PR
วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2561
'มาร์ค'ยันไม่จำเป็นต้องคุยกับ'บิ๊กป้อม'เพราะพปชร.โม้ว่าจะได้350เสียง
เอวัง!ดีลเข็นลุงตู่นายกฯสมัย 2 'บิ๊กป้อม-เสี่ยต่อ'ปัดพัลวัน
‘มาร์ค’ โชว์ เคยให้รมต.ลาออก กันเอาเปรียบคู่แข่ง แนะ ‘ตู่’ ทำด้วย อย่าแค่ท่องธรรมาภิบาล
‘มาร์ค’ โชว์ เคยให้รมต.ลาออก กันเอาเปรียบคู่แข่ง แนะ ‘ตู่’ ทำด้วย อย่าแค่ท่องธรรมาภิบาล
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้า ปชป. กล่าวถึงพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในบัญชีรายชื่อผู้ที่พรรคจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ต้องแสดงท่าทีที่ชัดเจน เนื่องจากขณะนี้มีหลายสถานะ ว่า คงไม่มีใครบังคับได้ แต่ต้องคิดว่าถ้าจะตอบรับนั่นแปลว่า พล.อ.ประยุทธ์มีส่วนได้ส่วนเสียกับการเลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งต้องพิจารณาตามหลักธรรมาภิบาลว่าต้องทำอย่างไร เพื่อให้มั่นใจว่าการเลือกตั้งจะสุจริตเที่ยงธรรม
“ผมอยากเรียนว่าเรื่องธรรมาภิบาลพูดแค่เรื่องกฎหมายไม่ได้ ตอนผมเป็นนายกรัฐมนตรีมีรัฐมนตรีเกิดปัญหาขึ้นในเรื่องคุณสมบัติ ส.ส.ต้องลงสมัครเลือกตั้งซ่อม ผมให้ทุกคนออกจากตำแหน่ง เพราะไม่ต้องการให้ใช้ตำแหน่งเอารัดเอาเปรียบคู่แข่งขัน แต่กฎหมายไม่ได้บังคับ แต่ทุกคนในพรรคของผมและพรรคร่วมก็ให้ความร่วมมืออย่างดี บรรทัดฐานแบบนี้ถ้าอยากมีธรรมาภิบาลก็ต้องสร้างขึ้น ถ้าท่องเพียงแค่ว่าไม่ได้ทำผิดกฎหมาย การเมืองไทยจะวนเวียนแบบเดิม” นายอภิสิทธิ์กล่าว
‘สาธิต’ สะกิดต่อม ‘บิ๊กตู่’ ลาออกนายกฯ -หัวหน้าคสช. ก่อนขึ้นบัญชีรายชื่อ 1 ใน 3 พปชร.
‘สาธิต’ สะกิดต่อม ‘บิ๊กตู่’ ลาออกนายกฯ -หัวหน้าคสช. ก่อนขึ้นบัญชีรายชื่อ 1 ใน 3 พปชร.
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม นายสาธิต ปิตุเตชะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เตรียมเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นแคนดิเดตนายกฯ อันดับ 1 ของพรรคว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์ลาออกจากนายกฯและหัวหน้า คสช.จะสง่างามมาก และมาสังกัดในบัญชีรายชื่อพรรค พปชร. แต่หากยังดันทุรังที่จะอยู่ในตำแหน่งดังกล่าวจะสุ่มเสี่ยงขัดหลักธรรมาภิบาล และจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ ก็เชื่อว่าตัว พล.อ.ประยุทธ์และ พปชร.จะไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนและมีจุดจบชีวิตที่น่าเป็นห่วง พร้อมทั้งแสดงให้เห็นว่าที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นการร่างรัฐธรรมนูญ เขียนกฎหมายต่างๆ การตั้งพรรคการเมืองโดยใช้ทุนมหาศาลไปดูดอดีต ส.ส.ด้วยรูปแบบต่างๆ รวมทั้งออกคำสั่ง คสช.ให้ กกต.มีอำนาจเด็ดขาดแบ่งเขตเลือกตั้งก็เพื่อให้ตัวเองกลับมาเป็นนายกฯ และสืบอำนาจต่อไปอย่างไม่เกรงใจใครๆ
อำนาจที่หมกเม็ดใน รธน.
กว่า“บิ๊กตู่” จะบอกว่า มีเลือกตั้ง ก่อน มี”พระราชพิธีฯ”
/////
——
สะพัด!! ‘บิ๊กทหาร-บิ๊กป้อม’ ล็อบบี้เงียบ ‘มาร์ค-พรรคการเมือง’ หนุนบิ๊กตู่ นายกฯ
สะพัด!! ‘บิ๊กทหาร-บิ๊กป้อม’ ล็อบบี้เงียบ ‘มาร์ค-พรรคการเมือง’ หนุนบิ๊กตู่ นายกฯ
แหล่งข่าวระบุอีกว่า ในเมื่อกลุ่ม นพ.วรงค์ไม่สามารถยึด ปชป.สำเร็จ ทำให้เส้นทาง พล.อ.ประยุทธ์อาจไม่ราบรื่น และเกรงว่าหลังเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์มีจำนวน ส.ส.มากกกว่าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และนายอภิสิทธิ์จะไม่ยอม อีกทั้งยังจะขึ้นเป็นคู่เทียบในตำแหน่งนายกฯอีกครั้ง
รายงานข่าวเปิดเผยว่า สำหรับการทาบทามพรรคการเมืองเพื่อเข้าร่วมรัฐบาล หาก พล.อ.ประยุทธ์รับข้อเสนอนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ได้มีนายทหารระดับสูงพูดคุยกับพรรคการเมืองต่างๆ หลายพรรค และได้มีการตอบตกลงเป็นการภายในแล้ว
เลือกตั้งก่อนมีพระราชพิธี
เลือกตั้ง! ‘มาร์ค’เตือนสติ‘บิ๊กตู่’ย้อนดูอดีต ระวังจุดจบ‘พปชร.’ไม่สง่างาม
ปลดล็อกเมื่อไหร่
ขยายปมร้อน) ในการหารือของ คสช.กับ กกต.และพรรคการเมือง ในวันที่ 7 ธันวาคม จะได้คำตอบเรื่องปลดล็อกการเมือง
วันศุกร์นี้ (7 ธันวาคม) คสช.นัดคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และพรรคการเมืองมาพูดคุย ก่อนที่กฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 11 ธันวาคม นี้ ประเด็นสำคัญของการหารือ คือ "เรื่องปลดล็อกการเมือง"
สำหรับกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. ที่กำลังจะมีผลบังคับใช้นี้ เป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการเลือกตั้งฉบับสุดท้าย ในจำนวน 4 ฉบับ ที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้มีก่อนจะเริ่มนับเวลาไปสู่การเลือกตั้งกันจริงๆภายใน 150 วัน ซึ่งตอนนี้มีการกำหนดวันเลือกตั้งไว้ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562
กฎหมายลูก 3 ฉบับที่มีผลบังคับใช้ไปก่อนหน้านี้แล้ว คือ กฎหมาย กกต. กฎหมายพรรคการเมือง และกฎหมายการได้มาซึ่ง ส.ว.
มาที่เรื่องสำคัญ คือการปลดล็อกการเมืองที่เรียกร้องกันมานาน ที่ผ่านมา คสช.ผ่อนคลายให้ในบางกิจกรรม คราวนี้น่าจะถึงเวลาที่จะมีการ "ปลดล็อก" กันจริงๆ
สำหรับคำสั่งที่ "ล็อกพรรคการเมือง" ไว้ มี 2 คำสั่ง คือ ประกาศ คสช.ฉบับที่ 57/2557 ห้ามพรรคการเมืองประชุม หรือดําเนินกิจการใดๆ ในทางการเมือง ออกมาตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2557 และคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 ห้ามชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ที่ออกมาเมื่อ 1 เมษายน 2558
(อ่านราชกิจจานุเบกษา...คลิกที่นี่)
(อ่านราชกิจจานุเบกษา...คลิกที่นี่)
ในส่วนการห้ามพรรคการเมืองประชุมหรือทำกิจกรรมต่างๆนั้น ที่ผ่านมา คสช.มีการผ่อนปรนให้ดำเนินการได้บางกรณี ตามที่ออกเป็นคำสั่งหัวหน้า คสช.เรื่อง การดําเนินการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ที่ออกมา 3 ครั้ง คือ คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 53/2560 เมื่อ 22 ธันวาคม 2560, คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 13/2561 เมื่อ 14 กันยายน 2561 และล่าสุดคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 16/2561 เมื่อ 16 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่ได้ปล่อยให้พรรคการเมืองทำทุกอย่างได้อย่างเสรี
(อ่านราชกิจจานุเบกษา...คลิกที่นี่)
(อ่านราชกิจจานุเบกษา...คลิกที่นี่)
(อ่านราชกิจจานุเบกษา...คลิกที่นี่)
ถามถึงเหตุผลว่าทำไมตอนนี้ถึงเวลาปลดล็อกแล้ว ก็ต้องบอกว่า เพราะกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.กำลังจะมีผลบังคับใช้ ต่อจากนั้นก็จะต้องมีการออกพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง เดินหน้าสู่การเมืองตั้งจริงๆ หาก คสช.ไม่ปลดล็อกให้พรรคการเมืองก็จะถูกตั้งคำถามหนักขึ้น ซึ่งจริงๆก็เป็นสิ่งที่ คสช.ถูกตั้งคำถามและถูกทวงถามมาตลอด เพียงแต่ที่ผ่านมา คสช.ยังกอดอยู่กับเหตุผลเรื่องความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและเรื่องการปฏิรูปประเทศ
ดังเช่นข้อความในคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 13/2561 เมื่อ 14 กันยายน 2561 ระบุว่า "เพื่อให้สถานการณ์ของบ้านเมืองที่มีความสงบเรียบร้อยระดับหนึ่งในขณะนี้ยังคงดำเนิน อยู่ต่อไปในห้วงเวลาการปฏิรูปประเทศตามแผนการปฏิรูปประเทศ จึงยังคงจำเป็นต้องให้ประกาศ คณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เกี่ยวกับการดำเนินการของพรรคการเมืองยังคงมีผลใช้บังคับต่อไป"
อีกเหตุผลต้องปลดล็อก คือ วันนี้พรรคการเมืองฝ่ายสนับสนุนคสช.ที่เพิ่งตั้งขึ้นมาก็ต้องการขยับอย่างเสรีเช่นกัน หาก คสช.ยังไม่ปลดล็อกให้พรรคการเมือง ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย
ส่วนเรื่องการชุมนุมทางการเมือง 5 คนขึ้นไปนั้น ตอนนี้ก็ไม่น่ามีอะไรต้องกังวล เพราะมีบทบัญญัติในกฎหมายพรรคการเมืองคุมเข้มเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว ต่อไปพรรคการเมืองจะไม่สามารถเดินเกมการเมืองแบบ 2 ขาได้อีกแล้ว คือ ขาหนึ่งอยู่ในสภา อีกขาจัดตั้งมวลชนออกมาชุมนุม เหมือนที่เคยเกิดกับกรณีการชุมนุมของคนเสื้อแดง หรือการชุมนุมของ กปปส.
หากทำแบบนั้น จะมีโทษถึงขั้นยุบพรรค !!
ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายพรรคการเมือง มาตรา 44 ที่ระบุว่า "ห้ามมิให้พรรคการเมือง ผู้ดํารงตําแหน่งในพรรคการเมือง และสมาชิกรับบริจาคจากผู้ใดเพื่อกระทําการหรือสนับสนุนการกระทําอันเป็นการบ่อนทําลายความมั่นคงของราชอาณาจักรราชบัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือราชการแผ่นดิน"
และมาตรา 45 "ห้ามมิให้พรรคการเมืองหรือผู้ดํารงตําแหน่งในพรรคการเมืองกระทําการหรือส่งเสริม สนับสนุนให้ผู้ใดกระทําการอันเป็นการก่อกวนหรือคุกคามความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือกระทําการอันเป็นการทําลายทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ"
ในการหารือของ คสช.กับ กกต.และพรรคการเมือง ในวันที่ 7 ธันวาคม น่าจะได้คำตอบชัดๆว่าจะมีการปลดล็อกการเมืองเมื่อไร
ที่ผ่านมาทางฝ่าย คสช.มีการออกมาพูดกว้างๆว่าจะปลดล็อกหลังกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.มีผลบังคับใช้ คือหลัง 11 ธันวาคม แต่เอาเข้าจริง คาดว่าจะมีการปลดล็อกหลังจากมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง ส.ส.ออกมา ซึ่งน่าจะเป็นช่วงปลายเดือนธันวาคม
ถึงแม้จะดึงเวลาไปได้อีกไม่กี่วัน แต่ก็ต้องบอกว่ามีความสำคัญ เพราะสถานการณ์การเมืองหลังปลดล็อกการเมืองอาจจะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ
อาจจะเป็นช่วงเวลาที่ฝ่าย คสช. "โดนรุมกินโต๊ะ" ก็ได้
ยังไม่ต้องนึกถึงสเต็ปต่อไป หากมีการเปิดตัว "พล.อ.ประยุทธ์" ออกมาอยู่ในบัญชีนายกฯของพรรคการเมือง !!
=====================
โดย สมฤทัย ทรัพย์สมบูรณ์
ไพศาล เปิด4ตัวเต็งนายกฯ
3 ธ.ค.61 นายไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Paisal Puechmongkol ระบุว่า ดูอาการขับเคลื่อนของพรรคการเมืองทั้งสามก๊กแล้ว คู่แข่งนายกรัฐมนตรีน่าจะมี 4 คนคือ
1 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
2 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
3 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
4 นายอนุทิน ชาญวีรกุล
ใจป้ำแจกดะ(หาเสียง)
ช่วงนี้ดูเหมือนรัฐบาลจะใจป้ำ ลุยแจกดะ โดยเฉพาะกับผู้มีรายได้น้อย ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 4 มาตรการในช่วง 10 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือน ธ.ค.2561-ก.ย.2562 ไม่ว่าจะเป็นค่าไฟฟ้า-ค่าน้ำประปาหลังจากที่จ่ายไปแล้ว ทางกรมบัญชีกลางจะโอนเงินชดเชยค่าไฟฟ้า/น้ำประปา เข้ากระเป๋าเงิน e-Money ตามจำนวนที่ผู้มีสิทธิได้ชำระไว้ตามจริง ทุกวันที่ 18 ของเดือน โดยจะเริ่มจ่ายเดือนแรก 18 ก.พ.2562 นอกจากนี้ยังแจกเงินให้เที่ยวปีใหม่อีก 500บาทต่อคน เริ่มในช่วงวันที่ 8-10 ธ.ค.นี้ และยังจ่ายเงินค่าเดินทางไปรับการรักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่นเกี่ยวกับสุขภาพอีก 1,000 บาทให้กับผู้สูงอายุ 1,000 บาท ทุกวันที่ 21 ของเดือน ซึ่งจะเริ่มจ่ายเดือนแรก วันที่ 21 ธ.ค.นี้
ยังไม่หมด ยังมีเงินค่าเช้าบ้านอีก 400 บาทสำหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยที่มีอายุครบ 60 ปีขึ้นไป ที่มีภาระค่าเช่าบ้านและไม่มีที่พักอาศัย จะได้รับเงินช่วยเหลือในทุกวันที่ 12 ของเดือน ซึ่งจะเริ่มจ่ายเดือนแรกวันที่ 12 ธ.ค.2561 นี้
นอกจากนี้ ยังมีโครงการช็อปช่วยชาติใน 3 สินค้า คือ ยางพารา หนังสือ และสินค้าโอท็อป เริ่มใช้ตั้งแต่ 15 ธ.ค.2561 ถึง 15 ม.ค.2562 นี้ กำหนดวงเงินใช้จ่ายนำมาลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 1.5 หมื่นบาทต่อราย คาดจะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาวันที่ 4 ธ.ค.61 ยังไม่หมด เพราะล่าสุด รมว.การคลัง อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ได้ออกมาระบุอีกว่า เตรียมคืนแวตอีก 5% ในวงเงินไม่เกิน 2 หมื่นบาทต่อรายแก่ประชาชนที่จับจ่ายใช้สอยผ่านบัตรเดบิตในสินค้าที่มีการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยโครงการนี้จะใช้ในช่วงเทศกาลตรุษจีน หรือระหว่างวันที่ 1 ถึง 15 ก.พ.2562
โดยในเบื้องต้นนั้นโครงการคืนแวตแก่ประชาชนนี้ คาดว่า จะใช้เงินประมาณ 6-7 พันล้านบาท แต่จะขอวงเงินเผื่อไว้ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท โดยรัฐบาลจะเริ่มคืนเงินในวันที่ 15 มี.ค.2562 ผ่านระบบพร้อมเพย์ที่ลงทะเบียนผ่านบัตรประชาชนเท่านั้น โดยรัฐบาลจะขอให้สถาบันการเงินยกเว้นค่าธรรมเนียมในการจัดทำบัตรเดบิตด้วย
ล่าสุด อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.การคลัง ก็ยังแจกไม่หยุด แจกเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้แจกซิมการ์ดฟรีแก่ผู้มีรายได้น้อย ให้สามารถใช้บริการอินเทอร์เน็ตได้ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์และข่าวสารที่มีความสำคัญ
ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับการเพาะปลูกพืชเกษตร ราคาสินค้าเกษตร โดยระบุรูปแบบการแจกไว้ 2 แบบ คือ 1.สำหรับประชาชนที่มีซิมการ์ดที่สามารถใช้บริการอินเทอร์เน็ตได้อยู่แล้ว จะให้เป็นการเพิ่มปริมาณอินเทอร์เน็ตให้ฟรี 2.สำหรับประชาชนที่ยังไม่มีซิมการ์ดที่สามารถใช้บริการอินเทอร์เน็ตได้ จะมีการแจกซิมการ์ดฟรี เพื่อนำไปใช้บริการผ่านระบบอินเทอร์เน็ตต่างๆ
โดยระบุว่าเป้าหมายที่แจกซิมการ์ดนั้น เพื่อให้ประชาชนนำไปใช้บริการเพื่อศึกษาหาความรู้ ไม่ใช่เพียงแค่การเล่นเกมหรือดูหนังเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลออกมาตรการต่างๆ นั้น โดยอ้างว่าเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย แต่ก็ยังสร้างขอกังขาให้กับประชาชนว่า จริงหรือที่ช่วยผู้มีรายได้น้อย เพราะถ้าพิจารณาแล้วช่วงเวลาที่อนุมัตินั้น ต่างใกล้เคียงกับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 24 ก.พ.2562 เสียจริง ถ้าไม่เรียกว่าหาเสียงเลือกตั้งแล้วจะเรียกกันว่าอะไรได้
งานนี้เดือดร้อนถึง รมว.การคลัง อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ที่กำกับดูแลการเงินของประเทศออกมาเต้น และ "ยืนยันว่า มาตรการต่างๆ ที่เราออกมานั้น ไม่ได้ทำเพื่อการหาเสียง แต่เป็นโครงการต่อเนื่องที่เราทำมาตลอด โดย 2 ปีก่อน เราทำช็อปช่วยชาติ เพราะการบริโภคลดลงหรืออยู่ที่ 1% แต่ขณะนี้ การบริโภคอยู่ที่ 4% ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ในบางสินค้ายังต้องช่วยเหลือ ส่วนมาตรการคืนแวต ก็เพื่อพยุงให้เศรษฐกิจขยายตัวได้เกิน 4% ซึ่งตอนนี้เราก็คาดว่าจะขยายได้ในระดับ 4% ต้นๆ หากว่าเศรษฐกิจตกลง การใช้มาตรการต่างๆ จะต้องมีมาตรการแรงเพื่อดึงขึ้นมา แต่กรณีนี้เราใช้มาตรการเพื่อพยุง"
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ามาตรการที่ออกมานั้นจะเป็นการหาเสียงหรือไม่หาเสียง สิ่งเดียวที่รัฐบาลควรที่จะรีบดำเนินการ เร่งรัดแก้ไขปัญหาให้โดยเร็วคือปากท้องของชาวบ้านที่ขณะนี้กำลังผจญกับปัญหารายได้ไม่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปทุกหย่อมหญ้า ซึ่งต่างจากประกาศของหน่วยงานภาครัฐที่มักจะออกมาพูด มาเสนอหน้าเสมอว่าเศรษฐกิจดีอย่างนั้น อย่างนี้
สงสัยมันดีตรงไหนถ้าดีแล้วทำไมประชาชนชาวนา ชาวสวนถึงยังออกมาเรียกร้องให้ดูแลพืชผลทางการเกษตรไม่หยุดไม่หย่อนกันอีก.
บุญช่วย ค้ายาดี
'จตุพร' เตือนพรรคฝ่ายปชต. 'อย่าหลอกตัวเอง' ว่าจะชนะเลือกตั้ง!
3 ธ.ค. 61 - นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในฐานะกองเชียร์พรรคเพื่อชาติ (พ.พ.ช.) กล่วงช่วงหนึ่งที่เวทีกิจกรรมลมหายใจพีซทีวี อิมพีเรียลลาดพร้าววานนี้ ว่า เป้าหมายการต่อสู้ในการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคการเมืองต้องมีสติเปิดกว้างในการต่อสู้ การวิจารณ์กันต้องระมัดระวัง ควรรักษามิตรที่เคยอยู่ร่วมกันมา อย่าได้หวาดระแวงแล้วจ้องทำลายล้างกัน ซึ่งจะไม่เป็นผลดีกับฝ่ายประชาธิปไตย ตนเตือนบางคนแล้ว กลับได้เสียงมาต่อว่ากันอีก ทำไมไม่คุยกัน ตนจึงขอให้ไปบอกคนพูดก่อน อย่าขว้างมีดมาใส่ก่อน ตนไม่มีหน้าที่ให้ใครกระทืบเล่น
“เราต้องคิดตลอดเวลา เมื่ออยู่สถานการณ์ที่ถูกมัดไว้หมดทุกด้าน ฝ่ายประชาธิปไตยต้องหนักแน่น ต้องไว้เนื้อเชื่อใจกัน วิเคราะห์ คิด กำหนดย่างก้าวร่วมกัน หากใช้อารมณ์เดินไม่มีทางชนะเลย ปัจจุบันนี้ทุกพรรคตกเป็นรองทุกด้าน ไม่ได้เป็นต่อเลย ขออย่าอธิบายแบบหลอกตัวเองว่าจะชนะ”นายจตุพรกล่าวและว่า โอกาสชนะไม่ง่าย นอกจากจะประชาชนเข้าใจสิ่งที่ทุกพรรคทำงานกันอยู่ แต่อย่าสิ้นหวังต้องควบคุมอารมณ์กันให้ได้ทุกฝ่าย และอย่าหวาดระแวง จ้องทำลายกัน
นายกฯ ที่ 'ทุกพรรค' ไม่มีตัวแข่ง
"ขาขึ้น"
ชี้สุนัข สุนัขเป็นราชสีห์, ชี้เสาไฟฟ้า เสาไฟฟ้าเป็น ส.ส.
เรียกว่า ยุคเฟื่องฟู พะยี่ห้อ "เพื่อไทย" ลงไปตรงไหน "ชี้เป็น-ชี้ตาย" ได้ตรงนั้น
แต่วันนี้ "ขาลง"!
ยี่ห้อ "ทักษิณ-เพื่อไทย" ในสายตาประชาชน เป็น "ส่วนเกิน-น่ารังเกียจ" ของสังคมชาติ
เป็นตัวฉุดรั้งการพัฒนาประเทศ "สู่มิติใหม่" ในรัชสมัยที่ ๑๐
และด้วย "เวรกรรมจำสนอง"
ทำให้ทุกอย่างที่ทักษิณทำ ดูผิดพลาด และสะเหล่อไปหมด!
ปึกแผ่นเป็น "พรรคเพื่อไทย" ผนึกแน่นอยู่ดีๆ
ก็มีอันเป็นไป ทำให้ "เห็นผิดเป็นชอบ"
เล่ห์ที่เคยใช้เอาเปรียบพรรคอื่นสมัยปี ๒๕๔๔ มาวันนี้ ด้วยอ่านรัฐธรรมนูญรู้ ดูกติกาเลือกตั้งใหม่เป็น
เพื่อไทย "พรรคไม่แตก"
แต่ด้วยมากเล่ห์-มากเหลี่ยม จึง "แตกพรรค" มันซะเอง หวังเอาเปรียบเขา
การณ์เป็นว่า "แตกแล้ว-แตกเลย"!
ลำพังเกาะกุมสถานการณ์ รักษาความเป็นกลุ่มก้อนเพื่อไทยไว้ ยังพออาศัยยี่ห้อหลอกกินได้อีกซักยก
แต่พอแตกเพื่อไทยไปอีก ๔-๕ พรรคสาขา ที่นึกว่าล้ำเลิศ
กลายเป็นการ "เปิดไต๋" ให้ฝ่ายตรงข้ามรวมทั้งคนตัวเอง เห็นความ "บ่มิไก๊" ในระบอบทักษิณยามขาลง
ข้างนอกดู "สุกใส" แต่ข้างใน "กลวงโบ๋"!
ที่สำคัญ หลอกใช้คนเสื้อแดง หลอกให้เผาเมือง หลอกไปตาย หลอกไปติดคุก
ตัวเองหนีสบาย..........
คนที่ถูกหลอกใช้ กลับถูกลอยแพ ไม่มีใครอินังขังขอบ
และนี่ อีกหนึ่งคำตอบที่ทำให้ "ระบอบทักษิณ" ล่มสลาย!
และการแตกพรรคหวังเก็บคะแนนตกไปแลก ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ พวกไพร่สอพลอ แรกๆ ซู้ดปาก
ยอยกก้น "นายใหญ่" ว่าไอเดียเจ๋ง!
ตอนนี้ รู้แล้ว........
การเปลี่ยนม้ากลางศึก, การเปลี่ยนเรือกลางน้ำ
มันก็คว่ำ คือ "เจ๊ง" สถานเดียว!
สมุนที่เหลือ จึงต้องกลืนช้ำ ตีสีหน้าฝืน "สรรเสริญศพ" ด้วยเพลงมาร์ช!
ในขณะที่ "ลูกทัพ" เพื่อไทยบางส่วน อ่านสถานการณ์และดูเขา-ดูเราออกแต่แรก
เมื่อค่ายกำลังใหม่นาม "พลังประชารัฐ" ผงาดขึ้นมา
ทุกอย่างจึงเข้าตำรา........
"ขุนศึกผู้แกล้วกล้าย่อมแสวงหาผู้นำทัพที่กร้าวแกร่ง"
แตกพรรคหวังเอาปาร์ตี้ลิสต์ แต่พอแตกแล้ว กลายเป็นว่า ไปแย่งตกปลาในบ่อเดียวกันเอง
อีกอย่าง ตัวนักเลือกตั้งรู้ ตัวเองลงสมัครพรรคไหน?
แต่ชาวบ้าน "ผู้เลือก" ไม่รู้
เพราะตามเล่ห์-ตามความเป็นไปเรื่องแตกพรรคไม่ทัน ว่าใคร-พรรคไหน-เป็นพรรคไหน?
มันวุ่นวาย สับสนไปหมด เป็นเพื่อไทยพรรคเดียว ยังจำได้
แต่นี่ ปุบปับ แตกพรรคเหมือนขี้กลากแตกผืน ชื่อพรรคอะไรต่ออะไร แล้วใครไปไหน ชาวบ้านไม่จำ
นี่...สะดุดขาตัวเอง หนึ่งละ!
และก็เป็นที่ประจักษ์แล้ว พรรคที่แตกออกไป แทนที่จะไปเป็นทัพ กลายเป็น "กองหลอน" กระยิบ-กระย่อย
ซ้ำท่าที ต่าง "ฟักตัวเป็นใหญ่"
ทักษิณ "สั่งได้"
แต่ดูตอนนี้ "ทักษิณสั่ง" กับ "สั่งขี้มูก" ค่าเท่ากัน!
"เพื่อชาติ" ของจตุพร-ยงยุทธ ค่อนข้างชัด "ประกาศอิสรภาพ" ไม่ขึ้นต่อเพื่อไทย
"ไทยรักษาชาติ" ที่ลูกเจ๊เบียบ "ร.ท.ปรีชาพล" ได้รับอุปโลกน์เป็น "หัวหน้าพรรค"
แรกๆ คึก "ลูกโอ๊ค" แสดงบทฮีโร่มัยซิน จะ "สืบเลือดชิน" ลงนำเอง
"ตัวเล็ก-ตัวใหญ่" ทำเหมือนหน่าย "แม่นางหน่อย" พากันทิ้งเพื่อไทย ไปไทยรักษาชาติกันพรึ่บ
ทีท่าจะถ่ายเลือดให้ไทยรักษาชาติเป็น "ทัพหลวง"
ทิ้งเพื่อไทยเป็น "ทัพกลวง" ให้แม่นางหน่อยครึ้มอยู่คนเดียวกับตำแหน่ง
"นายกฯ โพล" ตลอดกาล!
แต่เอาเข้าจริง ก็อย่างที่บอก ไอ้คนสมัครน่ะรู้ตัวเองลงในนามพรรคไหน?
ชาวบ้านน่ะซี เขาไม่รู้.....
ถึงรู้ ก็ยังจำชื่อพรรคใหม่ไม่ได้ ไม่คุ้นตา-คุ้นหู เลยเป็นว่า บางส่วน ย้ายไปแล้ว ต้องย้ายกลับ
ใช้ "ยี่ห้อเก่า" คลุม กลัวพลาด!
อีกเพื่อ คือ "เพื่อธรรม" เป็นสาขาตระกูลเพื่อ บนการนำของ "นางแดง-นายสมชาย"
พอลูกชายนายบุญทรงทิ้งพรรคเพื่อ ไปอยู่พรรคพลังประชารัฐ
และ ป.ป.ช.แถลงข่าวจะมี "ทุจริตจีทูเจ๊ ภาค ๒" เท่านั้น
เพื่อธรรมที่แตกมา "แหลก" ในบัดดล ขนาดว่า "หัวหน้าพรรค" โกยอ้าวเป็นคนแรก!
ที่เก็บอาการได้มีพรรคเดียว คือ "พรรคประชาชาติ" ของนายวันนอร์ ใช้ความสงบสยบพรรคแตก
๓ จังหวัดใต้ เอาซัก ๕ แสนคะแนน พอแลกได้ซัก ๕-๖ เก้าอี้ แค่นี้ "พ่อใหญ่จิ๋ว" ก็ทุเลาอัลไซเมอร์แล้ว
แค่ฉายภาพ "ตระกูลเพื่อ" โดยสรุป ก็เห็นแล้ว "ไหว-ไม่ไหว" ในศึกเลือกตั้ง ๒๔ กุมภา ๖๒
ก่อนๆ ตอนรุ่ง พรรคคึกคัก หน้าจอ หน้ากระดาษ และสารพัดโพล แกล้งๆ ทำให้แพ้
ก็ยังชนะ!
แต่ตอนนี้..โรย เป่าตูดขนาดไหน เพื่อไทยได้แค่
"เกือบชนะ"!
ว่าไปก็แปลก การเมืองนี่ ไม่ว่าพรรคไหน ลองจะเสื่อม ที่จะค่อยๆ เสื่อม ค่อยๆ ลง ไม่มี
เสื่อมแล้ว เสื่อมเลย ลงแล้ว พรวดเลย!
ประชาธิปัตย์นี่ ตั้งแต่ปี ๒๕๔๔ จนถึงวันนี้ กี่ปีแล้วล่ะ ไม่เคยชนะในสนาม
จากปี ๒๕๔๔ ไทยรักไทยจนถึงเพื่อไทย ชนะในสนามมาตลอด
มาปี ๒๕๖๒ นี่แหละ ไม่ต้องให้คนดูบอกหรอก ตัวนักมวย คือคนในพรรคตระกูลเพื่อเอง
ถ้าไม่โกหกตัวเอง ทุกคนรู้ บอกตัวเองได้
ถึงครา...แพ้เขาแล้ว!
เขาน่ะใคร?
เออ...นั่นน่ะซี ระบอบทักษิณในคราบเพื่อไทย จะแพ้ให้ใคร
แพ้ "พลังประชารัฐ" ใช่มั้ย?
ทำไมสังคมไม่คาดหมายว่า ถ้าแพ้ จะแพ้ประชาธิปัตย์ แพ้รวมพลังประชาชาติไทย แพ้ชาติไทยพัฒนา แพ้ภูมิใจไทย กระทั่งแพ้ และอื่นๆ อีกหลายๆ พรรค
"พลังประชารัฐ" ก็ใหม่แกะกล่อง เหมือนรวมพลังประชาชาติไทย ไทยรักษาชาติ
แล้วทำไมล่ะ ผู้คนจึงคาดหมายเพื่อไทยจะแพ้ให้พลังประชารัฐ?
คำตอบมันง่ายนิดเดียว.......
ไม่ต้องแย้งว่า เพราะ "พลังประชารัฐ" เป็นพรรครัฐบาล มีแนวโน้มจะเสนอ "พลเอกประยุทธ์" เป็นนายกฯ หรอก
เพราะนั่น ไม่ใช่ความคาดหมาย มันเป็นความ "ยอมรับ-ต้องการ" ของชาวบ้านอยู่แล้ว
ความเป็นจริง ทุกคนเข้าใจ
เลือกตั้งครั้งนี้ เท่ากับ "เลือกรัฐบาล-เลือกนายกฯ"
แล้วลองเหลือบดูสภาพแต่ละพรรคซี............
-เลือกเพื่อไทย จะได้ สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หรือ พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ เป็นนายกฯ
-เลือกไทยรักษาชาติ จะได้ ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช เป็นนายกฯ
-เลือกเพื่อธรรม จะได้ นางนลินี ทวีสิน เป็นนายกฯ
-เลือกเพื่อชาติ จะได้ นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ เป็นนายกฯ
-เลือกประชาชาติ จะได้ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เป็นนายกฯ
-เลือกพลังประชารัฐ จะได้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ
-เลือกประชาชนปฏิรูป จะได้ นายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นนายกฯ
-เลือกรวมพลังประชาชาติไทย จะได้ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ เป็นนายกฯ
-เลือกอนาคตใหม่ จะได้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นนายกฯ
-เลือกเสรีรวมไทย จะได้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส เป็นนายกฯ
-เลือกประชาธิปัตย์ จะได้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ
-เลือกพลังธรรมใหม่ จะได้ นพ.ระวี มาศฉมาดล เป็นนายกฯ
-เลือกภูมิใจไทย จะได้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกฯ
-เลือกชาติไทยพัฒนา จะได้ น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา เป็นนายกฯ
-เลือกชาติพัฒนา จะได้ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ เป็นนายกฯ
-เลือกพลังท้องถิ่นไท จะได้ นายชัชวาลย์ คงอุดม เป็นนายกฯ
เนี่ย........
ดูรายชื่อ "ว่าที่นายกฯ" แต่ละพรรค โดยเฉพาะจาก "พรรคเพื่อทักษิณ" แล้ว
ทุกคนตอบตัวเองได้กระมังว่า...
"ใคร-พรรคไหน" เหมาะสมตำแหน่ง "นายกฯ คนต่อไป" ที่สุด.
หนักกว่านิด้าโพล
มีผลสำรวจความเห็น ประชาชนจาก “นิด้าโพล” ชงสดๆร้อนฉ่าๆมาเสิร์ฟแก้ปร่าช่วงนับถอยหลังก่อนหย่อนบัตรเลือกตั้ง 3 เดือน
“นิด้าโพล” สุ่มสำรวจความเห็นประชาชน 1,250 ราย ถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีนี้ว่าดีขึ้น? หรือแย่ลง? หรือทรงเดิม??
ประชาชนส่วนใหญ่ 61.92 เปอร์เซ็นต์ ฟันธงว่า...เศรษฐกิจแย่ลง
ประชาชนส่วนน้อย 27.12 เปอร์เซ็นต์ ตอบว่าเศรษฐกิจปีนี้ยังแปะเอี้ยเหมือนเดิม
และประชาชนส่วนน้อยที่สุด 10.96 เปอร์เซ็นต์ ตอบว่าเศรษฐกิจปีนี้ดีขึ้นกว่าปีกลาย
“นิด้าโพล” สอบถามต่อไปว่า หลังเลือกตั้งใหญ่ต้นปีหน้าประชาชนเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นหรือไม่??
ประชาชนส่วนใหญ่ 60.16 เปอร์เซ็นต์ เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้น
ประชาชนอีก 31.60 เปอร์เซ็นต์ เชื่อว่าหลังเลือกตั้งต้นปีหน้าเศรษฐกิจไทยยังเหมือนเดิม
แต่มีประชาชนอีก 4.56 เปอร์เซ็นต์ มองว่าเศรษฐกิจไทยหลังเลือกตั้งจะแย่ลง
และประชาชนอีก 3.68 เปอร์เซ็นต์ ไม่แน่ใจว่าเศรษฐกิจไทยหลังเลือกตั้งจะดีขึ้น? หรือจะแย่ลง? หรือจะอีหรอบเดิม?
“แม่ลูกจันทร์” สรุปว่าผลสำรวจล่าสุดจาก “นิด้าโพล” ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ซึ่งเป็นโค้งสุดท้ายของรัฐบาล คสช.ยังไม่ดีขึ้น
ปัญหาเศรษฐกิจยังเป็นโจทย์ยากที่รัฐบาลหลังการเลือกตั้งต้องมะรุมมะตุ้ม แก้ไขกันต่อไป
แต่โพลก็คือโพล...
ผลสำรวจ “นิด้าโพล” ที่สุ่มถามประชาชนเพียง 1,250 คน ไม่ใช่ความเห็นของประชาชนทั่วประเทศ 68 ล้านคน
ผลสำรวจนิด้าโพลไม่ใช่ใบเสร็จยืนยันว่าเศรษฐกิจไทยในภาพรวมปีนี้ย่ำแย่ยิ่งกว่าปีที่ผ่านมา
แต่ขออภัย “นิด้าโพล” ยังต้องชิดซ้าย เมื่อเจอ “เทพเทือกโพล”
สำรวจความเห็นประชาชนทั่วประเทศประเด็นเศรษฐกิจเหมือนกัน
“เทพเทือกโพล” ของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งเดินสายหาสมาชิกพรรคทั่วประเทศ ตระเวนไปตามตลาดและย่านการค้าทุกจังหวัด และได้พูดคุยสอบถามพี่น้องประชาชนนับแสนคนในช่วงเดือนที่ผ่านมา
ล่าสุด นายสุเทพ ได้เปิดแถลงผลสำรวจภาวะเศรษฐกิจภาคประชาชนทั้งกรุงเทพฯ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้
สรุปว่าเศรษฐกิจระดับล่างยังตกต่ำอย่างหนัก
กำลังซื้อตกต่ำสุดขีด
คนกรุงเทพฯรายได้ไม่พอใช้พอกิน การค้าขาดทุนอ่วมอรไท
พี่น้องประชาชนในต่างจังหวัด เดือดร้อนสาหัสยิ่งกว่าชาว กทม. เนื่องจากราคาผลผลิต เช่น ยาง ปาล์ม มะพร้าว สับปะรด ตกต่ำต่อเนื่องมาหลายปี
“นายสุเทพ” ยํ้าว่านี่คือสภาพความจริงเศรษฐกิจไทย ซึ่งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) จะนำไปกำหนดนโยบายแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม
“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าการเปิดแถลงความจริงเศรษฐกิจไทยของ “ลุงกำนัน” ส่งผลกระทบพรรคพลังประชารัฐเต็มเปา
เพราะรัฐมนตรี 4 คนที่เป็นแกนนำพรรคพลังประชารัฐเป็นทีมเศรษฐกิจรัฐบาล คสช.
ระบบบัตรเลือกตั้งใบเดียวมันไม่เข้าใครออกใครอย่างนี้แหละโยม.
“แม่ลูกจันทร์”
เลิกกั๊กมวยหมัดหนักลุย
บท “ลูกอีสาน” หยอดลูกอ้อนได้กลับ “บ้านเกิดแม่”
กับฉากล่าสุดที่ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี “ผ้าขาวม้าคาดพุง” ขับแทรกเตอร์ดันดิน เป็นสัญลักษณ์เปิดโครงการอ่างเก็บน้ำลำสะพุงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดชัยภูมิ
ท่ามกลางประชาชนกว่า 2 หมื่นคนมารอต้อนรับ มากสุดตั้งแต่เป็นนายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ดี โดยการนี้ “นายกฯลุงตู่” ก็ไม่ลืมประกาศผ่านไมค์ระหว่างปราศรัยกับชาวบ้าน ขอให้โรงเรียนทำการสอนเพิ่มเติม ชดเชยสำหรับนักเรียนที่มารอต้อนรับนายกฯ
ป้องกันข้อครหารบกวนเวลาราชการ
จับอาการครึ้มอกครึ้มใจ แต่ก็ไม่เผลอย่ามใจ ยัง “ตั้งการ์ดสูง” ตลอดเวลา
อารมณ์แบบที่พระเอกเปิดหน้าเร็ว ก็เสี่ยงโดนหมัดหน้าช้ำเยอะ
แต่โดยเงื่อนไขสถานการณ์บังคับ จังหวะการขับเคลื่อนกระแสทางการเมืองของพรรคที่เป็นฐานต้นทุนตีตั๋วต่อ ต้องโชว์ความชัดเจน และนั่นก็เป็นหน้าที่ของนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.วิทยาศาสตร์ฯ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ประกาศชัดถ้อยชัดคำ
“นายกฯลุงตู่” จะเป็น “เบอร์หนึ่ง” ใน “นายกฯบัญชีพรรค” ของยี่ห้อ พปชร.
แง้มฝา “ไฮโลเปิดถ้วยแทง” อย่างเป็นทางการ
สัญญาณทีมหนุน “ลุงตู่” มาถึงโหมด “เลิกกั๊ก”
และนั่นก็ล้อกับจังหวะการเร่งเครื่องออกตัวแรงๆ แบบที่ “อุลตร้าอุตตม” นายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ลงนามแต่งตั้ง “โคตรเซียน” ระดับ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” เป็นประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจในการรณรงค์การหาเสียงเลือกตั้ง
ปล่อย “มวยหมัดหนัก” ลุยเก็บแต้มแบบถึงลูกถึงคน
“พลังประชารัฐ” รุกเข้าโซนปั่นตัวเลขชัวร์ๆที่จับต้องได้
เรื่องของเรื่อง ยี่ห้อ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” ในหมู่คนการเมืองอาชีพรู้เหลี่ยมรู้มือกันดี โดยเฉพาะคนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” รู้อยู่แก่ใจที่สุด เพราะเคยใช้บริการกันมา
ยี่ห้อนี้ หมากการเมืองชั้นเดียวไม่เคยมี
ตัดออกไปได้เรื่อง “บ้องตื้น” เว้นแต่ “แกล้งโง่” แบบที่โชว์วาทกรรม “รัฐธรรมนูญออกแบบเพื่อพวกเรา” ออกมาให้ฮือฮา มองกันตื้นๆเหมือนหลุดปาก เผลอแบไต๋
แต่เหลี่ยมลึกๆตั้งใจเขย่าพวกที่กำลังตัดสินใจย้ายพรรค เร่งพวกที่สองจิตสองใจ
และผลก็อย่างที่เห็น ภาพ ณ วันสิ้นสุดเดดไลน์ “เส้นตาย” สังกัดพรรค อดีต ส.ส.เกรดเอกว่า 40 ราย ขุมข่าย “ทักษิณ” พากันสละเรือชิ่งตายกับ “นายใหญ่” ย้ายสังกัดเข้าพรรคพลังประชารัฐ
แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนนับตั้งแต่ปฏิวัติโค่นกระดานตระกูลชินปี 2549
เช่นเดียวกับคนของพรรคประชาธิปัตย์หรือแม้แต่ยี่ห้อภูมิใจไทยตัดสินใจนาทีสุดท้าย ย้ายเข้าสังกัดพรรคพลังประชารัฐ เพราะปัจจัยเอื้อให้แบบที่ “สมศักดิ์” ตีปี๊บโฆษณา
จาก 80-90 ที่นั่ง อัปเกรดเป้าหมายกลายเป็นตัวเต็งเกิน 150 เก้าอี้
นั่นหมายถึง “กติกาออกแบบเพื่อพวกเรา” ของ “สมศักดิ์” ได้ผลเกินเป้า และโดยจังหวะเดินหน้าเขย่า “นายใหญ่” ต่อเนื่อง ตามยุทธศาสตร์ขนหางเครื่องเดินสายออกต่างจังหวัด
ปฏิบัติการขยายปมเด่น “ลุงตู่” ตอกย้ำปมด้อยทีม “ทักษิณ”
อวยกันให้เห็นๆตามลีลาเคลียร์ภาพ พล.อ.ประยุทธ์ วันนี้ไม่ใช่เผด็จการอีกต่อไปแล้ว แต่คือ “ลุงตู่” ผู้ที่เดินเข้าหาประชาชน และต้องการช่วยเหลือประชาชนอย่างแท้จริง
พยายามทำให้ประเทศชาติสงบปราศจากความวุ่นวายทางการเมืองในอดีต
มีแต่นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งจากประชาชนเท่านั้นที่เรียก “ลุงตู่” ว่าเผด็จการ แต่นั่นคือการใส่ร้ายเพราะอดีต “ลุงตู่” เคยยึดอำนาจ
แต่บุคคลที่เป็นเผด็จการตัวจริงคือ นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง
โดยเฉพาะนักการเมืองในอดีตที่มีความพยายามออกกฎหมายนิรโทษกรรม เพื่อให้ “ทักษิณ” กลับบ้าน โดยใช้เวลาออกกฎหมายเพียง 1 วันเท่านั้น ผ่านกฎหมายช่วงตีสอง ปกติการผ่านกฎหมายใหญ่ๆแบบนี้ ต้องใช้เวลาพิจารณาถึง 3 วาระ และใช้เวลานานหลายเดือน จึงถูกเรียกว่ากฎหมายนิรโทษกรรมฉบับลักหลับ
ที่แสบลึกสุดๆก็คือการตอกย้ำ “ทักษิณ” กลับบ้านไม่ได้ เพราะจะเกิดสงครามกลางเมือง
“สมศักดิ์” แค่เอาความจริงพื้นๆมาพูดกัน แต่นั่นก็เป็นอะไรที่ทีม “นายใหญ่” โต้ได้ไม่เต็มปากเต็มคำ
เมื่ออดีต “คนวงใน” ตอกย้ำ มันจุกอกเถียงไม่ออก.
ทีมข่าวการเมือง