PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

บิ๊กตู่ ไม่ให้ความสำคัญโหร ไม่อยู่ยาว ขอแค่ ก.ค.ปี60 เพราะ อยู่ไปก็ไลฟบอยย์

บิ๊กตู่ ไม่ให้ความสำคัญโหร ไม่อยู่ยาว ขอแค่ ก.ค.ปี60 เพราะ อยู่ไปก็ไลฟบอยย์

วันที่ 03 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เวลา 17:51:39 น.


http://www.matichon.co.th/online/2015/11/14465478151446547830l.jpg

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงเหตุการณ์ดาวตกและมีโหรออกมาทำนายต่างๆ นานาว่า "ดาวตกก็ตกไปสิ แล้วมีที่ไหนที่จะเป็นดาวขึ้นล่ะ ไม่ต้องสนใจอะไรกันมากหรอกเรื่องนี้ สนใจเรื่องทำความดีกันเถอะว่าทำมากน้อยแค่ไหนอย่างไร ถ้าทำความดีไม่ต้องไปกลัว ตนไม่เชื่อ แต่สื่อก็ชอบรายงานสำหรับตนอะไรที่เขาบอกว่าไม่ดีเตือนมาก็ถือเป็นเรื่องดีจะได้ระมัดระวัง แต่ไม่ใช่ไปสร้างความตื่นตระหนกให้เกิดขึ้นไปทั่ว ตนไม่ได้ดูถูกโหรหรือคนที่ออกมาทำนาย แต่ขอร้องว่าให้มีหลักการกันหน่อย จะเชื่อไสยศาสตร์หรืออะไรสื่อก็มักเชื่อว่าผมเชื่อไสยศาสตร์นี่นั่น ทั้งเรื่องการแต่งตัวก็เขียนกันเป็นตุเป็นตะ"

ส่วนที่นายวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ หรือโหร คมช. ทำนายว่านายกรัฐมนตรีจะดวงดีอยู่ยาว ใครก็ทำอะไรไม่ได้ พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่าถ้าท่านว่าตนจะดวงดีก็ดีไป แต่ถ้าบอกว่าดวงไม่ดีก็ไม่ดี ก็ต้องระวังตัว" เมื่อถามย้ำว่า โหร คมช.ทำนายว่า นายกฯ จะอยู่ในตำแหน่งยาว พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า "ไม่ยาว ไม่สั้นหรอก ก.ค. 60 ก็ไปแล้ว ก็เขาเขียนกฎหมายไว้อย่างนั้น จะไปอะไรอย่างอื่นคงไม่ได้ อยู่ไปก็ไลฟบอยย์"

ผู้สื่อข่าวถามจึงได้ถามว่า ไลฟบอยย์หมายถึงอะไร พลเอกประยุทธ์ กล่าวติดตลกว่า ไลยฟบอยย์คือสบู่อย่างไรเล่า สื่อไม่ใช้สบู่กันหรืออย่างไร เมื่อขอให้อธิบายความหมายที่นายกฯ ระบุว่าอยู่ไปก็ไลฟบอยย์ พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า "อะไรกัน ก็หมายความว่า ทำอะไรก็ไม่สำเร็จมันก็ไลฟบอยย์ไง อาบน้ำฟรีอย่างไรเล่า ศัพท์โบราณเขาก็เรียกกันอย่างนี้นี่แหละ ก็เลยพูดว่า อยู่ไปก็ไลฟบอยย์ จะให้พูดว่า อยู่ไปก็ลักซ์หรือสบู่ยี่ห้ออื่นหรืออย่างไร ประโยคนี้มันเป็นคำพ้อง ซึ่งก็ไม่โบราณเท่าไหร่เป็นคำที่ใช้ในสมัยผมนี่แหละ สำหรับผมอยู่บ้านจำไม่ได้ว่าใช้สบู่ยี่ห้ออะไร เพราะส่วนใหญ่ที่บ้านเขาเป็นคนจัดให้ ความจริงผมตัวหอมอยู่แล้ว ไม่ค่อยได้สนใจอะไรมากมายทำแต่งานและใช้แต่ความคิด คิดแต่เพียงว่าขอให้ทำความดีเท่านั้นก็พอ"

ทั้งนี้ก่อนที่นายกรัฐมนตรี จะเดินทางออกจากห้องแถลงข่าว ผู้สื่อข่าวถามถึงแหวนที่นิ้วชี้ของนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า "ทำไม ก็มันใส่นิ้วอื่นแล้วมันหลวม เลยเอามาใส่นิ้วชี้" จากนั้นนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า "คนไม่ทำความดีใส่อะไรก็ไม่ดี"

สวนยางเฮ! ครม.อนุมัติ1.2หมื่นล้าน ชดเชยต้นทุนผลิต เจ้าของสวนได้900 คนกรีด600 ต่อไร่




นายกรัฐมนตรี เผยที่ประชุม ครม. อนุมัติงบประมาณ 1.2 หมื่นล้าน ชดเชยต้นทุนการผลิตเกษตรกรชาวสวนยาง โดยให้เจ้าของสวน 900 และคนกรีดยาง 600 ต่อไร่

http://www.matichon.co.th/online/2015/11/14465425821446542596l.jpg

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม.มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขออนุมัติงบช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง 1.2 หมื่นล้านบาท โดยชดเชยต้นทุนการผลิต ซึ่งแบ่งให้เจ้าของสวนยาง 900 บาทต่อไร่ และ คนกรีดยาง 600 บาท ต่อไร่ คิดเป็นสัดส่วน 60:40 โดยจะชดเชยให้เกษตรกรที่มีเอกสารสิทธิส่วนผู้ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ คณะกรรมการนโยบายการยางธรรมชาติ จะไปดูแลช่วยเหลือต่อไป 

เช่นเดียวกับเกษตรกรปลูกข้าวโพดที่มีการบุกรุกที่ดินโดยกลุ่มนายทุน และมีปัญหาผลผลิตล้นตลาด จะให้ลดพื้นที่การปลูกรวมถึงชาวนา ที่ขอความร่วมมือให้ปลูกพืชทดแทนชนิดอื่น เช่น ถั่วเหลือง แต่หากฝ่าฝืนรัฐบาลไม่สามารถช่วยเหลือได้ เพราะปริมาณน้ำในเขื่อนหลักปีนี้ เหลือเพียง 4.4 พันล้านลูกบาศก์เมตร ปล่อยน้ำทั้งระบบได้ไม่เกินวันละ 20 - 30 ล้านลูกบาศก์เมตร ดังนั้นจึงต้องขอร้องเกษตรกร ให้เชื่อฟังคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่รัฐ

.นายกฯบิ๊กตู่ ฝากโขน ตัว"หนุมาน" ไปคิดท่า"อย่าพูดมาก ฟังซะบ้าง"

ฮาอีกแล้ว.....นายกฯบิ๊กตู่ ฝากโขน ตัว"หนุมาน" ไปคิดท่า"อย่าพูดมาก ฟังซะบ้าง" มาเต้นให้ดูหน่อย...อิอิ...ไม่รู้ นายกฯ พาดพิงตัวเอง หรือใคร?
นายกฯ บิ๊กตู่ เชิญชวนคนไทย ชมโขน"ศึกอินทรชิต"ตอน"พรหมาศ"เผย สมเด็จพระราชินีฯ ทรงต้องการให้อนุรักษ์โขน แสดง 7พย.-5ธค.ที่ศูนย์วัฒนธรรมฯ สมเด็จพระเทพฯ จะเสด็จทอดพระเนตร 5พย. นายกฯ รับเสด็จ และร่วมชมด้วย บัตรราคา200-1,500 บาท
งานนี้ นายกฯ สั่ง"หนุมาน" ทำท่าต่างๆ ตีลังกา ท่าโศก ร้องไห้ หัวเราะ ก่อนให้ไปคิดท้า "อย่าพูดมาก ฟังให้มาก"....สะกิดคนไทยสนใจดูโขนบ้าง ศึกษาสีแต่ละตัว ท่าเต้นแตกต่าง พระราม สีเขียว พระลักษณ์สีเหลือง

ผบทบ.ระบุ กองทัพภาค1 ศูนย์กลางประเทศ ยันไม่แบ่งข้าง มีข้างเดียวคือ ข้างประเทศไทย

ผบทบ.ระบุ กองทัพภาค1 ศูนย์กลางประเทศ ยันไม่แบ่งข้าง มีข้างเดียวคือ ข้างประเทศไทย
บิ๊กหมู พลเอกธีรชัย นาควานิช ผบทบ.กลับถิ่นเก่าทัพภาค1 ให้มอบนโยบายและโอวาท ผบ.หน่วย ระดับกองพล กรม กองพันของทัพภาค1ขุมกำลังรบหลัก ทบ. ระบุกองทัพภาค1เป็นกำลังหลักของทบ. ในการดูแลภาคกลาง และเป็นศูนย์กลางของประเทศ
เผย เห็นทหารเข้มแข็งแล้วมีความสุข ยันเมื่อกองทัพเข้มแข็ง ประเทศก็จะมั่นคง ขอให้เชื่อมั่นในผู้บังคับบัญชา ทุกระดับชั้น โดยผมจะไม่สั่งการข้ามสายการบังคับบัญชา ยันทหารมีความสำคัญทุกคน ตั้งแต่ ผบช.ไปจนถึง พลทหาร คนสุดท้าย ฝากไปบอกต่อกำลังพลที่ไม่ได้มา ด้วย
ยันคนไทยไม่แบ่งข้าง มีข้างเดียวคือข้างประเทศไทย เราจะทะเลาะเบาะแว้งกันไม่ได้ ฝากทหารลงพื้นที่ทำความเข้าใจ ประชาชน
ยันรัฐบาล กำลังพยายามทำทุกอย่างที่จะบริหารประเทศให้เกิดความเรียบร้อย ซึ่งทหารถือเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจ ดังนั้น กำลังพลต้องสร้างการรับรู้ต่อประชาชนเพื่อให้เห็นถึงเจตนาดีของรัฐบาล

เปล่า...คิดปิดประเทศ

เปล่า...คิดปิดประเทศ
นายกฯบิ๊กตู่ แจง ไม่ได้คิดปิดประเทศ หาว่าผมพูดแล้วทำหุ้นตก ถามตอนก่อน22พค.น่ะ ปิดประเทศมั้ย งบฯเบิกไม่ได้ นักท่องเที่ยวหนี ผมไม่อยากให้กลับไปเป็นแบบนั้นอีก...แจงพูดปิดประเทศ พูดในสภา พูดได้ทุกเรื่อง สื่อเอาออกมาเป็นประเด็นเอง รัฐบาลอื่นพูดแย่กว่าผมอึก เตือน อย่าขี้ตกใจ พูด"ปิดประเทศ"แค่บอกว่า ถ้าเป็นแบบ22พค.อยากปิดก็ปิดไป ถามมันปิดได้มั้ยเล่าฟังดูนะ...ตอนนี้ประเทศปิดอยู่นานแล้ว ปิดด้วยความรู้สึก ปิดด้วยเกลียดชัง ทุจริต ไม่โปร่งใส ผมพยายามจะเปิดอยู่นี่

14 ปี สวรส. ให้ทุนวิจัยไปกว่า 3 พันล้าน ผันจาก สสส.-สปสช.-อื่นๆ กว่า 2 พันล้าน สะพัดสุดช่วงปี48 – 50 ปีละกว่า500 – 600 ล้าน พร้อมเปิดรายชื่อผู้รับทุนทั้งหมด



3 พฤศจิกายน 2015
ที่มาภาพ : http://www.hsri.or.th/people
ที่มาภาพ : http://www.hsri.or.th/people
หลังจากการนำเสนอข้อมูลของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)เกี่ยวกับรายชื่อโครงการและบุคคลที่ได้รับเงินสนับสนุนกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) และโครงการที่ได้รับเงินสนับสนุนจากกลุ่มตระกูล ส.นั้น ปรากฏว่าสอดรับกับข้อมูลจากแหล่งข่าวสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ที่ได้นำส่งข้อมูลรายชื่อโครงการวิจัยและชื่อผู้รับทุนโดยตรงจาก สวรส. ตั้งแต่ปี 2544-2557 อย่างละเอียด ดังนี้ รายชื่อปี 2544รายชื่อปี 2545รายชื่อปี 2546รายชื่อปี 2547รายชื่อปี 2548รายชื่อปี 2549รายชื่อปี 2550รายชื่อปี 2551,รายชื่อปี 2552รายชื่อปี 2553รายชื่อปี 2554รายชื่อปี 2555รายชื่อปี 2556 และรายชื่อปี 2557 ซึ่งเป็นข้อมูลที่สอดรับกับข้อมูลการตรวจสอบของสตง.ในส่วนของแหล่งที่มาของเงิน
จากข้อมูล 14 ปี (2544-2557) สวรส.มีการให้ทุนวิจัยไปแล้วกว่า 3,400 ล้านบาท เป็นเงินจาก สสส./สปสช./อื่นๆ จำนวนกว่า 2,600 ล้านบาท และเป็นเงิน สวรส.ประมาณ 700 ล้านบาท ซึ่งโครงการที่ได้รับเงินทุนวิจัยส่วนหนึ่งมาจากภาคีเครือข่าย
ทั้งนี้ หากดูตัวอย่างจากข้อมูลดังกล่าวในปี 2544 มีผู้ได้รับการสนับสนุนทำงานวิจัยจำนวนมากในวงเงินที่ไม่สูง จากนั้นปี 2545 จำนวนรายที่ได้รับทุนวิจัยเริ่มน้อยลง แต่วงเงินของผู้รับทุนบางรายได้สูงถึง 23 ล้านบาท
ในปี 2547 เริ่มมีโครงการที่รับเงินทุนวิจัยสูงเป็นวงเงิน 108 ล้านบาท เช่น ผู้จัดการงานวิจัยเต็มเวลาแผนงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารแห่งชาติ: ภายใต้งานวิจัยระบบสารสนเทศและข่าวกรองด้านสุขภาพ โดย นพ.พินิจ ฟ้าอำนวยผล (ทั้งที่ สวรส. ได้รับเงินงบประมาณปีละประมาณ 100 ล้านบาท) จากข้อมูลระบุว่าเป็นเงินจาก สวรส. 42.37 ล้านบาท เป็นเงินจาก สสส./สปสช./อื่นๆ จำนวน 66.17 ล้านบาท, โครงการระบบรับ/ส่งและประมวลข้อมูลการรักษาพยาบาลผู้ป่วยในหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยใช้เกณฑ์กลุ่มวินิจฉัยโรคร่วม (DRG) วงเงิน 42.75 ล้านบาท โดย นพ.สุชาติ สรณสถาพร, และในปีเดียวกันนี้ นพ.สุชาติ สรณสถาพร ยังได้รับเงินในโครงการพัฒนาระบบเบิกจ่ายเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการปี2547 อีก 29.97 ล้านบาท, ผู้จัดการโครงการพัฒนาระบบการตรวจสอบการให้บริการรักษาพยาบาลปี 2547 วงเงิน 8.08 ล้านบาท โดย พญ.สาวิตรี เมาฬีกุลไพโรจน์
นอกจากนี้ รายชื่อผู้ได้รับเงินในปี 2547 มีชื่อซ้ำในหลายโครงการ อาทิ พญ.สุพัตรา ศรีวณิชชากร รับเงินไป 5 โครงการ, นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ 5 โครงการ, พญ.สาวิตรี เมาฬีกุลไพโรจน์ 2 โครงการ (ดูตามเอกสารแนบปี 2557) เป็นต้น
สรุปแล้วในปี 2547 สวรส. ให้เงินทำวิจัยรวม 226.92 ล้านบาท เป็นเงินจาก สวรส. 158.36 ล้านบาท เป็นเงินจาก สสส./สปสช./อื่นๆ 68.55 ล้านบาท
ปี 2548 ผู้จัดการโครงการแผนงานศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) 19.64 ล้านบาท เป็นเงินจาก สสส./สปสช./อื่นๆ โดย นพ.บัณฑิต ศรไพศาล, การพัฒนาระบบรับ/ส่งและประมวลข้อมูลการรักษาพยาบาลผู้ป่วยในหลักประกันสุขภาพแห่งชาติโดยใช้เกณฑ์กลุ่มวินิจฉัยโรคร่วม (DRG) ปี 2548 จำนวน 28.5 ล้านบาท โดย นพ.สุชาติ สรณสถาพร (เช่นเดียวกับปี 2547), ผู้จัดการแผนงานการสร้างเสริมสุขภาพคนพิการในสังคมไทย 90.18 ล้านบาท โดย พญ.วัชรา ริ้วไพฑูรย์ และรายชื่อผู้รับทุนวิจัยก็ซ้ำๆ กับปี 2547 (ดูรายละเอียดเอกสารแนบปี 2548) ซึ่งในปี 2548 วงเงินให้ทุนวิจัย 239.28 ล้านบาท เป็นเงิน สวรส. 31.69 ล้านบาท จากหน่วยงาน สสส./สปสช./อื่นๆ 198.64 ล้านบาท
ในปี 2549 สวรส. ให้เงินทุนทำวิจัยรวม 664.77 ล้านบาท มาจากเงิน สวรส. 126.61 ล้านบาท จาก สสส./สปสช./อื่นๆ 538.16 ล้านบาท มีรายชื่อผู้รับทุนทำวิจัยเพียง 18 รายและมีชื่อซ้ำๆ กัน อาทิ พญ.สุพัตรา ศรีวณิชชากร รับไปกว่า 149 ล้านบาท นพ.โกมาตร จังเสถียรทรัพย์ 3 โครงการ,นพ.พินิจ ฟ้าอำนวยผล รับไป 196.4 ล้านบาท เป็นต้น (ดูเอกสารปี 2549 ประกอบ)
ปี 2550 วงเงินให้ทุนวิจัยรวม 574 ล้านบาท เป็นเงิน สวรส. 35.17 ล้านบาท เป็นเงินจาก สสส./สปสช./อื่นๆ 539.32 ล้านบาท (ดูเอกสารปี 2550 ประกอบ)

มาตรา116 ปลุกปั่นยุยง

ความผิดฐาน “ยุยงปลุกปั่น” ตามป.อาญา มาตรา 116 ในยุคคสช.
“มาตรา ๑๑๖ ผู้ใดกระทำให้ปรากฎแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันไม่ใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือไม่ใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต
(1) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจ หรือใช้กำลังประทุษร้าย
(2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ
(3) เพื่อให้ประชาชน ล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี”
หลังรัฐประหารในปี 2557 ข้อหา"ยุยงปลุกปั่น" ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ถูกใช้มากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ที่ถูกตั้งข้อหา มักเป็นผู้ที่แสดงความคิดเห็นทางการเมืองในทางตรงข้ามกับรัฐบาลหรือคสช. โดยมีลักษณะการกระทำที่แตกต่างกันไป เช่น
- ลงข่าวคนชุมนุมทางการเมืองผิดวัน
ชัชวาลย์ (http://freedom.ilaw.or.th/th/case/664) นักข่าวอิสระจากจังหวัดลำพูน ถูกดำเนินคดีเพราะรายงานข่าวการชุมนุมต่อต้านการรัฐประหารผิดวัน จากวันที่ 26 พฤษภาคม 2557 เป็นวันที่ 1 มิถุนายน 2557 ต่อมาศาลทหารจังหวัดเชียงใหม่พิพากษายกฟ้อง เนื่องจากจำเลยเพียงนำเสนอข่าวเหตุการณ์ประจำวัน และโจทก์ไม่อาจนำสืบจนสิ้นสงสัยได้ว่า จำเลยมีเจตนาสร้างความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน
- ติดป้ายประชดขอแยกประเทศล้านนา
ชาวเชียงราย 3 คน ได้แก่ ออด ถนอมศรี และสุขสยาม (http://freedom.ilaw.or.th/th/case/638) ถูกจับเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2557 และถูกดำเนินคดี จากการติดป้ายซึ่งเขียนข้อความขอแบ่งแยกประเทศล้านนา ต่อมาจำเลยทั้งสามถูกตัดสินจำคุกคนละ 4 ปี แต่ศาลลดโทษให้ 1 ใน 4 เหลือจำคุก 3 ปีเพราะจำเลยให้การเป็นประโยชน์ และให้รอการลงโทษไว้ 5 ปี
-โพสต์เฟซบุ๊กให้คนออกมาชุมนุม
สมบัติ บุญงามอนงค์ (http://freedom.ilaw.or.th/th/case/604) ถูกจับเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2557 หลังคสช.มีคำสั่งเรียกรายงานตัวแล้วไม่ยอมปฏิบัติตาม ก่อนถูกจับกุม สมบัติโพสต์เฟซบุ๊กและทวิตเตอร์เชิญชวนประชาชนออกมาชุมนุมต่อต้าน คสช.จนถูกดำเนินคดี 116 เพิ่ม ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาที่ศาลทหารกรุงเทพ
-โปรยใบปลิวที่มีคำว่า เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ
สิทธิทัศน์ และวชิร (http://freedom.ilaw.or.th/th/case/644) ถูกดำเนินคดีจากการโปรยใบปลิว ที่มีข้อความต่อต้านคสช. ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย นอกจากนี้ก็มีพลวัฒน์ (http://freedom.ilaw.or.th/th/case/659) ที่ถูกดำเนินคดีจากการโปรยใบปลิวต่อต้านคสช. 4 จุดในอ.เมือง จ.ระยอง
- โพสต์เฟซบุ๊กหมิ่นประมาทนายกรัฐมนตรี
รินดา(http://freedom.ilaw.or.th/th/case/682) ถูกดำเนินคดีจากการโพสต์เฟซบุ๊กกล่าวหาว่า พล.อ.ประยุทธ์ โอนเงินหมื่นล้านไปสิงคโปร์ ปัจจุบันคดีอยู่ในชั้นพิจารณาของศาลทหารกรุงเทพ
- เดินเท้าไปศาล
พันธ์ศักดิ์ (http://freedom.ilaw.or.th/case/662) หนึ่งในสี่ผู้ต้องหาคดี "เลือกตั้งที่(รัก)ลัก" (http://freedom.ilaw.or.th/th/case/658) ถูกดำเนินคดีเพิ่มเติม จากการทำกิจกรรม “พลเมืองรุกเดิน” กิจกรรมเดินเท้าไปศาลทหาร เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ระหว่างวันที่ 14-16 มีนาคม 2558 ปัจจุบันคดีอยู่ในชั้นพิจารณาของศาลทหารกรุงเทพ ซึ่งศาลนัดสอบคำให้การวันที่ 5 พฤศจิกายน 2558
- มอบดอกไม้ให้นักกิจกรรม "พลเมืองรุกเดิน"
ล่าสุด ปรีชา ชายวัย 77 ถูกดำเนินคดีจากการมอบช่อให้ พันธ์ศักดิ์ ซึ่งเดินรณรงค์เรียกร้องไม่ให้พลเรือนขึ้นศาลทหาร
วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความและเลขาธิการ กลุ่มนักกฎหมายอาสาเพื่อสิทธิมนุษยชน (กนส.) กล่าวกับเว็บไซต์ประชาไทในวันที่ 26 ตุลาคม 2558 ว่า เหตุแห่งคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2558 ปรีชา ซึ่งเป็นข้าราชการบำนาญ ไปสังเกตการณ์พันธ์ศักดิ์ที่กำลังเดินเท้ารณรงค์ให้ยุติการนำพลเรือนขึ้นศาลทหาร
ต่อมาเมื่อพันธ์ศักดิ์ เดินมาถึงบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มีคนนำดอกไม้ไปให้พันธ์ศักดิ์ พร้อมกับเชิญชวนให้ปรีชาซึ่งยืนสังเกตการณ์อยู่ให้นำดอกไม้ไปมอบให้พันธ์ศักดิ์ด้วย ปรีชาจึงนำดอกไม้ไปมอบให้พันธ์ศักดิ์ เมื่อพันธ์ศักดิ์ออกเดินต่อไปยังมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปรีชาก็ตามไปสังเกตการณ์ต่อ
หลังกิจกรรมในวันนั้น ปรีชายังใช้ชีวิตตามปกติ จนมาถูกจับกุมขณะที่กำลังผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเพื่อข้ามไปเที่ยวฝั่งลาว เพราะมีหมายจับในฐานข้อมูลของเจ้าหน้าที่ ในวันที่ 25 ตุลาคม 2558 ปรีชาถูกนำตัวมายัง สน.ชนะสงคราม ซึ่งรับผิดชอบท้องที่เกิดเหตุ และถูกควบคุมตัวไว้ 1 คืน ก่อนที่จะถูกส่งตัวไปศาลทหารกรุงเทพเพื่อขออำนาจฝากขังในวันต่อมา
ศาลอนุญาตให้ฝากขังปรีชาในวันที่ 26 ตุลาคม 2558 ทนายจาก กนส. ยื่นคำร้องขอประกันตัวซึ่งศาลทหารอนุญาตให้ปล่อยตัวปรีชาโดยตีราคาประกัน 150,000 บาท นอกจากจะถูกดำเนินคดีตามมาตรา 116 แล้ว ปรีชายังถูกตั้งข้อกล่าวหาร่วมชุมนุมเกิน 5 คน ด้วย
(http://www.prachatai.com/journal/2015/10/62115)
ตั้งแต่การรัฐประหาร พฤษภาคม 2557 มีผู้ถูกตั้งข้อหา/ดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 แล้วอย่างน้อย 26 คน

ดูรายละเอียดตารางการตั้งข้อหาทั้งหมด --->http://freedom.ilaw.or.th/politically-charged

จากยุคฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาปมาถึง ถ้าพระตาย1รูปเผา1มัสยิด..?เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไงประเทศไทย

พระมหาอภิชาติลั่นหมดเวลาปรานีชายแดนใต้ ผุดไอเดีย “ถ้าพระตาย 1 รูป ก็ให้เผา 1มัสยิด”

   
2609
SHARE 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 29 ต.ค. 58 เวลา 19.48 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กบัญชีชื่อ “พระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโท วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม” ของ พระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโท หัวหน้าพระวิทยากรประจำพระอารามหลวง วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม โพสต์ภาพพร้อมข้อความในลักษณะสาธารณะเพื่อแนะนำให้ชาวพุทธตอบโต้ต่อการกระทำ ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ โดยระบุว่าหมดเวลาแล้วที่ชาวพุทธจะใช้คำว่า “เมตตาปรานี” พร้อมเสนอว่า ถ้าพระใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ถูกระเบิดหรือถูกยิงตาย 1 รูป ด้วยน้ำมือของโจรก่อการร้ายมลายู ต้องแลกกับการไปเผามัสยิดทิ้งไป 1 มัสยิด โดยเริ่มจากภาคเหนือลงมาเรื่อยๆ21972323734_0d91ac9d5f
พระมหาอภิชาติ กล่าวว่า มันถึงเวลาแล้วที่รัฐจะต้องติดอาวุธให้กับชาวพุทธในภาคใต้ ไม่ใช่ให้ชาวพุทธหรือพระสงฆ์ต้องถูกฆ่าหรือถูกวางระเบิดตายวันละคนโดยที่พวก เขาไม่สามารถจะปกป้องตัวเองได้เลย เพราะรัฐบังคับใช้กฎหมายการพกอาวุธที่เคร่งครัดเกินไปสำหรับชาวพุทธใน พื้นที่จนพวกเขาไร้วิธีที่จะตอบโต้กับโจรมลายูพวกนั้น
ที่ผ่านมารัฐปล่อยให้ชาวพุทธถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียวมาเป็น 10 ปีแล้ว มันหมดเวลาแล้วที่ชาวพุทธจะใช้คำว่า “เมตตาปรานี” กับกลุ่มโจรมลายูพวกนี้ เพราะพวกมันไม่เคยเมตตาต่อชาวพุทธเลยแม้แต่น้อย ขนาดพระสงฆ์ที่ชราภาพมันยังฟันคอเกือบขาดแล้วใช้น้ำมันราดเผาสดๆ จนตายอย่างทุกข์ทรมาน เจ้าหน้าที่ทหารและชาวไทยพุทธถูกฆ่าตัดคออย่าไร้ความปรานีมาหลายรายแล้ว
“ถ้าพระใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ถูกระเบิดหรือถูกยิงตาย 1 รูป ด้วยน้ำมือของโจรก่อการร้ายมลายู ต้องแลกกับการไปเผามัสยิดทิ้งไป 1 มัสยิด โดยเริ่มจากภาคเหนือลงมาเรื่อยๆ แล้วก็ขับไล่ลัทธินั้นออกไปจากพื้นที่ทุกวิถีทางจนกว่าจะไม่เหลือคนที่ นับถือลัทธินั่นเลยแม้แต่คนเดียวในพื้นที่นั่นๆ และต่อต้านการเข้ามาของลัทธินี้ทุกอย่างในจังหวัดนั้นๆ โดยกระทำการต่อต้านทุกวิถีทาง” พระมหาอภิชาติ เสนอ
พระมหาอภิชาต กล่าวต่อว่า นี้แค่แนะนำวิธีให้นะ จะทำหรือไม่ทำก็ขึ้นอยู่กับพวกท่านเอง เวลานี้เราต้องเมตตาเฉพาะผู้ที่ควรเมตตาเท่านั้น แต่เราจะไม่เมตตากับคนในลัทธิที่เข้ามาทำร้ายรุกรานคร่าชีวิตพวกเราชาวพุทธ ก่อนอย่างเด็ดขาด
แต่ถ้าชาวพุทธยังมีความกลัวหรือขี้ขลาดตาขาวอยู่ในหัวใจ ก็จงรีบยกแผนดินที่ท่านเกิดให้เขาไปครอบครองเสีย แล้วพวกท่านก็รีบอพยพไปหาแผ่นดินใหม่อาศัยซุกหัวนอนเอาเถิด หากไม่รีบไปพวกท่านอาจจะถูกบั่นคอเอาได้เหมือนกับที่ชาวพุทธในภาคใต้โดนมา แล้ว
“หากชาวพุทธคิดว่าวิธีนี้เหมาะสมแล้วก็แชร์บอกต่อไปเถิด แต่ถ้าคิดว่าไม่เหมาะสมอ่านแล้วก็ผ่านไป ไม่ต้องสนใจ” พระมหาอภิชาติ กล่าว
22407138060_f8f6238927อย่างไรก็ตามมีผู้เข้าไปแสดงความเห็นทักท้วงเรื่องมาตรการดังกล่าวในโพสต์ของพระมหาอภิชาติว่ารุนแรงไปหรือไม่ด้วย