที่ทุกฝ่ายจะยอมรับปฏิบัติตามมาตรฐานนี้ แต่นี่คือทิศทางที่ปฏิเสธไม่ได้ของบ้านเมือง
เรือแป๊ะเลิกลอยวน ถึงที่หมายเมื่อไหร่ เสียงทวงถามคงจะดังกว่านี้
วรศักดิ์ ประยูรศุข

มิติ 'ข้าราชการกับการเมือง'

มิติ 'ข้าราชการกับการเมือง'


      เมื่อวาน (๘ ส.ค.๖๑)
      ดูรายการ คสช.ที่ชาวบ้านกระแซะกันว่าเป็นรายการ
      "พักนอนตอน ๖ โมงเย็น"
      ความจริง เปิดโทรทัศน์แช่ไว้ทุกเย็น ถึงตาไม่ได้ดู แต่หูเงี่ยฟังตลอด สนใจตอนไหน หูก็ดึงตามาจ้องซะที
      เมื่อวานสนใจ หูกับตาสมานฉันท์
      เพราะ "ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี" นางฉัตรพร ราษฎร์ดุษดี กับ "นายทองเปลว กองจันทร์"  อธิบดีกรมชลประทาน มาทำความเข้าใจ........
      เรื่องน้ำล้นสปิลเวย์เขื่อนแก่งกระจาน คือสื่อเสนอข่าวอึกทึกครึกโครมด้วยหวังดี
      ถึงขั้นนับถอยหลัง "ชั่วโมงนั้น-ชั่วโมงนี้" จะท่วมเมืองเพชรบุรี
      ทำเอาชาวบ้านตกใจหมดเลย!
      รายการเย็นวาน เหมือน "อาหารเสิร์ฟตอนหิว" จากปกติ พอแหลกล่าย กลายเป็นขอดจาน
      ก็สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นประมาณนั้น เมื่อท่านอธิบดีกรมชลฯ ทำแผนภูมิประกอบการอธิบาย ด้วยเส้นทางการเดินทางของน้ำ
      จากเขื่อนแก่งกระจาน มาถึงเขื่อนเพชร ก็แบ่งสันปันส่วนน้ำ จากเขื่อนเพชรไปลงคลองโน้น-ซอยนี้ 
      ที่เหลือส่วนหนึ่ง ก็ปล่อยไหลไปหล่อตัวเมืองกันมดขึ้นพอสัณฐานประมาณ
      สรุปว่า ถ้าพี่ฟ้า-พี่ฝน ไม่หล่นลงมาผิดปกติ น้ำที่ทางจังหวัดและทางกรมชลฯ จัดแผนงานต้อนรับขับสู้อยู่
      จะไม่ท่วมชนิดจมบ้าน-มิดเมือง
      จะมีก็ ท่วมตามปกติพื้นที่ ล้นขึ้นมาแล้วไหลผ่าน
      ส่วนในตัวเมืองเพชรฯ น้ำจะเอ้อเร้อเอ้อเต่อ รอระบายก็ไม่เกิน ๑๐-๑๕ วัน
      นี่..ท่าน "อธิบดีทองเปลว" วิสัชนา
      ที่ผมชอบใจเป็นพิเศษ ตรงที่ท่านอธิบายถึงความแตกต่างระหว่าง "สปิลเวย์" กับ "สันเขื่อน"
      คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิด ด้วยนึกว่า สปิลเวย์กับสันเขื่อน อันเดียวกัน
      นักข่าวก็เหอะ ฉอดๆ รายงานสดจากพื้นที่ "น้ำล้นสปิลเวย์แล้ว..ท่วมตรงนั้น ตรงนี้แล้ว อีกเท่านั้น เท่านี้ชั่วโมง จะเข้าตัวเมืองแล้ว"
      สื่อความหมายให้ชาวบ้านเข้าใจไปในลักษณะว่า "น้ำล้นสปิลเวย์คือน้ำล้นเขื่อน"
      ซึ่งนั่น นำไปสู่ความหวาดวิตกด้วยจิตเตลิดตามว่า ที่ตามมาจากล้นเขื่อน
      ก็จะเหมือน "เซเปียน-เซน้ำน้อย" น่ะซี!?
      ทุกคนคงรู้จัก "อ่างล้างหน้า" กระมัง แต่ละบ้านยุคนี้ก็ใช้กันมิใช่หรือ 
      บางวัน เผลอ...เปิดน้ำทิ้งไว้
      ไปไหนๆ ทั้งวัน กลับมา อุ๊ยตายหะ...ลืมปิด!
      แต่น้ำไม่เคยล้นอ่างนองห้อง-นองบ้านเลยเห็นมั้ย นั่นเพราะ ที่ตูดอ่างเขาออกแบบมีรูต่อลงท่อระบายน้ำ
      ถึงน้ำระบายจากตูดอ่างไม่ทัน ยังไงๆ น้ำก็ไม่ล้นจากขอบอ่างไหลลงมานอง
      เพราะก่อนถึง "ขอบอ่าง" ซักฝ่ามือ มีซี่ๆ รูๆ เป็นช่องระบายน้ำไว้อีก เมื่อน้ำในอ่างมาถึงตรงนี้ จะไหลลงท่อระบายไปก่อน
      นั่นคือ .......
      น้ำจะไม่ขึ้นมาถึงขอบอ่าง แล้วล้นลงมานองพื้นได้เพราะจะไหลออกทางช่องระบายใต้ขอบอ่างไปก่อน
      คำสปิลเวย์ ก็คือ ช่องทางระบายน้ำ....
      ที่อยู่ต่ำลงไปจาก "สันเขื่อน" เหมือนช่องระบายน้ำของอ่างล้างหน้านั่นเอง
      อธิบดีกรมชลฯ ยกระบบทำงานของอ่างล้างหน้ามาประกอบการอธิบายถึงระบบเขื่อนและสปิลเวย์ให้เห็นภาพอย่างที่ว่านี้
      ต่อจากนี้ เข้าใจกันนะครับ.......
      ถ้าได้ยินคำว่า "น้ำล้นสปิลเวย์" ตกใจได้ แต่ไม่ต้องแตกตื่น
      "ล้นสปิลเวย์" ไม่ใช่ "ล้นสันเขื่อน"
      เพียงแต่น้ำเข้ามามาก ก่อนถึงสันเขื่อน ก็ระบายออกไปก่อนทางช่องระบายที่เรียกสปิลเวย์
      อธิบดีกรมชลฯ ทำความเข้าใจแล้ว ท่านผู้ว่าฯ หญิงคนแรกของเพชรบุรี ก็แจกแจงถึงการรับมือน้ำ
      เป็นการรับมือแบบมีการ "บริหาร-จัดการ" ที่เป็นระบบ สมกับความเป็นแม่เมือง
      สรุปความก็คือ การรับมือวิกฤติน้ำเมืองเพชรฯ ครั้งนี้ ท่านผู้ว่าฯ กับกรมชลฯ ไม่ได้บริหารแบบ ปล่อยให้น้ำลาก แล้วเปะปะตามหลังไปวันๆ
      ทั้งสองเป็น "แกนหลัก" ในฐานะเจ้าของงาน รับรู้และวางแผนบริหาร-จัดการแต่ต้น
      ระดมแผน ระดมคน ระดมเครื่องมือ ประสานหน่วยทหาร-ตำรวจ เป็นขั้น-เป็นตอน
      ก็เลยอย่างที่นายกฯ ประยุทธ์ลงไปดูด้วยตาตัวเองเมื่อวาน คือน้ำน่ะ มันท่วมบ้างแหละ แต่ที่จะท่วมอย่างที่ตีฟองกันไปใหญ่โต
      ด้วยบริหาร-จัดการดีแต่ต้น มันจะไม่ถึงขนาดนั้น!
      พูดกันอีกที........
      ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ "พ่อของเราทั้งแผ่นดิน" พระทรงวางรากฐานไว้ให้
      แก้มลิง คลอง-ซอย ตามพระราชดำริ ทั้งหลายนั่นแหละ
      ทำให้เพชรบุรี "รอด" จากน้ำจมเมือง!
      เมื่อน้ำมา แก้มลิง คลอง ซอย เป็นทางระบายให้น้ำเดินทางไปเที่ยวทะเลได้หลายทาง
      บวกกับทางผู้ว่าฯ ทางกรมชลฯ กับทุกภาคส่วน เอาใจใส่ ไม่เกี่ยงใคร-เกี่ยงมัน ขมีขมันร่วมกันรับมือปัญหา
      ที่จะหนักก็เป็นเบา........
      ชาวบ้านไม่ต้องตูดแช่น้ำนานอย่างตะก่อน!
      สิ่งที่เห็นจากงานนี้ เป็นพฤติกรรม "เปลี่ยนคิด-เปลี่ยนทำ" ของคนในระบบบริหารราชการงานเมือง น่าพินิจ คือ
      "อำนาจ-ตำแหน่ง"
      กับสำนึกด้วยรับผิดชอบใน "หน้าที่" ของข้าราชการ เบ่งบาน ด้วยศักยภาพ "บริหาร-จัดการ" ได้น่าชื่นใจยิ่งขึ้น
      จากเหตุการณ์หมูป่าที่ "ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน"
      แค่ระดับ "ผู้ว่าราชการจังหวัด".........
      อดีตถูกอำนาจบริหารครอบจนมีค่าไม่ต่างเจว็ด ตัวงอเป็นกุ้ง คอยแต่ "คิดตาม-พูดตาม-ทำตาม" นักการเมือง
      แต่ "นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร"
      ได้แสดงให้คนทั้งโลกเห็นถึงศักยภาพระดับผู้ว่าราชการจังหวัดนี่แหละ
      สามารถคุมทัพ "บริหาร-จัดการ" ปัญหาที่ "คนทั้งโลก" ยังต้องยอมสยบ ได้สำเร็จ
      จนโลกอุทาน Incredible!
      นี่คือตัวอย่างที่ต้องคิดสะท้อน คนที่เข้ามาเป็นข้าราชการนั้น ล้วนต้องมีคุณสมบัติทางการศึกษาและสังคมเป็นพื้นฐาน
      และกว่าจะเติบโตถึงระดับผู้อำนวยการ ผู้ว่าราชการ อธิบดี ปลัดกระทรวง
      ร้อยละ ๙๐ ต้องถือว่า เป็น "กำลังแผ่นดิน" ที่ผ่านเคี่ยวกรำมาถึงระดับผู้สามารถนำทัพทางบริหารและปกครองได้แล้ว
      อีก ๑๐% "จับสลากขึ้นมาใหญ่" นั่น ไม่ต้องพูดถึง
      แต่ที่ผ่านมา เพราะคนราชการบางส่วน สยบยอมนักการเมืองเป็นเครื่องมือให้เขาใช้กินเมือง "แลกตำแหน่ง"
      ภาพ "ข้าราชการ" ทรงคุณค่าคู่บ้านเมืองแต่อดีต ในรอบ ๒ ทศวรรษมา
      จึงมีค่า "คนรับใช้" นักการเมือง ในระบบราชการ!
      อย่างกรณีที่เชียงราย ที่เพชรบุรีตอนนี้ ถ้าเป็นยุค "นักการเมืองกินเมือง"
      เป็นไปได้สูง วิกฤติหมูป่าติดถ้ำ ๑๓ หมูป่า ถึงออกมาได้ แต่โลกอาจจะเห็นในสภาพ "หมูยอ"
      หรือกรณีน้ำล้นสปิลเวย์เขื่อนแก่งกระจาน ป่านนี้ อย่างที่โหวกเหวกกันว่า แตกแล้ว..ท่วมแล้ว..จมแล้ว..มิดแล้ว
      อาจจริง!
      เพราะอะไร?
      เพราะ ทั้งที่เชียงรายและที่เพชรบุรี สิ่งแรกที่นักการเมืองเห็น คือ ช่องทางผลาญ "งบกลาง"
      สิ่งที่สอง นักการเมืองเห็น ช่องทางดังทางการเมือง แล้วลงไปเจ้ากี้-เจ้าการเอง ทั้งที่ไม่รู้เรื่อง
      แล้วข้าราชการผู้มีหน้าที่ตรงตามงาน ก็ต้องคอยตามตูด พูดแต่..ดีครับท่าน ใช่ครับท่าน ถูกต้องครับท่าน
      ลงท้าย ฉิบหายแล้วคือชาวบ้าน!
      ส่วนตัว ฯพณฯ เบิกบานกับ "งบกลาง" ส่วนงานที่พัง ราชการรับไป
      ใครเซ็นก็ เข้าคุกบ้าง ถูกด่า-ถูกย้ายประจานบ้าง
      นี่...๒ งาน นี้ เป็นตัวอย่างดีที่ อำนาจบริหาร คือคนเป็นรัฐบาล ไม่ไปก้าวก่ายงานฝ่ายปฏิบัติเขา
      ปล่อยให้ผู้มีอำนาจหน้าที่ตามตำแหน่งบริหาร-จัดการปัญหา ด้วยศักยภาพเขา
      รัฐบาลคอยกำกับอยู่ข้างหลัง คอยส่งกำลังบำรุง และคอยตรวจงานตลอดระยะ อย่างที่นายกฯ ประยุทธ์ทำ
      ข้าราชการก็จะมีกำลังใจ มีโอกาสแสดงฝีมือ เป็นข้าราชการที่ "คิดนำ-ทำนำ-พูดนำ"
      ทางโตประเทศ ที่กลายเป็น "ทางตัน" ในอดีต เพราะอย่างนี้
      ต่อจากนี้ "ทางตัน" ถึง "ทางโต" กันซะทีนะ.

เชียร์เป็นนายกฯตลอดชีวิต

ชิน ซะแล้ว!!! ชาวบ้าน เชียร์เป็นนายกฯ!!
ลงพื้นที่เพชรบุรี คราวนี้....มีชาวบ้านเชียร์ให้เป็นนายกฯไปตลอดชีวิต
“นายกฯบิ๊กตู่“ บอก ไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น ลงพื้นที่ จังหวัดไหน ก็มีแต่ประชาขน เชียร์ให้เป็นนายกฯ
“ชาชิน ซะแล้ว มีแต่ความรู้สึกปกติ แต่ผมไม่เกี่ยวกับนักการเมือง”
ยัน มานี่ไม่เกี่ยวกับการเมือง ที่ต้องพูดก็เพราะสื่อชอบไปย้ำว่าตนลงพื้นที่มาเพื่อการเมือง พวกสื่อชอบหาเรื่องว่าเป็นการเมืองตลอด
“โน้นการเมือง ถ้าจะพูดให้ไปพูดกับนักการเมืองโน้น ผมไม่ใช่นักการเมือง ผมทำงานการเมืองให้ วันนี้ถ้าเป็นนักการเมืองไปไม่ได้ทุกพื้นที่ แต่ผมไปได้ทุกพื้นที่ แล้วผมเป็นนักการเมืองหรือเปล่า วันหน้าใครเป็นนักการเมืองก็ต้องไปให้ทุกพื้นที่เหมือนผมไปก็แล้วกัน”
เมื่อถามว่า ชาวบ้านถามว่าตัดสินใจจะไปอยู่กับพรรคการเมืองไหน พล.อ.ประยุทธ์ ตอบสั้นๆว่า “พัก(พรรค)ผ่อนมั้ง”
เมื่อถามว่า เรื่องนี้นายกฯจะตอบได้เมื่อไหร่ พล.อ.ประยุทธ์ สะบัดหน้า. ก่อนเดินออกจากวงสัมภาษณ์

ตอนนี้ในหัว มีแต่เรื่องน้ำท่วม

ในหัว มีแต่ น้ำ !!
“นายกฯ” โวย นักข่าว ยืนรายงานข่าว ในน้ำ ทั้งๆที่น้ำไม่ท่วม เปรย ตอนนี้ในหัว มีแต่เรื่องน้ำท่วม
“บิ๊กตู่” เปรย ตอนนี้ในหัว มีแต่เรื่องน้ำท่วม เมื่อวานไปเยี่ยมไปดูน้ำท่วมที่เพชรบุรี ไม่อยากให้ทุกคนตื่นตระหนก แต่อยากให้มีการเตรียมตัว รัฐบาลไม่สามารถบอกได้ว่าจะไม่ท่วมร้อย% ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสถานการณ์
"ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง มีมาตรการดูแล แต่ไม่มีการพูดถึง พูดกัน แต่ว่าน้ำล้น อยู่นั่นแหละ สื่อบางสื่อไปยืนถ่ายภาพอยู่ในน้ำ
น้ำมันไม่ท่วม ก็ไปยืนที่น้ำท่วม แล้วก็ถ่ายกันออกมา ผมไม่เข้าใจว่าสื่อแบบนี้ มันคืออะไร เขียนอะไรที่มันเกินไป ผมไม่ได้หมายความว่ามันไม่ท่วมไม่ แต่ อย่าบิดเบือนได้ มั้ย มันไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
ผมเข้าใจว่าเมื่อสื่อเริ่มมา อีกสื่อก็ต้องเขียนให้มากกว่าเดิม ก็จะกลายเป็นข่าวมากไปเรื่อย ๆ เกิดการตื่นตระหนก วุ่นวาย สับสน การทำงานยากลำบากมากขึ้น" นายกฯ กล่าว
ขอความร่วมมือทุกคนช่วยกันรวมทั้งสื่อมวลชนและสังคมโซเชียลมีเดียด้วยเพราะวันนี้ถ้าเรามีข้อมูลที่ไม่ถูกต้องคนที่ชอบบิดเบือนก็จะออกมาชี้นำสังคม ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อประเทศ
ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างเด็ดขาดจึงไม่อยากให้พูดจาให้เกิดความเสียหายขอให้ทุกหน่วยงานเร่งชี้แจงในเรื่องนี้ต่อไปด้วย
ชี้เรา ติดกับดักประชาธิปไตยของเรา จึงต้องคิดใหม่ทำใหม่
แนวคิดไทยนิยมนั้น ไม่ได้ต้องการไปล้มล้างอะไรของใคร แต่ต้องการให้คนไทยนิยมสิ่งที่ดีงาม ความสุขความถูกต้องแต่ไม่ถูกใจทุกคนบางอย่างต้องเลือกระหว่างความถูกต้องกับความถูกใจ
รัฐบาลนี้ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งแต่ทำเพื่อรัฐบาลเลือกตั้งในวันข้างหน้าให้ยึดถือเป็นแนวปฏิบัติต่อไปเชื่อไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาด ไม่ใช่เป็นการสร้างกระแสนิยมให้รัฐบาลนี้

‘แม้ว’ ลั่น อยากเห็นประเทศกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง วอร์ยังไม่จบ ถ้ายังสู้ ก็ยังไม่แพ้

‘แม้ว’ ลั่น อยากเห็นประเทศกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง วอร์ยังไม่จบ ถ้ายังสู้ ก็ยังไม่แพ้


เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มแฟนคลับภาคอีสานได้เดินทางมาพบนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยได้ร่วมรับประทานอาหารจีนที่โรงแรมมาโคโปโล ฮ่องกง โดยแฟนคลับได้นำเค้กมาอวยพรวันเกิดนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ นอกจากนี้ นายทักษิณยังได้แจกหมวกแก๊ปสีขาว-แดง พร้อมลายเซ็น ทั้งนี้ ช่วงหนึ่งนายทักษิณได้กล่าวว่า อยากบอกทุกคนว่า “ขอให้ทุกคนแข็งแรง อยากบอกทุกคนว่าถ้าเราไม่ยอมแพ้ คำว่าแพ้มีได้ 2 กรณี คือ 1.แพ้เพราะตาย กับ 2.แพ้เพราะยอมไปเอง ถ้าเรายังสู้อยู่เราก็จะไม่แพ้ นั่นก็คือมีแต่แบทเทิล ไม่มีวอร์ วอร์มันจะเอนด์ต่อเมื่อทุกอย่างมันจบ แต่สู้กันกี่ยกๆ นี่คือแบทเทิล ซึ่งวอร์ยังไม่จบ เรายังต้องทำต่อไป แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือวอร์เพื่อประชาธิปไตย ตนอายุ 69 ปีแล้ว สิ่งที่อยากเห็น คือ อยากเห็นประเทศไทยกลับมารุ่งเรืองใหม่ และที่สำคัญ คืออยากเห็นศักดิ์ศรีกลับมาสู่คนไทยทุกคนเพราะวันนี้เราถูกลดด้อยศักดิ์ศรีลงไปเยอะ เราเคยอยู่กับระบอบประชาธิปไตยที่ทุกคนมีศักดิ์ศรี มีสิทธิเสรีภาพเท่ากัน แต่วันนี้เราถูกปกครองโดยใครก็ไม่รู้ ที่อยู่ๆ ก็ถือปืนมาปกครองกดขี่พวกเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเรารับไม่ได้ ถึงวันเลือกตั้งเมื่อไหร่จะเป็นวันที่ประชาชนตัดสินว่าตนพูดจริงหรือเปล่า ขอให้ทุกท่านมีกำลังใจเพราะเรายังจะต้องประกอบอาชีพกันต่อไป ไลฟ์มัสต์โกออน”

เสือข้ามห้วย

เสือข้ามห้วย



ที่ประชุม ครม.มีมติแต่งตั้ง นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร กระทรวงการคลังกระโดดค้ำถ่อข้ามห้วยไปเป็นปลัดกระทรวงพลังงานคนใหม่
เสียบแทน นายธรรมยศ ศรีช่วย ปลัดกระทรวงพลังงานคนปัจจุบันที่จะเกษียณอายุราชการสิ้นเดือนกันยายน
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ยอมรับว่ากระทรวงพลังงานได้ติดต่อขอตัว “นายกุลิศ” อธิบดีกรมศุลกากร ให้ข้ามห้วยไปเป็นปลัดกระทรวงพลังงาน เนื่องจากเป็นคนเก่ง โปร่งใส เหมาะสมตรงสเปกร้อยเปอร์เซ็นต์
ทางกระทรวงการคลังจึงรีบห่อผูกโบส่งให้ตามที่ขอมา
นายกุลิศ จึงกลายเป็นเสือข้ามห้วยเรียบร้อยไปอีกราย
“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่าถ้าเป็นยุครัฐบาลเลือกตั้ง การโยกย้ายข้ามห้วยระดับปลัดกระทรวงต้องเป็นเรื่องวุ่นวายใหญ่โตมโหฬาร
ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ โยกย้าย “นายถวิล เปลี่ยนศรี” จากเลขาธิการสภาความมั่นคงไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีคนเดียว
โดนศาลรัฐธรรมนูญเช็กบิลตกเก้าอี้ยกเข่งทั้ง ครม.!!
แต่ในยุค คสช.สามารถโยกย้ายปลัดกระทรวงข้ามห้วยกันอย่างสะดวกโยธิน
ล่าสุด เมื่อต้นเดือนเมษายน รัฐบาลสั่งย้าย “นายสมชัย สัจจพงษ์” ปลัดกระทรวงการคลัง ข้ามห้วยไปเป็นเลขาธิการสภาพัฒน์
และย้าย “นายปรเมธี วิมลศิริ” เลขาธิการสภาพัฒน์ข้ามห้วยไปเป็นปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ
ปรากฏว่า นายสมชัย ใจเด็ดยื่นใบลาออกจากราชการทันที
ถือว่า นายสมชัย เป็นคนแรก ที่กล้าปฏิเสธคำสั่งย้ายข้ามห้วยด้วยการยอมไขก๊อกลาออกเสียเอง
“แม่ลูกจันทร์” ไม่มีเวลาเช็กข้อมูลย้อนหลังว่า ยุครัฐบาล คสช.โยกย้ายปลัดกระทรวงข้ามห้วยไปแล้วกี่คน??
แต่เท่าที่จำได้มีเสือข้ามห้วยหลายรายเช่น...ย้าย นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม จากปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯข้ามห้วยไปเป็นปลัดกระทรวงพลังงาน
ย้าย นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ รอง ปลัดกระทรวงการคลัง ข้ามห้วยไปเป็นปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ
ย้าย นายไมตรี อินทสุต รองปลัดมหาดไทย ข้ามห้วยไปเป็นปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ
ย้าย นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ อธิบดีกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรฯ ข้ามห้วยไปเป็นปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ฯลฯ
เรียกว่าย้ายข้ามห้วยกันระเบิดเถิดเทิง
“แม่ลูกจันทร์” ไม่ได้คัดค้านการโยกย้ายข้ามห้วยสุดลิ่มทิ่มประตู
ถ้ามีความจำเป็นหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ จะย้ายข้ามห้วยนานๆ ครั้งก็ยังโอเค
แต่ก่อนจะย้ายข้ามห้วยทุกครั้ง ควรคิดถึงความรู้สึกของข้าราชการที่ถูกย้ายข้ามห้วย และข้าราชการที่โดนเสือข้ามห้วยแซงคิวด้วยนะคุณ
เช่น นายกุลิศ อธิบดีกรมศุลกากร เป็นลูกหม้อกระทรวงการคลัง
นายกุลิศ ย่อมปรารถนาจะเจริญก้าวหน้าขึ้นเป็นปลัดกระทรวงการคลังมากกว่าเป็นเสือข้ามห้วยไปเป็นปลัดกระทรวงพลังงาน
ส่วนรองปลัดกระทรวง และอธิบดีกรมต่างๆ ซึ่งเป็นลูกหม้อกระทรวงพลังงานย่อมมุ่งหวังจะไต่เต้าขึ้นเป็นปลัดกระทรวงพลังงานเช่นเดียวกัน
เมื่ออยู่ดีๆ มีอธิบดีจากกระทรวงอื่นแซงคิวมาซิวเก้าอี้ปลัดกระทรวงพลังงาน ก็เท่ากับปิดกั้นการเจริญก้าวหน้าของลูกหม้อกระทรวงพลังงานทั้งขบวน
ข้อสำคัญ การอุ้มอธิบดีกระทรวงอื่นสะเวิ้ปมาเป็นปลัดกระทรวงพลังงาน
แสดงว่าคนในกระทรวงพลังงาน ไม่มีใครเหมาะสมที่จะขึ้นเป็นปลัดกระทรวงแม้แต่คนเดียว
โอ้แม่เจ้า...มันน่าน้อยใจซะนี่กระไร.
“แม่ลูกจันทร์”

โฟกัสเฉพาะกลไกหลัก

โฟกัสเฉพาะกลไกหลัก



ร้อนวิชา โชว์ออฟปั่นราคา ลุ้นติดโพย ส.ว.สรรหา
กลัวหลุดขบวน ไม่ได้ไปต่อ
ในเครื่องหมายคำถาม กับจังหวะการขยับของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กลุ่มหนึ่งเคลื่อนไหวเข้าชื่อรื้อ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอโละการสรรหา “ผู้ตรวจการเลือกตั้ง”
อ้าง กกต.ชุดเก่าทิ้งทวนแต่งตั้ง หวั่นไม่เป็นกลางทางการเมือง
แล้วก็เหมือนทุกรอบ ร้อนถึง “ซือแป๋” นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ต้องออกมา “ตบกะโหลก” สนช.จุ้นเรื่องของคนอื่นทำไม ในเมื่อนี่มันเป็นมือไม้ของ กกต.
ออกแนวขัดลำกันเองซ้ำๆซากๆในหมู่กลไก คสช.
ที่แน่ๆฝ่ายปฏิบัติอย่าง พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. ก็ยืนยันชัด ถ้าล้มการสรรหา “ผู้ตรวจการเลือกตั้ง” จะส่งผลกระทบต่อการเลือกสมาชิกวุฒิสภา
อาจเกิดการทุจริตหรือฮั้วในการเลือก ส.ว.
โดยสถานการณ์ที่ส่อจะก่อปัญหาตรงหน้าเห็นๆ มากกว่าป้องกันปัญหาที่อ้างกันข้างๆคูๆ มันก็แปลกที่พฤติการณ์ของ สนช.ที่จ่อกระตุกปัจจัยแทรกต่อเวลาโรดแม็ป
จะไหลเข้าเหลี่ยมฝ่ายนักการเมืองที่จ้องจับผิด แห่กระแสประจานเกมยื้อ
เหมาเป็นเล่ห์เหลี่ยม คสช.เลื่อนเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตาม ถ้ามองทางตรงไปสู่เป้าหมาย ไม่วอกแวกกับสองข้างทาง
โฟกัสจากมติที่ประชุม ครม.นัดล่าสุด ที่มีการจัดทัพบิ๊กข้าราชการในหน่วยสำคัญของกระทรวงเศรษฐกิจ โดยมืองานที่ทำงานเข้าตานายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ ได้โยกเข้าไปอยู่ในจุดสำคัญ กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน
เป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนการเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจในภาพรวมที่เทกออฟติดลมบนแล้ว
แนวโน้มยังเร่งเครื่องให้ไต่เพดานบินสูงขึ้นไปอีก
ตามโจทย์ที่นายสมคิดสั่งการในที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ให้เตรียมพร้อมกับภารกิจดึงดูดนักลงทุนจีน ญี่ปุ่น เกาหลี สหรัฐอเมริกา ยุโรป เข้ามาลงทุนในเมกะโปรเจกต์ โครงการระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (อีอีซี) ที่จะเป็นศูนย์กลางเชื่อมยุทธศาสตร์ความร่วมมือเศรษฐกิจในภูมิภาค
เดินหมากวางเกมยาวพัฒนาเศรษฐกิจตามแผนยุทธศาสตร์ประเทศไทย
เน้นตัวเลขบูมเศรษฐกิจเป็นจุดขาย พร้อมๆกับการเร่งเครื่องอัดฉีดเศรษฐกิจฐานราก
ในจังหวะที่นายสมคิด “กดปุ่ม” ปล่อยสารพัดมาตรการทั้งอัดฉีดงบฯ 9.7 หมื่นล้านบาท อุดหนุนมาตรการดูแลข้าวปี 2561/62 ดันตัวเลขข้าวหอมมะลิขึ้นไปอยู่ที่ตันละกว่า 17,000 บาท อนุมัติงบฯ 1.6 หมื่นล้านบาท ชดเชยดอกเบี้ยโครงการพักชำระหนี้เกษตรกร 3 ปี เพิ่มสิทธิผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ใช้สิทธิ 30 บาทรักษาทุกโรคฟรี ตั้งแต่เดือนกันยายนนี้ ฯลฯ
ภายใต้ยี่ห้อ “ประชารัฐ” ย้ำจนติดหูติดตาชาวบ้าน
สถานการณ์เนียนๆระหว่างบริหารปากท้องควบยุทธศาสตร์การตลาดตุนแต้มคะแนนนิยม
อารมณ์เข้าสู่โหมดเลือกตั้งโดยธรรมชาติ
และนั่นก็เชื่อมโยงกันอย่างไม่น่าบังเอิญ กับช็อตที่ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ได้ส่งซิกเป็นนัยแฝงความมั่นใจในการตอบปม “จาการ์ตาโพสต์” ดักทางขวางลำผู้นำทหารไทยนั่งประธานอาเซียน
ย้ำชัดถ้อยชัดคำ การประชุมอาเซียนจะเกิดหลังเลือกตั้ง ยังไม่รู้ว่าใครจะเป็นรัฐบาล เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งกังวลว่าตัวเองจะเป็นประธานอาเซียน
ตามปฏิทินที่ก้ำกึ่งกันพอดี การประชุมอาเซียนจะเกิดขึ้นในปีหน้า 2562 กับกำหนดเลือกตั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้ล็อกปฏิทินโรดแม็ปคือเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า
ต่อเนื่องกับช็อต “นายกฯลุงตู่” ส่งสัญญาณภายหลังการประชุม คสช. เตรียมปลดล็อกอะไรต่างๆ
สอดคล้องกับคิวที่ “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะเลขาธิการ คสช. บอกเลยว่าเดือนหน้ากันยายนจะรู้ผล เกี่ยวกับมาตรการคลายล็อกการเมืองของ คสช.
ร้อยตามเงื่อนไขสถานการณ์ โฟกัสกลไกหลักๆอย่าง “บิ๊กตู่– สมคิด–บิ๊กเจี๊ยบ”
มองเห็นคูหาเลือกตั้งอยู่ตรงหน้าไม่ไกลแล้ว.
ทีมข่าวการเมือง

'ณัฐวุฒิ'ยอมรับพท.ขาดแม้วไม่ได้ไม่มีทักษิณก็ไม่รู้จะไปอย่างไรในสนามเลือกตั้ง

'ณัฐวุฒิ'ยอมรับสภาพเพื่อไทยขาดแม้วไม่ได้ ชี้ไม่มีทักษิณก็ไม่รู้จะไปอย่างไรในสนามเลือกตั้ง

9 ส.ค.61 - นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ให้สัมภาษณ์พิเศษใน เว็บไซต์ประชาไท ช่วงหนึ่งเขาตอบคำถามที่ว่า " คุณจะปฏิเสธก็ได้ แต่คนภายนอกมอง พรรคเพื่อไทยยังเป็นของคุณทักษิณและตระกูลชินวัตร เมื่อไหร่พรรคเพื่อไทยจะก้าวข้ามคุณทักษิณและตระกูลชินวัตรไปสู่ความเป็นสถาบันเสียที"
โดยนายณัฐวุฒิ ตอบว่าคำว่า ก้าวข้าม มันฟังดูแล้วไม่เป็นบวก เพราะต้องยอมรับคุณูปการของการเป็นนายกฯ ทักษิณ มันสำคัญมากที่ทำให้พรรคเพื่อไทยยังคงอยู่ในใจของประชาชนมาจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้น แทนที่จะบอกว่าก้าวข้ามก็เป็นเพียงว่าแต่ละส่วนจัดวางสถานะหรือบทบาทอย่างเหมาะสม ผมว่าเป็นไปได้มากกว่า
"จะบอกว่าพรรคเพื่อไทยไม่มีทักษิณ ผมก็มองไม่ออกเหมือนกันว่าคุณจะเดินไปยังไงในสนามเลือกตั้ง แต่ถ้าบอกว่ายี่ห้อทักษิณ นโยบายทักษิณ ประชาชนเชื่อใจและเชื่อมั่น ในขณะที่จะไปบอกว่าพรรคเพื่อไทยมีทักษิณอย่างเดียว ไม่มีประชาธิปไตยก็ไม่ได้อีก เพราะฉะนั้นมันอยู่ที่การจะเป็นสถาบันการเมืองของพรรคเพื่อไทยจะจัดวางสิ่งที่มีคุณค่าเหล่านี้อย่างไร ซึ่งส่วนตัวผม ผมคาดหวังว่าจะเห็นในรอบของการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงว่าจะจัดวางสถานะบทบาทกันอย่างไร"
นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่าจะบอกว่าเพื่อไทยไม่ใช่ทักษิณ ผมไม่เห็นด้วยนะครับ คุณจะปฏิเสธสิ่งที่คุณเกิด คุณเติบโตมาได้อย่างไร เพราะถ้าไม่ใช่ไทยรักไทย ไม่ใช่นโยบายที่มีนายกฯ ทักษิณเป็นผู้นำ ผู้บริหาร พรรคไทยรักไทยอาจจะเหลือแต่ชื่อตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ผมจึงไม่เห็นว่าพรรคเพื่อไทยต้องปฏิเสธการดำรงอยู่ของนายกฯ ทักษิณ แต่ขณะเดียวกัน เพื่อการไปสู่ความเป็นสถาบันทางการเมือง จะจัดวางสถานะนี้อย่างไร
"ถ้ามีใครในพรรคเพื่อไทยเสนอจะก้าวข้ามทักษิณ ผมเห็นต่างครับ ผมคิดว่าพรรคการเมืองที่เป็นพรรคใหญ่ที่สุดของประเทศมายาวนานต้องมีมิติทางความคิดที่คมคายและลึกซึ้งกว่านั้น ที่จะจัดวางสิ่งที่มีคุณค่าที่มีอยู่ทั้งหมดให้ลงตัวและเดินไปข้างหน้าทางการเมืองได้ ผมว่านั่นแหละเป็นสิ่งที่แสดงความเหนือชั้นกว่าแค่คิดว่าจะก้าวข้ามหรือไม่ก้าวข้ามทักษิณ"