PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2560

คอลัมน์: กระจกไร้เงา: อีกก้าว 'แก้หนี้นอกระบบ'

คอลัมน์: กระจกไร้เงา: อีกก้าว 'แก้หนี้นอกระบบ'


ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- อังคารที่ 19 ธันวาคม 2560 00:00:03 น.

ครองขวัญ รอดหมวน
เปิดตัวมาเกือบ 10 เดือนเต็มแล้ว สำหรับ "โครงการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน" เมื่อวันที่ 1 มี.ค.2560 โดยโครงการนี้ "กระทรวงการคลัง" ในฐานะแม่งานวางเป้าหมายว่า จะช่วยแก้ปัญหาได้ทั้งในส่วนของลูกหนี้และเจ้าหนี้ควบคู่กันไปอย่างเป็นระบบ ครบวงจร และต่อเนื่อง ภายใต้ 5 มิติ ได้แก่ 1.การดำเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย โดยได้มีพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ห้ามเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560 ซึ่งเพิ่มโทษกับเจ้าหนี้นอกระบบ เพื่อกำจัดส่วนนี้ให้หมดไปจากประเทศไทย

2.การเพิ่มช่องทางการเข้าถึงแหล่งสินเชื่อในระบบให้กับลูกหนี้นอกระบบและประชาชนทั่วไป ผ่านโครงการสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ และพิโกไฟแนนซ์ ขณะที่ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้จัดตั้งหน่วยธุรกิจเพื่อให้คำปรึกษาเรื่องการแก้ไขหนี้นอกระบบ การจัดสินเชื่อให้แก่ผู้ที่ต้องการกู้เงินฉุกเฉินเพื่อทดแทนหนี้นอกระบบ

3.การลดภาระหนี้นอกระบบ โดยการไกล่เกลี่ยประ นอมหนี้ 4.การเพิ่มศักยภาพของลูกหนี้นอกระบบ โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ให้ความรู้ทางการเงิน ให้ความรู้ด้านการประกอบอาชีพ และพัฒนาฝีมือแรงงานเพื่อให้ลูกหนี้นอกระบบมีรายได้ที่เพียงพอและไม่ต้องเป็นหนี้ซ้ำอีก และ 5.การร่วมมือกันอย่างบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

โดย "กระทรวงการคลัง" ตั้งเป้าหมายว่า โครงการนี้จะช่วยขจัดหนี้นอกระบบให้เป็นศูนย์ได้ เพราะโครงการนี้เป็นการแก้ปัญหาอย่างบูรณาการและเป็นระบบ มีการวางแผน และแนวทางในการแก้ปัญหาทุกส่วน

"การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบครั้งนี้แตกต่างจากอดีตที่ผ่านมา โดยเฉพาะการทำงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ซึ่งอดีตเป็นเหมือนงานรอง แต่ในครั้งนี้จะให้ความสนใจมากขึ้น เพราะถือเป็นภารกิจหลัก"

ที่ผ่านมา กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้เดินหน้าโครงการ "พิโกไฟแนนซ์" ที่ดึงเจ้าหนี้นอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลล่าสุดเมื่อ พ.ย.ที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการขอประกอบธุรกิจพิโกไฟแนนซ์ ตั้งแต่ ธ.ค.2559 ถึงสิ้นเดือน ต.ค.2560 มีนิติบุคคลยื่นคำขออนุญาต 384 ราย ใน 63 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีผู้ยื่นคำขออนุญาตมากที่สุด ได้แก่ นครราชสีมา 41 ราย กรุงเทพมหานคร 32 ราย และร้อยเอ็ด 27 ราย

โดยในส่วนนี้มีผู้ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจแล้ว 176 รายใน 50 จังหวัด ซึ่งในจำนวนนี้ได้เปิดดำเนินการแล้ว 95 รายใน 40 จังหวัด และมีผู้ปล่อยสินเชื่อแล้ว 74 รายใน 36 จังหวัด โดยผู้ประกอบธุรกิจสามารถปล่อยสินเชื่อได้รายละไม่เกิน 5 หมื่นบาท อัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 36% ต่อปี

โดยที่ผ่านมามีสินเชื่ออนุมัติสะสม 2.92 พันบัญชี เป็นเงิน 92 ล้านบาท หรือคิดเป็นวงเงินสินเชื่ออนุมัติเฉลี่ย 3.14 หมื่นบาทต่อบัญชี

ส่วน 2 สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ อย่าง "ออมสินและ ธ.ก.ส." ก็เดินหน้าปล่อยสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจากกระทรวงการคลัง ระบุว่า ณ สิ้นเดือน พ.ย.2560 มีการอนุมัติสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายกรณีฉุกเฉินรวม 1.8 แสนราย เป็นเงิน 8.13 พันล้านบาท คิดเป็น 81.31% ของวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยแบ่งเป็นสินเชื่อที่อนุมัติแก่ประชาชนทั่วไป 1.69 แสนราย เป็นเงิน 7.62 พันล้านบาท และสินเชื่อที่อนุมัติแก่ผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 จำนวน 1.15 หมื่นราย เป็นเงิน 510 ล้านบาท

ขณะที่เรื่อง "เจ้าหนี้นอกระบบที่กระทำผิดกฎหมาย" นั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้กวดขันจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบ และผู้ติดตามทวงถามหนี้โดยวิธีผิดกฎหมาย ซึ่งผลการดำเนินงานสะสมของปีงบประมาณ 2560 (สิ้น ต.ค.ที่ผ่านมา) มีการจับกุมผู้กระทำผิด 1.57 พันราย

โครงการนี้ถูกขับเคลื่อนอย่างจริงจัง และ พล.อ.ประ ยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็พอใจกับการแก้ปัญหาเรื่องหนี้นอกระบบเพราะมีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก จนเรียกได้ว่านี่เป็นความสำเร็จครั้งสำคัญในการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบของไทย.

นายกฯ พอใจความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ

นายกฯ พอใจความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ กำชับเร่งดำเนินการต่อเนื่อง พร้อมทำความเข้าใจแนวทางแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนแก่ประชาชน


ข่าวทั่วไป สำนักโฆษก -- จันทร์ที่ 18 ธันวาคม 2560 14:35:54 น.


นายกฯ พอใจความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ กำชับเร่งดำเนินการต่อเนื่อง พร้อมทำความเข้าใจแนวทางแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนแก่ประชาชน

วันที่ 17 ธ.ค.60 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พอใจการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบที่มีความคืบหน้า โดยหลังจากที่รัฐบาลเปิดให้ผู้มีรายได้น้อยลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 60 แล้ว ได้ประมวลรายชื่อผู้ที่มีหนี้นอกระบบส่งให้ ธ.ออมสิน และ ธ.ก.ส. ติดต่อลูกหนี้แต่ละรายมาเข้าสู่กลไกการแก้ปัญหา โดยล่าสุดได้นำร่องมอบเงินสินเชื่อรายย่อยให้แก่คนกลุ่มนี้ หลังจากที่ได้ไกล่เกลี่ยประนอมหนี้กับเจ้าหนี้แล้วใน 3 จังหวัด คือ นครราชสีมา สุพรรณบุรี และสงขลา รวม 4,324 ราย เป็นเงิน 193.33 ล้านบาท

นอกจากนี้ ทั้ง 2 ธนาคารยังได้อนุมัติสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินแก่ประชาชน เพื่อป้องกันปัญหาหนี้นอกระบบ วงเงินรายละ 50,000 บาท ณ สิ้นเดือน พ.ย.60 รวม 180,898 ราย เป็นเงิน 1,831.01 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 81.31 ของวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติจาก ครม. เมื่อ 21 ก.พ.60 จำนวน 10,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นสินเชื่อที่อนุมัติแก่ประชาชนทั่วไป 169,356 ราย เป็นเงิน 7,620.38 ล้านบาท และผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 60 จำนวน 11,542 ราย เป็นเงิน 510.63 ล้านบาท

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้กระทรวงการคลัง เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างต่อเนื่อง โดยทำความเข้าใจกับประชาชนว่า โครงการดังกล่าวไม่ใช่การปลดหนี้ฟรี แต่ต้องเข้าสู่กระบวนการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน เช่น การรับคำปรึกษา การไกล่เกลี่ยประนอมหนี้กับเจ้าหนี้ การช่วยเหลือด้านสินเชื่อ และการฟื้นฟูศักยภาพและการหารายได้ เพราะที่ผ่านมาหลายคนต้องการขอสินเชื่อเพียงอย่างเดียว และที่สำคัญลูกหนี้จะต้องมีคุณสมบัติและความสามารถในการชำระหนี้ต่อไปด้วย

ทั้งนี้ รัฐบาลได้ประกาศวาระสำคัญเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างจริงจัง โดยบูรณาการความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน ใน 5 มิติ คือ 1. ดำเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบ 2. เพิ่มช่องทางเข้าถึงสินเชื่อในระบบ เช่น พิโกไฟแนนซ์  3. ลดภาระหนี้โดยไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ ผ่านอนุกรรมการไกล่เกลี่ยฯ 77 จว.  4. เพิ่มศักยภาพของลูกหนี้ ผ่านอนุกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการหารายได้ฯ 77 จว.  5. สร้างเครือข่ายองค์การการเงินชุมชน ให้ความรู้และทักษะทางการเงิน เป็นต้น

สศค. เผยความคืบหน้าแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ล่าสุดสิ้น พ.ย.อนุมัติพิโกไฟแนนซ์แล้ว 209 ราย

สศค. เผยความคืบหน้าแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ล่าสุดสิ้น พ.ย.อนุมัติพิโกไฟแนนซ์แล้ว 209 ราย


ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม 2560 17:03:11 น.

นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจำเดือนพ.ย.60 พบว่า สินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) นับตั้งแต่เดือนธ.ค.59 ซึ่งกระทรวงการคลังเปิดให้ผู้สนใจยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ ถึงสิ้นเดือน พ.ย.60 มีนิติบุคคลยื่นคำขออนุญาต 418 ราย ใน 66 จังหวัด จังหวัดที่มีผู้ยื่นคำขออนุญาตมากที่สุดตามลำดับ ได้แก่ นครราชสีมา 42 ราย กรุงเทพมหานคร 34 ราย และร้อยเอ็ด 27 ราย ทั้งนี้ มีผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจแล้ว 209 ราย ใน 53 จังหวัด ซึ่งในจำนวนนี้ ได้เปิดดำเนินการแล้ว 116 ราย ใน 42 จังหวัด และมีผู้ปล่อยสินเชื่อแล้ว 87 ราย ใน 40 จังหวัด

ในด้านการปล่อยสินเชื่อ ผู้ประกอบธุรกิจสามารถปล่อยสินเชื่อได้ภายในเขตจังหวัดให้แก่ผู้มีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ภายในจังหวัดนั้น ๆ วงเงินรายละไม่เกิน 50,000 บาท คิดดอกเบี้ยในอัตราไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี (Effective Rate) ทั้งนี้ ณ เดือนตุลาคม 2560 มีสินเชื่ออนุมัติสะสม 4,849 บัญชี เป็นเงิน 131.33 ล้านบาท หรือคิดเป็นวงเงินสินเชื่ออนุมัติเฉลี่ย 27,084.55 บาทต่อบัญชี

การอนุมัติสินเชื่อ ประกอบด้วย สินเชื่อแบบมีหลักประกัน 2,822 บัญชี เป็นเงิน 88.01 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 67.02 ของจำนวนสินเชื่อที่อนุมัติ และสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน 2,027 บัญชี เป็นเงิน 43.32 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 32.98 ของจำนวนสินเชื่อที่อนุมัติ โดยมียอดสินเชื่อคงค้างรวมทั้งสิ้น 2,514 บัญชี เป็นเงิน 63.52 ล้านบาท อย่างไรก็ดี มีสินเชื่อที่ค้างชำระไม่เกิน 3 เดือน จำนวน 155 บัญชี เป็นเงิน 4.60 ล้านบาท หรือคิดเป็น 7.25% ของสินเชื่อคงค้างรวม และมีสินเชื่อค้างชำระเกินกว่า 3 เดือน (NPL) จำนวน 9 บัญชี เป็นเงิน 0.36 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.56% ของสินเชื่อคงค้างรวม

สินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2560 ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้อนุมัติสินเชื่อเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินให้เป็นทางเลือกของประชาชนในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบแทนหนี้นอกระบบ รายละไม่เกิน 50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย 0.85% ต่อเดือน โดยได้เร่งกระจายความช่วยเหลือด้านสินเชื่อดังกล่าวแก่ประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ

ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนพ.ย.60 มีการอนุมัติสินเชื่อรวม 180,898 ราย เป็นเงิน 8,131.01 ล้านบาท คิดเป็น 81.31% ของวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีจำนวน 10,000 ล้านบาท สามารถจำแนกเป็นสินเชื่อที่อนุมัติแก่ประชาชนทั่วไป 169,356 ราย เป็นเงิน 7,620.38 ล้านบาท และสินเชื่อที่อนุมัติแก่ผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 ที่มีหนี้นอกระบบ จำนวน 11,542 ราย เป็นเงิน 510.63 ล้านบาท

ด้านการดำเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่กระทำผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังคงกวดขันจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบและผู้ติดตามทวงถามหนี้โดยวิธีการผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยผลการดำเนินการสะสมของปีงบประมาณ 2560 ต่อเนื่องถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2560 มีการจับกุมผู้กระทำผิด 1,750 คน

สมคิด แจงปีหน้าโอกาสประเทศไทย ทั้งเศรษฐกิจ-การเมือง อ้อนขอเวลาทำงานเต็มที่ 1 ปีที่เหลือ

สมคิด แจงปีหน้าโอกาสประเทศไทย ทั้งเศรษฐกิจ-การเมือง อ้อนขอเวลาทำงานเต็มที่ 1 ปีที่เหลือ


 พฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม 2560 09:17:26 น.


นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ กล่าวปาฐกถาพิเศษ “โอกาสประเทศไทยปี 2018"ว่า ในวันนี้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ถึง 4.3 % ตัวเลขการส่งออกล่าสุดอยู่ที่ 13.3% ถ้าไตรมาสสุดท้าย หากมูลค่าส่งออกถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ จะทำให้การส่งออกทั้งปีโตได้ถึง 10 % แม้ว่าการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจบางอย่างยังไม่ประสบความสำเร็จ เช่น ราคาสินค้าทางการเกษตรตกต่ำ ซึ่งเกิดจากปัญหาโครงสร้างทางการเกษตรที่สะสมมานาน ซึ่งวันนี้รัฐบาลพยายามลงไปช่วยเหลือประชาชนรากหญ้าให้สามารถอยู่ได้

สำหรับโอกาสประเทศไทยได้ห่างหายไปนานพอสมควร หากนับตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540 ต่อด้วยปัญหาต่างๆ ตั้งแต่ปัญหาไข้หวัดนก เกิดสึนามิ วิกฤตทางการเงินของโลก รวมถึงเกิดการปฏิวัติรัฐประหาร ส่งผลต่อความเชื่อของนักลงทุน ไม่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาไทย ไม่มีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ซึ่งตนเองเรียกว่า เป็นทศวรรษที่สูญหายไป แต่หากเทียบในปัจจุบันเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น ปัญหาหลายอย่างได้รับการแก้ไข บ้านเมืองมีความสงบ

“วันนี้ ICAO ปลดธงแดง รอดพ้นแล้ว IUU ปลดธงเหลืองรอดไปแล้ว EU เป็นตัวตั้งตัวตีบอยคอตไทย วันนี้บอกว่ายินดีที่จะมาเกี่ยวโยงอีกครั้งทางการเมืองทุกระดับ และ FTA สามารถลงนามได้ทันทีเมื่อมีเลือกการตั้ง ซึ่งเราไม่ได้ร้องขอ นั่นเป็นประโยชน์ของเขา ถ้าเขาไม่มาเกี่ยวข้องกับเรา เขาคือผู้เสียประโยชน์ แต่เราต้องการมิตรสหาย เรายินดีมากที่เขาตัดสินใจ FTA ยังไม่เซ็นไม่เป็นไร ผมไม่รีบร้อนเลย แต่ศักดิ์ศรีของความเป็นประเทศมันสำคัญ ไม่ใช่เอาศักดิ์ศรีที่เขาเหยียบย่ำมาทำลายกันเอง"นายสมคิด กล่าว

นายสมคิด มองว่า ในช่วงเวลาที่เหลืออีกประมาณ 1 ปี ถือเป็นโอกาสของไทยอีกครั้ง ซึ่งในด้านภูมิศาสตร์อาเซียนถือเป็นซัพพลายเชนที่สำคัญ ที่มีความเชื่อมโยงทั้งด้านคมนาคมและการค้าการลงทุน ซึ่งไทยถือเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคที่จะสามารถเชื่อมโยงได้กับทุกประเทศ ซึ่งไทยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกประเทศ ไม่ว่าจะเป็น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย รัสเซีย หรือแม้กระทั่งกับสหรัฐอเมริกาที่ได้มีโอกาสหารือกัน ซึ่งในปีหน้าจะมีการเดินสายไปฝั่งยุโรป ฝรั่งเศส กลุ่มประเทศอื่นๆ ทั้งในตะวันออกกลางและเอเชีย เพื่อสร้างพาร์ทเนอร์ชิพ

“ผมมั่นใจปีหน้าจะเป็นที่เราสามารถเทค-ออฟ ผมเรียนในครม.ว่า ไตรมาสที่ 1 สำคัญที่สุด เมื่อมันกำลังจะเทคออฟอย่าให้มีอะไรมาฉุด ให้ผ่านไตรมาสที่หนึ่งให้การเติบโตที่แน่นหนาขึ้น แล้วหลังจากนั้นค่อยมาเจาะนโยบายบางอย่างที่สำคัญ ผมคิดว่าปีหน้าเป็นปีทีดีทางเศรษฐกิจ จะเกี่ยวข้องตลาดทุนด้วย ตอนนี้ ทะลุ 1,700 จุด คุณคอยดูปีหน้าตลาดหุ้นจะร้อนแรง จากเศรษฐกิจโลกดีขึ้น ที่สำคัญที่สุดเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของเอกชนไทยที่จะเพิ่มทุน เพราะโอกาสมันหายไปเป็นปี ปีหน้าบริษัทไหนเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ เพิ่มทุนได้ผมว่าเฮงสุดๆ สิ่งเหล่านี้จะเริ่มหมุนและดีขึ้นเรื่อย ยกเว้นว่ามีบางสิ่งที่ไม่ปรารถนา" นายสมคิด กล่าว

นายสมคิด กล่าวอีกว่า ในปีหน้าจะเน้นการแก้ไขปัญหาให้กับคนจน ซึ่งได้มอบนโยบายให้กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ชัดเจนว่า ต้องพยายามประคองราคาสินค้าเกษตรไม่ให้ราคาตกต่ำแบบผิดสังเกต ถ้าหากราคายางไม่ขึ้น รัฐจะเอาไปตรวจสต็อกของผู้ประกอบการ ดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ ถ้าหากยังพบว่าผิดปกติจะเอาไปเป็นสินค้าควบคุมเพื่อให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรฯสามารถเข้าไปบริหารจัดการได้ และจะต้องสามารถประคองราคาไว้แต่ต้องไม่เป็นการฝืนธรรมชาติ ทั้งนี้ได้พูดคุยกับกระทรวงการคลัง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แล้ว ไม่ได้หนุนให้โค่นยาง แต่หากโค่นยางจะให้เงินอุดหนุนและส่งเสริมให้การทำเกษตรผสมผสาน มีเลี้ยงไก่เลี้ยงปลา

ด้านการท่องเที่ยวต้องเปลี่ยนนโนบาย ส่งเสริมท่องเที่ยวเมืองรองมากขึ้น สร้างแหล่งท่องเที่ยวชุมชน กระทรวงพาณิชย์ ทำหน้าที่ทำการตลาดให้เกษตรกรมีพื้นที่ขายสินค้าได้ แนะนำให้มีการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร และต้องทำให้ร้านค้าชุมชนสามารถค้าขายผ่านออนไลน์ได้ด้วย

นายสมคิด กล่าวว่า โอกาสที่สำคัญที่สุด คือโอกาสในการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เพราะถ้าหากเศรษฐกิจจะดีแต่การเมืองไม่เข้มแข็ง ประเทศก็ไม่มีทางไปได้ดี จึงอยากเห็นพรรคการเมืองทีมีอยู่แล้วคิดนโยบายที่ดี รวบรวมคนเก่งคนดี และอยากเห็นพรรคการเมืองใหม่ๆ เพราะยิ่งมียิ่งดี พรรคเก่าจะได้พัฒนาด้วย และมองว่า พรรคการเมืองใหม่ควรจะเป็นโอกาสของคนรุ่น 30-50 ปี ไม่ใช่คนรุ่น 60-70 ปี และในระบบประชาธิปไตย พรรคการเมืองเป็นสิ่งสำคัญจึงต้องรวบรวมคนเก่งและสู้กันในระบบ

อย่างไรก็ตาม นายสมคิด กล่าวว่า ไม่ว่าใครจะเป็นผู้นำอย่าไปรังเกียจ ไม่ว่าจะเป็น ตำรวจ ทหาร ทนายความ อาจารย์ ทุกคนมีสิทธิ์ทำหน้าที่ได้ทั้งสิ้นถ้าเป็นคนดีและทำได้ดีพอ ไม่มีการผูกขาดว่านักการเมืองจะต้องเป็นใคร ซึ่งตอนนี้ตนเองมีทีมงานเศรษฐกิจที่ดีที่ตั้งใจทำงาน จึงอยากให้ช่วยกันให้กำลังใจ เพราะมีเวลาเพียง 1 ปีที่จะทำงานเต็มที่ ส่วนหลังจากนี้เป็นการตัดสินใจของแต่ละบุคคลว่าจะทำงานการเมืองต่อหรือไม่ เพราะประเทศเดินได้ไม่ใช่แค่จากคณะรัฐมนตรี 34 คน แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกคน

นายกฯ เปิดก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง กทม.-โคราช หนุนเชื่อมโยงทุกภูมิภาค

นายกฯ เปิดก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง กทม.-โคราช หนุนเชื่อมโยงทุกภูมิภาค 

นายกฯ เปิดการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงระยะที่ 1 "กรุงเทพฯ-นครราชสีมา" ยืนยันจะทำให้เสร็จจนถึงหนองคาย หนุนเชื่อมโยงทุกภูมิภาคเพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงในทุกมิติ 

เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.60 ที่มอหลักหินรัชกาลที่ 5 ต.กลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และนายหวัง เสี่ยวเทา รองผู้อำนวยการคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน เป็นประธานในพิธีเริ่มการก่อสร้างโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) โดยมี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม นายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม รักษาการผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ร่วมในพิธี

โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ดีใจยินดีและถือเป็นเกียรติที่ได้มาพบทุกคนในวันประวัติศาสตร์ของรถไฟไทย จึงขอขอบคุณคำกล่าวของนายหลี่เค่อเฉียง และความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทย-จีน และยืนยันว่าจะทำให้จบในเส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย ซึ่งรัฐบาลนี้สนับสนุนการเชื่อมโยงทุกภูมิภาคเพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงในทุกมิติ

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ไทยพร้อมเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่ง ซึ่งการลงทุนจำเป็นต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก แต่ต้องไม่เป็นภาระกับประเทศ และต้องโปร่งใส และอย่าคิดถึงรายได้เฉพาะผู้ที่มาใช้บริการหรือที่เรียกว่าผลกำไรเพียงอย่างเดียว แต่มองผลประโยชน์ทางอ้อมที่ตามมาจำนวนมาก โดยเฉพาะจะเกิดธุรกิจตลอดเส้นทางเป็นการเพิ่มและกระจายรายได้ ดังนั้นรัฐบาลจึงพยายามเร่งรัดทุกอย่าง จึงจำเป็นต้องปฏิรูปกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวก ขออย่ามองเป็นเรื่องอื่น ทุกอย่างที่ทำเพื่อผลประโยชน์ของชาติ ซึ่งทุกอย่างต้องมีการเริ่มต้นและไม่ได้เสร็จในวันเดียว ทุกหน่วยงานจึงต้องช่วยกัน ให้เกิดความโปร่งใส และมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ก่อนเริ่มงานได้ชมการแสดงโขน หนุมานมาร่วมสร้างทางรถไฟกับมังกร ซึ่งเป็นการดัดแปลงมาจากหนุมานตอนจองถนน ที่มีการจองถนนไปถึงนครลงกาเพื่อสู้กับยักษ์ แต่วันนี้เราเปลี่ยนใหม่มาสร้างทางรถไฟ โดยไม่ได้สร้างไปตีกับใคร แต่เพื่อยกระดับและสร้างความเชื่อมโยง

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ขอถือโอกาสพูดกับชาวอีสาน เพราะโคราชถือเป็นบ้านของตน ยืนยันว่าวันนี้รัฐบาลจะดูแลและยกระดับความยากจนโดยเพิ่มรายได้ของคนไทยให้มากขึ้น โดยมีการสำรวจหาข้อมูลในพื้นที่ที่มีความยากจน เพื่อต้องการทราบว่าประชาชนอยากได้หรือต้องการอะไร เพราะรัฐบาลไม่อยากบังคับใครทั้งสิ้น จึงอยากให้ประชาชนได้เสนอความต้องการ ดังนั้นมองแค่เรื่องงบประมาณอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ แต่ต้องอาศัยประชาชนให้ช่วยกันเป็นปากเป็นเสียงว่าจะให้รัฐบาลทำอะไร ไม่ใช่เป็นปากเป็นเสียงว่าไม่ให้รัฐบาลทำอะไร ไม่เช่นนั้นก็ทำอะไรไม่ได้ จึงขอให้ฟังรัฐบาลด้วย โดยยืนยันว่าจะทำให้ดีที่สุดเพื่อทุกคน ซึ่งวันนี้ประเทศกำลังเปลี่ยนแปลง เรากำลังทำเรื่องที่ยาก จึงอย่าทำเรื่องยากให้ยากขึ้นไปอีก และเราจะต้องแก้ปัญหาให้ได้ในระยะเวลา 1-2 ปี ซึ่งตนจะทำให้ดีที่สุดสำหรับพวกเราทุกคน พร้อมกับกล่าวเป็นภาษาจีนว่า "จงซิน เซี่ยลี่ ซื่อซื่อ ฉุนหลี่" แปลว่า น้ำหนึ่งใจเดียว ทุกเรื่องราบรื่น
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมนิทรรศการของการรถไฟไทย พร้อมกล่าวกับเด็กนักเรียนที่มาต้อนรับว่า "ลุงทำให้พวกเรานะ เราต้องรีบโตรีบเรียนให้จบเพื่อหาเงินแล้วขึ้นรถไฟอนาคตข้างหน้าก็มาช่วยกันสร้างต่อ วันนี้ของลุงทำไว้ เราต้องพ้นจากความยากจน ขอให้เรียนหนังสือสำเร็จปลอดภัยทุกคน และนำเรื่องราวเหล่านี้ไปบอกกับพ่อแม่ด้วยว่านายกฯ ทำให้" จากนั้นเวลา 16.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน โดยยกมือทำสัญลักษณ์ไอเลิฟยู พร้อมกล่าวสั้นๆ ว่า "โชคดี กลับบ้านปลอดภัย"

สำหรับโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงนี้จะเชื่อมโยงประเทศไทยกับประเทศต่างๆ ในภูมิภาคและโครงข่ายคมนาคม One Belt One Road ของรัฐบาลจีน ที่จะสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ของภูมิภาคอาเซียน โดยโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ - นครราชสีมา จะมีระยะทาง 252.3 กิโลเมตร และวงเงินลงทุนประมาณ 179,000 ล้านบาท มีสถานีทั้งหมด 6 แห่ง คือ สถานีกลาง สถานีดอนเมือง สถานีอยุธยา สถานีสระบุรี สถานีปากช่อง และสถานีนครราชสีมา และมีความเร็วอยู่ที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยเส้นทางช่วงแรกที่เริ่มก่อสร้าง คือช่วงกลางดง - ปางอโศก ระยะทาง 3.5 กิโลเมตร ใช้งบประมาณ 430 ล้านบาท โดยมีทีมวิศวกรฝ่ายจีนมาดำเนินการทั้งหมด 15 คน และมีวิศวกรฝ่ายไทยเข้าร่วมเพื่อรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจำนวน 6 คน โดยเส้นทางกรุงเทพฯ-นครราชสีมา จะสามารถเปิดให้บริการได้ในปี 2565
สำหรับช่วงแรกที่เปิดให้บริการ คาดว่าจะมีผู้โดยสาร 5,300 คนต่อวัน และในปี 2594 จะมีผู้ใช้บริการขั้นต่ำ 26,800 คนต่อวัน โดยมีค่าโดยสารแรกเข้า 80 บาท และบวกด้วยอัตรา 1.8 บาทต่อกิโลเมตร ซึ่งราคาสูงสุดจากเส้นทางกรุงเทพฯ-นครราชสีมา จะอยู่ที่ 535 บาท อย่างไรก็ตามการรถไฟตั้งเป้ารับมอบแบบการก่อสร้างในส่วนที่เหลือระยะที่ 2-4 ไม่เกินกลางปีหน้า และจะเปิดประมูลในปี 2561 รวมถึงเปิดให้บริการรถไฟฟ้าความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หนองคาย ในปี 2566.

สมคบคิด

1) ทหารบางคนกำลังถูกอดีตนักการเมืองหลอกว่าจะนำพรรคที่ตนเคยสังกัดไปสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป
2) แต่ต่อมา ยึดพรรคที่เคยสังกัดไม่ได้ ก็หวังจะอาศัยอำนาจพิเศษของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ( คสช.) รีเซตสมาชิกพรรคการเมืองทั้งหมดทุกพรรค
3) เมื่อ อดีต ส.ส.ทุกคนเป็นอิสระจากพรรค "บรรดาลุงๆ" จะไล่ช้อนอดีต ส.ส.ไปสังกัดพรรคทหาร
4) พรรคทหารเป็นการวมตัวกันของ กลุ่มอดีต ส.ส. ทหาร อดีตข้าราชการประจำ เจ้าสัว และนักการเมืองพันธุ์เก่าดำเนินการจัดตั้ง
5) พรรคทหารจะชูนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นหัวหน้าพรรค และให้นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ เป็นเลขาธิการพรรค โดยมีตัวสำรองเป็นอดีต ส.ส.คนหนึ่ง
6) เอานโยบาย "ประชารัฐ"ของรัฐบาลมาเป็นชื่อพรรค
7) ผู้ที่อยู่เบื้องหลังคืออดีตกำนันคนดังของภาคใต้
นี่้คือคำแฉโพยของนายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.)
แม้จะ ไม่ได้ระบุว่าใคร
แต่ ก็นำไปสู่ คำประกาศ ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคปชป.
"กปปส.จะตัดสินใจอย่างไรก็เป็นสิทธิ ของกปปส.ไม่เกี่ยวกัน"

ทั้งนี้ก่อนหน้าไม่กี่วัน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะ เลขาธิการ กปปส. เพิ่งปล่อยคลิป 2 คลิป ฟื้นความทรงจำ การต่อสู้ของมวลมหาประชาชน ผ่านเฟซบุ๊ค
และต่อมานายสมชาย แสวงการ เลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญประจำกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิปสนช.) เปิดเผยว่า นายสุเทพ ทำหนังสือถึงประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
ขอให้ให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของประเทศ
อันเป็นข้อเสนอ เดียวกับ นายไพบูลย์ นิติตะวัน แกนนำผู้เตรียมก่อตั้งพรรคประชาชนปฏิรูป
พร้อมๆกับ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตรองนายกฯ และแกนนำกลุ่มมัชฌิมาธิปไตย ออกมาเสนอให้มีการงดเว้นการใช้รัฐธรรมนูญ โดยเปิดทางให้ ส.ส.400 เขต ไม่ต้องสังกัดพรรคการเมือง
ความเคลื่อนไหวนี้ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคปชป. ฟันธงว่า เป็น"ทฤษฎีสมคบคิด"
สมคบคิด ที่จะรีเซตพรรคการเมือง ปล่อยให้ สมาชิกทุกพรรคเป็นอิสระ
อิสระแล้ว จะเป็น อย่างที่นายวัชระ เพชรทอง ตีปลาหน้าไซ คือ "จะมีบรรดาลุงๆไล่ช้อนอดีต ส.ส.ไปสังกัดพรรคทหาร" หรือไม่ ไม่ทราบ
แต่ นายสุเทพ ซึ่งเคยประกาศตัว จะไม่เล่นการเมือง ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด
ว่ากำลังเคลื่อนไหวอะไร อย่างไร
จะเกี่ยวข้องกับพรรคทหารอะไรหรือไม่
หรือกำลังมีพรรคของ"สุเทพ"เอง
ที่สำคัญจะเป็น"เทพ"เหมือนตอนยืนอยู่บนเวทีมวลมหาชนหรือไม่
หรือเป็นเพียง"สุเตพ"ที่คนใต้ กำลังคิดถึงอยู่ตอนนี้
---------------------

ขาขึ้น หัวปัก สามปีผ่านไป อะไรเหมือน-ต่าง

ขาขึ้น หัวปัก สามปีผ่านไป อะไรเหมือน-ต่าง


หากยังอยู่ในช่วงที่เริ่มเข้ามายึดอำนาจใหม่ๆ
ช่วงที่ความนิยมของ คสช.ยังล้นหลาม
ถามว่าคดีความเรื่องนาฬิกาข้อมือเรือนหรูที่เกิดขึ้นกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม
จะยืดเยื้อยืดยาวเช่นนี้หรือไม่
เมื่อเป็นเรื่อง ถ้าŽ ก็ยากตอบได้
แต่หากมีกรณีเปรียบเทียบ
อาจจะเห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
พิจารณาสถานการณ์ล่าสุด
19 ธันวาคม ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
นายวรวิทย์ สุขบุญ รองเลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวถึงกรณีการตรวจสอบนาฬิกาหรูและแหวนเพชร พล.อ.ประวิตร ว่า
พล.อ.ประวิตรยังไม่มีการชี้แจงเรื่องดังกล่าวมายัง ป.ป.ช. เพราะมีกำหนดชี้แจงถึงวันที่ 8 มกราคม 2561
แม้ ป.ป.ช.จะมีอำนาจตรวจสอบทรัพย์สินโดยไม่จำเป็นที่จะต้องมีคนร้องเรียน
แต่การตรวจสอบเบื้องต้นจะต้องดูคำชี้แจงประกอบการดำเนินการด้วย
ป.ป.ช.ไม่ได้ประวิงเวลา แต่ทำงานอยู่ตามขั้นตอนและกระบวนการของกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม การชี้แจงของ พล.อ.ประวิตร จะต้องชี้แจงนาฬิกาและแหวนเพชรทุกรายการ
ไม่ใช่เพียงนาฬิกาเรือนแรกที่ตกเป็นข่าว
เรื่องดังกล่าวไม่ได้ซับซ้อนอะไร
เมื่อถามว่าหากถึงวันที่ 8 มกราคม ตามกำหนด พล.อ.ประวิตรยังไม่มีการชี้แจง ทาง ป.ป.ช.จะดำเนินการอย่างไร
นายวรวิทย์กล่าวว่า อย่าเพิ่งคาดเดา ป.ป.ช.มีระเบียบในการดำเนินการอยู่แล้ว
เมื่อถามว่ากรณีมีข่าวว่าเป็นของเพื่อน หรือมีชื่อบุคคลอื่นเพิ่มเข้ามา ป.ป.ช.จะตรวจสอบอย่างไร จะต้องเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องชี้แจงหรือไม่
รองเลขาธิการ ป.ป.ช.ตอบว่า อย่าเพิ่งคาดเดา อยากให้รอก่อน
หากพบว่ามีใครเกี่ยวข้อง ก็จะต้องเรียกมาตามกระบวนการทำงานปกติอยู่แล้ว
เมื่อถามว่านอกจากการตรวจสอบเรื่องนาฬิกาแล้วจะมีการตรวจสอบทรัพย์สินส่วนอื่นหรือไม่
เนื่องจากขณะนี้มีการตั้งข้อสังเกตถึงรายได้ของ พล.อ.ประวิตร ในช่วงปี 2551-2557 ที่มีเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในช่วงปลายปี 2551-2554
และเงินบำเหน็จ บำนาญ ข้าราชการ ระหว่างปี 2551-2557
ที่มียอดรวมประมาณ 12 ล้านบาท

แต่ พล.อ.ประวิตรกลับมีทรัพย์สินรวมที่เพิ่มขึ้น 30.5 ล้านบาท
นายวรวิทย์ กล่าวว่า พยานหลักฐานเหล่านี้ ป.ป.ช.มีอยู่แล้ว
วันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องการชี้แจงปมนาฬิกาและแหวนเพชรให้ ป.ป.ช.
พล.อ.ประวิตรไม่ตอบคำถามดังกล่าว และเดินตรงไปขึ้นรถทันที
เมื่อถามอีกว่า เมื่อวาน (18 ธันวาคม) ที่ท่านบอกว่าเหนื่อย วันนี้หายเหนื่อยหรือยัง
พล.อ.ประวิตรตอบว่า ผมไม่เหนื่อย
อะไรเลย
ขณะที่เพจ CSI LA ที่มีผู้กดไลค์กว่า 7.5 แสนคน โพสต์ข้อความจากรูปภาพของพล.อ.ประวิตรที่ปรากฏนาฬิกาหรูเรือนที่ 4 โดยระบุข้อมูลว่า
เฉลยอีกเรือน Patek Philippe รุ่น 5960/1A ราคาตลาดอยู่ที่ 1.5-1.66 ล้านบาท
เเฟนเพจตาดีส่งรูปนี้มาให้ดูครับ เป็นภาพตอน พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ประธานพิธีเปิดงาน ตลาดนัดคลองผดุง วันที่ 2 พฤษภาคม 2559 จากหลักเมือง Online (http://lakmuangonline.com/?p=5327)Ž
ซึ่งเป็นสื่อของกระทรวงกลาโหม
กรณีของ พล.อ.ประวิตรที่คล้ายจะเป็นเรื่อง “เล็กน้อย”Ž ในเบื้องต้น ยืดยาวมาถึงปัจจุบัน
ย่อมมิใช่เพราะการตาม ”จิกกัด”Ž อย่างไม่ลดราวาศอกของสื่อเพียงประการเดียว
แต่เมื่อสังคมติดตาม ตั้งข้อสงสัย ขยันกระทุ้ง
สื่อย่อมไม่สามารถนิ่งเฉยอยู่ได้
ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบย้อนหลังกับครั้งกรณีภริยาและบุตรชายของ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา น้องชายของนายกรัฐมนตรี
ที่จะมีการติดตามขุดคุ้ย มีการตีแผ่ข้อมูลอย่างรอบด้าน
แต่เมื่อสังคมยัง “ไม่สุกงอม”Ž
คดีความก็ค่อยๆ สร่างซาไป
คำถามคือในห้วงเวลาหนึ่ง
เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็กลงไปได้
ไฉนในอีกช่วงเวลาหนึ่ง
เรื่องเล็กจึงขยายเป็นเรื่องใหญ่โต
อะไรทำให้อารมณ์ความรู้สึกของสังคมเปลี่ยนไป?
อะไร?

ปลดล็อกซะที

ปลดล็อกซะที


หลังจากชักเย่อไม่ยอมปลดล็อกให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมตามความจำเป็น
ทั้งๆที่ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฉบับใหม่ ประกาศใช้บังคับมาแล้วเกือบ 3 เดือน
ในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หน.คสช. ก็ยอม “ปลดล็อก” ให้พรรคการเมืองเริ่มต้นทำกิจกรรมต่างๆได้ซะที
โดย พล.อ.ประยุทธ์ ใช้อำนาจพิเศษ ม.44 แก้ไข พ.ร.บ.พรรคการเมืองขยายกรอบเวลาให้พรรคการเมืองปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆตามความจำเป็น
เช่น...กรณีที่พรรคการเมืองต้องตรวจสอบสมาชิกพรรคและแจ้งการเปลี่ยนแปลงสมาชิกพรรคต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองภายใน 90 วัน
ซึ่งขณะนี้เหลือเวลาอีกแค่ 15 วัน เท่านั้นเอง!!
เอาเถอะ...ถึงจะปลดล็อกช้าไปหน่อยก็ยังไม่สายเกินเพล
“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่า ผล จากการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ ม.44 ขยายเวลาชดเชยให้พรรคการเมืองปฏิบัติตามเงื่อนไขของ พ.ร.บ.พรรคการเมืองโดย ไม่ติด “เส้นตาย 90 วัน”
ถ้าหากมองเผินๆ...แสดงว่า พล.อ.ประยุทธ์ ใช้อำนาจ ม.44 เพื่อช่วยแก้ปัญหาฉุกละหุกให้พรรคการเมือง
แต่ถ้ามองของจริง...พล.อ.ประ-ยุทธ์ใช้อำนาจ ม.44 เพื่อแก้ไขปัญหา ที่ คสช.เป็นผู้ก่อไว้เอง
เพราะปัญหาเกิดจาก คสช.ไม่ยอมปลดล็อกพรรคการเมืองให้ดำเนินกิจกรรมตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.พรรคการเมือง
ปล่อยให้ปัญหาคาราคาซังมานานกว่า 2 เดือน
ถ้าหาก คสช.ยังปล่อยให้การปลดล็อกต้องยืดเยื้อต่อไปก็เท่ากับ คสช.ทำให้ พ.ร.บ.พรรคการเมือง (ที่ประกาศใช้แล้ว) ไม่มีผลบังคับใช้ตามกติกา
ทั้งๆที่ พ.ร.บ.ฉบับนี้ คสช.เป็นหมอตำแยทำคลอดออกมาเอง
“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่ากรณีนี้จะไม่ยุ่งยากวุ่นวายไม่ต้องงัด ม.44 แก้ไข พ.ร.บ.พรรคการเมืองให้อึกทึกครึกโครม
เพียงแค่ คสช.ปล่อยให้ทุกอย่างเดินไปตามกติกา
คือเมื่อ พ.ร.บ.พรรคการเมืองประ-กาศใช้อย่างเป็นทางการ คสช.ก็ปลดล็อกให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมตามความจำเป็น
ไม่ต้องปลดล็อกพรวดเดียว 100 เปอร์เซ็นต์
ค่อยๆปลดล็อกเป็นขั้นเป็นตอนเป็นช่วงๆตามที่ พ.ร.บ.พรรคการเมืองกำหนดไว้แล้วชัดเจน
โดยให้พรรคการเมืองต้องทำเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้เสร็จใน 3 เดือน หรือ 6 เดือน หรือ 8 เดือน หรือ 1 ปี หรือ 2 ปี
เช่น...ให้พรรคการเมืองต้องตั้งสาขาพรรคให้ครบ 4 ภาค
หรือ ต้องหาสมาชิกพรรคให้ครบ 500 คน ภายใน 180 วัน
หรือ ต้องหาสมาชิกเพิ่มให้ครบ 5,000 คน ภายใน 1 ปี ฯลฯ
ถ้า คสช.ปลดล็อกช้าเกินไปปัญหาจะยิ่งสะสมเป็นดินพอกหางหมูขึ้นทุกที
และสุดท้าย คสช.คือผู้ก่อปัญหาทั้งหมดขึ้นมา
“แม่ลูกจันทร์” จึงมองไม่เห็นประโยชน์อะไรจากการที่ คสช.ยื้อเวลาปลดล็อกจนยืดเยื้อมาเกือบ 3 เดือน
นอกจากสร้างเงื่อนไขให้พรรค การเมืองรุมกดดัน
เสียดาย...หากตัดสินใจปลดล็อกเสียตั้งแต่แรก คสช.จะได้รับกระแสชื่นชม
แต่เมื่อตัดสินใจปลดล็อกช้า...คสช.ก็ต้องเสียรังวัดเป็นธรรมดา
เข้าตำราทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก ทำเรื่องสั้นให้กลายเป็นเรื่องยาว
เข้าซอยผิดนิดเดียว...เดินเมื่อยไปอีกนาน.
“แม่ลูกจันทร์”

เข้าเหลี่ยม “สมคบคิด”

เข้าเหลี่ยม “สมคบคิด”


ติดดาบเพิ่มอำนาจกันเข้มข้นสุดๆ

ตามโปรแกรมล่าสุดที่ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่มี พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ เป็นประธาน เพิ่งยกเครื่องกฎหมาย ป.ป.ช.เวอร์ชั่นใหม่เสร็จสดๆร้อนๆ

เตรียมนำเข้าสู่ที่ประชุม สนช.ให้ความเห็นชอบวาระ 2 และ 3 รอประกาศใช้อย่างเป็นทางการ

ตามเนื้อหาที่มีการปรับโฉมกฎหมายปราบโกงแปลกตาไปจากร่างเดิมของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ฉบับ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ.ในหลายประเด็น

ไม่ใช่แค่การตีตั๋วต่อโปรโมชั่นการทำงานให้กรรมการ ป.ป.ช.ชุดปัจจุบันอยู่ยาว 9 ปี จากเงื่อนไขเดิมที่ให้อยู่ต่อเฉพาะกรรมการ ป.ป.ช.ที่ไม่มีคุณสมบัติขัดรัฐธรรมนูญเท่านั้น

แต่ที่ดูฮือฮา ถูกกล่าวขานเกรียวกราวล่าสุดคือ การเพิ่มอำนาจให้ ป.ป.ช.มีอำนาจ ดักฟังข้อมูลทางโทรศัพท์และอุปกรณ์สื่ออิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภทในคดีทุจริต และร่ำรวยผิดปกติ

ติดปีก ป.ป.ช.ยุคใหม่อยู่ยาว และมีอำนาจมหาศาล สุ่มเสี่ยงการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ส่อเค้าเกิดความวุ่นวายตามมา หากมีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเนื้อหาขัดต่อรัฐธรรมนูญ

แม้แต่ “ซือแป๋มีชัย” ยังบอก “กลุ้มใจ” เตือนให้ระวังจะเป็นดาบ 2 คม อาจเป็นผลร้ายแก่คนใน สนช.เอง
เรื่องวุ่นๆของสารพันกฎหมายลูก ถูกกระพือเป็นกระแสไม่หยุดหย่อน

ตัวอย่างที่เห็นๆ อาทิ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ถูกตั้งแง่เรื่องการสรรหาผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมเป็น กกต.2 คน ในส่วนที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาดำเนินการถูกต้องหรือไม่
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองที่ยังชุลมุนเรื่องการขอแก้กฎหมาย รวมถึงร่าง พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของ สนช. ยังไม่รู้ว่า มีปัญหายุ่งเหยิงตามมามากน้อยแค่ไหน

กฎหมายลูกเกี่ยวกับการเลือกตั้ง 4 ฉบับยังอีนุงตุงนัง ถูกโยงเรื่อง สร้างเงื่อนไข ให้เกิดข้อถกเถียงอยู่เรื่อยๆ นั่นย่อมเป็นตัวแปรที่อาจกระทบถึงโรดแม็ป

เข้าล็อกทฤษฎี “สมคบคิด” ยื้อเลือกตั้งที่ถูกตั้งข้อสงสัยกัน

ตามรูปการณ์ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. และนายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานเครือข่ายประชาชนปฏิรูป จ่อเข้าให้ข้อมูลต่อ สนช. เพื่อขอแก้ไข พ.ร.บ.พรรคการเมือง

ชูประเด็นล้างไพ่สมาชิกพรรคการเมืองทุกค่ายมาปัดฝุ่น เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างพรรคเก่ากับพรรคใหม่ ตามแนวคิดเดิมที่ขั้วอำนาจพิเศษเคยมองไว้

กองหนุนท็อปบูตระดับหัวแถวเปิดตัวออกมาในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน

ขัดจังหวะในช่วงที่ทุกอย่างเตรียมนับถอยหลังเข้าสู่สังเวียนเลือกตั้งปลายปีหน้า ดูแล้วแก้ตัวลำบากว่า ไม่ได้เตี๊ยมกันมาก่อน

สอดรับสถานการณ์ที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.เมินเสียงเรียกร้องจากฝ่ายการเมือง ไม่ยอมปลดล็อกปล่อยผีพรรคการเมืองทำกิจกรรมเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ภายหลัง พ.ร.บ.พรรคการเมืองมีผลบังคับใช้

ผ่อนปรนให้แค่ใช้มาตรา 44 คลายล็อกเงื่อนเวลา เปิดช่องให้ค่ายการเมืองทำกิจกรรมทางธุรการได้บางอย่างตามโปรแกรมที่กฎหมายลูกพรรคการเมืองกำหนด

แนวโน้มเป็นเพียงแค่การลดกระแสกดดันทางการเมือง

ไม่กล้าปลดล็อกแบบเต็มตัว เพราะยังไม่อนุญาตให้จัดประชุมใหญ่พรรคได้อย่างเป็นทางการ

ปล่อยให้กระดิกตัวได้แค่งานรูทีน อาทิ การหาสมาชิกพรรค การเก็บค่าสมาชิก การประชุมนัดแรกเพื่อเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคในส่วนพรรคการเมืองใหม่ และการเช็กสถานภาพสมาชิกพรรคในส่วนพรรคการเมืองเก่า

ยกเหตุผลเนื่องจากฝ่ายความมั่นคงยังพบความเคลื่อนไหวทางการเมือง จึงไม่เหมาะสมที่จะปลดล็อกคำสั่งหัวหน้า คสช.ในช่วงนี้ จ่อทอดเวลาปลดล็อกไปถึงกลางปีหน้า

อำนาจพิเศษและทีมกองหนุนผนึกกำลังหาเงื่อนไขสารพัดช่องทาง ประวิงเวลายื้อโรดแม็ปถึงที่สุด

กดนักการเมืองเป็นเบี้ยล่างกันต่อไป!!!

ทีมข่าวการเมือง