PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ปปช.ไม่สอบ"ปนัดดา"ไมค์แพง

พรุ่งนี้ (24 ก.พ.58) ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีวาระพิจารณา ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน ผู้เกี่ยวข้องการจัดซื้อไมโครโฟนห้องประชุม ครม. 
นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช เปิดเผยว่า วันพรุ่งนี้ (24 ก.พ.58) ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีวาระพิจารณา ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน ผู้เกี่ยวข้องการจัดซื้อไมโครโฟนห้องประชุม ครม. หลังเจ้าหน้าที่ มีความเห็นต่างเรื่องข้อกฎหมาย หาก ป.ป.ช. ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนจริง ก็จะเป็นแค่ระดับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ในการจัดซื้อจัดจ้างเท่านั้น เช่น อธิบดีกรมโยธาธิการ แต่คงไม่ต้องไต่สวนหม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพราะไม่มีหน้าที่ เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้าง

กรณี สื่อนอกตีข่าวสถานการณ์ไทย

วันที่ 23 ก.พ.58 เผย..สื่อเทศสะท้อนไทย กับผลสารพัดโพล ชี้ว่าคนไทยยังไม่อยากเลือกตั้ง
เว็ปไซต์ โกลบัล รีเสิร์ช เป็นเว็ปไซต์ที่มีชื่อเสียง โดยมีนักวิจัยทั่วโลกมากกว่า 8,000 คน มีส่วนร่วมในการเขียน มีบทความงานวิจัยถูกเผยแพร่มากกว่า 34,000 บทความ เมื่อไม่นานมานี้โกลบัล รีเสิร์ช ได้เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับการประท้วง ต่อต้านรัฐประหารในกรุงเทพฯ เมื่อช่วงที่ผ่านมาของนักศึกษาขบวนการล้มเจ้า มหาวิทยาลัยเก่าแก่
** เรื่องเดิม..ตลกร้ายเลือกตั้งขายชาติ และเตี๊ยมเคลมตัง ป่วนก่อนฟ้องปูข้าวเน่า คลิ๊กไปที่ https://www.facebook.com/media/set/…
โกลบัล รีเสิร์ช รายงานพาดหัวชื่อ “Rare Pro-Terrorist Protest in Post-Coup Thailand” ระบุว่าเป็นการชุมนุมที่ประหลาดอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นการรวมตัว “เพื่อสนับสนุน ก่อการร้าย” ที่เข่นฆ่าผู้คน ระหว่างชุมชุมต่อต้านคนแดนไกล และคัดค้านกองทัพไทย ที่กำลังมุมานะคืนความสงบเรียบร้อยแก่บ้านเมือง
โกลบัล รีเสิร์ช ระบุว่าจากกรณีที่มีนักเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐประหาร นัดชุมนุมในกรุงเทพฯ เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่นมา แจกดอกกุหลาบ และสำเนาวรรณกรรมของ จอร์จ ออร์เวลล์ ในการแสดงการขัดขืนภายใต้กฎอัยการศึก แต่ความเป็นจริงก็คือพวกม็อบแค่ “ต้องการคนแดนไกล “ ไม่ใช่ประชาธิปไตย อย่างที่พยายามกล่าวอ้าง
มันก็แค่การส่งเสียงเอะอะโวยวายเดิมๆ ของนักเคลื่อนไหวไม่กี่สิบคน ซึ่งเป็น “คนกลุ่มน้อย “ ที่ต่อต้าน “อย่างไม่รู้จักจบสิ้น “ ต่อความพยายามของสถาบันต่างๆ ในไทย รวมถึงกองทัพไทย ที่มุมานะคืนความสงบเรียบร้อย สันติภาพ และเสถียรภาพแก่บ้านเมือง หลังต้องเผชิญกับความยุ่งเหยิงมานานนับทศวรรษที่ปลุกปั่นโดย คนแดนไกล อดีตนายกฯ จอมเผด็จการ และมือสังหารหมู่
ค.ศ.2003 คนแดนไกล สังหารหมู่ประชาชนเกือบ 3,000 ศพในช่วงเวลาแค่ 90 วัน และในปีถัดไป เขาสั่งการปราบปรามผู้ประท้วง เป็นเหตุให้มีชาวบ้านเสียชีวิตวันเดียว 85 ศพ หลังจากถูกควบคุมตัว เขายังบงการลอบสังหาร หรืออยู่เบื้องหลังการหายตัวไปนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน 18 คน ระหว่างสมัยแรกของการดำรงตำแหน่ง
ค.ศ. 2006 นับตั้งแต่ถูกขับไล่ในรัฐประหาร เขาได้จัดตั้งม็อบ “คนเสื้อแดง” ที่ใช้อาวุธมีดดาบ เข้าประหัตประหาร ยิง ทุบตีทำร้าย ฆ่า ล่วงละเมิดและข่มขู่ฝ่ายต่อต้านทางการมืองของตนเองทั่วประเทศ
ค.ศ. 2009 คนแดนไกล สั่งให้ม็อบของเขาลงสู่ท้องถนน ก่อจลาจลในกรุงเทพฯ มีเจ้าของร้านค้า 2 คนถูกฝ่ายสนับสนุนเขายิงเสียชีวิตระหว่างออกก่อความรุนแรง และปล้นสะดม ในปีถัดไป เป็นอีกครั้งที่เขาสั่งให้คนเสื้อแดง ยึดถนนในเมืองหลวง คราวนี้มาพร้อมกับพวกก่อการร้ายติดอาวุธหนัก
อย่างปืนอาก้า M16 เครื่องยิงระเบิด M79 และอาวุธอื่นๆ กระพือความรุนแรงนองเลือดที่คร่าชีวิตผู้คนเกือบ 100 ศพ และบาดเจ็บหลายร้อยคน ต่อมา ระหว่างการชุมนุมใหญ่เรียกร้องน้องสาวของเขา ปูข้าวเน่า ให้ลงจากอำนาจ ก็เป็นอีกครั้งที่เขากระจายกองกำลังเหล่านี้ไปบนท้องถนน เข่นฆ่า ผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก เกือบ 30 ศพ รายงานของโกลบัล รีเสิร์ชระบุ
ความชั่วร้ายต่อเนื่อง ที่กระทำต่อประชาชนคนไทยเหล่านี้ ดำเนินการลุล่วงได้ภายใต้การคุ้มครองของคำว่า “มาจากเลือกตั้ง” ที่ได้รับการสนับสนุนจากชาติตะวันตก ซึ่งพบเห็นกลไกทางการเมืองของ คนแดนไกล หวังคืนสู่อำนาจ โดยไม่สำคัญว่าอาชญากรรมที่เขาก่อนั้น จะชั่วร้ายแค่ไหน
เขามีความสามารถ ในการใช้ม็อบบนท้องถนน นักรบติดอาวุธหนัก และมือสังหาร เล่นงานฝ่ายต่อต้าน ผู้ถูกกระทำเหล่านั้นรวมถึงเหล่าผู้พิพาพากษาศาล ที่ใช้อำนาจตุลาการ ถอดเขาพ้นจากอำนาจด้วย รายงานระบุต่อว่า ด้วยตำรวจอยู่ภายใต้การควบคุมของคนแดนไกล ศาลถูกข่มขู่และไม่มีอำนาจบังคับใช้คำตัดสิน
กองทัพไทย จึงไม่มีทางเลือกยกเว้นแต่ขับไล่คนแดนไกล และระบอบของเขา เครือข่ายทางการเมือง และเครือข่ายนอกภาครัฐ ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ออกจากอำนาจทางการเมืองของไทย ผ่านการรัฐประหารอย่างสันติ แน่นอนว่าตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แม้บางช่วงไทยไม่ได้อยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย แต่ก็ยังดีกว่าระบอบทรราชย์ที่แอบอ้างประชาธิปไตย
** ไปอ่านต้นฉบับคลิ๊กไปที่ : http://www.globalresearch.ca/rare-pro-terrorist-pro…/5431363
** ความเดิม แฉบันทึกลับสีดำ 5 ปี เผาเมืองรอบแรกปี 52 จุดเริ่มต้นชายชุดดำ (ตอน 1) คลิ๊กไปที่https://www.facebook.com/topsecretthai/posts/271365553053479
--------------------------------------------->
กรุงเทพโพลล์ โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ สำรวจความเห็นประชาชน โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 17-18 กุมภาพันธ์ 2558 จากประชาชนทั่วประเทศ 1,137 คนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% พบว่า
1. คนไทยคิดอย่างไรกับกฎหมายนิรโทษกรรมสู่ความปรองดอง
- ร้อยละ 47.4 ไม่เห็นด้วย กับการออกกฎหมายนิรโทษกรรมทางการเมือง
- ร้อยละ 40.4 เห็นด้วย (ในส่วนนี้ร้อยละ 18 อยากให้นิรโทษเฉพาะประชาชนที่ร่วมชุมนุม และร้อยละ 22.4 อยากให้นิรโทษทั้งประชาชน ที่ร่วมชุมนุม และแกนนำการชุมนุม )
2. การออกกฎหมายนิรโทษกรรมจะช่วยสร้างความปรองดองให้สังคมไทยเพียงใด
- ร้อยละ 47.9 เห็นว่าช่วยได้บ้าง
- ร้อยละ 17.1 เห็นว่าช่วยได้มาก
- ร้อยละ 27.6 เห็นว่าไม่ช่วยเลย
3. การออกนิรโทษกรรมให้กับผู้ชุมนุม จะเป็นแบบอย่างให้เกิดการชุมนุมประท้วงทางการเมืองอีก
- ร้อยละ 61.6 เห็นว่าใช่
- ร้อยละ 25.9 เห็นว่าไม่ใช่
4. การสร้างความปรองดอง จำเป็นหรือไม่ที่ต้องมี พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีเป็นคนกลางในการพูดคุยกับแกนนำพรรคการเมือง กปปส. นปช.
- ร้อยละ 56.8 เห็นว่าจำเป็น
- ร้อยละ 36.4 เห็นว่าไม่จำเป็น
5. จำเป็นหรือไม่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องพูดคุยกับ ทักษิณ เรื่องความปรองดอง
- ร้อยละ 58.6 เห็นว่าไม่จำเป็น
- ร้อยละ 32.6 เห็นว่าจำเป็น
6. แนวทางการปฏิรูปเพื่อสร้างความปรองดองของรัฐบาล เดินมาถูกทางแล้วหรือยัง
- ร้อยละ 52.6 เห็นว่า มาถูกทางแล้ว
- ร้อยละ 38.4 เห็นว่า ยังไม่มีแนวทางชัดเจน
7. กฎอัยการศึกควรคงไว้จนกว่าจะถึงวันเลือกตั้งหรือไม่
- ร้อยละ 71.6 เห็นด้วย ควรคงไว้
- ร้อยละ 23.6 ไม่เห็นด้วยที่จะให้คงไว้
--------------------------------------------->
ชมรมนักวิจัยไทยเพื่อความสุขชุมชน (Thai Researchers in Community Happiness Association, TRICHA) เผยผลวิจัยเชิงสำรวจมาสเตอร์โพลล์ (Master Poll) เรื่อง สำรวจความคิดเห็นของแกนนำชุมชน ต่อประเด็นสำคัญทางการเมือง และความพร้อมในการเลือกตั้งครั้งใหม่
กรณีศึกษาตัวอย่างแกนนำชุมชน จำนวนทั้งสิ้น 659 ชุมชน ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 19-21 กุมภาพันธ์ 2558 ผลการสำรวจ
1. การติดตามข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อมวลชนในช่วง 30 วันที่ผ่านมา พบว่า แกนนำชุมชน
- ร้อยละ 38.0 ระบุติดตามทุกวัน/เกือบทุกวัน
- ร้อยละ 34.7 ระบุติดตาม 3-4 วัน/สัปดาห์
- ร้อยละ 23.5 ระบุติดตาม 1-2 วันต่อสัปดาห์
2. การรับทราบข่าวกรณีที่สำนักงาน คณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย หรือ อียู (EU) ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ลงมติคัดค้านการใช้ศาลทหารกับพลเรือน (ตอบได้หลายข้อ) พบว่า
- ร้อยละ 56.4 ระบุทราบข่าว
- ร้อยละ 43.6 ระบุไม่ทราบข่าวนี้
- ร้อยละ 69.1 เชื่อว่ากรณีดังกล่าวเกิดจากความเข้าใจผิดของอียู
- ร้อยละ 30.9 ไม่เชื่อว่าเป็นเช่นนั้น
3. รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรต้องเชิญตัวแทนจากประเทศต่างๆ มาชี้แจง เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องหรือไม่นั้น พบว่า
- ร้อยละ 69.1 เห็นว่าจำเป็นต้องเชิญมาชี้แจง เพื่อให้ต่างประเทศจะได้มีความเข้าใจคนไทยมากขึ้น ทุกฝ่ายจะได้มีความเข้าใจที่ตรงกัน ประชาชนจะได้เข้าใจชัดเจนขึ้นด้วย จะได้ไม่มีปัญหาเรื่องการค้าการลงทุน ประชาชนจะได้เห็นความพยายามของรัฐบาล ความสัมพันธ์จะได้ราบรื่น
- ร้อยละ 30.9 ระบุคิดว่าไม่จำเป็นเพราะคนไทยควรมีจุดยืนของตนเอง ไม่มั่นใจในการเคลื่อนไหวของต่างประเทศ เป็นเรื่องภายในประเทศของเราเอง มั่นใจว่ารัฐบาลสามารถจัดการได้
4. กรณีที่ต่างประเทศมักจะออกมาเคลื่อนไหวแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองของประเทศไทยในช่วงนี้นั้น (ตอบได้หลายข้อ) ผลการสำรวจพบว่า
- ร้อยละ 49.7 ระบุรู้สึกกังวล เป็นห่วง ไม่อยากให้ต่างประเทศเคลื่อนไหวมากเกินไป
- ร้อยละ 43.9 ระบุทำให้เรารู้ว่าแต่ละประเทศคิดอย่างไรกับเรา
- ร้อยละ 41.5 ระบุคิดว่าต่างประเทศอาจจะยังไม่เชื่อมั่นในประเทศไทย
- ร้อยละ 38.8 ระบุอาจเป็นเพราะต่างประเทศยังไม่รู้ปัญหาที่แท้จริงของคนไทย
- ร้อยละ 26.6 ระบุ ไม่อยากให้ต่างประเทศแสดงความสนใจประเทศเรามากเกินไป
- ร้อยละ 15.3 ระบุ เป็นเรื่องปกติ ที่มักจะมีการแสดงความคิดเห็นในลักษณะนี้
- ร้อยละ 11.9 มีความเห็นว่า รู้สึกเบื่อ เป็นการกระตุ้นให้รัฐบาลเห็นข้อบกพร่อง จะได้แก้ไข ต้องพยายามทำให้ต่างประเทศเชื่อมั่นมากขึ้น
5. ความพร้อมของประเทศไทยในการจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่ในขณะนี้ พบว่า
- ร้อยละ 71.2 ระบุคิดว่าไม่พร้อม เพราะ ยังมีความขัดแย้งกันอยู่ สถานการณ์ยังดูวุ่นวาย ยังร่างรัฐธรรมนูญไม่เสร็จ ยังหาคนดีที่เหมาะสมไม่ได้ รัฐบาลกับ คสช.ยังทำงานได้ดี สถานการณ์ยังไม่นิ่ง
- ร้อยละ 28.8 ระบุคิดว่าพร้อมแล้ว เพราะ เชื่อว่ารัฐบาลจะสามารถจัดการทุกอย่างได้ดี ปัญหาทุกอย่างเริ่มคลี่คลายแล้ว อยากให้มีการเลือกตั้งเสียทีจะได้จบปัญหา อย่างให้ประเทศมีความชัดเจนมากกว่านี้
6. ถ้าจะจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่ หลังจากที่มีการปฏิรูปประเทศไทย เสร็จเรียบร้อยแล้ว ประเทศชาติจะได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์มากกว่ากัน
- ร้อยละ 83.3 เห็นว่า จะได้ประโยชน์มากกว่าเสียประโยชน์ โดยให้เหตุผลว่า จะได้มีแนวทางที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น สถานการณ์ขณะนั้นคงสงบมากกว่านี้ ถ้าปฏิรูปเสร็จคนไทยจะได้ประโยชน์มากขึ้น ทุกอย่างจะเป็นระบบระเบียบมากขึ้น รัฐบาลจะได้มีเวลาเต็มที่ในการจัดเตรียมการเลือกตั้งให้โปร่งใสและยุติธรรม
- ร้อยละ 16.7 เห็นว่า จะเสียประโยชน์มากกว่าได้ประโยชน์ เพราะ เลือกตอนไหนก็เหมือนกัน ยิ่งเลือกตั้งช้า ยิ่งถูกกดดัน ไม่แน่ใจในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะยังไม่ทราบรายละเอียด ปัญหาขัดแย้งคงไม่ยุติง่ายๆ จะมีความขัดแย้งมากขึ้น ต่างประเทศจะแทรกแซงมากยิ่งขึ้น อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ
--------------------------------------------->
เป็นสิ่งสะท้อนมุมมองกลุ่มนักวิจัยต่างประเทศ ที่มองเข้ามาในไทยได้อย่างถึงกึ๋น เห็นทะลุปรุโปร่ง เขามีความเฉลียวฉลาดกว่านักศึกษาไทย ขบวนการล้มเจ้า ที่ออกมาป่วนมาก เขาดูออกขนาดที่ว่า นักศึกษากลุ่มเล้กๆ ไม่กี่คนพวกนี้ “สนับสนุนการก่อการร้ายในไทย” ไม่ได้ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยจริงๆ แต่เป็นแก๊งค์แบ่งงานกันทำของคนแดนไกล เท่านั้น
ช่างน่าสังเวชใจนัก ที่นักศึกษาไทยยุคนี้ตกต่ำถึงขนาดให้ฝรั่งออกมาด่าประจานไปทั่วโลก ว่าฝักไฝ่เผด็จการคนแดนไกล ที่เป็นนักก่อการร้ายใหญ่ระดับโลก ที่เข่นฆ่าคนไทยด้วยกันมากมาย แต่นักศึกษาขบวนการล้มเจ้า กลับมาตราติดกลางหน้าผากว่า ขัดขวางความสงบสุขของบ้านเมือง
ส่วนผลโพลสำรวจ ระบุว่าคนไทยไม่เห็นด้วยกับการออกกฎหมายนิรโทษกรรม เพราะไม่ใช่หนทางสู่ความปรองดอง และถ้าทำจะกลายเป็นแบบอย่างให้เกิดการชุมนุมประท้วงทางการเมืองในอนาคตอีก และบิ๊กตู่ ไม่จำเป็นต้องพูดคุยกับ ทักษิณ เรื่องความปรองดอง แต่ประชาชนเห็นด้วยกับการคงกฎอัยการศึกอยู่ต่อไป จนถึงวันเลือกตั้งในอนาคต
แกนนำชุมชน มีการติดตามข่าวสารทางการเมืองอยู่เสมอ และประชาชนส่วนใหญ่คัดค้านหัวชนฝา หากจะมีการจัดการเลือกตั้งในขณะนี้ ประชาชนยังไม่พร้อม เพราะยังมีความขัดแย้งกันอยู่ สถานการณ์ยังดูวุ่นวาย ยังหาคนดีที่เหมาะสมไม่ได้ รัฐบาลกับ คสช.ยังทำงานได้ดี สถานการณ์ยังไม่นิ่ง ถ้าจะเลือกตั้งก็ต้องรอให้มีการปฏิรูปประเทศไทย เสร็จเรียบร้อยก่อน
สรุป..ต่างประเทศมองไทยว่าคนแดนไกล และแก๊งค์เผาไทย คือ ต้นเหตุแห่งปัญหาความรุนแรง ก่อการร้าย ความแตกแยกในไทย โดยมีกลุ่มพวกโลกสวย เพ้อฝันเป็นผู้สนับสนุน และคนไทยส่วนใหญ่ต้องการให้คงกฎอัยการศึกต่อไปเรื่อยๆ เพราะปลอดภัยจาก M79 และตอนนี้คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่พร้อมจะมีการเลือกตั้ง
นี่คือมุมมองรอบด้านในทุกมิติ ที่ไม่เกี่ยวกับนักการเมือง แต่เป็นความคิดเห็นประชาชนล้วนๆ ดังนั้นหากใครออกมาเรียกร้องให้ยกเลิกกำอัยการศึก หรือ เรียกร้องเลือกตั้งอีก คือ “เป็นพวกเสร่อ และเสียงส่วนน้อย” หน้าเดิมๆ และไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ของประชาชน
@ เสธ น้ำเงิน4 : กดปุ่ม “ติดตาม” ด้านบนเพจ เพื่อรับข่าวครั้งต่อไป
http://www.facebook.com/topsecretthai
"กติกา" โปรดงดความเห็นในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในตอนนี้, งดนำข่าวลือเขาว่ามา , คำหยาบ , ป่วน , งดลิ้งใดๆ ทุกชนิด , งดข้อความจากแหล่งอื่น , งดภาพ , การให้ร้ายดูหมิ่นเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกพิจารณาบล็อกเข้าเพจนี้..สามารถติดตามข่าวสั้นคลิ๊กที่http://www.facebook.com/thailandcoup


ตำรวจควบคุมตัวกลุ่มเสรีชนไทยแลนด์ 58 เรียกร้องรัฐบาลฟังความเห็นประชาชน

ตำรวจควบคุมตัวกลุ่มเสรีชนไทยแลนด์ 58 เรียกร้องรัฐบาลฟังความเห็นประชาชน
นายอัครกฤษณ์ นุ่นจันทร์ ประธานกลุ่มเสรีชนไทยแลนด์ 58 ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ หลังเปิดตัวเสื้อกลุ่มเสรีชนไทยแลนด์ 58 ที่พิมพ์รูปนกถูกมัดปากและขา เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดเวทีกลางรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทั่วไปทุกอาทิตย์ เพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหาราคาสินค้า ค่าครองชีพ และปัญหาอื่นๆ
แถลงการณ์ของกลุ่มเสรีชนไทยแลนด์ 58 ระบุว่า ไม่ได้มาประท้วง ขัดขืน หรือท้าทายต่อกฎอัยการศึกแต่อย่างใด แต่อยากให้รัฐบาลยกเว้นให้กับการออกมาแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ของประชาชนบ้าง
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจที่กระจายกำลังดูแลอยู่โดยรอบพื้นที่ ได้เข้าควบคุมตัวนายอัครกฤษณ์พร้อมกับพวกอีกสามคน ไปยัง สน.พญาไทแล้ว


สถานการณ์ข่าว23ก.พ.58

กมธ.ยกร่าง รธน. ทยอยเดินทางถึงที่ประชุม รร.ฮอลิเดย์ อินน์ แล้ว "ประชา" มาเป็นคนแรก เริ่มถกรายมาตรา 11.00 น.

บรรยากาศความเคลื่อนไหว ที่โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ พัทยา ล่าสุด สมาชิกกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เริ่มทยอยเข้ามาเพื่อเตรียมตัวประชุมที่จะมีขึ้นในเวลา 11.00 น.แล้ว โดย นายประชา เตรัตน์

พร้อมผู้ติดตามได้เดินทางมาถึงห้องประชุมเป็นแรก ทั้งนี้ การประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในวันนี้ เป็นการประชุมนอกสถานที่ ซึ่งจัดตั้งแต่วันที่ 23-28 ก.พ. เพื่อพิจารณาร่างรัฐ

ธรรมนูญเป็นรายมาตรา ภาค 2 ผู้นำการเมืองที่ดีและสถาบันการเมือง หมวด 1 ระบบผู้แทนที่ดี และผู้นำการเมืองที่ดี ในส่วนของระบบผู้แทนการเมือง สัดส่วนของ ส.ส. และ ส.ว. และ นอกจากนี้

จะมีการพิจารณา ในส่วนที่ได้การแขวนเอาไว้ รวมทั้งเรื่องการตั้งคณะกรรมการปรองดองแห่งชาติ ที่ยังไม่ข้อสรุปที่ชัดเจนถึงสัดส่วนของบุคคลที่เข้ามาเป็น
คณะกรรมการในชุดดังกล่าว
----------------
กมธ.ยกร่างฯ เริ่มพิจารณารายมาตรา ภาค 2 เรื่องผู้นำการเมืองที่ดีและสถาบันการเมืองแล้ว

บรรยากาศความเคลื่อนไหว ที่ โรงแรม ฮอลิเดย์ อินท์ พัทยา ล่าสุดกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 36 คน ที่มี นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งขณะนี้ได้

เริ่มการประชุมแล้วโดยมีวาระการพิจารณาเรื่องสำคัญในภาค 2 เรื่องผู้นำการเมืองที่ดีและสถาบันการเมือง หมวดรัฐสภา ระบบผู้แทนที่ดี และคณะรัฐมนตรี รวมถึงระบบเลือกตั้งสัดส่วนผสมแบบ

ประเทศเยอรมนี ทั้งนี้ ยังไม่มีการลงรายละเอียดตามรายมาตรา

อย่างไรตาม จะมีการแถลงความคืบหน้าในการพิจารณารัฐธรรมนูญในแต่ละประเด็นตามปกติ
----------------------
กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญประชุมสัญจรที่ จ.ชลบุรี พิจารณาในภาค 2 เรื่องผู้นำการเมืองที่ดีและสถาบันการเมือง และระบบการเลือกตั้งแบบเยอรมัน

ความเคลื่อนไหว ล่าสุดที่โรงแรม ฮอลิเดย์ อินท์ พัทยา กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 36 คน ที่มีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ได้เดินทางมาถึง สถานที่

ประชุม สัญจร ระหว่างวันที่ 23-28 กุมภาพันธ์  ซึ่งเป็นการประชุมนอกสถานที่ครั้งแรก
ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มการประชุมแล้วโดยมีวาระการพิจารณาเรื่องสำคัญ  ในภาค 2 ผู้นำการเมืองที่ดีและสถาบันการเมือง หมวดรัฐสภา  ระบบผู้แทนที่ดี และ คณะรัฐมนตรี รวมถึงระบบเลือกตั้งสัดส่วน

ผสมแบบประเทศเยอรมันนี ตามกรอบแนวคิดของกรรมาธิการยกร่าง ที่กำหนดให้สภาผู้แทนราษฏรมีไม่เกิน 480 คน ประกอบด้วยบัญชีรายชื่อ 200 คน  แบ่งเป็นภูมิภาคตามจำนวนประชากร ซึ่ง

อาจแปรผันได้ และแบบเขตเลือกตั้ง 250 เขตทั่วประเทศ

ทั้งนี้ ที่ประชุมยกร่างได้พิจารณาเป็นรายมาตราแล้วเสร็จ กว่า 150 มาตรา  โดยการประชุมเบื้องต้นทางกรรมาธิการได้วางกรอบไว้ว่า  จะพิจารณาให้เสร็จวันละ 21 มาตรา ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้น่า

จะมีไม่เกิน 299 มาตรา
-------------------
"บวรศักดิ์" เผย เรื่องการเมืองมี 101 มาตรา ตั้งเป้าพิจารณาอย่างน้อยวันละ 22 มาตรา ยึดหลักสำคัญ 4 ประการ 

นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงการพิจารณาในมาตราที่เหลือ โดยมีเรื่องเกี่ยวกับระบบ
การเมืองที่จะต้องพิจารณา 101 มาตรา และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 5 มาตรา รวมถึงเรื่องอื่น ๆ ที่ค้างอยู่ประมาณ 6 เรื่อง
รวมเป็น 112 เรื่องที่จะต้องพิจารณา โดยจะต้องพิจารณาต่อวันได้ขั้นต่ำประมาณวันละ 22 มาตรา และหากเป็นไปได้ต้องการให้ที่
ประชุมพิจารณาให้ได้วันละ 50 มาตรา เพื่อที่จะได้พิจารณาต่อในบทเฉพาะกาล และเรื่องที่ยังไม่ได้ข้อสรุป เพื่อให้การยกร่างเสร็จ
สิ้นในสัปดาห์นี้และในสัปดาห์หน้าเป็นต้นไป จะได้เข้าสู่การทบทวนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญและการจัดทำเจตนารมณ์แต่ละมาตรา

พร้อมทั้งระบุว่า ต้องให้ความสำคัญกับเจตนารมณ์ร่างรัฐธรรมนูญ เพราะจะเป็นสิ่งที่สื่อสารกับประชาชนได้เข้าใจ โดยมีหลักการ
ใหญ่สำคัญ 4 อย่าง คือ ให้พลเมืองเป็นใหญ่ การเมืองใสสะอาด หนุนสังคมเป็นธรรม นำชาติสู่สันติสุข โดยจะต้องมีความสมดุล
ระหว่างอำนาจของกลุ่มและพรรคการเมืองกับประชาชน
//////////////////

สำหรับในภาค 2 หมวด2 ผู้นำการเมืองที่ดีและสถาบันการเมือง ถือเป็นหัวข้อสุดท้ายของการพิจารณารายมาตรา และมีความสำคัญต่อการกำหนดแนวทางปฏิรูปการเมืองที่สุด และ เมื่อเสร็จสิ้น 

กรรมาธิการ ก็จะกลับมาพิจารณาในเรื่องที่แขวนไว้ ต่อไป
--------------------------
กมธ.ยกร่างฯ พิจารณา มาตรา 74 กำหนดตั้งสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ มีหน้าที่ชงเรื่องให้ถอดถอนนักการเมือง

ความเคลื่อนไหว ที่ โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ พัทยา ล่าสุด คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญอยู่ระหว่างการประชุมเพื่อพิจาราณา
ร่างรัฐธรรมนูญเป็นมาตรา ในมาตรา 74 ได้มีการกำหนดเบื้องต้นให้ตั้งสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ โดยมีอำนาจหน้าที่ควบคุมระบบ
คุณธรรมจริยธรรมนักการเมือง เสนอเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พิจารณาดำเนิน
การถอดถอนนักการเมือง กรณีฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง

ทั้งนี้ สมัชชาคุณธรรม มีหน้าที่กำหนดเนื้อหาจริยธรรม ซึ่งหากมีการดำเนินการที่ขัดต่อหลักจริยธรรมดังกล่าว ถือเป็นความผิด
ทางวินัย โดยให้สมัชชาคุณธรรมไต่สวนทางวินัยเพื่อส่งเรื่องให้รัฐสภา คณะรัฐมนตรี สภาท้องถิ่น หรือ สภาพลเมืองรับทราบ
และเปิดเผยผลการใต่สวนต่อสาธารณชนเพื่อป้องปรามต่อไป ซึ่งที่ประชุมอยู่ระหว่างถกเถียงจะให้สมัชชาคุณธรรมดังกล่าว
ส่งเรื่องถอดถอนได้โดยตรงไม่ต้อง ผ่าน ป.ป.ช. เพื่อความรวดเร็วหรือไม่
------------------------
กมธ.ยกร่าง ตั้งสมัชชาคุณธรรม 50 คน ควบคุมจริยธรรมนักการเมือง ขณะที่บวรศักดิ์ตั้งเป้าพิจารณาให้ได้วันละ 22 มาตรา

บรรยากาศความเคลื่อนไหวที่โรงแรม ฮอลิเดย์ อินท์ พัทยา ล่าสุดคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญยังคงอยู่ระหว่างการประชุมเพื่อพิจาราณาร่างรัฐธรรมนูญเป็นมาตรา ในมาตรา 74 มีมติเบื้องต้น

ให้ตั้งสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติขึ้น50 คน  โดยมีอำนาจหน้าที่ควบคุมระบบคุณธรรมจริยธรรมนักการเมือง เสนอเรื่องให้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) พิจารณา

ดำเนินการถอดถอนนักการเมือง  กรณีฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง สมัชชาคุณธรรม มีหน้าที่กำหนดเนื้อหาจริยธรรม ซึ่งหาก มีการดำเนินหารที่ขัดต่อหลักจริยธรรมดังกล่าว ถือ เป็นความผิดทางวินัย

โดยให่สมัชชาคุณธรรมไต่ส่วนทางวินัย เพื่อส่งเรื่องให้รัฐสภา คณะรัฐมนตรี  สภาท้องถิ่นหรือสภาพลเมืองรับทราบ และเปิดเผยผลการใต่ส่วนต่อสาธารณะชนเพื่อป้องปรามต่อไป

นอกจากนี้ ก่อนจะเริ่มการประชุมขึ้น นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า เนื้อหาที่จะพิจารณาในการประชุมนอกสถานที่ครั้งนี้ มีทั้งสิ้น 106 มาตรา แบ่งเป็น

ภาคผู้นำทางการเมือง ทั้งสิ้น 101 มาตรา และมีเรื่องค้างพิจารณาอีก 5 มาตรา โดยตั้งเป้าจะให้พิจารณาเสร็จอย่างน้อยวันละ 22 มาตรา และหากเป็นไปได้ต้องการให้ได้วันละ 50 มาตรา เพื่อที่จะได้

พิจารณาต่อในบทเฉพาะกาล และเรื่องที่ยังไม่ได้ข้อสรุป เพื่อให้การยกร่างเสร็จสิ้นในสัปดาห์นี้ และในสัปดาห์หน้าเป็นต้นไป จะได้เข้าสู่การทบทวนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญและการจัดทำ

เจตนารมณ์แต่ละมาตรา

และในการพิจารณามาตรา 73 ได้มีการกำหนดให้ผู้นำการเมืองทั้งระดับชาติ และระดับท้องถิ่นต้องจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และรับใช้ประชาชน เป็นพลเมืองที่ดี ยึดมั่นใน

คุณธรรมโดยกำหนดให้ ผู้นำการเมือง ประกอบด้วย -ผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกประเภท -ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง-ผู้นำอื่นในภาครัฐ
---------------
ที่ประชุม สปช.มีมติ 206 ต่อ 1 รับหลักการรายงานการปฏิรูปเพื่อสร้างชุมชนเข้มแข็ง ขณะ "เทียนฉาย" สั่งงดประชุมพรุ่งนี้


บรรยากาศการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ล่าสุด ได้เสร็จสิ้นการประชุมเพื่อพิจารณารายงานการปฏิรูปเพื่อสร้างชุมชนเข้มแข็ง
ของคณะกรรมาธิการปฏิรูปสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการและผู้ด้อยโอกาสแล้ว โดยมีมติ 206:1 เสียง รับหลักการของ
รายงานดังกล่าว

ทั้งนี้ ในช่วงบ่าย สมาชิก สปช. ได้อภิปรายอย่างกว้างขวาง ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่อภิปรายไปในทิศทางเดียวกันคือเห็นด้วยกับแนวทาง
ของคณะกรรมาธิการฯ แต่ยังมีข้อเสนอแนะในบางประเด็น เช่น ขอให้มีการพัฒนาอาชีพชุมชน วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม รวมถึงการ
ศึกษาเรื่องการจัดการตนเอง กำลังคนในการการจัดการชุมชนท้องถิ่น ขณะที่บางส่วนมีความเป็นห่วงในเรื่องของการทุจริตในการใช้
จ่ายงบประมาณ และหน้าที่บางอย่างทับซ้อนกับหน่วยงานรัฐที่มีอยู่ก่อนแล้ว

อย่างไรก็ตาม สำหรับในวันพรุ่งนี้ นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช. ได้มีคำสั่งงดการประชุม สปช. เพื่อให้สมาชิกได้ปฏิบัติหน้าที่
ในคณะกรรมาธิการแต่ละคณะอย่างเต็มที่
---------------------
กมธ.ยกร่าง รธน. ตั้ง 55 สมัชชาคุณธรรม ถอดถอนนักการเมืองหากผิดจริยธรรมรอชง สปช.

พลเอก เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติตั้งสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ
โดยมีวุฒิสภาตั้งคณะมนตรี 5 คน เพื่อสรรหาสมัชชาคุณธรรม 50 คน มีอำนาจหน้าที่ควบคุมระบบคุณธรรมจริยธรรมนัก
การเมือง ไต่สวนการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม และให้สมัชชาคุณธรรมแห่งชาติรายงานต่อสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา คณะ
รัฐมนตรี หรือสภาท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องและแจ้งให้สมัชชาพลเมืองทราบ พร้อมเปิดเผยผลการไต่สวนต่อสาธารณะชนเพื่อ
ป้องปราบไม่ให้ฝ่าฝืน นอกจากนี้ หากผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ สมาชิกวุฒิสภา
ผู้บริหารท้องถิ่นหรือสมาชิกสภาท้องถิ่น ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม ให้สมัชชาคุณธรรมแห่งชาติส่งเรื่องให้
คณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาดำเนินการ ในกรณีฝ่าฝืนทางจริยธรรมหรือไม่ปฏิบัติตามอย่างร้ายแรงเป็นผู้ดำรงตำแหน่ง
ทางการเมือง ให้ส่งเรื่องให้รัฐสภาพิจารณาถอดถอนต่อไป ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ
-------------------------
กมธ.ยกร่าง รธน. พิจารณาหมวด 1 ผู้นำการเมืองที่ดีและระบบผู้แทนที่ดี ให้การฝ่าฝืนของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้ถือว่าเป็นการกระทำผิดทางวินัย

พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ที่ปรึกษาและโฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พร้อมด้วย นายปกรณ์ ปรียากร กรรมาธิการยกร่าง
รัฐธรรมนูญ แถลงความคืบหน้าการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญรายมาตรานอกสถานที่วันแรก ที่มีการพิจารณาในภาค 2 ผู้นำการเมืองที่ดี
และสถาบันการเมือง หมวด 1 ผู้นำการเมืองที่ดีและระบบผู้แทนที่ดี โดยพิจารณาไปแล้ว 3 มาตรา

ทั้งนี้ ในการพิจารณามาตรา 73 เนื้อหาที่ว่าด้วยลักษณะผู้นำทางการเมืองทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น โดยได้แก่บุคคลที่เป็นผู้สมัคร
รับเลือกตั้งทุกประเภท ทุกระดับ และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมถึงผู้นำอื่นในภาครัฐย่อมต้องปฏิบัติตนเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ มาตรา 74 เป็นการกำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมของผู้นำการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐแต่ละประเภท ให้เป็นไป ตามประมวล
จริยธรรมที่สมัชชาคุณธรรมแห่งชาติกำหนดขึ้น โดยการฝ่าฝืนของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้ถือว่าเป็นการกระทำผิดทางวินัย
---------------------------
กมธ.ยกร่างฯ กำหนดให้สมัชชาคุณธรรมแห่งชาติไต่สวนการกระทำผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยังไม่พิจารณาเรื่องถอดถอน

พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ที่ปรึกษาและโฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า ในกรณีการไต่สวนผู้ดำรงตำแหน่งทาง
การเมืองนั้น ให้สมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ หรือผู้ที่สมัชชาคุณธรรมแห่งชาติมอบหมายไต่สวนการกระทำดังกล่าวโดยเร็ว และรายงาน
ต่อสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา คณะรัฐมนตรี หรือสภาท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องและแจ้งให้สมัชชาพลเมืองทราบ

ทั้งนี้ การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
หรือสมาชิกวุฒิสภา ผู้บริหารท้องถิ่นหรือสมาชิกสภาท้องถิ่น การกระทำผิดร้ายแรงย่อมเป็นเหตุแห่งการถอดถอน หรือการตัดสิทธิ
ทางการเมืองตามมาตรา 256 โดยให้สมัชชาคุณธรรมแห่งชาติส่งเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาดำเนินการโดยเร็ว ซึ่ง
มาตรา 256 ที่ว่าด้วยเรื่องการถอดถอน ยังเป็นมาตราที่แขวนไว้เพื่อรอพิจารณา โดยมีหลักการเบื้องต้นที่จะให้ประชาชนถอดถอน
โดยไม่จำเป็นต้องให้รัฐสภาถอดถอนก่อน โดยในส่วนนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี จะเป็นการลงคะแนนถอดถอนโดยประชาชน
ทั้งประเทศ ขณะที่การถอดถอน ส.ส. ก็จะเป็นการให้ประชาชนถอดถอนตามแต่ละเขตที่มา
/////////
นายกเคลื่อนไหว

นายกฯ เข้าทำเนียบแล้ว เตรียมนั่งหัวโต๊ะประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายสำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล - รปภ.เข้ม 

บรรยากาศที่ทำเนียบรัฐบาลล่าสุด ในช่วงเช้าวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.
ได้เดินทางเข้ามาปฏิบัติงานที่ทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่ในช่วงเช้า โดยเตรียมที่จะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตาม
นโยบายสำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล (กขน.) ครั้งที่ 1/2558 ที่ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า

ซึ่งความเคลื่อนไหวโดยทั่วไปมีรัฐมนตรีรวมถึงผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทยอยเดินทางเข้ามาที่ทำเนียบรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง
เพื่อเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้อย่างพร้อมเพรียง

อย่างไรก็ตาม สำหรับบรรยากาศโดยทั่วไปที่ทำเนียบรัฐบาลมีเจ้าหน้าที่เดินทางเข้ามาปฏิบัติงานตามปกติ ท่ามกลางมาตรการรักษาความปลอดภัย
จากเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเข้มงวดเช่นเคย
--------------------
นายกฯ สั่งเร่งช่วยเหลือชาวสวนยาง ย้ำซื้อตรงจากเกษตรกร มอบ คสช. กำกับดูแลในแต่ละพื้นที่ กำชับปราบทุจริต

ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า การประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบาย
สำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล (กขน.) ครั้งที่ 1/2558 ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความ
สงบแห่งชาติ หรือ คสช. เป็นประธานการประชุมวันนี้นั้น ได้มีการรับฟังและติดตามการขับเคลื่อนการดำเนินงานของคณะกรรมการ
ชุดต่าง ๆ ทั้งของภาครัฐและ คสช. พร้อมแต่งตั้งผู้ประสานงานขับเคลื่อนระดับกระทรวงด้วย

ขณะเดียวกัน  พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้สั่งการที่ประชุมในเรื่องการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา โดยย้ำให้มีการรับซื้อยางจาก
เกษตรกรโดยตรง พร้อมมอบหมายให้ คสช. ให้การสนับสนุนผ่านหน่วยงานของกองทัพในพื้นที่ กำกับดูแลการรับซื้อยางให้เป็นไป
ตามที่ได้มอบหมาย พร้อมกันนี้ยังเน้นย้ำในเรื่องการขับเคลื่อนทางการศึกษา โดยเฉพาะการขับเคลื่อนด้านการศึกษาทั้ง 5 แท่ง ต้อง
มีการเชื่อมโยงอย่างชัดเจน และให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อขับเคลื่อนการศึกษาในลักษณะเป็นซูเปอร์บอร์ดการศึกษา

พร้อมกันนี้ได้เร่งรัดการจัดการเกี่ยวกับกระบวนการการทุจริต โดยให้มีการดำเนินการอย่างครบถ้วนไม่เลือกปฏิบัติ อีกทั้งได้สั่งการ
เรื่องแรงงานต่างด้าวโดยให้ดำเนินการครอบคลุมทุกพื้นที่และจัดทำฐานข้อมูลให้ครบถ้วน รวมทั้งยังได้มอบหมายให้กระทรวงการ
ต่างประเทศทำการชี้แจงประเทศต่าง ๆ เรื่องปัญหาการค้ามนุษย์ ให้เข้าใจถึงการดำเนินการของฝ่ายไทยว่ามีความตั้งใจและอยู่ระหว่าง
การดำเนินการอย่างเข้มงวด
------------------
นายกรัฐมนตรีขอกลุ่มการเมืองอย่าออกมาเคลื่อนไหว รอสรุปผลเวทีเสวนาเรื่องสัมปทานปิโตรเลียม

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมือง
ขณะนี้ ว่า ขอกลุ่มการเมืองอย่าออกมาเคลื่อนไหว ซึ่งบ้านเมืองต้องเดินหน้าต่อไปโดยเรื่องการเมืองให้รอการเลือกตั้ง และจะต้อง
อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย ส่วนที่เริ่มมีความเคลื่อนไหวสถานการณ์ต่าง ๆ นั้นเพราะเริ่มมีคนได้ใจ แต่ทั้งนี้ยังมีกฎอัยการศึกอยู่
ขณะเดียวกันยืนยันว่าผลสำรวจเรื่องการเมืองไม่เป็นผลกระทบกับการดำเนินการตามโรดแมป และส่วนตัวจะทำตามหน้าที่

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงเวทีเสวนาเรื่องสัมปทานปิโตรเลียม เมื่อวันที่ 20 ก.พ. ที่ผ่านมา โดยระบุว่า ต้องรอให้คณะกรรม
การร่วมที่มีการตั้งขึ้นมาสรุป ซึ่งทิศทางต่าง ๆ จะต้องรอภายในวันที่ 16 มีนาคมนี้ แต่สุดท้ายส่วนตัวจะเป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องนี้
---------------------
นายกรัฐมนตรีสั่งเจ้าหน้าที่เข้มความปลอดภัยภาคใต้ เผย "พล.อ.ประวิตร" ไปกัมพูชาหารือเรื่องเศรษฐกิจ 


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่
เพิ่มความเข้มงวดมาตราการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มากยิ่งขึ้น ภายหลังที่มีเหตุลอบวางระเบิดใน
พื้นที่จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 20 ก.พ. ที่ผ่านมา โดยมีแนวคิดในการจัดระเบียบพื้นที่จอดรถต่าง ๆ ซึ่งประชาชนอาจจะไม่
ได้รับความสะดวกบ้าง พร้อมกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ

ทั้งนี้ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่ายังมีผู้ไม่ต้องการให้เหตุการณ์สงบ แต่เชื่อว่าประชาชนในพื้นที่มีความเข้าใจมาก
ยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงการเดินทางไปเยือนกัมพูชาของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความ
มั่นคงและคณะ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาว่า เป็นการเดินทางไปหารือเรื่องการเปิดด่านชายแดน การค้าขายและทางด้านเศรษฐกิจ และ
ขออย่ารื้อฟื้นเรื่องเขาพระวิหาร ส่วนกรณีปัญหาความเห็นต่างมติของมหาเถรสมาคมเรื่องพระธัมมชโย นั้น เป็นเรื่องของสำนัก
งานพระพุทธศาสนา และให้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายดูแลอยู่
//////////
คดีความมั่นคง

ศาลพิพากษาคดีสาวนักเคลื่อนไหวและพวก ผิดในคดีหมิ่นเบื้องสูง ม.112 จากการแสดงละครเวที จำคุก 2 ปี 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา

ศาลอาญารัชดา อ่านคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ภรณ์ทิพย์ มั่นคง หรือ กอล์ฟ นักเคลื่อนไหวกลุ่มประกายไฟ
และ นายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม อดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นจำเลยในความผิดฐาน หมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 112

จากกรณีทั้งสองคนมีส่วนร่วมในละครเวทีเรื่องเจ้าสาวหมาป่า ที่จัดแสดงในงานรำลึก 40 ปี 14 ตุลา เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2556 ที่หอ
ประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยเนื้อหาของละครเวทีดังกล่าว เป็นไปในทำนองส่อเสียด ล้อเลียนและพาดพิงสถาบันเบื้องสูง

โดยคดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลจึงมีคำพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 สั่งจำคุกคนละ 5 ปี แต่
จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยไว้คนละ 2 ปี 6 เดือน พิเคราะห์รายงานการสืบเสาะ
แล้ว เห็นว่า แม้จำเลยไม่เคยทำผิดมาก่อน แต่พฤติกรรมของจำเลยที่แสดงละครจาบจ้วงสถาบันต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก และมีการเผยแพร่
ไปในวงกว้าง สร้างความเสียหายต่อสถาบัน พฤติการณ์มีความร้ายแรง โทษจำคุกไม่สมควรรอการลงโทษ

อย่างไรก็ตาม ในการอ่านคำพิพากษาคดีนี้ มีกลุ่มเพื่อนของจำเลยเข้ามาร่วมฟังคำพิพากษาและให้กำลังใจจำเลยทั้งสองคน จำนวนมาก จน
ล้นออกไปนอกห้องพิจารณาคดี แต่ไม่มีความวุ่นวายใดเกิดขึ้น
--------------------
พงส.พญาไท เผย ขอศาลอนุมัติหมายจับชายนำกล่องวางบนรถไฟฟ้าพญาไท ทำให้ผู้อื่นตกใจกลัว


พ.ต.อ.วิชัย แดงประดับ หัวหน้าพนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ สถานีตำรวจนครบาลพญาไท เปิดเผยว่า ล่าสุด ได้สั่งการให้
พนักงานสอบสวนดำเนินการขออนุมัติศาลแขวงดุสิต ออกหมายจับชายต้องสงสัยตามภาพจากกล้องวงจรปิด อายุประมาณ
25-30 ปี สูงประมาณ 165 เซนติเมตร ลักษณะสวมหมวกสีดำ ใส่เสื้อแขนยาวสีฟ้า สวมกางเกงขาสั้น ใส่รองเท้าแตะ ในข้อหา
ทำให้ผู้อื่นตกใจหรือสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นแล้ว หลังเมื่อวานที่ผ่านมา ชายคนดังกล่าวได้นำกล่องกล้องถ่ายรูปไปวาง
ไว้บริเวณตู้โทรศัพท์สาธารณะ สถานีรถไฟฟ้าพญาไท ทำให้ประชาชนที่พบเห็นเกิดความตกใจคิดว่าเป็นวัตถุแปลกปลอม

โดยเบื้องต้นสำหรับการตรวจสอบพฤติกรรมดังกล่าว ตำรวจให้น้ำหนักไปที่เรื่องการขโมยกล้องถ่ายรูปมาจากที่อื่น และต้องการ
เพียงกล้องอย่างเดียวจึงทิ้งกล่องไว้ที่เกิดเหตุ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ได้ตัดประเด็นการสร้างสถานการณ์หรือก่อกวนทิ้ง

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จะดำเนินการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและพื้นที่ใกล้เคียงตรวจสอบเพื่อขยายผลหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดี
ส่วนกรณีหากเป็นการลักทรัพย์ ก็ขอให้ผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความได้ที่ สน.พญาไท
----------------------
อดีตนาย ตร. เข้าร้องเรียน สตช. กรณียังมีการลักลอบเปิดบ่อนการพนัน ย่านเตาปูน ขอให้เร่งดำเนินการตรวจสอบ

พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตนายตำรวจ เข้าร้องเรียนพร้อมยื่นหนังสือกับ พ.ต.อ.ชิดชนก พรหมสวัสดิ์ นายตำรวจเวร
ผู้ช่วยอำนวยการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณีมีการลักลอบเปิดบ่อนเล่นการพนันในพื้นที่ย่านเตาปูน โดยให้ข้อมูลว่า หลัง
คสช. มีประกาศห้ามมีบ่อนการพนันในพื้นที่ทั่วประเทศ แต่ปรากฏว่า บ่อนเตาปูน ซึ่งมีผู้อิทธิพลได้ลักลอบเปิดให้เล่นการพนัน
ตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา โดยกล่าวอ้างว่า มีนายทหารยศพลเอก สังกัดกองทัพบก ที่มีความสนิทสนมกับ
พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ได้อนุญาตให้เปิดบ่อนดังกล่าว ทำให้มีผู้หลงเชื่อเข้าไปใช้บริการจำนวนมาก โดยบ่อน
ดังกล่าวมียอดเงินหมุนเวียนวันละหลายล้านบาท ตนจึงได้ให้ข้อมูลกับ ผบ.ตร. เพื่อสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล เข้า
ดำเนินการทันที เนื่องจากเกรงว่า หากล่าช้าจะมีการขนย้ายอุปกรณ์หลบหนีได้

อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าการเปิดบ่อนพนันดังกล่าวมีผู้ใช้สถานการณ์แอบอ้างเรียกรับผลประโยชน์ จึงอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ
เข้าตรวจสอบและเร่งดำเนินการ
------------
รรท.ผบก.ป. เผย คืบคดี ยักยอก สจล. คืบหน้าไปมากแล้ว รอผล พฐ. ตรวจลายเซ็น 25 ก.พ.นี้ เร่งตามตัวป๋าชื่นต่อ

พ.ต.อ.อัครเดช พิมลศรี รักษาราชการผู้บังคับการกองปราบปราม เปิดเผยความคืบหน้าคดีการยักยอกเงินสถาบันเทคโนโลยี
พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 1,600 ล้านบาท ขณะนี้คดีมีความคืบหน้ามากกว่าร้อยละ 90 และได้มีการสอบปากคำพยาน
ไปแล้วกว่า 40 ปาก ซึ่งจากการรวบรวมพยานหลักฐาน คาดว่าไม่เกินวันที่ 5 มีนาคม นี้ จะสามารถส่งฟ้องผู้ที่กระทำความผิดได้
ทั้งหมด รวมถึงผู้ที่ถูกออกหมายจับได้

ส่วนผลการส่งลายเซ็นไปให้สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ตรวจสอบการเซ็นอนุมัติเอกสารนั้น คาดว่า ภายในวันพุธที่ 25 ก.พ.นี้
จะทราบผลในเบื้องต้น

ส่วนการติดตามตัว นายบุญธรรม บุญเทพประทาน หรือ ป๋าชื่น ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับฐานแอบอ้างเบื้องสูง โดยใช้อุบาย
หลอกลวงประชาชน ซื้อที่ใน ตำบลหนองสาหร่าย จังหวัดนครราชสีมา ขณะนี้อยู่ระหว่างเร่งรัดติดตามตัว ซึ่งคาดว่ายังหลบหนี
อยู่ภายในประเทศ

ขณะเดียวกัน พ.ต.อ.อัครเดช กล่าวถึงกรณี นายอภิรุจ สุวะดี และ นางวันทนีย์ สุวะดี บิดาและมารดาของ ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์
สุวะดี ที่ถูกผู้เสียหายร้องเรียนว่า ถูกกลั่นแกล้งให้ได้รับโทษทางอาญานั้น จากการประชุมคณะทำงานเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา คาดว่า
อีกไม่เกิน 2 วัน จะสามารถสรุปสำนวนเสนอความเห็น เสนอต่อรักษาราชการผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และคณะกรรมการ
ทำงานเกี่ยวกับคดีหมิ่นเบื้องสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้พิจารณาได้ พร้อมยืนยันว่า มีหลักฐานเพียงพอในการดำเนินคดี
-----------------
ผกก.อีโอดี เผย เจอระเบิดลูกเกลี้ยง ในแฟลต ตร.หน้าห้อง ตร. สน.ฉลองกรุง 1 ลูก เร่งเก็บกู้แล้ว 

เมื่อสักครูที่ผ่านมา พ.ต.อ.กำธร อุ่ยเจริญ ผกก.กลุ่มงานเก็บกู้และพิสูจน์วัตถุระเบิด หรือ อีโอดี บช.น. เปิดเผย สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.ว่า
รับแจ้ง พบลูกระเบิดถูกวางเอาไว้ในแฟลตตำรวจ ตั้งอยู่ภายในซอยรามคำแหง 142 โดยวางไว้หน้าห้องของ ตร.สังกัด
สน.ฉลองกรุง โดยขณะนี้ได้ส่งทีมงานชุดเก็บกู้ไปทำการเก็บกู้แล้ว ซึ่งระเบิดลูกดังกล่าวถูกใส่ไว้ในกระป๋อง ยังสามารถ
ใช้การได้ ล่าสุด มีนายตำรวจของ สน.บางชัน เข้าตรวจที่เกิดเหตุ นำโดย พ.ต.อ.สุวิชชา จินดาคำ ผกก.สน.บางชัน แล้ว ส่วนความคืบหน้าจะนำเสนอต่อไป
------------------
คืบพบ ระเบิด ที่แฟลต ตร. หน้าห้อง ตร.ฉลองกรุง อีโอดี เร่งตวจสอบ ขณะที่ น.1 รุดตรวจสอบแล้ว

ตำรวจ สน.บางชัน เข้าตรวจสอบเหตุพบวัตถุต้องสงสัย ภายในแฟลตตำรวจอาคารอี ซ.รามคำแหง 142 ที่เกิดเหตุพบวัตถุสีดำ
คล้ายระเบิด วางอยู่บริเวณชั้น 6 หน้าห้อง 85/601 ซึ่งเป็นห้องของ ด.ต.ศักดิ์สิทธิ์ ดวงบารมี นายตำรวจสังกัด สน.ฉลองกรุง
ซึ่งเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด หรือ อีโอดี เข้าตรวจสอบแล้ว พบว่า เป็นระเบิดชนิด M26a จึงนำยางล้อรถยนต์
ครอบไว้

จากการสอบสวนพยานที่พักอาศัยอยู่ในแฟลตดังกล่าวทราบว่า ก่อนเกิดเหตุได้ยินเสียงคล้ายมีวัตถุตกลงกระแทกพื้น จึงเปิดประตู
ออกมาดู ก็พบว่าเป็นวัตถุคล้ายระเบิด จึงแจ้งเจ้าหน้าที่เข้าทำการตรวจสอบ

อย่างไรก็ตาม พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้ว
-----------------------
ชาวแฟลตตำรวจ รามฯ 142 ระทึก เจอระเบิดเอ็ม 26 หน้าห้องพักนายดาบ คาดซ่อนบนฝ้าเพดาน พอชำรุดเลยหล่นลงมา โชคดีไม่บึ้ม


วันนี้ พ.ต.อ.สุวิชชา จินดาคำ ผกก.สน.บางชัน รับแจ้งเหตุพบวัตถุต้องสงสัยภายในอาคารที่พักแฟลตตำรวจ อาคารอี ซอยรามคำแหง
142 แขวงและเขตสะพานสูง กทม. จึงมาตรวจสอบพร้อมด้วย พ.ต.อ.ไพศาล วงศ์วัชรมงคล รอง ผบก.น.4 และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.
บางชัน ที่หน้าห้อง 85/601 ชั้น 6 พบระเบิดลูกเกลี้ยงเอ็ม 26 เอ ผลิตในประเทศสหรัฐอเมริกา อยู่ที่พื้น สภาพสมบูรณ์ จึงนำล้อยาง
รถยนต์มาครอบไว้เพื่อความปลอดภัย

จากการสอบสวน ด.ต.ศักดิ์สิทธิ์ ดวงบารมี ธุรการ ป.สน.ฉลองกรุง และเป็นเจ้าของห้อง ให้การว่า อาศัยในห้องดังกล่าวกับภรรยาและ
ลูกสาว ซึ่งระหว่างที่เตรียมตัวไปเข้าเวรนั้น จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงของหล่นลงพื้น ลูกสาวจึงเดินออกไปดู พบว่าเป็นระเบิด ตนจึงแจ้งตำรวจ
สน.บางชัน

พ.ต.อ.สุวิชชา กล่าวว่า ตรวจสอบพบว่าระเบิดอยู่ในสภาพสมบูรณ์ คาดว่าเป็นของผู้ที่พักอาศัยเอามาซ่อนไว้ เนื่องจากไม่กล้านำเข้าห้องพัก
แต่เมื่อฝ้าเพดานชำรุดจึงทำให้ระเบิดตกลงมา เบื้องต้นได้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางชัน เก็บกู้เพื่อนำส่งเจ้าหน้าที่กลุ่มงานเก็บกู้และตรวจ
พิสูจน์วัตถุระเบิด (อีโอดี) ตรวจพิสูจน์ต่อไป
---------------
ศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษา คดีที่อดีต ผบช.ก. กับพวกรวม 5 คน เรียกรับเงินค่าตำแหน่ง 26 ก.พ. นี้ หลังสืบพยานแล้วเสร็จ

ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นัดอ่านคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์
อดีต ผบช.ก., พล.ต.ต.โกวิทย์ อดีต รอง ผบช.ก., พ.ต.อ.วุฒิชาติ เลื่อนสุคันธ์ อายุ 46 ปี อดีต ผกก.4 ปคบ., ด.ต.สุรศักดิ์ จันเงา
อายุ 50 ปี อดีต ผบ.หมู่ กก.2 ป. และ ด.ต.ฉัตรินทร์ หรือ จักรินทร์ เหล่าทอง อายุ 48 ปี อดีต ผบ.หมู่ ปพ.ป. ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-5
ในความผิดฐาน ร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ข่มขืนใจ หรือจูงใดเพื่อให้บุคคลใดมอบหรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สิน หรือประโยชน์
อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น, ร่วมกันเรียก รับ หรือยอมรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ และร่วมกันปฏิบัติ
หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด

จากกรณีเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 53 - 11 พ.ย. 57 จำเลยทั้งห้า ร่วมกับ พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ หลิมรัตน์ อดีต ผกก.1 กองปราบปราม ที่เสียชีวิตแล้ว
ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ เรียกรับเงินจาก พ.ต.ต.ชาตรี รุ่งดำรง สว.ทล.1 กก.1 บก.ทล. และบุคคลอื่นอีกหลายคนรายละ 3-5 ล้านบาท
เพื่อเป็นค่าตอบแทนในการช่วยเหลือให้ได้รับการคัดเลือกตำแหน่ง ในตำแหน่งสำคัญ สังกัด บช.ก. และสั่งว่าต้องจัดส่งเงินเป็นรายเดือน ๆ
ละ 10,000-2,000,000 บาท ให้จำเลยทั้งห้าอีกเพื่อเป็นค่าตอบแทนเพื่อให้ พ.ต.ต.ชาตรี กับพวก อยู่ในตำแหน่งต่อไป

ซึ่งวันนี้ ภายหลังศาลสืบพยานเสร็จสิ้นแล้ว โดยพิจารณาคดีลับเช่นกัน ศาลก็ได้นัดฟังคำพิพากษาวันเดียวกันกับคดีเรียกรับเงินจากส่วยน้ำมัน
ในวันที่ 26 ก.พ. นี้ เวลา 09.00 น.

ชูวิทย์ :พุทธอิสระกรณีธัมมชโยธรรมกาย

จากรัฐสภา ถึงมหาเถรสมาคม
การเมืองขึ้นอยู่กับความเชื่อ ส่วนศาสนาขึ้นอยู่กับความศรัทธา
เมื่อความเชื่อของประชาชนต่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์หมดไป เพราะได้ใจเอา "ร่างพรบ.นิรโทษกรรม" มาดัดแปลงดีเอ็นเอเข้าสู่สภา ฝ่ายตรงข้ามฉวยโอกาส "นาทีทอง" ปั่นกระแส "มวลมหาประชาชน" อันบริสุทธิ์เพื่อใช้เป็นประโยชน์กับตัวเอง
ถึงขั้นล้มการเลือกตั้ง ยึดสถานที่ราชการ อ้างการปฏิรูป บอกว่ามีการทุจริต คอรัปชั่น
โอกาสอันมีน้อยนิด ต้องรีบตีบท "เอาดีเข้าตัว เอาชั่วใส่คนอื่น" เมื่อสู้บนกระดานไม่ได้ ก็ต้องล้มกระดาน แล้วมานั่งนับหนึ่งกันใหม่
จากเรื่องการเมืองมาถึงเรื่องศาสนา มหาเถรสมาคมประกอบด้วยพระชั้นผู้ใหญ่ มีกฎระเบียบวิถีทางของสงฆ์ เมื่อเกิดปัญหาธัมมชโย วัดธรรมกาย จะอาบัติหรือปราชิกก็แล้วแต่ ย่อมไม่สามารถใช้วิธีการข้างถนน อย่างที่พระนักเลงอย่างพุทธะอิสระเคยทำมาในอดีตสมัยการเมือง ที่ทั้งปิดถนน ไล่ทำร้ายผู้คนที่สัญจรผ่านไปมา เพราะโลกของธรรมะย่อมแตกต่างจากโลกของการเมืองอย่างสิ้นเชิง
แต่พุทธะอิสระ "อวดอุตริ" ร่วมกับแก๊งขาประจำไม่ว่า นายไพบูลย์ นายเจิมศักดิ์ รับลูกกันใช้ความเสื่อมศรัทธามาขยายผลเหมือนที่เคยทำสำเร็จในทางการเมืองมาก่อน
พุทธศาสนิกชนลองตรองดูเถิด แต่ก่อนไฟการเมืองลามทุ่งเป็นกาฝากขึงพืดประเทศไทย จนถึงบัดนี้ ไฟกำลังจะลามเป็นกาฝากศาสนา
ผมไม่เชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ศรัทธาพุทธะอิสระ เพราะผมรู้ไส้รู้พุงจนถึงกระดูก
ผมจึงไม่ช่วย แต่ต้องออกมาขวาง หรือจะปล่อยให้ฉวยโอกาสกันอีก?