PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2558

สถานการณ์ข่าว20/3/58

พล.อ.อุดมเดช ปัด ทหารซ้อมมือระเบิดศาลอาญา ขู่ เล่นงานข้อหาบิดเบือน ยัน ใช้กฎอัยการศึกเท่าที่จำเป็น

พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการทหารบก ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ ไม่ได้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือทำร้ายร่างกายผู้ต้องหาคดีปาระเบิดศาลอาญา รัชดา
ตามที่มีการกล่าวหาก่อนหน้านี้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ เข้าใจอำนาจและขอบเขต โดยยินดีให้มีการตรวจสอบในเรื่องนี้ด้วย อย่างไรก็ตาม หากยังมีการออกมาให้ข่าวบิดเบือนกล่าวหาอีก ทางกองทัพบกอาจจำเป็นที่จะต้องดำเนินการทางกฎหมายต่อไป

ส่วนแนวโน้มการนำตัวผู้มีส่วนเชื่อมโยงที่ยังหลบหนีอยู่ในต่างประเทศนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงพยายามนำผู้ที่กระทำความผิด เข้าสู่ขั้นตอนทางกฎหมาย พร้อมย้ำว่าจะใช้กฎอัยการศึกเท่าที่จำเป็นโดยเฉพาะการก่อเหตุรุนแรง  ซึ่งขอความร่วมมือผู้เห็นต่าง อย่าสร้างสถานการณ์ โดยให้แสดงความคิดเห็นตามกรอบและช่องทางที่รัฐบาลมีให้
-----------------------
โฆษก กอ.รมน. เผย ผบ.ทบ. ห่วงเหตุระเบิด แจ้งเตือนการครอบครอง และใช้อาวุธ เครื่องกระสุนวัตถุระเบิด ที่ทางราชการไม่อาจออกใบอนุญาต

พ.อ.บรรพต พูลเพียร โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เปิดเผยว่า ตามที่มีการใช้วัตถุระเบิดชนิดขว้าง จำนวน 1 ลูก บริเวณหน้าห้องเช่า ตลาดสามแยกหนองแค อ.หนองแค จ.สระบุรี โดยเหตุเกิดค่ำวานนี้ ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย สาเหตุเบื้องต้นคาดว่าไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการสร้างสถานการณ์ทางการเมืองนั้น พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการทหารบก ได้แสดงความเป็นห่วงเหตุระเบิดที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการครอบครองอาวุธ เครื่องกระสุน วัตถุระเบิด ที่ทางราชการไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้นี้ ถือว่ามีความผิดตามกฎหมายที่มีอัตราโทษสูง และหากนำมาใช้ประทุษร้ายต่อกันจะยิ่งเพิ่มโทษในลักษณะอันเป็นการกระทำความผิดร้ายแรง ก่อให้เกิดผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม

จึงขอฝากแจ้งเตือนมายังผู้ที่ครอบครองอาวุธ เครื่องกระสุน วัตถุระเบิดดังกล่าว และขอความร่วมมือผู้ที่ทราบเบาะแสกรุณาแจ้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ในแต่ละท้องที่เข้าทำการกวดขัน จับกุม เพื่อจะได้ช่วยสังคมเพิ่มความมั่นใจในความสงบสุข ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน สำหรับความคืบหน้าของคดี ทางพนักงานสอบสวน และเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน จะได้ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม และชี้แจงให้ทราบต่อไป
---------------------------
ทหารเตรียมส่งมอบ 2 ผู้ต้องหาร่วมบึ้มศาลอาญาให้ตำรวจเช้านี้ - สันติบาลรักษาความปลอดภัยเข้ม 

เจ้าหน้าที่ทหารเตรียมควบคุมตัว นายวสุ เอี่ยมละออ และ นายสุรพล เอี่ยมสุวรรณ 2  ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหาร คดีระเบิดศาลอาญารัชดา เมื่อวันที่ 7 มีนาคม ให้กับพนักงานสอบสวนนำไปดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยมีรายงานว่า ในเวลา 10.30 น. วันนี้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะรับมอบตัวผู้ต้องหาจากทหารและทำการสอบปากคำและแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ต้องหาก่อนนำตัวไปขออำนาจศาลทหารฝากขังต่อไป

ทั้งนี้ สำหรับ นายวสุถือเป็นผู้ต้องหาที่สำคัญ เนื่องจากเป็นผู้รับโอนเงินจาก นายมนูญ ชัยชนะ หรือ เอนก ซานฟราน ผู้ต้องหาคดีเดียวกันและยังหลบหนีอยู่ต่างประเทศ เพื่อนำมาใช้เป็นค่าจ้างวานทั้งก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุ ครั้งละ 50,000 บาท ก่อนโอนให้ นางสุภาพร มิตรอารักษ์ หรือ เดียร์ นำไปใช้จ้างวาน ส่วนนายสุรพลเป็นผู้รับปากและรับเงินล่วงหน้า 15,000 บาท  จาก นางณัฎฐธิดา หรือแหวน มีวังปลา อดีตพยาบาลอาสาผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดีไปก่อนหน้านี้ว่าจะไปก่อเหตุระเบิด 5 จุด ในเดือน ก.พ. แต่ทำไม่สำเร็จ

สำหรับการรับมอบตัวผู้ต้องหา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จัดเตรียมห้องกระจก ชั้น 2 อาคาร 1 ตร. พร้อมจัดชุดพนักงานสอบสวนไว้สอบปากคำ ตรวจสุขภาพ พิมพ์ลายนิ้วมือ แจ้งข้อกล่าวหาเช่นเดียวกับผู้ต้องหาทุกคนก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ตาม สำหรับมาตรการรักษาความปลอดภัยภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังเป็นไปอย่างเข้มงวด โดยมีตำรวจสันติบาลคอยประจำการตรวจตราและบุคคลที่จะผ่านเข้า-ออก ตลอด 24 ช.ม. ซึ่งตั้งแต่เกิดเหตุระเบิดขึ้นทั้งที่สยามพารากอนและศาลอาญา สถานการณ์จนถึงขณะนี้ ยังเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติแต่อย่างใด
----------------------------
ผบ.ตร. มอบหมาย นครบาล สอบปากคำผู้ต้องหาเอี่ยวบึ้มศาล อีก 2 คน พร้อมฝากขังทันที

พลตำรวจตรี ชยพล ฉัตรชัยเดช ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 เปิดเผยว่า พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งให้ พนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ดำเนินการสอบปากคำผู้ต้องหาคดีระเบิดศาลอาญา รัชดา ที่ทหารจะนำมาส่งมอบให้พนักงานสอบสวน วันนี้ คือ นายวสุ เอี่ยมละออ และนายสุรพล เอี่ยมสุวรรณ โดยไม่ต้องควบคุมตัวมาที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว และมอบหมายให้ พลตำรวจโทศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน แถลงผลการสอบปากคำ ตลอดจนความคืบหน้าทางคดีด้วย

โดยมีรายงานว่า ภายหลังการสอบปากคำแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว จะควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ไปขออำนาจศาลทหารฝากขังเป็นผลัดแรก
-------------------------
ผบช.น. ชี้ วันนี้ทางหารจะคุมตัว 3 ผู้ต้องหาคดีปาระเบิดศาลอาญา มาให้ พงส. เพื่อสอบปากคำ ยัน มีผู้ต้องหาเพิ่มอีกแน่ 

พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยกรณีการควบคุมตัว 3 ผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับคดีปาระเบิดศาลอาญารัชดา เมื่อวันที่ 7 มีนาคม ที่ผ่านมา ซึ่งประกอบด้วย นายวสุ เอี่ยมละออ นายสุรพล เอี่ยมสุวรรณ และผู้ต้องหาไม่ทราบชื่ออีก 1 ราย

โดย พล.ต.ท.ศรีวราห์ กล่าวว่า วันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารจะควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 3 มาส่งให้พนักงานสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อทำการสอบปากคำและดำเนินคดีทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึงผู้ต้องหาคนสำคัญอีก 1 รายคือ นายวีระศักดิ์ โตวังจร หรือ ใหญ่ พัทยา ว่า หนึ่งในผู้ต้องหาที่จะถูกควบคุมตัวมาในวันนี้หรือไม่ ทางผู้บัญชาการตำรวจนครบาลกล่าวว่า ยังไม่ทราบเช่นกัน โดยจะต้องรอทางเจ้าหน้าที่ทหารนำผู้ต้องหามาก่อนขณะที่การขยายผลออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่ม ยืนยันว่ามีอีกแน่นอน แต่ในส่วนของ นายธราเทพ มิตรอารักษ์ บุตรชายของ นางเดียร์ ผู้ต้องหาที่ถูกจับไปก่อนหน้านี้ จะมีการออกหมายจับหรือไม่ ยังเปิดเผยไม่ได้ เพราะเรื่องอยู่ในสำนวน

ส่วนประเด็นการซ้อมผู้ต้องหาที่ทางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่จะเข้ามาตรวจสอบนั้น พล.ต.ท.ศรีวราห์ เปิดเผยว่า พร้อมให้ความร่วมมือกับทาง กสม.ในการตรวจร่างกายผู้ต้องหา แต่ขอยืนยันว่าทางเจ้าหน้าที่ไม่มีการทำร้ายผู้ต้องหาอย่างแน่นอน เพราะก่อนทำการส่งตัว มีการตรวจร่างกายจากแพทย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
-------------------
ผบ.ตร.มีคำสั่งให้ พงส.บช.น. สอบปากคำ 3 ผู้ต้องหาบึ้มศาลอาญา ส่วนกรณี เอนก อยู่ระหว่างการขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน

ที่ กองบัญชาการตำรวจนครบาล ขณะนี้ จากที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้ดำเนินการสอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย คือ นายวสุ เอี่ยมละออ นายสุรพล เอี่ยมสุวรรณ และอีกหนึ่งผู้ต้องหาที่ยังไม่ทราบชื่อ-นามสกุล คดีขว้างระเบิดศาลอาญารัชดา เมื่อวันที่ 7 มีนาคม ให้กับพนักงานสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล ที่ทหารจะได้นำตัวมาส่งมอบให้ในวันนี้ ทำการแถลงผลการจับกุมและสอบปากคำ ตลอดจนความคืบหน้าทางคดีต่าง ๆ ภายหลังการสอบปากคำ และแจ้งข้อกล่าวหา ทางพนักงานสอบสวนจะควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไปขออำนาจศาลทหารฝากขังต่อไป

ด้านผู้ต้องหาอีกหนึ่งรายยังไม่มีรายงานว่าเป็นใครและมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้อย่างไร ซึ่งต้องติดตามกันอีกครั้ง

สำหรับผู้ต้องหาที่มีการออกหมายจับในคดีนี้ยังคงเหลือ นายมนูญ ชัยชนะ หรือ เอนก ซานฟราน และ นายวิระศักดิ์ โตวังจร หรือ ใหญ่ พัทยา ที่ยังคงหลบหนี ในส่วนของนายเอนก ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการขอส่งตัวตามสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนเพื่อกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย
---------------------
ทหารคุมตัว 3 ผู้ต้องหาระเบิดศาลอาญา ให้ ตร. โดยรับว่า โอนเงินให้ทีมปาระเบิดจริง สรุปผู้ต้องหา 19 ราย ยังหนีอยู่ 3 ราย

เจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัว นายวสุ เอี่ยมละออ, นายสุรพล เอี่ยมสุวรรณ และ นายสมชัย อภินันถาวร 3 ผู้ต้องหาที่ร่วมวางแผนก่อเหตุระเบิดศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เมื่อวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา ส่งมอบให้กับพนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ทำการสอบสวน ทำประวัติ และตรวจร่างกาย

จากการสืบสวนทราบว่า นายวสุ และ นายสมชัย เป็นผู้รับหน้าที่โอนเงิน 5 หมื่นบาท จำนวน 2 ครั้ง จาก นายมนูญ ชัยชนะ หรือ เอนก ซานฟราน ผู้ต้องหาที่ยังหลบหนี เพื่อโอนเงินกระจายต่อให้เครือข่ายผู้ก่อเหตุ ส่วน นายสุรพล เป็นผู้ต้องหาที่รับงานและรับเงินล่วงหน้าเพื่อจะก่อเหตุวางระเบิด 5 จุดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แต่ไม่สำเร็จ ภายหลังการสอบสวนแล้วเสร็จพนักงานสอบสวนจะมีการคุมตัวผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ 3 จุด ก่อนนำตัวไปขออำนาจศาลทหารฝากขังผลัดแรก

เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้ง 3 ให้การรับสารภาพ โดย นายสมชัย หนึ่งในผู้ต้องหาให้การอ้างว่า นายธนาวุฒิ ซึ่งเป็นบุตรชายที่ไปทำงานเป็นลูกจ้างที่ร้านอาหารคิงออฟไทยนู้ดเดิ้ลธุรกิจที่ต่างประเทศของ นายเอนก ต่อมา นายเอนก วานบุตรชายให้ช่วยโอนเงินให้กับเพื่อนที่อยู่ในประเทศไทยให้จำนวน 5 หมื่นบาท เนื่องจากมีความจำเป็นต้องใช้เงิน บุตรชายจึงโทรมาบอกตนให้ช่วยโอนเงินให้กับคนที่เมืองไทย จึงอยากร้องขอความเป็นธรรมต่อเจ้าหน้าที่

สำหรับคดีนี้มีผู้ต้องหารวมทั้งหมด 19 ราย หลบหนีอยู่ 3 ราย ประกอบด้วย นายวีระศักดิ์ โตวังจร หรือ ใหญ่ พัทยา นายมนูญ ชัยชนะ หรือ เอนก ซานฟราน และ นายธนาวุฒิ อภินันถาวร
---------------------

///////////////
คดีการเมือง

พล.อ.ไพบูลย์ จี้ "ยิ่งลักษณ์" พูดให้ชัดไม่ได้รับความเป็นธรรมขั้นตอนใด พร้อมดำเนินการตรวจสอบ ยัน รัฐบาล - คสช. ไม่เคยแทรกแซงกระบวนการ

พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและสมาชิกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยกับ สำนักข่าว INN ว่า จากกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีการโพสต์เฟซบุ๊ก หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รับฟ้องในคดีจำนำข้าวว่า ไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ไม่ได้รับความเป็นธรรมนั้น ต้องขอชี้แจงว่า กระบวนการตรวจสอบ สอบสวนในเรื่องดังกล่าว มีขึ้นก่อนที่จะมีการควบคุมอำนาจของ คสช.  นายกรัฐมนตรี ไม่เคยสั่งการ หรือแทรกแซงในกระบวนการต่าง ๆ จะมากล่าวหาว่า คสช.และรัฐบาล เป็นผู้ดำเนินการให้เกิดขึ้นนั้น ถือว่าไม่ถูกต้อง และอยากให้ประชาชนให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาลและ คสช.ด้วย

ส่วนกรณีที่ระบุว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมนั้น พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า อยากให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ พูดให้ชัดเจนว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากใคร องค์กรใด ขั้นตอนใดในกระบวนการยุติธรรม ตนในฐานะ หัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของ คสช. จะดำเนินการประสานงานตรวจสอบให้ หรือจะเชิญองค์กรนั้น ๆ รวมถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ มาชี้แจงต่อหน้าสื่อทันที

ทั้งนี้ พล.อ.ไพบูลย์ ยังกล่าวทิ้งท้ายถึงกรณีกระแสข่าว ผู้ต้องหาคดีระเบิดถูกซ้อมจากเจ้าหน้าที่ว่า อยากให้รอกระบวนการตรวจสอบ เพราะเชื่อว่า เจ้าหน้าที่พร้อมที่จะรับการตรวจสอบและพิสูจน์ในทุกเรื่อง ส่วนตัวเชื่อมั่นว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้กระทำการดังกล่าวอย่างแน่นอน
-------------------------------
"ปานเทพ" ระบุ ยินดีเป็นพยานคดี "น.ส.ยิ่งลักษณ์" หาก อสส.แจ้ง ป.ป.ช. - ถอดถอน "อภิสิทธิ์-พระสุเทพ" สั่งสลาย นปช. รอให้มาแก้ข้อกล่าวหา

นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงกรณีที่ศาลฎีการับฟ้องคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ว่า ภายหลังจากนี้ ป.ป.ช. จะเข้าร่วมตรวจสอบพยานเอกสารที่เกี่ยวข้องกับคดีซึ่งมีเป็นจำนวนมาก และหากอัยการสูงสุดแจ้งให้ ป.ป.ช.เป็นพยานด้านโจทก์ ก็ยินดี ส่วนจะเป็นใครนั้นขึ้นอยู่อัยการเป็นผู้กำหนด แต่อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ ยังไม่ได้ขอเอกสารหลักฐานเพิ่มเติม

ทั้งนี้ ในวันพิจารณาคดีนัดแรก วันที่ 19 พฤษภาคม ศาลจะอ่านคำฟ้องเพื่อแจ้งให้จำเลยทราบ ดังนั้นจำเลยจึงเป็นต้องมาด้วยตนเอง ซึ่งจากการติดตามก็ทราบว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเดินทางไปด้วยตน
เอง

ส่วนคดีถอดถอน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กรณีสั่งการสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อปี 2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้ถึงแก่ความตายนั้น ขณะนี้ยู่ในระหว่างการรอให้ผู้ถูกกล่าวหามาแก้ข้อกล่าวหา ซึ่งจะเดินทางมาด้วยตัวเองหรือส่งเป็นเอกสารชี้แจงก็ได้ และหากต้องการจะขอเพิ่มพยานบุคคลสามารถระบุมาได้เช่นกัน ซึ่งทางคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะพิจารณาว่าบุคคลเหล่านั้นมีความเกี่ยวข้องกับคดีและจำเป็นที่จะสอบพยานหรือไม่
-------------------------------
"วิชา" ระบุ ป.ป.ช. ไม่มีหลักฐานเอาผิด "ยิ่งลักษณ์" โพสต์เฟซบุ๊ก ขอให้ไปชี้แจ้งต่อศาล พร้อมไม่ยุ่งต่ออายุงาน กรรมการ ป.ป.ช.

นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า ป.ป.ช. ไม่มีหลักฐานชัดเจนที่จะเอาผิดตน และเป็นคดีทางการเมือง ที่มีการตั้งธงไว้แล้วว่า  ขอให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไปชี้แจงต่อศาลตามกระบวนการของกฎหมาย เพราะการโพสต์เฟซบุ๊กเหมือนเป็นการชี้แจงให้เพื่อนฟัง พร้อมยืนยันว่า การโพสต์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะไม่ทำให้ประชาชน เกิดความสับสน เพราะตนได้ชี้แจงต่อ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ถึงสาเหตุที่จะต้องเอาผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะเจ้าของนโยบาย นอกจากนี้ ยังพบว่า ประเทศในภูมิภาคอาเซียน ต่างให้ความสนใจกรณีดังกล่าวและต้องการนำไปเป็นกรณีตัวอย่างอีกด้วย

ส่วนกรณีกรณีขอต่ออายุกรรมการ ป.ป.ช. บางคนที่จะครบวาระในปี 2558 นั้น นายวิชา กล่าวว่า ไม่ขอยุ่ง และจะไม่มีการเร่งพิจารณาคดีสำคัญแต่อย่างใด  ซึ่งหากไม่แล้วเสร็จ ก็ส่งต่อให้กรรมการที่ยังปฏิบัติหน้าที่ต่อ เนื่องจากเป็นกระบวนการที่ไม่มีวันสิ้นสุด นอกจากนี้ กฎหมาย ป.ป.ช. ยังระบุให้ กรรมการ ป.ป.ช. รักษาการ ทำหน้าที่ไปจนกว่าจะสรรหาบุคคลเข้ามาทำหน้าที่แทนได้  โดยมีอำนาจเทียบเท่ากับคณะกรรมการตามปกติ
/////////////
กมธ.ยกร่างฯ

"คำนูณ" ชี้ อำนาจยกร่างเป็นของกรรมาธิการ ส่วน สปช.มีหน้าที่รับหรือไม่รับ ขณะประชามติหากเสียงส่วนใหญ่ให้ทำ ต้องแก้ รธน.ชั่วคราวก่อน

นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ชี้แจงถึงอำนาจหน้าที่ในการยกร่างรัฐธรรมนูญ ว่า เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) 2557 ได้ให้อำนาจไว้ ส่วนสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) มีอำนาจจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ซึ่งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ จะใช้เวลา 60 วันตั้งแต่ 25 พฤษภาคม - 23 กรกฎาคม ในการดำเนินการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยขั้นตอนดังกล่าวจะอยู่ในอำนาจของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญทั้งหมด

ทั้งนี้ ในช่วง 60 วันสุดท้าย จะเปิดให้สื่อมวลชนเข้าร่วมสังเกตการณ์การยกร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น ที่ประชุมยังไม่ได้มีการหารือกัน แต่คาดว่าจะเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนเข้าสังเกตการณ์ในบางมาตรา และในบางครั้งอาจเป็นการประชุมลับ เช่นเดียวกับการทำประชามติ คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ แต่หากเสียงส่วนใหญ่เห็นว่าควรทำประชามติ จะต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว เพื่อเปิดช่องให้มีการทำประชามติ
--------------------
กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ทบทวนแล้ว 205 มาตรา ขณะ คำนูณ ยืนยัน บทบัญญัติยังปรับแก้รายละเอียดได้

การประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ วันนี้ นายมานิจ สุขสมจิตร รองประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยได้พิจารณาทบทวนความถูกต้องและความสมบูรณ์ รวมถึงบันทึกสรุปเจตนารมณ์แต่ละมาตราไปแล้ว 205 มาตรา จาก 315 มาตรา

ขณะที่ นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ระบุว่า กรณีที่มีความเห็นต่างในประเด็นสำคัญ อาทิ ที่มาของนายกรัฐมนตรีและระบบเลือกตั้งนั้น ทุกกลุ่มการเมืองมีความเห็นต่างได้ แต่สุดท้ายก็จะต้องนำมาทบทวนและอภิปรายที่จะมีคำขอแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้มีความเห็นตรงกันทั้งหมด ดังนั้น ยืนยันว่าทุกบทบัญญัติในร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งในทฤษฎีและหลักการ ยังสามารถแก้ไขได้ในรายละเอียด
-------------------------
เลิศรัตน์บอกคณะบินเยอรมันหนุน ลต. สัดส่วนผสมลดโกง โยนนายกประชามติ

พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ที่ปรึกษาและโฆษกกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เปิดเผยภายหลังเดินทางกลับจากเยอรมัน ว่า ตัวแทนคณะทั้ง 9 คน ได้ศึกษาดูงานมีความเข้าใจในระบบการเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสมมากขึ้น พร้อมจะนำมาปรับใช้ให้ระบบการเลือกตั้งและพรรคการเมืองของไทยเข้มแข็ง ปราศจากการซื้อสิทธิ์ขายเสียงที่ยังเป็นจุดอ่อนของไทย ทั้งนี้ การจัดการเลือกตั้งของเยอรมัน

ให้กระทรวงมหาดไทยดูแลการเลือกตั้ง กฎหมาย และนักการเมือง ส่วน กกต. จะกำกับกฎกติกา เชื่อว่าจะไม่มีปัญหา หากไทยใช้ระบบสัดส่วนผสม

อย่างไรก็ตาม หากนายกรัฐมนตรีกำหนดให้ทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ก็จะเริ่มดำเนินการได้หลังจากสภาปฏิรูปแห่งชาติ มีมติเห็นชอบในร่างรัฐธรรมนูญ และคาดว่าจะใช้เวลา 3 เดือนในการทำประชามติ
/////////////
เคลื่อนไหวนายกฯ

นายกฯ เข้าทำเนียบแล้ว พล.อ.วรพงษ์ นำ ผบ.เหล่าทัพ เข้าอวยพรเนื่องในวันคล้ายวันเกิด 21 มี.ค. นี้ 

ความเคลื่อนไหวที่ทำเนียบรัฐบาล ในช่วงเช้าวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เดินทางเข้าปฏิบัติงานที่ทำเนียบรัฐบาลแล้ว ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยจากเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำทำเนียบรัฐบาลอย่างเข้มงวด

ขณะเดียวกัน พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด นำผู้บัญชาการเหล่าทัพต่าง ๆ และข้าราชการทหาร เข้าอวยพรพร้อมมอบกระเช้าดอกไม้เนื่องในวันคล้ายวันเกิดของนายกรัฐมนตรี ใน
วันที่ 21 มีนาคม ที่จะถึงนี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล

หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานพิธีมอบรางวัลผู้ชนะการแข่งขันประกวดเรียงความค่านิยมหลักของคนไทย 12 ประการ ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก)
-------------
นายกฯ เป็นประธานมอบรางวัลผู้ชนะเรียงความค่านิยม 12 ประการ ขณะที่ผู้สื่อข่าวร้องเพลงอวยพรวันเกิด

ความเคลื่อนไหวที่ทำเนียบรัฐบาล ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เป็นประธานพิธีมอบรางวัลผู้ชนะการแข่งขันประกวดเรียงความค่านิยมหลักของคนไทย 12 ประการ ของ กรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งเป็นการจัดกิจกรรมเพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ค่านิยมหลักของคนไทย 12 ประการ รวมถึงรณรงค์และสร้างความตระหนักให้เกิดขึ้นในกลุ่มของเยาวชน ประชาชน และข้าราชการ นำมาใช้ในการดำเนินชีวิต โดยมีเยาวชนและผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง

ทั้งนี้ ระหว่างเดินทางมาเป็นประธานมอบรางวัล ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาลได้ร่วมร้องเพลงอวยพรวันเกิดโดยขอให้นายกรัฐมนตรีทำงานประสบความสำเร็จ ใจเย็น อย่าเครียด คิดแต่สิ่งดี ๆ ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณและระบุว่า ในปีนี้ต้องการหัวใจของสื่อมวลชนเป็นของขวัญวันเกิด
------------------------
นายกฯ ปฏิเสธซ้อมผู้ต้องหาระเบิดศาลอาญา ขออย่าดึงยูเอ็นมาเกี่ยวข้อง ขณะที่ข้อเสนอนิรโทษกรรมลดขัดแย้ง ไม่ปิดกั้น

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวถึงกรณีที่สำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เตรียมรับเรื่องร้องเรียนกรณีทารุณผู้ต้องหาที่ถูกจับในคดีขว้างระเบิดศาลอาญามาตรวจสอบ ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนและปฏิเสธการซ้อมผู้ต้องหา ซึ่งในกรณีนี้ จะต้องดูหลักฐานและความผิดที่เกิดขึ้น ขออย่ามุ่งแต่เรื่องการซ้อมผู้ต้องหาเพียงอย่างเดียวแต่ให้นำหลักฐานอื่นมาประกอบด้วย

ส่วนองค์การสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น ที่ได้ติดต่อเข้ามายังศูนย์ทนายฯ เพื่อขอตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว นายกรัฐมนตรีระบุว่า หากมีหลักฐานก็ดำเนินการมา แต่ยืนยันมีหลักฐานและปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาในประเทศ ขออย่าดึงยูเอ็นเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนข้อเสนอให้นิรโทษกรรมเพื่อลดความขัดแย้งนั้น ไม่ได้ปิดกั้น แต่เป็นเรื่องของสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช.ที่จะต้องดำเนินการ โดยจะยกเว้นผู้ที่มีความผิดทางอาญาและมาตรา 112
----------------------
นายกฯ ระบุ ตั้งเพจให้ยกเลิกกฎอัยการศึกกำลังพิจารณา พยายามหากฎหมายใหม่ ขณะที่วันเกิดปีนี้นิมนต์พระสงฆ์มาทำบุญที่บ้านพัก ร.1 รอ.

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวถึงการตั้งเพจให้ยกเลิกกฎอัยการศึก ว่า กำลังพิจารณาในเรื่องนี้อยู่ ซึ่งจาก 17 มาตรา มีการใช้เพียง 2 มาตรา คือ การขอค้นโดยไม่ต้องขอหมายศาล และการควบคุมตัวภายใน 7 วันเท่านั้น และพยายามที่จะหากฎหมายใหม่เข้ามารองรับเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามปกติ

ขณะที่ในวันเกิดปีนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าไม่ได้อยากได้อะไรเป็นพิเศษ ขออนาคตประเทศให้ลูกหลานและให้ประเทศสง่างาม สงบ สันติ มีความยั่งยืน และจะนิมนต์พระสงฆ์มาทำบุญที่บ้านพักในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ หรือ ร.1 รอ.
///////////////////////////////////////
ระเบิด

ระเบิดลูกเกลี้ยงตกจากหลังคาห้องเช่า จ.สระบุรี กระแทกพื้นบึ้มสนั่น ทำให้หนุ่มรับจ้างดูดส้วมและภรรยาชาวไทยใหญ่ถูกสะเก็ดระเบิด อาการสาหัส

พล.ต.ต.ชลิต ปรีชาหาญ ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.สระบุรี เข้าตรวจสอบเหตุระเบิด บริเวณหน้าห้องเช่าตลาดเก่าสามแยกหนองแค เขตเทศบาลตำบลหนองแค มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 ราย จุดเกิดเหตุอยู่ใต้ต้นคูนหน้าอาคาร 2 ชั้น ซึ่งแบ่งเป็นห้องเช่า พบกองเลือดจำนวนมากหยดเป็นทาง ใกล้กันพบเศษกระจกที่หน้าห้องเช่าแตกเกลื่อนและพบกระเดื่องระเบิด ชนิดลูกเกลี้ยงเอ็ม 26 ตกอยู่ 1 อัน มี รถดูดสิ่งปฏิกูลถูกสะเก็ดระเบิดได้รับความเสียหายหลายแห่ง ส่วนผู้บาดเจ็บ 2 ราย ทราบชื่อต่อมาคือ นายพาวิน สวัสดิสุข อายุ 40 ปี อาชีพรับจ้างดูดสิ่งปฏิกูล ถูกสะเก็ดระเบิดเข้าที่แขนขวา ขาทั้งสองข้างกระดูกแตกละเอียด อาการสาหัส และ นางหวาน ชาวไทยใหญ่ ภรรยาของนายพาวิน ถูกสะเก็ดระเบิดเข้าที่ช่องท้องอาการสาหัส เจ้าหน้าที่นำส่ง ร.พ.หนองแค

สอบสวนเบื้องต้น นายพาวินให้การว่า ก่อนเกิดเหตุขณะตนกับภรรยานั่งเล่นอยู่ใต้ต้นคูนหน้าห้องเช่า จู่ ๆ ได้ยินเสียงสิ่งของกลิ้งตกลงมาจากหลังคากันสาดของห้องเช่า ก่อนจะตกลงใกล้จุดที่ตนและภรรยานั่งอยู่ เมื่อตนเหลือบไปมองจนทราบว่าเป็นเป็นระเบิดลูกเกลี้ยงชนิดขว้างสังหาร จึงรีบตะโกนให้ภรรยาหนี แต่ไม่ทัน และเกิดระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่น ตนเองกับภรรยาได้รับบาดเจ็บดังกล่าว

ทั้งนี้ จากการสอบปากคำนายพาวินยังให้การคลุมเครือ เหมือนปกปิดอะไรไว้บางอย่าง รวมถึงอาจพกระเบิดไว้กับตัวจนเกิดระเบิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม มีพยานระบุว่า นายพาวินเคยมีเรื่องบาดหมางกับเพื่อนร่วมบ้านจึงอาจเป็นมูลเหตุจูงใจให้ผู้บาดเจ็บพกระเบิดติดตัวไว้ตลอดเวลา
----------------------------
ศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษา วันนี้ 09.00 น. กรณีวางระเบิดหน้าร้านเสริมสวยออกัส

ศาลอาญารัชดา นัดอ่านคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายอัฟฟาฮัม สะอะ อายุ 26 ปี ชาว จ.ปัตตานี กับพวกรวม 4 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, กระทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น หรือทรัพย์ของผู้อื่นและเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ทรัพย์ผู้อื่น, ร่วมกันทำและมีวัตถุระเบิด (ระเบิดแสวงเครื่อง) ที่นายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร

จากกรณี เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2556 เมื่อเวลา 20.40 น. นายอัฟฟาฮัม จำเลยที่ 1 กับพวก ได้ร่วมกันประกอบวัตถุระเบิดแล้วนำไปวางไว้บริเวณจุดทิ้งขยะหน้าร้านเสริมสวยออกัส ใกล้ปากซอยรามคำแหง 43/1 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม. จนเกิดระเบิดขึ้นจำนวน 1 ครั้ง เป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 7 ราย และมีร้านค้าแผงลอย อาคารบริเวณใกล้เคียงได้รับความเสียหาย โดยศาลได้นัดอ่านคำพิพากษาในวันนี้ เวลา 09.00 น.
-------------------------------
ศาลสั่งจำคุกตลอดชีวิต 4 มือบึ้ม ร้านออกัสซอย ราม 43 - สารภาพลดเหลือ 50 ปี

ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายอัฟฟาฮัม สะอะ อายุ 26 ปี ชาว จ.ปัตตานี กับพวกรวม 4 คน เป็นจำเลยในฐานความผิด ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, กระทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น หรือทรัพย์ของผู้อื่นและเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ทรัพย์ผู้อื่น, ร่วมกันทำและมีวัตถุระเบิด (ระเบิดแสวงเครื่อง) ที่นายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร

จากกรณี เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2556 นายอัฟฟาฮัม จำเลยที่ 1 กับพวก ได้ร่วมกันประกอบวัตถุระเบิดแล้วนำไปวางไว้บริเวณจุดทิ้งขยะหน้าร้านเสริมสวยออกัส ใกล้ปากซอยรามคำแหง 43/1 จนเกิดระเบิดขึ้นจำนวน 1 ครั้ง เป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 7 ราย และมีร้านค้าแผงลอย อาคารบริเวณใกล้เคียงได้รับความเสียหาย

โดย ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยมีความผิดจริง พิพากษาจำคุกตลอดชีวิต แต่จำเลยทั้ง 4 ให้การเป็นประโยชน์ลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุก 66 ปี 8 เดือนปรับ 90 บาท แต่ให้จำคุกจำเลย ได้สูงสุดไม่เกิน 50 ปี ปรับ 60 บาท ตามประมวลกฎหมายอาญา
//////////////////////////
เศรษฐกิจ

"หม่อมอุ๋ย" มั่นใจ GDP ปี 58 ขยายตัวได้ 4% ส่งออก 2-4% ขณะเบิกจ่ายงบประมาณตามเป้า ยันคง VAT7%

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า มั่นใจอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือ GDP ในปีนี้จะขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 4 โดยไม่กังวลแม้มีหลายหน่วยงานจะปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจลดลง เนื่องจากภาครัฐมั่นใจการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2558 ทำได้ตามเป้าหมายโดยคาดว่าจะสามารถเบิกจ่ายงบประมาณการลงทุนได้ร้อยละ 80 และเบิกจ่ายงบประมาณรวมได้ร้อยละ 98 ในขณะที่การส่งออกคาดว่าจะขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 2-4 โดยมีการนำเข้าสินค้าทุนที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น ในขณะที่การจัดเก็บอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT ยืนยันว่าจะยังคงจัดเก็บอยู่ที่อัตราเดิมที่ร้อยละ 7 ออกไปอีกอย่างน้อย 1 ปี หลังสิ้นสุดการขอขยายเวลาในช่วงเดือนกันยายนนี้
--------------------------
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ยอมรับอัตราแลกเปลี่ยน ฉุดส่งออกไม่ดีนัก เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้าซ้ำเติม

พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า จากที่รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจออกมาระบุว่า การส่งออกไทยในเดือนกุมภาพันธ์นี้จะติดลบถึงร้อยละ 3.4 นั้น โดยส่วนตัวยังไม่เห็นตัวเลขดังกล่าว ซึ่งก็จะเชิญอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศมาชี้แจงข้อเท็จจริงอีกครั้ง ทั้งนี้ ยอมรับว่าการส่งออกไทยมีปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน และยังมีผลกระทบจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ค่อนข้างล่าช้า ยกเว้นเพียงสหรัฐอเมริกา และการค้าชายแดนที่ยังขยายตัวดี รวมทั้งค่าเงินบาทที่แข็งค่ากว่าสกุลเงินอื่นโดยเฉพาะสหภาพยุโรป ทำให้มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยไปยุโรปลดลง แต่ทั้งนี้ หากพิจารณาในแง่ปริมาณจะพบว่าการส่งออกไม่ได้ลดลง แต่แง่มูลค่านั้นลดลงจากปัจจัยเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ส่วนจะปรับเป้าหมายการส่งออกลงเป็นเท่าไหร่คงต้องรอดูตัวเลขและติดตามสถานการณ์การส่งออกในช่วงไตรมาส 1 ก่อน

อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์จะมีมาตรการผลักดันการส่งออกให้มากขึ้น ซึ่งได้สั่งการให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจัดทำแผนงานและจะเตรียมคณะเดินทางไปเจรจาขยายตลาดในต่างประเทศ
------------------------
ธนาคารแห่งประเทศไทย ปรับประมาณการณ์ GDP ปี 58 ใหม่เหลือ 3.8% จากเดิม 4% เหตุลงทุนชะลอ ขณะส่งออกเหลือ 0.8%

นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. เปิดเผยว่า ธปท. ได้ปรับลดประมาณการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย หรือ จีดีพี ใน 2558 ลงเหลือร้อยละ 3.8 จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 4  และปรับลดคาดการณ์การส่งออกลงอยู่ที่ร้อยละ 0.8 จากเดิมร้อยละ 1 เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าที่เคยประเมินไว้ โดยเฉพาะการใช้จ่ายในประเทศ การบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่ล่าช้า ทำให้แรงส่งในปีนี้ลดลง ประกอบกับความเชื่อมั่นของประชาชนและนักธุรกิจในช่วง 2 เดือนแรง

ของปีชะลอลง และมีปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด โดยเฉพาะการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศหลัก ทั้งจีนและเอเชีย รวมทั้งมีความเสี่ยงมากขึ้นจากปัญหาการเมืองภายในยุโรป
อย่างไรก็ตาม ธปท. ยืนยันว่า เศรษฐกิจไทยขณะนี้ยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากยังเชื่อว่า จีดีพีในแต่ละไตรมาสจะเติบโตเป็นบวกได้
---------------------------
ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดเงินเฟ้อปี 58 ต่ำกว่ากรอบ ขณะเศรษฐกิจปี 59 โต 3.9% ส่งออก 4% จับตาเศรษฐกิจโลก

นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. เปิดเผยว่า ธปท. ประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2558 จะต่ำกว่ากรอบเป้าหมายที่ร้อยละ 2.5 บวกลบ 1.5
โดยปีนี้เงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 0.2 ซึ่งคาดว่าในช่วงครึ่งปีแรกจะติดลบ จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง แต่สามารถกลับมาเป็นบวกได้ในครึ่งปีหลัง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันด้วย ซึ่งราคาน้ำมันที่ลดลงส่งผลให้แรงกดดันเงินเฟ้อจากด้านต้นทุนลดลงค่อนข้างมาก โดยปีนี้คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะอยู่ที่ 59.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล และปี 2559 จะอยู่ที่ 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าแม้เงินเฟ้อจะหลุดกรอบเป้าหมายแต่ไม่ใช่ภาวะเงินฝืด ซึ่งหลายประเทศเจอสถานการณ์เดียวกัน

นอกจากนี้ ธปท. ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปีหน้า จะขยายตัวได้ร้อยละ 3.9 และการส่งออกขยายตัวร้อยละ 4 โดยยังต้องติดตามความชัดเจนในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ความแตกต่างของนโยบายการเงินในกลุ่มประเทศหลักที่อาจส่งผลต่อตลาดการเงินและการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ ความสามารถในการใช้จ่ายของภาครัฐ ซึ่งมีผลต่อความเชื่อมั่นและการลงทุนภาคเอกชน และความเสี่ยงจากพฤติกรรมการแสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่า ภายใต้ภาวะอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำมานาน