PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2560

'หญิงหน่อย'โบ้ยทีมงานทำพลาด ปัดใช้ดอกดาวเรืองหาเสียง



'หญิงหน่อย'โบ้ยทีมงานทำพลาด ปัดใช้ดอกดาวเรืองหาเสียง 
Cr:แนวหน้า
"หญิงหน่อย"แถลงทั้งน้ำตาไม่เคยใช้งานถวายดอกดาวเรืองหาประโยชน์ ที่ขึ้นรถเพราะมีการจัดกิจกรรมถึง 9 ซุ้ม และต้องใช้รถในการรวบรวมดอกดาวเรืองตามซุ้มต่างๆ
16 ต.ค.60 เมื่อเวลา 15.00 น. ที่ซอยลาดปลาเค้า 60 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) พร้อมคณะกรรมการจัดงานดอกดาวเรืองแทนใจชาวลาดปลาเค้า แถลงข่าวถึงกระแสในโซเชียลมีเดียปมคุณหญิงขึ้นรถแห่เชิญชวนประชาชนถวายดอกดาวเรืองเพื่อใช้ในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมิทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยคณะกรรมการจัดงาน ระบุว่า การจัดงานครั้งนี้เรายึดนโยบายของภาครัฐว่า ต้องการให้ดอกดาวเรืองเหลืองทั้งแผ่นดิน ตลาดลาดปลาเค้าของเรา จึงจัดเป็นซุ้มตามจุดต่างๆ 9 ซุ้ม โดยซุ่มต่างๆ มีภาพพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่าน และมีกิจกรรมต่างๆ กันไป โดยมีทุกภาคส่วนเข้าร่วมกิจกรรม ทั้งนี้ คุณหญิงสุดารัตน์เป็นคนลาดปลาเค้าโดยกำเนิด เราจึงขอความเห็นจากคุณหญิงสุดารัตน์อยู่เสมอ และเชิญท่านมาร่วมงานด้วย และมีการเคลื่อนขบวนตั้งแต่ซุ้มที่ 1-9 ซึ่งมีระยะทางพอสมควร บวกกับต้องทำงานแข่งกับฝนเราจึงต้องมีการบริหารจัดการ จึงใช้รถและเจ้าหน้าที่เปิดเส้นทาง เพราะถนนเส้นนี้มีรถสัญจรมาก ต้องใช้เจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวก อย่างไรก็ตม เจ้าหน้าที่เห็นล้วนแต่เป็นจิตอาสาทั้งสิ้น เพราะเราไม่มีงบประมาณในการจ้างเจ้าหน้าที่ เราทำงานเพื่อถวายพระองค์ท่านจริงๆ แต่ภาพที่ออกไปทำให้เราไม่สบายใจ เราอาจจะทำผิดพลาดบ้างเพราะงานสเกลใหญ่ เราก็ขออภัยสำหรับข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น ก็อยากให้ทุกท่านค่อยๆคอมเม้น หรือให้คำแนะนำกับเรา

คณะกรรมการจัดงานยังระบุอีกว่า อย่างไรก็ตาม ต้องขอบคุณคุณหญิงสุดารัตน์ที่มาร่วมกิจกรรม โดยท่านเข้ามาร่วมกิจกรรมตั้งแต่การปลูกดอกดาวเรือง ให้ใช้สถานที่บ้านในการจัดเก็บและดูแลดอกดาวเรือง ถ้ามองความตั้งใจของคนไทยคนหนึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีก็น่าเสียใจ ทั้งนี้ ตนขอยืนยันอีกครั้งว่า งานครั้งนี้ เราไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ไม่มีผลประโยชน์ใดๆมาเกี่ยวข้อง

ด้านคุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า กิจกรรมนี้เริ่มตั้งแต่ 4 เดือนที่แล้ว โดยร่วมมือกับทุกภาคส่วนทั้งชุมชน วัด โรงเรียน โบสถ์ เราเริ่มกันตคั้งแต่เริ่มต้นปลูก โดยเราตั้งใจว่า เราอยากถวายความอาลัยเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อตัวแทนชุมชนมาหารือ เราก็มองว่าเป็นเรื่องที่ดี และเห็นด้วยกับการจัดกิจกรรมด่างๆทั้งหมด 9 ซุ่ม 9 ธีม ซึ่งรวมพระราชกรณียกิจของท่านมาแสดง และให้ประชาชนได้ร่วมกิจกรรม ซึ่งกิจกรรมที่จัดในชุมชนนี้เราจัดกันทั้งสิ้น 3 วัน คือวันที่ 13-15 ตุลาคม ไม่รวมกับการปลูกดอกดาวเรืองที่เริ่มกันมาก่อนหน้านี้ 3 เดือน อย่างไรก็ตาม วันสุดท้าย เราจะมีการรวบรวมดอกดาวเรืองจากพื้นที่ต่างๆ เราจึงจัดเป็นริ้วขบวน ตนกับคณะกรรมการก็ขึ้นรถคันโน้นบ้าง คันนี้บ้าง เพื่อเคลื่อนไปรับดอกดาวเรืองจากซุ้มต่างๆ อย่างไรก็ตาม กิจกรรมนี้ เป็นกิจกรรมที่เราเตรียม และจัดขึ้นด้วยหัวใจจริงๆ ตนก็เสียใจที่มีการเอาภาพไม่กี่ภาพที่เห็นไม่ได้เห็นภาพรวมทั้งหมดมาเป็นประเด็น วันนี้ มีการประชุมสรุปงาน ตนก็ขอกราบขอโทษคณะกรรมการทุกคนที่ตนเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดข่าวแบบนี้ขึ้น และขอยืนยันว่า รถที่เห็นไม่ใช่รถหาเสียง แต่เป็นรถที่ใช้รวบรวมดอกดาวเรืองจากซุ้มต่างๆ และรถมอเตอร์ไซต์ต่างๆก็เป็นรถอาสาสมัครที่ไม่ใช่รถตำรวจซึ่งเขาเอามาเข้าร่วมขบวนเพื่อคอยอำนวยความสะดวก

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวทั้งน้ำตาว่า ตนเองถึงจะเป็นนักการเมือง แต่ความเป็นนักการเมืองไม่ได้หมายความว่าจะแสดงความรู้สึกในฐานะคนไทยไม่ได้ ตนก็เป็นคนหนึ่งที่รัก และเทิดทูนในหลวง ร.9 และจากการที่ได้ทำงานสนองเบื้องพระยุคลบาท หากการทำงานในอาชีพหนึ่ง แล้วบอกว่า อาชีพนั้นไม่สามารถแสดงความจงรักภักดีได้ ตนไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนั้น พ่อตนสอนตนมาตลอดว่า ต้องมีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดิน เพราะพระองค์ท่านทรงงานหนักเพื่อชาวไทยทุกคน ดังนั้น ตลอด 365 วันที่ผ่านมา ตนทำกิจกรรมหลายอย่างมากเพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เช่น การจัดสวดมนต์ ทำโครงการชวนเด็กๆมาประกวดเรียงความ ภาพวาด จัดบวชพระ ทั้งหมดที่ทำก็ด้วยสำนึกในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทำให้ตนได้อยู่ในแผ่นดินนี้อย่างมีความสุข แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นตนก็เสียใจ บางท่านนำรูปมาเขียนด้วยความรู้สึกของท่าน โดยที่ท่านไม่ได้อยู่ในงาน นอกจากนี้ ตนขออธิบายในความรู้สึกว่าตนไม่มีเจตนา และไม่มีความรู้สึกเลยว่าจะเอาการเมืองเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ ป้ายที่ติดตามถนนไม่มีชื่อตนสักชื่อ กรรมการจะให้ใส่ชื่อตน ตนก็บออกไม่ใส่ มาพลาดตรงที่ตนขึ้นรถคันดังกล่าวซึ่งเป็นรถเก่าที่ตนใช้ตั้งแต่การทำกิจกรรมมูลนิธิไทยพึ่งไทย ซึ่งมีสติกเกอร์ชื่อตนติดอยู่ โดยคณะกรรมการไม่ได้มีการปิดสติ๊กเกอร์ทับ

"ขอโทษประชาชนที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ดิฉันขอยืนยันว่าไม่มีจุดมุ่งหวังเพื่อการเมืองใดๆ และไม่มีการเอาเรื่องนี้มาหาผลประโยชน์ ดิฉันต้องกราบขออภัยที่ทำให้ทุกฝ่ายไม่สบายใจ ดิฉันขอยืนยันเจตนาว่าทั้งชีวิต สิ่งที่ได้รับจากพระมหากรุณาธิคุณมันล้นทุกอย่าง ก่อนการถวายพระเพลิงฯอะไรที่ทำได้เราก็ทำโดยไม่ได้คิดว่าเป็นประโยชน์ทางการเมือง แม้ดิฉันจะเคยเป็นนักการเมือง แจ่ดิฉันทำในบษนะคนๆหนึ่งที่รักพระองค์ท่าน ดิฉันไม่มีเจตนาใดๆที่คิดเป็นอย่างอื่น และเราทำกิจกรรมนี้ด้วยหัวใจ ดิฉันไม่เคยปลูกตนไม้ แต่ดิฉันภูมิใจที่ได้ปลูกต้นไม้ 4 หมื่นกว่าต้นออกมาได้อย่างงดงาม ดิฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะมีการนำภาพบางภาพไปโยงในลักษณะนั้น หากผิดพลาดประการใด ดิฉันก็กราบขอโทษ และขอน้อมรับผิดจากใจ" คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ

เมื่อถามว่า ต้องไปชี้แจงเรื่องดังกล่าวให้คสช.หรือไม่ เพราะข่าวระบุคสช.จะส่งเจ้าหน้าที่มาพูดคุย คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ความจริงก็คือความจริง ตนพร้อมที่จะชี้แจง ทั้งนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นจะไม่บั่นทอนความตั้งใจที่จะทำความดี จะไม่ย่อท้อ และจะทำความดีถวายพระองค์ท่าน
เมื่อถามว่า คสช.มองว่าจะใช้เรื่องเป็นเงื่อนไขในการปลดล็อกคำสั่งคสช.ฉบับที่ 57/2557 คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า น่าจะเป็นคนละเรื่อง ตนไม่รู้ว่าคสช.จะคิดอย่างไร แต่ตนได้อธิบายไปแล้ว แต่หากท่านจะมาหาข้อมูล เราก็พร้อมให้ข้อมูล แะสื่อหสลายๆสื่อก็ได้ออกข่างเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาไปแล้ว
เมื่อถามว่า จะมีการดำนเนินคดีกับผู้ที่นำภาพไปโพสบิดเบือนหรือไม่ คณะกรรมการจัดงานแจงว่า เราได้มีการประชุมกัน เห็นว่า เราไม่อยากให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต แต่หากยังมีการนำไปโพสอีกก็จำเป็นที่ต้องดำเนินการฟ้องร้อง

"ผบ.ทหารสูงสุด-ผู้การฯ ปืนฯ1" สองนายทหาร ใน ริ้วขบวน "นายกฯบิ๊กตู่"

"ผบ.ทหารสูงสุด-ผู้การฯ ปืนฯ1" สองนายทหาร ใน ริ้วขบวน "นายกฯบิ๊กตู่"
(15ต.ค.60)ในริ้วขบวน ของ บิ๊กตู่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ซึ่งเดินริ้วขบวนนำพระบรมโกศ นั้น
นอกจาก จะมี "ผู้การโอม" พันเอก จิรโรจน์ ธูปเทียนรัตน์ ผู้บังคับการกรมทหารปืนใหญ่ที่1 รักษาพระองค์ (ผบ.ป.1รอ.) เดินร่วมในริ้วขบวน
เพราะ ผบ.ป.1รอ. ถิอเป็น หน่วยกำลังสำคัญของ พล.1รอ. และ ก่อนหน้านี้ รับผิดชอบ พื้นที่ สนามหลวง และเป็นการตามประเพณีที่ผ่านมาด้วยแล้ว
โดยในริ้วขบวนนี้ มี 2 รองนายกฯ คือ "บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร และ นายวิษณุ. เครืองาม
และ 3 รมต. คือ นาย ออมสิน ชีวะพฤกษ์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ. บิ๊กโด่ง พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม นาย วีระ. โรจน์พจนรัตน์ รมว.วัฒนธรรมที่ สวมชุดข้าราชการฯ เดินในริ้วขบวนเดียวกัน พร้อมด้วย นาง พัชราภรณ์ อินทรียงค์ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี"
และ อีก1 บิ๊กทหาร คือ บิ๊กต๊อก พลเอกธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผบ.ทหารสูงสุด ที่เดินด้านซ้ายของ นายกฯ และเป็น ผบ.เหล่าทัพคนเดียว ที่ได้เดินในริ้วขบวน ในฐานะ 1ใน8 ประธานคณะกรรมการจัดริ้วขบวนฯ
และมีผู้การฯ ปืนฯ1" เดินเคียงข้างซ้าย หลัง ของ "นายกฯบิ๊กตู่"

"บิ๊กป้อม" สั่ง คสช.ไปตักเตือน ปรับทัศนคติ"หญิงหน่อย" ทำไม่เหมาะสม หาเสียง ช่วงนี้

"บิ๊กป้อม" สั่ง คสช.ไปตักเตือน ปรับทัศนคติ"หญิงหน่อย" ทำไม่เหมาะสม หาเสียง ช่วงนี้ อ้าง "ดอกดาวเรือง" ขึ้นรถหาเสียง ขู่ ไม่ปลดล็อค!!
หลัง คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ขึ้นรถหาเสียง เชิญชวนประชาชนวางดอกดาวเรืองเขตลาดปลาเค้า กทม. วานนี้ แล้ว เกิดเสียงวิจารณ์ อย่างหนัก นั้น
พลเอกประวิตร กล่าวว่า ทำไม่เหมาะสม ในช่วงนี้ รู้อยู่ ใช้เรื่อง"ดอกดาวเรือง" ขึ้นรถหาเสียง ชี้ไม่เหมาะสม "ใช้ดุลยพินิจ มั่ง" ทำในช่วงนี้ เหมาะสมหรือไม่ เอาชื่อตัวเอง มาหาเสียง แบบนั้น
เตรียมให้ คสช.ไปตักเตือน พูดคุย ปรับทัศนคติ แต่ไม่ต้องเชืญมา แค่ไปคุย
ขอให้ หยุดหมด ผมบอกแล้ว เดือนนี้ทั้งเดิอน ถ้ายังทำแบบนี้ ก็เอาไว้ก่อน ยังไม่ปล่อย ยังไม่ปลดล็อค ให้พรรคการเมือง
//
ไหนว่า คนคุ้นเคย !!
ดู...."บิ๊กป้อม" ฉะ "หญิงหน่อย" ทำไม่เหมาะสม ให้ใช้"ดุลพินิจ มั่ง" อ้าง "ดอกดาวเรือง" ขึ้นรถหาเสียง
หลัง คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ขึ้นรถหาเสียง เชิญชวนประชาชนวางดอกดาวเรืองเขตลาดปลาเค้า กทม. วานนี้ แล้ว เกิดเสียงวิจารณ์ อย่างหนัก นั้น
พลเอกประวิตร กล่าวว่า ทำไม่เหมาะสม ในช่วงนี้ รู้อยู่ ใช้เรื่อง"ดอกดาวเรือง" ขึ้นรถหาเสียง ชี้ไม่เหมาะสม "ใช้ดุลยพินิจ มั่ง" ทำในช่วงนี้ เหมาะสมหรือไม่ เอาชื่อตัวเอง มาหาเสียง แบบนั้น
เตรียมให้ คสช.ไปตักเตือน พูดคุย ปรับทัศนคติ แต่ไม่ต้องเชืญมา แค่ไปคุย
ขอให้ หยุดหมด ผมบอกแล้ว เดือนนี้ทั้งเดิอน ถ้ายังทำแบบนี้ ก็เอาไว้ก่อน ยังไม่ปล่อย ยังไม่ปลดล็อค ให้
นี่ถือเป็น ครั้งที่2 ที่ พลเอกประวิตร ออกมาตำหนิ "คุณหญิงสุดารัตน์" โดยก่อนหน้านี้คุณหญิงสุดารัตน์ เคยเรียกร้องให้คสช. ระบุ วันเลือกตั้งให้ชัดเจน โดยบอกให้ มาทำเองเลย
โดยก่อนหน้านี้เชื่อกันว่า พลเอกประวิตร กับคุณหญิงสุดารัตน์ รู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน เพราะ เป็นเพื่อนสนิทของ บิ๊กกี่ พลเอกนพดล อินทปัญญา เพื่อน เตรียมทหารรุ่น6 ของพลเอกประวิตร


ไร้แวว "กลุ่มต่อต้าน" ยังไม่มีอะไรผิดปกติ ทุกอย่างเรียบร้อย 100%

ไร้แวว "กลุ่มต่อต้าน" ยังไม่มีอะไรผิดปกติ ทุกอย่างเรียบร้อย 100% ถ้าไม่มีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้น!!!
"บิ๊กป้อม" ประชุม "กอร.พระราชพิธี" สนองรับสั่ง "สมเด็จพระเทพฯ" ปรับเสียงกลองและเสียงเพลง ให้ได้ยินทั่วถึงกัน ทุกริ้วขบว น ยันมีความพร้อม 100 % ไร้แวว "กลุ่มต่อต้าน" ยังไม่มีอะไรผิดปกติ ทุกอย่างเรียบร้อย 100% ถ้าไม่มีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้น
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุม กองอำนวยการร่วมพระราชพิธี
ฯ ที่กลาโหม
โดยมี พลเอกเทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ปลัดกลาโหม พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. พลเรือเอก นริส ประทุมสุวรรณ ผบ.ทร. คนใหม่พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง ผบ.ทอ. และพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง
พล.อ.ประวิตร กล่าวภายหลังการประชุม ว่า การประชุมวันนี้ทุกอย่างมีความเรียบร้อย ตนเน้นการดูแลความปลอดภัยให้ประชาชนเป็นหลัก จึงสั่งการให้ทุกภาคส่วนดูแลริ้วขบวน และประชาชน
รวมถึงเฝ้าระวังกลุ่มต่อต้าน ซึ่งตอนนี้การข่าวยังไม่มีอะไรผิดปกติ ทุกอย่างเรียบร้อย 100% ถ้าไม่มีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้น
ส่วนการดูแลDrone นั้น ขณะนี้ทางกองทัพอากาศ ได้ตั้งศูนย์อำนวยการแอนตี้โดรนขึ้นมาดูแลโดยเฉพาะ ซึ่งโดรนที่จะใช้งานได้ในช่วงพระราชพิธีทั้งส่วนกลาง และต่างจังหวัด ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น หากใครไม่ขออนุญาต ห้ามนำโดรนขึ้นบินเด็ดขาด โดยตอนนี้ทางกองทัพอากาศควบคุมได้ทั้งหมด พร้อมทั้งออกคำสั่งบังคับใช้ทั่วประเทศ
สำหรับพระเมรุมาศจำลองตอนนี้ดำเนินการเสร็จ100% ขณะที่พระจิตกาธาน หรือเตาเผาดอกไม้จันทน์นั้นกำลังดำเนินการสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในวันที่ 20 ตุลาคม
ทั้งนี้ตนคิดว่าการดำเนินการทุกอย่างไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะเรามีความพร้อมทุกอย่าง
สำหรับริ้วขบวนนั้น จากการซักซ้อมที่ผ่านมา ไม่ต้องมีอะไรปรับปรุงแก้ไขอะไรแล้ว
มีเพียงการปรับเสียง กลอง เสียง เพลง ที่ใช้ประกอบงานพระราชพิธี ตามพระราชกระแสรับสั่ง ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ หลังพบว่าเสียงกลอง และเสียงดนตรีไม่ได้ยินทั่วถึงในทุกริ้ว ขบวน

"บิ๊กเจี๊ยบ"ห่วงมาก!! ประชาชนมหาศาล แห่ เข้าร่วมงานพระราชพิธีฯ

"บิ๊กเจี๊ยบ"ห่วงมาก!! ประชาชนมหาศาล แห่ เข้าร่วมงานพระราชพิธีฯ กำชับทุกส่วนเตรียม ทุกมาตรการรองรับ และอำนวยความสะดวก และการสัญจร

​​ที่กองบัญชาการกองทัพบก พลเอก เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ.และ เลขาธิการคณะรักษา ความสงบแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมสำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

พันเอกหญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกคสช. เผยว่า. พลเอก เฉลิมชัย ได้กล่าวถึงการเตรียมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ โดยเฉพาะการซักซ้อมริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ รวมถึงการอำนวยความสะดวกประชาชน ซึ่งที่ผ่านมาทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกองอำนวยการร่วมรักษาความสงบเรียบร้อย ได้ร่วมกันดำเนินการในเรื่องดังกล่าวได้อย่างเรียบร้อย

และยังคงมีภารกิจที่จะต้องดำเนินการต่อไปจนจบงานพระราชพิธีฯ ในเรื่องการซักซ้อมริ้วขบวน การเตรียมงานด้านการจราจร การประชาสัมพันธ์ มาตรการรักษาความปลอดภัย

รวมทั้งการจัดเตรียมสถานที่ที่เกี่ยวกับงานพระราชพิธีฯ ทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยในทุกเรื่อง เพื่อรองรับประชาชนจำนวนมากที่จะหลั่งไหลเข้าร่วมงานพระราชพิธีฯ

พลเอก เฉลิมชัย ยังได้กำชับให้เตรียมการตามแผนงานที่กำหนดไว้ให้รัดกุม มีมาตรการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้เรียบร้อย เพื่อให้การเข้าสู่งานพระราชพิธีอันสำคัญยิ่งของคนไทย เป็นไปด้วยความสง่างามและสมพระเกียรติ และประชาชนได้มีโอกาสถวายความจงรักภักดีโดยสะดวก

นอกจากนี้ ในช่วงหลังงานพระราชพิธีฯ ซึ่งจะมีการจัดนิทรรศการงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พร้อมเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าชมพระเมรุมาศและอาคารประกอบ ณ บริเวณมณฑลพิธีท้องสนามหลวง ระหว่างวันที่ 1-30 พฤศจิกายน 2560 นั้น ให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องได้เตรียมการดูแลพื้นที่สนามหลวงและอำนวยความสะดวกให้ประชาชนไปอย่างต่อเนื่องจนจบกิจกรรมด้วย

09.00 INDEX กำลังใจ “ประยุทธ์” ตูน บอดี้สแลม จุดประกาย วิพากษ์ “งบประมาณ”

09.00 INDEX กำลังใจ “ประยุทธ์” ตูน บอดี้สแลม จุดประกาย วิพากษ์ “งบประมาณ”


การออกมาให้กำลังใจกิจกรรมในโครงการ “ก้าวคนละก้าว เพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

เหมือนกับ”เป้า”จะอยู่ที่ ตูน บอดี้สแลม

“กิจกรรมนี้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์และไม่ทำให้ใครเสียหาย โดย การทำความดีไม่จำเป็นต้องรอให้ใครมาบังคับ”

เท่ากับ ตูน บอดี้สแลม รับไปเต็ม-เต็ม

“เชื่อว่าคนไทยยินดีให้การสนับสนุนและขอเชิญให้ทุกคนลุกขึ้นมาทำสิ่งที่ดีเพื่อชาติบ้านเมืองเช่นเดียวกัน”

แต่พลันที่”ล่วง”เข้าไปยัง”ประโยค”

“ส่วนการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพเป็นการใช้งบประมาณประจำปีที่มีการตั้งเอาไว้ล่วงหน้าเช่นเดียวกับการพัฒนาด้านอื่นๆ”
ยิ้มก็เห็น “แก้ม” แย้มก็เห็น”ไรฟัน”

การออกโรงวิ่งจาก “เบตง” ไปยัง “แม่สาย” ในเดือนพฤศจิกายน ของ ตูน บอดี้สแลม เป็นเรื่องดีอย่างแน่นอน

ไม่มีใคร “ตำหนิ” ความตั้งใจดีนี้

แต่ที่กลายเป็น “ประเด็น” และกลายเป็น “กระแส” ร้อนแรงในทางสังคม

คือ การตั้งข้อสังเกตในเชิง “วิเคราะห์”

1 กิจกรรมเช่นนี้เป็นการแก้ไขปัญหาอย่างถูกจุดหรือไม่ หรือว่าเสมอเป็นเพียงการบำบัดโดย”ยาแก้ปวด” มิได้เป็นการขจัด”โรค”อย่างแท้จริง

สะท้อนวิธีคิดในแบบ”ปะผุ” แก้ปัญหาเฉพาะหน้า

1 กิจกรรมนี้ได้นำไปสู่การเปรียบเทียบกับการบริหารจัดการกับงบประมาณว่าดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่

ระหว่าง “อาวุธ” กับ “อุปกรณ์ทางการแพทย์”

ไม่ว่าในที่สุด ตูน บอดี้สแลม จะได้รับ”เงินบริจาค”มากสักเพียงใด ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะออกมาแสดงความเห็นด้วยอย่างไร

แต่ “คำถาม”จากกรณี ตูน บอดี้สแลม ได้เกิดขึ้นแล้วด้วยความแหลมคมยิ่งในสังคมไทย

แหลมคมและทะลวงไปยัง”โครงสร้าง”ของ”ระบบราชการ”

ต้องขอบคุณ “ตูน บอดี้สแลม” ที่จุด”ประกาย”ให้เกิดขึ้น

ไพบูลย์เดินหน้าตั้ง ‘พรรคประชาชนปฏิรูป’ สู้พรรคนายทุน ชูบิ๊กตู่เป็นนายกฯต่อ

ไพบูลย์เดินหน้าตั้ง ‘พรรคประชาชนปฏิรูป’ สู้พรรคนายทุน ชูบิ๊กตู่เป็นนายกฯต่อ



แฟ้มภาพ
“ไพบูลย์”เดินหน้าตั้ง”พรรคประชาชนปฏิรูป” หวังปฏิรูปการเมือง ยันไม่ใช่พรรคนอมินี-ทหาร

เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ เปิดเผยว่า ตนยืนยันที่จะเดินหน้าจัดตั้งพรรคการเมือง เนื่องจากเห็นปัญหาการเมืองที่ล้มเหลว ซึ่งเกิดจากพรรคการเมืองที่มีลักษณะเผด็จการผูกขาดเป็นพรรคของนายทุน กลุ่มผลประโยชน์ ทำให้การเมืองล้มเหลว ด้วยเหตุนี้ตนจึงต้องการสร้างพรรคการเมืองขึ้นมาที่คิดว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศและปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริง โดยจะต้องไม่เป็นพรรคของนายทุน ไม่ใช่พรรคนอมินี ไม่ใช่พรรคของทหาร แต่จะต้องเป็นพรรคของประชาชน เพราะต้องการให้พรรคเป็นเครื่องมือของประชาชนในการนำไปสู่การปฏิรูปเรื่องต่างๆ เช่น ปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา ปฏิรูปการเพิ่มอำนาจประชาชนในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนด้วยกัน และปฏิรูปนักการเมืองรวมทั้งการเลือกนายกรัฐมนตรีก็ต้องการให้พรรคการเมืองนี้เป็นเครื่องมือของประชาชนในการเลือกนายกฯที่มีความซื่อสัตย์สุจริตและมีความสามารถ โดยนายกฯที่เลือกไม่จำเป็นต้องเป็น ส.ส. ยกตัวอย่าง เช่น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเรามองว่าเป็นบุคคลที่มีความเหมาะสมในตอนนี้ เมื่อเทียบกับบุคคลอื่นๆ

“อุดมการณ์ของเราเน้นกระบวนการว่าจะต้องดำเนินการไปด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เป็นพรรคการเมืองที่สะอาดจริงๆ เป็นพรรคที่ไม่มีอามิสสินจ้างใดๆ ผู้ที่มาร่วมจะต้องเป็นผู้ที่มีจิตสาธารณะ เข้ามาทำงานการเมืองเพื่อประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ ทั้งหมดนี้คือหลักการของการตั้ง ”พรรคประชาชนปฏิรูป” ทั้งนี้ โดยหลักการเราคงหลีกเลี่ยงหรือคงไม่เอาอดีต ส.ส.มาร่วม เพราะต้องการให้คนใหม่ๆ ที่มีจิตสาธารณะเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคและลงส.ส.ของพรรค อย่างไรก็ตาม หากกระบวนการออกระเบียบของ กกต.เสร็จเรียบร้อยและทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ปลดล็อกให้พรรคทำกิจกรรมการเมืองได้ เราก็จะยื่นเรื่องเพื่อขอจัดตั้งพรรค” นายไพบูลย์กล่าว

นายไพบูลย์กล่าวต่ออีกว่า ส่วนกรณีที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ ในการมาเป็นนายกฯ ซึ่งก่อนหน้านี้ตนเคยแสดงความคิดเห็นไปแล้วว่าท่านมาเป็นผู้สมัคร ส.ส.ไม่ได้ เพราะติดข้อบังคับตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ แต่ทั้งนี้กฎหมายไม่ได้ห้ามไม่ให้ท่านมาเป็นผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อในบัญชีผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อตามมาตรา 88 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์มีคุณสมบัติที่จะได้รับการเสนอชื่อตามมาตรา 88 ได้ โดยที่ท่านไม่ต้องลงสมัครรับเลือกตั้ง รวมทั้งเป็นผู้ถูกเสนอชื่อตามรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ก็ได้ อย่างไรก็ตาม มุมมองของตน พล.อ.ประยุทธ์ จะถูกห้ามแค่ไม่ให้ลงสมัครเป็น ส.ส. ส่วนการเป็นหัวหน้าพรรคหรือกรรมการบริหารพรรคแม้จะไม่ได้ถูกห้าม แต่เชื่อว่าท่านคงไม่คิดมาเป็นหัวหน้าพรรคหรือกรรมการบริหารพรรคใด

บทเรียน จากน้ำ ศึกษา “บิ๊ก โปรเจ็กต์” รถไฟ ความเร็วสูง

บทเรียน จากน้ำ ศึกษา “บิ๊ก โปรเจ็กต์” รถไฟ ความเร็วสูง


กรณีน้ำท่วม 55 จุดของกรุงเทพมหานครอาจทำให้ชื่อของ “หนูดี” ที่โพสต์ข้อความถึง “ผู้นำโง่” เมื่อเดือนตุลาคม 2554 หวนกลับมามีบทบาท

เป็นการสื่อไปยัง “ผู้นำโง่”

แต่ที่ทำให้ทั่วทั้งประเทศเกิดอาการ “RETRO” ในทางความคิดและในทางการเมืองมากกว่าน่าจะเป็นในเรื่อง “บริหารจัดการน้ำ”

ถามว่าอะไรคือ “ผลพวง” จากมหาอุทกภัยเมื่อปี 2554

ตอบได้เลย คือ คณะกรรมการยุทธศาสตร์บริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) อันมาจากสมองก้อนโตของ นายวีรพงษ์ รามางกูร ประสานเข้ากับ นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์

จากนั้น ครม.มอบหมายให้ นายปลอดประสพ สุรัสวดี รับผิดชอบ

แต่แล้วโครงการในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำก็ถูกทำให้ “เดี้ยง” เหมือนๆ กับโครงการรถไฟความเร็วสูง

ก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557

ไม่มีอะไรที่เป็น “ตัวอย่าง” ของอำนาจเหนือรัฐบาล อำนาจเหนือการเมืองที่ดำรงอยู่ในสังคมประเทศไทยได้เด่นชัดเท่ากับการเดี้ยงของ 2 โครงการใหญ่นี้

เป็นการเดี้ยงจาก “องค์กรอิสระ”

น่าเศร้ายิ่งกว่านั้นก็ตรงที่เมื่ออำนาจมาอยู่ในมือของ “คสช.” พร้อมกับมีมาตรา 44 อยู่ในกำมือแต่ก็ไม่สามารถเดินหน้า 2 โครงการนี้ได้

แม้ว่า “องค์กรอิสระ” จะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

จนแล้วจนรอด “รถไฟความเร็วสูง” ที่หวังจะวางศิลาฤกษ์ 3.5 กิโลเมตรเพื่อประเดิมก็ยังไม่สามารถมีอะไรคืบหน้าได้

ขณะที่การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอยู่ในมือ “กรมชลประทาน”

และทุกปีที่น้ำเหนือไหลบ่าประสานกับไต้ฝุ่นที่เข้ามาเยือน การบ่นและตัดพ้อต่อว่าก็กลายเป็นทางออกเฉพาะหน้า

นี่คือ “วิถีไทย”

จากความล้มเหลวผ่านโครงการระดับ “บิ๊ก โปรเจ็กต์” 2 โครงการน่าจะเป็น “บทเรียน” อันล้ำค่าสำหรับการบริหารจัดการ

แต่ดูเหมือนจะมิได้มีการสรุป

เราจึงเห็น “รัฐธรรมนูญ” ให้อำนาจ “องค์กรอิสระ” ยิ่งกว่าเดิม ทั้งยังแถมสิ่งที่เรียกว่า “คณะกรรมการยุทธศาสตร์” เข้ามาพร้อมกับ “คณะกรรมการปฏิรูป”

เรียกอย่างหรูๆ ว่าเป็นเหมือน “โปลิต บูโร”

อันเป็นการจำลองโครงสร้างการบริหารจากพรรคคอมมิวนิสต์ไม่ว่าในยุค “สตาลิน” ไม่ว่าในยุค “เหมาเจ๋อตง”

โดยลืมไปว่ารากฐานของ “พรรคคอมมิวนิสต์” เป็นอย่างไร

เมื่อนำเอาสภาพทุลักทุเลอย่างยิ่งของโครงการ “บริหารจัดการทรัพยากรน้ำ” ประสานเข้ากับสภาพทุลักทุเลของ “โครงการรถไฟความเร็วสูง”

ก็จะถึง “บางอ้อ” อย่างพร้อมเพรียงกัน

แม้สโลแกน “ไทยแลนด์ 4.0″ อันนำมาจาก ไมเคิล พอร์เตอร์ จะเป็นการมองไปยัง “อนาคต” แต่เมื่อโครงสร้างคือการย้อนกลับไปยัง “อดีต”

โครงการ “รถไฟความเร็วสูง” จึงเป็น “คำตอบ”

โครงการ “บริหารจัดการทรัพยากรน้ำ” ที่ดำเนินไปในลักษณะ “เอกระ” กระจัดกระจายขาดการรวมศูนย์จึงเป็น “คำตอบ”

คำตอบว่า “ไทยแลนด์ 4.0” จะเป็นอย่างไร

ท่วมเหมือนเดิม

ท่วมเหมือนเดิม

โฆษกไก่อูเพิ่งตีปี๊บโฆษณาว่า รัฐบาลได้เตรียมแผนป้องกันน้ำท่วมไว้อย่างดี

โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยง 10 เขตกรุงเทพฯ ได้ก่อสร้างเขื่อนกั้นน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว 77 กม. ขอให้พี่น้องประชาชนไม่ต้องกังวลใจว่าจะเกิดน้ำท่วมใหญ่ซ้ำรอยปี 2554 ที่ผ่านมา

หลังจาก “โฆษกไก่อู” แถลงข่าว ไม่ทันข้ามวัน กรุงเทพฯก็โดนฝนถล่มน้ำท่วมอ่วมอรไท ถนนกลายเป็นคลอง รถติดยาวเป็นแพ เดือดร้อนกันระนาว

“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่า น้ำท่วมกรุงเทพฯบานฉ่ำเมื่อวานซืน เกิดจากฝนตกเกินเกณฑ์ปกติ 3 เท่าตัว
“ฝน” เป็นต้นเหตุให้น้ำท่วม กรุงเทพฯจั๋งหนับบุเรงนอง

ถ้ามองอีกแง่...แม้จะมีกำแพงคอนกรีตป้องกันน้ำท่วม 77 กม. ก็ไม่สามารถป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯได้ 100 เปอร์เซ็นต์

เพราะถ้าฝนตกหนักทีไร กรุงเทพฯสะดือประเทศไทยต้องจมน้ำทุกที

เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้แลแฮ

“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าความจริง กรุงเทพฯสะดือประเทศไทย มีท่อระบายน้ำท่วมขังยาวกว่า 6,400 กม.

มีประตูระบายน้ำอีก 230 ประตู

มีสถานีสูบน้ำอีกถึง 174 สถานี

ข้อสำคัญ กรุงเทพฯมีอุโมงค์ระบายมวลน้ำก้อนใหญ่ถึง 8 อุโมงค์ มีความยาวรวมกันกว่า 19 กม.

มีประสิทธิภาพระบายน้ำมหา ศาลถึง 155 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

แถมเรามีอุโมงค์ยักษ์ พระรามเก้า-รามคำแหง สำหรับระบายน้ำท่วมขังตั้งแต่เขตห้วยขวาง บางกะปิ วังทองหลาง บึงกุ่ม และวัฒนา

ยิ่งกว่านั้น เรายังมีอุโมงค์ยักษ์บึงมักกะสัน พร้อมระบายน้ำท่วมขังตั้งแต่เขตปทุมวัน ราชเทวี พญาไท ห้วยขวาง และดินแดง

ล่าสุด เรายังมีอุโมงค์ยักษ์คลอง บางซื่อ มูลค่า 2,483 ล้านบาทเพิ่งเปิดใช้งานไปหยกๆเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง

กทม.โฆษณาว่าอุโมงค์ยักษ์สายใหม่จะสามารถระบายน้ำท่วมขังและป้องกันน้ำท่วมถนนสำคัญ 6 สาย ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้ชาว กทม.อย่างสาหัสมาหลายปีได้แก่...

1, ถนนพหลโยธิน ตั้งแต่ห้าแยกเกษตรถึงสี่แยกสะพานควาย
2, ถนนวิภาวดีฯ ตั้งแต่สี่แยก สุทธิสารถึงห้าแยกลาดพร้าว
3, ถนนรัชดา ตั้งแต่สี่แยกรัชโยธิน ถึงคลองบางซื่อ
4, ถนนลาดพร้าว ตั้งแต่แยกรัชดาลาดพร้าวถึงสี่แยกบางซื่อ
5, ถนนกำแพงเพชร ตั้งแต่ใต้ทางด่วนศรีรัชถึงตลาดนัดสวนจตุจักร
6, ถนนสามเสน ตั้งแต่สี่แยกสามเสน ถึงสี่แยกเกียกกาย

พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯกทม. ประกาศย้ำในพิธีเปิดอุโมงค์ยักษ์คลองบางซื่ออย่างเป็นทางการว่า อุโมงค์ยักษ์แห่งใหม่นี้สามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯเห็นผลทันตา

ทำให้บริเวณที่เกิดน้ำท่วมซ้ำซาก ในถนนลาดพร้าว ถนนรัชดา ถนนพหลโยธิน ถนนวิภาวดีฯ ฯลฯ จะไม่มี
ให้เห็นอีกต่อไป

ต่อให้ฝนตกกระหน่ำเกิน 100 มม. อุโมงค์ยักษ์แห่งใหม่จะใช้เวลาระบายน้ำแค่ 30 นาที ถึง 54 นาทีเท่านั้นเอง

การเกิดฝนตกกระหน่ำกรุงเทพฯ เมื่อคืนวานซืน จึงเป็นการพิสูจน์ประสิทธิภาพอุโมงค์ยักษ์แห่งใหม่ไปในตัว

“แม่ลูกจันทร์” สรุปว่า อุโมงค์ยักษ์แห่งใหม่ของ กทม.ไม่เจ๋งเป้งอย่างที่ฉายหนังโฆษณา

ถ้าจะแก้ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯได้ผล 100 เปอร์เซ็นต์

สร้างเขื่อนคอนกรีตรอบกรุงเทพฯ 77 กม.ยังแก้ไม่ได้

สร้างอุโมงค์ยักษ์ระบายน้ำเพิ่มอีก 10 อุโมงค์ ก็ยังไม่พอ

ถ้าจะป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ 100 เปอร์เซ็นต์...ต้องสร้างหลังคาครอบกรุงเทพฯให้สิ้นเรื่องสิ้นราว.

"แม่ลูกจันทร์"

“ประยุทธ์” ชัดเจนกำหนดคืนอำนาจ “ครึ่งใบ” : ไฟเขียวเลือกตั้ง ผ่อนแรงเสียดทาน

“ประยุทธ์” ชัดเจนกำหนดคืนอำนาจ “ครึ่งใบ” : ไฟเขียวเลือกตั้ง ผ่อนแรงเสียดทาน

วันเวลาเวียนมาครบ 1 ปีแห่งการสวรรคตของ “ในหลวงรัชกาลที่ 9”

นับจากวันที่ 13 ตุลาคม 2559 นาทีแห่งความวิปโยค ความเศร้าโศกปกคลุมประเทศไทย ผ่านมา 365 วัน

อารมณ์ความอาลัยคิดถึง “พ่อ” ในหมู่พสกนิกรก็ยังไม่เสื่อมคลาย

และยิ่งใจหายเมื่อใกล้ถึงวันพระราชพิธีสำคัญ กับภาพการซ้อมริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช วันที่ 26 ตุลาคม
ถวายพระเกียรติองค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกเป็นครั้งสุดท้าย

บรรยากาศแห่งความอาลัยทำให้ทุกอย่างอยู่ในโหมดของความสงบ

และโดยสถานการณ์ที่วนมาครบรอบ 44 ปีของเหตุการณ์ “14 ตุลา 16” บันทึกประวัติศาสตร์สำคัญที่ทำให้รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ที่ทรงมีต่อแผ่นดินไทย

ด้วยพระบารมีดับไฟการเมือง ผ่อนคลายวิกฤติประเทศ

สารพัดเหตุการณ์แตกแยก แต่เพราะ “พ่อ” ทำให้เมืองไทยยังคงดำรงความเป็นรัฐอยู่เยี่ยงทุกวันนี้

ตัดฉากกลับมาที่สถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดปรากฏการณ์สำคัญ นับเป็นจุดเปลี่ยนยุทธศาสตร์ของสถานการณ์ภายใต้อำนาจพิเศษ

กับการ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. พูดชัดถ้อยชัดคำในการแถลงข่าวที่ทำเนียบรัฐบาลภายหลังการประชุมครม.ต่อเนื่องจากการประชุม คสช.

เดือนมิถุนายนปี 2561 จะประกาศวันเลือกตั้งและประมาณเดือนพฤศจิกายน 2561 เลือกตั้ง

ย้ำกัน 2-3 ครั้ง ภายหลังช็อตต่อเนื่องจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้ไปแสดงความมั่นใจต่อหน้าประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์”

แห่งสหรัฐอเมริกา ยืนยันประเทศไทยจะมีการประกาศเลือกตั้งในปี 2561

ยกระดับเป็นพันธกรณีที่รับรู้กันทั่วโลก

ล็อกเวลาปฏิทิน ลงเดือนลงปีกันเลย

ตามรูปการณ์ เคลียร์กระแส สยบเสียงวิพากษ์-วิจารณ์ เบรกอาการรุมเค้นคอของนักการเมืองอาชีพที่รีบกดดันให้

พล.อ.ประยุทธ์แสดงความชัดเจนตามที่ประกาศไฟเขียวเลือกตั้ง

ไม่ใช่แค่เหลี่ยมสับขาหลอกเหมือนครั้งก่อนที่ประกาศลอยๆ

และงานนี้ไม่ได้พูดกันเฉยๆ เพราะเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศลงปฏิทินล็อกเดือนปี ประกาศเลือกตั้ง ทั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)

ต่างออกมารับลูก ประสานเสียงยืนยัน

พร้อมเร่งกระบวนการจัดทำกฎหมายลูกประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งอีก 2 ฉบับ คือร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และร่าง พ.ร.บ.การได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ให้เสร็จทันตามกำหนดโรดแม็ปแน่นอน

ถึงตอนนี้สัญญาณไฟเขียวเลือกตั้งชัดขึ้นมาอีกหลายระดับ

ซึ่งนั่นก็กระตุกตลาดหุ้นบวกทะลุ 1,700 จุด รับข่าวดีทันควัน สะท้อนความมั่นใจของนักลงทุนที่ตอบรับกำหนดเลือกตั้งปลายปี 2561

และอีกจุดที่น่าจะส่งผลต่อบรรยากาศความสงบเรียบร้อยในห้วงพระราชพิธีสำคัญของประชาชนคนไทย ตามนัยแบบที่

พล.อ.ประยุทธ์ดักคอตีกันล่วงหน้า ในเมื่อทุกอย่างชัดเจนแล้วขอให้นักการเมืองสงบ อันจะมีผลต่อการพิจารณาปลดล็อกการเมืองต่อไป

นี่ก็ตอบคำถามได้ระดับหนึ่งว่า ทำไม “บิ๊กตู่” ถึงประกาศกำหนดเลือกตั้ง

อีกทั้งว่ากันตามครรลอง มันก็เป็นไปตามโรดแม็ปที่หัวหน้า คสช.ประกาศยึดถือมาตลอด ตามเงื่อนไขสถานการณ์เมื่อรัฐธรรมนูญ 2560 มีผลบังคับใช้ ขณะที่ราชกิจจานุเบกษาก็ประกาศบังคับใช้ พ.ร.บ.ว่าด้วย

พรรคการเมือง พ.ศ.2560 แล้ว

ก็เป็นเรื่องปกติที่ทุกอย่างจะเดินตามความคืบหน้าของกฎหมาย

เพื่อไปสู่เป้าหมายปลายทางในการคืนอำนาจให้ประชาชน

เป็นการแสดงความชัดเจนของผู้นำรัฐบาลทหารคสช.อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ ที่พร้อมคืนประชาธิปไตย “ครึ่งใบ” ให้คนไทยเลือกตั้ง ภายใต้กติการัฐธรรมนูญที่พ่วงด้วยบทเฉพาะกาล

คสช.ยังถือดุลความได้เปรียบในการคุมเกมอำนาจช่วงเปลี่ยนผ่าน

เหลี่ยมนี้ก็มองได้ว่า เป็นจังหวะผ่อนแรงเสียดทาน เปิดทางแชร์อำนาจผ่านเกมเลือกตั้ง หลังจาก คสช. ยึดอำนาจมาย่างเข้าปีที่ 4 และกว่าจะเลือกตั้ง จัดรัฐบาลใหม่ก็ปาไป 5 ปีกว่า

เกินเทอมของรัฐบาลในภาวะปกติด้วยซ้ำ

พล.อ.ประยุทธ์จำเป็นต้องแสดงความชัดเจน ลดแรงต้านรัฐบาล คสช.

นี่คือสิ่งที่มองเห็นได้จากภายนอก ตามความเข้าใจของคนทั่วไป

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ว่ากันตามเหตุปัจจัยมันก็ยังคงมีเครื่องหมายคำถามอยู่ดี กับการที่ผู้นำรัฐบาล
คสช.ประกาศในสิ่งที่ถือเป็นพันธกรณีที่สำคัญให้ได้ยินกันทั้งในเมืองไทยและทั่วโลก

กระตุ้นจุดพลิกผันยุทธศาสตร์ทางอำนาจ

ตามกระแสเบื้องหลัง แม้แต่คนในรัฐบาล

ด้วยกันก็ยังออกอาการงงๆ ไม่เข้าใจในยุทธศาสตร์ที่หัวหน้าทีม คสช.รีบออกมาประกาศกำหนดเลือกตั้งล่วงหน้า

ชิงมัดคอตัวเองตั้งแต่หัววัน

ทั้งๆที่โดยเงื่อนไขสถานการณ์แวดล้อมก็ไม่ได้บีบคั้นอะไร ภายหลัง “นายกฯลุงตู่” ประสบความสำเร็จในการไปเยือน “เพื่อนแท้” อย่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประทับสถานะการยอมรับในเวทีนานาชาติ ลดโทนแรงเสียดทานจากนอกประเทศ

ส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่กำลังโงหัว ทั้งภาพรวมการส่งออกและจีดีพีที่เติบโตตามเป้า

ขณะที่การกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้าก็ทำได้ตรงจุดจากการอัดฉีดมาตรการช่วยเหลือคนจนผู้มีรายได้น้อย ประชาชนเข้าแถวรอรูดบัตรคนจนซื้อของในโครงการธงฟ้าประชารัฐ

ทุกอย่างกำลังเข้าเหลี่ยม “ลุงตู่” ดึงจังหวะปั่นเนื้องาน สะสมแต้มไปได้อีกระยะ

เอื้อประโยชน์กับโอกาสในการเบิ้ลเก้าอี้ผู้นำอีกรอบ

แต่เมื่อประกาศกำหนดเลือกตั้งชัดๆ มันเท่ากับเร่งเกมกดดันตัวเอง ต้องรีบคิด รีบตัดสินใจในกระบวนการอำนาจขั้นต่อไป ที่ไม่ว่าจะเป็นสถานะนายกรัฐมนตรี “คนนอก” หรือ “คนใน”

“บิ๊กตู่” จำเป็นต้องมีพรรคการเมืองเป็นฐานส่วนตัวเพื่อประกันความชัวร์

ถึงตรงนี้ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน หัวหน้าคสช.ก็รีบประกาศมัดคอตัวเองแต่หัววัน

มันก็เหมือนทำปืนลั่นใส่เท้าตัวเอง

เรื่องของเรื่อง มีการโยงกับเหลี่ยมของ “ซือแป๋” นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ที่ส่งสัญญาณนำร่องทันที

หลังกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองมีผลบังคับ ชี้เลยว่า รัฐบาล คสช.น่าจะปรับโหมดล็อกการเมืองภายในเวลาอันใกล้

จังหวะเหมือนรีบเข็นกฎหมายพรรคการเมืองออกมาบีบคอ “นายกฯลุงตู่”

ดูกันตามเนื้อผ้า เสมือนว่าเป้าหมายของ “ซือแป๋” มีชัย อยู่ที่เชิงกฎหมาย เน้นการสร้างประวัติศาสตร์ในการเขียนกติกา

ประเทศไทยสำเร็จเป็นผลงานอวดลูกหลาน

แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ทางการเมืองของ คสช.

แบบที่เห็นอาการขวางลำของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ในฐานะเบอร์หนึ่งด้านความมั่นคง ที่ออกมาบอกปัดการปลดล็อกพรรคการเมือง

ย้ำเป็นเรื่องที่ต้องผูกโยงกับเงื่อนสถานการณ์ด้านความมั่นคง

ตามรูปการณ์แม่น้ำ 4 สายไหลมาถึงปลายโรดแม็ป เริ่มแตกไปคนละทิศคนละทาง ตามเป้าหมายของแต่ละขั้วอำนาจที่แฝงอยู่ในขุมข่าย คสช.

ที่แน่ๆแม้ “บิ๊กตู่” ประกาศกำหนดเลือกตั้งชัด แต่จับกระแสของนักการเมืองก็ยังไม่ชัวร์

เพราะมันยังต้องขึ้นอยู่กับสารพัดปัจจัยพลิกผัน สถานการณ์บ้านเมืองที่ยังเกิดอุบัติเหตุได้ตลอดเวลา

ขนาดร่างรัฐธรรมนูญฉบับ “นางฟ้า” ของนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการร่าง
รัฐธรรมนูญ ยังถูกคว่ำแค่ชั่วข้ามคืน แล้วนับประสาอะไรกับกฎหมายลูกที่ระดับสำคัญน้อยกว่า

เสี่ยงพลิกคว่ำพลิกหงายได้ทุกจังหวะ

แต่ทั้งหมดทั้งปวง ในเมื่อกำหนดเลือกตั้งปลายปี 2561 เป็นสัญญาประชาคมที่ได้ยินกันไปทั่วโลก อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์เองก็โดนดักคอกรณีที่พูดลอยๆ มาแล้วหลายครั้ง

มันเป็นเครดิตที่มัดคอ ยากที่กลืนน้ำลาย

เอาเป็นว่า ถ้าผิดไปจากนี้ กำหนดการเลือกตั้งถูกเปลี่ยนไปไม่ว่ากรณีใดๆ

นั่นหมายถึงผู้นำคงไม่ใช่ชื่อ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อีกแล้ว.

“ทีมการเมือง”

โจทย์สังคมยังขายได้

โจทย์สังคมยังขายได้

ผ่านครบรอบ 1 ปีวันสวรรคตของ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” เป็น 365 วันของความโศกเศร้า และเชื่อว่าจากนี้ความอาลัยรักจะยังคงอยู่ในใจคนไทยทั้งแผ่นดินตราบนานเท่านาน

ห้วงใกล้พระราชพิธีสำคัญ 26 ตุลาคม ในสภาวะ “ใจหาย” แต่คนไทยทั้งผองจะทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด เพื่อแสดงความไว้อาลัย “พ่อของแผ่นดิน” ที่เคารพรักครั้งสุดท้าย

เช่นเดียวกับรัฐบาลอำนาจพิเศษ หลังจาก “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. ที่ประกาศยึดแนวทางในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นเข็มมุ่งในการทำงาน

ล่าสุด นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ เลขานุการ ป.ย.ป. ระบุ จะมีการเพิ่มอีก 3 คณะใหม่ใน ป.ย.ป. หนึ่งในนั้นคือคณะกรรมการว่าด้วย “ปรัชญาศาสตร์พระราชาไปสู่ความยั่งยืน” ที่มีเป้าหมาย
นำศาสตร์พระราชามาขับเคลื่อน อย่างเป็นรูปธรรม

อีกทางหนึ่งหลังจาก “บิ๊กตู่” วางคิวเตรียมประกาศวันเลือกตั้งในเดือน มิ.ย.2561 หลังกฎหมายลูกเสร็จลงปฏิทินไว้คร่าวๆ ได้เวลาคืนอำนาจ เดือน พ.ย.2561 เดินสู่การเลือกตั้ง ส.ส.

ยอม “มัดคอตัวเอง” ไว้ล่วงหน้า อีกทางหนึ่งก็เพื่อลดแรงกระเพื่อมในห้วงสำคัญของบ้านเมือง
ในช่วงนี้ จึงเป็นทางบังคับที่ผู้นำต้องไล่ตรวจงาน 1 ปีสุดท้ายที่ต้องทำ นอกจากกรธ.–สนช. พลิกท่าทีพร้อมเพรียง คิวร่างกฎหมายลูกเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่เหลือให้เสร็จทันกำหนด เดือน มิ.ย. 2561

เด้งรับสัญญาณปล่อยมือของผู้นำ

ล่าสุด “บิ๊กตู่” เรียกประชุมรองนายกฯ สั่งการเร่งรัดพิจารณาผลักดันกฎหมายสำคัญที่ต้องเร่งเสนอ สนช. หรือกฎหมายที่ต้องเข้าสู่กระบวนการรับฟังความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญกำหนด

เร่งเครื่องปั๊มกฎกติกาบริหารประเทศ ไม่ให้ผลงานหลุดเป้า

แน่นอน ที่ยังค้างคาอย่างร่าง พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช ร่าง พ.ร.บ.แรงงานต่างด้าว กฎหมายหลายฉบับต้องสะดุดเพราะแรงต้านและเสียงทักท้วง

ดึงร่างกฎหมายร้อน รอจังหวะเคลียร์ โยนเข้ากระบวนการรับฟังความคิดเห็นให้ครบถ้วน

แต่ที่จะมาเติมแต้มได้เห็นๆ ล่าสุด ที่ประชุม สนช.ผ่านร่าง พ.ร.บ.ควบคุมอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน รอการประกาศใช้ โดยปรับปรุงกฎหมายเก่าที่ใช้ตั้งแต่ปี 2490

คิวนี้ “บิ๊กแป๊ะเล็ก” พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร อดีต ผบช.น. ในฐานะ กมธ.พิจารณาร่างกฎหมายออกมาอธิบายความ ร่างกฎหมายฉบับนี้ จะขยายนิยามวัตถุระเบิดให้ครอบคลุมชัดเจน โดยเฉพาะสิ่งเทียมอาวุธปืนและระเบิด

ต่อไปหากใช้ปืนปลอม ระเบิดปลอม เอาไปก่อเหตุก็มีโทษมีความผิด อุดช่องโหว่กฎหมายเก่า

หลังจากที่ผ่านมามิจฉาชีพ พวกป่วนเมืองใช้ช่องว่างกฎหมาย เอาของปลอมก่อเหตุหรือข่มขู่ แต่เอาผิดไม่ได้ รวมทั้งต่อไปการปล่อยข่าวปล่อยข้อมูลเท็จว่ามีการวางระเบิดที่นั่นที่นี่ทำให้ผู้อื่นตกใจ

ก็มีโทษจำคุก 3 ปี ปรับ 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

“หวังว่ากฎหมายนี้ออกมา คงจะช่วยปรามคนที่จะทำผิดรวมทั้งพวกที่คิดร้ายต่อบ้านต่อเมืองได้บ้าง

เป็นช็อตเด็ดที่ พล.ต.ท.ศานิตย์ออกมาโชว์ของช่วยเพิ่มแต้มรัฐบาลในงานภาคสังคมที่เรตติ้งติดลมบนมาตั้งแต่เริ่มรัฐบาลคสช. จากคิวเร่งกวาดล้างผู้มีอิทธิพล ปราบมาเฟีย จัดระเบียบสังคมด้านต่างๆ ฯลฯ

แม้บางจุดผลงานจะวูบลง แต่คิวนี้น่าจะช่วยกระตุกแต้ม อีกรอบ

คุมอาวุธร้ายแรง เข้มบล็อกคิวป่วนเมือง “ขายได้”

เช่นเดียวกับ พล.ต.ท.ศานิตย์ ที่หลังเกษียณอายุราชการ แม้จะบอกปัด ไม่สนใจที่จะเล่นการเมือง แต่ด้วยเพราะติดดีกรี “สายตรง” เป็นระดับบิ๊กสีกากีที่ผู้นำไว้วางใจ ชื่อของ “ศานิตย์” อดีต น.1 ก็ยังอยู่ในโฟกัส

อาจมีเส้นทางหรูๆให้ “ไปต่อ” ได้เหมือนกัน.

ทีมข่าวการเมือง